Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 739-744
ราชันเร้นลับ 739 : พบหน้า และไม่พบหน้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
มหาวิหารนักบุญแซมมวล โถงสวดมนต์หลัก
บิชอปผมสั้นสีดำถอนสายตากลับ เลิกมองไปยังสุภาพบุรุษวัยกลางคนที่ยืนหน้ากล่องบริจาค ระงับความคิดที่จะเข้าไปคุย
ณ ที่แห่งนี้ หน้าแท่นบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ มันคือตัวแทนของศาสนจักร ภายใต้การจ้องมองจากเทพธิดา ห้ามเลือกปฏิบัติเพียงเพราะอีกฝ่ายบริจาคเงินจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม มันแอบจดจำรูปลักษณ์ของสุภาพบุรุษหนุ่มใหญ่มาดสง่างามและสุขุม ไว้มีโอกาสค่อยเข้าไปทักทายในภายหลังเพื่อสร้างความคุ้นเคย
เมื่อเห็นธนบัตรใบสุดท้ายตกถึงก้นกล่องบริจาค ไคลน์หลับตาลง หันหลังกลับและเดินออกมา
ขณะผ่านหน้าบิชอปนักเทศน์ ชายหนุ่มจงใจหันไปมองและยิ้ม
บิชอปตอบกลับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ทำสัญลักษณ์สี่จุดทวนเข็มนาฬิกาบนหน้าอก
ไคลน์ไม่รีบร้อนติดต่อกับคนของวิหาร ต้องมั่นใจว่าทุกการกระทำของตนมีเหตุและผลรองรับมากพอ ไม่กระโตกกระตาก ทำเพียงเดินหลีกทางให้สาวกคนอื่นอย่างใจเย็น กลับไปยังเก้าอี้ตัวเก่า หยิบหมวกและไม้ค้ำ ก้าวออกจากห้อง
ขณะเดียวกัน หลังจากฟังเทศนาจบ ผู้ศรัทธาหลายคนเดินตรงไปที่กล่องบริจาค แต่บางคนก็ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องโดยไม่กลัวว่าจะถูกมองไม่ดี เพราะการบริจาคมิใช่กิจบังคับ
แม้แต่ผู้เชื่อที่รักการบริจาคก็มิได้โยนเงินลงไปในกล่องทุกครั้งที่มาฟังเทศน์ ขึ้นอยู่กับสถานภาพของครอบครัวในขณะนั้น อาจทำสัปดาห์ละหนหรือสองหน
หากเป็นชนชั้นล่าง การบริจาคจะมียอดครั้งละไม่กี่เพนนี ชนชั้นกลางจะเฉลี่ยสามถึงห้าซูล ส่วนเศรษฐีและขุนนางจะใช้ทองปอนด์ แต่ก็ไม่เกินคราวละร้อยปอนด์
นี่คือสถานการณ์ปรกติ แต่ถ้าเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ประจำปีของเทพธิดารัตติกาลซึ่งถูกเรียกว่า ‘วันเฉลิมฉลองเหมันต์’ ยอดการบริจาคจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า พลเมืองชั้นล่างที่พอมีเงิน จะบริจาคสองถึงสามซูล ชนชั้นกลางจะตกราวห้าปอนด์ ชนชั้นสูงและขุนนางจะบริจาคเงินให้บิชอปอาวุโสหรือองค์กรการกุศลของโบสถ์โดยตรง มีตั้งแต่ไม่กี่ร้อยปอนด์ไปจนถึงสองสามร้อยปอนด์
‘วันเฉลิมฉลองเหมันต์’ หมายถึงวันที่มีกลางคืนยาวนานที่สุดของทุกปี ถือเป็นวันคล้ายวันประสูติของเทพธิดารัตติกาล
…
ออกจากวิหาร ไคลน์ยืนอยู่ด้านนอกจัตุรัส มองดูฝูงนกพิราบสีขาวกระพือปีก บินวนและร่อนลง
ชายหนุ่มลงทุนซื้ออาหารจากร้านข้างทางมาโปรยให้นกพิราบ ทำตัวตามสบาย ไม่ได้สนใจจะอ่านโฆษณาขายบ้านบนหนังสือพิมพ์เพื่อค้นหาที่อยู่ที่เหมาะสมในเขตเหนือ เพราะนั่นคืองานของพ่อบ้าน
พ่อบ้านมากประสบการณ์ซึ่งอาศัยในกรุงเบ็คลันด์มานาน ย่อมรู้จักขุนนางและเศรษฐีไม่มากก็น้อย รวมไปถึงชนชั้นกลางที่พอจะมีฐานะ รู้ว่าใครอาศัยอยู่แถวไหน จึงน่าจะเลือกบ้านได้อย่างเหมาะสมมากกว่าตน
การพบปะกันระหว่างเพื่อนบ้าน ถือเป็นบันไดขั้นแรกสู่สังคมชนชั้นสูง!
ไม่ว่าจะเป็นสโมสรคาร์ลตันที่สมาชิกพรรคอนุรักษนิยมมักมารวมตัว สโมสรชาวอิสรภาพที่พรรคหัวก้าวหน้ารวมตัว หรือสโมสรทหารผ่านศึกที่เป็นตัวแทนของกองทัพ การจะเข้าร่วมต้องให้คนสำคัญชักชวนเข้าไป… เฮ่อ สำหรับปัจจุบัน ความสัมพันธ์ลักษณะนี้มักถูกเรียกว่า ‘การเมืองสโมสร’ … ไคลน์ดึงความสนใจกลับ ครุ่นคิดว่าตนควรทำสิ่งใดหลังจากให้อาหารนกพิราบ
ไตร่ตรองอย่างจริงจังสักพัก ชายหนุ่มพบว่าตนยังไม่มีธุระเร่งด่วน เพราะแผนการใหญ่ยังอยู่ในระดับผิวเผิน
ด้วยเหตุนี้ ไคลน์ตัดสินใจเดินทางไปเพลิดเพลินกับอาหารกลางวันแสนหรูหราและเอร็ดอร่อย นี่คือสิ่งที่ดอน·ดันเตสควรทำ ขณะเดียวกันก็เป็นความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัวของไคลน์
ในช่วงก่อน ตลอดหลายเดือนที่อาศัยอยู่ในเบ็คลันด์ ชายหนุ่มไม่มีความกล้ามากพอที่จะเดินเข้าไปในภัตตาคารราคาแพง เอาแต่ฝากท้องไว้กับหนึ่งในสี่ตัวเลือกที่ตนสะดวก ประกอบด้วย ห้องกินข้าวในบ้านตัวเอง ห้องอาหารบุฟเฟ่ต์ของสโมสรครักซ์ ร้านอาหารริมถนน และบ้านของนักกฎหมายเยอร์เก้น มีบางครั้งที่แวะไปหาอะไรกินในเขตตะวันออก กินมื้อเช้าหรือเที่ยงในร้านกาแฟที่ค่อนข้างเปื้อนน้ำมัน
ภัตตาคารลาโบดีไหม? ได้ยินว่าพ่อครัวของที่นั่นมาจากบ้านเอิร์ลฮอลล์ บริการเฉพาะเศรษฐี ผู้ตรวจการ และข้าราชการระดับสูง โดยปรกติแล้วจะจองได้ยาก… ดูเหมือนว่าเอิร์ลฮอลล์จะถือหุ้นของภัตตาคารเป็นจำนวนมากด้วย… ถ้าจำไม่ผิด ภัตตาคารแห่งนี้ขึ้นชื่อในด้านอาหารท้องถิ่นของเบ็คลันด์ โดยเฉพาะของหวาน แต่ราคาไม่เป็นมิตรสักเท่าไร…
ภัตตาคารอินทิสเซอเรนโซ่? เสิร์ฟแต่อาหารอินทิสดั้งเดิม หึหึ มีเมนูเด็ดที่จักรพรรดิโรซายล์คิดค้นขึ้นมากมาย ได้ยินว่ามาจากตำรับวังหลวงของจักรพรรดิโดยตรง… นอกจากนั้น ร้านอินทิสเซอเรนโซ่ยังมีอาหารหลากหลายชนิดให้เลือก แตกต่างจากภัตตาคารอื่นๆ ในระดับเดียวกันที่มักมีจานหลักแค่ไม่กี่เมนู… ไคลน์พึมพำข้อมูลร้านอาหารชั้นนำที่เคยเห็นจากหนังสือพิมพ์และนิตยสาร จนในที่สุด มันตัดสินใจแวะไปชิมอาหารตำรับชาววังของจักรพรรดิ
ชายหนุ่มไม่รีรอ โบกรถม้า ตรงไปยังร้านอาหารอินทิสเซอเรนโซ่ในเขตตะวันตก
เมื่อถึงทางเข้า ไคลน์ส่งเสื้อคลุม หมวก และไม้ค้ำให้บริกรชายในเสื้อกั๊กสีแดง ซักถามอีกฝ่าย
“ยังมีที่ว่างเหลืออยู่ไหม? ผมไม่ได้จองไว้”
“มีครับ” บริกรชายสวมกั๊กแดงไม่แสดงท่าทีรังเกียจ ซักถามนอบน้อม “เพิ่งมาเคยมาใช่ไหมครับ? มาท่านเดียวหรือ?”
ไคลน์พยักหน้าใจเย็น ยิ้มและพูด
“ใช่”
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอเสียมารยาทแนะนำอาหารชื่อดังและไวน์รสเลิศของทางร้านเรา” บริกรกั๊กแดงกล่าวพลางเดินนำทางเข้าไป
“กำลังต้องการอยู่พอดี” ไคลน์เดินผ่านประตูที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา เริ่มมองเห็นกำแพงสีทองระยิบระยับ
เพียงพริบตา ชายหนุ่มรู้สึกราวกับตนเข้าอยู่ในคลังสมบัติ
จากนั้น ไคลน์สังเกตเห็นภาพวาดสีน้ำมันที่แขวนบนผนัง เห็นรูปปั้นหินอ่อนถูกจัดวางอย่างเหมาะสม นอกจากนั้นยังมีการประดับตกแต่งด้วยวัตถุสีทองตามจุดต่างๆ
“เดินระวังด้วยนะครับ” บริกรเสื้อกั๊กแดงกล่าวเตือน พาไคลน์ไปนั่งริมหน้าต่างซึ่งมีเสียงไวโอลินอันไพเราะดังมาแต่ไกล
บริกรชายนำเมนูและไวน์มาให้ เปิดหน้าแรก
“เมนูขึ้นชื่อของร้านเราประกอบไปด้วย ซี่โครงเนื้อวัวทาเกียตุ๋น… เห็ดทรัฟเฟิลดำ ฟัวกราส์อินทิส โดยเฉพาะฟัวกราส์ ทางเรานำเข้าวัตถุดิบจากฟาร์มโบนาสในเมืองแชมเปญ อาณาจักรอินทิส”
ไคลน์ฟังคำแนะนำของพนักงาน สายตาชำเลืองอ่านเมนูที่เขียนด้วยภาษาฟุซัคโบราณ สิ่งที่เตะตาที่สุดคือราคา
หลังจากนำเสนอเกี่ยวกับจานหลัก ของทางเล่น ของหวาน บริกรชายหันมาอธิบายการจับคู่ไวน์
“แชมเปญ ไวน์แดง และไวน์ขาวของเราล้วนมาจากไร่ที่มีชื่อเสียงในเมืองแชมเปญ นอกจากนั้นยังมีไวน์แดงเออเมียร์ที่ผลิตในปี 1330 ราคาหนึ่งร้อยยี่สิบหกปอนด์ต่อขวด หากคุณลูกค้าซื้อไป จะนำกลับบ้านหรือจะฝากไว้กับทางร้านก็ได้เช่นกัน เป็นการประหยัดค่าเครื่องดื่มในมื้อถัดไป”
หนึ่งร้อยยี่สิบหกปอนด์… จ้างแม่บ้านเก่งๆ ได้หนึ่งคน… หึหึ… ไคลน์ยิ้มอย่างสง่างาม
“อาหารและไวน์ของที่นี่ฟังดูยอดเยี่ยมมาก ผมเลือกไม่ถูก”
บริกรชายเสื้อกั๊กแดงยิ้มอย่างกระฉับกระเฉง
“คุณลูกค้าสามารถเลือก ‘ตามใจพ่อครัว’ ได้ครับ ให้พ่อครัวของเราเลือกเสิร์ฟอาหารอินทิสแท้ที่รสชาติเป็นเลิศ มีสามคอร์สให้เลือก ประกอบด้วยสิบห้าปอนด์ สิบปอนด์ และแปดปอนด์”
ไม่อยากเลือกสักคอร์ส… ไคลน์เอนหลัง เผยรอยยิ้ม
“สิบห้าปอนด์”
“ตกลงครับ” บริกรชายเสื้อกั๊กแดงเก็บเมนูและรายการไวน์ เดินตรงไปทางห้องครัว
ไคลน์สูดลมหายใจ ผ่อนออกอย่างช้าๆ มองไปข้างหน้าอย่างไร้เป้าหมาย
ทันใดนั้น ชายหนุ่มพบบุคคลที่ค่อนข้างคุ้นเคย เป็นสตรีในชุดสีเขียวมะกอก
รูปร่างสูงโปร่ง สัดส่วนสมบูรณ์แบบ สวมหมวกอ่อนสีดำทรงโบราณ ตาข่ายคุณภาพดีห้อยลงมาปิดใบหน้า
ในฐานะ ‘ผู้ไร้หน้า’ ไคลน์เก่งกาจด้านการจำแนกรูปลักษณ์ของมนุษย์ จดจำได้ทันทีว่าสตรีผู้นี้เป็นใคร
ราชินีเงื่อนงำ บุตรสาวคนโตของจักรพรรดิโรซายล์ แบร์นาแดต·กุสตาฟ!
ชายหนุ่มไม่รีบร้อนถอนสายตากลับ เลื่อนไปด้านข้างอย่างเป็นธรรมชาติ โชคดีที่แบร์นาแดตไม่พบความผิดปรกติ เพียงเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบน
หล่อนมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? จริงสิ… ภัตตาคารแห่งนี้โด่งดังด้านเมนูตำรับชาววังของจักรพรรดิโรซายล์ หึหึ… นึกว่าจะเป็นอาหารจีนเสียอีก จักรพรรดิคงทำอาหารไม่เก่ง อย่างมากก็อธิบายถึงแนวคิดได้คร่าวๆ ที่นี่จึงมีอาหารประเภทผัดทอดอยู่สองสามอย่าง… หรือว่าเธอจะเป็นเจ้าของกิจการอย่างลับๆ? แล้วทำไมถึงหมกตัวอยู่ในเบ็คลันด์แทนที่จะออกไปท่องทะเล? เธอได้พบตัวจริงของจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดไปแล้วไม่ใช่หรือ? ไคลน์นั่งในท่าสำรวม คำถามผุดขึ้นในใจทีละข้อ
…
ขณะเดียวกัน รถม้าคันหนึ่งกำลังแล่นไปบนถนน ปลายทางคือภัตตาคารอินทิสเซอเรนโซ่
ภายในรถม้ามีครอบครัวของอลัน·คริสต์ ศัลยแพทย์คนดังผู้เป็นสมาชิกของสโมสรครักซ์ และยังเป็นเพื่อนของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ ครั้งหนึ่งเคยมอบหมายให้นักสืบคนดังจัดการกับคดีของวิล·อัสติน
นับตั้งแต่ภรรยาตั้งครรภ์ อลันรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างโชคดี หน้าที่การงานนับวันยิ่งเจริญก้าวหน้า ค่าแรงเพิ่มขึ้นทุกเดือน ล่าสุด มันประสบความสำเร็จในการผ่าตัดบารอนซินดราส ได้รับคำชมเชยจากขุนนางหน้าใหม่รายนี้ ถึงขั้นเชิญให้ครอบครัวของอลันไปรับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารเซอเรนโซ่
“ได้ยินว่าไอศกรีมของที่นี่อร่อยมาก” อลันหันไปยิ้มให้ภรรยา
ภรรยาอลันเป็นหญิงงามเจ้าของเส้นผมสีดำขลับ ช่วงท้องป่องออกมาอย่างเห็นได้ชัด เธอเผยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ฉันอยากกินอาหารตำรับชาววังของจักรพรรดิโรซายล์มานานแล้ว”
อลัน ‘อืม’ ในลำคอ มองออกไปนอกหน้าต่าง
“ใกล้ถึงแล้ว”
กล่าวจบ ภรรยาของมันกุมท้องกะทันหัน
“เจ็บ…”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อลันได้เป็นพ่อคน จึงลงมือตรวจสอบครรภ์อย่างชำนาญ ทั้งที่ไม่พบความผิดปรกติใดเลย แต่ดูเหมือนเด็กในท้องจะเริ่มอาละวาดมากขึ้นเรื่อยๆ
“ฉ…ฉันว่าฉันกลับก่อนดีกว่า… รู้สึกอยากนอนพักผ่อน” ภรรยาอลันเสนอแนะ
อลันครุ่นคิดสักพัก
“ผมจะกลับไปกับคุณ”
มันหันไปออกคำสั่งกับบุรุษรับใช้
“คุณลงรถตรงนี้ เดินไปที่ร้านอาหารและขอโทษบารอนซินดราสแทนผม”
เมื่อรถม้าหันหัวกลับ ความอึดอัดของภรรยาอลันเริ่มบรรเทาลงอย่างน่าประหลาด และเมื่อถึงบ้าน ทุกอย่างก็กลับเป็นปรกติ
หญิงสาวลูบท้องด้วยสีหน้าประหลาดใจ กล่าวกับสามี
“สงสัยเด็กคนนี้จะไม่อยากกินไอศกรีม”
ฮัดเช่ย! ภายในร้านอาหารอินทิสเซอเรนโซ่ ไคลน์ผู้ไม่เคยลิ้มรสอาหารระดับนี้มาก่อน ย่อมเพลิดเพลินไปกับไอศกรีมด้วยสีหน้าพึงพอใจ แต่ขณะกำลังกิน จมูกเกิดคันขึ้นมากะทันหัน จึงต้องดึงกระดาษทิชชูออกมาจาม
…
เขตตะวันตก ภายในบ้านที่ร่มรื่น
ฟอร์ส ผู้เพิ่งเลื่อนลำดับเป็น ‘โหราจารย์’ กระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมชุมนุมผู้วิเศษเพื่อมองหาช่องทางทำเงิน
ปัจจุบัน เธอมีหนี้สินอยู่ที่สองร้อยยี่สิบปอนด์ มากจนเพื่อนสนิทเริ่มสงสัยว่า ฟอร์สอาจเข้าไปพัวพันกับการพนันผิดกฎหมาย
เราไม่มีแม้กระทั่งเงินจะซื้อลูกแก้วทำนาย… ขณะครุ่นคิด ฟอร์สพลันได้ยินสมาชิกคนหนึ่งพูดขึ้น
“ผมต้องการขาย ‘หุ่นกระบอกจันทรา’”
ราชันเร้นลับ 740 : เสนอตัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
หุ่นกระบอกจันทรา… ฟอร์สเริ่มใจเต้น หันไปมองสมาชิกของชุมนุมคนที่เพิ่งพูด
สุภาพบุรุษในหน้ากากเหล็กสีดำ นำหุ่นกระบอกตัวเล็กออกมาแสดงต่อหน้าทุกคน
“เพื่อนของฉันพบสุสานเล็กๆ ในส่วนลึกของหุบเขาเพิร์ธบนทวีปใต้ หุ่นกระบอกตัวนี้เสียบอยู่ที่เบ้าตาขวาของศพ”
เฉกเช่นสมาชิกคนอื่น ฟอร์สเพ่งมองหุ่นกระบอกอย่างใกล้ชิด พบว่ามีลำตัวยาวและเรียว ลักษณะคล้ายเสาไม้ขนาดเล็กที่ถูกแกะสลักดวงตาและปากคล้ายจันทร์เสี้ยว ด้านในยัดด้วยหญ้าแห้งและดอกไม้
ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษ… ฟอร์สรำพัน พลังวิญญาณของเธอไม่สัมผัสถึงสิ่งใด ปากกาในมือวนเวียนอยู่บนสมุดบันทึกปกสีเขียวขี้ม้า
สุภาพบุรุษสวมหน้ากากเหล็กดำยังคงแนะนำต่อไป
“ทั้งผมและเพื่อน ไม่มีใครยืนยันได้ว่าหุ่นตัวนี้มีประโยชน์อย่างไร แต่เชื่อว่าคงไม่ใช่วัตถุธรรมดา อาจซ่อนความลับเอาไว้มากมาย… หกสิบปอนด์ จ่ายเพียงหกสิบปอนด์ก็จะกลายเป็นของคุณทันที ราคานับว่ายุติธรรมมาก แม้จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับศาสตร์เร้นลับเลย แต่ก็ยังเป็นของเก่าหายาก มีมูลค่าราวสี่สิบถึงห้าสิบปอนด์… กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกคุณมีโอกาสเสี่ยงโชคในราคาเพียงสิบปอนด์เท่านี้ ราคานี้นับว่าไม่แพง”
คารมคมคาย… ชายคนนี้เป็นนักขายที่ดีได้แน่ แต่ตอนนี้เราไม่มีแม้กระทั่งเงินสิบปอนด์… ฟอร์สรำพันจิกกัดตัวเอง ขณะเดียวกันก็เชื่อว่า คงไม่มีใครยอมควักเงินซื้อ ‘หุ่นกระบอกจันทรา’ ที่ต้นกำเนิดและประโยชน์ยังเป็นปริศนาแน่
ระหว่างกำลังครุ่นคิด เธอได้ยินผู้หญิงคนหนึ่งพูดโดยบีบเสียง
“ห้าสิบปอนด์”
รวยชะมัด… อยากเสี่ยงโชคจริงหรือ? โดยไม่รู้ตัว ฟอร์สหันไปทางสมาชิกคนที่เสนอราคา มองเห็นผู้หญิงสวมเสื้อคลุมศีรษะคนหนึ่ง ใบหน้าซ่อนอยู่ในเงามืด
ทันใดนั้น เจ้าของ ‘หุ่นกระบอกจันทรา’ หัวเราะ
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอเก็บไว้ใช้เองดีกว่า บางที อาจโชคดีได้พบความพิเศษของมันเข้าในอนาคต”
จนกระทั่งเวลาผ่านไป เมื่อมันพบว่าไม่มีใครเสนอราคาเพิ่ม โทนเสียงเริ่มแปรเปลี่ยน
“แน่นอน… ในฐานะสุภาพบุรุษ ถ้าคุณกล้าเสนอ ผมก็กล้าขาย… ราคาเท่านี้ก็ยังพอรับได้”
“ตกลง” หญิงสาวในชุดคลุมตอบเสียงทุ้ม
เพียงไม่นาน ผู้ช่วยของชุมนุมเดินมาอำนวยความสะดวกให้ทั้งสองฝ่าย การค้าขายจบลงภายในเวลาอันสั้น ขณะเดียวกัน ฟอร์สบังเอิญหันไปเห็นว่า หลังจากหญิงสาวคนดังกล่าวรับหุ่นกระบอกจันทราไป มือของเธอสั่นระริกแผ่วเบา
หุ่นกระบอกตัวนี้เป็นของสำคัญสำหรับเธอ… บางที เธออาจจะล่วงรู้ความพิเศษ… หุ่นกระบอกจันทรา… ดวงจันทร์… จากทวีปใต้… ฟอร์สปะติดปะต่อข้อมูล เริ่มสงสัยว่าหล่อนอาจเป็นสาวกของดวงจันทร์บรรพกาลที่ ‘มิสเตอร์มูน’ กำลังตามล่าตัว หรือไม่ก็มีส่วนเชื่อมโยงกับองค์กรดังกล่าว
แน่นอน นี่เป็นการคาดเดาเลื่อนลอย ปราศจากหลักฐาน แม้แต่เหตุและผลก็ยังไม่รัดกุมมากพอ
ฟู่ว… ฟอร์สถอนหายใจแผ่ว คิดหาวิธีพิสูจน์ข้อสันนิษฐาน
หญิงสาวพลิกหน้าสมุดบันทึกปกแข็งในมือ เปิดไปยังหน้าที่เป็นกระดาษหนังสีน้ำตาลอมเหลือง
กระดาษแผ่นนี้เต็มไปด้วยลวดลายและสัญลักษณ์ซับซ้อน อัดแน่นด้วยความลึกลับที่ไม่ทราบจุดประสงค์
นี่คือหนึ่งในหน้ากระดาษของ ‘สมุดเวทมนตร์ของเลมาโน่’ ที่ถูกบันทึกพลังบางชนิดลงไป
ไม่ใช่พลังที่ฟอร์สบันทึกด้วยตัวเอง แต่เป็นหนึ่งในห้าหน้าที่มีมาแต่ต้น
ฟอร์สเงยหน้า แสร้งทำเป็นสังเกตการแลกเปลี่ยนของผู้อื่น ในความจริงกำลังสำรวจสภาพแวดล้อมรอบตัวเป้าหมาย
เธอพบยุงลายสีน้ำตาลเข้มบนผนังไม่ห่างออกไป นอกจากนั้นยังมีหนอนแมลงไม่ทราบชนิดกำลังคลานไปบนพื้นอย่างเชื่องช้า
นิ้วของฟอร์สเลื่อนไปตามลวดลายสีเข้มบนกระดาษหนังอย่างเป็นธรรมชาติ สัญลักษณ์อันซับซ้อนก่อตัวขึ้นภายในห้วงความคิด
ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างเงียบงันและปราศจากความผิดปรกติ หญิงสาวรู้สึกว่าตนเริ่ม ‘เข้าใจ’ ยุงลายจุดสีน้ำตาล คล้ายกับสมองกำลังเชื่อมโยงเข้ากับความคิดอีกฝ่าย
ยุงลายจุดสีน้ำตาลบินขึ้นในระดับต่ำ
มันบินวนรอบสตรีสวมเสื้อคลุมศีรษะสักพักก่อนจะเกาะลงบนตัว
การมองเห็นของยุงลายสีน้ำตาลแตกต่างจากมนุษย์ ฉากอันยากจะทำความเข้าใจจึงผุดขึ้นในห้วงความคิดฟอร์สครู่หนึ่ง ก่อนจะสลายตัวอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนเป็นฉากปรกติที่มนุษย์สามารถเข้าใจ
ฟอร์สจดจำใบหน้าอีกฝ่ายได้ทันที สตรีผู้นี้คือสาวกของ ‘ดวงจันทร์บรรพกาล’ นามวินเซอร์·เบริ่ง ที่มิสเตอร์มูนกำลังตามหา!
เบาะแสที่มีประโยชน์จะได้รับค่าตอบแทนหนึ่งร้อยปอนด์ แต่ถ้าระบุตำแหน่งได้แม่นยำ จะได้รับห้าร้อยปอนด์! ฟอร์สนึกถึงรายละเอียดของรางวัล ภายในใจกำลังฮึกเหิม
ความคิดแรกในหัวคือการบังคับให้ยุงสีน้ำตาล กัดวินเซอร์·เบริ่งและดูดเลือด เพียงเท่านี้ก็จะล็อกเป้าตำแหน่งอีกฝ่ายได้ด้วยพลังพยากรณ์ของ ‘โหราจารย์’
อย่างไรก็ตาม หลังจากไตร่ตรองสักพัก ฟอร์สล้มเลิกแนวคิดดังกล่าว เนื่องจากนี่เป็นพฤติกรรมต้องห้ามสำหรับชุมนุมผู้วิเศษ หากถูกตรวจพบ สมาชิกทุกคนของชุมนุมจะรุมโจมตีอย่างไม่ไว้หน้า
นอกจากนั้น เจ้าของชุมนุมส่วนมากมักแข็งแกร่ง หากล้ำเส้นเพียงเล็กน้อย อีกฝ่ายอาจตรวจพบความผิดปรกติได้ง่าย!
นั่นสินะ… ตอนนี้เราคงต้องแจ้งเบาะแสราคาหนึ่งร้อยปอนด์ไปก่อน หากในภายหลังมีโอกาสอีก ค่อยพิจารณาการล็อกตำแหน่ง… เราต้องรีบออกจากการชุมนุมก่อนกำหนด จากนั้นก็ป้ายเลือดลงบนปก ‘สมุดเวทมนตร์ของเลมาโน่’ เพื่อไม่ให้ตัวเองหลงทาง ไม่อย่างนั้นอาจเผชิญอันตราย… ฟอร์สระงับความเสียดาย ตัดสินใจแน่วแน่
และอันที่จริง พฤติกรรมปัจจุบันของเธอก็นับว่าค่อนข้างล้ำเส้นแล้ว ไม่ควรอยู่ต่อนานนัก!
…
เขตฮิลสตัน ในโรงแรมหรู
ไคลน์กำลังยืนข้างมุขหน้าต่าง ชื่นชมดวงจันทร์สีแดงเข้มบนท้องฟ้าท่ามกลางกลุ่มเมฆาบางเบา
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ชายหนุ่มสางจอนหงอกตรงขมับ เหยียดแขนออกไปปิดผ้าม่าน
จากชั้น ไคลน์วุ่นวายอยู่กับการย้ายเครื่องรับโทรเลขกลับสู่โลกความจริง และใช้เวลาสักพักในการ ‘ตาก’ กลิ่นอายลึกลับให้แห้ง
คราวนี้รอเพียงสิบนาที ห้องทั้งห้องพลันหม่นหมองกะทันหัน เครื่องรับโทรเลขเริ่มส่งเสียงระรัว
ไคลน์ขยับเข้าไปใกล้ เห็นกระดาษมายาสีขาวถูกคายออก ด้านบนเขียนด้วยข้อความภาษาโลเอ็น
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ มองไปทางขวามือ!”
ขวา… ไคลน์หันศีรษะอย่างขบขันเจือความสงสัย มองไปด้านข้าง
ชายหนุ่มพบกระจกเงาเต็มบาน สูงเท่าตัวตน ผิวกระจกกลายเป็นสีดำเข้ม คล้ายกับมีใครเอาหมึกมาทา
ขณะความคิดหนึ่งแล่นผ่าน กระจกเงาบานใหญ่สว่างวาบกะทันหัน ด้านในมีดอกไม้ไฟมายาพุ่งขึ้นไปในอากาศทีละนัด ระเบิดบานสะพรั่งอย่างงดงามและอลังการ
ขณะเดียวกัน ข้อความภาษาโลเอ็นสีทองแถวหนึ่งปรากฏขึ้นกึ่งกลางกระจกเงาเต็มบาน
“ยินดีต้อนรับกลับ! นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ของข้า!”
ทันใดนั้น แม้ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสจะมิได้ส่งเสียง แต่ไคลน์กลับรู้สึกเหมือนตนได้ยินอีกฝ่ายกำลังตะโกนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ดอกไม้ไฟสงบลง ตัวอักษรสีทอดเริ่มบิดเบี้ยว จัดระเบียบใหม่ กลายเป็นประโยคที่สมบูรณ์
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ อาโรเดส ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนของท่านอยากจะถามว่า ข้าควรรับใช้ท่านอย่างไรดี”
ไคลน์ชาชินกับสิ่งนี้แล้ว กล่าวอย่างชำนาญ
“ตอบคำถามของเรา”
อักษรทองคำถูกจัดระเบียบใหม่อีกครั้ง
“ขอบคุณสำหรับคำตอบ นายท่านสามารถถามได้ทุกเมื่อ”
ไคลน์ถามในสิ่งที่เตรียมไว้แล้ว
“วิญญาณมารในซากอาคารใต้ถนนวิลเลียมส์… มันหนีไปที่ไหน?”
บนผิวกระจกเงาเต็มบาน อักษรทองคำแน่นิ่งนานหลายวินาที ก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไปทีละนิด ฉากหลังที่เคยเป็นดอกไม้ไฟเริ่มพร่ามัวและเปลี่ยนเป็นภาพอื่นที่คมชัด
ฉากดังกล่าวคือวิหารเล็กๆ ที่ถูกทิ้งร้าง เต็มไปด้วยเถาวัลย์เหี่ยวเฉา ก้อนหินสีเทา และกองอุจจาระของนกกับสัตว์
ไคลน์ค่อนข้างคุ้นฉากตรงหน้า ที่นี่คือหอสวดมนต์ร้างที่ตนกับชารอนเคยสนทนากับวิญญาณมาร
ฉากซูมเข้า ไคลน์เห็นหลุมขนาดเล็กตรงมุมหอสวดมนต์ ลักษณะหลุมมีร่องรอยการขุดด้วยนิ้วมือ
มิสเมจิกเชี่ยนเคยเล่าให้ฟังแล้ว… ขณะสมองไคลน์กำลังประมวลผล น้ำเสียงแสนเย็นชาที่เก็บซ่อนความดีใจดังขึ้นจากผิวกระจก
“ยินดีที่ได้ร่วมมือกับเจ้า!”
ฉากค้างอยู่ที่ภาพหลุมดินสักพัก ก่อนจะพร่ามัวและบิดเบี้ยว ผิวกระจกมีคลื่นน้ำกระเพื่อม ภาพในกระจกเริ่มแตกกระจัดกระจาย
ยินดีที่ได้ร่วมมือ… วิญญาณมารพูดถึงใคร ทำไมมันถึงยินดี?
สามารถทำให้เทวทูตเส้นทาง ‘นักล่า’ พูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้ได้ อีกฝ่ายต้องแข็งแกร่งมาก อาจเป็นถึงระดับเทวทูต… แต่ทำไมถึงใช้มือขุดหลุม? น่าจะมีวิธีที่ง่ายและใช้เวลาน้อยกว่านี้ไม่ใช่หรือ…
หรือว่าคนที่มาช่วยมันปลดผนึก จะมิอาจเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ? เหมือนกับ… ชายชราที่อยู่ในร่างเลียวนาร์ด? เดี๋ยวก่อน… ตอนนั้นเลียวนาร์ดก็อยู่ในเบ็คลันด์เหมือนกัน! เบาะแสแรกมาแล้ว… แต่ยังไม่ควรด่วนสรุป ยังมีความเป็นไปได้ในทิศทางอื่นอีกมาก เช่น ตัวตนที่มีระดับเทียบเท่าเทวทูต แต่ไม่ใช่เทวทูต…
วิญญาณมารบงการให้บาโรเน็ตพาวน์แอบติดต่อกับใครบางคน? ถ้าเป็นแบบนั้นจริง สายลับของอินทิสและฟุซัคก็เป็นเพียงม่านควันที่วิญญาณมารสร้างขึ้นเพื่ออำพรางตัวขณะหลบหนี สมแล้วที่เป็น ‘นักวางแผน’ … หลังจากความคิดมากมายแล่นผ่าน ไคลน์หันไปหาอาโรเดส
“คำถามที่สอง ตอนนี้เรามีพ่อบ้านให้เลือกสามคน เจ้าคิดว่าใครเหมาะสม”
อักษรโลเอ็นสีทองปรากฏขึ้นทีละคำ
“หากนายท่านเลือกรีบัคและวอลเตอร์ พวกเขาสามารถพัฒนาขึ้นได้… แอสเนียอาจมีความเป็นมืออาชีพมากที่สุด แต่เขาก็ ‘ธรรมดา’ ที่สุดเช่นกัน”
หืม… คนที่เคยทำงานในตระกูลดยุคนีแกนและไวเคาต์คอนราดล้วนสามารถพัฒนาขึ้นได้… ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิด
“ถามมา”
ทันใดนั้น อักษรสีทองจำนวนมากพลันพรั่งพรู
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ คิดอย่างไรบ้างหากข้าคนนี้จะเป็นพ่อบ้านให้นายท่าน? ตราบใดที่ท่านสามารถพาข้าออกจากโบสถ์จักรกลไอน้ำ ข้าสัญญาว่าจะเป็นพ่อบ้านที่ดีที่สุดในโลก!”
ไคลน์ลังเลสักพัก ตอบอย่างมีชั้นเชิง
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา”
ถ้อยคำสีทองบนกระจกเต็มบานพลันหม่นหมอง ก่อนจะกลับมากระตือรือร้นอีกครั้งและเรียบเรียงคำใหม่
“รับทราบ… อาโรเดส ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนคนนี้จะอดทนรอ”
จากนั้น ลวดลายอันซับซ้อนปรากฏขึ้นบนกระจกเต็มบาน พร้อมด้วยข้อความอธิบาย
“นี่คืออักขระที่ประกอบจากภาพและสัญลักษณ์ทางเวทมนตร์… นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ตราบใดที่ท่านยังอยู่ในเบ็คลันด์ การเขียนสิ่งนี้ลงบนกระดาษจะมีค่าเท่ากับอัญเชิญข้า”
เป็นการผสมผสานระหว่างสัญลักษณ์ของความลับและการส่องความลับ… ไคลน์วิเคราะห์เบื้องต้น
“ทำได้ดี”
ราชันเร้นลับ 741 : พ่อบ้าน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เก้าโมงเช้า เขตฮิลสตัน ภายในโรงแรมหรู
ไคลน์หยิบไวน์ขาวที่บรรจุในขวดหรูหรา ส่งให้ชายชราฝั่งตรงข้ามด้วยรอยยิ้ม
“มิสเตอร์แอสเนีย ขอบคุณมากที่สละเวลามาพบผม นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ได้โปรดรับไว้ด้วย… ผมจะตัดสินใจอย่างช้าที่สุดวันพรุ่งนี้ หากผลออกมาเป็นคุณ ผมจะแวะไปหาด้วยตัวเอง”
ชายหนุ่มกำลังใช้วาทศิลป์เพื่อบอกเป็นนัยว่า คู่สนทนาพ่ายแพ้ในการคัดเลือก
ด้วยความสัตย์จริง ไคลน์ค่อนข้างพอใจกับ ‘สุภาพบุรุษวัยชรา’ แอสเนีย ภาพลักษณ์ของชายคนนี้ตรงตามพ่อบ้านในอุดมคติของไคลน์ ทั้งเข้มงวด วางตัวดี มีความเป็นมืออาชีพ สามารถจัดการปัญหาที่ยุ่งยากได้ทุกประเภท
และแม้จะพักอยู่ไกลที่สุดจากบรรดาพ่อบ้านทั้งสาม แถมยังอายุมากกว่าใคร แต่แอสเนียกลับมาถึงก่อนเวลานัดหมายครึ่งชั่วโมงเต็ม อดทนรออย่างใจเย็น ส่วนทางรีบัคและวอลเตอร์มาถึงก่อนเวลานัดสิบห้านาที
หากไม่ใช่เพราะ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสบอกเป็นนัยว่า สองรายหลังสามารถมีอนาคตมากกว่า ไคลน์คงเลือกจ้างสุภาพบุรุษวัยชรารายนี้ไปแล้ว เพราะเหนือสิ่งอื่นใด จุดประสงค์หลักของชายหนุ่มคือการอาศัยความสัมพันธ์ที่พ่อบ้านเคยมีต่อเหล่าขุนนาง เป็นบันไดในการก้าวเข้าสู่สังคมชนชั้นสูงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้เป้าหมายที่แท้จริง
ไวน์ขาวขวดดังกล่าวถูกเตรียมเพื่อมอบให้คนที่ต้องผิดหวัง เป็นการชดเชยเงินค่ารถม้าไปกลับ ทุกขวดซื้อมาจากภัตตาคารอินทิสเซอเรนโซ่ในมูลค่าขวดละสองปอนด์
นอกจากนั้น ไวน์เพียงขวดเดียวยังสามารถทำให้ความใจกว้างของดอน·ดันเตสแพร่สะพัดออกไป สร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่เศรษฐีลึกลับและสง่างาม
เหนือสิ่งอื่นใด ชายหนุ่มเชื่อว่าตนไม่ควรดูแคลนพ่อบ้านจากตระกูลขุนนางใหญ่ คนประเภทนี้มักมีประสบการณ์โชกโชนกว่าพ่อบ้านปรกติ รู้จักมักจี่กับชนชั้นสูงเป็นจำนวนมาก รวมถึงแม่บ้านและคนรับใช้มากฝีมือ มีโอกาสได้พบเจอผู้คนทุกรูปแบบ รู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับเจ้านาย และนั่นเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการก้าวเข้าสู่แวดวงชนชั้นสูง
ปัจจุบัน แอสเนียวัยห้าสิบห้าปีมีผมสีขาวโพลน ดวงตาสีฟ้าอัดแน่นด้วยประสบการณ์นานหลายปี สุภาพบุรุษรายนี้มิได้ปฏิเสธของขวัญจากดอน·ดันเตส เพียงรับไว้และแสดงความยินดีอย่างเหมาะสม
“ผมชอบไวน์ขาวจากคาร็อดมาก ขอบคุณที่เอื้อเฟื้อ… น้ำใจของคุณช่างน่ายกย่อง”
คาร็อด? นั่นสินะ บริกรชายเมื่อวานเคยแนะนำให้ฟังแล้ว คาร็อดคือชื่อของโรงบ่มเหล้าองุ่นในเมืองแชมเปญ อาณาจักรอินทิส โด่งดังด้านการผลิตไวน์ระดับกลางถึงสูง ไวน์บางรุ่นถือเป็นระดับยอดพีระมิด… เฮ่อ พ่อบ้านรู้จักไวน์ดีกว่าเราเสียอีก นอกจากนี้ มิสเตอร์แอสเนียยังกล่าวด้วยว่า ห้องเก็บไวน์ของขุนนางและเศรษฐีมักดูแลโดยพ่อบ้านหรือผู้ช่วยพ่อบ้านโดยตรง… หมายความว่าเราก็ต้องมีห้องเก็บไวน์ในอนาคตเช่นกัน… เกรดสองปอนด์เป็นไวน์ระดับต่ำ… ขนาดไวน์แดงเออเมียร์ปี 1330 ราคาหนึ่งร้อยยี่สิบหกปอนด์ก็ยังไม่ใช่ตัวที่ดีที่สุด… ห้องเก็บไวน์สักห้องจะต้องลงทุนเท่าไรกัน? ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์เริ่มรู้สึกคันหน้าอก เกรงว่าเงินสดจำนวน 2,888 ปอนด์อาจอยู่ได้ไม่นาน
หากไม่ใช่เพราะชำนาญพลัง ‘ตัวตลก’ ป่านนี้คงหลุดเสียอาการให้คู่สนทนาเห็นแล้ว ชายหนุ่มยิ้มและกล่าว
“คุณชอบก็ดี ผมจะได้เบาใจ… มิสเตอร์แอสเนีย รบกวนลงไปเรียกมิสเตอร์รีบัคจากร้านกาแฟด้านล่างให้ผมหน่อย”
แอสเนียไม่คัดค้าน ผ่านไปไม่ถึงห้านาที รีบัคเคาะประตูและเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น
สุภาพบุรุษรายนี้มีผมสีทองหวีเรียบ มุมปากและหางตามีริ้วรอยเล็กน้อย ผิวพรรณบ่งบอกว่าเป็นคนสุขภาพดี ร่างกายกำยำแข็งแรง มองผิวเผินก็ทราบทันทีว่าเป็นพ่อบ้านสายลุย พร้อมติดตามเจ้านายไปล่าสัตว์หรือต่อกรกับศัตรู
หลังจากทักทายตามมารยาท ไคลน์ยิ้มและเชิญอีกฝ่ายนั่ง กล่าวเข้าประเด็น
“ขออภัยที่ต้องเสียมารยาท แต่ผมอยากทราบว่า ทำไมคุณถึงกลายเป็นพ่อบ้านของบารอนซินดราส ทั้งที่บิดาของคุณเป็นรองพ่อบ้านตระกูลนีแกน ปู่ของคุณก็เป็นคนดูแลคฤหาสน์ บรรพบุรุษหลายคนรับใช้ดยุคนีแกนและเครือญาติจนกระทั่งกลับสู่อ้อมอกของพระองค์… คุณเองก็ควรจะมีวิถีชีวิตแบบเดียวกันไม่ใช่หรือ”
เป็นเพราะอิทธิพลของจักรพรรดิโรซายล์ บางอาณาจักรบนทวีปเหนือเปลี่ยนจากการเรียกขุนนางด้วยบรรดาศักดิ์ร่วมกับดินแดนที่ปกครอง มาเป็นการเรียกบรรดาศักดิ์และชื่อสกุลแทน ปัจจุบัน ในกรณีแรกจะใช้เฉพาะโอกาสพิเศษเท่านั้น และแน่นอน มีขุนนางบางกลุ่มที่ชื่อสกุลมีต้นกำเนิดจากดินแดนที่ปกครอง
รีบัคตอบพลางยิ้มพอเป็นพิธี
“บารอนซินดราสอาจเป็นขุนนางหน้าใหม่ แต่ก็เป็นสหายของดยุคนีแกนผู้ล่วงลับ ดังนั้น ผมจึงถูกส่งไปทำงานที่บ้านของท่าน ช่วยให้ท่านและครอบครัวปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตชนชั้นสูง ฝึกฝนมารยาทการเข้าสังคมอย่างเหมาะสม”
ดยุคนีแกนผู้ล่วงลับหมายถึงบิดาของดยุคนีแกนคนปัจจุบัน พาลัส·นีแกนผู้ถูกลอบสังหารเมื่อปีที่แล้ว
“แล้วทำไมคุณถึงออกจากบ้านบารอนในภายหลัง?” ไคลน์ถามหลังจากใคร่ครวญ
รีบัคตอบตามตรง
“แม้ว่าบารอนซินดราสจะได้เป็นขุนนางด้วยอำนาจของพรรคอนุรักษนิยม แต่ตัวเขาก็เป็นนายธนาคาร นักลงทุน และเจ้าของกิจการที่โด่งดังคนหนึ่งของอาณาจักร เป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีไฟแรง จึงเกิดความเห็นอกเห็นใจพรรคหัวก้าวหน้า แอบมอบความช่วยเหลือให้ทางนั้นบ่อยครั้ง จนขัดแย้งกับขุนนางหัวเก่าหลายคน รวมถึงตัวดยุคนีแกนคนปัจจุบัน… ดังนั้น เพื่อไม่ให้ท่านบารอนลำบากใจ ผมจึงเสนอตัวลาออกเอง… แต่ถึงอย่างนั้น ท่านก็พยายามโน้มน้าวให้ผมเปลี่ยนใจ ถือเป็นเจ้านายที่ดีมาก”
ไคลน์พยักหน้ารับ ตั้งคำถาม
“คุณเชื่อในเทพวายุสลาตันใช่ไหม”
รีบัคไม่ปิดบัง
“ใช่ครับ พระองค์ประทานความกล้าหาญ ความกระตือรือร้น และความรับผิดชอบให้มนุษย์”
ไคลน์ถามเพิ่มอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับการดูแลทำความสะอาด คำตอบที่ได้รับค่อนข้างละเอียด จนกระทั่ง ชายหนุ่มยิ้มให้รีบัคและกล่าว
“รบกวนลงไปที่ร้านกาแฟชั้นล่างและบอกให้มิสเตอร์วอลเตอร์ขึ้นมา… ไว้คุยกับเขาเสร็จเมื่อไร ผมจะตัดสินใจทันที รบกวนคุณช่วยนั่งรอสักสิบนาที”
“ครับ” รีบัคไม่ต่อความยาว ลุกขึ้นทำความเคารพและเดินจากไป ท่าทางดูคล้ายทหาร
หลังจากยืนมองอีกฝ่ายปิดประตู ไคลน์นั่งลง รินชาดำ จิบพลางพึมพำ
ถ้าเราเลือกเขาก็จะมีโอกาสสานสัมพันธ์กับดยุคนีแกนคนปัจจุบันและพรรคอนุรักษนิยม อาจได้เบาะแสของคดีลอบสังหารเมื่อปีที่แล้ว…
ถัดมาไม่นาน วอลเตอร์มาถึงหน้าห้อง เคาะประตูและเดินเข้ามา
ไคลน์ทักทายตามมารยาทเล็กน้อย ซักถามเข้าประเด็น
“คุณกับพ่อบ้านของไวเคาต์คอนราดขัดแย้งกันด้วยเรื่องอะไร? ก็อย่างที่คุณทราบ ผมจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นอาจมีปัญหากับขุนนางใหญ่ในภายหลัง”
วอลเตอร์เป็นสุภาพบุรุษเจ้าของหน้าผากกว้าง ผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาลขึงขัง แต่ไม่ได้ทำให้คู่สนทนาหวาดกลัว อีกฝ่ายครุ่นคิดสองสามวินาทีก่อนจะเล่า
“ในฐานะผู้ช่วยพ่อบ้าน ผมได้รับมอบหมายให้ดูแลเด็กๆ ในตระกูล ระหว่างนั้น ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผมได้รับคำชมเชยครั้งใหญ่จากคนใหญ่คนโต ท่านไวเคาต์จึงชื่นชอบผมด้วย เป็นเหตุให้พ่อบ้านหวาดระแวง… แต่ในภายหลัง คนใหญ่คนโตดังกล่าวจากไปอย่างกะทันหันจากอุบัติเหตุ ทัศนคติของท่านไวเคาต์ที่มีต่อผมจึงเปลี่ยนไป ผนวกกับการที่พ่อบ้านแสดงท่าทีไม่เป็นมิตร ผมจึงตัดสินใจอย่างหนักแน่นว่าคงถึงเวลาต้องไปแล้ว”
ได้รับหน้าที่ดูแลเด็กๆ ในตระกูลไวเคาต์ แถมยังรู้จักคนใหญ่คนโต… หืม ทาลิมก็เคยเป็นครูสอนขี่ม้าให้ลูกชายคนเล็กของไวเคาต์คอนราด จนกระทั่งได้รู้จักกับองค์ชายเอ็ดซัค… องค์ชายเสียชีวิตไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนท่ามกลางโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันในกรุงเบ็คลันด์… สอดคล้องกับคำอธิบายของวอลเตอร์… คนใหญ่คนโตที่ว่าคือองค์ชายสินะ… ดูเหมือนว่า พ่อบ้านรายนี้จะเป็นเหยื่อที่โดนลูกหลงเล็กๆ จากเหตุการณ์ดังกล่าว… มีความเป็นมืออาชีพสูงมาก เก็บข้อมูลได้ดี ไม่เปิดเผยรายละเอียดของนายจ้าง ไม่เปิดเผยเรื่องขององค์ชาย ไม่พูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับพ่อบ้านของไวเคาต์… ถ้าเราเลือกชายคนนี้ อนาคตค่อนข้างน่าสนใจดีเดียว… หลังจากฟังอย่างเงียบงัน ไคลน์ครุ่นคิดบางสิ่ง
ชายหนุ่มเปลี่ยนไปสนทนาในหัวข้อเกี่ยวกับความเป็นมืออาชีพ แสดงความปรารถนาที่จะก้าวเข้าสู่สังคมชนชั้นสูง หลังจากได้คำตอบที่น่าพึงพอใจ ไคลน์จัดระเบียบเครื่องแต่งกาย ลุกขึ้นยืนและยิ้ม
“ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ผมคือดอน·ดันเตส นายจ้างของคุณ”
วอลเตอร์ทำความเคารพกลับ
“นายท่าน มีอะไรให้ผมรับใช้ไหมครับ”
วอลเตอร์ยังคงแสดงท่าทีขึงขังแบบคนหัวเก่า มาดสุขุม คล้ายกับมีความเป็นมืออาชีพอยู่ในสายเลือด
“สองเรื่อง” ไคลน์ยิ้ม “เรื่องแรก ช่วยผมนำไวน์ขาวขวดนี้ไปให้มิสเตอร์รีบัคในร้านกาแฟด้านล่าง กล่าวขอโทษและขอบคุณ… เรื่องที่สอง จ้างนักกฎหมายเพื่อร่างสัญญาอย่างเป็นทางการ สำหรับทั้งคุณและคนรับใช้ที่เหลือ”
“ครับ นายท่าน” วอลเตอร์ทำความเคารพอีกครั้ง
ไคลน์ยื่นไวน์ขาวให้อีกฝ่าย ถามโดยไม่มองหน้า
“วอลเตอร์ คุณคิดว่าผมควรจ้างคนรับใช้กี่คนจึงจะเหมาะสม”
วอลเตอร์รับไวน์ขาวคาร็อด ตอบโดยไม่ลังเล
“นายท่านควรกำหนดก่อนว่าจะพักอยู่ที่ไหน เมื่อได้ข้อสรุป เราจะเริ่มกะเกณฑ์จำนวนคนที่จำเป็น”
“เข้าใจแล้ว… มีคำแนะนำบ้างไหม? ความต้องการของผมไม่ซับซ้อน เนื่องจากนับถือเทพธิดา ผมจึงอยากอาศัยอยู่ในเขตเหนือ” ไคลน์วาดจันทร์แดงกลางหน้าอก
พิจารณาจากข้อมูลที่เห็นในหนังสือพิมพ์และนิตยสาร หากพักในคฤหาสน์หรูย่านใจกลางเมือง ค่าเช่าคงไม่ต่ำกว่าสามปอนด์ต่อสัปดาห์กระมัง… ซึ่งนั่นเท่ากับหนึ่งร้อยห้าสิบหกปอนด์ต่อปี… แม้จะไม่มีข้อมูลโดยตรง แต่อ้างอิงจากข้อมูลข้างต้น คฤหาสน์ในเขตชานเมืองน่าจะตกราวสัปดาห์ละสองปอนด์ ส่วนบ้านหลังใหญ่ที่มีห้องพักสองสามห้องและห้องโถงก็คงราคาไล่เลี่ยกัน นับว่าสิ้นเปลืองไม่เบา… สมแล้วที่มีเพียงชนชั้นกลางและสูงที่สามารถเช่าไหว… หืม… ด้วยข้อมูลนี้ เราสามารถกะเกณฑ์ค่าเช่าบ้านของพวกเศรษฐีได้เช่นกัน…
ยิ่งคิดก็ยิ่งพบความสิ้นเปลือง สมัยยังอยู่ทิงเก็น บ้านแถวซึ่งปราศจากสวน เช่าอยู่โดยเรา เบ็นสัน และเมลิสซ่า มีราคาเพียงสิบสามซูลต่อสัปดาห์เท่านั้น บวกค่าธรรมเนียมในการใช้เครื่องเรือนไปอีกห้าเพนนี… บ้านที่เราเคยเช่าบนถนนมินส์ก็ยังมีราคาไม่ถึงหนึ่งปอนด์…
เฮ่อ… สามปอนด์ก็สามปอนด์… เรายังเหลือเงินอีก 2,888 ปอนด์ จะเลือกเช่าบ้านดีๆ หน่อยคงไม่เสียหาย… ระหว่างรอคำตอบจากวอลเตอร์ ไคลน์นึกทบทวนข้อมูลเกี่ยวกับการเช่าบ้าน
วอลเตอร์ครุ่นคิด ตอบด้วยสีหน้าขึงขัง
“นายท่าน บ้านเลขที่ 32 ถนนเบิร์คลุนนับว่าน่าสนใจ อยู่ใกล้กับวิหารนักบุญแซมมวล เป็นอาคารสามชั้น มีมากกว่าสิบห้อง มีคอกม้า เรือนคนรับใช้ และสวนขนาดใหญ่ ใกล้ๆ เป็นบ้านของบารอน สมาชิกสภา และนักกฎหมายอาวุโส… เครื่องเรือนภายในบ้านมีรสนิยม มีภาพวาดและโบราณวัตถุชื่อดังหลายชิ้น ข้าวของเครื่องใช้สามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตไปอีกขั้นหนึ่ง การเข้าอยู่ครั้งแรกต้องจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าหนึ่งปี หากพึงพอใจค่อยพิจารณาการซื้อขาด”
ฟังดูเข้าท่า… ไคลน์ยิ้มและถาม
“ค่าเช่าปีละเท่าไร”
วอลเตอร์ระบุตัวเลขอย่างชำนาญ
“รวมค่าใช้งานเครื่องเรือน… 1,260 ปอนด์ครับ”
ไคลน์ดีใจที่ตนไม่ได้กำลังดื่มชา ไม่อย่างนั้นคงได้พ่นออกมาหมดปาก
ชายหนุ่มพยายามใช้พลังตัวตลกเพื่อควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้า ห้ามตัวเองไม่ให้เผยอากัปกิริยาที่ไม่น่าดู
ราชันเร้นลับ 742 : ตัดสินใจขั้นสุดท้าย
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากเงียบงันสักพัก ไคลน์ยกถ้วยชาดำ จิบและกล่าว
“น่าสนใจ ผมจะเก็บไว้พิจารณา… แต่จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวไว้ว่า คนเราไม่ควรด่วนตัดสินใจ ต้องมีการเปรียบเทียบอย่างละเอียดเพื่อให้ได้คำตอบที่ดีที่สุด… ยังมีตัวเลือกอื่นอีกไหม”
วอลเตอร์ผู้สวมถุงมือสีขาว กล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย
“ถนนเฟลป์ก็น่าจะตอบสนองความต้องการของนายท่านได้ หากจำไม่ผิด บ้านเลขที่ 9 กำลังหาคนเช่า เป็นคฤหาสน์สองชั้น มีมากกว่าสิบห้อง มีคอกม้า เรือนคนรับใช้ และสวนเล็กๆ เครื่องเรือนค่อนข้างรุ่นเก่า แต่ก็ยังอยู่ในสภาพดี ค่าเช่ารายปีตกอยู่ที่สองร้อยยี่สิบปอนด์”
ราคาน่าสนใจมาก… สมเหตุสมผล… แต่บ้านเลขที่ 9 ถนนเฟลป์อยู่ห่างจากวิหารนักบุญแซมมวลไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตร แม้ว่าจะสอดคล้องกับทฤษฎีเงามืดใต้โคมไฟ แต่นั่นย่อมหมายถึงการมีเหยี่ยวราตรีพลุกพล่าน เราคงออกจากบ้านอย่างลับๆ ตอนกลางคืนไม่สะดวกนัก ไปไหนมาไหนก็ลำบาก… ไคลน์ที่แต่เดิมตั้งราคาค่าเช่าไว้ราวห้าถึงหกร้อยปอนด์ ย่อมมองว่าบ้านสวนราคาสองร้อยยี่สิบปอนด์นับว่าไม่เลว
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ว่า พ่อบ้านวอลเตอร์จงใจแนะนำหลังที่ราคาแพงจนฟุ่มเฟือยก่อนหรือ?
ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ถามต่อไป
“ยังมีอีกไหม”
วอลเตอร์ตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนก็ยังว่างอยู่ครับ เป็นอาคารสามชั้นที่มาพร้อมสวน คอกม้า และเรือนคนรับใช้ มีห้องนับสิบ แต่ทำเลไม่ดีเท่าบ้านเลขที่ 32 สถาปัตยกรรมภายในและเครื่องเรือนอยู่ในระดับปานกลาง ค่าเช่าปีละสามร้อยสิบห้าปอนด์”
สามร้อยสิบห้าปอนด์… ไคลน์พึมพำค่าเช่าในใจ ถามหลังจากไตร่ตรอง
“คุณแนะนำหลังไหนเป็นพิเศษ?”
ปัจจุบัน ชายหนุ่มมีคำตอบในใจแล้ว แต่ในฐานะนายจ้าง ตนไม่ควรด่วนเปิดเผยออกไปก่อน เพราะหากการตัดสินใจดันไปขัดแย้งกับความรู้พื้นฐานบางเรื่อง อีกฝ่ายจะมองไม่ดีทันที
วอลเตอร์ครุ่นคิดสักพัก
“บ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุน… เมื่อลองคำนึงดูแล้ว เพื่อนบ้านในละแวกดังกล่าวมีประโยชน์อย่างมากสำหรับการก้าวขึ้นไปเป็นชนชั้นสูง ในทางกลับกัน บ้านเลขที่ 32 นั้นฟุ่มเฟือยเกินไป การบุ่มบ่ามเช่าอาจทำให้เพื่อนบ้านคิดว่านายท่านเป็นพวกใช้เงินมือเติบ ไม่ใช่เรื่องดีนัก”
สรุปโดยสั้น หากเลือกเช่าคฤหาสน์ราคา 1,260 ปอนด์ตั้งแต่ต้น เพื่อนบ้านก็จะมองออกทันทีว่าเราเป็นเศรษฐีหน้าใหม่ที่อวดร่ำอวดรวย… สำหรับคนที่ต้องการจะไต่เต้าไปเป็นชนชั้นสูง เรื่องแบบนี้ไม่ดีต่อภาพลักษณ์… ไคลน์จิบชาดำ ถามด้วยรอยยิ้ม
“แล้วทำไมคุณถึงเสนอบ้านเลขที่ 32 ให้ผมก่อน?”
วอลเตอร์โค้งศีรษะเล็กน้อย
“นายท่านที่เคารพ ผมเป็นเพียงพ่อบ้าน หน้าที่ของผมไม่ใช่การตัดสินใจ แต่เป็นการนำเสนอตัวเลือกที่เหมาะสมทั้งหมด และคอยแนะนำเพิ่มเติมในจุดที่นายท่านเจาะจงเป็นพิเศษ… หากยังไม่ทราบความต้องการอย่างละเอียด ผมทำได้เพียงแนะนำอย่างคลุมเรือ”
มืออาชีพมาก… ในตอนแรก เขายังไม่แน่ใจว่าดอน·ดันเตสจะเป็นพวกเศรษฐีหน้าใหม่อวดรวยหรือไม่ จึงเสนอตัวเลือกแรกเป็นบ้านเลขที่ 32 ถนนเบิร์คลุนจึงเพื่อประเมินในจุดนี้ จะได้ปรับตัวให้เข้ากับอุปนิสัยของนายจ้างถูก… ไคลน์ยิ้ม
“ตัดบ้านเลขที่ 32 ออก พวกเราจะเลือกจากหนึ่งในสองหลังที่เหลือ… ก่อนจะตัดสินใจ ผมชอบเดินดูของจริงก่อน พวกเราจะออกเดินทางหลังจากเสร็จอาหารกลางวัน”
“ครับ นายท่าน” วอลเตอร์ยังทำตัวขึงขังและหัวเก่าเช่นเคย
…
ย่านทิศใต้ของสะพาน วิหารฤดูเก็บเกี่ยว
เอ็มลิน·ไวท์กำลังเช็ดเชิงเทียนสีเงิน พลางครุ่นคิดถึงเบาะแสที่มิสเมจิกเชี่ยนมอบให้
ชุมนุมลับของผู้วิเศษ… แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับไม่ได้เบาะแส… ต้องเสียเวลาเข้าไปสืบเอง และเราคงไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมชุมนุมลับนั่นในเร็วๆ นี้… เอ็มลินยืนจ้องผิวโลหะสีเงิน ตรวจสอบใบหน้าของตัวเองในเงาสะท้อน ยกมือขึ้นมาสางผม
จากนั้น มันวางเศษผ้าลง ถอยไปยังเก้าอี้แถวแรกของโถงสวดมนต์และนั่งลง ชำเลืองบิชอปยูทรอฟสกี้ที่กำลังสวดวิงวอนด้วยศรัทธาอันแรงกล้าหน้าแท่นบูชา
ท่ามกลางห้วงความคิด ไอเดียมากมายผุดขึ้นเป็นระยะ จนกระทั่งเอ็มลินเริ่มพบความเชื่อมโยง
“แล้วทำไมจู่ๆ หุ่นกระบอกที่สาวกดวงจันทร์บรรพกาลหลงใหล ถึงปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน?”
หุ่นกระบอกจันทรา… ฟังดูเหมือนอาหารสำหรับล่อให้เหยื่อออกมาติดเบ็ด… อย่าบอกนะว่าเป็นกับดักที่รุส·บาโธรีวางไว้ล่อลวงพวกสาวกดวงจันทร์บรรพกาล? ดวงตาเอ็มลินพลันลุกวาว รีบยืนขึ้นจากเก้าอี้
รุส·บาโธรีเป็นบารอนผีดูดเลือดที่เข้าร่วมการแข่ง ‘ล่า’ คราวนี้ด้วย เอ็มลินมองว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุด
ยิ่งครุ่นคิด เอ็มลินก็ยิ่งพบความเป็นไปได้ เพราะจำได้ว่าบาโธรีเป็นคนชอบสะสมของเก่า โดยเฉพาะวัตถุแปลกๆ จากทวีปใต้!
เดินถอยหลังสองสามก้าว มุมปากของมันกระตุกแผ่วเบา พึมพำกับตัวเองเงียบงัน
จริงอยู่… เราไม่สามารถแฝงตัวเข้าไปในชุมนุมลับเพื่อตรวจสอบที่อยู่ของสาวกดวงจันทร์บรรพกาลนามว่าวินเซอร์ แต่ในทางกลับกัน เราสามารถจับตามองรุส·บาโธรีได้! จากนั้นก็ชิงลงมือกำจัดเป้าหมายตัดหน้ามัน!
ฮะฮะ… ชักอยากเห็นสีหน้าหมอนั่นตอนโดนแย่งเหยื่อแล้วสิ…
อา… เบาะแสของมิสเมจิกเชี่ยนช่างคุ้มค่ากับเงินหนึ่งร้อยปอนด์…
ขณะเอ็มลินกำลังตื่นเต้น หลวงพ่อยูทรอฟสกี้จบการสวดวิงวอน ชำเลืองมาทางเอ็มลินและกล่าว
“ความศรัทธาของคนเราไม่ได้อยู่ที่คำพูด แต่เป็นการกระทำ… วันนี้คุณยังใส่ใจกับพระองค์ไม่มากพอ… เช็ดเชิงเทียนใหม่”
“ค… ครับ” เอ็มลินตอบกระอักกระอ่วน
รอจนกระทั่งนักบวชเดินไปที่ห้องสารภาพบาป มันตื่นจากภวังค์พลางกระซิบกระซาบจิกกัด
“ข้าไม่ได้นับถือศาสนานี้ ไม่จำเป็นต้องสำนึกในบุญคุณ!”
…
ท่ามกลางทิวแถวต้นฟินิกซ์อินทิสที่เรียงราย ไคลน์ถือไม้ค้ำเลี่ยมทอง เดินออกจากบ้านเลขที่ 160 อย่างไม่รีบร้อน
ชายหนุ่มหายใจแผ่ว หันไปทางพ่อบ้านวอลเตอร์
“คุณไปบอกกับเจ้าของว่า ผมพึงพอใจมาก… ต้องจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าหนึ่งปีใช่ไหม? ไม่เลว ถึงตอนนั้นเราอาจได้ย้ายไปหลังที่ดีกว่านี้ อย่างเช่นเขตราชินี”
คำพูดของไคลน์บ่งบอกถึงความทะเยอทะยานที่จะคว้าบรรดาศักดิ์ขุนนาง เพราะเขตราชินีคือย่านที่มีขุนนางอาศัยพลุกพล่าน
ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมไม่เช่าแค่ครึ่งปีเพื่อประหยัดเงิน นั่นเพราะที่พักอาศัยระดับนี้ล้วนต้องการทำสัญญาระยะยาว หนึ่งปีถือว่าสั้นที่สุดแล้ว
ว่ากันตามตรง ต่อให้ไม่นับเรื่องค่าเช่าที่สมเหตุสมผล ไคลน์ก็ยังชอบบ้านเลขที่ 160 ถนนเบิร์คลุนอยู่ดี – สนามหญ้าสะอาด สวนสวย บ้านถูกตกแต่งอย่างเหมาะสม ข้าวของเครื่องใช้คุณภาพดีและค่อนข้างงดงาม มีห้องนอนเหลือเฟือ เครื่องเรือนเพียงพอ แต่ละชั้นมีห้องน้ำหลายห้อง คอกม้าและเรือนคนรับใช้อยู่ในสภาพดี เป็นบ้านที่ดีที่สุดเท่าที่ไคลน์ในอดีตจะจินตนาการออก
วอลเตอร์ตอบสนอง
“ผมจะจ้างทนายมาร่างสัญญาในภายหลัง… นายท่าน สำหรับคนรับใช้ มีคุณสมบัติที่ต้องการเป็นพิเศษหรือไม่?”
ไคลน์เดินผ่านร่มเงาต้นฟินิกซ์อินทิส ยิ้มและตอบ
“ผมอยากฟังคำแนะคำจากคุณ”
วอลเตอร์ใช้ความคิดสักพัก
“นายท่าน สิ่งที่ขาดไม่ได้คือแม่บ้าน”
ในระหว่างการสัมภาษณ์คราวก่อน ไคลน์แจ้งว่าดอน·ดันเตสยังโสดและไม่มีบุตร ไม่มีคนรักในเบ็คลันด์ จึงไม่คิดว่าตนต้องการแม่บ้านส่วนตัว
เมื่อเห็นดอน·ดันเตสทำเพียงพยักหน้าโดยไม่ออกคำสั่ง วอลเตอร์พูดต่อ
“หน้าที่ของแม่บ้านคือ คอยบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของครอบครัวและบรรดาคนรับใช้ นายท่าน คุณไม่ควรให้ผมหรือใครก็ตาม มีอำนาจดูแลทุกเรื่องในบ้าน โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ การสร้างสมดุลถือเป็นศิลปะทางการเมืองอย่างหนึ่ง และยังเป็นวิธีที่ถูกต้องในการบริหารจัดการครอบครัว… จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวไว้ว่า หากมอบอำนาจให้บุคคลใดมากเกินไป คนผู้นั้นจะเริ่มเสื่อมถอยและบกพร่อง… ต่อหน้าเงินจำนวนมาก ผมมั่นใจว่าสามารถยับยั้งชั่งใจไหว แต่นั่นเป็นเพียง ‘ความมั่นใจ’ ”
ไม่เลว… ซื่อสัตย์มาก… แม่บ้านก็ยังจำเป็นอยู่สินะ… ค่าจ้างรายปีคงประมาณสามถึงสี่สิบปอนด์กระมัง? ไคลน์พยักหน้า
“ตกลง”
ทันใดนั้น วอลเตอร์เดินผ่านด้านหลังไคลน์ ยกมือโบกรถม้า
เมื่อขึ้นรถ มันกล่าวต่อ
“สำหรับแม่บ้าน ผมจะให้สำนักงานจัดหาคนรับใช้ส่งรายชื่อมา นายท่านต้องเป็นคนเลือกเอง ผมคงแนะนำอะไรไม่ได้… พิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน นายท่านต้องมีผู้จัดการทรัพย์สินครอบครัวด้วย จะเป็นชายหรือหญิงก็ได้ นอกจากนั้นยังต้องมีบุรุษรับใช้หนึ่งคน สาวใช้ชั้นหนึ่งสองคนสำหรับดูแลห้องนอน สาวใช้ชั้นสองอีกสองคนคอยดูแลห้องนั่งเล่น บริกรชายสองคนสำหรับห้องรับแขก สาวใช้ทั่วไปหนึ่งคนเพื่อดูแลห้องเก็บของ สาวใช้ห้องครัวหนึ่งคน สาวใช้ซักผ้าสองคน และคนงานชายสองคน… นอกจากนั้นยังต้องมีพ่อครัว คนสวนสองคน คนขับรถม้าสองคน หรือไม่ก็คนขับรถม้าและผู้ช่วย… ถ้าจะให้ดีก็ต้องมีคนงานชายที่เน้นใช้แรงหนึ่งคน พยาบาลประจำ และผู้ช่วยพ่อครัว… นายท่านยังไม่มีรถม้า ในอนาคตต้องมีอย่างน้อยสองคัน รถม้าสี่ล้อราคาประมาณสามร้อยปอนด์ สองล้อราคาประมาณหนึ่งร้อยปอนด์”
ได้ฟังพ่อบ้านแนะนำตำแหน่งคนรับใช้ที่จำเป็นอย่างละเอียด สติไคลน์พลันหลุดลอย ไม่อยากจะนึกภาพตามว่าทั้งหมดต้องใช้เงินเท่าไร แถมยังต้องจ่ายเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน ไม่ใช่รายปี
ถึงจะตัดคนงานชายที่เน้นใช้แรงออกไป ตัดพยาบาลประจำและผู้ช่วยพ่อครัว แต่เราก็ยังต้องจ้างคนรับใช้ชายสิบเอ็ดคน สาวใช้และแม่บ้านอีกสิบคน เกือบสองเท่าของตัวเลขในใจเราตอนแรก… หมายความว่าต้องมีค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่าสิบปอนด์ต่อสัปดาห์ใช่ไหม? นี่เป็นเพียงค่าแรงของคนรับใช้ที่ยังไม่ได้ต่อรอง… นอกจากนี้ยังมีรถม้า… ไคลน์ยืนมองปากของวอลเตอร์ขยับขึ้นลง แต่ความคิดล่องลอยไปไกลแล้ว
เมื่อเห็นมิสเตอร์ดอน·ดันเตสผู้สง่างามคอยพยักหน้ารับอย่างต่อเรื่อง วอลเตอร์จึงพูดต่อไปเรื่อยๆ จนเผลอนอกเรื่อง
“ในอนาคต นายท่านยังต้องเช่าคฤหาสน์ในเขตชานเมืองเพื่อคอยให้ความบันเทิงกับเพื่อนฝูงช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แต่เรื่องนั้นยังไม่ต้องรีบร้อน ไว้ค่อยคิดหลังจากนายท่านจัดงานเต้นรำและงานเลี้ยงมื้อค่ำในบ้านเลขที่ 160 อย่างต่อเนื่องสักไปพัก… หากอาศัยในละแวกนี้ นายท่านห้ามเรื่องการจ้างสาวใช้ภายนอกมาทำความสะอาดบ้านเด็ดขาด เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ผู้มีรายได้ต่ำกว่าปีละห้าร้อยปอนด์มักกระทำ พวกเขาไม่สามารถจ่ายค่าจ้างสาวใช้ได้มากพอที่จะทำความสะอาดทั่วบ้าน จึงต้องจ้างสาวใช้จากภายนอกเข้ามาจัดการเป็นครั้งคราว”
“…”
ไคลน์ที่ฟังอย่างเหม่อลอย เผยรอยยิ้มอบอุ่นตามจิตใต้สำนึก
กลับถึงโรงแรม เฝ้ามองพ่อบ้านวอลเตอร์เดินกลับไป ชายหนุ่มนั่งลงด้วยสีหน้าราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง
รอจนกระทั่งบ่ายสองสี่สิบ ไคลน์ลูบหน้าผาก ลุกขึ้นอย่างไม่รีบร้อน เดินเข้าไปในห้องนอน เตรียมจัดการชุมนุมทาโรต์ประจำสัปดาห์
ราชันเร้นลับ 743 : ไดอารีหนึ่งหน้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหนือสายหมอก ภายในพระราชวังที่มีหลังคาโดมสูง
‘เดอะฟูล’ ไคลน์ชำเลืองมอง ‘เดอะซัน’ ที่ถูกดึงมาก่อนและ ‘เดอะเวิร์ล’ ที่เสกรอไว้ล่วงหน้า จากนั้นก็แผ่พลังวิญญาณเข้าไปสัมผัสกับดาวสีแดงเข้มที่เป็นตัวแทนของจัสติส แฮงแมน เมจิกเชี่ยน เดอะมูน และเฮอร์มิท
เสาลำแสงพวยพุ่ง ร่างมายาที่ไม่คมชัดของแต่ละคนเริ่มปรากฏบนเก้าอี้สองฝั่งโต๊ะทองแดงยาว
‘จัสติส’ ออเดรย์ที่เพิ่งกลับถึงปราสาทหลังจากเข้าไปในป่า เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดเดรส กำไลข้อมือลายลูกไม้ประดับประดาด้วยไข่มุกเม็ดกลม
หญิงสาวลุกขึ้นยืนอย่างกระฉับกระเฉง จับชายกระโปรง แสดงความเคารพ
“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ฟูล~”
อารมณ์ของไคลน์ดีขึ้นหลายระดับแล้ว จึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ขณะเดียวกัน มันอดถอนหายใจไม่ได้
ลำพังเศรษฐีใหม่อย่างเรายังมีค่าใช้จ่ายมหาศาล… ตระกูลขุนนางแบบมิสจัสติสจะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายขนาดไหน…
หลังจากสมาชิกทุกคนทักทายกันเสร็จ ชายหนุ่มชำเลืองไปทางเฮอร์มิทด้วยท่าทีผ่อนคลาย เพราะทราบว่าพลเรือโจรสลัดรายนี้จะต้องนำไดอารีจักรพรรดิโรซายล์หน้าใหม่มาส่งมอบ
ไม่ผิดจากที่คาด ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาเปิดปากพูด
“มิสเตอร์ฟูล ดิฉันรวบรวมไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์ได้อีกหนึ่งหน้า”
แค่หน้าเดียว? ไม่ใช่ว่าราชินีเงื่อนงำสามารถส่งมอบไดอารีทั้งเล่มได้ตามใจปรารถนาหรอกหรือ? แม้ไคลน์จะได้เผชิญบททดสอบอันหนักหน่วงมาตลอดทั้งวัน แต่ก็ยังสามารถรักษาความสุขุม
“ไม่มีปัญหา”
แคทลียารีบลงมือเขียนไดอารีลงบนกระดาษสีน้ำตาลอมเหลือง ส่งมันถึงมือเดอะฟูลผ่านพลังวิญญาณ
ไคลน์ก้มมอง แปลกใจเล็กน้อยเมื่อไม่พบ ‘วันที่’ บนกระดาษ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไดอารีหน้านี้เป็นเนื้อหาที่ต่อจากหน้าอื่น… ทำไมแบร์นาแดตไม่เอาหน้าแรกมาด้วย? เธอควรแยกแยะได้ไม่ยาก เพราะแม้แต่ลุงนีลล์ก็ยังดูออกว่าตรงไหนเป็นวันที่… หรือเป็นเพราะไดอารีเสียหายจนหน้าสลับกัน ส่งผลให้เรียงกลับไม่ถูก? หมายความว่า หลังจากจักรพรรดิโรซายล์ร่วงหล่น ข้าวของเครื่องใช้เก่าๆ ถูกรื้อค้นโดยกองกำลังของฝ่ายตรงข้ามจนบางส่วนสูญหาย? ตอนนั้นแบร์นาแดตคงยังมีพลังไม่พอจะยับยั้ง รอจนกระทั่งกลายเป็นราชินีเงื่อนงำ จึงค่อยกลับมาสืบสาวหาความจริง… ไคลน์กวาดตาอ่านเนื้อหาอย่างรวดเร็ว
“ผิดคาดมาก… ประวัติศาสตร์ของยุคสมัยที่สี่จากปากมิสเตอร์ประตูเริ่มน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ”
“ชายอับโชคที่ติดอยู่ท่ามกลางพายุและหลงทางในความมืดบอกกับเราว่า แม้จักรพรรดิมืดจะตายไปครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังสามารถคืนชีพได้… น่าประหลาดใจมาก ข้อมูลนี้บังเอิญไปตรงกับสิ่งที่องค์กรลึกลับนั่นเล่าให้ฟัง… ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง พวกเขาระบุว่า หากสุสานทั้งเก้าของจักรพรรดิมืดไม่ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ ต่อให้เทพตนนี้ร่วงหล่นไปพร้อมกับร่างเนื้อ แต่ก็ยังสามารถคืนชีพได้ใหม่จากหนึ่งในสุสานของท่าน”
“และแม้ว่าสุสานทั้งเก้าจะถูกทำลาย ตราบใดที่คำสั่งของจักรพรรดิมืดยังมีผู้คนปฏิบัติตาม ท่านสามารถคืนชีพกลับมาได้ด้วยวิธีพิสดาร เว้นเสียแต่ว่าจะมีจักรพรรดิมืดองค์ใหม่ถือกำเนิด นั่นจึงจะเป็นความตายโดยแท้จริง หมดสิทธิ์คืนชีพโดยสิ้นเชิง”
“จากคำอธิบายของมิสเตอร์ประตู การคืนชีพของจักรพรรดิมืดมีทั้งหมดสามขั้นตอน ขั้นแรก ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางต้องแยกตัวเป็นอิสระจากเจ้าของปัจจุบัน แปรสภาพกลายเป็นนามธรรม ขั้นที่สอง เหล่าผู้ที่ยังจงรักภักดีต่อจักรพรรดิมืดต้องได้ยินเสียงที่เปี่ยมด้วยพลังอำนาจจากพระองค์ และขั้นที่สาม จักรพรรดิมืดที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเอกลักษณ์นามธรรม จะปรากฏตัวอีกครั้งบนโลกดารา ส่งผลสืบเนื่องทำให้ตะกอนพลังลำดับ 1 ทั้งสามชิ้น กลับมาอยู่บนมือจักรพรรดิมืดทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่มีใครสามารถบิดเบือนหรือฝ่าฝืนสิ่งนี้ได้ ไม่เว้นกระทั่งเหล่าเทพแท้จริงตนอื่น”
“ด้วยเหตุผลข้างต้น จักรพรรดิโลหิตและจักรพรรดิรัตติกาลซึ่งล้วนเป็นลำดับ 1 องค์ชายวิปลาสของเส้นทางเดียวกัน ต่างตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่มีใครทราบผลลัพธ์ที่แน่ชัดหากจักรพรรดิมืดคืนชีพ พวกมันอาจต้องเสียชีวิตคาที่ หรือไม่ก็ถอยกลับไปเป็นลำดับ 2… มิสเตอร์ประตูเล่าว่า ในช่วงเวลานั้น เทพวายุสลาตันและเทพธิดารัตติกาลตัดสินใจสนับสนุนจักรพรรดิรัตติกาล ช่วยให้ท่านเปลี่ยนไปยังเส้นทางใกล้เคียง – เส้นทาง ‘ผู้ตัดสิน’ ส่งผลให้จักรวรรดิทูดอร์-ทรันซอสต์ต้องแยกตัวออกจากกัน”
“และ ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์ผู้ถูกบังคับให้ตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังตามลำพัง ตัดสินใจกระทำในสิ่งที่บ้าบิ่น นั่นคือการย้ายไปยังเส้นทางที่ไม่ใกล้เคียง ยอมสละสติสัมปชัญญะ เสี่ยงเลื่อนลำดับเป็นเทพแท้จริงกึ่งเสียสติโดยไม่มีทางเลือก”
“ต้องยอมรับว่า การตัดสินใจครั้งนี้ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย แทบจะมองไม่เห็นโอกาสประสบความสำเร็จ… แต่มิสเตอร์ประตูกลับระบุว่า ท้ายที่สุดแล้ว อลิสต้า·ทูดอร์ประสบความสำเร็จในการเลื่อนลำดับ กลายเป็นเทพแท้จริงกึ่งเสียสติ!”
“ฟังดูน่าเหลือเชื่อมาก น่าเสียดายที่มิสเตอร์ประตูไม่ได้เล่ารายละเอียด คงจงใจปิดบังจากเรา”
“เราถามกลับไปว่า ระหว่างความตายกับการกลายเป็นคนเสียสติ แบบไหนเลวร้ายมากกว่ากัน มิสเตอร์ประตูตอบว่าความตาย เพราะหากยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีโอกาสคืนสติกลับมาได้”
“ท่านยิ้มและยกตัวอย่าง – หากพิจารณาจากสัญชาตญาณ เทพแท้จริงที่เสียสติยังสามารถผสมพันธุ์กับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดโดยไม่เลือกหน้า ให้กำเนิดลูกหลายมากมาย ระหว่างนั้น ถ้าดวงดี ตะกอนพลังที่ขัดแย้งกันจะถูกถ่ายเทไปยังทายาท อาการเสียสติจะค่อยๆ หายไปทีละนิด”
“มิสเตอร์ประตูจงใจไม่บอกว่าต้นตอของปัญหาหมดไปหรือไม่ และไม่ได้อธิบายว่าทำไมถึงไม่มีใครคิดจะทำมาก่อน แต่เราสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่า การทำแบบนี้มีอันตรายใหญ่หลวงซ่อนอยู่”
“คงต้องยอมรับตามตรง มิสเตอร์ประตูมีข้อมูลเกี่ยวกับเทพแท้จริงเกินกว่าที่เราจินตนาการไปมาก… ก่อนจะถูกขับไล่ออกไป บางทีท่านอาจเป็นอีกหนึ่งคนที่เข้าใกล้ลำดับ 0… เข้าใจแล้วว่าทำไมท่านถึงดูแคลนซาราธ แถมยังไม่นับถือเทพแท้จริงองค์ใดเลย”
“นั่นยิ่งทำให้เราไม่อยากพาท่านกลับมายังโลกแห่งความจริง!”
อัดแน่นด้วยข้อมูล… สมแล้วที่แบร์นาแดตคัดมาเป็นพิเศษ… แต่ว่า ทำไมเธอถึงจงใจเลือกหน้านี้ จุดประสงค์คืออะไร? หรือว่าหลังจากเขียนไดอารีหน้านี้เสร็จ จักรพรรดิโรซายล์เริ่มทำตัวแปลกประหลาด กระทั่งกลายเป็นคนเสียสติในที่สุด? เสียสติ…
อย่าบอกนะว่า… ไม่มีทาง… สถานการณ์ในตอนนั้นของโรซายล์ฟังดูคล้ายกับ ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์มาก เส้นทางของตัวเองถูกตัดขาด เส้นทางใกล้เคียงถูกกีดกันโดยใครบางคนหรืออะไรบางอย่าง การเลื่อนลำดับแทบจะเป็นไปไม่ได้… ท่ามกลางความกดดัน เขาตัดสินใจทำในสิ่งที่บ้าบิ่นเหมือนกับ ‘จักรพรรดิโลหิต’ พยายามย้ายไปยังเส้นทางที่ไม่ใกล้เคียง…
ด้วยเหตุผลข้างต้น แปลว่าพฤติกรรมแปลกๆ ในช่วงหลายปีหลังเกิดขึ้นเพราะเขาเสียสติไปแล้วจริงๆ ไม่ได้ถูกกัดกร่อนโดยบางสิ่ง… เข้าใจแล้วว่าทำไมแบร์นาแดตที่เคยทอดทิ้งเขา เกลียดชังเขา ถึงพยายามกลับมาค้นหาความจริงอีกครั้ง… จากมุมมองนี้ บางเรื่องก็น่าสนใจมากทีเดียว เช่นการที่โรซายล์ปฏิวัติและขึ้นครองบัลลังก์พร้อมกับสถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิ ประกาศใช้ ‘ประมวลกฎหมายแพ่ง’ ฉบับใหม่แทนของเดิม ร่างขึ้นโดยอ้างอิงกฎหมายของโลกเก่าในศตวรรษที่สิบแปดและสิบเก้า และยังเผยแพร่รสนิยมส่วนตัวออกไปเป็นวงกว้าง…
หึหึ… เราประเมิน ‘รุ่นพี่’ คนนี้ต่ำไปสินะ… เคยคิดว่าเขาแค่เลียนแบบนโปเลียนหรือซีซาร์เพื่อความบันเทิงส่วนตัว แต่ในความเป็นจริง นั่นคือการวางรากฐานสำหรับก้าวไปเป็นจักรพรรดิมืด… ไม่สิ… เราเคยอ่านไดอารีของเขาในช่วงนั้น ถึงจะอ่านไปเพียงไม่กี่หน้า แต่ทั้งหมดก็เขียนด้วยสติสัมปชัญญะครบถ้วน อารมณ์สงบนิ่ง แถมยังทำ ‘เรื่องอย่างว่า’ กับสตรีขุนนางผู้เร่าร้อน…
หืม… หรือว่าตอนนั้นยังไม่ได้ตัดสินใจย้ายเส้นทางอย่างเด็ดขาด เพียงสร้างทางหนีทีไล่เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน?
สำหรับ ‘ประมวลกฎหมายแพ่ง’ ฉบับใหม่ การเดินหมากก้าวนี้อาจไม่มีอะไรแอบแฝง แต่เนื่องจากเป็นคนทำรัฐประหาร ตามปรกติแล้วต้องร่างกฎหมายฉบับใหม่ขึ้น… และด้วยความรู้กับความทรงจำของเขา แหล่งอ้างอิงทางกฎหมายเดียวจึงหนีไม่พ้นข้อมูลจากโลกเก่าในศตวรรษที่สิบแปดและสิบเก้า เพราะมีความสอดคล้องกับยุคสมัยในปัจจุบัน…
ในภายหลัง การตั้งตนเป็นจักรพรรดิของโรซายล์ทำให้แบร์นาแดตเกิดความไม่พอใจและรู้สึกต่อต้าน… ในฐานะทายาทคนโปรด เธอคงสังเกตเห็นความผิดปรกติก่อนที่บิดาของตนจะสถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิ จึงเลือกไดอารีหน้าที่ยาวที่สุดที่โรซายล์เขียนในช่วงเวลานั้น… ไคลน์ยังคงครุ่นคิดต่อไปอีกสักพัก ภายในใจรู้สึกราวกับว่า ตนได้เห็นประวัติศาสตร์อันหนักอึ้งที่ถูกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของม่านหมอก แผ่นกระดาษหนังตรงหน้าราวกับกำลังส่งกลิ่นเลือดและเหล็กออกมา
ไคลน์ยิ่งทวีความสงสัย เกี่ยวกับ ‘สลัก’ สุดท้ายที่ทำให้โรซายล์เสียสติ
ขณะเดียวกัน มันก็ได้คลายปมในเรื่องเก่า
จักรพรรดิมืดคืนชีพด้วยวิธีแบบนี้นี่เอง… คล้ายกับข้อสันนิษฐานของเราในอดีต…
จากประวัติศาสตร์ของยุคสมัยที่สี่ ดูเหมือนว่าจะมีจักรวรรดิทูดอร์-ทรันซอสต์อยู่จริง และได้รับการสนับสนุนจากหกเทพจารีต เช่นเทพวายุสลาตันและเทพธิดารัตติกาล… บัลลังก์คู่ในซากอาคารใต้ดินถนนวิลเลียมส์สามารถยืนยันการมีอยู่ของ ‘จักรวรรดิร่วม’ ได้เป็นอย่างดี…
จากคำบอกเล่าของมิสเตอร์ประตู ในตอนหลัง หกเทพจารีตเลือกจะอยู่ฝ่าย ‘จักรพรรดิรัตติกาล’ ส่งผลให้จักรวรรดิร่วมต้องแยกตัวออกจากกัน… ถ้าอย่างนั้น แล้วใครคือคนที่ช่วยจักรพรรดิโลหิตจับตัวลำดับ 1 ของเส้นทางนักล่าทั้งสามตน? ในหมู่พวกมันยังมี ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซี ผู้น่าจะแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิโลหิตในเวลานั้นเสียอีก… แม่มดบรรพกาล? เทพมรณา? ดวงจันทร์บรรพกาล? ด้านมืดเอกภพ? มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย?
ไคลน์คาดเดาโดยการไล่เรียง แต่ก็ไม่พบความเชื่อมโยง
ชายหนุ่มสลายไดอารี หันไปยิ้มให้ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียา
“สำหรับครั้งนี้… ความต้องการคือสิ่งใด”
แคทลียาไม่ปิดบัง ถามอย่างใจเย็น
“บุคคลที่อยู่ในไดอารี… หากไม่นับจักรพรรดิโรซายล์ ยังมีใครอีกบ้าง”
คำถามดังกล่าวทำให้ ‘จัสติส’ ออเดรย์หันไปมองมิสเตอร์ฟูล ดวงตากำลังลุกวาวและเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น แม้แต่ใบหูก็ดูเหมือนจะกระดิกขึ้นเล็กน้อย
‘แฮงแมน’ อัลเจอร์และคนที่เหลือต่างก็สนใจ หากถูกเขียนชื่อลงในไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์ บุคคลดังกล่าวย่อมต้องไม่ธรรมดา!
ไคลน์พอจะคาดเดาความรู้สึกของทุกคน อดไม่ได้ที่จะรำพัน
เฮ่อ… ดันเป็นไดอารีที่แบร์นาแดตคัดเลือก หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เราคงตอบส่งๆ ไปได้ว่ามีการกล่าวถึงแม่มดคนหนึ่ง แม่มดอีกคนหนึ่ง นักล่าคนหนึ่ง นักล่าอีกคนหนึ่ง มิสเตอร์ขุนนางสักคน มาดามขุนนางสักคน…
ครุ่นคิดสองวินาที ไคลน์เอนหลังพิงพนัก ตอบด้วยรอยยิ้ม
“มิสเตอร์ประตู”
มิสเตอร์ประตู… ตัวตนที่มีชื่อคล้ายกับมิสเตอร์ฟูล… อย่างน้อยก็คงมีระดับใกล้เคียงเทพสินะ? ‘จัสติส’ ออเดรย์คาดเดาตัวตนอีกฝ่ายจากโทนเสียงและลักษณะการพูด
‘เฮอร์มิท’ แคทลียาและคนที่เหลือต่างก็คิดคล้ายๆ กัน แต่ไม่มีใครทราบว่ามิสเตอร์ประตูเป็นใคร เพียงมองหน้ากันและส่ายหัว
เมื่อเห็น ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สและคนอื่นๆ แสดงความฉงน ไคลน์จงใจหันไปหาเธอและหัวเราะในลำคอ
“เจ้าน่าจะคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดี”
“เอ๋…?” ดวงตา ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สพลันเหม่อลอย
เธอค่อนข้างมั่นใจว่า ตนไม่รู้จัก ‘มิสเตอร์ประตู’
เพราะจากเท่าที่ฟัง อีกฝ่ายน่าจะเป็นตัวตนในระดับที่สูงมาก!
ราชันเร้นลับ 744 : การขาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
เรารู้จักมิสเตอร์ประตู? นอกจากมิสเตอร์ฟูล เทพที่เรารู้จักมีเพียงเจ็ดเทพจารีตเท่านั้น… และเหนือสิ่งอื่นใด เราไม่เคยเข้าศาสนสถานอื่นนอกจากวิหารเทพจักรกลไอน้ำ… ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สเผยสีหน้างุนงง ภายในใจหวนนึกถึงตัวตนระดับสูงที่ตนอาจเคยได้พบเจอ
เนื่องจากมีจำนวนไม่มาก ฟอร์สตัดตัวเลือกหลายอันออกอย่างรวดเร็ว จนกระทั่ง ดวงตาหญิงสาวพลันสว่างวาบ ฉุกคิดถึงบางสิ่งเกี่ยวกับบทสนทนาครั้งแรกระหว่างตนและมิสเตอร์ฟูล
ฟอร์สมองไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวที่มีหมอกปกคลุมหนาแน่น กล่าวเสียงสั่นเครือ
“ใช่เจ้าของเสียงเพรียกขณะพระจันทร์เต็มดวงไหมคะ?”
ไคลน์ยิ้มและพยักหน้า
“ถูกต้อง”
เสียงเพรียกขณะจันทร์เต็มดวง… หมายความว่ายังไง? ‘จัสติส’ ออเดรย์และคนที่เหลือต่างมองหน้ากันและกัน ประหนึ่งเป็นเพียงเด็กใหม่ที่เพิ่งหัดเข้าสู่โลกเร้นลับ
ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เคยได้ยิน ‘เสียงเพรียกขณะจันทร์เต็มดวง’ มาก่อน
อย่างที่คิด มิสเมจิกเชี่ยนไม่ใช่ตัวตนธรรมดา นอกจากจะรู้จักมิสเตอร์ประตู เธอยังทราบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์เบื้องต้นของเรายังแม่นยำเหมือนเดิม… แม้วัตถุดิบที่เธอหาซื้อมักเป็นของระดับต่ำ แต่นั่นก็ไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริงอะไร… ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาพยักหน้าเล็กน้อยจนยากจะสังเกต เตรียมคิดคำถามเกี่ยวกับมิสเตอร์ประตูในช่วงแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระ โดยยินดีจ่ายในราคาที่เหมาะสม
คนที่ทำให้จักรพรรดิโรซายล์เอ่ยถึงในไดอารีได้ แถมมิสเตอร์ฟูลยังเรียกด้วยถ้อยคำที่เป็นทางการ ต้องเป็นบุคคลที่รายล้อมไปด้วยความลับ ไม่มีทางเป็นตัวตนธรรมดาแน่!
ทันใดนั้น ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สพ่นลมหายใจแผ่วเบา ตระหนักว่าตนเข้าใกล้การถอน ‘คำสาป’ เข้าไปอีกขั้น
อย่างน้อย ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าใครเป็นคนส่งเสียงเพรียกขณะจันทร์เต็มดวง… หญิงสาวก้มหน้าลง กล่าวกับมิสเตอร์ฟูล
“ขอบคุณที่ช่วยเตือนความจำค่ะ”
ไคลน์ไม่ต่อความยาว และไม่ได้บอกใบ้ว่ามิสเตอร์ประตูคือบุคคลที่ต้องสงสัยว่าจะเป็น ‘เบเทล·อับราฮัม’ ต้นตระกูลอับราฮัม เพียงมองไปรอบตัว กล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“เชิญเริ่มได้”
กล่าวจบ ชายหนุ่มควบคุมเดอะเวิร์ลเปล่งเสียงแหบพร่าทันที
“ผมมีสมบัติวิเศษมาเสนอขาย… ทั้งหมดสองชิ้น”
สมบัติวิเศษสองชิ้น… ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มิสเตอร์เวิร์ลมีสมบัติวิเศษมาขายในแทบทุกการชุมนุม… สมแล้วที่เป็นข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล… ‘จัสติส’ ออเดรย์ชำเลืองไปทางสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวด้วยสีหน้าชื่นชม รอให้เดอะเวิร์ลนำสินค้าออกมาแสดงพร้อมกับแนะนำความสามารถ
‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ใจเต้นระรัว มั่นใจว่าสมบัติวิเศษที่เดอะเวิร์ลนำมาขายย่อมต้องไม่ธรรมดา แต่เมื่อตระหนักว่าตนแทบไม่มีเงินติดตัว และข้อมูลราคาแพงอย่างเกาะร้างโบราณก็ขายให้อีกฝ่ายไปแล้ว จึงทำได้เพียงถอนหายใจเงียบงัน ผิดหวังเหนือคำบรรยาย
ยังเหลือเวลาอีกห้าชั่วโมงก่อนจะถึงเกาะปาซู อัลเจอร์อยากเหาะไปถึงที่นั่นใจแทบขาด รีบรายงานให้เสร็จและรีบออกจากเกาะ ตามหาสัตว์ทะเลอ็อบนิส เลื่อนลำดับเป็น ‘ผู้ขับขานสมุทร’ โดยเร็ว
เมื่อถึงตอนนั้น มันสามารถสำรวจเกาะร้างโบราณร่วมกับเดอะเวิร์ล กอบโกยกำไรมหาศาลเพื่อบรรเทา ‘วิกฤติทางการเงิน ที่กำลังประสบอยู่
แม้ว่า ‘เดอะซัน’ เดอร์ริค ‘เดอะมูน’ เอ็มลิน และ ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สต่างก็อยากรู้รายละเอียดสมบัติวิเศษ แต่ก็ไม่มีใครปรารถนาจะซื้อมัน
หนึ่งในคนเหล่านี้สามารถเลือกสมบัติวิเศษจาก ‘หกสภาอาวุโส’ ของเมืองเงินพิสุทธิ์ได้เมื่อกลายเป็นลำดับ 4 ส่วนอีกหนึ่งคนกำลังจะได้รับรางวัลจากการแข่ง ‘ล่า’ ถึงจะยังไม่ทราบชนิดของรางวัล แต่การซื้อสมบัติวิเศษจากภายนอกอย่างส่งเดช มีโอกาสที่พลังจะซ้ำซ้อนกันและเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ เงินสดที่มีอยู่ราวสองสามพันปอนด์ต้องถูกใช้จ่ายไปกับเบาะแสของเหยื่อ และคนสุดท้าย เธอสิ้นเนื้อประดาตัวอย่างแท้จริง
‘เฮอร์มิท’ แคทลียามองไปทาง ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยความสนใจ ครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายนำสมบัติวิเศษมาจากไหน
หากราคาสมเหตุสมผลและไม่ขัดแย้งกับสิ่งที่กำลังพกพา เธอยินดีจะซื้อมัน
เมื่อพบว่าลูกค้ารายใหญ่ทั้งสองแสดงความสนใจไม่มากก็น้อย เดอะเวิร์ลกล่าวด้วยรอยยิ้มลุ่มลึก
“ชิ้นแรกมีชื่อว่า ‘ตาชั่งโชคชะตา’ … ผมเรียกมันว่าแบบนั้น…”
กล่าวจบ ชายหนุ่มหันไปขออนุญาตเดอะฟูลเพื่อเสกสร้อยเงินที่ห้อยจี้เหรียญโบราณ
หลังจากแนะนำประสิทธิภาพในเชิงศาสตร์เร้นลับและผลข้างเคียง ไคลน์เหลือบไปทาง ‘จัสติส’ ออเดรย์และกล่าวตักเตือน
“ผมไม่แนะนำให้ผู้วิเศษที่มีพลังการต่อสู้ต่ำซื้อไป แม้มันจะช่วยให้ผู้สวมหลีกเลี่ยงจากความตาย แต่กรรมที่ต้องชดใช้ก็อันตรายไม่แพ้กัน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้สวมต้องมีฝีมือระดับหนึ่ง และยังต้องรอบคอบ ไม่อย่างนั้นก็ไม่รอดจากผลข้างเคียงอยู่ดี”
เมื่อตระหนักว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษสายสนับสนุนมากกว่าต่อสู้ มีพลังในการควบคุมและสร้างอิทธิพลเป็นหลัก แทบไม่ต้องปะทะกับใคร ‘จัสติส’ ออเดรย์พยักหน้าด้วยความเสียดาย เห็นพ้องกับคำพูดของเดอะเวิร์ล
มิสเตอร์เวิร์ลใจดีกับสมาชิกของชุมนุมทาโรต์มาก… ทั้งที่การย้ำเตือนข้อเสียอาจทำให้เขาขายของไม่ออก… ออเดรย์ปรับทัศนคติที่เธอมีเกี่ยวกับเดอะเวิร์ล
เฮอร์มิทพลันเกิดความรู้สึกคุ้นเคยหลังจากได้ยินคำอธิบาย พยายามนึกให้ออกว่าตนเคยได้ยินพลังของ ‘ตาชั่งโชคชะตา’ มาจากไหน
ฉากแล้วฉากเล่าแล่นผ่านความทรงจำอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งหยุดค้างไว้ที่ภาพหนึ่ง รูม่านตาแคทลียาพลันหดลีบ ปากโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือความตกตะลึง
“เซนอล?”
ฟังดูเหมือนกับสร้อยคอของ ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลมาก… นอกจากหน้าตาจะเหมือนกัน พลังและผลข้างเคียงก็ยังเหมือนกับยังกับแกะ! เกอร์มัน·สแปร์โรว์ไปเอามาจากไหน? เขาก่อวีรกรรมอะไรอีก? อนาคตกาลไม่ได้เทียบท่าในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เราพลาดข่าวสำคัญไปหรือ? ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาสังหรณ์ใจว่า เดอะเวิร์ลได้สร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง!
ไคลน์ครุ่นคิด บังคับให้เดอะเวิร์ลยิ้มอย่างมีเลศนัย
“เขาตายแล้ว”
ชายหนุ่มไม่แยแสว่ามิสจัสติสและคนที่เหลือจะทราบในภายหลังว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์คือ ‘เดอะเวิร์ล’ เพราะยังไงเสีย ปัจจุบันก็มีคนล่วงรู้แล้วถึงสอง และในอนาคต ตัวตนนี้จะได้เผยโฉมน้อยลง
นอกจากนั้น หากมีสมาชิกชุมนุมคอยสร้างชื่อเสียงอย่างต่อเนื่อง ชาวชุมนุมทาโรต์ก็จะยิ่งรู้สึกผูกพันกับองค์กรมากขึ้น!
เขาตายแล้ว… เกอร์มัน·สแปร์โรว์จัดการเซนอลไปแล้ว? ในการต่อสู้ครั้งล่าสุด เรายังทำได้แค่ช่วงชิงความได้เปรียบเหนือเซนอลเล็กน้อย… ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาพบว่า นับวันตนยิ่งมองไม่เห็นขีดจำกัดความแข็งแกร่งของเดอะเวิร์ล
ถึงแม้ค่าหัวของพลเรือเอกโลหิตจะสูงกว่า แต่นั่นเป็นเพราะมันก่อกรรมทำชั่วบ่อยครั้ง หากพูดถึงฝีมือและของวิเศษเพียงลำพัง แคทลียาจะเหนือกว่าเล็กน้อย
ไม่ใช่ว่าเธอกับเซนอลไม่เคยปะทะกัน มีคล้ายครั้งที่เธอรุกหนักจนอีกฝ่ายตกที่นั่งลำบาก เพียงแต่ไม่สามารถปิดฉากให้เป็นเรื่องเป็นราว
สำหรับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ในวันที่ชายคนนี้เริ่มโดยสารอนาคตกาล เธอมองว่าอีกฝ่ายยังด้อยกว่าตัวเองพอสมควร เพราะไม่สามารถเอาชนะได้แม้กระทั่ง ‘พลเรือโทโรคภัย’ เทรซี่ ทั้งที่เป็นฝ่ายลอบสังหาร
แต่เมื่อนักผจญภัยเสียสติรายนี้เลื่อนลำดับสำเร็จและล่า ‘จอมเชือด’ จิลเซียส เธอเริ่มยอมรับว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งระดับเดียวพลเรือโจรสลัด อย่างน้อยก็มีฝีมือทัดเทียมตน
ทว่า ผ่านไปเพียงหนึ่งสัปดาห์ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ออกล่าอีกครั้ง เลือกลงมือกับ ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอล หนึ่งในสามนายพลโจรสลัดที่แข็งแกร่งที่สุด!
สำหรับเรื่องนี้ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาเชื่อว่าแม้แต่ตนก็ทำไม่ได้!
เขาตายแล้ว? ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลตายไปแล้ว? ถูกเกอร์มัน·สแปร์โรว์สังหาร? เขาคิดจะฆ่าลำดับ 5 สัปดาห์ละคนหรือยังไงกัน… ยิ่งไปกว่านั้น เหยื่อรายล่าสุดยังแข็งแกร่งกว่ารายที่แล้วมาก… แม้จะเป็นข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล แต่นี่ไม่ทรงพลังเกินไปหน่อยหรือ? เขายังไม่ได้เป็นครึ่งเทพด้วยซ้ำ… หรือว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากข้ารับใช้คนอื่น? ทางศาสนจักรน่าจะมีเอกสารที่เกี่ยวข้อง แต่ตำแหน่งปัจจุบันของเรายังไม่มีสิทธิ์อ่าน… ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ประหลาดใจเล็กๆ อดไม่ได้ที่จะมองหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผล
‘จัสติส’ ออเดรย์ยังคงอยู่ในปราสาทตระกูลในแคว้นเชสเตอร์ตะวันออก วันๆ ได้อ่านแค่หนังสือพิมพ์และนิตยสารภายในอาณาจักรไม่กี่ฉบับ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในทะเล แต่ประเมินจากน้ำเสียงและคำพูดของมาดามเฮอร์มิท เธอเชื่อว่ามิสเตอร์เวิร์ลได้สร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ขึ้นอีกครั้ง!
เซนอล… มิสเตอร์แฮงแมนเคยเล่าให้ฟัง นี่เป็นชื่อจริงของพลเรือเอกโลหิต… มิสเตอร์เวิร์ลกำจัดนายพลโจรสลัดคนดังกล่าวและนำสมบัติวิเศษมาขาย? น่าทึ่งมาก เราเองก็ฝันจะทำแบบนั้นให้ได้เหมือนกัน! หลังจากได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับเจ็ดนายพลโจรสลัดที่ยิ่งใหญ่ เราเคยจินตนาการภาพตัวเองกลายเป็นผู้วิเศษทรงพลัง ออกผจญภัยในทะเล จัดการพวกมันทุกคนและส่งตัวให้อาณาจักร… ตอนนี้ชุมนุมทาโรต์ของเราแข็งแกร่งขึ้นจากเมื่อก่อนมาก!
ดีล่ะ… เราต้องสืบหาว่าใครเป็นคนฆ่าพลเรือเอกโลหิต ด้วยวิธีนี้ เราก็จะรู้ตัวจริงของมิสเตอร์เวิร์ล… แต่เขาจะโกรธไหม? คงไม่… เขาเป็นฝ่ายเล่าออกมาเอง หมายความว่ายินดีที่จะให้สมาชิกคนอื่นล่วงรู้ตัวตน… ‘จัสติส’ ออเดรย์ครุ่นคิดด้วยสีหน้ายินดี
‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สซึ่งมักอ่านหนังสือพิมพ์หลายฉบับเพื่อรวบรวมข้อมูลสำหรับงานเขียน พลันหวนนึกถึงข่าวใหม่ที่เพิ่งได้อ่านเมื่อไม่นาน
‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอล คาดว่าจะถูกสังหารโดยฝีมือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ นักผจญภัยเสียสติ!
อย่างบอกนะว่า… มิสเตอร์เวิร์ลคือคนที่มีค่าหัว… ไม่สิ คือนักผจญภัยเสียสติที่มีค่าหัวสูงถึงห้าหมื่นปอนด์! ฟอร์สพลันสั่นกลัว เริ่มเชื่อว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งพอที่จะช่วยเธอฆ่าหนึ่งใน ‘ผู้ส่งสาร’ ของชุมนุมแสงเหนือ ‘นักท่องเที่ยว’ ลูอิส·เวย์น!
‘เดอะมูน’ เอ็มลินรู้สึกแบบเดียวกับ ‘จัสติส’ ออเดรย์ เป็นเพราะมันไม่ค่อยได้อ่านหนังสือพิมพ์ และกิจวัตรประจำวันก็ไม่มีข่าวสารผ่านหู ส่วน ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคไม่แปลกใจแม้แต่นิดเดียว เด็กหนุ่มเชื่อมานานแล้วว่าเดอะเวิร์ลแข็งแกร่งมาก แม้แฮงแมนจะเคยเกริ่นว่า ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลเป็นบุคคลที่แข็งแกร่ง แต่เดอร์ริคก็ยังเชื่อว่ายังด้อยกว่าเดอะเวิร์ล
แคทลียาเงียบงันหลายวินาที ก่อนจะกล่าว
“คุณจะขายเท่าไร? หรืออยากแลกเปลี่ยนกับสิ่งใด… ถ้าราคาสมเหตุสมผล ฉันสนใจจะซื้อ”
เยี่ยม! ในที่สุดก็มีคนสนใจ! ไคลน์ ผู้ถูกหนี้สินกดดันการใช้ชีวิตอย่างหนัก บังคับให้เดอะเวิร์ลกล่าว
“หนึ่งหมื่นสองพันปอนด์ทอง”
ด้วยกังวลว่าแคทลียาจะปฏิเสธ ชายหนุ่มรีบเสริมอีกหนึ่งประโยค
“คุณสามารถใช้เหรียญทองจ่ายแทนได้บางส่วน และผมจะลดราคาเหลือเพียงหนึ่งหมื่นหนึ่งพันปอนด์”
ไคลน์เชื่อว่า พลเรือเอกดวงดาวที่มักปล้นเรือขนทองคำจากอาณาจักรต่างๆ น่าจะพอมีทองคำเก็บไว้กับตัว แม้จะไม่มาก แต่ก็สามารถแลกเปลี่ยนกับโจรสลัดคนอื่นได้ โดยเหรียญทองเหล่านี้จะถูกใช้ชำระเงินหนี้สินก้อนแรกให้มิสผู้ส่งสาร
เป็นเพราะการดำรงอยู่ของโบสถ์วายุสลาตัน ชายหนุ่มจึงไม่คิดจะลงไปงมซากเรืออับปางใต้ก้นทะเลเพื่อหาเหรียญทอง เพราะเชื่อว่านักบวชสมองกล้ามเหล่านี้คงสำรวจซากเรืออย่างทะลุปรุโปร่งไปหมดแล้ว
เจ้าสมุทรไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเทพสมุทรเลย… และบุคคลระดับเจ้าสมุทรก็คงมีอยู่มากมายเต็มศาสนจักร!
แคทลียาเงียบงันสักพัก กล่าวเสียงแผ่ว
“เหรียญทองสี่พันปอนด์ บวกกับเงินสดอีกหกพันห้าร้อยปอนด์… หากคุณยอมรับราคานี้ การเจรจาก็จะได้ข้อสรุป”
สำหรับเธอ การหาเงินไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่เบื้องหลังของแคทลียายังมีนิกายมอสส์คอยสนับสนุน หากมีโอกาสซื้อ ‘ตาชั่งโชคชะตา’ ในราคาเพียงหนึ่งหมื่นปอนด์เศษ เชื่อว่าคงไม่มีใครในองค์กรคิดคัดค้าน
สมแล้วที่เป็นนายพลโจรสลัด… น่าเสียดายที่เราต้องคอยหลบหน้าโรงเรียนกุหลาบ ไม่อย่างนั้นคงหาโอกาสงมเรือของเซนอลเพื่อกวาดต้อนสมบัติที่หลงเหลือมาครอง… ไคลน์บังคับให้เดอะเวิร์ลครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าว
“ตกลง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น