Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 745-758

 ราชันเร้นลับ 745 : ความรู้มีค่าดั่งเงินทอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในที่สุด… เมื่อการเจรจาบรรลุผล ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก รู้สึกว่าความกดดันในร่างกายลดลงหลายส่วน


แม้ว่ามิสผู้ส่งสารจะบอกว่าหนี้สินจำนวนหนึ่งหมื่นเหรียญทองสามารถผ่อนชำระได้ แถมยังไม่มีเส้นตายกำหนด แต่ไคลน์ก็ไม่อยากประวิงเวลานานเกินไป กังวลว่าไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์อาจจะโกรธเคือง


อีกฝ่ายเป็นถึงสัตว์วิญญาณระดับครึ่งเทพ หากโมโหขึ้นมา แม้จะมีพันธสัญญาคอยผูกมัดอยู่ แต่เธอก็มีวิธีการมากมายที่จะทำให้นายจ้างต้องตกที่นั่งลำบาก!


นอกจากนั้น การปลอมตัวเป็นเศรษฐีช่างสิ้นเปลือง เงินเดือนและค่าใช้จ่ายของคนรับใช้ร่วมยี่สิบชีวิตเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของรายจ่ายทั้งหมด เพราะยังต้องมีค่ารถม้า เครื่องดื่ม ของขวัญให้เพื่อนบ้าน ค่าใช้จ่ายในงานเลี้ยง ค่าใช้จ่ายในการปกปิดสถานะ หากไม่สำรองเงินสดเตรียมไว้ เกรงว่าอาจได้ล้มละลายเข้าสักวัน


เฮ่อ… หกพันห้าร้อยปอนด์บวกกับเงินสดที่มีในปัจจุบัน จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายได้ไหม? ไม่น่าไหว… ประสบการณ์ตลอดสองสามวันที่ผ่านมาได้บอกกับเราว่า ห้ามใช้สามัญสำนึกทั่วไปในการวัดความฟุ่มเฟือยของบรรดาเศรษฐี บางที เราอาจต้องหาเงินเพิ่มอีกห้าถึงหกพันปอนด์… ไคลน์อยากยกมือขึ้นลูบขมับ แต่สุดท้ายก็ยับยั้งชั่งใจ


ชายหนุ่มขจัดอารมณ์ด้านลบ บังคับเดอะเวิร์ลมองไปรอบตัวพลางยิ้ม


“ชิ้นที่สองมีชื่อว่า ‘ขวดพิษชีวภาพ’ ”


ไคลน์ใช้ภาษาสั้นกระชับในการอธิบายจุดเด่นของขวดแก้วสีน้ำตาล เน้นย้ำไปที่ความสามารถด้านการปล่อยพิษอันหลากหลาย ช่วงเวลาก่อนการออกฤทธิ์ วิธีต้องกันตัวเองล่วงหน้า และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น


เมื่อฟังจบ ‘จัสติส’ ออเดรย์พลันเย็นสันหลัง เจือความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ความรู้สึกแรกเกิดขึ้นหลังจากจินตนาการภาพคนใช้เล็บข่วนใบหน้าตัวเองจนเลือดออก ส่วนความรู้สึกที่สองเกิดจากการจินตนาการฉากวาบหวิว รวมถึงผลลัพธ์ที่ช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ


เป็นสมบัติวิเศษที่บ้าคลั่งสิ้นดี… อา… เป็นประเภทที่ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าจึงจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด… ค่อนข้างเหมาะกับเส้นทาง ‘ผู้ชม’ โดยเฉพาะผู้ชมที่มีลำดับต่ำ หากสามารถอ่านใจเบื้องต้นและพบว่าศัตรูกำลังจะลงมือ ขวดพิษชีวภาพจะช่วยให้รับมือได้ง่ายขึ้น แถมยังสามารถตอบโต้กลับไป… แต่สำหรับเรา ของแบบนี้อาจไม่จำเป็น ถ้าพบว่ามีความผิดปรกติเกิดขึ้น แค่เรียกให้บอดี้การ์ดมาช่วยก็พอ… เหนือสิ่งอื่นใด เราไม่ชอบผลลัพธ์ของมันเลย! บางที เราอาจจะเผลอทำร้ายตัวเองอย่างน่าสยดสยอง! ออเดรย์ ตอนนี้เธอโตแล้วนะ ไม่ต้องซื้อทุกอย่างที่เห็นก็ได้! หญิงสาวครุ่นคิดสักพัก ตัดสินใจไม่ถามราคา


เมื่อเห็นจัสติสไม่กล่าวคำใด ไคลน์บังคับให้เดอะเวิร์ลเสริม


“ห้าพันสองร้อยปอนด์”


‘จัสติส’ ออเดรย์เม้มปาก ส่ายหน้าอย่างสุภาพ


“ดิฉันอยากได้สมบัติวิเศษในเชิงโจมตีมากกว่า”


ลำดับต้นๆ เส้นทางผู้ชมยังขาดพลังสำหรับประจันหน้าศัตรู ทำได้แค่สร้างอิทธิพลและควบคุมกระแสความเคลื่อนไหว


“ห้าพันสองร้อยปอนด์…” ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์ส และ ‘เดอะมูน’ เอ็มลินทวนคำซ้ำ ไม่มีใครกล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม


“ห้าพันสองร้อยปอนด์…” คล้ายกับ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียากำลังครุ่นคิดบางอย่าง แต่จู่ๆ เธอก็ชะงักและรีบปฏิเสธ “ไม่จำเป็นสำหรับฉัน”


ดูเหมือนว่า มาดามเฮอร์มิทกำลังหวาดกลัวบางสิ่ง… ‘จัสติส’ ออเดรย์พยายามอ่านอารมณ์ของอีกฝ่าย


ในเสี้ยววินาทีเมื่อครู่ แคทลียารู้สึกว่า ‘ขวดพิษชีวภาพ’ น่าจะเข้ากันได้ดีกับ ‘ผู้เชี่ยวชาญพิษ’ แฟรงค์·ลี นอกจากจะไม่ซ้อนทับกับพลังในเส้นทาง ยังช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกัน เธอลังเลว่าจะซื้อให้รองกัปตันของตนดีไหม เพราะปัจจุบันมีเงินเก็บค่อนข้างเหลือเฟือ แต่พลังจากพิจารณาว่า แฟรงค์·ลีสามารถนำขวดพิษชีวภาพไปทำการทดลองพิสดารได้มากมาย แคทลียาพลันสั่นกลัวอย่างเหนือคำบรรยาย ล้มเลิกความคิดดังกล่าวทันที


เธอไม่อยากเห็นดาดฟ้าอนาคตกาลเต็มไปด้วยทายาทของลูกเรือที่คอยส่งเสียงร้องมอๆ!


จนการชุมนุมเมื่อไร เราต้องเขียนจดหมายบอกกับชารอนว่า สร้อยของพลเรือเอกโลหิตถูกขายไปแล้ว เหลือแค่ขวดพิษชีวภาพ… ไคลน์ปกปิดความผิดหวัง บังคับให้เดอะเวิร์ลพูดหลังจากไตร่ตรอง


“นอกจากนั้น ผมต้องการขาย ‘หนังสือแห่งความลับ’ เป็นหนังสือศาสตร์เร้นลับที่ ‘ราชาหมอผี’ คารามันแห่งทวีปใต้เหลือทิ้งไว้ เหมาะสำหรับผู้วิเศษขั้นกลางที่มีพื้นฐานดี… ราคาหนึ่งพันปอนด์”


ความรู้เปรียบดังเงินทอง!


‘จัสติส’ ออเดรย์ที่ถูกมิสเตอร์ฟูล สมาชิกชุมนุมทาโรต์ และสมาคมแปรจิตถ่ายทอดความรู้มาเป็นเวลานาน เริ่มเกิดความสนใจ


ปัจจุบัน พื้นฐานศาสตร์เร้นลับของเธอมั่นคงมาก เป็นเรื่องปรกติที่อยากจะศึกษาเนื้อหาขั้นสูง


ถึงแม้ในภายหลัง สมาคมแปรจิตจะสอนเนื้อหาขั้นสูงให้เรา แต่ก็คงไม่ครอบคลุมในทุกด้าน ขอบเขตคงหนีไม่พ้นเรื่องของจิต… ออเดรย์โน้มน้าวตัวเองและพยักหน้า


“ดิฉันต้องการ”


‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สเองก็สนใจมากเช่นกัน แต่เมื่อหวนนึกถึงสภาวะการเงินในปัจจุบัน เธอทำได้เพียงปิดปากเงียบ ส่วนสมาชิกคนอื่นล้วนมีความรู้ในระดับค่อนข้างสูงอยู่แล้ว


สมกับเป็นมิสจัสติส ไม่มีการต่อราคา… ขีดจำกัดขั้นต่ำของเราคือแปดร้อยปอนด์… ไม่สิ… ไม่มีขีดจำกัดมากกว่า… หนังสือประเภทความรู้จะขายซ้ำสักกี่ครั้งก็ได้… ไคลน์บังคับให้เดอะเวิร์ลหัวเราะในลำคอ


“ตกลง… แต่ผมขอเตือนไว้ก่อน ห้ามสวดวิงวอนถึงดวงจันทร์บรรพกาลเด็ดขาด การทำแบบนั้นจะส่งผลให้คุณกลายเป็นเศษเนื้อยุบพองที่เอาแต่ผสมพันธุ์กับสัตว์ต่างสายพันธุ์อย่างเร่าร้อนและไม่เลือกหน้า ให้กำเนิดทายาทมากมาย… แน่นอน ผมหมายถึงการสวดวิงวอนถึงสิ่งมีชีวิตลึกลับทุกชนิด ทั้งหมดล้วนอันตรายไม่ต่างกัน”


‘จัสติส’ ออเดรย์เผยท่าทีตกใจ อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนท่านั่ง


เธอเริ่มสงบลง มองไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว กลัวด้วยเสียงหนักแน่น


“ทุกครั้งที่ประกอบพิธีกรรม ดิฉันจะสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลเพียงผู้เดียว”


ออเดรย์กล่าวด้วยความจริงใจ ไม่มีคำใดเป็นเท็จ


มิสจัสติสชื่นชมและเชื่อมั่นเดอะฟูลอย่างมาก… ไคลน์รู้สึกซาบซึ้ง แต่ขณะเดียวกันก็ละอายใจ เพราะคทาเทพสมุทรไม่ครอบคลุมไปถึงขอบเขตของดวงจันทร์บรรพกาล ในพิธีกรรมบางอย่างที่หนังสือระบุ ตนไม่สามารถตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำได้เพียงระดมพลังวิญญาณภายในมิติหมอกเพื่อตอบสนอง


เดอะฟูลแสดงความเห็นเล็กน้อย


“ดีมาก”


ถัดมา เมื่อบรรลุเป้าหมายแรก ไคลน์บังคับให้เดอะเวิร์ลกล่าวด้วยท่าทีผ่อนคลาย


“นอกจากนั้น ผมต้องการขายตะกอนพลัง ‘นักสอบสวน’ … ราคาหนึ่งพันสองร้อยปอนด์”


…คิดจะขายกี่อย่าง? ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สเผยสีหน้าตกตะลึง


เมื่อพิจารณาว่าเงินเก็บของซิลยังห่างไกลจากราคา แถมยังขาดสูตรผลิตโอสถ เธอจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน


และฟอร์สก็ไม่คิดว่าข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูลรายนี้จะยอมให้เธอ ‘จอง’ สินค้าเอาไว้เป็นเวลานาน


เมื่อเห็นว่าไม่มีการตอบสนอง เดอะเวิร์ลกระแอม


“ผมจบแล้ว”


เมื่อสิ้นเสียง ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ที่รอโอกาสอยู่ หันไปมองแคทลียาและพูด


“ผมอยากทราบว่าสัตว์ทะเลอ็อบนิสที่ไม่ได้อยู่ในความควบคุมของโบสถ์วายุสลาตัน อาศัยในแถบใดบ้าง”


สัตว์ทะเลอ็อบนิสที่ไม่ได้อยู่ในความควบคุมของโบสถ์วายุสลาตัน? มิสเตอร์แฮงแมนไม่ใช่คนของโบสถ์วายุสลาตันหรอกหรือ? แคทลียาขมวดคิ้ว


“ฉันจะช่วยสอบถามข้อมูลให้ ไว้พบเบาะแสค่อยมาคุยกันเรื่องราคา”


“ตกลง” อัลเจอร์หายใจออกแผ่วเบา


ความเงียบงันปกคลุมโต๊ะทองแดงยาวสองสามวินาที ‘เดอะมูน’ เอ็มลินเห็นดังนั้นจึงหันไปทาง ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์ส


“ค่าเบาะแสจำนวนหนึ่งร้อยปอนด์ ผมจะจ่ายให้คุณภายในวันนี้”


“ขอบคุณ” ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สตอบหน้านิ่ง


เธอยังคงเมาหมัดจากราคาสินค้าของมิสเตอร์เวิร์ลที่มีมูลค่าหลายพัน หลายหมื่นปอนด์


‘เดอะมูน’ เอ็มลินหันไปมอง ‘เดอะซัน’ เดอร์ริค


“ผลึกรากของต้นคนชราและวัตถุดิบเสริมที่เจ้าต้องการ ข้าได้มาแล้ว… ส่งรายชื่อสัตว์ประหลาดและทรัพยากรรอบๆ เมืองเงินพิสุทธิ์มา ข้าจะได้เลือกสิ่งของที่มีมูลค่าเท่ากันมาแลกเปลี่ยน… ในส่วนของราคา วัตถุดิบทั้งหมดมีมูลค่าสองพันปอนด์ บวกค่าเสียเวลาของข้าอีกสองร้อยปอนด์ รวมทั้งสิ้นสองพันสองร้อยปอนด์”


เอ็มลินต้องการสินค้าที่สามารถปล่อยออกไปได้ง่าย เปลี่ยนเป็นเงินได้รวดเร็ว ไม่อย่างนั้นเงินของตนอาจขาดมือ


“ตกลง… เอ่อ… ขอบคุณครับ มิสเตอร์มูน” ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคกำลังดีใจ เพราะสัมผัสได้ว่ามิสเตอร์มูนไม่ได้แสดงความรำคาญ


เด็กหนุ่มเขียนรายชื่อของทรัพยากรที่เกี่ยวข้อง ส่งไปให้เอ็มลิน


เอ็มลินพลิกอ่านอย่างคร่าวๆ ทันใดนั้นก็เริ่มตระหนักถึงความผิดปรกติ


มันพบว่า ลำพังข้อมูลรายชื่อวัตถุดิบเหล่านี้ก็มีค่าไม่น้อยแล้ว เนื่องจากเป็นสิ่งที่สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันโดยละเอียดรอบๆ เมืองเงินพิสุทธิ์


เป็นข้อมูลที่ ‘ควรจะ’ เสียเงินเพื่อให้ได้เห็น!


แต่เท่าที่เราจำได้… คนอื่นก็ไม่ได้จ่ายเงินเวลาขอดูรายการเหมือนกัน… ‘เดอะมูน’ เอ็มลินอดไม่ได้ที่จะชำเลือง ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์และ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียา


ทันใดนั้น คล้ายกับมันเข้าใจบางสิ่ง


เมื่อมองกลับไปที่เดอะซันอีกครั้ง เอ็มลินเริ่มรู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายเหนือกว่า แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดในใจ จึงส่งเสียงกระแอมในลำคอและกล่าว


“เอาอันนี้ อันนี้ แล้วก็อันนี้”


‘เดอะซัน’ เดอร์ริคตั้งใจจดจำรายการทั้งหมด พร้อมกับแจ้งว่าตนสามารถรวบรวมวัตถุดิบได้ทันทีโดยไม่ต้องกลับไปที่เมืองเงินพิสุทธิ์


ถัดมา ‘จัสติส’ ออเดรย์สอบถามเบาะแสเกี่ยวกับผลของต้นกระดิ่งลมหลอนประสาท แต่ก็ต้องผิดหวังกับคำตอบที่ได้รับ


ช่วงเวลาค้าขายสิ้นสุดลงตรงนี้ โดยไม่ต้องรอให้ ‘เดอะฟูล’ ไคลน์ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ละคนเริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาสนทนาอิสระ


‘แฮงแมน’ อัลเจอร์หันไปทางเดอะซันน้อย


“คุณยังอยู่ในหมู่บ้านยามบ่าย?”


“ถูกต้อง แต่ผมกำลังจะเดินทางกลับเมืองเงินพิสุทธิ์ ทีมสำรวจชุดใหม่มาผลัดเวรแล้วในวันนี้” ‘เดอะซัน’ เดอร์ริค ไม่เพียงจะตอบในสิ่งที่แฮงแมนถาม แต่ยังอธิบายด้วยความเต็มใจ “ผมบอกกับท่านเจ้าเมืองไปว่า ขณะกำลังกวาดล้างสัตว์ประหลาดรอบหมู่บ้านยามบ่าย ผมบังเอิญได้พบสูตรโอสถ ‘ผู้รับรอง’ ”


แฮงแมนพยักหน้ารับ


“แล้วเขามีท่าทีอย่างไร”


“ท่านเจ้าเมืองตอบมาแค่… ‘ดีมาก’ ” ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคเล่าด้วยสีหน้าขึงขัง


‘แฮงแมน’ หัวเราะในลำคอ


“สบายใจได้ เจ้าเมืองของคุณอยากเห็นคุณมีพัฒนาการที่รวดเร็ว เพราะนั่นจะช่วยถ่วงดุลอำนาจกับ ‘คนเลี้ยงแกะ’ ในสภาอาวุโส”


มันไม่สานต่อหัวข้อสนทนาเดิม แต่บอกกล่าวไปยังสมาชิกทุกคน


“เมื่อไม่นานมานี้ มีโจรสลัดจำนวนมากไปเยือนท่าเรือแบนชีและพบเพียงซากปรักหักพังกับความพินาศย่อยยับ… ถึงจะกำลังก่อสร้างใหม่ แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม”


ราชันเร้นลับ 746 : ในคืนเดียวกัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากได้ยินคำพูดของแฮงแมน ไคลน์อดไม่ได้ที่จะนึกถึง ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซีอีกครั้ง รวมไปถึงวิญญาณมารในซากอาคารใต้ดิน


อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มไม่ได้แบ่งปันผลการสำรวจให้สมาชิกทราบ ประการแรก เรื่องนั้นไม่มีความจำเป็น และประการที่สอง ข้อมูลดังกล่าวเกี่ยวข้องกับชารอน


สำหรับสมาชิกคนอื่น ทุกคนได้ทราบข่าวคราวความพินาศของท่าเรือแบนชีไปแล้วในสัปดาห์ก่อน ข้อมูลของแฮงแมนจึงไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นธรรมดาที่จะไม่มีใครตอบสนอง


เมื่อเห็นทุกคนเงียบ อัลเจอร์ชำเลือง ‘เดอะเวิร์ล’ ก่อนจะดึงสายตากลับ กล่าวอย่างใจเย็น


“ของผมจบแค่นี้”


‘เฮอร์มิท’ แคทลียารีบหันไปมอง ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์ส


“คุณผู้หญิง คุณรู้อะไรเกี่ยวกับมิสเตอร์ประตูบ้าง? ฉันยินดีจ่ายค่าตอบแทนอย่างเหมาะสม”


ฟอร์สที่ไม่อยากเปิดเผยปัญหาของตัวเองสักเท่าไร เริ่มหลังลังเลเมื่อได้ยินประโยคหลัง นั่นเป็นคำขอร้องที่ยากปฏิเสธ


ค่าตอบแทน… เราไม่รู้ว่ามาดามเฮอร์มิทจะจ่ายหนักแค่ไหน… และเราก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับมิสเตอร์ประตูมากนัก… บางส่วนมาจากคำบอกเล่าของมิสเตอร์ฟูล… ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สมองไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว


“มิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ดิฉันเล่าได้ไหมคะ?”


เนื่องจากคนทั้งสองมีโอกาสได้พบกันในทุกคืนจันทร์เต็มดวง ไคลน์จึงทราบว่าสภาวะทางการเงินของมิสเมจิกเชี่ยนไม่สู้ดีนัก จึงยิ้มและพยักหน้า


“เชิญ”


ฟอร์สถอนหายใจโล่งอก หันไปทาง ‘เฮอร์มิท’ แคทลียา


“ห้าร้อยปอนด์ ฉันจะขอให้มิสเตอร์ฟูลช่วยสร้างการสนทนาส่วนตัว”


แคทลียาไม่ต่อรอง ไตร่ตรองสักพักและกล่าว


“ไม่จำเป็น คุณเล่าได้เลย”


เธออยากให้สมาชิกคนอื่นได้ยินคำบอกเล่าจากมิสเมจิกเชี่ยน เพราะอาจมีใครสักคนฉุกคิดถึงเบาะแสของมิสเตอร์ประตูได้เพิ่มเติม


ฟอร์สพยักหน้า เรียบเรียงคำพูดสักพัก


“ครั้งหนึ่งฉันเคยได้รับสมบัติวิเศษที่ช่วยให้ผู้คนเดินทางผ่านโลกวิญญาณ แต่หลังจากการใช้งานไปหนึ่งครั้ง เมื่อใดก็ตามที่พระจันทร์เต็มดวงหรือกลายเป็นจันทราโลหิต ฉันจะได้ยินเสียงเพรียกแปลกประหลาดซึ่งทำให้เกิดความเจ็บปวดแสนสาหัสจนแทบจะคลุ้มคลั่ง… จากคำบอกเล่าของมิสเตอร์ฟูล เสียงเพรียกเหล่านั้นเป็นของมิสเตอร์ประตู”


หญิงสาวเว้นวรรค กล่าวเสริม


“เขาคงกำลังขอความช่วยเหลือ”


ความจริงแล้ว ฟอร์สแอบทุกข์ทรมานอย่างลับๆ มาตลอด… แต่เธอไม่เคยแสดงออกในยามปรกติ ทำตัวสนุกสนานกับชีวิต… ‘จัสติส’ ออเดรย์เกิดความเห็นอกเห็นใจโดยไม่รู้ตัว ขณะเดียวกัน พลังผู้ชมของเธอไม่พบความผิดปรกติในคำพูดอีกฝ่าย


สมบัติวิเศษที่ช่วยให้สามารถท่องโลกวิญญาณ… เสียงเพรียกในยามพระจันทร์เต็มดวง… คาดว่าน่าจะเป็นการร้องขอความช่วยเหลือ… ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาทบทวนใจความสำคัญของเมจิกเชี่ยน พยักหน้าอย่างพึงพอใจ


“ขอบคุณสำหรับคำอธิบาย”


จากนั้น สายตาของเธอกวาดไปทางสมาชิกคนอื่นๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครตอบสนองเพิ่มเติม


ช่วงเวลาแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระดำเนินต่อไปจนกระทั่งจบลงอย่างราบรื่น


หลังจากเฝ้ามองสมาชิกจากไปทีละคน และช่วยให้บางคนบรรลุการแลกเปลี่ยนสินค้า ไคลน์ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง นั่งบนเก้าอี้เอนหลังด้วยสีหน้าผ่อนคลาย แน่นิ่งไปพักใหญ่


จากนั้น ชายหนุ่มเดินไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ นำกระดาษและปากกาออกมาวาง เขียนถึงชารอน บอกอีกฝ่ายว่าสร้อยคอนำโชคถูกขายออกไปแล้ว เหลือเพียงขวดพิษชีวภาพและตะกอนพลังของ ‘คนบ้า’


พับกระดาษเสร็จ หลังจากเขียนข้อมูลถึงมาดามมาเรีย บ้านเลขที่ 126 ถนนการ์ด เขตฮิลสตัน ไคลน์เปิดกล่องบุหรี่เหล็ก ปล่อยให้ ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลปรากฏตัวด้านข้างอย่างเงียบงัน


วิญญาณอาฆาตตนนี้ทำตัวราวกับคนรับใช้ หยิบจดหมายจากบนโต๊ะอย่างสุภาพ หายตัวไปจากห้อง


ณ ตู้ไปรษณีย์ที่ห่างออกไปไม่กี่ช่วงตึก จดหมายฉบับหนึ่งโผล่ขึ้นจากอากาศอันว่างเปล่า ตกลงไปยังก้นตู้



แคว้นเชสเตอร์ตะวันออก ภายในปราสาทตระกูลฮอลล์


ออเดรย์จ้องกระจกเงาด้วยสายตาเหม่อลอย สิ่งที่กำลังก้องกังวานในใจคือเนื้อหาของ ‘หนังสือแห่งความลับ’


ความรู้จำนวนมากถูกอัดแน่นอยู่ในหนังสือมายา หากออเดรย์ต้องการ เพียงแค่เธอนึกถึง หนังสือจะปรากฏตัวขึ้นและเปิดไปยังหน้าที่สอดคล้องกัน


ไคลน์ได้ระดมพลังบางส่วนของมิติหมอก ควบแน่นกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากพลัง ‘เรียกความทรงจำ’ ของ ‘นักทำนาย’ และพลังในการ ‘โอนถ่ายข้อมูล’ ของพิธีกรรม หนังสือมายาเล่มนี้มีอายุการใช้งานราวสองสัปดาห์


ในช่วงเวลาดังกล่าว ออเดรย์สามารถอ่าน ‘หนังสือแห่งความลับ’ จนจบได้ไม่ยาก และถ้าในภายหลังเกิดหลงลืมส่วนใดไป เธอก็แค่สวดวิงวอนถึงเดอะฟูล


“ดูเหมือนว่า มิสเตอร์ฟูลจะฟื้นตัวได้เร็วมาก…” ออเดรย์ครุ่นคิดด้วยสีหน้ายินดี ดวงตาเริ่มคืนความสดใส


หญิงสาวลุกขึ้น เดินตรงไปที่ประตู ยิ้มให้กับสุนัขโกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่ซึ่งนั่งอยู่นอกห้องด้วยท่าทางเบื่อหน่าย


“ซูซี่ ในท่านี้ เธอยังเป็นกุลสตรีไม่มากพอ”


ซูซี่เหลียวซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวัง ฟุดฟิดจมูกเล็กน้อยก่อนจะพูด


“นี่เป็นท่าพื้นฐานของสุนัขล่าเนื้อ”


แต่เธอเป็นสุนัขล่าเนื้อตกเกรดนะ… ออเดรย์รำพันติดตลก พูดพลางยิ้ม


“ฉันนึกว่าเธอจะตอบว่า ออเดรย์ ฉันเป็นแค่สุนัข~ เสียอีก”


ซูซี่ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง


“คำพูดที่จำเจเกินไป จะทำให้ผู้อื่นคาดเดาอุปนิสัยและพฤติกรรมทางจิตวิทยาของเราได้ง่าย… ออเดรย์ เรื่องพวกนี้ถูกเขียนไว้ในหนังสือจิตวิทยาของเธอ”


ออเดรย์หมดคำจะกล่าวไปชั่วขณะ แต่ทันใดนั้น เธอเห็นบิดาของตน เอิร์ลฮอลล์ พร้อมกับบุรุษรับใช้และคนรับใช้ เดินขึ้นมายังบันไดปราสาท


ทั้งที่มีแสงแดดส่องเข้ามาจากด้านนอก แต่บรรยากาศของที่นี่ยังค่อนข้างมืดมน ต้องติดตั้งเชิงเทียนเพื่อคอยให้ความสว่างตามขั้นบันได


“ปราสาทหลังนี้เก่าเกินไปแล้ว… สงสัยต้องมีการบูรณะครั้งใหญ่” เอิร์ลฮอลล์บ่นกับบุตรสาวด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง


ออเดรย์พยักหน้ารับอย่างสงวนกิริยา


“ใช่ค่ะ ท่านเอิร์ลที่รัก นั่นคือเหตุผลที่หนูไม่ชอบปราสาทหลังนี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับค่อยๆ พังลงทีละนิด”


“แต่ในความเป็นจริง พ่อใช้เงินปีละหนึ่งหมื่นสามพันปอนด์เพื่อซ่อมแซมที่นี่” เอิร์ลฮอลล์เล่าพลางยิ้ม


ออเดรย์ชำเลืองซูซี่ ก่อนจะหันไปยิ้มให้พ่อ


“คุณพ่อ มาหาหนูคราวนี้มีอะไรหรือ”


เอิร์ลฮอลล์ชี้ไปที่กระดาษในมือคนรับใช้และพูด


“โทรเลขจากเบ็คลันด์ มีคนต้องการขายหุ้นบริษัทจักรยานจำนวนสิบเปอร์เซ็นต์ ลูกสนใจไหม? พ่อคิดว่าอุตสาหกรรมนี้มีอนาคตสดใสมาก มูลค่ายังห่างไกลจากจุดที่สูงที่สุด”


“จักรยาน?” ออเดรย์ไม่คุ้นเคยกับคำนี้ หรี่ตาลงด้วยสีหน้าสับสน


เอิร์ลฮอลล์ยิ้มและมองหน้าบุตรสาว


“มีสองล้อ เป็นยานพาหนะสำหรับให้คนนั่ง หรือถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ รถม้าของสามัญชน… ในโลเอ็นและกรุงเบ็คลันด์ ประชากรส่วนใหญ่ไม่ใช่ขุนนาง ไม่ใช่นักธุรกิจ แต่เป็นสามัญชนที่ไปทำงานด้วยตัวเอง ส่วนกลุ่มประชากรอันดับสองคือแรงงานชำนาญการที่มีรายได้ค่อนข้างสูง นี่คือกลุ่มเป้าหมายหลักของจักรยาน พวกเขามีจำนวนมากและมีกำลังซื้อเพียงพอ ต่อให้มีคนจากกลุ่มนี้สนใจจักรยานเพียงหนึ่งในสิบ แต่ก็มากพอจะทำให้ธุรกิจจักรยานเติบโตอย่างก้าวกระโดด… อา… นอกจากนั้น พวกเขายังถือสิทธิบัตรอย่างถูกต้อง”


ออเดรย์เชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของบิดา หลังจากพยายามทำความเข้าใจกับรายละเอียดที่เอิร์ลฮอลล์ป้อนให้ หญิงสาวพยักหน้า


“หุ้นสิบเปอร์เซ็นต์มีมูลค่าเท่าไรหรือคะ”


“จากการตรวจสอบเบื้องต้น บริษัทเบ็คลันด์จักรยานมีมูลค่าในปัจจุบันอยู่ที่ห้าหมื่นปอนด์เท่านั้น เนื่องจากกระบวนการทางโฆษณาและการขายยังต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะเข้าถึงคนหมู่มาก ดังนั้น ทางเราไม่สามารถประเมินตรงๆ ว่าหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์จะมีมูลค่าเพียงห้าพันปอนด์ พ่อแนะนำให้ลูกเสนอราคาครั้งแรกแปดพันปอนด์ก่อน และราคาสูงสุดไม่ควรเกินหนึ่งหมื่นห้าพันปอนด์ เดี๋ยวพอจะส่งคนไปช่วยลูกจัดการเรื่องนี้” เอิร์ลฮอลล์กล่าวรวบรัด


ประมาณหนึ่งหมื่นปอนด์สินะ… แต่เดือนนี้เราใช้เงินสดไปเกือบหมดแล้ว… ออเดรย์กล่าวด้วยท่าทีเขินอาย


“พ่อ… ช่วงนี้หนูยังไม่มีเงินก้อนใหญ่ และกว่าหุ้นหรือค่าเช่าที่ดินจะครบรอบปันผล ก็ยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก”


เอิร์ลฮอลล์ยิ้ม


“ไม่เห็นต้องลำบากขนาดนั้น แค่ลูกนำหุ้นของบริษัทเบ็คลันด์ยุทโธปกรณ์หรือไม่ก็หุ้นของบริษัทพริสต์พาณิชย์นาวีไปจำนำกับธนาคาร นำเงินสดในถือในมือ รอจนกระทั่งจัดการธุรกิจเสร็จ ค่อยนำหุ้นของบริษัทจักรยานไปจำนำระยะยาวกับธนาคาร และใช้เงินก้อนใหม่ไปชำระหนี้ก้อนเก่า… ด้วยเหตุนี้ ลูกต้องยอมจ่ายดอกเบี้ยแพงๆ หนึ่งถึงสองสัปดาห์แรกเพื่อให้ธุรกิจลุล่วง จากนั้นก็ใช้แค่เงินปันผลของบริษัทจักรยานเพื่อจ่ายค่าดอกเบี้ยเงินกู้ในระยะยาว รอคอยอย่างอดทนจนกระทั่งถึงวันที่ธุรกิจจักรยานผลิบาน นี่คือการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ”


แม้ว่าออเดรย์จะไม่ได้ศึกษาด้านธุรกิจและการเงินในเชิงลึก แต่ในฐานะที่มีบิดาเป็นนายธนาคารใหญ่ ย่อมพอจะคุ้นเคยกับคำศัพท์ทางการเงินไม่มากก็น้อย หลังจากไตร่ตรองสักพัก เธอเริ่มมองเห็นภาพรวม


“กล่าวอีกนัยหนึ่ง หนูต้องจ่ายเงินสองถึงสามร้อยปอนด์เพื่อให้ได้ครอบครองหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทจักรยาน?”


“อาจจะน้อยกว่านั้น” เอิร์ลฮอลล์กล่าวด้วยรอยยิ้ม


ออเดรย์เข้าใจความหมายของบิดา ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารบาวาร์ด และผู้ถือหุ้นอันดับสี่ของธนาคารเบ็คลันด์ อีกฝ่ายมีลู่ทางที่จะช่วยให้บุตรสาวได้รับเงินกู้ระยะสั้นด้วยดอกเบี้ยสมเหตุสมผล


“ขอบคุณค่ะ ท่านเอิร์ลที่รัก” ออเดรย์ยิ้ม ยกชายกระโปรงคำนับ



ท่ามกลางแสงจันทร์ยามค่ำคืนและน้ำทะเลสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ อัลเจอร์·วิลสันยืนบนหัวเรือ มองไปทางเกาะปาซูที่กำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ


ที่นี่คือสำนักงานใหญ่ของโบสถ์วายุสลาตัน ดินแดนซึ่งได้รับการอวยพรจากเทพแท้จริงโดยตรง!


ในฐานะสมาชิกระดับกลางของโบสถ์ อัลเจอร์จำได้ว่าตนเคยมาเยือนที่นี่เพียงสามหน ครั้งแรกเกิดขึ้นหลังจากเลื่อนลำดับเป็น ‘นักเดินเรือ’ และได้รับภารกิจให้ไปตามหา ‘โทสะสีคราม’ ครั้งที่สองเป็นการเข้ามารายงานความคืบหน้าเมื่อปีที่แล้ว และครั้งที่สามคือคราวนี้ ย้อนกลับไปสมัยเด็ก ในฐานะลูกผสมที่มีผมสีน้ำเงินเข้ม อัลเจอร์ถูกสำนักงานใหญ่คัดเลือกให้เข้ามาร้องประสานเสียงในวิหารหลัก แต่เนื่องจากขาดพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง จึงถูกส่งตัวกลับอย่างรวดเร็ว ต้องไปอาศัยอยู่ในวิหารเล็กๆ บนเกาะที่เคยเกิดมาในฐานะทาส และยังมีนักบวชที่ชอบใช้ความรุนแรงกับผู้ใต้บังคับบัญชา


เมื่อใดก็ตามที่มันหวนนึกถึงประสบการณ์ดังกล่าว ร่างกายพลันสั่นเทาอย่างมิอาจหักห้าม เกิดปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไต่เต้าไปอยู่ในตำแหน่งสูง


ท่ามกลางสายลม โทสะสีครามแล่นฉิวเข้าเทียบท่า



ภายในกรุงเบ็คลันด์ที่ย่างเข้าสู่เวลากลางคืน เอ็มลิน·ไวท์ในชุดสูทสุภาพและหมวกผ้าไหม กำลังยืนซ่อนตัวอยู่ด้านนอกคฤหาสน์ของบารอนผีดูดเลือด รุส·บาโธรี


มันเชื่อว่าอีกฝ่ายใกล้จะเริ่มปฏิบัติการ ‘ดึงเบ็ดกลับ’ และสำหรับผีดูดเลือด ค่ำคืนพระจันทร์สีแดงฉานเช่นนี้นับว่าเหมาะแก่การ ‘ล่า’


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ดวงตาเอ็มลินพลันลุกวาวเมื่อเห็นร่างของใครบางคนกระโดดลงจากหน้าต่างด้านหลังคฤหาสน์ ร่อนลงพื้นโดยปราศจากสุ้มเสียง


ราชันเร้นลับ 747 : ศพแรก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ท่ามกลางแสงจันทร์สีแดงเข้ม บรรยากาศสลัว เอ็มลินล้วงหยิบขวดโลหะ คลายเกลียวฝา ดื่มเข้าไปรวดเดียวจนหมด


จากนั้น คล้ายกับมันกลายเป็นเงา เคลื่อนที่ไปบนผนังและพื้นดิน ติดตามรุส·บาโธรีอย่างรวดเร็วและเงียบงัน


ผีดูดเลือดขึ้นชื่อด้านความเร็วอยู่แล้ว สองบารอนวิ่งผ่านตรอกที่มืดมิดและริมถนนบรรยากาศสลัวโดยไม่หยุดพัก ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงในการไปถึงเขตตะวันออกที่วุ่นวายและสกปรก จนกระทั่งหยุดลงหน้าอาคารหลังเก่า


เมื่อเห็นรุส·บาโธรีพยายามปืนท่อขึ้นไปบนชั้นสามโดยไม่ให้เกิดสุ้มเสียง เอ็มลินลดความเร็วลง ไม่จ่อหลังอีกฝ่ายมากนัก ด้วยเกรงว่าอาจถูกพบตัวได้ง่าย


ครุ่นคิดอย่างจริงจังสองสามวินาที มันหยิบขวดน้ำหอมโปร่งแสง คลายเกลียวฝาและกดกลไก ฉีดของเหลวลงบนร่างกาย


ยาชนิดนี้มีสรรพคุณเพียงหนึ่งอย่าง นั่นคือการกำจัดกลิ่นกาย กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรอบตัว!


เก็บขวดกลับ เอ็มลินหยิบขวดโลหะสีทองเหลืองอีกใบออกมา ดื่มของเหลวข้างในพร้อมกับส่งเสียง ‘อึกอึก’


‘ศาสตราจารย์โอสถ’ ช่างวุ่นวายซะจริง… มันพึมพำพลางก้มศีรษะลง พบว่ามือของตนเริ่มโปร่งใสทีละนิ้ว ขวดโลหะสีทองเหลืองคล้ายกับกำลังลอยอยู่กลางอากาศ


เมื่อเอ็มลินเก็บขวดทองเหลืองกลับ สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงสูทสุภาพ หมวกผ้าไหมทรงสูง และรองเท้าหนังที่ไม่มีกระดุมหรือเชือก ก่อตัวกันเป็นรูปทรงของมนุษย์หนึ่งคน


ขวดน้ำหอมใสอีกขวดลอยขึ้นจากอากาศ ปุ่มถูกกดลง พรมน้ำยาด้านในลงบนเสื้อผ้า


เค้าโครงของสูทสุภาพและรองเท้าหนังจางลงทีละนิด ก่อนจะอันตรธานหายไปโดยสมบูรณ์


เอ็มลินที่เข้าสู่ภาวะ ‘ล่องหน’ ชำเลืองไปทางห้องที่รุส·บาโธรีเข้าไป รีบปืนท่อสูงตามขึ้นไป


ขณะก้าวผ่านหน้าต่างที่กำลังแง้มเปิด เอ็มลินทำตัวเหมือนกับก้อนเมฆโปร่งใส ลอยเข้าไปในห้องโดยไม่กระทบกับสิ่งใด ซ่อนตัวตรงมุม มองไปยังรุส·บาโธรีเจ้าของใบหน้าเรียวยาวซึ่งกำลังสอดส่องหาเป้าหมาย


อีกฝ่ายกำลังขมวดคิ้วเนื่องจากพบเพียงความว่างเปล่า อย่าว่าแต่คน แม้แต่ยุงสักตัวก็ไม่มี


ทั้งที่บารอนผีดูดเลือดมั่นใจมากว่า ‘หุ่นกระบอกจันทรา’ ของตนอยู่ในห้องนี้แน่นอน


ทันใดนั้น เสียงหวีดร้องแหลมลึกพลันทำลายความเงียบงันที่เย็นยะเยือก


ประตูห้องถูกเปิดออก สตรีในเดรสยาวสีดำย่างกรายเข้ามาอย่างใจเย็น จ้องมองรุส·บาโธรี กล่าวด้วยน้ำเสียงล่องลอย


“กำลังมองหาใครหรือ…”


เอ็มลินมองไปทางต้นเสียง มองเห็นผู้มาเยือนที่มีผิวสีเข้ม คิ้วยาวเรียว โครงหน้าอวบอิ่ม มุมปากหย่อนคล้อย ไม่ใช่ใครนอกจากหนึ่งในเป้าหมายการล่า – วินเซอร์


แต่ในสายตาเอ็มลิน สาวกดวงจันทร์บรรพกาลตรงหน้า แตกต่างจากรูปลักษณ์ในภาพเหมือนเล็กน้อย เพราะไม่ว่าจะดวงตา คิ้ว หรือปาก ทั้งหมดล้วนโค้งลงอย่างผิดธรรมชาติ ดูคล้ายกับดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว


นอกจากนั้น บริเวณหน้าผาก แก้ม คอ และผิวพรรณจุดอื่นที่ถูกเผยให้เห็น มีกอหญ้าแห้งและดอกไม้จำนวนมากงอกออกมา


“…” ชิ! รุส·บาโธรีขายอะไรให้หล่อนกันแน่? ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้? เอ็มลินถึงกับผงะ เส้นขนตามร่างกายเริ่มตั้งชัน


ขณะเดียวกัน บนพื้น ผนัง ประตูทางเข้า และเพดาน ทุกจุดเริ่มมีกอหญ้าแห้งและดอกไม้งอกเงย


บรรดาพืชพรรณทำการตัดขาดห้องนี้จากโลกภายนอก เกิดเป็นทัศนียภาพอันแสนพิสดาร


รุส·บาโธรีได้กลิ่นอันตราย จึงไม่มัวชวนคุยให้เสียเวลา รีบหยิบขวดโลหะออกมา กระดกดื่มของเหลวด้านในเข้าไป


กิ้ง!


มันทิ้งขวดลง พุ่งเข้าหาวินเซอร์ด้วยความเร็วเหนือธรรมชาติจนร่างกายสร้างภาพติดตา เล็บมือทั้งสองข้างงอกยาวโดยมีพลังงานสีดำไหลเวียน


วินเซอร์ที่มีกอหญ้าแห้งและดอกไม้ฝังอยู่บนใบหน้าจนดูคล้ายกับตุ๊กตาตัวใหญ่ ใช้กรงเล็บข่วนใส่รุส·บาโธรีด้วยความเร็วที่ใกล้เคียงกันโดยไม่คิดหลบหลีก


เคร้งเคร้งเคร้ง! เปรี้ยง!


หลังจากการปะทะหลายหน ร่างกายรุส·บาโธรีถูกส่งกระเด็นไปชนกำแพง


แขนเสื้อขาดวิ่น จุดดังกล่าวมีบาดแผลฉกรรจ์ที่ลึกจนเห็นกระดูก


และในบาดแผล หญ้าแห้งกับดอกไม้กำลังเจริญงอกงามออกมาทีละนิด!


สัตว์ประหลาด… เอ็มลินไม่เคยเผชิญหน้าศัตรูแบบนี้มาก่อน จึงเอาแต่ตื่นตระหนก เกือบลืมช่วยอีกฝ่าย


มันไม่ลงมือบุ่มบ่าม สมองรีบวิเคราะห์ความเป็นไปได้พลางเฝ้ามองการต่อสู้ระหว่างรุส·บาโธรีกับวินเซอร์อย่างใจเย็น พิจารณาหาวิธีรับมือ


สิ่งที่พิสดารที่สุดคือหญ้าแห้งกับดอกไม้นั่น… หญ้าแห้งกับดอกไม้เหี่ยวเฉา… พวกมันน่าจะกลัวไฟ! หัวใจเอ็มลินเริ่มเต้นแรง สถานะ ‘ล่องหน’ หายไปขณะหยิบขวดโลหะใบใหม่ออกมา คลายเกลียวฝา เทเข้าไปในปาก


พรูด! เอ็มลินพ่นออกเหลวออกจากปากจนเกลี้ยง


เมื่อของเหลวสีเทาอมแดงปะทะกับอากาศ ประกายไฟพลันลุกโชนในพริบตา เปลวเพลิงขยายวงแผดเผาเป็นวงกว้าง


กองไฟจำนวนมากลุกลามรวมตัวกัน กลายเป็นทะเลเพลิงสีแดงเข้มในพริบตา!


ท่ามกลางเสียงเผาไหม้ หญ้าแห้งและดอกไม้คือเชื้อไฟชั้นที ส่งผลให้กองไฟทวีความร้อนแรงอย่างรวดเร็ว


เพียงสองสามวินาที ภาวะห้องปิดตายถูกทำลาย หญ้าแห้งและดอกไม้บนร่างกายวินเซอร์เองก็เริ่มไหม้เช่นกัน


ในตอนนี้ บนหน้าอกของรุส·บาโธรีมีรูโหว่ขนาดใหญ่ แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงพอจะต่อสู้ ถึงจะพึ่งพาความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายอันเป็นเลิศของผีดูดเลือด ก็ยากจะกลับเป็นปรกติภายในเวลาอันสั้น


มองไปทางศัตรูที่ดูเหมือนคบเพลิง เอ็มลินตระหนักว่าออร่าของอีกฝ่ายอ่อนแอลงอย่างมาก จึงรีบวิ่งอ้อมวินเซอร์โดยไม่ลังเล ใช้กรงเล็บข่วนใส่สองสามหน


รอบฝ่าเท้าของมัน พลังงานสีดำเริ่มทวีความเข้มข้น พุ่งเข้าไปพันธนาการสาวกดวงจันทร์บรรพกาล ประหนึ่งกุญแจมือที่แข็งแรง


เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!


ท่ามกลางเสียงการปะทะอันหนักแน่น คนทั้งสองแลกหมัดอย่างดุเดือดในระยะประชิด


จนกระทั่งเสียงทั้งหมดเงียบลง ฝ่ามือข้างซ้ายของเอ็มลินคว้าคอวินเซอร์พร้อมกับยกเธอลอยขึ้น


ลังเลสักพัก เมื่อเห็นใบหน้าอันแสนอัปลักษณ์ของอีกฝ่าย มันตัดสินใจหักคอทันที


กร๊อบ!


หุ่นกระบอกที่เรียวยาว ฝังหญ้าแห้งและดอกไม้ หลุดออกจากร่างวินเซอร์และตกกระทบกับพื้น เปลวไฟในห้องค่อยๆ มอดลง


เอ็มลินกระชากศีรษะที่กลายพันธุ์ของวินเซอร์ออก หันกลับมามองรุส·บาโธรีที่กำลังหายใจกระเส่า เลื่อนมือขวาที่ว่างอยู่ขึ้นมาทาบหน้าอก ทักทายตามมารยาท


“ขอบคุณที่ช่วย”


เมื่อเห็นรุส·บาโธรีออกอาการโมโหเจือสิ้นหวัง เอ็มลินเสริมอีกสองประโยคอย่างอารมณ์ดี


“อย่าลืมนำหุ่นกระบอกและตะกอนพลังไปมอบให้ลอร์ดนีบาส พวกมันเต็มไปด้วยอันตราย”


กล่าวจบ พลังงานสีดำด้านหลังเอ็มลินเริ่มควบแน่น สยายออกในรูปทรงปีกค้างคาว


พรึบ! ปีกสองข้างพัดกระพือ เอ็มลินหันหลังและบินออกไปนอกหน้าต่าง ร่อนลงบนตรอกมืดในละแวกใกล้เคียง


หลังจากฝ่าเท้าสัมผัสพื้น มันสลายพลังงานสีดำ มองย้อนกลับไปด้านหลัง


เห็นว่ารุส·บาโธรีไม่ได้ตามมา เอ็มลินถอนหายใจโล่งอก เลื่อนกำปั้นขึ้นมาใต้ริมฝีปาก พึมพำพลางกระแอม


“ข้าเกลียดไฟ! เกลียดควันด้วย!”


ขณะเตรียมจะออกจากเขตตะวันออก มันรู้สึกเย็นสันหลังกะทันหัน


เอ็มลินเกิดความตึงเครียดเหนือคำบรรยาย ในท่าถือศีรษะกลายพันธุ์ของวินเซอร์ สายตาชำเลืองไปทางเงาดำในมุมมืด


ภาพแรกที่เห็นคือร่างเล็กๆ ซึ่งใบหน้าถูกความมืดบดบังมิดชิด


ลำตัวเรียวยาวเหมือนแท่งไม้ ตาและปากโค้งงอเป็นรูปทรงจันทร์เสี้ยว พื้นผิวมีหญ้าแห้งและดอกไม้ฝังอยู่ – หุ่นกระบอกจันทราที่เคยอยู่ในห้องเมื่อครู่!


มันเล็งเรา… นี่มันตัวอะไรกันแน่… เราอยู่ห่างจากที่พักของลอร์ดนีบาสค่อนข้างมาก… อันตราย… ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองเอ็มลิน ความหนาวเย็นกัดกินไปถึงกระดูกสันหลัง กล้ามเนื้อหดเกร็ง


ท่ามกลางภวังค์ความคิด มันฉุกคิดบางสิ่งได้กะทันหัน ดวงตาจ้องมอง ‘หุ่นกระบอกจันทรา’ พลางกระซิบถ้อยคำภาษาเฮอร์มิสโบราณ


“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย”


“ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกสีเทา”


“ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”



“ดึกขนาดนี้ ใครมันยังไม่หลับไม่นอนอีก!” ไคลน์พยุงตัวลุกนั่ง ลูบหน้าผากด้วยความขุ่นเคือง


ชายหนุ่มรีบลุกออกจากเตียง ถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสู่มิติเหนือสายหมอก นั่งลงบนเก้าอี้ ‘เดอะฟูล’


สหายเอ็มลิน? ไคลน์จ้องมอง ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปยังดาวแดงตัวแทน ‘เดอะมูน’ ด้วยความสงสัย


ชายหนุ่มมองเห็นเอ็มลินกำลังยืนตัวแข็ง ดวงตาจดจ้องหุ่นกระบอกทรงเพรียว


หุ่นกระบอกถูกฉาบด้วยแสงจันทร์มายาสีแดงเข้ม แสงดังกล่าวกระเพื่อมแผ่วเบาคล้ายคลื่นน้ำ เชื่อมต่อกับบางสิ่งบนท้องฟ้า


ทันใดนั้น แสงจันทร์สีแดงค่อยๆ แผ่ออกมาครอบงำร่างกายเอ็มลิน·ไวท์


ท่าไม่ดีแล้ว… หุ่นตัวนี้อันตรายมาก… ไคลน์ที่เห็นอะไรหลายๆ อย่างด้วยพลังของมิติหมอก ไม่ลังเลที่จะเรียกคทาเทพสมุทรออกจากกองขยะ บินมาตกบนฝ่ามือ


อัญมณีสีน้ำเงินปลายคทากระดูกสว่างวาบทีละเม็ด ส่องแสงพร่างพราว



หลังจากท่องพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของมิสเตอร์ฟูลเพื่อขอความช่วยเหลือ เอ็มลินเริ่มตระหนักว่าเลือดในร่างกายกำลังเย็นจัด ค่อยๆ แข็งตัวทีละนิด


นั่นทำให้การขยับตัวเป็นไปอย่างลำบาก ทำได้เพียงยืนมอง ‘หุ่นกระบอกจันทรา’ ย่างกรายเข้าหาตนอย่างน่าหวาดหวั่น


ทันใดนั้น สายฟ้าสีเงินโผล่ออกจากอากาศอันว่างเปล่าเหนือตรอกเปลี่ยวที่กำลังปั่นป่วน ปัดเป่าความหม่นมองและอึมครึมรอบๆ ในพริบตา


เปรี้ยง!


สายฟ้าสีเงินม้วนตัวเป็นลูกบอลไฟฟ้า พุ่งชนหุ่นกระบอกจันทราจากมุมสูง ท่วมท้นมันด้วยแสงสีขาวแกมเงิน


แสงสว่างปกคลุมทุกสิ่งไปชั่วขณะ เมื่อเริ่มจางลง เอ็มลินเห็นหุ่นกระบอกพิสดารอยู่ในสภาพไหม้เกรียมไปทุกส่วน จากนั้นก็ล้มลงโดยไม่มีแรงต้านทาน ขณะเดียวกัน เลือดในร่างกายเอ็มลินเลิกแข็งตัว เริ่มกลับมาไหลเวียนได้อีกครั้ง


หลังจากสลัดอาการหนืดของร่างกาย พลางพิจารณาว่ามิสเตอร์ฟูลน่าจะยังเฝ้าดูอยู่ มันเปล่งเสียงถามอย่างแผ่วเบา


“ท่านต้องการ… ไม่สิ ท่านจะให้ข้าสังเวยสิ่งใด?”


มันคอยเตือนตัวเองเสมอ มิสเตอร์ฟูลยึดหลักการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมอย่างเคร่งครัด ด้วยเหตุนี้ หากตนร้องขอความช่วยเหลือ เป็นเรื่องปรกติที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนในมูลค่าใกล้เคียง


เงียบงันสักพัก ทัศนียภาพของมันถูกปกคลุมด้วยสายหมอกอันกว้างไกลไร้ขอบเขต พร้อมกับสุ้มเสียงแสนสง่างาม


“หุ่นตัวนั้น”


“ตกลง” เอ็มลินเดินไปข้างหน้าสองก้าว ก้มหยิบหุ่นกระบอก เก็บกวาดบริเวณใกล้เคียงและรีบออกจากเขตตะวันออก


ถัดมา ไคลน์ไม่ประมาท ใช้เทวทูตกระดาษเพื่อแทรกแซงผลทำนาย ก่อนจะส่งตัวเองกลับโลกความจริง


เมื่อเตรียมเข้านอน มันต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าแสงจันทร์ด้านด้านนอกกำลังสว่างเจิดจ้า คล้ายกับโลกทั้งใบถูกฉาบด้วยเลือดสด


เกิดอะไรขึ้น… ไคลน์เดินไปที่หน้าต่างอย่างสงสัย มองออกไป พบดวงจันทร์ที่จู่ๆ ก็เต็มดวงโดยไม่มีลางบอกเหตุ สีแดงสดเหมือนกับเลือด


ปรากฏการณ์ ‘จันทราโลหิต’ อุบัติขึ้นอีกครั้ง



“จันทราโลหิต?” อัลเจอร์·วิลสันแหงนหน้ามองท้องฟ้า เดินเข้าไปในวิหารอสนีตรงหน้าอย่างไม่รีบร้อน พรุ่งนี้มันต้องรายงานความคืบหน้าของภารกิจที่นี่


ณ ใจกลางเกาะ บนยอดเขาสูงตระหง่าน ยังมีมหาวิหารอยู่อีกหนึ่งหลัง ชื่อของมันคือ ‘ห้วงลึกแห่งพายุ’ สำนักงานใหญ่สูงสุดของศาสนจักรวายุสลาตัน มหาวิหารที่ศักดิ์สิทธิ์เหนือศักดิ์สิทธิ์


ราชันเร้นลับ 748 : ประสานเสียง

โดย

Ink Stone_Fantasy

วิหารอสนีมีหลังคาโดมสูงและกว้างทอดยาวเป็นทิวแถว รายล้อมด้วยจิตรกรรมฝาผนัง แทบไม่มีการเว้นว่าง โทนสีส่วนใหญ่เป็นน้ำเงินและทอง มอบความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์และเคร่งขรึม ส่งผลให้คนที่ผ่านไปผ่านมามักก้มศีรษะลงโดยไม่รู้ตัว


อัลเจอร์·วิลสันที่เคยร่วมโต๊ะกับตัวตนลึกลับหลายครั้ง แถมยังเป็นการพบปะท่ามกลางวังสายหมอกอลังการที่มีหลังคาเป็นโดมสูง ทำให้มันไม่รู้สึกหวั่นเกรงขณะเดินไปตามทางในวิหารอสนี แต่กระนั้นก็ต้องแสร้งทำเป็นเกรงกลัว เฉกเช่นลูกเรือที่เดินมาด้วยกัน อัลเจอร์ก้มหน้าต่ำและมองแต่พื้น ย่างกรายอย่างระมัดระวัง กระทั่งลมหายใจก็ไม่กล้าปล่อย


ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ ภายใต้การนำทางของนักบวช พวกมันเดินผ่านห้องต่างๆ จนกระทั่งถึงที่พักนักบวชด้านหลังวิหาร หนึ่งห้องต่อหนึ่งคน


ปิดประตูสนิท อัลเจอร์เห็นแสงจันทร์สีเลือดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ส่งผลให้บรรยากาศเย็นเยียบและเจือกลิ่นอายความชั่วร้าย คล้ายกับภูตพรายและวิญญาณอาฆาตจำนวนมากกำลังเฝ้ามองโลกแห่งความจริงผ่านม่านใสบางๆ


กล่าวกันว่า เมื่อใดก็ตามที่เกิด ‘จันทราโลหิต’ พลังวิญญาณของทุกคนจะถูกยกระดับ พลังที่มีรากฐานจากโลกวิญญาณและนรกจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า อารมณ์ด้านลบของสิ่งมีชีวิตอาจปะทุขึ้นกะทันหัน ยิ่งลำดับสูงเท่าไรก็ยิ่งรุนแรง


อัลเจอร์ได้ยินเสียงร้อง เสียงเพรียก และเสียงกระซิบอย่างเลือนราง แตกต่างจากความรู้สึกเคร่งขรึมและสำรวมที่เคยได้รับในวิหารอสนี


ท่อนแขนมายาปรากฏขึ้นตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นผนัง พื้น เพดาน ทุกหนแห่งดูราวกับเป็นผืนป่าสีซีดอันสมจริง


อัลเจอร์ทราบว่าปรากฏการณ์ ‘จันทราโลหิต’ จะมาพร้อมความผิดปรกติในทำนองนี้เสมอ จึงถอดหมวกกัปตันออกอย่างไม่ตื่นตระหนก เดินเข้าห้องน้ำ เปิดก๊อกล้างหน้า


ระหว่างนั้น มันได้ยินเสียงเพียงที่ไพเราะและโหยหา


เสียงร้องไม่คมชัด คล้ายกับดังมาจากใจกลางเกาะ แต่ก้องกังวานอย่างต่อเนื่องประหนึ่งกำลังขับร้องข้างๆ ใบหูอัลเจอร์ อย่างไรก็ตาม เสียงเพลงเหล่านี้มิได้สร้างความหวาดกลัว แต่ฟังดูเหมือนผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนริมหน้าผา ต้องไกลจากคนรักและครอบครัว ทำได้เพียงเฝ้ามองคลื่นทะเลเชี่ยวกราก ร้องเพลงเจือความเศร้า


อัลเจอร์ดึงผ้าขนหนู เช็ดหน้า พลางตั้งใจฟังเพลง


มันเริ่มขมวดคิ้วทีละนิด หยิบกล่องเหล็กขนาดเล็กออกจากกระเป๋าลับของชุดคลุมนักบวช นำมาแนบชิดใบหู


ภายในกล่องมีตะกอนพลังของ ‘ผู้ขับขานสมุทร’ ที่ซื้อมาจากเดอะเวิร์ล มันสงสัยว่าเศษเสี้ยวดวงวิญญาณที่หลงเหลือภายใน กำลังได้รับอิทธิพลจากปรากฏการณ์จันทราโลหิตชั่วคราว


เมื่อกล่องโลหะเข้าใกล้ เสียงร้องที่ข้างหูอัลเจอร์เริ่มชัดเจน เปี่ยมด้วยความเศร้าโศก โหยหา และเจ็บปวด


แต่นอกจากเสียงในกล่องโลหะ ยังมีอีกหนึ่งเสียงขับร้องที่พร่ามัวและโบราณดังคลอเป็นฉากหลัง คล้ายกับใครบางคนกำลังประสานเสียง!


เสียงใครกัน… เหมือนกับของเอลฟ์… วัตถุบางชิ้นในวิหารอสนีมีต้นตอมาจากเอลฟ์? และตะกอนพลัง ‘ผู้ขับขานสมุทร’ ของเราก็มาจากเอลฟ์เหมือนกัน? อัลเจอร์พยักหน้าพลางคาดเดา


เนื่องจากเป็นเส้นทาง ‘ลูกเรือ’ เหมือนกัน โบสถ์วายุสลาตันจึงพยายามรวบรวมมรดกจากเอลฟ์ให้มากที่สุด บางส่วนถูกนำไปปรุงเป็นโอสถ บางส่วนกลายเป็นสมบัติปิดผนึก เก็บแยกไว้ใต้ดิน บางส่วนที่มีผลข้างเคียงน้อยจะถูกมอบเป็นรางวัลให้คนของโบสถ์ ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่วัตถุในทำนองเดียวกันจะร้องประสานเสียงท่ามกลาง ‘จันทราโลหิต’


หากเป็นสมบัติวิเศษ นั่นคงไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าเป็นสมบัติปิดผนึก คงไม่ใช่เรื่องปรกติที่เสียงร้องจะทะลวงผนึกหลายชั้นออกมาได้… ครุ่นคิดสักพัก อัลเจอร์สลัดความคาใจ รีบแปรงฟันและเข้านอน


มันหลับไปอย่างรวดเร็ว เข้าสู่ความห้วงฝัน


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ อัลเจอร์ได้สติกะทันหัน ตระหนักได้เลือนรางว่าตนกำลังฝัน สั่งให้ตัวเองมองไปรอบๆ


มันพบคลื่นน้ำสีน้ำเงินเข้มกำลังกระเพื่อมอยู่ด้านบน ชั้นแล้วชั้นเล่าทับซ้อนจนมองไม่เห็นท้องฟ้า เบื้องหน้าเป็นพระราชวังอันงดงามซึ่งคล้ายกับสร้างจากปะการัง โครงสร้างสูงใหญ่ วิจิตรงดงาม สลัวและหม่นหมอง


อัลเจอร์เดินไปที่วังตามจิตใต้สำนึก ก้าวเข้าไปในประตูที่เปิดอยู่


ด้านในมีเสาปะการังต้นใหญ่ตั้งเด่นตระหง่าน ก่อตัวเป็นหลังคาโดมโอ่อ่าอลังการ ตามผนังและเพดานมีภาพจิตรกรรมที่สื่อถึงความน่ากลัวของพายุ


สุดปลายทางลึกเข้าไปราวหนึ่งร้อยเมตร ที่นั่นมีบัลลังก์ฝังเพชรพลอยและไข่มุกเม็ดกลมตั้งเด่นสง่าอยู่บนบันไดเก้าขั้น เด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ


อัลเจอร์มองตรงไป พบสตรีผู้หนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ในชุดโบราณและเรียบง่าย เส้นผมของเธอดกดำเงางาม เกล้ามวยขึ้น ใบหน้าอ่อนโยนและน่าหลงใหล เป็นสตรีที่ไม่ว่ายุคสมัยใดก็จะถูกมองว่าเลอโฉม


สีหน้าเย็นชา ปลายหูเรียวแหลม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกำลังมองลงมายังอัลเจอร์ด้วยมาดของผู้เหนือกว่า


มือของสตรีกำลังจับแก้วไวน์ทองคำที่มีลวดลายซับซ้อนแกว่งไปมา


ขณะอัลเจอร์เตรียมกล่าวบางสิ่ง ดวงตาหญิงสาวพลันส่องแสงสีเงินประหนึ่งสายฟ้า พวยพุ่งตรงมาด้วยความเร็วสูง ระเบิดทำลายความฝัน


ฟู่ว… อัลเจอร์พยุงตัวนั่ง สูดลมหายใจเข้าโดยไม่รู้ตัว มันเริ่มพบว่า แม้ความฝันเมื่อครู่จะคลุมเครือ แต่ก็ชัดเจนอย่างน่าประหลาด


ภายในความฝัน สิ่งที่พร่ามัวคือใบหน้าของสตรีลึกลับ ภาพจิตรกรรมฝาผนัง และวังปะการัง ส่วนสิ่งที่คมชัดคือดวงตาซึ่งเหมือนกับมีสายฟ้าอันแน่น รวมไปถึงใบหูที่มีปลายแหลมเล็กๆ


เอลฟ์ชั้นสูง? มรดกบางอย่างของหล่อนถูกจันทราโลหิตกระตุ้น จึงร้องประสานเสียงกับตะกอนพลังผู้ขับขานสมุทรในตัวเราและส่งผลสืบเนื่องไปถึงความฝัน? อัลเจอร์ลองคาดเดา ภายในใจนึกสงสัยว่าจะเป็นวัตถุแบบใด


เนื่องจากถูกกำจัดการเข้าถึงข้อมูล จึงยังไม่รู้จักสมบัติวิเศษและสมบัติปิดผนึกมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทราบในสิ่งที่คนอื่นไม่ ช่วยให้สร้างข้อสันนิษฐานได้อย่างเลือนราง


ภัยธรรมชาติ โคฮีเน็ม?


หนังสือแห่งภัยธรรมชาติที่ท่านเหลือทิ้งไว้ น่าจะถูกส่งมาถึงเกาะปาซูแล้ว…


หลังจากเสร็จการรายงานความคืบหน้าและออกไปจากที่นี่ เราจะลองนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับมิสเตอร์ฟูล ถามว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะสร้างผลเสียใดหรือไม่…


อัลเจอร์ไม่กล้าเอ่ยพระนามเต็มของเดอะฟูลในสำนักงานใหญ่ศาสนจักรวายุสลาตัน


เมื่อถึงยามรุ่งสาง ร่างกายอัลเจอร์ยังไม่เกิดความผิดปรกติ ภายใต้คำแนะนำของคนรับใช้ มันเดินเข้าไปในห้องที่มีโต๊ะยาว ถูกยิงคำถามโดยเหล่าอาวุโสระดับสูงของ ‘ทูตพิพากษา’


จากบรรดาอาวุโสทั้งสาม มีเพียงคนเดียวที่เส้นผมไม่ได้เป็นสีน้ำเงินเข้ม เพราะการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้มิได้เกิดจากการดื่มโอสถเส้นทาง ‘ลูกเรือ’ หากแต่เป็นกรรมพันธุ์อันเหนียวแน่น เฉกเช่นเอลฟ์ที่ในอดีตจะมีผมสีดำ แต่ปัจจุบัน ลูกครึ่งเอลฟ์ส่วนใหญ่มักมีผมสีน้ำเงิน


อัลเจอร์นั่งลงบนเก้าอี้รอบโต๊ะทองแดงยาว ไล่ตอบคำถามของอาวุโสอย่างใจเย็น ระบุว่าตนทำอะไรมาบ้างในทะเล กำลังจะทำอะไร และทำสิ่งไหนสำเร็จ สิ่งไหนเผชิญความล้มเหลว


คำตอบเหล่านี้จะถูกนำไปเปรียบเทียบกับลูกเรือคนอื่น ป้องกันไม่ให้มีการรายงานข้อมูลเท็จ


เมื่อใกล้หมดคำถาม อาวุโสสีน้ำเงินเข้มคนหนึ่งเหลือบมองอัลเจอร์ ถามเสียงทุ้มต่ำ


“รู้จัก ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาไหม?”


ไม่ใช่แค่รู้จัก… อัลเจอร์ผงะครู่หนึ่ง ครุ่นคิดก่อนมอบคำตอบ


“ผมเคยเห็นหล่อนที่ชุมนุมโจรสลัด”


อาวุโสไม่ถามต่อ เพียงกล่าวห้วนๆ


“หาวิธีเข้าไปทำความรู้จักกับหล่อน สืบหาสถานการณ์ปัจจุบันของเกอร์มัน·สแปร์โรว์จากหล่อนให้ได้”


อย่างนี้นี่เอง… เป็นเพราะเกอร์มัน·สแปร์โรว์ฆ่าพลเรือเอกโลหิต? อัลเจอร์แสร้งถามอย่างไร้เดียงสา


“เกอร์มัน·สแปร์โรว์ทำอะไรลงไปกันแน่”


อาวุโสผมสีน้ำเงินเข้มตอบเสียงขรึม


“หมอนั่นเกือบทำให้บายัมต้องพังพินาศ! ช่างเถอะ… นี่ไม่ใช่ข้อมูลที่คุณควรทราบ เอาเป็นว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์คือบุคคลอันตราย มีองค์กรลับชั่วร้ายคอยหนุนหลัง ครึ่งเทพขององค์กรดังกล่าวเป็นศัตรูกับโรงเรียนกุหลาบ!”


เกือบทำให้บายัมพังพินาศ? มีครึ่งเทพในองค์กร? เป็นศัตรูกับโรงเรียนกุหลาบ? อัลเจอร์ไม่ปิดบังความประหลาดใจ


มันเคยคิดว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถูกทางโบสถ์สืบข้อมูลเพราะเป็นผู้ลงมือสังหาร ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอล ใครจะไปคิดว่าเรื่องราวจะซับซ้อนกว่าที่ตาเห็น แถมยังเป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการไปมาก!


เกอร์มัน·สแปร์โรว์ทำอะไรลงไปกันแน่… ถ้าผ่านบายัม เราต้องแวะไปดูให้เห็นกับตา… นอกจากนั้น ศัตรูตัวฉกาจของชุมนุมทาโรต์ไม่ใช่ชุมนุมแสงเหนือหรอกหรือ? มิสเตอร์ฟูลมักพุ่งเป้าไปยังพระผู้สร้างแท้จริงเสมอ… ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนเป็น… ไม่สิ ทำไมถึงมีโรงเรียนกุหลาบเพิ่มเข้ามา? อัลเจอร์พึมพำหลายประโยค


สำหรับเรื่องที่ชุมนุมทาโรต์มีครึ่งเทพ มันไม่แปลกใจสักเท่าไร มองว่าเป็นเรื่องปรกติเสียด้วยซ้ำ ในฐานะตัวตนลึกลับจากยุคสมัยโบราณ ท่านจะไม่มีครึ่งเทพเป็นบริวารได้อย่างไร?


เหนือสิ่งอื่นใด นับตั้งแต่ ‘พลเรือโทวายุ’ คีลิงเกอร์เสียชีวิตอย่างเงียบงันและเต็มไปด้วยปริศนา มันก็มั่นใจมาตลอดว่า มิสเตอร์ฟูลมีข้ารับใช้เป็นครึ่งเทพ!


โชคดีที่เราแอบพบกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างลับๆ ไม่อย่างนั้นคงลำบากกว่านี้มาก… อัลเจอร์ตั้งใจฟังอย่างเงียบงัน ไม่ซักถามมากความ เฉกเช่นทุกครั้ง เพียงรับภารกิจและลุกเดินออกจากห้อง



กรุงเบ็คลันด์ เขตเหนือ ด้านนอกบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน คนรับใช้กำลังยืนเรียงสองฝั่งซ้ายขวา ต้อนรับเจ้านายที่เพิ่งมาถึง


ดอน·ดันเตส เจ้าของจอนสีขาว ดวงตาสีน้ำเงินลุ่มลึก กำลังอยู่ในชุดสูทหางยาว สวมหมวกผ้าไหม ถือไม้ค้ำเลี่ยมทอง เดินมาพร้อมกับพ่อบ้านและบุรุษรับใช้ส่วนตัวนาม ‘ริชาร์ดสัน’ ผ่านแถวคนรับใช้มายังหน้าอาคารสามชั้น


รออยู่ที่นั่นคือ ‘ทาเนญ่า’ หัวหน้าแม่บ้านที่จ้างเตรียมไว้สักพักแล้ว


เธออายุสี่สิบตอนต้น มวยผมถูกมัดเกล้าอย่างพิถีพิถัน ใบหน้าอาจดูธรรมดา แต่มีความสามารถสูงมาก สวมแว่นตากรอบทอง สวมเดรสยาวสีดำสลับขาวที่โดดเด่นกว่าสาวใช้ทั่วไป


จากการสัมภาษณ์และข้อมูลเบื้องต้น ไคลน์พอจะทราบว่าสตรีผู้นี้เกิดที่เขตตะวันออก ศรัทธาเทพธิดารัตติกาล เมื่ออายุครบสิบห้า ได้รับเลือกจากกองทุนการกุศลของศาสนจักรให้เข้าฝึกอบรม ส่งผลให้เธอกลายเป็นแม่บ้านที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อม


ต้องขอบคุณการทำงานหนักตลอดสิบกว่าปี รวมถึงการตั้งใจเรียนที่โรงเรียนกลางคืนซึ่งไม่เสียเงิน ทาเนญ่าถูกเลื่อนขั้นจากสาวใช้ระดับล่างสุด กลายเป็นสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูในบ้านตระกูลพ่อค้าร่ำรวย และหลังจากที่คุณหนูแต่งงานออกเรือน เธอยังคงตามไปรับใช้ในบ้านใหม่ ภายหลังได้กลายเป็นหัวหน้าแม่บ้านจนกระทั่งครอบครัวเผชิญวิกฤติทางการเงิน เมื่อสูญเสียงาน เธอจึงลงทะเบียนกับสำนักงานจัดหาคนรับใช้


หลังจากเซ็นสัญญาและได้รับเงินสดจำนวนหนึ่งพันปอนด์จากดอน·ดันเตสเมื่อช่วงต้นเดือน ทาเนญ่าถกเถียงกับพ่อบ้านวอลเตอร์เรื่องที่จะเช่าหรือซื้อขาดรถม้าคันใหม่


ตามความเห็นของเธอ เนื่องจากเป้าหมายของมิสเตอร์ดอน·ดันเตสคือการเข้าสู่สังคมชนชั้นสูง ย้ายไปยังเขตตะวันตก หรืออาจไปถึงเขตราชินี เมื่อนั้น รถม้าประจำตระกูลจะต้องถูกสั่งผลิตเป็นพิเศษเพื่อให้สมฐานะ ช่วงแรกจึงควรเช่ารถม้าคุณภาพสูงไปก่อนเป็นเวลาหนึ่งปี ภาวนาให้เจ้านายของตนได้เป็นชนชั้นสูงก่อนหน้านั้น จึงค่อยซื้อรถม้าสั่งผลิตทีเดียว เป็นการประหยัดเงินและรักษาภาพลักษณ์ไปในตัว


เธอโน้มน้าวจนกระทั่งวอลเตอร์เห็นห้วย แน่นอน ไคลน์เองก็เห็นด้วย เพราะการเช่ารถม้าคุณภาพสูงด้วยสัญญาหนึ่งปีจะมีมูลค่าเพียงแปดสิบแปดปอนด์ และสี่สิบสองปอนด์สำหรับประเภทสองล้อ


กะแล้วเชียว… คนที่เหมาะสมจะควบคุมค่าใช้จ่ายรายเดือนต้องเป็นพวกคำนวณเก่ง… ไคลน์ถอนหายใจ ยิ้มพลางพยักหน้าให้ทาเนญ่า เดินนำทางเข้าไปในประตูหลักของอาคารสามชั้นตรงหน้า


นี่คือเวทีถัดไปของมหาเศรษฐีนาม ดอน·ดันเตส


ราชันเร้นลับ 749 : อำนาจแห่ง ‘จันทรา’

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อเดินเข้าไปในบ้าน สิ่งแรกที่ไคลน์เห็นคือห้องโถงขนาดกว้างขวาง มีเก้าอี้และที่วางร่มจำนวนมาก สถาปัตยกรรมภายในถูกตกแต่งอย่างหรูหรา หากไม่เคยทราบโครงสร้างหรือเคยเดินสำรวจมาก่อน ไคลน์คงคิดว่าที่นี่คือห้องรับแขก


ผ่านประตูบานที่สอง แววตาชายหนุ่มสดใสขึ้นถนัดตา ด้านในคือห้องโถงที่แขกหลายสิบคนสามารถเต้นรำโดยไม่ต้องเบียดเสียด


ใจกลางโถงปูด้วยพรมหนานุ่ม สีสันสดใส รายล้อมด้วยกระเบื้องหินอ่อนสีสว่าง นอกจากนั้นยังมีเปียโน รูปปั้นแกะสลักหินอ่อน และเสาหินลวดลายงดงามที่คอยค้ำจุนพื้นของชั้นสอง


ฝั่งซ้ายมือมีหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดาน ด้านนอกเป็นสนามหญ้าสีเขียวและสวนดอกไม้ ทางขวามือเป็นประตูไม้และทางเดินที่นำไปสู่ห้องพักของแขก ห้องเก็บของ ห้องน้ำ ห้องครัว และห้องนอนพ่อบ้าน


ห้องโถงสูงกินพื้นที่สองชั้น มีโคมไฟระย้าคริสตัลห้อยลงมาจากเพดาน ทำให้ผู้คนพากันจินตนาการไปถึงช่วงเวลากลางคืน


รอบๆ โถงใหญ่มีบันไดสองฝั่ง นำทางไปขึ้นไปยังระเบียงชั้นสองที่อยู่ใจกลางบ้านตัวบ้าน


ระเบียงชั้นสองเหนือห้องโถงมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตำแหน่งตรงกับพรมด้านล่างพอดิบพอดี สิ่งเดียวที่ไคลน์ต้องการมีเพียงไวน์หนึ่งแก้ว ยืนหลังระเบียงพลางเพลิดเพลินไปกับงานเต้นรำด้านล่าง


บนชั้นสองยังมีอีกหลายห้อง ทั้งห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร ห้องน้ำ ห้องบิลเลียด ห้องนอนอีกจำนวนหนึ่ง หากแขกต้องการค้างคืน ก็สามารถเข้าพักได้ตามอัธยาศัย


ในทำนองเดียวกัน บนชั้นสองมีบันไดนำพาไปสู่ชั้นสาม ทั้งชั้นมีไว้สำหรับดอน·ดันเตสโดยเฉพาะ ประกอบด้วยห้องนอนหรูหราอลังการ ห้องกึ่งเปิดโล่งพร้อมกับบาร์ที่สามารถเพลิดเพลินไปกับแสงแดดและวิวทิวทัศน์ ห้องอ่านหนังสือซึ่งเป็นราวกับหอสมุดขนาดย่อม ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าสองห้อง ห้องนอนเล็กของบุรุษรับใช้ส่วนตัวและสาวใช้เวรกลางคืน นอกจากนั้นยังมีห้องน้ำของคนในครอบครัวโดยเฉพาะ แต่ปัจจุบันไคลน์ยังโสด


ส่วนห้องคนรับใช้อื่นๆ จะอยู่ในบ้านด้านหลังอาคารหลัก โดยที่อีกฝั่งหนึ่งคือคอกม้า


ห้องใต้ดินของอาคารหลักมีพื้นที่กว้างพอๆ กับตัวตึก ประกอบด้วยห้องเก็บของขนาดใหญ่และห้องเก็บไวน์


ไคลน์ถอดเสื้อคลุมออก ยืนริมระเบียงภายในห้องกึ่งเปิดโล่งของชั้นสาม มองดูวิวทิวทัศน์รอบๆ บ้าน อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเงียบๆ ตามลำพัง


ของแพงก็มีความคุ้มค่าในตัวมัน… ค่าเช่าสามร้อยสิบห้าปอนด์ต่อปีไม่ได้แพงเกินจริงแต่อย่างใด…


ชายหนุ่มจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าของหนึ่งปีไปแล้วเมื่อวานช่วงบ่าย จำใจต้องเพลิดเพลินไปกับความหรูหราให้เต็มที่


ขณะเดียวกัน มันยังต้องจ่ายเงินค่าจ้างรายปีจำนวนหนึ่งร้อยสิบห้าปอนด์ให้วอลเตอร์ทันที เพราะเมื่อใดที่ตนขโมยสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสสำเร็จ มีโอกาสสูงที่จะหลบหนีออกนอกเมือง ส่งผลให้มิสเตอร์พ่อบ้านรายนี้ต้องตกงานกะทันหัน


ด้วยแนวคิดเดียวกัน ไคลน์ต้องจ่ายค่าจ้างรายปีให้กับแม่บ้านทาเนญ่าจำนวนสี่สิบสองปอนด์ เป็นการแสดงให้เห็นว่านายจ้องของเธอใจกว้างมากเพียงใด


นอกจากนั้น หลังจากพ่อบ้านกับแม่บ้านปรึกษากันอย่างหนัก พวกเขาลงความเห็นที่จะจ้างคนคอยดูแลทรัพย์สินจำนวนสามสิบปอนด์ต่อปี จ้างริชาร์ดสันในตำแหน่งบุรุษรับใช้จำนวนสามสิบห้าปอนด์ต่อปี คนรับใช้ชายสองคนที่คอยดูแลแขกและเสิร์ฟอาหารอีกคนละยี่สิบห้าปอนด์ต่อปี แม้บ้านชั้นหนึ่งสองคน สิบแปดปอนด์ต่อปีต่อคน แม่บ้านชั้นสองสองคน สิบสองปอนด์ต่อปีต่อคน และแรงงานชายสองคน สิบสองปอนด์ต่อคนต่อปี


ค่าจ้างรายปีของพ่อครัวคือสามสิบปอนด์ ผู้ช่วยพ่อครัวสิบห้าปอนด์ แม่ครัวลูกมือสิบเอ็ดปอนด์ คนดูแลห้องเก็บของสิบเอ็ดปอนด์ พยาบาลประจำยี่สิบห้าปอนด์ เด็กรับใช้สิบปอนด์ คนขับรถม้าสองคน คนละยี่สิบห้าปอนด์ คนสวนสองคน คนละยี่สิบปอนด์ สาวใช้ซักผ้าสองคน คนละสิบปอนด์ รวมทั้งสิ้นสี่ร้อยสิบสามปอนด์ เฉลี่ยเกือบแปดปอนด์ต่อสัปดาห์


เมื่อผนวกกับค่าแรงรายปีของหัวหน้าพ่อบ้านและแม่บ้าน ไคลน์ต้องจ่ายปีละห้าร้อยเจ็ดสิบปอนด์ ตกสิบเอ็ดปอนด์ต่อสัปดาห์ นี่ยังไม่นับค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวันอันประกอบด้วยอาหาร เสื้อผ้า ถ่านฟืน และอื่นๆ


ทุกวันจันทร์ที่ลืมตาขึ้น ถึงแม้จะไม่มีรายรับสักเพนนีเดียว แต่เราก็ต้องจ่ายเงินมากกว่าหรือเท่ากับยี่สิบปอนด์… ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก บังคับตัวเองให้มองไปทางสวน


ในตอนเที่ยง ชายหนุ่มต้องจ่ายค่าเช่ารถม้าสองคัน รวมถึงค่าแรงสัปดาห์แรกให้กับบรรดาคนรับใช้ เมื่อรวมกับเงินที่เคยมอบให้แม่บ้านทาเนญ่าอีกหนึ่งพันปอนด์เป็นค่าใช้จ่ายจิปาถะ ไคลน์จะเหลือเงินสดเพียง 1,286 ปอนด์และเหรียญทองสิบแปดเหรียญ อย่างไรก็ตาม รายได้จากมิสจัสติสและมาดามเฮอร์มิทจะค่อยๆ ถูกทยอย ‘จ่าย’ ภายในสัปดาห์นี้


เราไม่มีทางรู้เลยว่า หนึ่งพันปอนด์ที่ให้ทาเนญ่าไปจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ลำพังการซื้อเครื่องดื่มเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานเลี้ยงก็หมดไปแล้วสองสามร้อยปอนด์… ‘เศรษฐี’ ดอน·ดันเตสดำดิ่งในความคิด ยากจะสลัดความเจ็บปวดหัวใจ


เพื่อให้อารมณ์สงบ มันอาศัยโอกาสที่แม่บ้านและสาวใช้กำลังวุ่นวายอยู่กับบ้านหลังใหม่ เตรียมส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก ศึกษาหุ่นกระบอกที่เอ็มลิน·ไวท์สังเวยเข้ามา


ขณะเกิดปรากฏการณ์จันทราโลหิต ไคลน์จำเป็นต้องเข้าไปในห้วงมิติลึกลับเพื่อดึงฟอร์ส ข่มความง่วงนอนและฟังอีกฝ่ายเล่าถึงชีวิตประจำวันในกรุงเบ็คลันด์ จนกระทั่งเหตุการณ์สงบลง ไคลน์อยู่ในสภาพอ่อนเพลียสุดขีด หลังจากรับการสังเวยจากเอ็มลินและไม่พบความผิดปรกติใดเพิ่มเติม ชายหนุ่มส่งตัวเองกลับโลกความจริง สลบเหมือดลงบนเตียงนอน


จัดระเบียบเสื้อกั๊กสีเข้มเสร็จ ไคลน์เดินไปที่ทางเข้า เปิดประตูห้องและหันไปพูดกับบุรุษรับใช้ส่วนตัว


“ผมมีนิสัยชอบงีบในช่วงบ่าย ใช้เวลาประมาณสี่สิบห้านาที อย่าให้ใครเข้ามารบกวน”


“ครับผม” ริชาร์ดสันตอบอย่างนอบน้อม


ชายคนนี้เป็นลูกครึ่ง บิดาเป็นชาวโลเอ็น ทำงานดูแลทรัพย์สินให้คฤหาสน์แห่งหนึ่ง มารดาเป็นชาวไบลัมตะวันออก ทำงานเป็นทาสในคฤหาสน์หลังเดียวกัน หลังจากลืมตาดูโลก ริชาร์ดสันต้องเผชิญการกลั่นแกล้งและการกีดกันมากมาย บ่มเพาะเป็นอุปนิสัยขี้ขลาด เชื่อฟัง และไม่สู้คน แต่เนื่องจากหน้าตาดี เหมาะแก่การต้อนรับแขก เจ้าของคฤหาสน์จึงเลือกให้ทำงานเป็นบุรุษรับใช้ส่วนตัว พากลับมายังกรุงเบ็คลันด์ด้วยกัน


จนกระทั่งสภาสูงและสภาสามัญของอาณาจักรโลเอ็นผ่านร่างกฎหมายเลิกทาส ริชาร์ดสันตกงานทันที จึงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากสำนักงานจัดหาคนรับใช้


ก่อนจะมารับใช่ไคลน์ มันเคยรับใช้มาแล้วสองตระกูล เคยทำผิดพลาดประปราย ได้สั่งสมประสบการณ์อันมีค่า คุณสมบัติเข้าตาพ่อบ้านวอลเตอร์จนถูกเลือกให้มาเป็นบุรุษรับใช้ส่วนตัวของดอน·ดันเตส


เมื่อเห็นริชาร์ดสันที่ตัวสูงเท่าๆ กับตน ไคลน์ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ


ผู้ชายที่สามารถเป็นดาราได้สบายๆ กลับต้องมาเป็นทาสในยุคสมัยแบบนี้… น่าเสียดาย ดันขี้ขลาดทั้งที่ตัวใหญ่… แต่นั่นก็เป็นเรื่องดี ด้วยนิสัยว่าง่าย เชื่อฟัง ยอมทำตามคำสั่ง และไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง สำหรับเจ้านายแล้วถือเป็นคุณสมบัติในอุดมคติ


หากเรามีบุรุษรับใช้ส่วนตัวได้คนเดียว และต้องคอยดูแลบริหารจัดการปัญหาต่างๆ ได้ด้วย ริชาร์ดสันไม่ตอบโจทย์แน่นอน แต่ปัจจุบันเรามีทั้งพ่อบ้านวอลเตอร์ แม่บ้านทาเนญ่า และคนรับใช้อีกมาก ลำพังประสบการณ์ของพวกเขาย่อมเพียงพอต่อการรับมือกับปัญหา…


โดยไม่กล่าวเพิ่มเติม ไคลน์ปิดประตูและลงกลอน กลับไปยังเก้าอี้เอนหลัง ถอยหลังสี่ก้าวและส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก


ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ของเดอะฟูล เสกหุ่นกระบอกจันทราที่ไหม้เกรียมให้ลอยกลางอากาศ ตกลงบนโต๊ะด้านหน้า


หลังจากตรวจสอบทุกซอกมุมซ้ำหลายหน ไคลน์ไม่พบความผิดปรกติใด จึงเสกปากกาและกระดาษ เขียนประโยคทำนาย


“ที่มาของสิ่งนี้”


วางปากกาลง ไคลน์รอสองสามวินาทีก่อนจะใช้มือจับกระดาษ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้


น่าแปลก… สัมผัสวิญญาณไม่พยายามยับยั้งเราจากการทำนาย แปลว่าอันตรายเบื้องหลังหุ่นกระบอกจันทรา ไม่ร้ายแรงเท่าตะกอนพลังของโรงเรียนกุหลาบ… ไคลน์พึมพำ ท่องประโยคทำนายเสียงต่ำ


ท่ามกลางโลกสีเทา ชายหนุ่มเห็นแท่นบูชาที่มีคบเพลิงรายล้อมเป็นวงกลม


แท่นบูชาถูกปกคลุมด้วยสิ่งที่ดูคล้ายกับหนังมนุษย์ คราบเลือดกระจัดกระจาย กึ่งกลางมีเทียนไขสามเล่มและหุ่นกระบอกเรียวเล็กจำนวนหนึ่ง


หุ่นกระบอกเล็กๆ เหล่านี้มีดวงตาโค้งลง มุมปากตกทั้งสองข้าง คล้ายกับจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า


นอกจากรอยยิ้มประหลาด ตามลำตัวยังฝังด้วยหญ้าแห้งและดอกไม้เหี่ยว


นักบวชในชุดคลุมสีแดงเข้มเดินวนรอบแท่นบูชาแข็งขัน คล้ายกับกำลังเต้นระบำที่คิดค้นโดยผู้ป่วยโรคลมชัก


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ แสงจันทร์เริ่มรวมตัวกันและส่องลงมายังหุ่นกระบอกไม้ จนกระทั่งผิวไม้เกิดคลื่นกระเพื่อม


พิธีกรรมจบลงอย่างรวดเร็ว นักบวชหยิบหุ่นตัวเล็ก เดินไปหามนุษย์ซึ่งถูกมัดไว้กับราวด้านข้าง เสียบหุ่นเข้าไปในเบ้าตาของเหยื่อ


ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนา ฉากแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว คนตายซึ่งมีหุ่นกระบอกจันทราเสียบอยู่ในเบ้าตา ทยอยถูกฝังรวมกันไว้ในสถานที่หนึ่ง


ภาพตัดอีกหลายครั้ง เมื่อใดก็ตามที่เกิดปรากฏการณ์พระจันทร์เต็มดวงหรือจันทราโลหิต แสงสว่างจะส่องไปทางสุสาน ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในดินราวกับสายน้ำอ่อนโยน ส่งผลให้สภาพแวดล้อมโดยรอบมืดลงถนัดตา


ไคลน์ลืมตาขึ้น ปรับเปลี่ยนท่านั่ง เข้าใจที่มาของหุ่นกระบอกจันทราอย่างคร่าวๆ


สิ่งนี้มีต้นกำเนิดจากพิธีกรรมสวดวิงวอนถึง ‘ดวงจันทร์บรรพกาล’ แถมยังทำติดต่อกันมานานนับร้อยปี!


กว่าร้อยปีที่ผ่านมา หุ่นกระบอกดูดซับพลังจากดวงจันทร์สีแดง ค่อยๆ กลายพันธุ์ทีละนิด จนกระทั่งนักล่าอาณานิคมไปพบเข้า


ภายนอก พวกมันดูเหมือนหุ่นกระบอกทั่วไป มีเพียงสาวกของดวงจันทร์บรรพกาลเท่านั้นที่สามารถเปิดใช้งานได้ด้วยขั้นตอนพิเศษ แต่จะเกิดอะไรขึ้นบ้างนั้น ไคลน์ยังไม่มีข้อมูล


ในทางทฤษฎี หุ่นกระบอกเหล่านี้คือเป้าหมายการ ‘อวยพร’ จากดวงจันทร์บรรพกาล… หลังจากถูกเราผ่าตายไปเมื่อคืน เทพมารตนดังกล่าวจึงโมโห ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์จันทราโลหิตกะทันหัน? ไคลน์เคาะนิ้วลงบนขอบโต๊ะทองแดงยาวที่มีร่องรอยความเก่าแก่ ครุ่นคิดหาข้อสันนิษฐานเบื้องต้น


หมายความว่า… ในยามที่ดวงจันทร์บรรพกาลพิโรธ รูปลักษณ์ของดวงจันทร์จะเปลี่ยนไป กลายเป็นพระจันทร์สีเลือด? หากสมมติฐานนี้เป็นจริง เราสามารถตีความได้ว่า ในขอบเขตอำนาจของ ‘จันทร์แดง’ เทพธิดารัตติกาลยังเป็นรองดวงจันทร์บรรพกาล… นั่นสินะ การที่พระองค์มีสมญานามเกี่ยวกับดวงจันทร์ อาจเป็นเพราะกำลังครองสมบัติปิดผนึกระดับ 0 บางชนิด… ไคลน์พยักหน้ารับ ลองทำนายถามถึงจุดอ่อนของหุ่นกระบอกตุ๊กตา


ในครั้งนี้ ชายหนุ่มมองเห็นดวงอาทิตย์ มองเห็นฟ้าผ่า


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้วิเศษเส้นทาง ‘สุริยัน’ และ ‘วายุสลาตัน’ สามารถจัดการมันได้ง่าย… ไคลน์ตีความสัญลักษณ์ที่ได้รับ พลางโยนหุ่นกระบอกจันทรากลับเข้าไปในกองขยะ ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง


ผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง วอลเตอร์ที่สวมถุงมือสีขาวเดินมาเคาะประตู เปิดเข้ามาและซักถาม


“นายท่าน ผมจะเริ่มพิมพ์นามบัตรของท่านเพื่อแจกจ่ายไปยังเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงพร้อมกับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ … พวกเขาจะเฝ้าสังเกตนายท่านประมาณสองถึงสามวัน ยืนยันสถานการณ์ให้แน่ใจ หากใครยินดีต้อนรับ ทางนั้นจะส่งของขวัญกลับมาและเชิญนายท่านไปเป็นแขก… นายท่านอยากให้เพิ่มสมญานามใดลงไปเป็นพิเศษหรือไม่”


สมญานาม… เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย? ไคลน์รำพันติดตลก ตอบด้วยรอยยิ้ม


“ดอน·ดันเตส นักธุรกิจจากอ่าวเดซีย์ แค่นี้ก็พอ”


วอลเตอร์พยักหน้า


“ตามที่นายท่านรับสั่ง ผมได้จัดบทเรียนทางด้านมารยาทให้สอดคล้องกับสภาพสังคม อันดับแรกต้องเริ่มจากการเต้นรำ ตอนนี้ทำการจ้างครูฝึกสอนมืออาชีพเรียบร้อยแล้ว”


ราชันเร้นลับ 750 : แรงดึงดูด?

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไคลน์ที่เคยอ่านนิตยสารหลายเล่ม ย่อมทราบว่าในสังคมที่ตนอยากเข้าร่วม มีงานเลี้ยงมากมายรออยู่ จึงไม่แปลกใจหรือคัดค้านคำแนะนำของวอลเตอร์ เพียงพยักหน้ารับ


“ตกลง”


กล่าวจบ ชายหนุ่มหันไปทางริชาร์ดสัน บุรุษรับใช้ส่วนตัว


“เตรียมรถม้า ผมจะไปวิหารนักบุญแซมมวล”


ไคลน์ยังไม่ลืม จุดประสงค์หลักของตนคือการแสร้งทำเป็นสาวกเปี่ยมศรัทธาของเทพธิดารัตติกาล พยายามมองหานักบวชที่เป็นเป้าหมาย จะได้สวมรอยเข้าไปในประตูยานิส ดังนั้น มันวางแผนที่จะแวะไปวิหารทุกครั้งที่มีโอกาส ทำตัวเป็นสาวกที่ดีอย่างแนบเนียน


“ครับนายท่าน” ริชาร์ดสันตอบด้วยท่าทีเคารพ


ถัดมาไม่นาน ไคลน์ในเสื้อโค้ทและหมวกทรงสูงเดินขึ้นรถม้าสี่ล้อหรูหราที่เพิ่งเช่า เพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์สองข้างทาง พลางจิบชาดำคู่กับมะนาวฝาน


อันที่จริง ภายในห้องโดยสารมีบาร์ขนาดเล็กสำหรับเก็บเหล้ากลั่น จำพวกแลงติทองคำและแรนดี้ดำเหมันต์ที่พ่อบ้านวอลเตอร์เตรียมไว้ให้ รวมถึงไวน์ขาวและไวน์แดงนานาชนิดจากอินทิส


แต่ไคลน์ไม่ใช่คนชอบดื่ม ในฐานะผู้วิเศษ มันไม่ปลื้มกับความรู้สึกมึนเมาสักเท่าไร ภาวะดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดอาการคลุ้มคลั่งได้ง่าย ดังนั้น ชายหนุ่มใช้ข้ออ้างที่จะไปวิหารเพื่อปฏิเสธการดื่มสุรา และสั่งให้บุรุษรับใช้ส่วนตัว ริชาร์ดสัน เตรียมชาดำมาร์ควิสไว้ล่วงหน้า


“ถ้าหากเป็นไปได้ ผมก็อยากจะได้ชาเย็นหวานๆ สักแก้ว… รสชาติของทางใต้” ไคลน์พูดกับริชาร์ดสันอย่างติดตลก


“ผมจะเตรียมไว้สำหรับครั้งถัดไปครับ” ริชาร์ดสันตอบกระฉับกระเฉง


ไคลน์ยิ้มและส่ายหน้า


“ไม่ต้อง… การดื่มสิ่งนั้นทำจะให้ผมไม่สง่างาม… ไว้ผมสนิทกับเพื่อนบ้านมากกว่านี้ มีการจัดงานเลี้ยงครั้งใหญ่ ถึงตอนนั้นค่อยเตรียมชาเย็นหวานๆ ไว้ต้อนรับแขก… ฮะฮะ ผมคิดว่าพวกเด็กๆ น่าจะชอบ”


เมื่อริชาร์ดสันตระหนักว่าตนเข้าใจความหมายของคำพูดนายจ้างผิด มันรีบกล่าวอย่างประหม่า


“ผมจะจำเอาไว้ครับ”


จากบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน ไปยังวิหารนักบุญแซมมวลบนถนนเฟลป์ หากเดินเท้าจะใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเสียเงินเช่ารถม้ามาแล้ว รวมถึงอยากรักษาความสง่างาม ไคลน์ชอบที่จะเดินมากกว่า จะได้ย่อยอาหารและยังดีต่อสุขภาพ


เพียงไม่นาน รถม้าหยุดลงตรงจัตุรัสด้านนอกวิหาร ไคลน์ถือไม้ค้ำเลี่ยมทอง ก้าวลงจากรถ หยุดเพื่อชมการเต้นระบำของนกพิราบขาว


เข้าไปในวิหาร มุ่งหน้าไปยังโถงสวดมนต์หลัก ชายหนุ่มส่งหมวกและไม้ค้ำให้ริชาร์ดสัน นั่งลงใกล้กับทางเดิน ก้มศีรษะพลางประสานมือ เริ่มกล่าวคำวิงวอนอย่างจริงจังและแผ่วเบา


ริชาร์ดสันนั่งอยู่ข้างหลัง เก็บสิ่งของให้เข้าที่ แหงนหน้ามองไปยังตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืดบนแทนบูชา หลับตาลงตาม


ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ ไคลน์สัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณของตนเกิดการกระจัดกระจายเล็กๆ แต่ชายหนุ่มไม่แปลกใจ เพราะสาวกทุกคนที่สวดมนต์ภายในวิหาร จะเผชิญเหตุการณ์ที่คล้ายกันเสมอ – เศษเสี้ยวพลังวิญญาณที่เกิดจากความซื่อตรงและจริงใจจะถูกดึงออกไปจากร่างกาย เสริมความแข็งแกร่งให้ผนึกประตูยานิสในห้องใต้ดิน


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ สัมผัสวิญญาณของชายหนุ่มถูกกระตุ้น จึงลืมตาขึ้นอย่างเงียบงัน ค่อยๆ มองตรงไปข้างหน้า


ที่นั่นมีชายชราสวมชุดคลุมสีดำของนักบวช เส้นผมค่อนข้างบาง สีคล้ายน้ำแข็ง ใบหน้าขาวซีดราวกับคนใกล้ตาย


มองจากระยะไกล ออร่าของอีกฝ่ายเย็นเยียบ ปราศจากอารมณ์ในส่วนอื่น กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมมืดสลัวในโถงสวดมนต์ใหญ่


ผู้คุม… ไคลน์ได้ข้อสรุปจากการชำเลืองเพียงครู่เดียว ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งและสวดวิงวอน แน่นอน ชายหนุ่มจดจำรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายไว้หมดแล้ว


จมูกใหญ่ ดวงตาสีฟ้าอมเทา ผิวหน้าหย่อนคล้อย ไม่มีเครา


ชายชราที่แต่งกายในชุดนักบวชเองก็นั่งลงในเวลาไล่เลี่ย สวดวิงวอนถึงเทพธิดา ท่ามกลางโถงสวดมนตร์อันกว้างใหญ่ซึ่งช่องวางเพียงไม่กี่แห่งด้านบนกำแพง แสงอันบริสุทธิ์คล้ายดวงดาวพราวพรายส่องลอดเข้ามาจากช่องว่างดังกล่าว มอบความอ่อนโยนและศักดิ์สิทธิ์แก่สภาพแวดล้อมที่มืดมน


กระแสเวลาไหลผ่าน สัมผัสวิญญาณไคลน์ถูกกระตุ้นอีกครั้ง


ชายหนุ่มบรรจงลืมตา เห็นผู้คุมในชุดสีดำลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินเข้าไปที่ช่องลับด้านข้าง


ปลายทางน่าจะเป็นด้านหลังวิหาร… ผู้คุมก็อาศัยอยู่ในวิหารด้วยหรือ? ไม่มีญาติ ไม่มีครอบครัว ไม่มีบ้านให้กลับ? แต่ถ้าพิจารณาจากสถานะของอีกฝ่าย เรื่องนี้ไม่เหนือความคาดหมายมากนัก ผู้คุมด้านหลังประตูยานิสย่อมต้องถูกบิชอปจับตามองเป็นพิเศษ ถือเป็นพื้นฐานของมาตรการความปลอดภัย… หมายความว่า เราต้องเป็นเพื่อนกับบิชอปและนักบวชของวิหารนักบุญแซมมวล จึงจะมีสิทธิ์เข้าไปในเขตด้านหลังวิหาร… ไคลน์ไม่จ้องนักนาน หลับตาลงอีกครั้ง ครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น


ถัดจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างไม่รีบร้อน เดินไปหยุดหน้ากล่องบริจาค หยิบธนบัตรออกมาห้าสิบปอนด์ หย่อนลงไปด้วยสีหน้าสำรวม


สิ่งนี้ทำให้บิชอปและนักบวชที่เข้าเวรดูแล หันมองมาเป็นตาเดียว ใบหน้าเผยความอ่อนโยนและเป็นมิตร จดจำหน้าตาของ ‘เศรษฐี’


จัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบาให้เหล่านักบวช เดินออกมาตามทางโดยมีริชาร์ดสันคอยถือหมวกและไม้ค้ำเดินตามหลัง


ออกจากโถงสวดมนต์ใหญ่ ชายหนุ่มเดินไปตามทางที่สองฝั่งเต็มไปด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังอันงดงาม รวมถึงกระจกสีสันฉูดฉาดด้านบนสุด


ทันใดนั้น คนกลุ่มหนึ่งเดินสวนเข้ามา นำโดยชายวัยกลางคนที่มีจอนยาว ใบหน้าอ่อนโยน สวมชุดกันลมสีดำ ไม่สวมถุงมือ ไม่มีไม้ค้ำ


ด้านหลังฝั่งซ้ายของชายคนดังกล่าวคือบุรุษหนุ่มที่สวมชุดแบบเดียวกัน ผมสีดำเข้มและดวงตาสีเขียวมรกต ค่อนข้างหล่อเหลา แต่ทรงผมยุ่งเหยิงเล็กน้อย คล้ายกับไม่ได้ตั้งใจหวีสักเท่าไรหลังจากตื่นนอน


ไม่ว่าจะรูปลักษณ์ ขนาดร่างกาย ไคลน์คุ้นเคยเป็นอย่างดี ภายในใจรู้สึกคิดถึงราวกับไม่ได้พบกันนานหลายสิบปี


เลียวนาร์ด·มิเชล!


รูม่านตาไคลน์หดลงเล็กน้อย ฝ่าเท้ายังคงก้าวเดิน รักษาจังหวะในตอนแรกได้โดยไม่มีพิรุธ หันหน้าไปมองกลุ่มเหยี่ยวราตรีในชุดกันลมสีดำ


ใช่แล้ว ไคลน์มั่นใจว่าคนเหล่านี้คือเหยี่ยวราตรี!


เมื่อกำลังจะสวนกัน ชายหนุ่มชำเลืองไปทางกลุ่มของเลียวนาร์ดโดยไม่เจาะจง จากนั้นก็เดินผ่านไปทางประตู


ประตูทางเข้าเปิดอยู่ ด้านนอกมีเมฆบางเบา แสงแดดบริสุทธิ์ และนกพิราบสีขาวกำลังโบยบิน


เลียวนาร์ด·มิเชลเหลียวหลังมองสุภาพบุรุษที่เพิ่งเดินสวนอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะพ่นลมและกล่าว


“ผมหวังว่าพวกเราจะได้อยู่ในเบ็คลันด์อีกสักสองสามวัน นอนพักผ่อนให้เพียงพอ… คดีนี้ไม่เพียงจะอันตรายและดุเดือด แต่ยังสิ้นเปลืองพลังใจมากด้วย”


หน่วยถุงมือแดงของพวกมันเพิ่งเสร็จจากคดีปีศาจหนังมนุษย์ มีผู้ต้องหาถูกจับกุมสองราย


มองผิวเผิน งานนี้ดูเหมือนจะง่าย แต่ความจริงแล้วเต็มไปด้วยอุปสรรค กว่าจะบรรลุภารกิจ ถุงมือแดงถูกล่อลวงเข้าหากับดักและถูกซุ่มโจมตีหนแล้วหนเล่า ผ่านความยากลำบากและเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย


หัวหน้าโซสต์ส่ายศีรษะและยิ้ม


“นี่คือวิถีชีวิตของถุงมือแดงอย่างเรา เมื่อพวกคุณเลือกที่จะเข้าร่วม แปลว่าเตรียมใจรับชะตากรรมแบบนี้ไว้แล้ว… จริงสิ ขอแสดงความยินดีที่เลือนลำดับเป็น ‘ผู้ปลอบวิญญาณ’ สำเร็จ”


เลียวนาร์ด·มิเชลยิ้ม


“ช้ากว่าที่ผมคิดไว้มาก… และไม่ใช่แค่ผม หัวหน้าโซสต์ คุณเองก็เพิ่งเลื่อนเป็นลำดับ 5 เช่นกัน”


“นี่ไม่ใช่ปัญหาของทางโบสถ์ หากผมอดทนได้ดีกว่านี้ คงกลายเป็นจอมอาคมวิญญาณได้ตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนแล้ว” รอยยิ้มบนใบหน้าโซสต์พลันจางหาย เดินนำทุกคนไปยังโถงสวดมนต์ใหญ่ “จงสวดวิงวอนถึงพระองค์ วิธีนี้จะช่วยขจัดความอ่อนเพลียทางจิตใจได้ชะงักงัน ร่างฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว”


ขณะกล่าว หน่วยถุงมือแดงเดินเข้าไปในโถงที่มีบรรยากาศสลัวและเงียบเชียบ แต่ต่างคนต่างแยกกันหาที่นั่ง


ขณะเลียวนาร์ดเตรียมตั้งสมาธิสวดมนต์ เสียงค่อนข้างชราดังขึ้นภายในใจ


“มีบางอย่างไม่ถูกต้องเกี่ยวกับคนเมื่อสักครู่”


“ใคร?” เลียวนาร์ดก้มศีรษะ ถามเสียงต่ำ


เสียงค่อนข้างชราตอบกลับ


“หนึ่งในคนที่เดินสวนกันหน้าประตูทางเข้า ข้าอาศัยอยู่ในตัวเจ้า พลังยังฟื้นฟูกลับมาไม่เต็มที่ จึงมองเห็นได้ไม่ชัดสักเท่าไร”


เลียวนาร์ดพยายามนึก ยังคงใช้เสียงต่ำ


“ไม่ถูกต้องยังไง?”


“คนคนนั้นมีกลิ่นอายโบราณ” เสียงในใจเลียวนาร์ดตอบสั้นกระชับ


“หมายถึงผู้วิเศษที่อาศัยอยู่บนโลกมานาน?” เลียวนาร์ดพึมพำ “เดี๋ยวผมจะลองตรวจสอบดู”


ขณะเดียวกัน มันคิดในใจ


ตาแก่กำลังปกปิดบางอย่างจากเรา เขาไม่เคยเตือนออกมาเองแบบนี้ แถมยังอธิบายอย่างคลุมเครือ… หากเราพบเป้าหมาย ถ้ายืนยันว่ายังไม่มีพิษภัย จะปล่อยผ่านไปโดยไม่สนใจ… ไม่อยากนั้นอาจถูกลากเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ของสัตว์ประหลาดจากยุคสมัยที่สี่… แต่ถ้าบุคคลดังกล่าวเป็นตัวอันตราย คงต้องรายงานกับท่านอาร์ชบิชอปโดยตรง



เขตเชอร์วู้ด ภายในบ้านหลังหนึ่ง


“ที่ฉันยืมมาจากเธอ” ฟอร์สยื่นเงินจำนวนสองร้อยยี่สิบปอนด์ให้ซิล


เธอเพิ่งได้รับเงินหนึ่งร้อยปอนด์จากมิสเตอร์มูน และห้าร้อยปอนด์จากมาดามเฮอร์มิส


ซิล·เดียร์ชาใช้มือสางเส้นผมสีทองที่ยุ่งเหยิงและแข็งกระด้าง ก้มมองธนบัตร เงยหน้าขึ้นมองฟอร์สอีกครั้ง โพล่งออกไป


“เธอเล่นพนันเถื่อนมาจริงๆ ใช่ไหม? ฉันขอเตือนไว้ก่อน การพนันแบบนี้เต็มไปด้วยการคดโกงและเอาเปรียบ เจ้ามือจะยอมเสียเล็กน้อยเพื่อที่จะชนะครั้งใหญ่ในอนาคต! แม้ว่าเธอจะเป็นนักตุกติกและตบตาเจ้ามือได้ แต่การพนันทำนองนี้ไม่ได้มีลูกเล่นแค่อย่างเดียว!”


“หยุด หยุด หยุด!” ฟอร์สยกมือขึ้นทั้งสองข้าง กล่าวด้วยเสียงโกรธปนตลก “ฉันดูเหมือนคนเล่นพนันเถื่อนตรงไหน?”


“ทุกตรง!” ซิลตอบโดยไม่ลังเล “ในอดีต ถ้าฉันไม่ห้ามไว้ เธอคงเปลี่ยนจากการสูบบุหรี่ไปเป็นกัญชาแล้ว!”


นั่นเพราะกัญชาช่วยลดความเจ็บปวดขณะเผชิญเสียงเพรียกระหว่างจันทร์เต็มดวงยังไงล่ะ แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นอีกแล้ว… ฟอร์สไม่โต้เถียง อธิบายกลับไปเถรตรง


“ฉันขายข้อมูลเกี่ยวกับศาสตร์เร้นลับในชุมนุมผู้วิเศษ… หึหึ อีกฝ่ายใจกว้างมาก เสนอเงินให้ตั้งหลายร้อยปอนด์”


“งั้นหรือ…” ซิลสลัดความคิดก่อนหน้า หันไปกล่าว “มีชุมนุมลับของผู้วิเศษแห่งใหม่เกิดขึ้นในเขตตะวันออก ฉันได้รับเชิญ”


“ชุมนุมผู้วิเศษใหม่?” ฟอร์สผงะเล็กน้อย ก่อนจะผุดบางสิ่งในใจ


จากคำพูดของอาจารย์ตน โดเรี่ยน·เกรย์ รวมถึงมิสเตอร์ฟูล หญิงสาวทราบว่าลูอิส·เวย์นเป็น ‘ผู้ส่งสาร’ ของชุมนุมแสงเหนือ การมาเยือนเบ็คลันด์ในคราวนี้ ดูเหมือนว่าจะมาเพื่อทดแทนมิสเตอร์ A ที่หายตัวไป สร้างขุมกำลังของชุมนุมแสงเหนือขึ้นมาใหม่ ดังนั้น มีโอกาสพอสมควรที่มันจะปลอมตัว จัดชุมนุมผู้วิเศษใหม่ขึ้นมาแทนมิสเตอร์ A


ฟอร์สครุ่นคิดสักพัก กล่าวกับซิลโดยไม่มองหน้า


“แล้วเธอจะเข้าร่วมไหม?”


“แน่นอน ฉันยังต้องการสูตรโอสถ ‘นักสอบสวน’” ซิลยืนกรานหนักแน่น


ฟอร์สพยักหน้า ปิดปากหาว


“ถ้าได้สิทธิ์เชิญสมาชิกใหม่เมื่อไร อย่าลืมชวนฉันด้วย”


ราชันเร้นลับ 751 : คารมแบบโลเอ็น

โดย

Ink Stone_Fantasy

กลางดึกสงัด บ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์


เลียวนาร์ด·มิเชลนั่งลงบนเก้าอี้ ยกเท้าขึ้น เหยียดไปทางโต๊ะอ่านหนังสือ พาดลงบนขอบไม้


จากนั้น มันเอนหลังพร้อมกับเสียงข้อต่อไม้ดังลั่น พ่นลมหายใจยาว


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ เปลือกตาค่อยๆ ปิดลงจนสนิท


ทันใดนั้น จิตของเลียวนาร์ดถูกส่งเข้ามาในโลกมายาสีเทา แต่รอบๆ ตัวยังคงเป็นห้องนอนแห่งเดิม


มันลอยตัวมายังริมหน้าต่าง เห็นหมอกสีเทาปกคลุมละแวกใกล้เคียงอย่างหนาแน่น หมอกค่อยๆ ขยายออกไปจนสุดลูกหูลูกตา คล้ายกับพยายามครอบงำกรุงเบ็คลันด์ทั้งหมด


ไม่ว่าจะโคมไฟแก๊สข้างถนนหรือแสงไฟอบอุ่นจากบ้านแต่ละหลัง แสงสว่างรอบตัวเริ่มหม่นหมอง จุดที่ยังคมชัดเหลือเพียงบริเวณแคบๆ รอบตัวเลียวนาร์ด


ขณะเดียวกัน กลุ่มของลูกบอลแสงมายาทรงรี บ้างสว่าง บ้างสลัว ซ้อนทับกันมากมายภายในบ้านแต่ละหลัง คล้ายกับสิ่งนี้คือสัญลักษณ์แทนตำแหน่งของสิ่งมีชีวิต


นี่คือทิวทัศน์ ‘เมือง’ ในสายตาของ ‘ฝันร้าย’


เลียวนาร์ดดำเนินการสืบสวนต่อจากคราวก่อน กระโดดออกจากหน้าต่างในร่างของฝันร้าย ลอยไปยังบ้านเลขที่ 17 ถนนมินส์ เขตเชอร์วู้ด


มันมิได้บุกรุกเข้าไปโดยตรง แต่ร่อนลงที่หน้าประตูท่ามกลางกลุ่มหมอกหนาทึบ สั่นกระดิ่งอย่างสุภาพ


สิ้นเสียงนกร้อง ‘กุ๊กกู~’ สตาร์ลิ่ง·ซาเมอร์เปิดประตูออกมาในชุดนอน


หญิงสาวนำพัดเลี่ยมเงินทาบไว้บนหน้าอก ถามด้วยสีหน้าสับสนเจือสงสัย


“คุณกำลังมองหาใครหรือ?”


เธอคือเจ้าของบ้านขณะไคลน์ปลอมตัวเป็นเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ ผมสีทอง ดวงตาสีฟ้า วัยย่างสามสิบ


ปัจจุบัน เลียวนาร์ดอยู่ในเครื่องแบบตำรวจโลเอ็นสีขาวสลับดำ แสดงบัตรประจำตัวและกล่าว


“คุณรู้จักเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ไหม”


อาจเป็นเพราะกำลังอยู่ในความฝัน สตาร์ลิ่งจึงตอบสนองอย่างเชื่องช้า กล่าวหลังจากผ่านไปหลายวินาที


“มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาหรือคะ”


ขณะถาม ภายใต้อิทธิพลของเลียวนาร์ด เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ในความทรงจำของเธอปรากฏตัวด้านข้างอย่างเป็นธรรมชาติ


สวมหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง โค้ทยาวกระดุมสองแถว แว่นตากรอบทอง เครายาวรอบปาก


เป็นภาพลักษณ์เดียวกับเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ที่เลียวนาร์ดรู้จัก เมื่อไม่พบความผิดปรกติ มันตอบกลับ


“เขาเข้าไปพัวพันกับคดีหนึ่ง พวกเรากำลังสอบสวนกันอยู่… ผมหวังว่าคุณจะยอมให้ความร่วมมือ”


“ต… ตกลงค่ะ” สตาร์ลิ่งอยากเชิดคาง แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เธอรู้สึกสั่นกลัวเล็กๆ


เลียวนาร์ดครุ่นคิดสักพัก


“เขาเริ่มเช่าบ้านตั้งแต่ตอนไหน”


“ต้นเดือนกันยายนปีที่แล้ว” สตาร์ลิ่งตอบ


เลียวนาร์ดถามต่อไป


“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเขาบ้าง? หรือผมควรถามว่า คุณคิดว่าเขาเป็นคนแบบไหน?”


ถึงตรงนี้ คล้ายกับเตรียมคำตอบมาล่วงหน้า สตาร์ลิ่งเล่าทันที


“เขามาจากแคว้นเลียบทะเล มีสำเนียงของคนที่นั่น เป็นนักสืบที่เก่งมาก ครั้งหนึ่งเคยช่วยแมรี่แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสามีของเธอ แต่ถึงอย่างนั้น รายได้ของเขาก็ไม่สูงนัก ไม่สามารถจ้างแม้บ้านประจำ ฉันต้องส่งแม่บ้านไปช่วยทำความสะอาดเป็นครั้งคราว… ลูกๆ ของดิฉันบอกว่า เขาเล่าเรื่องสนุกมาก โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับนักสืบ นี่คงเป็นเหตุผลที่เขาประกอบอาชีพดังกล่าว”


โดยไม่เปิดโอกาสให้เลียวนาร์ดแทรก เธอพรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ


“เขาไม่หยาบกร้านเหมือนนักสืบทั่วไป จบจากโรงเรียนสามัญ ศึกษาด้านประวัติศาสตร์ สิ่งที่น่าอิจฉาที่สุดก็คือ แมรี่ช่วยให้เขาได้เป็นสมาชิกของสโมสรครักซ์ ที่นั่นเต็มไปด้วยคนใหญ่คนโต ฉันเคยไปเยือนหลายครั้ง… ในช่วงหลัง ดูเหมือนว่าเขาจะเริ่มเป็นคนดังในวงการนักสืบ มักมีนักสืบเอกชนแวะมาถามถึงเขา”


เลียวนาร์ดค่อนข้างใจร้อน อดไม่ได้ที่จะนำมือขึ้นมาลูบหน้าผาก


จากคำบอกเล่าของมาดามสตาร์ลิ่ง มันไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์แต่อย่างใด ยกเว้นเรื่องที่เชอร์ล็อกไม่รวยมาก และเป็นคนเล่าเรื่องนักสืบเก่ง ส่วนข้อมูลอื่นๆ ล้วนมีอยู่ในเอกสารการสืบสวนก่อนหน้า เลียวนาร์ดรู้แม้กระทั่งว่า เชอร์ล็อก·โมเรียตี้มีความสัมพันธ์อันดีกับไอเซนการ์ด·สแตนธอน


ถัดไปคงต้องเริ่มสืบจากคนของสโมสรครักซ์ที่เคยใกล้ชิดเชอร์ล็อก·โมเรียตี้… อดทนฟังการพูดเรื่อยเปื่อยของสตาร์ลิ่งสักพัก เลียวนาร์ดกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย ออกจากดินแดนความฝัน


บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน คฤหาสน์ของดอน·ดันเตส


ภายในโถงกว้างที่แขกหลายร้อยคนสามารถเบียดเสียด ไคลน์กำลังเต้นรำกับสตรีวัยสามสิบกว่าคนหนึ่ง


เธอคือครูสอนมารยาทที่วอลเตอร์จัดหามาให้ มีนามว่า ‘วาฮาน่า·เฮย์เซ่น’


แม้ชื่อจะฟังดูธรรมดา แต่มีหลายสิ่งที่ไม่ธรรมดาเกี่ยวกับเธอ ใบหน้าดูดีกว่ามาตรฐานไม่มากก็จริง แต่กลับเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่หา ทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล


จากคำบอกเล่าของวอลเตอร์ เธอเกิดในตระกูลบารอน ได้รับการศึกษาที่ดีตั้งแต่ยังเล็ก ภายหลังมีโอกาสได้ทำงานในวัง คอยดูแลบรรดาคุณหนูๆ จนกระทั่งตัวเธอเข้าพิธีสมรส


เมื่อตระกูลบารอนของเริ่มเสื่อมถอย ผนวกกับการที่สามีได้รับค่าจ้างอัตราปานกลาง ในฐานะสาวกเทพธิดารัตติกาล วาฮาน่าตัดสินใจประกอบอาชีพครูสอนมารยาท มีโอกาสได้ทำงานกับตระกูลขุนนางและเศรษฐีบ่อยครั้ง คอยสอนมารยาทให้เด็กๆ


แม้ว่าพ่อบ้านจะไม่ได้กล่าวเอาไว้ แต่ไคลน์ก็ทราบดี ตนห้ามทำตัวแย่ๆ ต่อหน้าสตรีผู้นี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้น คำวิจารณ์ด้านลบจะแพร่กระจายเป็นวงกว้างยากจะกอบกู้ชื่อเสียง


ไม่ว่าจะขุนนางหรือเศรษฐี วิธีเดียวที่จะช่วยให้ทราบถึงสถานการณ์ปัจจุบันของคนนั้นๆ คือการซักถามผ่านคนรู้จัก และในบางครั้ง คนรู้จักที่ว่าก็คือคนรับใช้


ขณะขยับเท้าอย่างแผ่วเบา วาฮาน่า สตรีเจ้าของเส้นผมสีดำ พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย


“มิสเตอร์ดันเตส สำหรับดิฉัน มันยากที่จะให้เชื่อว่าคุณไม่เคยเรียนการเต้นรำในลักษณะนี้มาก่อน… เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คุณเชี่ยวชาญพอๆ กับขุนนางที่ได้เรียนด้านนี้มาตั้งแต่เด็ก”


“เพราะคุณสอนดีต่างหาก” ไคลน์ยิ้มอย่างเจียมตัว สีหน้าอ่อนโยน ปราศจากความโอ้อวด


อาศัยพลังของ ‘ตัวตลก’ ไคลน์สามารถควบคุมสมดุลร่างกายและขยับให้สอดประสานได้ไม่ยาก สำหรับชายหนุ่ม การเต้นรำนั้นง่ายพอๆ กับปอกกล้วยเข้าปาก


วาฮาน่าก้มศีรษะลง หัวเราะเล็กๆ


“คุณเป็นสุภาพบุรุษประเภทที่ชอบทำให้สตรีมีความสุขสินะคะ”


ดวงตาสีน้ำตาลของอ่อนของหญิงสาวกำลังส่องประกาย จ้องไปทางจอนสีเงินและดวงตาสีน้ำเงินเข้มของดอน·ดันเตส


“เป็นคำชมที่ดีที่สุดที่ผมได้ยินในวันนี้เลยครับ” ไคลน์ยิ้มพลางตอบกลับ ฝ่าเท้ายังคงขยับอย่างต่อเนื่อง พาวาฮาน่าวนไปรอบๆ ใจกลางโถง วงดนตรีที่ถูกจ้างมาชั่วคราวยังคงบรรเลงเพลงกึกก้องไปทั่วห้อง


ชายหนุ่มมีเจตนาจะตีสนิทวาฮาน่า ไม่ใช่เพียงการเพิ่มชื่อเสียง แต่ยังเป็นเพราะอีกฝ่ายเคยทำงานในวัง


วาฮาน่าช่วยระบุจุดผิดเล็กๆ ที่ดอน·ดันเตสทำพลาด จากนั้นก็กล่าว


“หากคุณเชิญสตรีมาเต้นรำ อย่าเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเต้น แต่ต้องสนทนากันตามความเหมาะสม เว้นเสียแต่ทั้งคู่จะดื่มด่ำไปกับเสียงดนตรีและท่วงทำนองจนไม่อยากพูดคุย… แน่นอน นั่นก็ถือเป็นการสนทนาแบบหนึ่ง เป็นการคุยกันทางใจ… และทุกครั้งที่คุณสนทนากับสตรี คารมคมคายต้องอ้อมค้อม จงจำไว้ว่าที่นี่คือโลเอ็น ไม่ใช่อินทิส… นอกจากนั้นต้องไม่หยาบคาย ทำตัวให้สง่างามเข้าไว้… ดิฉันจะยกตัวอย่างให้ฟัง หากคุณต้องการชื่นชมน้ำหอมของสตรี ไม่ควรบอกไปตรงๆ ว่ากลิ่นนี้ดีอย่างไร หอมอย่างไร ไม่ควรถามว่าเป็นน้ำหอมชนิดใด ยี่ห้อใด แต่ต้องกล่าวโดยนัยให้สื่อถึงสิ่งที่ต้องการจะชื่นชม ยกตัวอย่างเช่น : ดูเหมือนว่าฤดูใบไม้ผลิจะมาถึงเร็วกว่าที่คิดนะครับ… แน่นอน ถ้อยคำเหล่านี้ต้องสอดคล้องกับลักษณะของน้ำหอม”


ไม่เห็นจะคมคายตรงไหน… พูดว่า ‘แสงจันทร์ในค่ำคืนนี้งดงามมากเลยนะครับ คุณคิดแบบนั้นเหมือนกันไหม?’ ไม่ดีกว่าหรือ? ไคลน์พึมพำประโยคจีบสาวยอดนิยมในภาษาญี่ปุ่น ยิ้มแห้งๆ


“ขอบคุณที่ไม่พูดออกมาตรงๆ ว่า คำชมของผมยังไม่เป็นสุภาพบุรุษมากพอ”


วาฮาน่ายิ้มลึกยิ่งกว่าเก่า


“มิสเตอร์ดันเตส คุณทราบหรือไม่ว่า สุภาพบุรุษประเภทใดที่ได้รับความนิยมในหมู่สตรีชนชั้นสูง?”


“ไม่ทราบครับ” ไคลน์ส่ายศีรษะอย่างสุขุม


วาฮาน่ายังคงไม่เปลี่ยนรอยยิ้ม


“สุภาพบุรุษประเภทที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสองก็คือ… คนที่ชื่นชมว่าพวกเธอเฉลียวฉลาด”


“แล้วอันดับหนึ่ง?” ไคลน์ถามอย่างให้ความร่วมมือ


วาฮาน่าเหลือบมองและกล่าว


“…คนที่ทำให้พวกเธอเชื่อว่า เขาเฉลียวฉลาด”


กล่าวจบ หญิงสาวทำเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน ไคลน์เริ่มเข้าใจความนัยที่แฝงอยู่ในคำตอบ


นี่คือความโรแมนติกของชาวโลเอ็นสินะ… ไม่เหมือนกับอินทิสที่บทสนทนาทั้งหมดพุ่งตรงไปยังร่างกายท่อนล่าง… แต่ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงข้อความในหนังสือพิมพ์และนิตยสารของโลเอ็น ใครจะไปรู้ว่าของจริงเป็นแบบไหน? เราไม่สามารถตัดสินได้จากผิวเผิน ทั้งสองอาณาจักรมักใส่ร้ายกันเสมอ… แต่ยุคสมัยของจักรพรรดิก็สอดคล้องกับพฤติกรรมดังกล่าวจริง… ไคลน์พยักหน้ากับตัวเอง


หลักสูตรมารยาทสองชั่วโมงเต็มสิ้นสุดลงด้วยบรรยากาศชื่นมื่น ไคลน์ พ่อบ้านวอลเตอร์ และบุรุษรับใช้ ริชาร์ดสัน เดินมาส่งวาฮาน่า·เฮย์เซ่นที่ประตูหน้า มอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้หญิงสาว


เป็นน้ำหอม ‘แสงจันทร์’ จากบริษัทดรีม มีส่วนประกอบเป็นอำพันสีเทา ราคาค่อนข้างสูง


ส่วนจะแพงแค่ไหนนั้น ไคลน์ไม่ทราบ เพราะคนที่ซื้อคือพ่อบ้านวอลเตอร์ เป็นการเบิกจากเงินก้อนใหญ่ที่แม่บ้านทาเนญ่าถือไว้ ต้องรอให้หนึ่งพันปอนด์แรกใกล้หมดลงก่อน และเมื่อต้องการเงินทุนเพิ่ม ทาเนญ่าจะมาขอเงินก้อนใหม่จากไคลน์พร้อมใบเสร็จ


เนื่องจากพ่อบ้านวอลเตอร์บอกกล่าวล่วงหน้า ไคลน์จึงทราบชื่อของน้ำหอมและบริษัทที่ผลิต เพราะหากวาฮาน่าถามและตอบไม่ได้ นั่นจะหมายถึงความไม่จริงใจ


จากรายละเอียดข้างต้น ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจบทบาทและความสำคัญของพ่อบ้านอย่างลึกซึ้ง


ยืนมองมาดามวาฮาน่า·เฮย์เซ่นเดินจากไป ไคลน์หักห้ามใจไม่ยกมือขึ้นมาลูบหน้าผาก ทำเพียงถอนหายใจยาว


เหนื่อยยิ่งกว่าการต่อสู้กับผู้วิเศษเสียอีก ต้องคอยใส่ใจทุกการกระทำ ระวังทุกคำพูด… อยากพักผ่อนชะมัด…


ทันใดนั้น วอลเตอร์ที่สวมถุงมือสีขาว ก้าวไปข้างหน้าและกล่าว


“นายท่าน เนื่องจากคุณเรียนรู้มารยาทได้รวดเร็ว พวกเราจึงมีเวลาเหลือพอที่จะเข้าสู่บทเรียนถัดไป”


“บทเรียนอะไร” ไคลน์รู้สึกปวดหัว


“ประวัติศาสตร์ การเมืองระหว่างประเทศ ปรัชญา ดนตรี และพื้นฐานด้านกีฬาจำพวกกอล์ฟ แข่งม้า ล่าสัตว์” วอลเตอร์ตอบโดยละเอียด


“ปรัชญา?” ไคลน์ถามอย่างประหลาดใจ


วอลเตอร์พยักหน้า


“เป็นหนึ่งในหัวข้อที่ง่ายที่สุดของชนชั้นสูง นายท่านไม่จำเป็นต้องศึกษาในเชิงลึก แค่เข้าใจบทสนทนาของคนอื่นก็พอ ต้องทราบว่าจุดเริ่มต้นของปรัชญามาจากคอนซิสโซ่ มาแรนด์ และแพทเทอร์สัน ไม่ใช่จักรพรรดิโรซายล์มหาราช และต้องทราบว่าลัวมี่เป็นคนแรกที่เปิดประเด็นเรื่อง ‘อิสระของชีวิต’


“ในสมัยก่อน เศรษฐีจำนวนมากที่เพิ่งเข้าสู่ชนชั้นสูงมักทำพลาดในเรื่องนี้ เมื่อใดที่พบหลักปรัชญาซึ่งตนไม่รู้จัก พวกเขามักอนุมานว่าจักรพรรดิโรซายล์เป็นผู้คิดค้นและผลักดัน”


ไคลน์ที่เริ่มปวดหัวหนัก ฝืนยิ้มแห้ง


“ช่วงนี้ผมกำลังว่าง นอกจากการงีบในช่วงบ่ายและการสวดมนต์ที่วิหาร คุณสามารถจัดตารางเรียนได้ทุกเวลา”



ภายในห้องมืด ซองจดหมายลอยขึ้น เปิดออกด้วยตัวเอง ดึงแผ่นกระดาษด้านในออกมา


ร่างของชารอนที่สวมหมวกอ่อนใบเล็กค่อยๆ คมชัดขึ้นจากด้านข้าง ในท่ามือข้างหนึ่งถือกระดาษจดหมาย เธอตั้งใจอ่านอย่างละเอียด


เมื่ออ่านจบ ชารอนเขียนตอบกลับทันที จากนั้นก็ประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสารของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้


เธอไม่ลืมที่จะเตรียมเหรียญทอง


ชารอนท่องคาถาจบอย่างรวดเร็ว เฝ้ามองแสงเทียนสีเขียนหม่นค่อยๆ ขยายตัว


เพียงไม่นาน ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ในสภาพหิ้วศีรษะผมทองและดวงตาสีแดงทั้งสี่เศียร ปรากฏกายต่อหน้าชารอน


ดวงตาชารอนพลันชะงัก บนใบหน้าที่ดูคล้ายกับตุ๊กตา เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อย่างรุนแรง


หญิงสาวโพล่งขึ้น


“ท่านอาจารย์! ไม่ใช่ว่าท่าน…”


ราชันเร้นลับ 752 : คำเตือน

โดย

Ink Stone_Fantasy

บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน ในห้องอ่านหนังสือที่ค่อนข้างสว่าง


ชั้นไม้วางเรียงราย อัดแน่นไปด้วยหนังสือสะสม มองผิวเผินดูเหมือนห้องสมุดส่วนตัว


ไคลน์กำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูง มองไปยังมุมหนังสือพิมพ์ประจำวัน พบทั้งหนังสือพิมพ์ทัสซอคและเบ็คลันด์รายวัน โฆษณาหนึ่งถูกแสดงในตำแหน่งที่โดดเด่น – ต้องการโอนหุ้น 10% ของบริษัทเบ็คลันด์จักรยาน


มิสเตอร์สแตนธอนยังทำงานได้ค่อนข้างไวเหมือนเดิม การตรวจสอบและประเมินมูลค่าเสร็จสิ้นภายในไม่กี่วัน… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณพลันถูกกระตุ้น


ชายหนุ่มรีบเปิดเนตรวิญญาณ มองเห็นผู้ส่งสารไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ โผล่ออกจากความว่างเปล่าตรงหน้า มือทั้งสองข้างยังคงถือศีรษะผมทองดวงตาแดงทั้งสี่เศียรไว้เช่นเคย หนึ่งในนั้นกำลังคาบซองจดหมาย


น่าจะเป็นคำตอบจากชารอน… ไคลน์ครุ่นคิด เหยียดแขนไปรับและพยักหน้า


“ขอบคุณ”


ขณะกล่าว ชายหนุ่มมองไปทางประตูห้องอ่านหนังสือตามจิตใต้สำนึก เพราะคนที่ยืนอยู่ด้านนอกคือบุรุษรับใช้ ริชาร์ดสัน


นำจดหมายออก คลี่กระดาษ ไคลน์กวาดตาอ่านอย่างรวดเร็ว เจ้าของจดหมายไม่ใช่ใครนอกจากชารอน เธอบอกว่าตนไม่มีความคิดที่จะซื้อขวดพิษชีวภาพในตอนนี้ เว้นเสียแต่จะขายไม่ออกเป็นเวลานาน เธอจะลองพิจารณาดูใหม่


สถานการณ์ทางการเงินไม่ค่อยดี? หรือเก็บเงินไว้ใช้ในเรื่องที่สำคัญกว่า? ไคลน์ครุ่นคิด เชื่อโดยสัญชาตญาณว่าเป็นอย่างหลัง เนื่องจากครึ่งเทพที่ชื่อว่า ‘ซัตทเวน’ ไม่สามารถอยู่ในกรุงเบ็คลันด์ได้ตลอดเวลา ชารอนและมาริคจึงค่อนข้างเป็นอิสระจากการตามล่าของโรงเรียนกุหลาบ สามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำด้วยพลังพิเศษในเส้นทาง นอกจากนั้น คล้ายกับพวกเขากำลังคุมตลาดอาวุธเถื่อนในผับวีรบุรุษ ทำหน้าที่สนับสนุนเอียนอยู่เบื้องหลัง ลำพังตรงนี้ก็ทำเงินได้มากโขแล้ว


ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์เงยหน้า พบว่ามิสผู้ส่งสารยังคงจ้องตนด้วยดวงตาสีแดงสี่คู่แปดข้างโดยไม่หันไปทางอื่น


ชายหนุ่มตกใจมาก คิดว่าอีกฝ่ายกำลังจะทวงหนี้ จึงกระแอมในลำคอและกล่าว


“ผมไม่ตอบจดหมาย… และภายในสัปดาห์นี้ หนี้ก้อนแรกจะถูกผ่อนชำระ”


ศีรษะทั้งสี่ของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์พูดเรียงกัน


“ไม่จำเป็น…” “ต้องรีบ…” “ไม่มี…” “ดอกเบี้ย…”


มิสผู้ส่งสารใจดีผิดคาด… ไคลน์ถอนหายใจ ร่างของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์หายไปจากจุดที่เคยยืน กลับไปยังส่วนลึกของโลกวิญญาณ


เผากระดาษจดหมายเสร็จ มันพักผ่อนครึ่งชั่วโมง ก่อนจะตื่นและเดินไปที่ประตู บอกให้ริชาร์ดสันเตรียมรถม้า


ชายหนุ่มมีแผนจะแวะไปวิหารก่อนคาบเรียนปรัชญาในช่วงบ่าย


ตลอดการเดินทางอันราบรื่น ไคลน์ที่ดื่มชาดำเพียงไม่กี่จิบได้มาถึงจัตุรัสด้านนอกวิหารนักบุญแซมมวล


หลังจากสงบจิตใจด้วยการยืนมองนกพิราบขาว ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในประตูวิหาร เข้าไปในโถงสวดมนต์หลัก เลือกที่นั่งตามใจชอบ ริชาร์ดสันทำเหมือนกับครั้งก่อน ถือหมวกและไม้ค้ำของนายจ้าง นั่งเฉียงไปทางด้านหลัง


ระหว่างสวดมนต์ด้วยความคิดว่างเปล่า สัมผัสวิญญาณไคลน์ถูกกระตุ้นอีกครั้ง จึงลืมตาขึ้นและมองไปทางซ้าย


มันพบเลียวนาร์ด·มิเชล เจ้าของเส้นผมสีดำและดวงตาสีเขียว


เหยี่ยวราตรีรายนี้มิได้สวมเสื้อกันลม แต่เป็นเชิ้ตสีขาวที่ปล่อยชายออกนอกกางเกงขายาว สวมเสื้อกั๊กสีดำทับ ท่าทางสบายๆ


เมื่อเห็นว่าสุภาพบุรุษวัยกลางคนที่มีจอนสีเงินกำลังมองมาทางตน เลียวนาร์ดยิ้มรับและพยักหน้า ถอนสายตากลับ หลับตาลงและทำทีเป็นสวดมนต์


มันไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะสงสัยในเรื่องที่ตนหันไปมอง เพราะเมื่อครู่เป็นเพียงการชำเลือง ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น สาวกหลายคนก็มีพฤติกรรมแบบเดียวกัน


สุภาพบุรุษหน้าตาดีและสง่างามแทบทุกคน มักได้รับความสนใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เลียวนาร์ด·มิเชลก็เคยถูกมองอยู่บ่อยๆ จึงพอจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย


ทันใดนั้น เสียงค่อนข้างชราดังขึ้นในใจ


“เป็นเขา”


หึหึ… การลงทุนแวะมาที่โบสถ์ทั้งเมื่อวานและวันนี้ไม่ใช่เรื่องสูญเปล่า… เลียวนาร์ดครุ่นคิด ภายนอกยังสุขุม


ขณะเดียวกัน ไคลน์ที่แสร้งทำเป็นสวดมนต์ เริ่มผุดความฉงนขึ้นในใจ


สหายเลียวนาร์ดกลายเป็นคนเคร่งศาสนาตั้งแต่เมื่อไร?


จริงอยู่ เนื่องด้วยหน้าที่การงาน เขาจำเป็นต้องเคร่งศาสนามากกว่าเรา แต่ไม่ใช่ประเภทที่ต้องเข้าวิหารทุกวันแน่นอน อย่างมากก็สองสัปดาห์ต่อครั้ง หรือไม่ก็สัปดาห์ละครั้ง…


มีจุดประสงค์แอบแฝง? ไม่ผิดแน่… เมื่อครู่หมอนั่นมองมาที่เรา…


คิดถึงตรงนี้ ไคลน์พลันตระหนัก


ชายชราในตัวเลียวนาร์ดคือเทวทูตจากตระกูลโซโรอาสเตอร์ อีกนัยหนึ่งก็คือ เทวทูตของเส้นทาง ‘นักจารกรรม’ …


‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์เองก็เป็นราชาเทวทูตบนเส้นทางเดียวกัน มันสามารถมองเห็นหมอกสีเทา ถึงขั้นพยายามบุกรุก…


ดังนั้น คุณปู่ในร่างเลียวนาร์ดย่อมมีสิทธิ์สังเกตเห็นร่องรอยของหมอกสีเทาบนตัวเราเช่นกัน!


คิดได้เช่นนี้ หัวใจไคลน์พลันเต้นแรง กังวลว่ารอบตัวจะเต็มไปด้วยกับดักแสนอันตรายจากถุงมือแดง


ชายหนุ่มยังคงสวดวิงวอนในท่าเดิมไม่แปรเปลี่ยน ดวงตาใต้เปลือกตานิ่งสนิท มิได้กลอกซ้ายขวา นั่งสำรวมอย่างสงบและอดกลั้น กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้างภายในวิหารทุกประการ


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ชายหนุ่มค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เดินไปยังแท่นบูชาและหยุดอยู่หน้ากล่องบริจาค หย่อนธนบัตรรวมห้าสิบปอนด์


จากนั้น ไคลน์ทำแบบที่เคยทำ ยิ้มและพยักหน้าให้เหล่าบิชอปกับนักบวชที่เข้าเวร อีกฝ่ายจึงตอบสนองกลับมาอย่างอ่อนโยน


เมื่อเดินออกจากวิหารนักบุญแซมมวล ไคลน์รับหมวกจากริชาร์ดสัน ยืนให้อาหารนกพิราบขาวกลางจัตุรัสราวสิบนาที


ด้านหลังของมัน สาวกที่สวดวิงวอนเสร็จเริ่มทยอยเดินออกมาทีละคนสองคน หนึ่งในนั้นคือเลียวนาร์ด·มิเชล


ไคลน์ไม่ได้มองไปทางประตูวิหาร เพียงวางมือลงบนไม้ค้ำเลี่ยมทองแผ่วเบา เดินไปทางรถม้าสี่ล้อซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล


เลียวนาร์ดยังคงป้อนอาหารนกพิราบในจัตุรัส เฝ้ามองเป้าหมายขึ้นรถและจากไป แต่ก็ไม่คิดจะไล่ตาม


เนื่องจากอีกฝ่ายมีกลิ่นอายโบราณ ถึงขั้นได้รับความสนใจจากปรสิตในร่าง เป็นเหตุให้เลียวนาร์ดไม่กล้าประมาท ไม่กล้าลงมือซึ่งหน้า เพราะนั่นจะเต็มไปด้วยอันตราย


มันวางแผนจะสืบข้อมูลให้แน่ใจเสียก่อน รวบรวมเบาะแสที่จำเป็น


ถึงตอนนั้น ไว้ค่อยมาดูกันว่าตาแก่จะมีท่าทีอย่างไร… อีกทั้ง ไม่ใช่ว่าตอนนี้จะไม่มีหนทางสืบสวนสักหน่อย รถม้าคุณภาพสูงระดับนี้ ทั่วทั้งเบ็คลันด์มีจำนวนไม่มาก ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของเองหรือเช่ามา แต่การระบุแหล่งที่มาคงไม่ใช่เรื่องยาก จากนั้นก็คงได้ข้อมูลเกี่ยวกับชื่อสกุลของสุภาพบุรุษลึกลับคนดังกล่าว… เลียวนาร์ดมองนกพิราบสีขาว ครุ่นคิดอย่างผ่อนคลาย


มันคือเหยี่ยวราตรีที่มีประสบการณ์สูง แถมยังสังกัดหน่วยถุงมือแดงซึ่งถือเป็นหัวกะทิของเหยี่ยวราตรี!


ทันใดนั้น นกพิราบสีขาวตัวหนึ่งกระพือปีกพร้อมกับบินเข้ามาใกล้ ในปากกำลังคาบบางสิ่ง


เลียวนาร์ดขมวดคิ้วพลางเหยียดมือซ้ายออกไปรับ เฝ้ามองนกพิราบลดระดับความสูงลง คายกระดาษ จากนั้นก็กระพือปีก บินขึ้นไปอีกครั้ง


หยิบแผ่นกระดาษขึ้น เลียวนาร์ดรีบคลี่ออกด้วยความสงสัย มองเห็นคำสองคำถูกเขียนไว้ด้านบน


“โซโรอาสเตอร์… ปรสิต”


นี่มัน… รูม่านตาเลียวนาร์ดพลันหดลีบ ตระหนักว่าเส้นขนทั่วร่างกำลังลุกตั้งชัน อารมณ์อันหลากหลายกำลังพรั่งพรู


สุภาพบุรุษคนนั้นมองเห็นความลับของเรา?


สมแล้วที่เป็นตัวตนจากยุคสมัยโบราณ!


อาจเป็นหนึ่งในสัตว์ประหลาดที่ยังเหลือรอดมาจากยุคสมัยที่สี่!


เขากำลังเตือนเรา? บอกให้เราอย่าเข้าไปยุ่ง… ไม่สิ อย่าเข้าไปใกล้?


ทันใดนั้น เมื่อลองนึกย้อนพฤติกรรมของสุภาพบุรุษจอนสีขาวและดวงตาสีน้ำเงินเข้ม เลียวนาร์ดพบว่าทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายจะแผ่อำนาจกดดันออกมาอย่างเจือจางเสมอ ส่งผลคนกลัวที่จะมองเข้าไปตรงๆ กลัวที่จะเข้าใกล้


มันล้มเลิกความคิดที่จะสอบสวนอีกฝ่ายทันที หลังจากเฝ้ามองนกสีขาวร่อนลงจอดเป็นกลุ่มใหญ่ เลียวนาร์ดลดเสียงลงและพูดกับตัวเอง


“ตาแก่… นั่นอาจจะเป็นสหายเก่าของคุณ… ถ้าต้องการตรวจสอบจริงๆ คงต้องรอจนกว่าพลังของคุณจะฟื้นฟูกลับมา”


เสียงค่อนข้างชราพึมพำคำว่า ‘สหายเก่า’ ซ้ำไปมา คล้ายกับเริ่มฉุกคิดบางสิ่งได้ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเรื่องอะไร


เลียวนาร์ดข่มอารมณ์ หัวเราะแห้ง


“ที่แท้ คุณก็เป็นคนของตระกูลโซโรอาสเตอร์นี่เอง”


ในเวลาเดียวกัน ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตร ตรงจุดตัดของถนนเฟลป์และถนนเส้นใกล้เคียง


ดอน·ดันเตสเจ้าของเส้นผมสีดำซึ่งมีสีเงินแซมเล็กน้อย กำลังเอนหลังพิงพนักห้องโดยสาร ค่อยๆ หลับตาลง ซ่อนใบหน้าไว้ใต้เงาของรถม้า


ที่ด้านหลังริชาร์ดสัน ร่างมายาของชายวัยกลางคนซึ่งสวมแจ็คเก็ตสีแดงเข้ม หมวกสามมุมใบเก่า ทำท่าคารวะผู้เป็นนายก่อนจะหายตัวไปในความว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดมองเห็นร่างมายานี้


รถม้าเลี้ยวเปลี่ยนเส้นถนนอย่างไม่รีบร้อน พร้อมนกพิราบสีขาวกลุ่มใหญ่ที่บินขึ้นจากใจกลางจัตุรัส



กลับถึงบ้าน เดินเข้าไปในโถงที่มีระเบียงใหญ่ใจกลาง ไคลน์ผู้ปิดปากเงียบตลอดทาง ถอนหายใจเป็นครั้งแรก


ถ้าเลียวนาร์ดถูกคุณปู่คนนั้นควบคุมร่างโดยสมบูรณ์และไม่เชื่อฟังคำเตือน ชายหนุ่มคิดจะเขียนใส่กระดาษไปอีกหนึ่งประโยค เนื้อหาก็คือ ‘ฉันรู้ว่าผู้เย้ยเทพอามุนด์อยู่ที่ไหน’


ความนัยแฝงก็คือ หากขัดขวางธุระของทางนี้อีกเพียงครั้งเดียว ฉันจะบอกกับ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ว่า ที่นี่มีเทวทูตจากตระกูลโซโรอาสเตอร์แฝงตัวอยู่


การข่มขู่เช่นนี้จะไม่ทำให้ชายชรารู้สึกว่าดอน·ดันเตสอ่อนแอ ต้องยืมมือบุคคลอื่นมาช่วย กลับกัน อีกฝ่ายจะมองว่าเป็นคำเตือนที่แฝงไว้ด้วยไมตรีจิต ทำไปเพราะให้ความยำเกรงต่อเทวทูต


แต่ถ้าเตือนสองครั้งแล้วยังไม่ฟัง ไคลน์ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากนำข่าวไปบอกกับ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์


อา… หวังว่าคำเตือนสองครั้งคงเพียงพอที่จะยับยั้งพฤติกรรมของอีกฝ่าย… คุณคนนี้ปู่คงมีแผนการอันล้ำลึก หรือไม่ก็กำลังประสบปัญหาบางอย่าง ถึงเลือกมาเป็นปรสิตในร่างสิ่งมีชีวิตอ่อนแออย่างเลียวนาร์ด เขาคงไม่อยากให้เรานำพาปัญหาเข้าไปเพิ่ม… หึหึ ต้องขอบคุณ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสสำหรับข้อมูลอันมีค่านี้ หากไม่ทราบล่วงหน้าว่าเลียวนาร์ดมีปรสิตเป็นเทวทูตเส้นทางนักจารกรรม ก็คงไม่รู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าหมาย อย่าว่าแต่จะเตือนพวกเขาอย่างเป็นมิตรเลย… ไคลน์วิเคราะห์อย่างใจเย็น ความเครียดและตื่นตระหนกในตอนต้นเริ่มจางหาย


ขณะชายหนุ่มเตรียมผ่อนคลาย ประตูห้องถูกเคาะโดยริชาร์ดสัน บุรุษรับใช้ส่วนตัว


“นายท่าน พ่อบ้านอยากพบคุณ”


“เชิญเข้ามา” ไคลน์หันหลังและเดินออกจากระเบียงใหญ่ กลับไปยังห้องกึ่งเปิดโล่ง


วอลเตอร์ในถุงมือสีขาว เปิดประตูและกล่าว


“นายท่าน ครูสอนวิชาปรัชญา มิสเตอร์ฮามิด มาถึงแล้วครับ”


คาบเรียนวิชาปรัชญา… ไคลน์ลูบหน้าผากอย่างปวดหัว


มันเคยได้ยินวอลเตอร์เกริ่นให้ฟังแล้ว มิสเตอร์ฮามิดคือสาวกของเทพวายุสลาตัน เช่นเดียวกันกับลัวมี่ นักปรัชญาคนดัง รวมไปถึงนักปรัชญาอีกจำนวนมากในอาณาจักรโลเอ็น


สิ่งนี้ทำให้ไคลน์ค่อนข้างประหลาดใจ เพราะตนเชื่อมาตลอดว่าสาวกเทพวายุสลาตันต้องเป็นพวกบ้ากล้าม


เราคงต้องเลิกตัดสินคนจากความเชื่อ… หึหึ… แต่ชักสงสัยว่า ข้อกำหนดเบื้องต้นในการเป็นนักปรัชญา คือต้องหาเมียไม่ได้ หรือไม่ก็แตกแยกกับครอบครัว? ขณะพึมพำ ไคลน์จัดระเบียบเสื้อผ้า เดินไปที่ประตู กล่าวกับพ่อบ้านวอลเตอร์


“ตกลง ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้”


ราชันเร้นลับ 753 : บิชอปมาเยือน

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากคาบเรียนปรัชญาจบลง ไคลน์รู้สึกคล้ายกับไม่ได้นอนมาสามวันสามคืน ในหัวเต็มไปด้วยชื่อและแนวคิดจำอันซับซ้อนพวกกังขาคติ อภิปรัชญา การคิดจากเหตุไปถึงผล จากผลไปถึงเหตุ นามนิยม สังคมนิยมแห่งโรซายล์ อัตถิภาวนิยม และปฏิฐานนิยม


หากไม่ใช่เพราะ ‘เจ้าของร่าง’ เคยศึกษาประวัติศาสตร์มาก่อน พอจะมีพื้นฐานในเชิงปรัชญาอยู่บ้าง ชายหนุ่มไม่มั่นใจว่าตนจะเอาตัวรอดจากคาบเรียนดังกล่าว เพราะนี่เป็นการเรียนตัวต่อตัว ไม่เหมือนกับสมัยมหาวิทยาลัยในโลกเก่า ถ้าไม่เข้าใจก็แค่แอบหลับหรือไม่ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น


มิสเตอร์ฮามิดไม่เหมือนกับที่เราจินตนาการไว้เลย เขาเป็นคนตลก เป็นกันเอง เปิดใจ ชอบสนทนากับผู้คน การบรรยายไม่น่าเบื่อแม้แต่น้อย นอกจากนั้นยังไม่ยัดเยียดความศรัทธาในเทพวายุสลาตันเหมือนกับสาวกคนอื่น… ไคลน์ยกมือขึ้นมาลูบหน้าผาก เดินออกจากประตู ตรงไปยังบันไดใจกลางห้องโถง เดินขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงชั้นสาม โดยมีริชาร์ดสัน บุรุษรับใช้ส่วนตัว คอยตามหลังอย่างเงียบงัน


ระหว่างนี้ มันพบว่าคนงานและสาวใช้กำลังยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง ไม่มีใครเกียจคร้าน เมื่อนายจ้างเดินผ่านก็จะหยุดเพื่อแสดงความเคารพ คล้ายกับได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดี


ทาเนญ่าบริหารงานในครัวเรือนเก่งมาก… ไคลน์ก้าวไปบนทางเดินชั้นสาม ปลายทางคือห้องที่เปิดประตูค้างไว้ครึ่งหนึ่ง


ยังไม่ทันจะเข้าไป ไคลน์พบว่าพ่อบ้านวอลเตอร์กำลังแขวนลูกซองแฝดไว้บนผนังสองกระบอก มอบความรู้สึกหยาบกร้านและฮึกเหิม


นี่คือการตกแต่งทั่วไปของพ่อค้าที่ร่ำรวย ใบอนุญาตล่าสัตว์นั้นหาไม่ยาก และอานุภาพของปืนลูกซองแฝดก็ไม่ธรรมดา เพียงพอสำหรับให้คนงานและสาวใช้จัดการกับหัวขโมยที่แทรกซึมเข้ามา


หลังจากแขวนเสร็จ วอลเตอร์ถอยหลังสองก้าว ตรวจสอบปืนลูกซองแฝดสักพัก หยิบนาฬิกาพกสีทองจากกระเป๋าเสื้อด้านใน


กริ๊ก!


มันกดนาฬิกา ตรวจสอบเวลาเสร็จ ใบหน้าที่เคร่งขรึมและหัวเก่า ดูอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด


ไคลน์กระแอมเล็กน้อยเพื่อให้พ่อบ้านรู้ตัว จึงค่อยเปิดประตูที่แง้มอยู่ครึ่งหนึ่งและเดินเข้าไป


วอลเตอร์ปิดนาฬิกาพก ใส่กลับไปในเสื้อ หันมาทำความเคารพ


“นายท่าน พวกเราได้รับใบอนุญาตล่าสัตว์มาทั้งหมดหกใบ จึงซื้อปืนลูกสองแฝดและกล่องบรรจุมาหกชุด”


ไคลน์ผู้ซุกซ่อนปืนพก ‘ลางมรณะ’ ไว้ใต้รักแร้ ไม่ได้สนใจปืนลูกซองมากนัก ทำเพียงพยักหน้าเชิงรับรู้


ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ซักถามโดยไม่หันไปมอง


“เมื่อตอนที่ผมอ่านข้อมูลจากสำนักงานจัดหาคนรับใช้ สังเกตเห็นว่าคุณวอลเตอร์มีภรรยาและบุตรแล้ว?”


พ่อบ้าน หรือในบางตระกูลจะเรียกว่าหัวหน้าพ่อบ้าน ถือเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของเจ้าบ้าน เพราะรู้จักรายละเอียดของงานหลายประเภทในครัวเรือนเป็นอย่างดี ดังนั้น การสั่งงานผ่านพ่อบ้านคือสิ่งที่นายจ้างส่วนใหญ่มักกระทำ ไคลน์เองก็ไม่มียกเว้น


เหนือสิ่งอื่นใด ชายหนุ่มยังไม่ลืมว่า ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสเคยกล่าวเอาไว้ – การจ้างมิสเตอร์วอลเตอร์จะมีอนาคตที่น่าสนใจรออยู่


วอลเตอร์ตอบเสียงขรึม


“ใช่ครับ เมื่อครั้งผมยังเป็นคนรับใช้ของคฤหาสน์ตระกูลไวเคาต์คอนราด ด้วยเหตุจำเป็นบางอย่าง ผมต้องติดต่อกับสตรีผู้หนึ่งบ่อยครั้งจนเริ่มเกิดความรู้สึกดีๆ จากนั้น ภายใต้การเฝ้ามองของเทพธิดา พวกเราก้าวเข้าสู่ร่มเงาของการสมรส มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน ปัจจุบันเธอกำลังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนสามัญ ตั้งเป้าว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเบ็คลันด์ให้ได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนั้นยังมีเวลาอีกสองปี”


เมื่อเอ่ยถึงภรรยาและลูกสาว น้ำเสียงของพ่อบ้านที่เคร่งขรึม ไม่ยิ้มแย้ม พลันอ่อนโยนและร่าเริงขึ้นโดยไม่รู้ตัว


สำหรับปัจจุบัน ทุกศาสนาจะเน้นด้านความสัมพันธ์ของครอบครัวเป็นหลัก เพื่อคอยรับมือความกดดันในชีวิตและปัญหาทางจิตใจซึ่งอาจเกิดจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือ แต่ละศาสนาจะเรียงลำดับความสำคัญไม่เท่ากัน เทพธิดารัตติกาลจะเน้นด้านความเท่าเทียมระหว่างชายหญิง ช่วยกันพยุงครอบครัว เทพวายุสลาตันจะเน้นการให้ผู้ชายทำงานนอกบ้าน ผู้หญิงคอยอยู่บ้านคอยเป็นนางฟ้าสนับสนุนสามี เทพจักรกลไอน้ำจะเน้นไปในเชิงเทคโนโลยีและการใช้แรงงาน ทั้งชายและหญิงต้องช่วยกันทำงาน ช่วยเติมเต็มซึ่งกันและกัน


หัวใจไคลน์สั่นคลอนอย่างอธิบายไม่ถูก หันไปถาม


“มาดามทาเนญ่ายังโสด?”


“ใช่ครับ” วอลเตอร์กลับไปใช้เสียงเคร่งขรึม “ในสังคมสมัยใหม่ คนรับใช้ชายและหญิงยังไม่เท่าเทียมกัน ผมไม่ได้หมายถึงในด้านค่าจ้าง เพราะแม่บ้านเก่งๆ จะถูกจ้างด้วยค่าแรงระดับเดียวกับผู้ช่วยพ่อบ้านหรือพ่อบ้าน ตกราวๆ ปีละยี่สิบห้าถึงห้าสิบปอนด์ แต่ผมหมายถึงการถูกเลือกปฏิบัติที่แตกต่าง ทางศาสนจักรเองก็พยายามผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังมีบางกลุ่มต่อต้าน เพราะท้ายที่สุด เทพธิดามิได้เป็นเพียงศาสนาเดียวในโลเอ็น”


มันเว้นวรรคสักพัก กล่าวเสริม


“คนรับใช้ชายสามารถแต่งงานได้ แต่ถ้าเมื่อใดที่สาวใช้มีครอบครัว นั่นหมายถึงการตกงาน หรือไม่ก็ความตกต่ำทางอาชีพ อาจต้องกลายเป็นแม่บ้านซักผ้าหรือพนักงานทำความสะอาดชั่วคราวที่นายจ้างไม่ต้องการ เพราะจะทำให้พวกเขาเสื่อมเสียเกียรติ… สิ่งเหล่านี้คือสัจธรรมที่พวกเธอต้องก้มหน้ารับจนกว่าจะไต่เต้าไปถึงตำแหน่งแม่บ้าน แต่นั่นก็ไม่ใช่งานที่สตรีอายุน้อยและขาดประสบการณ์จะทำได้ดีนัก”


ไคลน์ไม่สานต่อหัวข้อสนทนา พยักหน้ารับแผ่วเบา เดินไปยังเก้าอี้เอนหลังภายในห้อง


ทันใดนั้น ชายหนุ่มเหลือบเห็นหนังสือพิมพ์ที่กองอยู่บนโต๊ะกาแฟด้านข้าง


สมองฉุกคิดบางสิ่ง จึงชะงักเล็กน้อยและหันไปกล่าวกับพ่อบ้าน


“ผมเห็นโฆษณาหนึ่งในหนังสือพิมพ์ เนื้อหาเกี่ยวกับการโอนหุ้นของบริษัทเบ็คลันด์จักรยาน รบกวนคุณช่วยหาทนายและนักบัญชีมืออาชีพมาให้คำปรึกษาผมเรื่องนี้ด้วย รวมถึงการตรวจสอบสถานการณ์อย่างละเอียด… หึหึ ผมสนใจอุตสาหกรรมนี้พอสมควร ถ้าราคาไม่แพงมาก จะพิจารณาเรื่องการซื้อ”


ที่ชะงักไปเมื่อครู่ เพราะไคลน์ผุดคำถามหนึ่งในหัว – คนรวยที่เพิ่งเข้ามาอาศัยในกรุงเบ็คลันด์เพื่อแสวงหาโอกาส จะไม่สนใจข่าวการโอนหุ้นของบริษัทเบ็คลันด์จักรยานสักนิดเลยหรือ?


แม้ว่า ‘ดันเตส’ จะไม่สันทัดในอุตสาหกรรมนี้ แต่ก็ควรหาคนมาตรวจสอบ ไม่อย่างนั้นอาจไม่สอดคล้องกับอุปนิสัยของตัวละคร


หึหึ วิธีนี้ยังจะช่วยให้ราคาหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของเราเพิ่มขึ้น… แต่ต้องคอยเตือนตัวเองไว้ว่า อย่าพยายามเพิ่มราคาให้สูงเกินไป ห้ามโลภจนเกินเหตุ เพราะถ้าเพิ่มราคาแล้วดันไม่มีคนสู้ ฝ่ายที่ต้องนั่งเสียใจภายหลังคือตัวเราเอง สิ้นเนื้อประดาตัวในพริบตา กระทั่งค่าใช้จ่ายประจำวันก็ไม่น่าจะเพียงพอ… ขณะกำลังวาดฝันอนาคตอันงดงาม ไคลน์รีบเตือนตัวเองในใจ


“ครับ นายท่าน” วอลเตอร์ไม่ถามซักไซ้ รับคำอย่างว่าง่าย


16:35 นาฬิกา บุรุษรับใช้ริชาร์ดสันเคาะประตูเพื่อขอเข้าไปในห้อง กล่าวกับดอน·ดันเตสที่กำลังอ่านหนังสืออย่างสบายใจ


“นายท่านครับ มีแขกมาหา ประกอบด้วยมิสเตอร์โมวรี·มัคท์กับมาดามลีอานน่าภรรยาของเขา รวมถึงมิสเตอร์อีเล็คตร้า บิชอปแห่งวิหารนักบุญแซมมวล”


โมวรี·มัคท์? สมาชิกสภาสามัญคนนั้น? แถมยัง… ทำไมบิชอปของวิหารนักบุญแซมมวลถึงมาเยี่ยม? ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ถามกลับด้วยรอยยิ้ม


“มีธรรมเนียมปฏิบัติแบบนี้ด้วยหรือ?”


แม้ชายหนุ่มจะเพิ่งเรียนมารยาทไปเพียงสองคาบ แต่ก็พอจะทราบว่า ด้วยฐานะของเพื่อนบ้านระดับนี้ การเยี่ยมเยียนในครั้งแรกมักไม่กระทำกันซึ่งหน้า แต่จะส่งแม่บ้านหรือคนรับใช้มาเคาะประตู ส่งจดหมายเชิญหรือนัดหมายสำหรับการเข้ามาเยี่ยมอย่างเป็นทางการ


ริชาร์ดสันก้มศีรษะลงตามนิสัย


“มีครับ… เพราะคุณพ่อบ้านเคยแวะเข้าไปส่งนามบัตรและของขวัญให้นายท่าน โดยบอกกับเพื่อนบ้านทุกๆ คนว่า ตลอดสัปดาห์นี้ นายท่านจะอยู่ที่บ้านในช่วงบ่าย… จากสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อนบ้านที่ได้รับนามบัตรจะเริ่มรู้จักนายท่านเบื้องต้น และหลังจากเฝ้าสังเกตสักพัก ไม่จำกัดเฉพาะการส่งคนรับใช้มาเชิญไปเป็นแขกที่บ้าน แต่พวกเขายังสามารถแวะมาเยี่ยมแบบกึ่งทางการในช่วงสี่ถึงห้าโมงเย็น ด้วยเหตุผลว่าเป็นทางผ่านระหว่างกำลังเดินเล่น… สุภาพสตรีจะต้องสวมชุดสำหรับเดินเล่นเท่านั้น มิฉะนั้นจะถือว่าไม่เหมาะสม และนายท่านสามารถชักชวนพวกเขาเข้ามาดื่มชายามบ่ายได้ด้วย”


ไคลน์เดินไปที่ประตู ยืนรอริชาร์ดสันหยิบเสื้อโค้ทมาสวมให้ ถามอย่างเป็นกันเอง


“แล้วบิชอปอีเล็คตร้า?”


นี่คือประเด็นที่ตนสนใจมากที่สุด คำถามแรกเป็นเพียงการปูทาง


ริชาร์ดสันตอบทันทีราวกับเตรียมพร้อมล่วงหน้า


“บิชอปอีเล็คตร้าเป็นแขกพิเศษของส.ส. มัคท์ในช่วงบ่าย มีความเป็นไปได้ว่า พวกเขากล่าวถึงคุณในการสนทนา จึงตัดสินใจแวะมาเยี่ยมโดยอ้างการเดินผ่าน”


ท่วงท่าการขยับแขนมิได้ด้อยประสิทธิภาพลงแม้จะกำลังพูดอยู่ ริชาร์ดสันช่วยดอน·ดันเตสสวมเครื่องแต่งกายอย่างชำนาญ


ไคลน์ ‘อืม’ ในลำคอ รอจนกระทั่งริชาร์ดสันก้าวไปข้างหน้าเพื่อเปิดประตู จึงค่อยเดินนำออกไป


ไม่นานนัก ชายหนุ่มเห็นแขกสามคนในห้องนั่งเล่นเล็กๆ บนชั้นสอง


โมวรี·มัคท์คือสุภาพบุรุษชาวโลเอ็นทั่วไป อายุราวสี่สิบ ผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาล ใบหน้าชัดลึกและเรียวยาว หน้าผากค่อนข้างเถิก เคยรับราชการในกองทัพบก และเข้าทำงานทางการเมืองหลังออกจากกองทัพ เริ่มต้นอาชีพใหม่ในกรุงเบ็คลันด์ ไต่เต้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เป็นสมาชิกสภาสามัญของอาณาจักร นับถือเทพธิดารัตติกาล เป็นสมาชิกพรรคหัวก้าวหน้า สนับสนุนการพัฒนาสภาพแวดล้อมทางอากาศ


ลีอานน่า ภรรยาของโมวรี มาจากครอบครัวทนายความ คอยป้อนทรัพยากรมากมายให้สามีเล่นการเมือง นับถือเทพธิดารัตติกาลเช่นกัน


อีเล็คตร้า มาในเสื้อคลุมสีดำกระดุมสองแถว อายุย่างสี่สิบ ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม ใบหน้าเรียว มองผิวเผินอาจไม่หล่อเหลา แต่กลับมีเสน่ห์บางอย่างแฝงอยู่ เป็นบิชอปคนที่ไคลน์เคยพบขณะหย่อนเงินลงกล่องบริจาค


เห็นดอน·ดันเตสเดินเข้ามา โมวรี·มัคท์เดินเข้าหาสองก้าวและยิ้ม


“ผมได้ยินมาสักพักแล้วว่า ผู้ศรัทธาในเทพธิดาอย่างแรงกล้าคนหนึ่งย้ายเข้าบ้านเลขที่ 160 คิดว่าสักวันต้องไปเยี่ยมให้ได้ วันนี้บังเอิญเดินเล่นและผ่านแถวนี้พอดี จึงถือวิสาสะแวะเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว ได้โปรดยกโทษให้ความหยาบคายของเราด้วย”


ไคลน์ยิ้ม ทำสัญลักษณ์ที่จุดบนหน้าอก


“ในเวลาแบบนี้ มาสรรเสริญพระองค์กันเถิด”


“เทพธิดาจงเจริญ!” อีเล็คตร้าและลีอานน่าพยักหน้าเงียบงัน พลางวาดสัญลักษณ์พระจันทร์สีแดงบนหน้าอก


ทักทายกันเสร็จ ไคลน์เชิญแขกทั้งสามคนนั่งลง เป็นเวลาเดียวกับที่สาวใช้ยกชาดำและกาแฟมาเสิร์ฟ – แม่บ้านทาเนญ่าได้ซักถามเรียบร้อยแล้วว่า แต่ละคนต้องการจะดื่มอะไร


“มิสเตอร์ดันเตส ผมได้ยินว่าคุณเป็นนักธุรกิจจากอ่าวเดซีย์ ไม่ทราบว่าเคยลงทุนในธุรกิจใดมาก่อน?” โมวรี·มัคท์ถามอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะกล่าวติดตลก “นามสกุลของคุณทำให้ผมคิดไปไกล”


มันกำลังหมายถึง ดันเตสคือนามสกุลที่มักเป็นของตัวเอกในนิยายอันโด่งดังของจักรพรรดิโรซายล์


ไคลน์หัวเราะ ถามติดตลกบ้าง


“ล่าขุมทรัพย์จัดเป็นธุรกิจแบบไหนครับ?”


เป็นการเล่นมุกจากนิยายที่ขายดีที่สุดของโรซายล์


โดยไม่รอให้มิสเตอร์ส.ส. ตอบกลับ ชายหนุ่มเล่าในสิ่งที่เตรียมไว้แล้ว


“ผมเคยเป็นเจ้าของเหมืองแห่งหนึ่ง แต่ก็อย่างที่คุณทราบ เหมืองยอมมีวันที่ขุดเสร็จ หลังจากนั้นก็แทบไม่ทำเงินอีก”


มันกำลังบอกใบ้ว่าตนเกิดที่เมืองซึ่งมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ในแคว้นเดซีย์ อย่างไรก็ตาม สถานที่ดังกล่าวเต็มไปด้วยกลุ่มอันธพาลและเศรษฐีลับๆ นับไม่ถ้วน หากคนทั่วไปต้องการตรวจสอบปูมหลังของดอน·ดันเตส เกรงว่าต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งปี


บิชอปอีเล็คตร้าพยักหน้าพลางครุ่นคิด


“คุณก็เลยย้ายมายังเบ็คลันด์เพื่อแสวงหาโอกาส? ผมขอทราบได้ไหมว่า ใครแนะนำให้คุณเข้าสู่ร่มเงาของเทพธิดา”


ราชันเร้นลับ 754 : คำเชิญ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เกี่ยวกับคำถามของบิชอปอีเล็คตร้า ไคลน์เตรียมคำตอบไว้แล้ว จึงถอนหายใจและกล่าวหลังจากฟังจบ


“เป็นบิดาของผมเอง เขาเป็นตาแก่ที่หลักแหลม น่าเสียดายที่ต้องเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน”


กล่าวจบ ชายหนุ่มนำความรู้สึกเศร้าโศกของ ‘เจ้าของร่าง’ ซึ่งมีต่อการจากไปของพ่อแม่ มาผสมผสานกับความเสียใจของตัวเองที่ไม่ได้กลับโลกเก่า รวมถึงประสบการณ์อันเลวร้ายที่เกิดขึ้นในเมืองทิงเก็น น้ำเสียงจึงค่อนข้างแบนราบ ยิ้มขื่นขมเล็กๆ ตรงมุมปาก เก็บซ่อนความเศร้าที่ไม่วันจางหายไปจากจิตใจ


“ผมขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสีย เขาได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในอาณาจักรของพระองค์แล้ว” บิชอปอีเล็คตร้ากล่าวจากก้นบึ้ง พลางทำสัญลักษณ์สี่จุดบนหน้าอก


โดยไม่รอให้ดอน·ดันเตสตอบสนอง แขกทั้งสามมองหน้ากันและเชื้อเชิญ


“วันมะรืนจะมีพิธีมิสซาจันทราแด่ผู้จากไป เพื่อช่วยให้ดวงวิญญาณของพวกเขากลับไปยังดินแดนแห่งเทพธิดา ประสบความสงบสุขอันเป็นนิรันดร์ ผมอยากทราบว่า คุณสนใจที่จะเข้าร่วมไหม?”


โบสถ์เทพธิดาจะมีวันพิเศษไม่มากนัก วันสำคัญที่สุดคือวันเฉลิมฉลองเหมันต์ รองลงมาคือพิธีมิสซาที่จัดขึ้นในวันพระจันทร์เต็มดวง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘มิสซาจันทรา’ ถัดมามาคือพิธีมิสซาทั่วไปและการสวดมนต์ทุกวันอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม ในแต่ละมุขมณฑลและวิหารก็จะนับถือนักบุญและเทวทูตที่แตกต่างกัน จึงมีวันพิเศษเป็นของตัวเอง


“ไม่พลาดแน่นอน” ไคลน์ลุกขึ้นพร้อมกับโค้งศีรษะ กล่าวอย่างจริงใจ


วิธีนี้จะช่วยให้มันได้ใกล้ชิดกับนักบวชและบิชอปของวิหารนักบุญแซมมวล อาจถึงขั้นได้รู้จักกับบิชอปแห่งมุขมณฑล เป็นบันไดไปสู่การเข้าถึงเขตหวงห้ามของวิหารนักบุญแซมมวลในอนาคต


ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มเริ่มตระหนักถึงเหตุผลที่เส้นทาง ‘รัตติกาล’ สามารถสับเปลี่ยนกับ ‘เทพมรณา’ ได้


ทั้งสองเส้นทางล้วนมีอำนาจในขอบเขตความสงบ การหลับใหลชั่วนิรันดร์ และความมืด สิ่งเหล่านี้หมายถึงจุดจบและความสิ้นสุด!


ถัดมา โมวรี·มัคท์เลิกซักไซ้ประสบการณ์และตัวตนของดอน·ดันเตส คล้ายกับเมื่อครู่เป็นเพียงการหว่านคำถามส่งเดช มันหันไปทางลีอานน่าผู้เป็นภรรยา ก่อนจะหันกลับมาเล่าความรู้สึกขณะเดินทางไปพักผ่อนที่อ่าวเดซีย์ตลอดช่วงหลายปีหลัง ไคลน์สามารถสานต่อบทสนทนาด้วยประสบการณ์ซึ่งเคยอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสองวัน ตอบกลับด้วยสำเนียงพื้นเมือง แบ่งปันความรู้สึกที่มีต่ออาหารท้องถิ่นขึ้นชื่อของอ่าวเดซีย์จำพวกปลาย่าง


ระหว่างนั้น ไคลน์ยังแสร้งหลุดพูดถึงกิจกรรมล่าสัตว์ขณะไปเยือนไบลัมตะวันตกเพื่อทำธุรกิจ อวดโอ่ว่าตนคุ้นเคยกับป่ารกร้างในแถบนั้นเป็นอย่างดี


ชายหนุ่มทำไปเพื่อกรุยทางให้ตัวตน ‘ชั้นที่สอง’ ของดอน·ดันเตสมีความสมเหตุสมผล นอกจากนั้น ไบลัมตะวันตกยังไม่เหมือนกับไบลัมตะวันออก โลเอ็นและอินทิสถือครองอำนาจในอาณานิคมใกล้เคียงกัน มักเกิดความขัดแย้งกันเป็นระยะ กระทั่งพื้นที่ในความควบคุมก็ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง หากต้องการค้นหาร่องรอยของนักธุรกิจหรือนักผจญภัยสักคน นั่นไม่ใช่เรื่องที่ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดอน·ดันเตสอาจใช้นามแฝง


สำหรับประสบการณ์การล่าสัตว์ในไบลัมตะวันตก ไคลน์ไม่ได้จินตนาการขึ้นมาเอง และมิได้คัดลอกมาจากนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์เล่มใด แต่เป็นการหยิบยืมมาจากประสบการณ์อันโชกโชนของ ‘นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเลหมอก’ แอนเดอร์สัน·ฮู้ด บอกเล่าโดยตัดทิ้งบางส่วน และกุขึ้นมาเองอีกบางส่วน


ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เคยได้ยินเสียงงูเหลือมตัวใหญ่ในป่า เรื่องปลากินคน เรื่องดอกไม้ที่สามารถจับเหยื่อกินได้เอง นั่นทำให้ลีอานน่า ภรรยาของโมวรี อุทานออกมาเป็นครั้งคราว แต่ถึงจะดูกลัว อีกใจหนึ่งก็อยากฟังเพิ่ม ขณะเดียวกัน ทั้งส.ส. และบิชอปเองก็ให้ความสนใจไม่น้อย อดไม่ได้ที่จะพูดขัดการเล่าของดอน·ดันเตสเป็นระยะ เพื่อขอรายละเอียดเพิ่มในจุดดังกล่าว


“คุณเป็นนักล่าที่เก่งกาจมาก! เมื่อครั้งที่ผมเคยถูกส่งไปประจำการในไบลัมตะวันออก ตอนนั้นไม่ได้เข้าไปในป่า คิดไม่ถึงว่าป่าดงดิบจะอันตรายขนาดนี้” หลังจากฟังสุภาพบุรุษมาดสง่างามฝั่งตรงข้ามพูดจบ โมวรี·มัคท์หยิบเค้ก ‘เร้ดเวลเวท’ ชิ้นเล็ก กล่าวชมจากใจจริง “ถ้ามีโอกาสในอนาคต ผมอยากชวนคุณไปล่าสัตว์ด้วยกัน”


ระหว่างการสนทนา สาวใช้ได้นำของว่างและชายามบ่ายมาเสิร์ฟ โดยมีบริกรชายคอยดูแลอยู่ข้างๆ


ได้ยินคำเชิญทีเล่นทีจริงจากส.ส. มัคท์ ไคลน์ตอบด้วยรอยยิ้ม


“ผมอยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ”


หลังจากคุยกันอีกสักพักด้วยหัวข้อการดูแลสภาพอากาศของเบ็คลันด์ แขกทั้งสามกล่าวคำอำลา และเนื่องจากเพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรก ยังไม่สนิทสนมมากนัก ไคลน์จึงไม่รั้งไว้ เดินไปส่งแขกถึงหน้าประตูโดยมีริชาร์ดสันตามไม่ห่าง


เฝ้ามองบิชอป ส.ส. และภรรยาส.ส. เดินกลับไป รอยยิ้มบนใบหน้าไคลน์จางลงเล็กน้อย แต่มิได้หายไปอย่างสมบูรณ์


มันค่อนข้างพึงพอใจกับความก้าวหน้าล่าสุด เพราะเบื้องหลังบิชอปอีเล็คตร้าคือวิหารนักบุญแซมมวล เป้าหมายหลักในการกลับมาเยือนเบ็คลันด์ของตน ส่วนส.ส. โมวรี·มัคท์เป็นอดีตทหาร ปัจจุบันทำงานอยู่ในสภา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชายคนนี้คือสมาชิกของสโมสรทหารผ่านศึกสักแห่งในกรุงเบ็คลันด์ อาจช่วยให้ไคลน์แกะรอยคดีโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันได้ง่ายขึ้น


ขั้นตอนถัดไป เราต้องสานสัมพันธ์ให้แนบแน่นยิ่งกว่าเดิม… ไคลน์เดินกลับไปยังห้องนั่งเล่นเล็กๆ บนชั้นสอง พบว่าสาวใช้ได้เก็บขนมและชากลับไปหมดแล้ว


อยากจะกินต่ออีกสักนิดแท้ๆ …


ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นประเภทใด แต่ทั้งของว่างและขนมของอาณาจักรโลเอ็น โดยเฉพาะกรุงเบ็คลันด์ ล้วนขึ้นชื่อในด้านความอร่อย และพ่อครัวที่ดอน·ดันเตสจ้างมาก็เชี่ยวชาญด้านนี้เป็นพิเศษ แม้แต่มาดามลีอานน่ายังออกปากชมบ่อยครั้ง ซึ่งไคลน์เองก็เห็นด้วย


ถอนสายตากลับ ไคลน์ไม่กล่าวคำใด เดินไปยังบันไดที่พาไปสู่ชั้นสาม


ก่อนอาหารเย็น ในที่สุดพ่อบ้านวอลเตอร์ก็กลับถึงคฤหาสน์ รายงานให้นายจ้างทราบเกี่ยวกับความคืบหน้าของหุ้นจำนวนสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทเบ็คลันด์จักรยาน


“นายท่าน ทางเราโชคดีมาก มีคนเคยจ้างทีมทนายความและนักบัญชีมืออาชีพกลุ่มนี้แล้ว จุดประสงค์เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันของบริษัทเบ็คลันด์จักรยานและเจรจาต่อรองราคา พวกเขาเคยเสนอเงินให้กับผู้ขายก่อนที่โฆษณาจะถูกเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ แต่ในระหว่างการเจรจา ราคาหุ้นได้ถีบตัวขึ้นสูงเกินกว่าที่ผู้ซื้อสนใจ จึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมยกธงขาว… ด้วยเหตุผลข้างตน เราจึงไม่ต้องรอรายงานการตรวจตอบนานนัก สามารถจ้างทีมงานเดิมได้ทันที”


ไคลน์พยักหน้ารับ ถามโดยไม่ปิดบัง


“ตอนนี้ราคาเท่าไร”


“ผู้ซื้อคนเก่ายอมแพ้ไปในราคาหกพันปอนด์ ทีมซื้อขายคาดว่าราคาขั้นต่ำที่ผู้ขายตั้งธงไว้คือเจ็ดพันปอนด์ ส่วนสถานการณ์ปัจจุบันของผู้ซื้อรายอื่นๆ ผู้ขายยังไม่เปิดเผย แต่อ้างอิงจากข่าวลือและกระแสตอบรับ ราคาเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่แปดพันปอนด์”


แปดพันปอนด์… ไม่เลว… เราควรเพิ่มอีกสักนิดดีไหม? แต่ถ้าเพิ่มแล้วทางนั้นดันยกธงขาว แบบนั้นจะแย่เอา… ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบา


“ส่งรายงานมาให้ผมพิจารณาอีกที”


หลังจากพลิกอ่านรายงานและกินอาหารเย็นเสร็จ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของนักธุรกิจที่ไม่ตระหนี่ แต่ฉลาดใช้เงิน ไคลน์หันไปพูดกับบุรุษรับใช้ริชาร์ดสัน


“เตรียมรถม้าสองล้อ ผมจะออกไปข้างนอก”


มันเชื่อว่าริชาร์ดสันจะถามถึงเหตุผลที่ใช้รถม้าสองล้อ แต่กลับต้องผิดคาด บุรุษรับใช้รายนี้ปราศจากความสงสัยโดยสิ้นเชิง เพียงตอบสนองอย่างนอบน้อม


“ครับ นายท่าน”


เชื่อฟังคำสั่งทั้งหมดโดยไม่ถาม… นี่อาจจะเป็นข้อดีก็ได้… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ รอให้ริชาร์ดสันกลับมาช่วยสวมโค้ท


บนรถม้าสองล้อ ชายหนุ่มออกคำสั่ง


“ขับไปย่านสะพานเบ็คลันด์และวนรอบเขตตะวันออก”


ริชาร์ดสันยังคงไม่ถามถึงจุดประสงค์ เพียงสั่งให้คนขับบังคับอย่างระมัดระวัง


รถม้าขับผ่านเขตเชอร์วู้ด ท่ามกลางแสงจากโคมไฟถนน เพียงไม่นานก็แล่นมาถึงย่านสะพานเบ็คลันด์


ไคลน์ไม่ได้เจาะจงจุดหมาย เพียงบอกให้คนขับเลือกวนในถนนแต่ละเส้นตามใจชอบ


ชายหนุ่มเอนหลังพิงผนังรถม้า มองออกไปที่ถนน เห็นคนเดินเท้าสวมใส่เสื้อผ้าเก่าโทรม ใบหน้าอ่อนเพลีย คล้ายกับเพิ่งเสร็จจากวันทำงานที่วุ่นวาย และกำลังรีบตรงกลับบ้านเพื่อกินอาหารเย็น บางครั้งก็มีจักรยานติดกระดิ่งขี่ผ่านด้วยความเร็วค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้ขี่จักรยานมีสีหน้าสดใสกว่าคนเดินเท้ามาก คล้ายกับกำลังภาคภูมิใจในความเหนือกว่า


แบ่งชนชั้นอย่างเห็นได้ชัด… แม้จะเป็นเพียงความแตกต่างระหว่างแรงงานชำนาญการกับแรงงานทั่วไป เป็นความแตกต่างระหว่างค่าแรงรายสัปดาห์หนึ่งปอนด์กว่า กับไม่ถึงหนึ่งปอนด์… ไคลน์พ่นลมหายใจเชื่องช้า เงยหน้ามองท้องฟ้าโดยไม่รู้ตัว


เบ็คลันด์กำลังย่างเข้าสู่ช่วงเวลากลางคืน แต่หมอกและควันไม่รุนแรงเหมือนเมื่อก่อน ช่วยให้มองเห็นดวงดาวจรัสบนท้องฟ้า


หลังจากเกิดโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน สภาพแวดล้อมของเมืองนี้ก็เริ่มดีวันดีคืน… แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของชนชั้นล่างในเขตตะวันออกจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เงินเดือนอาจสูงขึ้นเล็กน้อย และเวลาทำงานลดลง แต่การหลั่งไหลเข้ามาของผู้คนก็ทำให้ค่าจ้างไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แถมบางคนยังหางานทำได้ยาก… ก็ยังดีที่เวลาการทำงานลดจากสิบห้าสิบหกชั่วโมง เหลือเพียงสิบเอ็ดสิบสองชั่วโมงต่อวัน…


ถ้าแก้ไม่ถูกจุด ปัญหาก็ไม่มีวันหายไป… อา… อาณาจักรยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการปฏิรูปภายใน ปัญหาหลายด้านจึงยังไม่ถูกแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพนัก… ความคิดไคลน์ล่องลอยเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งรถม้าแล่นออกจากเขตเชอร์วู้ด



บนอนาคตกาล ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียายืนอยู่ริมหน้าต่างห้องกัปตัน เฝ้ามองแฟรงค์ลีผลักถังไม้เข้าไปในเงามืด ไม่แน่ใจว่าใส่อะไรลงไปก่อนจะปิดฝาให้สนิท


ดูเหมือนว่า ช่วงหลังแฟรงค์กำลังศึกษาการเจริญเติบโตของพืชในที่มืด… ทำไมจู่ๆ ถึงทำตัวเหมือนคนปรกติได้? แคทลียาขมวดคิ้วฉงน กังวลว่าแฟรงค์·ลีกำลัง ‘คิดค้น’ ความน่าสะพรึงครั้งใหม่


ไว้ค่อยให้นีน่าถามทีหลัง… ขณะหญิงสาวกำลังใช้สมอง สัมผัสวิญญาณถูกกระตุ้นกะทันหัน จึงหันหลังกลับและพบจดหมายฉบับใหม่วางอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือ


รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว แคทลียาเดินไปที่โต๊ะ แกะซองจดหมาย กวาดตาอ่านภาพรวมอย่างรวดเร็ว


“มีอ็อบนิสสองตนที่ไม่ถูกควบคุมโดยโบสถ์วายุสลาตัน อยู่ใกล้กับ ‘วังวนนรก’ ทางตอนเหนือของทะเลโซเนีย…”


“ข้อมูลดังกล่าวแลกเปลี่ยนกับการตามหาทายาทของตระกูลอับราฮัม…”


“เธอทำได้ดีมาก”


‘วังวนนรก’ คือชื่อของน่านน้ำอันตรายบนทะเล ไม่ใช่นรกจริงๆ


ตระกูลอับราฮัม… แคทลียาครุ่นคิดสักพัก พบว่าตนไม่มีเบาะแสใดเลย จึงเตรียมตั้งคำถามกับชุมนุมทาโรต์สัปดาห์ถัดไป



เช้าวันถัดมา ไคลน์ซึ่งใคร่ครวญอย่างรอบคอบแล้วว่าหุ่นจะขึ้นราคาหรือไม่ กล่าวกับพ่อบ้านวอลเตอร์


“จ้างทีมตรวจสอบชุดเดิม บอกให้พวกเขาช่วยเจรจากับคนขาย ผมให้ราคาสูงสุดไม่เกินเก้าพันปอนด์”


“ครับ นายท่าน” วอลเตอร์ตอบรับทันที “เอ่อ… มีบางอย่างเกิดขึ้นที่บ้านของผม… ต้องการลาหยุดสักครึ่งวันครับ”


“ไม่มีปัญหา คุณต้องการความช่วยเหลือไหม?” ไคลน์ถามเสียงเรียบ


“ขอบคุณสำหรับความห่วงใยครับ แต่ผมสามารถแก้ไขมันได้ ยังไม่ถึงจุดที่เดือดร้อนจริงๆ … ไม่ต้องห่วงครับ ก่อนจะลา ผมจะรีบสะสางเรื่องหุ้นของนายท่านให้เสร็จ” วอลเตอร์กล่าวจากใจจริง


ไคลน์ไม่ซักไซ้ เพียงพยักหน้าบอกเป็นนัยว่า อีกฝ่ายได้รับการลาหยุดตามที่ต้องการ


รอจนกระทั่งพ่อบ้านออกจากห้อง ไคลน์หันไปทางริชาร์ดสันและกล่าว


“เมื่อเช้ามีใครมาหาวอลเตอร์ไหม?”


“คุณพ่อบ้านได้รับจดหมายหนึ่งฉบับครับ” ริชาร์ดสันตอบโดยไม่ปิดบัง


ราชันเร้นลับ 755 : โอเปอเรเตอร์

โดย

Ink Stone_Fantasy

มีจดหมายส่งมา? วอลเตอร์บอกว่ามีเรื่องเกิดขึ้นที่บ้านไม่ใช่หรือ? ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในเบ็คลันด์ หากเกิดอะไรขึ้น การนั่งรถม้าเช่ามาบอกเองไม่เร็วกว่าส่งจดหมายรึไง? ด้วยรายได้ปัจจุบันและการมีที่ดินในแถบชนบท การเช่ารถม้าทำได้อยู่แล้ว… ไคลน์ผงกศีรษะเงียบงัน ราวกับไม่ได้สนใจคำตอบเมื่อครู่นัก


ชายหนุ่มเดินอย่างไม่รีบร้อนไปทางเก้าอี้เอนหลัง นั่งลง หยิบหนังสือพิมพ์และเริ่มอ่านอย่างจริงจัง


ริชาร์ดสันเห็นดังนั้นจึงไม่พูดอะไรมาก เดินถอยหลังออกจากห้อง ปิดประตูไม้ด้วยความเงียบเชียบ


รอจนกระทั่งเสียง ‘กริ๊ก’ ดังขึ้น ไคลน์ถอนสายตาจากหนังสือพิมพ์ มองไปทางประตูและครุ่นคิด


เราค้นพบข้อดีอีกอย่างหนึ่งของริชาร์ดสันแล้ว… ชายคนนี้ชอบสังเกตสิ่งรอบตัว เป็นประโยชน์ต่อการรวบรวมข้อมูลสำคัญ… ในตอนที่บิชอปอีเล็คตร้าและสามีภรรยามัคท์มาเยือน ริชาร์ดสันเห็นก่อนใครจากบนระเบียง…


แต่เขาไม่เหมือนกับผู้วิเศษเส้นทางผู้ชม มองเห็นเพียงผิวเผินของเหตุการณ์ ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียด…


ปัญหาของวอลเตอร์มีความน่าสงสัยเล็กๆ … หรือนี่จะเป็น ‘อนาคตที่น่าสนใจ’ ตามที่กระจกวิเศษอาโรเดสหมายถึง?


แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เราควรทำนายตรวจสอบให้แน่ใจ จะไม่ได้ต้องเจ็บตัวกะทันหัน…


คิดถึงตรงนี้ ไคลน์เข้าห้องน้ำภายในห้อง ถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกสีเทา โดยทุกครั้งที่ปรากฏกายบนเก้าอี้ของเดอะฟูล แก่นแท้ของชายหนุ่มจะถูกแสดงเป็นภาพลักษณ์ของไคลน์·โมเร็ตติ ไม่ใช่เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ หรือดอน·ดันเตส


เนื่องจากยังขาดข้อมูล ไคลน์ทำได้เพียงทำนายถึงความปลอดภัยของตัวเอง เทคนิคทำนายฝันจึงไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสม ชายหนุ่มปลดจี้ออกจากข้อมือซ้าย เขียนประโยคทำนายลงไป


“ความผิดปรกติของวอลเตอร์จะนำพาอันตรายมาสู่เรา”


มือซ้ายจับลูกตุ้ม หลับตาลง ไคลน์เข้าฌานพลางกระซิบข้อความบนกระดาษ


ครบเจ็ดครั้ง มันลืมตาขึ้น มองไปยังโซ่เงิน เห็นจี้บุษราคัมกำลังหมุนทวนเข็มนาฬิกา ความเร็วและองศาการแกว่งอยู่ในระดับปรกติ


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความผิดปรกติของวอลเตอร์จะไม่นำพาอันตรายมาสู่ตน


แต่นั่นบอกได้เพียงว่า เราจะไม่ได้รับอันตรายจากสาเหตุนี้… ยังมีความเป็นไปได้อีกทางหนึ่ง… ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา หากบุ่มบ่ามเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า จากไม่อันตรายจะกลายเป็นอันตราย… ไคลน์ตีความจากประสบการณ์อันยาวนาน


ขณะชายหนุ่มสลัดเรื่องดังกล่าวออกจากหัว แสงจากดาวแดงตัวแทน ‘เฮอร์มิท’ พลันสว่างวาบ ยุบพองเล็กน้อย


เธอเตรียมจ่ายค่า ‘ตาชั่งโชคชะตา’ หรือ? ไคลน์เผยสีหน้ายินดี รีบแผ่พลังวิญญาณเข้าไป


หลังจากสัมผัส ชายหนุ่มต้องผิดหวัง เพราะ ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาเพียงขอร้องให้มิสเตอร์ฟูลช่วยถ่ายทอดคำพูดของตนไปยังแฮงแมน ไม่ได้แจ้งเรื่องการชำระเงินค่าสินค้ากับเดอะเวิร์ล


ณ ‘วังวนนรก’ ที่อยู่ทางตอนเหนือของทะเลโซเนีย มีสัตว์ทะเลอ็อบนิสอาศัยอยู่? มิสเตอร์แฮงแมนไม่โชคดีไปหน่อยหรือ? อย่างน้อยก็ดีกว่าเรามาก ไม่ต้องเข้าไปเสี่ยงชีวิตในซากสมรภูมิแห่งเทพ… แต่ถึงอย่างนั้น สัตว์ทะเลอ็อบนิสก็ยังไม่ธรรมดาอยู่ดี ไม่ใช่เรื่องง่ายที่แฮงแมนจะประกอบพิธีกรรมด้วยตัวเอง บางที อาจต้องขอความช่วยเหลือจากเทพสมุทร…


สิ่งแลกเปลี่ยนที่มาดามเฮอร์มิทต้องการก็คือ ให้อีกฝ่ายช่วยตามหาทายาทสายเลือดแท้ของตระกูลอับราฮัม… หมายความว่า ราชินีเงื่อนงำพอจะทราบต้นกำเนิดของมิสเตอร์ประตู… จักรพรรดิเคยเล่าให้เธอฟัง? ไคลน์นึกทบทวนทำพูดของแคทลียาพลางส่งข้อความดังกล่าวเข้าไปดาวแดงตัวแทนแฮงแมน


ในเวลาเดียวกัน อัลเจอร์เพิ่งเสร็จจากการรายงานความคืบหน้า ผ่านการประเมินด้วยดี และกำลังกลับขึ้นมายังโทสะสีคราม


เมื่อเห็นสายหมอกสีเทาไร้ก้นบึ้งบดบังทัศนวิสัย และเมื่อได้ยินคำพูดของ ‘เฮอร์มิท’ มันเดินตรงไปยังห้องกัปตันด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในจังหวะก้าวเท้า


เข้าห้อง ปิดประตู เดินมายังตู้เก็บเหล้า หยิบเครื่องดื่มของโปรดโจรสลัด ‘แลงติร้อนแรง’ ขึ้นมาหนึ่งขวด วางแก้วและเทลงไปครึ่งหนึ่ง


อัลเจอร์ยกแก้วจ่อริมฝีปาก กระดกราวกับของเหลวชนิดนี้ไม่มีแอลกอฮอล์ เป็นเพียงน้ำเปล่าแก้วหนึ่ง


ระหว่างนั้น ดวงตาของมันปิดลงเกือบครึ่ง คล้ายกับกำลังดำดิ่งในโลกส่วนตัว


หลังจากดื่มแลงติร้อนแรงครึ่งแก้ว อัลเจอร์วางแก้วลง เช็ดปากและยิ้ม


ทายาทของตระกูลอับราฮัม… อาจเป็นเรื่องยากในสายตาคนอื่น แต่กับเราแล้วง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก… สามารถถามจากมิสเมจิกเชี่ยนได้ทันที เพราะอาจารย์ของเธอมีสายเลือดดังกล่าว… หึหึ พลเรือเอกดวงดาวคงยังไม่รู้เรื่องนี้สินะ…


ทว่า มันข่มอารมณ์อย่างรวดเร็ว เดินถอยหลังสองสามก้าว สลัดความคิดที่จะเอาเปรียบอีกฝ่าย ตอบสนองต่อคำขอร้องของ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาอย่างใจเย็น


พลเรือเอกดวงดาวคงไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากเราแค่คนเดียว เธอคงป่าวประกาศภารกิจนี้ในชุมนุมทาโรต์ครั้งหน้า… ยังมีอีกหลายคนที่ทราบว่าอาจารย์ของมิสเมจิกเชี่ยนเป็นคนของตระกูลอับราฮัม… เราควรเปิดเผยไปตามความจริง ไม่อย่างนั้นอาจเสียงานใหญ่เพียงเพราะความโลภเล็กๆ น้อยๆ … ในบางครั้ง ความซื่อสัตย์ก็เป็นตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุด… อัลเจอร์หยุดเดิน ก้มศีรษะลงพลางเอ่ยพระนามเต็มของเดอะฟูลด้วยความเคารพ


“เรียนท่านช่วยบอกกับมาดามเฮอร์มิทว่า เบาะแสเกี่ยวกับทายาทสายเลือดแท้ของตระกูลอับราฮัม สามารถถามเอาจากมิสเมจิกเชี่ยนได้โดยตรง”


หลังจากสารภาพความจริงและบอกให้พลเรือเอกดวงดาวเปลี่ยนข้อเสนอ อัลเจอร์เริ่มเล่าถึงประสบการณ์ในคืนจันทราโลหิต ถามมิสเตอร์ฟูลว่า สิ่งนี้เกิดจากการที่หนังสือแห่งภัยธรรมชาติ ร้องประสานเสียงกับตะกอนพลัง ‘ผู้ขับขานสมุทร’ ของตนใช่ไหม และภายในวังปะการัง สตรีผู้ถือแก้วไวน์ทองคำคือ ‘ภัยธรรมชาติ’ โคฮีเน็ม ใช่หรือไม่


มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ? บางที ราชินีแห่งภัยธรรมชาติอาจตายไปแล้วจริง แต่ยังไม่สลายไปโดยสมบูรณ์… คงแบ่งตะกอนพลังออกเป็นหลายส่วน ส่วนแรกคือหนังสือภัยธรรมชาติ ส่วนที่สองอยู่ในซากโบราณสถานใต้ทะเล และอาจมีส่วนที่สามกับสี่ด้วย แต่เรายังไม่ทราบว่าอยู่ที่ใดบ้าง… ครุ่นคิดเรื่องของแฮงแมนเสร็จ ไคลน์มั่นใจทันทีว่าเอลฟ์ในความฝันของอีกฝ่ายคือ ‘ราชินีแห่งภัยธรรมชาติ’ โคฮีเน็ม!


นี่ไม่ใช่สัญชาตญาณ แต่เป็นการอนุมานที่มีเหตุและผลรองรับ


ในอดีต มันเคยครอบครองแก้วไวน์ทองคำที่ ‘ราชินีเอลฟ์’ โคฮีเน็มโปรดปราน และในความฝันของแฮงแมนก็มีภาชนะที่คล้ายคลึงกันอยู่


‘ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์’ เซียธาส มีข้อมูลเกี่ยวกับราชินีแห่งภัยธรรมชาติพอสมควร แถมยังเคารพเทวทูตตนนี้มาก แสดงให้เห็นว่า เธออาจจะเป็นหนึ่งใน ‘เอลฟ์บริวาร’ ของโคฮีเน็ม ตะกอนพลังที่เธอเหลือทิ้งไว้จึงร้องประสานเสียงกับ ‘หนังสือภัยธรรมชาติ’ ในคืนจันทราโลหิต…


ถึงตรงนี้ ไคลน์เริ่มฉุกคิดบางสิ่งได้ นั่นก็คือ มันส่งแก้วไวน์ทองคำใบโปรดของโคฮีเน็มให้กับ ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่า และขอร้องให้อีกฝ่ายช่วยฝังภาชนะชิ้นนี้ลงไปในสุสานของเซียธาส


หากราชินีแห่งภัยธรรมชาติยังไม่ร่วงหล่นโดยสมบูรณ์ การฝังแก้วไวน์ลงในหลุมศพเดียวกับเซียธาส จะทำให้ศพของ ‘เอลฟ์บริวาร’ เกิดกลายพันธุ์หรือไม่? ไคลน์คำนวณเวลาอย่างละเอียด แต่ก็ไม่มั่นใจว่าฝันทองคำแล่นถึงเกาะโซเนียแล้วหรือยัง


ครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มตอบแฮงแมนอย่างใจเย็น


“ถูกต้อง”


จากนั้น มัน ‘ส่ง’ คำพูดก่อนหน้าของแฮงแมน เข้าไปในดาวแดงที่เป็นตัวแทนของ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียา


จัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์เสก ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์และบังคับให้สวดวิงวอน


“เรียนมิสเตอร์ฟูล รบกวนช่วยบอกให้เดนิสถาม ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่าเกี่ยวกับความผิดปรกติศพของเซียธาสและแก้วไวน์ทองคำ”


ฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจหลังจากเตรียมการเสร็จ โยนฉากดังกล่าวเข้าไปในจุดแสงสวดวิงวอนด้านข้างที่ทำเครื่องหมายไว้เป็นกรณีพิเศษ จากนั้นก็ส่งตัวเองกลับสู่โลกจริง เดินออกจากห้องน้ำ


หยุดยืนหน้ากระจกเงาเต็มบาน จ้องมองจอนสีขาวกับดวงตาสีน้ำเงินเข้มของตัวเองสักพักพลางยิ้มมุมปาก ตระหนักว่าตนได้เปลี่ยนสถานะจาก ‘เดอะฟูล’ กลับมาเป็นเศรษฐีลึกลับ ดอน·ดันเตส อีกครั้ง



บายัม ภายในป่าดงดิบ


ขณะกำลังดื่มกินอย่างอิ่มหนำในฐานทัพของกองกำลังต่อต้าน เดนิสที่คุยโม้เสียงดังพลันตัวสั่นกะทันหัน เกือบสำลักเหล้าในปาก


แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มันได้รับการตอบสนองจากเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน หวาดกลัวเหนือคำบรรยาย


จนกระทั่งเริ่มมองเห็นร่างของคนผู้หนึ่ง เดนิสรีบฟังจับใจความประโยค ก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ทราบว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ฝากฝังงานใหม่


ให้ถามกัปตัน? ง่ายชะมัด… ฝันทองคำจะมารับเราในอีกไม่กี่วันข้างหน้า… หึหึ… เกอร์มัน·สแปร์โรว์ เมื่ออยู่ต่อหน้าเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ชายคนนั้นไม่กล้าทำตัวเสียสติ ตรงกันข้าม ท่าทีเป็นไปอย่างนอบน้อมและศรัทธา… เดนิสเริ่มผ่อนคลาย


ขณะเดียวกัน บนอนาคตกาล ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียาที่ได้รับคำตอบจากเดอะฟูล กล่าวกับตัวเองด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ


ให้ถามมิสเมจิกเชี่ยนโดยตรง?


นั่นสินะ ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นผู้วิเศษเส้นทาง ‘ผู้ฝึกหัด’ … มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลอับราฮัมงั้นหรือ?


ไม่ผิดจากที่คิดไว้ สตรีผู้นี้ไม่ธรรมดา!


แคทลียาใคร่ครวญ ตัดสินใจยังไม่มอบหมายงานใหม่ให้แฮงแมน เพราะเธอไม่แน่ใจว่ามิสเมจิกเชี่ยนจะยอมเปิดเผยข้อมูลของตระกูลอับราฮัมหรือไม่



วอลเตอร์กลับมายังบ้านที่เลข 160 ถนนเบิร์คลุนในช่วงบ่าย ท่าทียังคงปรกติเหมือนเคย ราวกับปัญหาของตนคลี่คลายอย่างง่ายดาย


ไคลน์ไม่ถามซักไซ้ รู้สึกว่าความสัมพันธ์ในปัจจุบันยังไม่ถึงจุดที่พ่อบ้านจะยอมเล่าความจริง และปัญหาก็ไม่ได้เกิดต่อหน้าตน อีกฝ่ายมีสิทธิ์จะปกปิด


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับคาบเรียนมารยาทที่ทยอยจบลงไป เย็นวันถัดมา ก่อนที่ปรากฏการณ์จันทร์เต็มดวงจะเริ่มขึ้น ไคลน์พาริชาร์ดสันนั่งรถม้าเช่าหรูหรา แวะไปยังวิหารนักบุญแซมมวล เตรียมร่วมพิธีมิสซาจันทรา


ชายหนุ่มไม่กังวลว่าตนจะไม่มีเงินพอบริจาค เพราะได้รับเงินจำนวนหนึ่งพันปอนด์จากมิสจัสติสแล้ว เงินสดในปัจจุบันจึงมีสูงถึง 2,186 ปอนด์ การต้องบริจาคสักสองสามร้อยปอนด์ ไม่ทำให้ชายหนุ่มลำบากใจ


ขอแค่ไม่ขายขี้หน้าก็พอ… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ มองไปทางหอระฆังสมมาตรด้านนอก ลงจากรถม้า ผ่านจัตุรัสเข้าไปในวิหารนักบุญแซมมวล


ราชันเร้นลับ 756 : มหามิสซา

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากรอเกือบสิบนาทีด้านนอกโถงสวดมนต์ ไคลน์และสาวกคนอื่นๆ ที่เตรียมเข้าร่วมพิธีมิสซาจันทราด้วยกัน ภายใต้คำแนะนำของบิชอป เริ่มทยอยเดินเข้าไปข้างใน


ท่ามกลางบรรยากาศมืดสลัวและสุขสงบ ทุกคนถูกต้อนรับด้วยบทสวดอันล่องลอย สอดประสานพร้อมเพรียง


“จันทราเต็มดวง สีแดงเข้ม”


“ส่องสะท้อน ธรณี”


“มนุษย์ต่างนอนหลับ ฝันดี”


“คิดเรื่อง ส่วนตัว”


“บ้างคิดถึงพ่อแม่ ครอบครัว”


“ตราบชั่ว นิรันดร์”


สุ้มเสียงอันศักดิ์สิทธิ์และเป็นจังหวะ ดังกังวานสอดประสาน เหล่าสาวกในโถงสวดมนตร์ต่างตาถูกสะกดให้จิตใจสงบนิ่ง หลงลืมปัญหาในชีวิตไปชั่วคราว เลิกคิดเกี่ยวกับความทุกข์ระทมบนโลกความจริง


ภายใต้การนำทางของนักบวชหลายคน บรรดาสาวกกระจายตัวนั่งหน้าแท่นบูชา จากนั้น บิชอปอีเล็คตร้าผู้รับหน้าที่ดูแลพิธีมหามิสซา เริ่มเทศนาพลาง ‘วิวรณ์แห่งรัตติกาล’ ไว้ในมือ


เมื่อพิธีการขั้นแรกจบลง นักบวชเตรียมน้ำและขนมปัง แจกจ่ายให้ไคลน์และสาวกคนอื่นๆ อย่างทั่วถึง สิ่งนี้ถูกเรียกว่าพรแห่งราตรี เป็นอาหารที่คนเป็นและคนตายแบ่งปันกันรับประทาน


ไคลน์ที่อาหารค่ำยังไม่ตกถึงท้อง ย่อมไม่ปล่อยให้ขนมปังและน้ำสูญเปล่า นั่งกินจนกระทั่งเริ่มเห็นแสงเทียนสว่างขึ้นใจกลางแท่นบูชา ช่วยขจัดปัดเป่าความมืดมิด คล้ายกับดวงดาราในยามค่ำคืน คอยเปล่งแสงและมอบความอบอุ่นอ่อนโยน


ทันใดนั้น บิชอปอีเล็คตร้าเริ่มนำสวด ร่วมกันกับเหล่านักบวชและนักร้องประสานเสียง


“เราแหงนมอง ท้องฟ้า ราตรียาม”


“เราเปล่งนาม รัตติกาล อันยิ่งใหญ่”


“เราจักไม่ เอ่ยถึง นามอื่นใด”


“เทพธิดา คอยห่วงใย กลางใจเรา”


“ทุกคนจง มารวมตัว ใต้สวรรค์”


“นำมือขวา กุมทับกัน อย่าสั่นไหว”


“เปล่งพระนาม เทพธิดา สื่อถึงใจ”


“แทนการมอบ รอยยิ้ม ให้คนตาย”


เสียงอันล่องลอยทะลวงผ่านโสตประสาท สาวกทุกคนพลันท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ คล้ายกับวิญญาณทุกดวงกำลังช่วยกันเปล่งเสียงกังวาน ในฐานะผู้วิเศษลำดับ 5 ไคลน์พบว่าวิญญาณของตนกำลังถูกชะล้างจนสะอาด กระแสการไหลเป็นไปอย่างนุ่มนวลและสะดวกสบาย


ถัดมาไม่นาน ความมืดมิดอันเงียบสงัดปกคลุมการมองเห็นของทุกคน เป็นความมืดที่ปราศจากสุ้มเสียงโดยสมบูรณ์


ท่ามกลางความมืด ไคลน์มองเห็นศพมากมายนอนเรียงราย มองเห็นใบหน้าอันขาวซีดที่เต็มไปด้วยความสุขสงบ ราวกับพวกเขาไม่ใช่คนตาย เพียงแค่นอนหลับไปเท่านั้น


ไคลน์ค่อยๆ ย่างกรายอย่างสงบภายในความมืด ก่อนจะหยุดลงกะทันหันและมองไปข้างหน้าในแนวเฉียง


ณ จุดที่มีดอกชมจันทร์เบ่งบานอย่างเงียบงัน ร่างของใครหลายคนกำลังนอนเรียง


ประกอบไปด้วยดันน์·สมิทในชุดกันลมสีดำ ไม่ได้สวมหมวก ลุงนีลล์ที่ยังคงสวมเสื้อคลุมสีดำทรงโบราณ และโคเฮนรี่ร่างเล็ก ผู้พยายามทำงานอย่างหนักเพื่อเก็บเงินสร้างตัว


ทุกคนหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย คล้ายกับมีรอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปาก ทุกป้ายของหลุมศพล้วนสลักคำเดียวกัน


“ผู้พิทักษ์”


ไคลน์หลับตาลงทันที จากนั้น เสียงอันศักดิ์สิทธิ์และล่องลอยดังแว่ว


“จงประสาน สองมือ ให้แนบแน่น”


“จงยกแขน ประกบติด แนบชิดเต้า”


“จงสวดมนต์ ดลบันดาล เสียงแผ่วเบา:”


“การหลุดพ้น ของคนเรา คือนิพพาน”


ไคลน์ก้มหน้าลง ปิดตาสมิท ยกมือขึ้นมาทาบหน้าอก จากนั้นก็กระซิบ


“การหลุดพ้น ของคนเรา คือนิพพาน”


“การหลุดพ้น ของคนเรา คือนิพพาน”



เสียงเหล่านี้ดังซ้ำไปมา จนกระทั่งโถงสวดมนต์ใหญ่ตกอยู่ภายใต้ความเงียบสงบ ไคลน์ลืมตาขึ้น ยกมือขึ้นลูบหางตาทั้งสองข้าง


ชายหนุ่มหายใจออกเชื่องช้า เหลียวซ้ายแลขวา อาศัยแสงจากเชิงเทียน พบว่าสาวกส่วนใหญ่มีน้ำตาบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว กระทั่งบุรุษรับใช้ริชาร์ดสันก็ยังปล่อยให้น้ำตาไหลอาบสองแก้ม ไม่ได้เลื่อนมือขึ้นมาเช็ด


มิสซาจันทรามีความใกล้เคียงกับพิธีกรรมมาก… เป็นพิธีกรรมที่มีพลังพิเศษมาเกี่ยวข้อง… ผลลัพธ์คือการสั่นคลอนจิตใจของสาวก ทำให้แต่ละคนมองเห็นศพของคนใกล้ตัวในความมืด ปลดปล่อยความโศกเศร้าเพื่อสร้างความสงบสุขที่แท้จริง… การหลั่งน้ำตาไม่ได้เกิดจากพลังพิเศษ เราไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้… สำหรับคนธรรมดา นี่คือภาพลวงตาที่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์ ทุกคนคงเข้าใจว่าเกิดจากพระบารมีของเทพธิดารัตติกาล ไม่ใช่พลังพิเศษ… ลำดับ 5 ของเส้นทางรัตติกาล ดูเหมือนว่าจะเชี่ยวชาญการครอบงำวิญญาณมาก… ไคลน์ถอนสายตากลับ วิเคราะห์หาคำตอบภายในใจ


ถัดมา ชายหนุ่มหวนนึกถึงภาพในความมืดเมื่อครู่ นึกถึงร่างไร้ชีวิตที่นอนเรียงกันท่ามกลางดอกชมจันทร์


หลับตาลง ไคลน์ปล่อยให้ความคิดของตนกระจัดกระจาย


ทุ่งกว้างอันมืดมิดซึ่งเต็มไปด้วยดอกชมจันทร์ สมุนไพรราตรี และดอกหลับใหล เป็นการสื่อถึงอาณาจักรแห่งเทพธิดา?


แล้วภัยอันตรายยามค่ำคืนใน ‘ซากสมรภูมิแห่งเทพ’ เกิดจากอะไรกันแน่?


ไคลน์ค่อยๆ จินตนาการถึงค่ำคืนอันหนาวเหน็บ รวมถึงหมอกหนาทึบที่ปกคลุมท้องทะเลในแถบสุดเขตตะวันออกของทะเลโซเนีย


ท่ามกลางสายหมอกดังกล่าว อีกากำลังบินวนอยู่เหนือวิหารโบราณสีดำสนิท ยอดปลายแหลม คล้ายกับเป็นการรำลึกและไว้ทุกข์ รอบๆ วิหารยังประกอบไปด้วยบ้านที่ดูธรรมดา บ้านไม้เรียบง่าย โรงสีสีเทา และเงาดำของใครบางคน


พิจารณาตามเหตุและผล ฉากที่เต็มไปด้วยหมอกหนา สามารถสื่อถึง ‘ค่ำคืน’ และ ‘ความฝัน’ ได้เช่นกัน… อาจเกิดจากออร่าที่ยังหลงเหลือของเทพธิดา หรือไม่ก็ราชาหมาป่าอสูร เฟรเกีย แต่ฉากดังกล่าวไม่เหมือนกับอาณาจักรแห่งเทพธิดาที่เราเห็นเมื่อครู่เลยสักนิด… นั่นสินะ มนุษย์ห้ามส่องความลับเทพ… บางที ทุ่งกว้างอันมืดมิดที่เต็มไปด้วยดอกไม้และพืชพรรณ แท้จริงแล้วอาจไม่ใช่อาณาจักรแห่งเทพ แต่เป็นภาพลวงตาที่เกิดจากพิธีกรรม… เมื่อตระหนักว่าพิธีมิสซาจันทราดำเนินมาถึงจุดจบ ไคลน์ล้วงมือเข้าไปในเสื้อและหยิบกระเป๋าสตางค์


ในท่าถือกระเป๋า ชายหนุ่มลุกขึ้นและเดินไปหน้าแท่นบูชา ภายใต้การเฝ้ามองด้วยสายตาแฝงความเมตตาและอบอุ่นของบิชอปอีเล็คตร้า ไคลน์เดินเฉียงไปหยุดด้านหน้ากล่องบริจาค


แตะหน้าอกตัวเองสี่จุดในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา เมื่อวาดจันทร์แดงเสร็จ ไคลน์หย่อนธนบัตรปึกใหญ่ลงไป


มูลค่ารวมทั้งสิ้นสามร้อยปอนด์!


สำหรับคราวนี้ ไคลน์มิได้รู้สึกเจ็บแปลบหรือไม่เต็มใจเหมือนครั้งก่อน สีหน้าภายนอกเป็นไปอย่างสงบสุขุม เพราะชายหนุ่มยังจำพิธีกรรมที่ลุงนีลล์ใช้ชำระหนี้สินได้ดี


ย้อนกลับไปในตอนนั้น ภายใต้การอวยพรของเทพธิดา ลุงนีลล์บังเอิญพบกระเป๋าสตางค์ของเศรษฐีคนหนึ่ง ภายในนั้นบรรจุเงินสดไว้มากกว่าสามร้อยปอนด์


ถอยหลังกลับหนึ่งก้าว ไคลน์วาดจันทร์แดงอีกครั้ง ก่อนจะหลีกทางให้สาวกคนอื่นเข้ามาบริจาค


ในหนนี้ บิชอปอีเล็คตร้าเป็นฝ่ายเดินมาทักทายด้วยตัวเอง หลังจากทำสัญลักษณ์สี่จุดบนหน้าอก มันกล่าว


“ขอให้เทพธิดาอวยพรคุณ”


“ขอพระองค์ทรงเมตตา… แต่สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดในเวลานี้ก็คือ รับฟังคำเทศนาจากคุณ” ไคลน์ตอบด้วยรอยยิ้ม


บิชอปอีเล็คตร้าชำเลืองไปยังทางออกด้านข้างโถงสวดมนต์ ตอบกลับ


“ถ้าช่วยรอสักสิบห้านาที ผมยินดีเทศนาให้คุณฟังในห้องสมุด”


“นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ” ไคลน์ยิ้มอ่อนโยน


บิชอปอีเล็คตร้าขอให้นักบวชนำทางดอน·ดันเตสออกจากห้องโถงหลัก ผ่านทางเดินด้านในวิหาร อ้อมไปยังห้องสมุดที่อยู่ใกล้กับบันไดวน


ที่นี่มีชั้นหนังสือไม้ขนาดใหญ่วางเรียงราย อัดแน่นไปด้วยหนังสือเก่าแก่ที่เกี่ยวกับโบสถ์เทพธิดารัตติกาลเป็นส่วนมาก นอกจากนั้นยังมีมุมวางโต๊ะและเก้าอี้สำหรับให้นักบวชเทศนาสาวก


สิบสองนาทีถัดมา บิชอปอีเล็คตร้าเดินเข้าในห้องสมุดด้วยรอยยิ้มสุขุม พบดอน·ดันเตสมาดสง่างามที่มีจอนสีขาวตรงขมับ กำลังยืนอยู่หน้าชั้นไม้ อ่านหนังสือบางเล่มอย่างตั้งใจ บรรยากาศรอบตัวคล้ายนักวิชาการ


“กำลังอ่านอะไรหรือ” มันถามด้วยรอยยิ้ม


ไคลน์ปิดหนังสือ ยิ้มตามมารยาท


“วิวรณ์แห่งรัตติกาล… ด้วยความสัตย์จริง ถึงผมจะศรัทธาในเทพธิดาอย่างแรงกล้า แต่ชีวิตต้องยุ่งอยู่กับการทำงานตลอดหลายปี ไม่มีโอกาสได้นั่งลงและอ่านพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้อย่างจริงจัง”


ระหว่างพูดคุย ชายหนุ่มไม่เผยความผิดปรกติทางสีหน้า แต่ภายในใจรู้สึกกังวลเล็กน้อย เกรงว่าเทพธิดาจะเสกสายฟ้าลงมาสั่งสอน ‘สาวกผู้เปี่ยมศรัทธา’ ดอน·ดันเตสสักหนึ่งบทเรียน


ไม่หรอกมั้ง… สายฟ้าไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของเทพธิดา… ไคลน์ปลอบใจตัวเอง


บิชอปอีเล็คตร้ายิ้มตอบ รับหนังสือ ‘วิวรณ์แห่งรัตติกาล’ มาถือ


“ไม่มีคำว่าสายเกินไป”


มันเชิญให้ดอน·ดันเตสนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ เริ่มอธิบายถึงองค์ประกอบของพระคัมภีร์วิวรณ์แห่งรัตติกาล รวมถึงถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ภายใน


ริชาร์ดสันกำลังถือหมวกและไม้ค้ำของนายจ้าง นั่งห่างออกไปเล็กน้อย รอคอยอย่างเงียบงัน คิดอะไรเรื่อยเปื่อยขณะฟังคำเทศนา


ผ่านไปสักพัก ขณะไคลน์กำลังแสร้งตั้งใจฟัง สัมผัสวิญญาณของมันถูกกระตุ้นกะทันหัน ฉากหนึ่งผุดขึ้นภายในใจ


สิ่งนี่คือนิมิตลางสังหรณ์ซึ่งเป็นพลังของ ‘ตัวตลก’ แต่สำหรับไคลน์ พลังของมันถูกยกระดับขึ้นด้วยอำนาจสายหมอกสีเทา!


ด้านนอกห้อง ชายชราในชุดคลุมสีดำกำลังเดินผ่านหน้าประตู ตรงไปยังบันไดวนใกล้เคียง


ผมขาวหงอก ดกหนา แต่ไม่ได้หวีจัดทรง จึงดูค่อนข้างยุ่งเหยิง ใบหน้าซูบผอมคล้ายมีเพียงหนังหุ้มกระดูก บรรยากาศรอบตัวค่อนข้างเย็นชา สีผิวซีดผิดปรกติ ดวงตาเป็นสีดำล้วนที่หาได้ยาก


บุคคลดังกล่าวเดินผ่านประตูไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งฝีเท้าเริ่มกลับมาดังขึ้นอีกครั้งจากด้านบน


ผู้คุม! แต่ไม่ใช่คนที่เราเคยพบในโถงสวดมนต์… วันนี้เป็นเวรของเขาสินะ? ไคลน์มองไปทางบิชอปอีเล็คตร้าอย่างตั้งใจ แสร้งทบทวนเนื้อหาของพระคัมภีร์


การที่ ‘ผู้คุม’ ปรากฏตัวในวิหารเวลานี้และเดินผ่านห้องสมุด มันมองว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะพลังของ ‘ผนึก’ ที่อยู่ด้านหลังประตูยานิสจะเพิ่มถึงจุดสูงสุดในช่วงเวลากลางคืน ไม่เหมาะแก่การให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ดังนั้น ผู้คุมจึงมักเข้าไปในช่วงพระอาทิตย์ขึ้น และกลับออกมาหลังจากตะวันตกดิน


เราต้องบันทึกว่าวันนี้เป็นวันอะไร เป็นเวรของใคร… จากนั้นก็ค่อยๆ เก็บข้อมูล ค้นหาตารางการหมุนเวียนของผู้คุม จะได้กำหนดเป้าได้อย่างเหมาะสม… ไคลน์หยุดคิดเรื่อยเปื่อย กลับมาตั้งใจฟังเทศน์อีกครั้ง จนกระทั่งครบครึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มลุกขึ้นและกล่าวคำอำลา


มันยิ้มให้บิชอปอีเล็คตร้า


“หากมีโอกาส ช่วยเป็นเกียรติมาเทศนาผมอีกได้ไหม?”


“ไม่มีปัญหา” เมื่ออยู่ต่อหน้าเศรษฐีที่บริจาคเงินมากถึงสามร้อยปอนด์ในคราวเดียว บิชอปอีเล็คตร้ามิอาจตอบปฏิเสธ เพียงพยักหน้ารับอย่างมีความสุข “ตราบใดที่คุณยังแวะเข้ามาวิหารบ่อยๆ และตราบใดที่ผมพอจะมีเวลา”


ไคลน์ไม่ซักไซ้รายละเอียด เพื่อไม่ให้เป็นที่น่าสงสัย เพียงกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจและเดินออกจากวิหารนักบุญแซมมวลพร้อมกับริชาร์ดสัน บุรุษรับใช้ส่วนตัว


ชายหนุ่มกลับถึงบ้านก่อนสองทุ่ม เพลิดเพลินไปกับอาหารมื้อค่ำ ใช้เวลาว่างอย่างผ่อนคลายจนกระทั่งเข้านอน



กลางดึกสงัด ภายในห้องนอนใหญ่


ไคลน์ที่กำลังนอนหลับตา เลิกเปลือกตาขึ้น


สัมผัสวิญญาณได้แจ้งกับมันว่า มีใครบางคนแอบเข้ามาในบ้าน!


ราชันเร้นลับ 757 : เผชิญหน้าในฝัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

มีคนแอบเข้ามา? ไคลน์ยังไม่พยุงตัวนั่งทันที เพียงพลิกไปด้านข้าง สอดมือขวาไว้ใต้หมอน จับปืนลูกโม่ ‘ลางมรณะ’ อย่างเงียบงัน พลางกางนิ้วทั้งห้าและเตรียมเปิดใช้งานยุบพองหิวโหย


หลังจากตระหนักว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาอาหารให้ยุบพองหิวโหยในเบ็คลันด์ ชายหนุ่มลอบเข้าไปในคุกของเมืองคอนแนนท์ในอ่าวเดซีย์ก่อนจะกลับ พบกับนักโทษประหาร ป้อนเหยื่อให้ถุงมือกินหลังจากยืนยันความผิด


คนของโรงเรียนกุหลาบพบตำแหน่งเราแล้ว? ไม่มีทาง… ไม่น่าจะเร็วได้ขนาดนี้ และถ้าเราเป็นพวกมัน จะไม่บุกเข้ามาอย่างบุ่มบ่าม แต่จะรอโอกาสที่เหมาะสม… เช่นการดักโจมตีเราในที่เปลี่ยว เพื่อไม่ให้หน่วยพิเศษของทางการในเบ็คลันด์พบความผิดปรกติ… หรือเป็นเพราะเราบริจาคในมิสซาจันทรามากเกินไป จึงตกเป็นเป้าหมายของหัวขโมย? นั่นสินะ เศรษฐีต่างถิ่นที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในเบ็คลันด์ ย่อมตกเป็นเหยื่อของโจรได้ง่าย… แต่ก็มีโอกาสเป็น ‘เหยี่ยวราตรี’ ที่ลงมือสืบสวนตามระเบียบปรกติเช่นกัน… ขณะความคิดมากมายแล่นผ่าน ไคลน์ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวเล็กๆ ดังมาจากระเบียงใหญ่ของห้องกึ่งเปิดโล่งด้านข้าง


ถัดมา เสียงกลอนถูกปลดออก หน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานถูกผลักเข้ามาอย่างเงียบเชียบ


ไคลน์ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินผ่านห้องกึ่งเปิดโล่งไปยังทางเดิน


หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงฝีเท้าเริ่มดังเข้าใกล้ห้องนอนใหญ่ก่อนจะผ่านไป เปิดประตูห้องบุรุษรับใช้ส่วนตัว


มันเข้าห้องผิด? หรือมาที่นี่เพื่อตามหาริชาร์ดสัน? หัวใจไคลน์เริ่มเต้นแรง ปล่อยมือขวาออกจากลางมรณะ เอื้อมไปหยิบกล่องบุหรี่โลหะที่อยู่ไม่ไกล


หลังจากปลดกำแพงวิญญาณ ร่างมายาสวมแจ็คเก็ตสีแดงเข้มและหมวกสามมุมใบเก่า ปรากฏขึ้นด้านข้างลำตัวทันที จากนั้นก็ลอยเข้าไปในกระจกเงาเต็มบาน


เมื่อเซนอล หุ่นเชิดวิญญาณอาฆาต กระโดดผ่านกระจกเงาจนกระทั่งถึงห้องนอนของริชาร์ดสัน ชายหนุ่มเห็นคนผิวสีแทน ใบหน้าอ่อนโยน เส้นผมสีเข้มเดินออกไปจากห้อง ส่วนริชาร์ดสันทำเพียงนั่งเงียบบนขอบเตียง โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย หลังงุ้มไหล่ห่อ คล้ายกับกำลังผสานตัวเองเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด


สีหน้าเผยความหวาดกลัว สลับกับหนักใจ สลับกับหดหู่ จนกระทั่งกลับมามีสีหน้าเรียบเฉยโดยไม่กล่าวคำใด


เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อีกฝ่ายมาหาริชาร์ดสัน… ลักษณะทางกายภาพใกล้เคียงกับชาวทวีปใต้… ว่องไวมาก แถมยังเชี่ยวชาญการลอบเร้น ไม่น่าจะเป็นคนธรรมดา… นี่คือเพื่อนที่ริชาร์ดสันรู้จักสมัยทำงานในคฤหาสน์บนทวีปใต้? หรือเป็นญาติจากฝ่ายแม่? ริชาร์ดสันเป็นเพียงบุรุษรับใช้ที่มีค่าแรงสามสิบห้าปอนด์ต่อปี มีปัญญาช่วยเหลืออะไรใครได้ด้วยหรือ? ไคลน์วิเคราะห์จากมุมมองที่เซนอลเห็น ภายในใจคาดเดาไปเรื่อยเปื่อย


ทันใดนั้น ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจว่าทำไมริชาร์ดสันถึงช่างสังเกต ชอบมองดูคนเดินผ่านไปผ่านมาจากบนระเบียง


มันกลัวจะถูกพบตัว!


หวังว่าจะไม่ใช่ปัญหาที่ร้ายแรงจนส่งผลกระทบต่อแผนของเรา… คงต้องทำนายยืนยันอีกที… หากริชาร์ดสันแก้ปัญหานี้ไม่ได้ เราคงต้องหาเหตุผลในการเลิกจ้างงาน… เมื่อเห็นว่าบุรุษรับใช้ทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง ไคลน์ตัดสินใจนำวิญญาณอาฆาตกลับห้อง



ขณะเดียวกัน เลียวนาร์ด·มิเชลที่อาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์ เริ่มเข้าสู่กรุงเบ็คลันด์ในโลกความฝันที่เต็มไปด้วยสายหมอก


ก่อนหน้านี้ มันเคยสอบสวนไมค์·โยเซฟจากหนังสือพิมพ์ ‘เกาะกระแสรายวัน’ ในความฝัน จับใจความได้ว่า เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปพัวพันกับคดีลาเนวุส เป็นเพียงคนโชคร้ายที่บังเอิญติดร่างแห สิ่งนี้ทำให้ความสงสัยในตัวอีกฝ่ายลดลงอย่างมาก


หากไม่ใช่เพราะนักสืบชื่อดังคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องเล็กๆ กับคดีคาพิน รวมถึงมีความสนิทสนมกับเอ็มลิน·ไวท์จากวิหารฤดูเก็บเกี่ยว เลียวนาร์ด·มิเชลคงยกเลิกการสอบสวน และหันไปไล่ล่าเบาะแสของอินซ์·แซงวิลล์อย่างจริงจัง


เนื่องจากเชอร์ล็อก·โมเรียตี้มีเพื่อนที่สโมสรครักซ์ไม่มากนัก หนึ่งคนเสียชีวิตไปแล้วในเหตุการณ์องค์ชายเอ็ดซัค หนึ่งคนคือนักข่าวไมค์·โยเซฟ ดังนั้น เลียวนาร์ดจึงเหลือเพียงเป้าหมายเดียว : นายแพทย์อลัน·คริสต์


จากเอกสารภายใน นายแพทย์คนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ บังเอิญเข้าไปพัวพันพลังพิเศษของเส้นทาง ‘สัตว์ประหลาด’ … หลังจากวัตถุต้องสงสัยถูกสับเปลี่ยน โชคร้ายและฝันร้ายของเขาก็หายไป ชีวิตกลับมาเป็นปรกติสุขอีกครั้ง… อา… คนรอบตัวของนักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้มักจะเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเสมอ นักสืบคนนี้คงไม่ธรรมดาแน่… ขณะครุ่นคิด เลียวนาร์ดใช้มือข้างหนึ่งสั่นกระดิ่งที่เป็นตัวแทนความฝันอลัน·คริสต์


ภายในความฝัน มันเลือกนั่งลงบนโซฟา กล่าวพลางมองไปยังนายแพทย์อลันฝั่งตรงข้าม


“รบกวนช่วยเล่าให้ฟังอย่างละเอียดได้ไหม ว่าคุณรู้จักกับนักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ได้อย่างไร”


อลันในความฝันมิได้ปิดบัง เล่าถึงเหตุการณ์ที่มาดามแมรี่แนะนำเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ให้ตนรู้จัก รวมถึงเรื่องที่ตัวมันคือหนึ่งในผู้รับรองให้นักสืบคนดังเข้าร่วมสโมสร ยังเล่าต่อไปด้วยว่า นักสืบคนนี้เคยแนะนำให้ตนนำความผิดปรกติที่พบ ไปแจ้งกับบิชอปของโบสถ์เทพธิดารัตติกาล


ตรงตามเอกสารข้อมูล… เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ค่อนข้างเป็นมิตรกับหน่วยพิเศษของทางการ และยังถูกรับรองโดยไอเซนการ์ด·สแตนธอน… เลียวนาร์ดชำเลืองไปทาง ‘เชอร์ล็อก’ เคราดกซึ่งอยู่ในความทรงจำของนายแพทย์อลัน ก่อนจะถอนสายตากลับและฟังต่อ


เมื่ออลันเล่ารายละเอียดทั้งหมดจบ มันปิดท้าย


“เขาไปพักร้อนทางใต้ แต่ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย ผมเป็นกังวลมาก… แต่เนื่องจากเป็นนักสืบที่ฉลาดหลักแหลมและจิตใจดี ผมไม่คิดว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับเขา แค่อยากให้กลับมาทันงานเลี้ยงฉลองการลืมตาดูโลกของลูกผม”


“ขอให้สมหวัง” เลียวนาร์ดปักใจเชื่อว่า เชอร์ล็อก·โมเรียตี้คงไม่กลับมาเหยียบกรุงเบ็คลันด์อีกแล้ว


ถัดมา มันกล่าวคำอำลาอย่างสุภาพและออกจากความฝันของนายแพทย์อลัน


เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เลียวนาร์ดหันหลังกลับตามสัญชาตญาณ แต่ก็พบเพียงบ้านสวน รวมถึงลูกบอลแสงพร่ามัวที่เป็นตัวแทนความฝันของแต่ละคน กำลังกระจายตัวอยู่ในโลกแห่งหมอกโดยปราศจากความผิดปรกติ


เราคิดมากไปเอง? แต่เราสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ในตัว… เลียวนาร์ดพึมพำพลางบินกลับไปยังถนนพินสเตอร์


ในการมองเห็นของมัน ด้านล่างเต็มไปด้วยหมอกหนาทึบและโคมไฟถนนสีสลัวและซีดจาง


ทันใดนั้น เลียวนาร์ดพลันหยุดบิน หันไปมองที่อาคารหลังหนึ่ง


ภายในบ้านหลังดังกล่าว แสงทรงกลมพร่ามัวจำนวนห้าถึงหกดวงกำลังลอยตัวอย่างเงียบงัน ไม่ต่างไปจากอาคารอื่นๆ โดยรอบ


ทว่า สัมผัสวิญญาณของเลียวนาร์ดหลับเตือนว่า ในบ้านหลังนั้นมีมวลพลังงานสีดำที่สามารถดูดซับแสงสว่างทั้งหมด


และเหนือสิ่งอื่นใด มันเพิ่งตระหนักว่าตนไม่รู้จักถนนสายนี้และสิ่งก่อสร้างรอบๆ เลยสักนิด!


หัวใจพลันเต้นโครมคราม เริ่มสงสัยว่าตนจะเผลอมองในสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้า จึงรีบถอนสายตากลับ เตรียมหนีออกไปจากที่นี่ กลับยังไปร่างเนื้อบนโลกความจริง


ทันใดนั้น สุ้มเสียงอันยียวนดังมาจากอาคารที่ดูธรรมดาๆ


“เข้ามาข้างในก่อนสิ ดื่มชาสักแก้วไหม?”


ความคิดมากมายพลันพรั่งพรูในสมองเลียวนาร์ด มันรีบบินกลับด้วยความเร็วสูงโดยไม่เหลียวหลังกลับไปมอง


ในวินาทีนี้ สัมผัสวิญญาณกำลังร้องเตือนว่า ไม่ว่าจะบ้านแถว บ้านสวนหลังแล้วหลังเล่า บานประตู และหน้าต่างที่กลายเป็นปาก ทั้งหมดราวกับเตรียมจะจู่โจมใส่ตน!


โคมไฟเหล็กดำจำนวนมากกลางถนนเริ่มขยายขนาด เปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้กลายเป็นป่าโลหะ คล้ายกับจะขวางทางเลียวนาร์ดไว้


เลียวนาร์ดไม่คิดจะลดความเร็ว ไม่คิดจะหันหลังกลับไปมอง ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ว่า เสื้อกั๊กของตนเริ่มแน่นคับ แถมยังแผ่ความเย็นเยียบอย่างน่าประหลาด!


ร่างกายของมันค่อยๆ แข็งทื่อ ราวกับกำลังถูกตรึงไว้โดยฝ่ามือลองหนจำนวนมหาศาล


ขณะสติเริ่มถึงขีดจำกัด แสงไฟจากหน้าต่างที่คุ้นเคยของบ้านหลังที่คุ้นเคย สว่างวาบขึ้นตรงมุมสายตา


เลียวนาร์ดรีบกลั้นหายใจ ดำดิ่งร่างกายลงอย่างรวดเร็ว ออกจากโลกแห่งความฝัน!


ฟู่ว… มันลืมตาตื่นขึ้น เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ


“ตาแก่ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกับผม?” เลียวนาร์ดหดขาลงจากขอบโต๊ะ ซักถามด้วยสีหน้าเจือความหวาดผวา


รอสองสามวินาที เสียงที่ค่อนข้างชราตอบกลับ


“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ”


เลียวนาร์ดปิดตาลงทันที ไม่ถามสิ่งใดต่อ


ถัดมาไม่นาน มันมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นแสงไฟจำนวนมากภายในกรุงเบ็คลันด์ยามค่ำคืน บรรยากาศเงียบสงัดและสงบสุข



160 ถนนเบิร์คลุน ภายในคฤหาสน์ของดอน·ดันเตส


“นายท่าน มาดามวาฮาน่า·เฮย์เซ่นมาถึงแล้วครับ” ริชาร์ดสันเดินเข้ามาในห้อง กล่าวกับไคลน์


ได้ยินเช่นนั้น ไคลน์วางหนังสือพิมพ์ลง เงยหน้าขึ้น มองไปทางบุรุษรับใช้ส่วนตัว พบว่าอีกฝ่ายยังเป็นคนพูดน้อย สงบปากสงบคำและสำรวม เอาใจใส่เจ้านายตามปรกติ ไม่มีสิ่งใดแปลกไป


ถ้าไม่ใช่เพราะผลลัพธ์การทำนายระบุว่าปลอดภัยล่ะก็… นอกจากนั้น เราอาจถูกสงสัยหากไล่คนรับใช้ออกส่งเดช… ไคลน์พึมพำในใจ ลุกขึ้นยืนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้ริชาร์ดสันช่วยสวมแจ็คเก็ตให้ตน


สิบห้านาทีถัดมา ชายหนุ่มกำลังกอดครูสอนมารยาท วาฮาน่า·เฮย์เซ่นไว้ในอ้อมอก เรียนรู้ท่าเต้นรำอื่นๆ ที่มักใช้กันในงานสังคม


“ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตกงานในอีกไม่กี่วัน” ผ่านไปสักพัก วาฮาน่ายกย่องพัฒนาการของดันเตสทางอ้อม ก่อนจะเสริม “แต่คุณระมัดระวังตัวมากเกินไป ฉันไม่ได้บอกให้คุณทำตัวต่ำทรามเหมือนชาวอินทิส แนบชิดสตรีอย่างไม่เกรงใจ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างระยะห่างตลอดเวลา การสัมผัสกันบ้างถือเป็นเรื่องปรกติ ตอนนี้คุณดูแข็งทื่อและค่อนข้างน่าเบื่อ”


ไคลน์ดึงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ตอบด้วยรอยยิ้ม


“ผมกังวลว่าจะเสียมารยาท”


หมายความว่า การใกล้ชิดกับสตรีมากเกินไปถือเป็นเรื่องเสียมารยาท? นอกจากนั้น เขากำลังบอกเป็นนัยว่าเรามีเสน่ห์ และอาจเกิดความเขินอายหากต้องใกล้ชิด? คารมคมคายเสียจริง… วาฮาน่าครุ่นคิด ตามด้วยยิ้ม


“คุณเรียนรู้ได้ไวมาก”


ขณะการเต้นรำดำเนินต่อไป ไคลน์จ้องหน้าวาฮาน่า·เฮย์เซ่น ถามเบาๆ ด้วยท่าทีเป็นกันเอง


“มาดาม คุณกำลังหนักใจเรื่องอะไรหรือ”


วาฮาน่าก้มศีรษะต่ำและยิ้ม


“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สามีของฉันเป็นนักธุรกิจ เมื่อเร็วๆ นี้เกิดความขัดแย้งเล็กๆ กับใครบางคน แต่เป็นปัญหาที่แก้ได้ไม่ยาก… แล้วก็ คำถามของคุณตรงเกินไป ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะสนิทสนม พยายามอย่าถามสตรีว่ามีปัญหาใด เว้นเสียแต่เธอจะเผยออกมาอย่างชัดเจน”


เมื่อเทียบกับเธอที่เข้าออกบ้านขุนนางและเศรษฐีเป็นว่าเล่น รู้จักคุณหญิงคุณนายมากมาย นักธุรกิจร่ำรวยที่เพิ่งย้ายเข้ามาในเบ็คลันด์อย่างเรา แทบไม่มีสายสัมพันธ์กับใครเลย… ไคลน์พยักหน้ารับ กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ผมนึกว่าพวกเราไม่ใช่คนแปลกหน้าระหว่างกันเสียอีก”


ชายหนุ่มรีบพาออกจากหัวข้อสนทนาเดิม เล่าถึงประสบการณ์ของตนและเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียง วาฮาน่าฟังอย่างตั้งใจ ตอบกลับด้วยถ้อยคำสั้นกระชับ ช่วยให้ไคลน์เข้าใจลักษณะและความชื่นชอบเพื่อนบ้านมากขึ้น


รอจนวาฮาน่ากลับ ไคลน์ยืนอยู่ที่ประตูเป็นเวลานาน ก่อนจะหันไปกล่าวกับพ่อบ้าน


“วอลเตอร์ ไปสืบมาว่ามาดามวาฮาน่ากำลังเผชิญปัญหาแบบใด หากเธอแก้ไขไม่ได้ เราจะมอบความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที”


ราชันเร้นลับ 758 : ผลตอบแทนความพยายาม

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในช่วงเย็น ไคลน์ที่เพิ่งกลับจากวิหารนักบุญแซมมวลและเตรียมเดินขึ้นไปยังห้องอาหารบนชั้นสอง หันไปเห็นพ่อบ้านวอลเตอร์เดินเข้ามาทักทายอย่างนอบน้อม


“นายท่าน เรื่องที่คุณต้องการสืบ ได้รับคำตอบแล้ว”


ต่อหน้าคนรับใช้ ไคลน์ไม่ได้ถามเพิ่มเติม เพียงพยักหน้ารับอย่างใจเย็น


“ไปคุยที่ห้องหนังสือ”


วอลเตอร์เดินตามชายหนุ่มจนถึงชั้นสาม เฝ้ามองริชาร์ดสันเปิดประตูห้องอ่านหนังสือ ตามด้วยจุดตะเกียงแก๊สริมผนังด้านใน


ไคลน์เดินไปที่โต๊ะทำงานอย่างไม่รีบร้อน นั่งลงและมองหน้าพ่อบ้าน รอให้อีกฝ่ายเล่าออกมา


วอลเตอร์ส่งสัญญาณให้ริชาร์ดสันออกไปเฝ้าด้านนอกประตู เดินเข้าไปใกล้โต๊ะทำงาน เรียบเรียงคำพูดในใจ


รอจนกระทั่งประตูปิด มันกล่าว


“สามีของมาดามวาฮาน่าเป็นพ่อค้าผ้า ทำงานกับเพื่อนคนหนึ่ง ลงทุนไปเป็นเงินหนึ่งพันปอนด์ แต่อีกฝ่ายกลับหนีไปกับพร้อมสินค้า… เธอขอร้องให้ส.ส. มัคท์และมาดามลีอานน่า ช่วยกดดันให้ตำรวจเร่งติดตามคดีโดยเร็ว แต่คดีลักษณะแบบนี้ กรมตำรวจเองก็ไม่รับประกันความสำเร็จ”


ไคลน์หยิบปากกาหมึกซึมสีดำบนโต๊ะทำงาน วาดเล่นในอากาศ


“สำหรับครอบครัวของมาดามวาฮาน่า เงินจำนวนหนึ่งพันปอนด์ไม่ใช่ก้อนเล็กๆ”


เท่าที่มันทราบ รายได้ต่อปีของครูสอนพิเศษมักไม่เกินหนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์ ยิ่งถ้านายจ้างจัดหาที่พักและอาหาร ค่าจ้างก็ยิ่งถูกลง


แม้วาฮาน่าจะมีนายจ้างเป็นชนชั้นสูงหลายตระกูล แต่รายได้ต่อปีสูงสุดก็คงไม่เกินห้าร้อยปอนด์… นอกจากนั้น รายจ่ายส่วนใหญ่ยังต้องหมดไปกับเครื่องแต่งกายและการดูแลรูปร่างหน้าตา เพื่อไม่ให้นายจ้างมองว่าไม่เหมาะสมที่จะเป็นครูสอนมารยาท…


“ใช่ครับ สามีของเธอมีรายได้ค่อนข้างปานกลางในหมู่พ่อค้าผ้า เงินลงทุนหนึ่งพันปอนด์จึงนับว่ามหาศาล” วอลเตอร์เล่าเสียงเบา


เป็นเงินที่เยอะสำหรับเราเหมือนกัน… ไคลน์ถอนหายใจและยิ้ม


“ผมเพิ่งมาถึงเบ็คลันด์ ยังไม่สนิทกับกรมตำรวจ”


วอลเตอร์ตอบกลับทันที


“นายท่าน เมื่อครั้งที่เคยรับใช้ไวเคาต์คอนราด ผมมีโอกาสได้รู้จักคนในสมาคมนายตำรวจอาวุโสประจำกรุงเบ็คลันด์”


สมาคมนายตำรวจอาวุโสประจำกรุงเบ็คลันด์? เท่าที่เราทราบ สมาคมนี้เป็นกลุ่มตำรวจยศใหญ่ในซิลวารัสยาร์ด แม้แต่ผู้กำกับการที่ดูแลเขตระดับเขต ก็ยังไม่มีสิทธิ์ได้เข้าร่วม…


ซิลวารัสยาร์ดหมายถึงกรมตำรวจของเบ็คลันด์ ตั้งชื่อถามถนนที่ตั้ง


สมแล้วที่เคยเป็นพ่อบ้านตระกูลใหญ่… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ยิ้มและส่ายหน้า


“สำหรับตอนนี้ พวกเรายังไม่จำเป็นต้องออกหน้า มาดามวาฮาน่าคงมีคนคอยให้ความช่วยเหลือมากมาย ถึงจะไม่นับส.ส. มัคท์ แต่ก็ยังมีอีกไม่น้อยที่สามารถทำให้ซิลวารัสยาร์ดหันมาสนใจคดีนี้”


มันเว้นวรรค พูดอย่างไม่แยแส


“ผมเคยเห็นจุดต่ำสุดของสังคมมาแล้ว รู้จักกฎการอยู่รอดของมนุษย์เป็นอย่างดี ในบางกรณี ตำรวจก็มีประโยชน์ไม่มากเท่ากลุ่มอันธพาลหรือนักล่าค่าหัว… วอลเตอร์ คุณไปที่กรมตำรวจเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับคดี จากนั้นก็แวะไปยังผับชื่อดังในย่านสะพานเบ็คลันด์และเขตตะวันออก ประกาศค่าหัวพร้อมเงินรางวัล… ไม่ว่าจะเป็นการพบตัวคนร้ายหรือพบสินค้า ผมจะมอบรางวัลให้สองร้อยปอนด์… หึหึ หวังว่าแก๊งนักต้มตุ๋นนั่นจะยังอยู่ในเบ็คลันด์”


“รางวัลสองร้อยปอนด์?” วอลเตอร์ทวนตัวเลข อดไม่ได้ที่จะหันไปมองนายจ้าง คล้ายกับไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อสะสางปัญหาให้วาฮาน่า


มันอ้าปากเล็กน้อย ราวกับต้องการเตือนบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวออกไป เพียงตอบกลับด้วยเสียงขึงขัง


“ครับ นายท่าน”


“ผมจะฝากเงินไว้กับคุณ” ไคลน์ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์


วอลเตอร์รับปึกเงินสดก้อนใหญ่ ครุ่นคิดสักพักก่อนจะถาม


“ให้ผมบอกมาดามวาฮาน่าไหมครับ?”


ไคลน์ยิ้ม


“ไม่ต้อง”


วอลเตอร์พยักหน้าและทำความเคารพ


“ความใจกว้างของนายท่านจะแพร่กระจายไปทั่วละแวกนี้”



เขตตะวันออก ถนนดาราวี ภายในผับที่คับแคบแต่มีชีวิตชีวา


ซิล สตรีเจ้าของผมสีทองสั้นที่ถูกหวีอย่างประณีต เดินแหวกฝูงชนอันพลุกพล่านซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าและเหงื่อโชยหึ่ง ตรงดิ่งไปยังเคาน์เตอร์บาร์


หญิงสาวใช้นิ้วเคาะแผ่นกระดาน กล่าวกับบาร์เทนเดอร์


“วันนี้มีงานใหม่เข้ามาบ้างไหม”


หากเป็นคนอื่น การโพล่งถามตรงๆ โดยไม่สั่งเครื่องดื่ม บาร์เทนเดอร์จะทำเป็นหูทวนลม แต่เมื่อเหลือบเห็นซิล นักล่าค่าหัวที่ไม่มีใครอยากให้เธอเมา มันทำได้เพียงถอนหายใจ


“มีงานน่าสนใจมาใหม่ จ่ายหนักถึงสองร้อยปอนด์”


“สองร้อยปอนด์?” ซิลเกือบคิดว่าตนหูฝาด เพราะนอกจากงานของมิสออเดรย์ ซึ่งเป็นงานที่ยากกว่านี้หลายเท่า เธอไม่เคยพบงานใดที่มีค่าตอบแทนสูงเท่านี้ในย่านสะพานเบ็คลันด์หรือเขตตะวันออกมาก่อน แม้กระทั่งภารกิจตามหาตัวอะซิก·อายเกสที่ทำให้นักล่าค่าหัวต่างพากันฮือฮา ก็ยังมีค่าตอบแทนเพียงหนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์


สำหรับนักล่าค่าหัวทั่วไป ขอเพียงทำงานเช่นนี้ให้สำเร็จ พวกมันไม่ต้องทำงานไปอีกหนึ่งปีเต็มก็ยังได้!


และสำหรับซิล เงินก้อนนี้มีความหมายต่อเธอมาก เพราะหลังจากทำงานให้ชายสวมหน้ากากสีทองมาหลายเดือน เธอทราบเบื้องต้นว่าอีกฝ่ายคือคนของ MI9 หากตนสะสมคะแนนผลงานถึงค่าที่กำหนด เธอสามารถนำไปแลกเปลี่ยนกับสูตรโอสถ ‘นักสอบสวน’ ได้


ด้วยเหตุผลข้างต้น ค่าตอบแทนส่วนใหญ่จึงมาในรูปแบบของ ‘คะแนนผลงาน’ มากกว่าเงิน ส่วนเงินเก็บของซิลจะมาจากการทำงานล่าค่าหัวด้วยพลังของ ‘เจ้าพนักงาน’ เป็นหลัก


หากแลกสูตรปรุงโอสถได้เมื่อไร เรายังต้องใช้เงินเพื่อซื้อวัตถุดิบหลัก แต่ตอนนี้มีเงินติดตัวแค่สามร้อยปอนด์เศษเท่านั้น… ฟอร์สพูดถูก เงินไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่ก็สำคัญต่อชีวิตมาก… คิดถึงจุดนี้ ซิลมองไปทางบาร์เทนเดอร์ ถามหลังจากใคร่ครวญ


“ภารกิจอะไร? ใครเป็นคนจ้าง?”


“ตามหาแก๊งต้มตุ๋น พวกมันโกงค่าผ้าเป็นเงินหนึ่งพันปอนด์” บาร์เทนเดอร์หยิบใบประกาศส่งให้ซิล พลางกล่าว “ผู้ว่าจ้างน่าจะเป็นพ่อบ้าน เรียกตัวเองว่าวอลเตอร์ ทำงานรับใช้มิสเตอร์ดอน·ดันเตสบนถนนเบิร์คลุน หากจับคนร้ายได้หรือเจอผ้าที่เป็นสินค้า เธอสามารถไปรับรางวัลได้ที่นั่น”


ซิลพลิกอ่านข้อมูลอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น ฉากที่สอดคล้องกันเริ่มปรากฏขึ้นภายในใจ ช่วยนำทางการสืบสวน


“ฉันจะทำงานนี้” หญิงสาวเงยหน้าและตอบ


บาร์เทนเดอร์ยักไหล่


“ไม่ใช่แค่เธอ นักล่าค่าหัวทุกคนของที่นี่ต่างเลือกทำงานนี้… แถมบางคนยังมีความคิดแหวกแนว”


“แหวกแนว?” ซิลถามอย่างสงสัย


บาร์เทนเดอร์หัวเราะในลำคอ


“พวกเขาบอกว่า มิสเตอร์ดอน·ดันเตสทั้งร่ำรวยและใจกว้าง หากเขายังขาดบอดี้การ์ด คนเหล่านั้นจะเสนอตัวทำงานให้… แต่ผ่านไปสักพักก็ต้องล้มเลิกความคิด เพราะงานบอดี้การ์ดไม่มีอิสระเท่ากับนักล่าค่าหัว แค่จะดื่มยังต้องรอให้เลิกงานก่อน”


นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา แต่ว่า… เราเป็นได้แค่นักล่าค่าหัว… ซิลพยักหน้า กระโดดลงจากเก้าอี้สูงหน้าเคาน์เตอร์ เดินออกจากร้านโดยไม่มัวรีรอ



วันถัดมา ไคลน์ที่เพิ่งกินมื้อเที่ยงเสร็จ เตรียมออกไปเดินเล่นในสวนเพื่อย่อยอาหาร


ทันใดนั้น พ่อบ้านวอลเตอร์เดินเข้ามาจากนอกบ้าน ตามหลังชายหนุ่มไปโดยไม่กล่าวคำใด รอจนกระทั่งไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ


“นายท่าน มีสองเรื่อง” มันกล่าวด้วยท่าทางเคารพ


“สองเรื่อง?” ไคลน์ค่อนข้างประหลาดใจ เพราะคิดว่าจะมีเพียงหนึ่ง


วอลเตอร์พยักหน้า


“ใช่ครับ เรื่องแรกก็คือการโอนหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทเบ็คลันด์จักรยาน ตอนนี้มีคนยอมจ่ายในราคาหนึ่งหมื่นปอนด์แล้ว… นายท่านต้องการจะประมูลแข่งหรือไม่?”


ขึ้นไปถึงหนึ่งหมื่นปอนด์แล้ว? เจ๋ง! ไคลน์แสร้งทำหน้าเครียด ก่อนจะตอบ


“ผมยังใหม่กับเบ็คลันด์มาก มีหลายๆ สิ่งต้องยับยั้งชั่งใจ… ปล่อยไปก่อน ไม่ต้องไปสนใจ…”


“ครับ นายท่าน” วอลเตอร์กล่าวต่อ “นักต้มตุ๋นที่หลอกขายผ้าให้สามีของมาดามวาฮาน่า ตอนนี้ถูกจับตัวได้แล้ว นักล่าค่าหัวคนดังกล่าวกำลังรอรับเงินรางวัลจากผม”


“เร็วขนาดนี้เชียว?” ไคลน์เอียงคออย่างประหลาดใจ จ้องไปทางพ่อบ้าน


ถ้ามันลงมือเอง ปัญหาคงคลี่คลายได้ภายในวันเดียว เพราะมีเทคนิคการทำนายด้วย ‘แท่งวิญญาณหาคน’ แสนสะดวกสบาย แต่ปัญหาคือ นักล่าค่าหัวส่วนใหญ่มักไม่ใช่เส้นทางนักทำนาย


แต่ก็อาจเป็นผู้วิเศษที่ชำนาญการแกะรอยและตามหาคน… ไคลน์สรุปในใจ


วอลเตอร์ยืนยันคำตอบ


“ใช่ครับ เร็วกว่าที่ผมคิดไว้เช่นกัน… ตามที่นักล่าค่าหัวคนนั้นรายงาน เธอสืบสวนแบบย้อนรอยจากช่องทางที่คนร้ายปล่อยของ จนกระทั่งสาวไปถึงแก๊งต้มตุ๋นเหล่านั้น”


ช่องทางที่คนร้ายปล่อยของถูกหาพบภายในวันเดียว? ป่านนี้พวกมันคงถูกสั่งสอนด้วยกำปั้นเหล็กไปแล้วสินะ… ไคลน์พยักหน้ารับ


“นักล่าค่าหัวคนนั้นชื่ออะไร? ฝีมือของเธอยอดเยี่ยมมาก”


“เธอเรียกตัวเองว่าซิล” วอลเตอร์ตอบตามจริง


บ้าน่า… ไคลน์เกือบผงะ แต่โชคดียังที่มีพลังการทรงตัวขั้นสุดยอดของตัวตลก


ข่มความปั่นป่วนภายในใจสักพัก ชายหนุ่มปกปิดความผิดปรกติด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะหันไปพูดกับอีกฝ่าย


“ขอข้อมูลติดต่อนักล่าค่าหัวคนนั้นไว้ บางที เราอาจต้องพึ่งพาเธอในอนาคต”


“ครับ นายท่าน” วอลเตอร์ไม่ได้มองว่าคำสั่งของดอน·ดันเตสผิดปรกติ เพราะชนชั้นสูงมักมีช่องทางติดต่อกับคนทำงานสีเทาเสมอ


ไคลน์ไม่ได้สานต่อบทสนทนา เพียง ‘อืม’ และกล่าว


“ได้คืนจากคนร้ายเท่าไร”


“เงินสดที่แก๊งต้มตุ๋นพกติดตัว รวมกับผ้าที่ยังขายไม่ออก ทั้งหมดแปดร้อยห้าสิบปอนด์ครับ” คล้ายกับวอลเตอร์กำลังรอให้นายจ้างถาม มันตอบอย่างฉะฉานด้วยข้อมูลที่เตรียมไว้ล่วงหน้า


“ทำได้ดี” ไคลน์พยักหน้า “หลังจากจ่ายค่าตอบแทนเสร็จ บอกให้เธอนำแก๊งต้มตุ๋นไปส่งสถานีตำรวจใกล้ๆ พร้อมกับของกลาง”



สถานีตำรวจเขตเหนือ


วาฮาน่าและบาคุส สามีของเธอ ต่างมองไปยังสารวัตรยศใหญ่ฝั่งตรงข้าม ซักถามด้วยความประหลาดใจอย่างพร้อมเพรียง


“ได้คืนแล้วหรือคะ?”


“พวกมันถูกจับแล้ว?”


สารวัตรตอบด้วยรอยยิ้ม


“ใช่”


หลังจากทราบว่ามีเงินสดและผ้าเหลืออยู่เท่าไร วาฮาน่ากับบาคุสถอนหายใจอย่างโล่งอก


เงินที่หายไปจำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์ พวกมันยังพอรับได้ นอกจากนั้น ผ้าที่เหลืออยู่ก็ยังสามารถทำกำไรได้ด้วยการต่อยอด โดยรวมแล้ว ความเสียหายจึงไม่รุนแรงมากนัก


สองสามีภรรยาขอบคุณสารวัตรซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งเจ้าหน้าที่คนหนึ่งตามบาคุสให้ไปชี้ตัวคนร้ายและสินค้า


วาฮาน่ายังคงนั่งที่เดิมโดยไม่สูญเสียความสง่างาม เผยรอยยิ้มพลางพูดกับสารวัตรยศใหญ่ด้านหน้า


“ตำรวจทำงานได้รวดเร็วผิดคาดมาก ขอถามได้ไหนคะ พวกคุณสืบจนพบแก๊งต้มตุ๋นได้ยังไง?”


เนื่องจากทราบว่าสตรีมีเสน่ห์และสง่างามตรงหน้ารู้จักกับส.ส. ไม่ช้าก็เร็วคงได้ทราบความจริง สารวัตรจึงไม่คิดปิดบัง


“อันที่จริง คดีนี้ถูกปิดโดยนักล่าค่าหัวคนหนึ่ง เธอเริ่มสืบจากช่องทางที่คนร้ายปล่อยของ จนตามจับได้เมื่อไม่นานมานี้”


“พวกคุณจ้างนักล่าค่าหัวด้วยหรือ?” วาฮาน่าเริ่มเข้าใจเรื่องราว


สารวัตรส่ายหน้าและตอบ


“เปล่า มีใครบางคนลงประกาศไปก่อน รางวัลตอบแทนคือสองร้อยปอนด์”


“สองร้อยปอนด์?” วาฮาน่าทวนคำซ้ำอย่างประหลาดใจ


นั่นไม่ใช่เงินก้อนเล็กๆ มากกว่ากำไรที่สามีของเธอคาดหวังจากธุรกิจนี้ด้วยซ้ำ!


เมื่อเห็นสารวัตรยืนยัน วาฮาน่าอดไม่ได้ที่จะถาม


“ใครเป็นคนตั้งรางวัลนำจับหรือคะ?”


“นักล่าค่าหัวไม่ได้บอก แต่เธอมาพร้อมกับสุภาพบุรุษที่แต่งตัวเหมือนพ่อบ้าน” สารวัตรเริ่มบรรยายรูปลักษณ์ของวอลเตอร์อย่างคร่าว


วาฮาน่าพอจะเดาได้ว่าเป็นใคร จึงเอนหลังเล็กน้อย พึมพำอย่างเหม่อลอย


“สองร้อยปอนด์…”



ในช่วงบ่าย วาฮาน่าที่มาสอนมารยาทให้บุตรสาวของส.ส. มัคท์ กล่าวขอบคุณมาดามลีอานน่าที่พยายามช่วยเหลือปัญหาของตน


ลีอานน่า สตรีเจ้าของเส้นผมสีเขียวเข้ม ปฏิเสธอย่างถ่อมตน ก่อนจะถาม


“วาฮาน่า ฉันได้ยินว่าคุณเป็นครูสอนมารยาทให้มิสเตอร์ดอน·ดันเตสด้วย เขาเป็นคนแบบไหนหรือ”


วาฮาน่าครุ่นคิดสักพัก


“เป็นสุภาพบุรุษตัวจริง บุคลิกอบอุ่น ใจกว้าง มีเมตตา มารยาทดี อ่อนโยน และฉลาดหลักแหลม”


ลีอานน่าพยักหน้าเล็กน้อย หันไปมองหญิงสาวด้านข้างที่ค่อนข้างทระนงตน หัวเราะในลำคอ


“น่าเสียดายที่อายุมากไปสักนิด ไม่อย่างนั้นคงนัดเขามาดูตัว… ดีล่ะ ฉันจะชวนเขามาร่วมงานเต้นรำในช่วงสุดสัปดาห์นี้”


……………………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)