Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 759-760
ราชันเร้นลับ 759 : เต้นรำครั้งแรก
โดย
Ink Stone_Fantasy
คืนวันเสาร์ สองทุ่มตรง
ไคลน์นั่งรถม้าหรูหราของตน ใช้เวลาเพียงสองนาทีถึงก็มาถึงบ้านของส.ส. มัคท์ที่บ้านเลขที่ 39 ถนนเบิร์คลุน
หลังจากชำเลืองมองสระน้ำพุที่สะท้อนแสงไฟและมีเสียงน้ำกระเซ็น ชายหนุ่มติดกระดุมสูทหางยาว เดินลงจากรถม้าไปยังทางเข้าหลักของบ้าน
ริชาร์ดสันถือไวน์แดงนันวีลล์ที่มีบรรจุภัณฑ์สวยงาม เดินตามหลังนายจ้างอย่างใกล้ชิด
เมื่อผ่านประตูบ้าน ไคลน์เห็นส.ส. มัคท์และมาดามลีอานน่าผู้เป็นภรรยา เดินเข้ามาทักทาย
ฝ่ายแรกสวมเครื่องแบบทหารสีเขียวมะกอก ริบบิ้นสีส้ม มีเหรียญมากมายประดับบนหน้าอก สำหรับชาวโลเอ็น ทั้งทหารที่ยังดำรงตำแหน่งและปลดเกษียณมักสวมเครื่องแบบเข้าร่วมงานเลี้ยง
ฝ่ายหลังสวมเดรสสีเหลืองแบบไม่มีปกเสื้อ ลำคอและเนินอกถูกปกปิดด้วยผ้าลูกไม้ลายใบบัวละเอียดอ่อน ดูแตกต่างจากหญิงสาวที่ยังไม่ได้สมรส บริเวณลำคอขาวๆ และหัวไหล่ค่อนข้างเปิดเผยเนื้อหนัง
ไคลน์หยิบขวดไวน์นันวีลล์จากบุรุษรับใช้ริชาร์ดสัน ส่งให้ส.ส. มัคท์พร้อมกับแสดงความยินดี
“ขอโทษที่มาสายเล็กน้อยนะครับ”
นี่คือธรรมเนียมปรกติของงานเลี้ยงชาวโลเอ็น แขกมักจะมาสายเล็กน้อย การมาถึงก่อนงานเริ่มไม่ใช่เรื่องดี เพราะเจ้าภาพอาจยังยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวขั้นสุดท้าย ช่วงเวลาดังกล่าวไม่เหมาะแก่การต้อนรับแขก อย่างไรก็ตาม พยายามอย่ามาสายเกินสิบนาที
หากไม่ใช่เพราะวาฮาน่าสอนเรื่องนี้ ไคลน์คงมาถึงก่อนเวลาเพื่อรักษามารยาท
“ไม่เป็นไรครับ งานเลี้ยงยังไม่ได้เริ่มอย่างเป็นทางการ” มัคท์รับไวน์นันวีลล์ ส่งให้บุรุษรับใช้ส่วนตัวและยิ้มพลางพยักหน้า
ในการพบปะสังสรรค์ของชนชั้นสูงในโลเอ็น หากเพิ่งเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก ผู้ร่วมงานต้องมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้เจ้าภาพ จากบรรดาของขวัญทั้งหมด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะได้รับความนิยมเป็นพิเศษ แต่ก็ต้องจำไว้ว่า ของขวัญครั้งแรกควรเลือกสินค้าท้องถิ่น
ทักทายเจ้าภาพชายเสร็จ ไคลน์หันไปทางมาดามลีอานน่า เมื่อเห็นอีกฝ่ายยกมือขวาขึ้นเล็กน้อย ชายหนุ่มก้าวเข้าไปหา จับฝ่ามือและโน้มตัวจุมพิตอย่างอ่อนโยน
“ความงดงามของคุณเจิดจรัสไปทั่วงานเลี้ยง”
ก่อนงานเลี้ยงจะเริ่มขึ้น การชื่นชมเจ้าภาพคือธรรมเนียมที่พึงปฏิบัติในสังคมชาวโลเอ็น ตรงจุดนี้ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม และสิ่งที่แตกต่างจากอินทิสก็คือ การจุมพิตหลังมือต้องได้รับการยินยอมจากฝ่ายหญิงก่อน บุรุษห้ามกระทำโดยพลการ ไม่อย่างนั้นจะถือเป็นการเสียมารยาทร้ายแรง
“เฉกเช่นการมาถึงของคุณ” มาดามลีอานน่าตอบด้วยรอยยิ้ม
จากนั้น เจ้าบ้านทั้งสองพาดอน·ดันเตสเดินผ่านทางเดิน เข้าไปในโถงหลักที่มีบทเพลงอันไพเราะดังคลอ
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว โมวรี·มัคท์ชี้ไปยังสตรีเยาว์วัยผู้หนึ่งในเดรสสีฟ้า
“ลูกสาวของผม เฮเซล”
ฟังจบ ไคลน์หันไปมองสตรีวัยเยาว์ ทันใดนั้น รูม่านตาชายหนุ่มพลันหดลีบ
มันรู้จักหล่อน!
ระบุให้ชัดคือ มันเคยเห็น ‘ภาพ’ ของหล่อนมาก่อน!
ย้อนกลับไปในตอนที่ชายหนุ่มถามอาโรเดสว่า ตนจะหาสมบัติวิเศษที่สามารถขโมยพลังพิเศษได้จากไหนบ้าง ‘กระจกวิเศษ’ แสดงภาพของสตรีวัยเยาว์ บุคลิกหยิ่งทระนง กำลังเดินอยู่ในทางระบายน้ำ บัดนี้ไคลน์ได้ทราบแล้วว่า อีกฝ่ายไม่ใช่ใครนอกจากเฮเซล·มัคท์ สตรีเจ้าของเส้นผมสีเขียวเข้มหยักศกเล็กน้อยและดวงตาสีน้ำตาลเข้ม!
เธอมีสมบัติวิเศษที่คล้ายกับโอสถ ‘นักชิงไฟ’ ? พิจารณาจากสถานะของครอบครัว ทำไมเธอถึงลงไปเดินในทางระบายน้ำ? ผจญภัยอย่างสนุกสนาน? กำลังมองหาอะไร? เธอเป็นผู้วิเศษ? ด้วยวิธีใด? หรือในตัวจะมีตาแก่ปรสิตแฝงอยู่? แล้วตาแก่คนนั้นจะเหมือนกับ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ไหม? มองเห็นออร่าสายหมอกในร่างกายเราหรือไม่? ไคลน์ที่สวม ‘หนัง’ ดอน·ดันเตสผุดคำถามมากมาย แต่ภายนอกทำเพียงก้มศีรษะลงอย่างสุขุมและกล่าว
“สายัณห์สวัสดิ์ครับ มิสเฮเซล”
ระหว่างนั้น ชายหนุ่มแอบชำเลืองใบหน้าเฮเซล·มัคท์ พบว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้านิ่ง ดวงตาแฝงความยโส เธอตอบด้วยรอยยิ้มสุภาพ
“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ดันเตส”
เฮเซลมิได้เผยท่าทีผิดปรกติ ตีความได้ว่า เธอน่าจะมองไม่เห็นออร่าของหมอกสีเทา… แต่เรื่องที่มีตาแก่เป็นปรสิตแฝงอยู่ในร่างหรือไม่ ตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ ต้องตรวจสอบเพิ่มเติมอีกสักพัก… ไคลน์เหยียดหลังตรง หยิบแชมเปญสีทองซีดหนึ่งแก้วจากถาดของพนักงานเสิร์ฟ หันไปคุยกับส.ส. มัคท์
“คิดไม่ถึงว่าคุณจะเป็นพันตรี”
ชายหนุ่มเดาได้จากอินทรธนูบนหัวไหล่ส.ส. มัคท์
ถ้าอีกฝ่ายเป็นพันเอก ไคลน์คงสงสัยว่าสุภาพบุรุษรายนี้อาจเป็นผู้วิเศษ แต่กับพันตรีนั้นยากจะระบุ
“ฮะฮะ! ไม่เท่าไรหรอกครับ ใครๆ ก็สร้างชื่อเสียงในไบลัมได้” โมวรี·มัคท์ตอบอย่างถ่อมตน “สภาพอากาศที่นั่นชวนให้อึดอัดมาก ผมเคยเสนอให้เบื้องบนของกองทัพ ออกแบบเครื่องแบบใหม่สำหรับใช้ในปฏิบัติการบนไบลัมตะวันตกโดยเฉพาะ เปลี่ยนจากสีเข้มๆ ให้เป็นโทนอ่อน ไม่อย่างนั้น บรรดาเจ้าหน้าที่อาจจะรู้สึกเหมือนเนื้อวัวที่กำลังถูกย่างบนตะแกรง”
แต่ในส่วนของทหารเกณฑ์ เกือบทั้งหมดจะแต่งกายด้วยเสื้อสีแดงและกางเกงสีขาว
“ใช่ครับ สภาพอากาศที่นั่นแตกต่างจากบ้านเราโดยสิ้นเชิง แม้แต่อ่าวเดซีย์ก็ยังไม่ร้อนขนาดนั้น” ไคลน์กำลังบอกโดยนัยว่าตนเคยไปเยือนทวีปใต้มาแล้ว ไม่ว่าจะไบลัมตะวันตกหรือตะวันออก เพื่อเป็นการเสริมความน่าเชื่อถือให้กับประสบการณ์ล่าสัตว์ที่เคยเล่าไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
หลังจากคุยกันอีกสักพัก ส.ส. มัคท์ขอตัวและพามาดามลีอานน่าเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ขณะยืนริมราวระเบียงฝั่งตรงข้ามและมองลงมายังแขกทุกคน โมวรี·มัคท์ยกแก้วไวน์แดงและกล่าว
“ขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มาร่วมงานเต้นรำในวันนี้… ก่อนอื่น พวกเราทุกคนมาช่วยกันสรรเสริญเหล่าเทพทั้งหลาย ผู้เป็นต้นกำเนิดของสิ่งดีๆ ในชีวิต”
โมวรี·มัคท์และลีอานน่าทำสัญลักษณ์จันทร์แดงกลางหน้าอก กล่าวสรรเสริญเทพธิดาด้วยเสียงแผ่ว ส่วนแขกคนอื่นๆ ต่างก็ยกย่องเทพที่ตนนับถือในทำนองเดียวกัน
ส.ส. มัคท์ยังคงชูแก้วไวน์โดยไม่ลดมือลง กล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม
“ถัดมา สรรเสริญให้กับอาณาจักรแห่งนี้ รากฐานที่สำคัญของความมั่นคงทั้งหมด”
“แด่อาณาจักร” ไคลน์ยกแก้วแชมเปญและเปล่งเสียงตามแขกคนข้างๆ
ถัดมา ส.ส. มัคท์มองไปรอบตัวและถามติดตลก
“สุดท้ายนี้ พวกเราควรสรรเสริญอะไรอีก?”
ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก โพล่งขึ้นเสียงดัง
“สรรเสริญให้กับอากาศที่ดีขึ้นของเบ็คลันด์”
ส.ส. มัคท์ผงะเล็กน้อย แต่ก็ตอบสนองด้วยรอยยิ้ม
“ยอดเยี่ยมมาก… เป็นข้อเสนอที่ดี สรรเสริญแด่อาณาจักรที่ดีขึ้นของเบ็คลันด์ เพราะนั่นหมายถึงชีวิตที่ดีขึ้นของพวกเรา… เชียร์!”
การควบคุมมลพิษทางอากาศถือเป็นจุดยืนทางการเมืองของส.ส. มัคท์มาตลอดนับตั้งแต่ดำรงตำแหน่ง ชายคนนี้จะคอยส่งเสริมร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มความสามารถเสมอ เป็นคนผลักดันให้มีการปรับปรุงคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ดังนั้น การสรรเสริญให้กับอากาศที่ดีขึ้น ย่อมเท่ากับเป็นการสรรเสริญตน เรื่องนี้ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้ว
แขกต่างส่งเสียงขานรับอย่างให้ความร่วมมือ พลางกระดกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยพร้อมเพรียง
ถัดมา ส.ส. มัคท์จับมือมาดามลีอานน่าเดินลงไปยังโถงชั้นหนึ่ง เริ่มเต้นรำเป็นคู่เปิดท่ามกลางทำนองเพลงเสนาะหู
สุภาพบุรุษเริ่มมองหาคู่เต้นรำคนแรกของตน ส่วนไคลน์ทำเพียงหยิบแชมเปญแก้วใหม่ มองดูแขกด้วยท่าทีสบายใจ
หืม… มาดามแมรี่ก็อยู่ที่นี่ด้วย… ชายหนุ่มกวาดตามองจนพบคนรู้จัก ไม่ใช่ใครนอกจากผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทโคอิมที่มีมูลค่ารวมหลายหมื่นปอนด์ และเคยจ้างนักสืบเชอร์ล็อกให้ช่วยสืบคดีชู้สาว
เธอเองก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการมลพิษทางอากาศแห่งชาติ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะสนิทกับส.ส. ผู้สนับสนุนเรื่องนี้… ไคลน์ไม่คิดชวนอีกฝ่ายเต้นรำ เพราะปัจจุบัน ตนคือดอน·ดันเตส ย่อมไม่รู้จักสตรีที่อาศัยอยู่คนละบล็อกถนน
ชายหนุ่มถอนสายตากลับและมองไปทางอื่น เห็นเฮเซล·มัคท์ยืนถือแก้วไวน์ขาวอยู่ริมขอบฟลอร์ กำลังยิ้มอย่างแปลกแยก พลางกวาดตามองเหล่าสุภาพบุรุษที่กำลังเตรียมชวนสตรีเต้นรำ
สตรีผู้นี้นับว่าเลอโฉม ทั้งสง่างามและน่ารัก เป็นดาวเด่นของงานเลี้ยงอย่างไร้ข้อกังขา ใครต่อใครคงอยากชวนเธอเต้นรำ ทว่า เมื่อหันไปเห็นบุคลิกหยิ่งยโส สุภาพบุรุษเหล่านั้นมีอันต้องเบนเป้าหนี
ท่าทีแบบนี้ เราเคยเห็นจากผู้วิเศษบางคน พวกมันคิดว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่า… อา… เรื่องนี้สามารถอนุมานได้ว่า มิสเฮเซลน่าจะเป็นผู้วิเศษ… ไม่ผิดแน่ ถ้าไม่ใช่ผู้วิเศษ เธอจะกล้าลงไปเดินในทางระบายน้ำได้ยังไง? เป็นผู้วิเศษของเส้นทาง ‘นักจารกรรม’ ? แต่บุคลิกหยิ่งผยองแบบนี้จะสวมบทบาทเป็น ‘นักจารกรรม’ กับ ‘นักต้มตุ๋น’ ยังไง? ไม่ว่าจะมองมุมใดก็ยากมากทีเดียว… เมื่อเห็นว่าการเต้นรำของคู่เปิดงานอย่างส.ส. มัคท์และภรรยาใกล้จบลง ไคลน์เริ่มพิจารณาอย่างจริงจังว่าตนควรชวนสุภาพสตรีคนใดเป็นคู่เต้น
ดอน·ดันเตสมีอายุสี่สิบตอนต้น การเต้นรำครั้งแรกจึงไม่ควรชวนสตรีวัยเยาว์ เว้นเสียแต่จะเป็นรุ่นหลาน… คู่เต้นรำแรกของเหล่ามาดามก็ควรเป็นสามีของพวกเธอ… หมายความว่า เราชวนได้แค่คนรู้จักหรือไม่ก็เจ้าภาพ… ไคลน์กวาดตาไปทั่วฟลอร์เต้นรำ จนพบบุคคลที่เข้าข่ายเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ครูสอนมารยาทของดอน·ดันเตส มาดามวาฮาน่า
ชวนเธอดีไหม? คงไม่ดี… ตอนนี้เธอน่าจะรู้แล้วว่าเราแอบช่วยเหลือในคดีฉ้อโกงผ้า หากชวนมาเต้นเป็นคู่แรก เกรงว่าอีกฝ่ายอาจจะเข้าใจผิด และอาจถึงขั้นทำให้ครอบครัวของเธอร้าวฉาน ชักนำปัญหาให้ดอน·ดันเตสโดยไม่จำเป็น… เราไม่ใช่จักรพรรดิสักหน่อย ไม่ถนัดการแย่งชิงภรรยาคนอื่น… ไม่สิ หมอนั่นถนัดการแย่งชิงทุกสิ่ง… เหนือสิ่งอื่นใด หากเราไม่อยากเผชิญปัญหา ก็ควรหลีกเลี่ยงให้ไกลจากปัญหา… ขณะขยับสายตา ไคลน์ได้ยินท่วงทำนองเพลงที่เปลี่ยนไป จากหนักลงมาเป็นเบา
นี่คือประเภทดนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในแถบชนบทของภาคกลาง บรรดาขุนนางเองก็ชื่นชอบ มักใช้บรรเลงระหว่างการเต้นรำคู่แรก
เมื่อท่วงทำนองเปลี่ยนไป สุภาพบุรุษเริ่มเข้าหาสุภาพสตรีที่ตนหมายตา และไคลน์พบว่า ไม่มีใครเข้าใกล้เฮเซล·มัคท์แม้แต่คนเดียว
เธอเองก็เป็นหนึ่งในเจ้าภาพ… และเราควรตรวจสอบเธอไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ … หึหึ ถ้าเป็นผู้วิเศษเส้นทาง ‘นักจารกรรม’ จริง หมายความว่าหมอกสีเทามีอำนาจในการ ‘ดึงดูด’ เส้นทางที่ใกล้เคียงนักทำนายได้เล็กน้อย… ไคลน์เผยรอยยิ้มอ่อนโยน เดินไปทางสุภาพสตรีมาดโอหังด้วยย่างก้าวไม่รีบร้อน
“มิสเฮเซล รบกวนเป็นคู่เต้นรำให้ผมได้ไหมครับ” ดอน·ดันเตส สุภาพบุรุษเจ้าของจอนสีขาวตรงขมับ กล่าวพลางแสดงความเคารพตามมารยาท
เฮเซลชำเลือง กล่าวหลังจากเงียบงันสักพัก
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ”
จากนั้น หญิงสาวเหยียดแขนเข้ามาหา
ไคลน์จูงมืออีกฝ่ายอย่างสุภาพและนำทางเข้าสู่ฟลอร์เต้นรำ ทั้งสองเริ่มขยับร่างกายไปตามทำนองดนตรีที่รวดเร็วและมีชีวิตชีวา
ขณะจ้องใบหน้าอันสง่างามแต่ปราศจากอารมณ์ของอีกฝ่าย ไคลน์ยิ้มพลางพูดหยั่งเชิง
“ผมสังเกตเห็นว่า สุภาพบุรุษหนุ่มหลายคนอยากชวนคุณเต้น แต่ก็ไม่มีใครรวบรวมความกล้าสำเร็จ”
เฮเซลเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จ้องอีกฝ่ายและกล่าว
“มิสเตอร์ดันเตส นี่มิใช่หัวข้อที่สุภาพสักเท่าไร”
“…” ไคลน์ใบ้กินกะทันหัน ตอบสนองไม่ถูกไปพักใหญ่
ราชันเร้นลับ 760 : แวดวงอันคับแคบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เรานึกว่าเธอจะพูดอย่างเหยียดหยามทำนองว่า ตนไม่ชอบผู้ชายไร้เดียงสา ไม่ชอบพวกไร้น้ำยา และพ่นถ้อยคำดูแคลนสามัญชน ใครจะไปคิด… เธอไม่แม้แต่จะตอบคำถาม… เฮ่อ… ความโอหังเช่นนี้จะทำให้โอกาสคลุ้มคลั่งเพิ่มขึ้นในลำดับสูงขึ้น… ไคลน์อดไม่ได้ที่จะรำพัน
ตามความเข้าใจของชายหนุ่ม ผู้วิเศษเป็นเพียงมนุษย์ที่มีพลังพิเศษ ไม่ต่างอะไรกับการมีเงินหรืออำนาจ สรุปโดยสั้น ผู้วิเศษยังเพียงเป็นมนุษย์เดินดิน ไม่สามารถปลีกตัวออกจากสังคมได้ ต้องรอจนถึงลำดับ 4 จึงจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด
และเหนือสิ่งอื่นใด ครึ่งเทพส่วนใหญ่ก็ยังมีบทบาทในสังคมของมนุษย์ แม้แต่ลำดับหนึ่งอย่าง ‘อสรพิษโชคชะตา’ วิล·อัสตินก็ยังต้องกลับไปเป็นทารกในครรภ์มารดา… อาจมีเพียง ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์และตัวตนในระดับใกล้เคียงกันเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์มองโลกด้วยสายตาของ ‘เทพ’ ได้อย่างแท้จริง… ไคลน์ครุ่นคิดหลายสิ่ง ก่อนจะกล่าว
“ต้องขอโทษด้วยครับ ผมเป็นนักธุรกิจที่มักเดินทางไปมาระหว่างทวีปเหนือและใต้ ไม่ค่อยมีประสบการณ์ในงานเลี้ยงสักเท่าไร เอ่อ ผมหมายถึงงานเลี้ยงประเภทนี้”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เฮเซลตอบอย่างใจเย็น คล้ายกับไม่แยแสหัวข้อที่อีกฝ่ายหยิบยกขึ้นมา
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ตอนนี้คงไม่อยากจะสนทนากับผู้หญิงที่หยิ่งผยอง เน้นไปที่การเต้นรำเพียงอย่างเดียว แต่สำหรับไคลน์ มันมั่นใจว่าตนสามารถรับมือได้ เพราะตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างคนธรรมดาและผู้วิเศษเป็นอย่างดี จึงน้อมรับคำขอโทษและกล่าวกลับไป
“สำหรับผม นี่เป็นความท้าทายที่ไม่ด้อยไปกว่าการท้องทะเล… สิ่งที่เหมือนกันคือทิวทัศน์อันงดงาม เต็มไปด้วยความท้าทายและยากลำบาก แน่นอน ตำนานขุมสมบัติถือเป็นของคู่กันกับท้องทะเล บางอันก็เป็นของปลอม บางอันก็ฟังดูเหมือนจริง แต่ตรวจสอบไม่ได้ เฉกเช่นตำนานอันดับหนึ่งอย่าง ‘กุญแจเทพมรณา’ ”
“กุญแจเทพมรณา?” เฮเซลเงยหน้าขึ้น แหงนหน้ามองดอน·ดันเตสที่สูงกว่าตนพอสมควร
เป็นอย่างที่คิด ผู้วิเศษที่รู้สึกเหนือกว่าคนธรรมดา มักสนใจในเรื่องราวเร้นลับ… ไคลน์หัวเราะในลำคอ พยักหน้ารับ
“ใช่ครับ ลือกันว่าซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งในทะเลคลั่ง…”
ชายหนุ่มเล่าลงลึกเกี่ยวกับตำนานขุมสมบัติที่เคยได้ยินมาจาก ‘โมราขาว’ และเสริมด้วยข้อมูลที่ได้รับตลอดช่วงเวลาการผจญภัย
ระหว่างเล่า มันเอ่ยถึง ‘สี่ราชา’ และเจ็ดนายพลโจรสลัดอย่างเลี่ยงไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าเฮเซลสนใจตำนาน จึงตอบสนองต่อไคลน์แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงขั้นเอ่ยปากถามเองเป็นครั้งคราว ช่วยให้การเต้นรำระหว่างทั้งสองลดความตะขิดตะขวงลง เพลิดเพลินจนกระทั่งเพลงดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดโดยไม่รู้ตัว
ไคลน์ตัดจบเรื่องราวอย่างชำนาญ จากนั้นก็ถาม
“คุณจะกลับไปที่ที่คุณยืนเมื่อครู่ หรือไปทางนั้นเพื่อตักอาหาร?”
หลังจากเต้นรำ สุภาพบุรุษต้องถามความปรารถนาของสตรี ส่งเธอไปยังที่ที่เธอต้องการ ไม่จำเป็นต้องเป็นตำแหน่งเดิม
เฮเซลขยับปาก คล้ายกับต้องการถามเพิ่มเติม แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวออกมา เพียงพยักหน้ารับอย่างสงวนกิริยา
“ที่เมื่อครู่”
หึหึ… เห็นได้ชัดว่าเธอเศร้านิดๆ ที่จะไม่ได้ฟังตำนานขุมสมบัติต่อ… เด็กเอาแต่ใจแบบนี้ ขอแค่หาสิ่งที่เธอสนใจให้พบ การชวนคุยก็ไม่ใช่เรื่องยาก… ไคลน์กลั้นยิ้ม ส่งเฮเซลกลับไปยังริมฟลอร์เต้นรำ จุดเดิมที่เธอเคยยืน
สำหรับมัน แน่นอนว่าต้องเดินไปยังโต๊ะยาวที่เต็มไปด้วยอาหารหลากหลายชนิด หยิบจานขึ้น ตักเนื้อปลากระดูกมังกร ตักสเต๊กเนื้อลูกวัวหั่นเต๋าและราดด้วยซอสพริกไทยดำ
เมื่อเทียบกับการเต้นรำและเข้าสังคม อาหารต่างหากที่เป็นส่วนสำคัญของงานเลี้ยง… ไคลน์รำพันติดตลก พลางบังคับร่างกายให้มีท่วงท่าสง่างามที่สุด
ทันใดนั้น ชายหนุ่มเห็นมาดามแมรี่เดินเข้ามาใกล้ คีบฟัวกราส์ราดไวน์แดงใส่จาน
ไคลน์เห็นอีกฝ่ายกำลังมองมาทางตน จึงยิ้มรับและพยักหน้าอย่างสุภาพ เป็นการตอบสนองตามมารยาท
“ดิฉันควรเรียกคุณว่าอย่างไรหรือคะ? จากทุกงานเลี้ยงและงานเต้นรำที่ส.ส. มัคท์จัดขึ้น ดิฉันไม่เคยเห็นคุณมาก่อน” อาจเป็นเพราะดอน·ดันเตส สุภาพบุรุษเจ้าของจอนสีขาว มีดวงตาสีน้ำเงินเข้มและหน้าตาหล่อเหลา มาดามแมรี่ผู้มีหน้าตาค่อนข้างธรรมดาและโหนกแก้มสูงจึงทักทายอย่างกระตือรือร้น
ไคลน์ยิ้มและตอบ
“ผมดอน·ดันเตส นักธุรกิจที่เพิ่งย้ายมาจากอ่าวเดซีย์ อาศัยอยู่ในละแวกนี้… มาดาม ขอเสียมารยาทถามชื่อได้ไหมครับ?”
แมรี่พยักหน้าครุ่นคิด เริ่มตระหนักว่าสุภาพบุรุษตรงหน้าคือนักธุรกิจที่พยายามไต่เต้าเพื่อให้ได้เป็นชนชั้นสูง เฉกเช่นตัวเธอในอดีต
หญิงสาวยิ้มและตอบ
“แมรี่·ช็อตต์ กรรมการผู้จัดการบริษัทโคอิม”
เธอไม่ได้แนะนำตัวว่าเป็นผู้ถือหุ้นอันดับหนึ่งของบริษัทโคอิม และไม่ได้แนะนำตัวว่าเป็นหนึ่งในคณะกรรมการมลพิษทางอากาศแห่งชาติ นี่คือมารยาทการสนทนาทางอ้อมของชาวโลเอ็น
แมรี่·ช็อตต์… กลับมาใช้นามสกุลบิดา? นั่นสินะ เธอหย่ากับสามีแล้ว… ไคลน์พึมพำ ตามด้วยยิ้ม
“ผมรู้จักบริษัทนี้ ธุรกิจหลักเกี่ยวกับถ่านแอนทราไซต์และถ่านคุณภาพสูง หึหึ… ด้วยความสัตย์จริง ผมเคยตั้งใจที่จะลงทุน แต่ดูเหมือนว่าจะแข่งราคากับคนอื่นไม่ไหว”
หลังจากร่างกฎหมายเกี่ยวกับมลพิษอากาศผ่านเข้าสภา ความต้องการถ่านแอนทราไซต์และถ่านคุณภาพสูงก็เพิ่มขึ้น บริษัทโคอิมจึงเติบโตขึ้นจากปีก่อนๆ จากการทำงานอย่างหนัก มูลค่าโดยรวมถูกประเมินให้สูงกว่าสองแสนห้าหมื่นปอนด์ไปแล้ว การลงทุนของไคลน์จึงไม่ใช่แค่ลมปาก แต่ชายหนุ่มรู้สึกจริงๆ ว่าธุรกิจประเภทนี้ยังเติบโตไปได้อีกไกล จนกว่ามนุษย์จะค้นพบแหล่งพลังงานทางเลือก
แมรี่เป็นคนผลักดันให้กฎหมายมลพิษทางอาการเข้มงวดขึ้น จึงไม่ผิดนักที่จะกล่าวว่า เธอคือคนที่ทำให้บริษัทโคอิมเติบโตอย่างก้าวมากับมือ เมื่อได้ยินคำชมเชยจึงเผยรอยยิ้ม
“นั่นเพราะทุกคนเริ่มให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาอาศัย”
กล่าวจบ หญิงสาวถอนหายใจเล็กน้อย
“แต่ยิ่งเติบโต ปัญหาก็ยิ่งตามมา”
เนื่องจากเพิ่งได้พบกัน ‘เมื่อครู่’ ไคลน์จึงไม่ได้ถามว่าปัญหาคืออะไร เพียงอาศัยประโยชน์จากการที่รู้จักแมรี่มาก่อน การชวนคุยในหัวข้ออื่นๆ จึงเป็นเรื่องง่าย ทั้งสองยืนคุยกับอย่างสนุกสนาน
หึหึ… ทัศนคติที่เธอมีต่อดอน·ดันเตส แตกต่างจากเชอร์ล็อก·โมเรียตี้โดยสิ้นเชิง… ถึงจะเคยเป็นคนรู้จักกัน แต่เมื่อเปลี่ยนใบหน้าและตัวตนเป็นคนใหม่ ได้รับการปฏิบัติอีกหนึ่งรูปแบบ กลับรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด… ขณะสนทนา ไคลน์ถอนหายใจ ตระหนักว่าโอสถ ‘ผู้ไร้หน้า’ ของตนย่อยไปได้อีกขั้นหนึ่ง
ไม่กี่นาทีถัดมา บุรุษรูปงามเจ้าของเส้นผมสีทองสลวย เดินเข้ามาพร้อมไวน์แดงหนึ่งแก้ว ยิ้มให้มาดามแมรี่
“แมรี่ คุณกำลังคุยเรื่องอะไรอยู่หรือ”
“ฮิบเบิร์ต ทางนี้คือมิสเตอร์ดอน·ดันเตสจากอ่าวเดซีย์ ประสบการณ์ของเขาทั้งในไบลัมตะวันออกและทะเลล้วนน่าสนใจมาก” แมรี่แนะนำคนทั้งสองให้รู้จักกัน “ดอน ทางนี้คือมิสเตอร์ฮิบเบิร์ต·ฮอลล์ บุตรชายคนโตของเอิร์ลแห่งเชสเตอร์ตะวันออก ฮุฮุ อันที่จริง พวกเราควรเรียกเขาว่าท่านลอร์ด แต่เขาต้องการให้เรียกว่าท่านเลขานุการใหญ่มากกว่า ตอนนี้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าเลขานุการของคณะกรรมการมลพิษทางอากาศแห่งชาติ”
ผมเคยได้ยินคุณเล่าให้ฟังแล้ว… แน่นอน นั่นเป็นตอนที่อยู่ในตัวตนเชอร์ล็อก·โมเรียตี้… เอิร์ลแห่งเชสเตอร์ตะวันออก… ขุนนางใหญ่ตัวจริงเสียงจริง แถมยังเป็นอันดับต้นๆ ของอาณาจักร… ไคลน์ทักทายอย่างสุภาพ แต่ไม่ถ่อมตัว
“ผมขอถือวิสาสะแสดงความขอบคุณในฐานะสามัญชนคนหนึ่ง การทำงานของคณะกรรมการสอบสวนมลพิษทางอากาศแห่งชาติ ช่วยให้พวกเราทุกคนมีสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น”
ฮิบเบิร์ต·ฮอลล์รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับคำขอบคุณจากใจ จึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ต้องขอบคุณความพยายามของพวกเราทุกคน”
แมรี่ด้านข้างยิ้ม
“ดอน อย่าพูดแบบนั้นอีก สิ่งนี้จะทำให้ฮิบเบิร์ตเหลิง… ฮุฮุ… ฉันล้อเล่น ฮิบเบิร์ตเป็นสุภาพบุรุษที่ถ่อมตนกว่าทายาทขุนนางคนใดที่ฉันเคยรู้จัก อันที่จริง ตอนนี้ฮิบเบิร์ตควรจะได้พักผ่อนในแคว้นเชสเตอร์ตะวันออกซึ่งเป็นที่ดินของตระกูล ได้ล่าสัตว์กับกลุ่มเพื่อน แต่หลังจากที่ฉันส่งโทรเลขไปแจ้งว่า ส.ส. มัคท์เชิญพวกเราเข้าร่วมงานเลี้ยง เขาก็รีบกลับมาทันที”
“ไม่ใช่แค่งานเลี้ยงนี้ ยังมีหลายสิ่งที่ผมต้องจัดการให้เสร็จ และไม่ใช่แค่ผม แต่บิดาของผม ท่านเอิร์ลฮอลล์ มักเดินทางไปมาระหว่างเบ็คลันด์และดินแดนของตระกูลเพื่อทำงานอย่างหนักเสมอ” ฮิบเบิร์ตอธิบายอย่างจริงจัง
เป็นสุภาพบุรุษที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ทางสังคมมาก… ไคลน์ประเมินเบื้องต้น
ได้ยินเช่นนั้น แมรี่ถามอย่างเป็นกันเอง
“ยังมีอะไรต้องทำอีกหรือ? แล้วคุณจะออกจากเบ็คลันด์เมื่อไร?”
“เรื่องอื่นถูกจัดการหมดแล้ว เหลือเพียงเรื่องสุดท้าย… หึหึ ออเดรย์ น้องสาวของผม เธอสนใจหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทเบ็คลันด์จักรยานมาก ลงทุนจ้างทีมงานมืออาชีพมาช่วยเจรจาโดยเฉพาะ ส่วนผมเป็นคนคอยประสานงานให้” ฮิบเบิร์ตเล่าโดยไม่คิดอะไรมาก
หุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทเบ็คลันด์จักรยาน? ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้… ไม่สิ คงต้องบอกว่า แวดวงชนชั้นสูงช่างคับแคบ.. ไคลน์ถอนหายใจกับตัวเอง กล่าวอย่างจงใจ
“ผมเองก็เคยตั้งทีมเจรจาเพื่อซื้อหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทจักรยานเหมือนกัน แต่เพดานของผมคือเก้าพันปอนด์ น่าเสียดายที่แข่งกับคนอื่นไม่ไหว ทำได้แค่ยอมถอนตัว”
ฮิบเบิร์ตจ้องชายหนุ่มด้วยสีหน้าค่อนข้างประหลาดใจ
“สายตาของคุณเฉียบแหลมไม่เบา”
มันไม่ได้เล่าถึงข้อเสนอฝั่งตัวเอง ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายกลับมาประมูลแข่ง
เก้าพันปอนด์… แมรี่พึมพำเงียบ เริ่มตระหนักว่าเธอประเมินความร่ำรวยของดอน·ดันเตสต่ำไป
ทันใดนั้น บทเพลงที่สามได้ดังจากฟลอร์เต้นรำ ฮิบเบิร์ต·ฮอลล์จึงหันไปหาแมรี่
“ช่วยเป็นเกียรติมาเป็นคู่เต้นของผมได้ไหม”
“ดิฉันกำลังรออยู่พอดี” แมรี่ยื่นมือออกไปหา
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้แผนแลกเปลี่ยนนามบัตรของไคลน์ล้มเหลว อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มไม่รีบร้อน เพราะงานเลี้ยงยังอีกยาวไกล
หลังจากตักอาหารมากินอีกหนึ่งจาน มันกินอย่างเอร็ดอร่อยพลางนั่งชมเหตุการณ์ภายในฟลอร์เต้นรำ โดยเฉพาะการขยับร่างกายของบรรดาสาวๆ
ระหว่างนี้ ไคลน์พบว่าส.ส. มัคท์และมาดามลีอานน่าคอยสนทนากับแขกมากหน้าหลายตาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม บางรายก็เป็นคู่เต้นรำ
ตามที่วอลเตอร์เล่าให้ฟัง หลังจากยืนยันรายชื่อแขกทั้งหมด เจ้าภาพต้องสรุปความชอบและปูมหลังของแขกแต่ละคนให้ได้ คิดบทพูดและมุกตลกที่แตกต่างออกไป ให้ทุกคนรู้สึกว่าพวกเขาถูกปฏิบัติเป็นพิเศษ… การสนทนาในหมู่ชนชั้นสูงของชาวโลเอ็นช่างวุ่นวาย… หึหึ… นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้หน้าผากของสุภาพบุรุษโลเอ็นมักเถิกกว่าปรกติ… ไคลน์ถอนหายใจ จิกกัดฝ่ายเดียว
ชายหนุ่มถอนสายตากลับ มองไปที่จานอาหารอันว่างเปล่า คิดอย่างจริงจังว่าจะเอายังไงต่อ จะชวนสตรีเต้นรำหรือตักมากินเพิ่ม
ทันใดนั้น จากมุมสายตา ไคลน์เห็นเฮเซล·มัคท์ อีกฝ่ายกำลังเดินขึ้นไปยังชั้นสามด้วยท่าทางค่อนข้างรีบ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น