Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 737-738
ราชันเร้นลับ 737 : เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทำไม ‘ชายเสียสติ’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ถึงต้องมองหาคนช่วยเบิกค่าหัวของพลเรือเอกโลหิต? มีบางอย่างไม่ถูกต้อง… ทำไมเขาถึงสามารถเบิกค่าหัวของพลเรือเอกโลหิตได้… ทันใดนั้น เดนิสพลันตื่นจากภวังค์สับสน เริ่มกระจ่างในบางประเด็น
มันรีบก้มหน้าลง ไม่ปล่อยให้ดวงตาเผยความประหลาดใจ
นักผจญภัยโต๊ะข้างๆ พูดขึ้น
“จะเป็นไปได้ยังไง? ไม่มีใครกล้าขึ้นเงินแทนหมอนั่นหรอกน่า”
“ใช่… เว้นเสียแต่ว่า คนคนนั้นอยากตกเป็นเป้าระบายโทสะของโบสถ์วายุสลาตัน หรือไม่ก็อยากขายข่าวเกอร์มัน·สแปร์โรว์ให้ทางการ!”
“สี่หมื่นสองพันปอนด์… ถ้าได้เงินก้อนดังกล่าว เป็นฉันจะรีบกลับเบ็คลันด์ทันที ใช้ชีวิตเยี่ยงมหาเศรษฐี!”
“ฮะฮะ! ถ้าเป็นฉันจะเสพสุขในโรงละครแดงสักครึ่งปีก่อน”
“บางที เกอร์มัน·สแปร์โรว์อาจเปลี่ยนไปขึ้นค่าหัวกับอินทิสหรือฟุซัคก็ได้ แม้จะไม่มากถึงสี่หมื่นสองพันปอนด์ แต่ก็มากพอที่จะใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย”
…
ยิ่งบทสนทนาของนักผจญภัยดำเนินไป พวกมันยิ่งแข่งกันพรรณนาว่าจะใช้เงินสี่หมื่นสองพันปอนด์อย่างไร ถึงขั้นทะเลาะกันจนหน้าแดง
บ้าน่า… หมายความว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์เชือดพลเรือเอกโลหิตไปแล้ว? ทำได้ยังไง… ถึงหมอนั่นจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังขาดคนคอยสนับสนุน จำเป็นต้องร่วมมือกับกัปตัน… แอนเดอร์สัน·ฮู้ด? เดนิสลุกขึ้นยืน กดหมวกติดศีรษะ ก้มหน้าลงและเดินไปทางห้องบิลเลียด แถวๆ นั้นมักมีหนังสือพิมพ์ให้อ่านฟรี
เมื่อเดินจากไป นักผจญภัยกลุ่มก่อนหน้าหันมามองตามหลัง ลดเสียงลงและซุบซิบนินทา
“นายรู้จักหมอนั่นไหม? ทำตัวน่าสงสัยชะมัด!”
“เห็นหน้าไม่ชัด แต่คิดว่าน่าจะเป็นโจรสลัด แฝงตัวในบายัมเพื่อสืบข่าว”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรา…” นักผจญภัยใช้มือทำท่าปาดคอตัวเอง
“อาจเป็นคนที่เราไม่ควรไปยุ่งก็ได้ รอดูท่าทีไปก่อน” นักผจญภัยอีกคนรีบปรามพวกพ้อง
เดนิสเข้าไปในห้องบิลเลียดที่ปราศจากผู้คน เดินไปตรงมุมและหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาหนึ่งปึก กวาดสายตาอ่านลวกๆ สีหน้าค่อยๆ บิดเบี้ยวทีละนิด
ชายเสียสติคนนั้นทำได้ยังไง? เขาฆ่าพลเรือเอกโลหิตไปแล้วจริงๆ … ผ่านไปแค่ไม่กี่เดือน ทำไมพลังถึงเพิ่มขึ้นมากมายขนาดนี้! น…นอกจากนั้น หนังสือพิมพ์ยังไม่มีการเอ่ยถึงแอนเดอร์สัน·ฮู้ด… เดนิสรู้สึกประหลาดใจพร้อมกับขอบคุณตัวเอง ขอบคุณที่ตนยอมจำนนต่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์มาตลอด ไม่อย่างนั้น ชื่อของตนอาจปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ในฐานะเหยื่อของเกอร์มัน·สแปร์โรว์นานแล้ว ถูกแลกเปลี่ยนเป็นค่าหัวอย่างน่าสมเพช
ไม่สิ… หากเป็นตอนนั้น ชื่อของเราคงไม่มีค่าพอที่จะเขียนลงหนังสือพิมพ์… เดี๋ยวนะ… เกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นสมาชิกขององค์กรลับชั่วร้าย… ขณะคิดถึงเรื่องนี้ เดนิสพลันยืนแข็งทื่อราวกับรูปปั้น
สืบเนื่องจาก ดูเหมือนว่ามันเองก็เป็นสมาชิกขององค์กรลับชั่วร้ายนั่นด้วย!
ฮะฮะ… พวกศาสนจักรและกองทัพชอบกุเรื่องเกินจริงเสมอ… ใช่แล้ว ถึงจะเป็นองค์กรลึกลับ แต่ไม่ได้ชั่วร้ายสักหน่อย! เดนิสปลอบใจตัวเอง เป็นอีกครั้งที่ตระหนักว่าองค์กรลับเบื้องหลังเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ทั้งทรงพลังและเต็มไปด้วยปริศนา
หลักฐานพิสูจน์ก็คือ เซนอล หนึ่งในเจ็ดพลเรือโจรสลัดถูกเชือดทิ้งอย่างง่ายดาย!
ฟู่ว… เดนิสพ่นลมออก สรรเสริญเดอะฟูลในใจด้วยความหวาดกลัว เริ่มแสดงท่าทีขยันขันแข็งต่องานที่ได้รับมอบหมาย
…
ในอาคารเล็กๆ ใกล้กับสภาเมือง ไอร์แลนด์และออส·เคนท์เดินออกมา
“จบสักที…” ไอร์แลนด์ถอนหายใจพลางสวมหมวกกัปตันลงบนศีรษะ
ออส·เคนท์ลูบจมูกอันแดงก่ำที่เกิดจากเหล้า ถอนหายใจตาม
“อา…”
เนื่องจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์กลายมาเป็นตัวปัญหาของอาณาจักร พวกมันจึงถูกกักตัวสอบสวนนานสองวันเต็ม ต้องเผชิญหน้ากับ ‘นักสอบสวน’ ที่ชำนาญงานประเภทนี้
โชคดีที่ไอร์แลนด์ไม่ได้ปิดบังอะไรตั้งแต่แรก เคยรายงานให้เบื้องบนทราบแล้วว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์มีเบื้องหลังคลุมเครือ แต่เป็นมิตรกับกองทัพ นายทหารระดับสูงจึงวางหมากให้นักผจญภัยเสียสติคนนี้เป็นสายข่าว ขณะเดียวกันก็ส่งคนไปตรวจสอบปูมหลังเพิ่มเติม ไอร์แลนด์จึงผ่านการสอบปากคำฉลุย
ทางด้านออส·เคนท์ก็ไม่มีปัญหา มันแค่ช่วยขึ้นค่าหัวแทนเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตามระเบียบราชการปรกติ
ขณะกำลังเดินไปตามถนนใจกลางสวน ไอร์แลนด์กล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน
“ใครจะไปคิดว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะแข็งแกร่งและบ้าบิ่นขนาดนั้น”
จากข้อมูลที่มันได้ยิน การฆ่าพลเรือเอกโลหิต คือเรื่องที่ปรกติที่สุด และมีความสำคัญต่ำที่สุดที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ทำในวันนั้น!
แต่ในทางกลับกัน ชายเสียสติคนเดียวกัน เพียงเพื่อจะช่วยชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือแค่สองสามคน เขายอมเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับเหตุการณ์ประหลาดในท่าเรือแบนชีที่เต็มไปด้วยอันตราย
และไอร์แลนด์เพิ่งทราบในภายหลังว่า เหตุสยองขวัญบนเกาะแบนชี ความจริงแล้วเต็มไปด้วยอันตรายที่เกินกว่ามันจะจินตนาการออก – โบสถ์วายุสลาตันถึงขั้นไม่คิดจะสำรวจเกาะให้เปลืองตัว แต่เลือกที่จะทำลายล้างให้สิ้นซาก!
ถ้าเราบอกกับเจ้าหน้าที่สอบสวนว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์มีจิตใจอ่อนโยน พวกเขาคงคิดว่าเราโกหก… มนุษย์ช่างเต็มไปด้วยความขัดแย้งในตัวเอง… ไอร์แลนด์ส่ายหน้าเงียบงัน
หลังจากฟังไอร์แลนด์ตัดพ้อ ออส·เคนท์ยิ้มแห้งๆ
“ย้อนกลับไปในตอนนั้น ฉันคิดว่านายแค่แนะนำนักผจญภัยฝีมือกลางๆ คนหนึ่งให้รู้จัก ไม่น่าจะมีอะไรลึกซึ้ง แต่ใครจะไปคิดว่า หมอนั่นแข็งแกร่งถึงขั้นสามารถเชือดพลเรือเอกโลหิต! บ้าจริง… ด้วยฝีมือระดับนี้ จะขึ้นไปเป็นราชาโจรสลัดคนที่ห้าก็ยังได้! ลองมองไปทางป่าสิ ดูเอาเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับภูเขาลูกนั้นบ้าง แล้วนายจะไม่สงสัยในสิ่งที่ฉันพูด! ที่นั่นเหมือนกับ… เหมือนกับ…”
ไอร์แลนด์ชำเลืองออส·เคนท์ ช่วยเสริมให้อีกฝ่าย
“เหมือนกับชายฝั่งที่คอยตั้งรับการโจมตีตลอดหนึ่งร้อยปี”
“ใช่! ถูกเผง!” ออส·เคนท์เห็นด้วยกับคำอธิบายของไอร์แลนด์
ขณะเดียวกัน ทั้งสองเดินพ้นจากประตูรั้ว
ไอร์แลนด์มองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวและดวงจันทร์สีแดงเข้มซึ่งช่วยมอบแสงสลัว เงียบงันสักพัก จัดปกเสื้อและกล่าว
“ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่กลับมาที่ทะเลอีก”
…
บายัม บ้านเลขที่ 6 ถนนสเฟียร์
แดนตันในชุดสุภาพของเด็กผู้ชาย เดินเข้าไปในห้องอ่านหนังสือ กล่าวกับพี่สาวที่กำลังฝึกร่างภาพ
“ดอนน่า… พ…พวกเขาบอกว่าลุงสแปร์โรว์เป็นคนเลว เป็นพวกนอกรีต เป็นฆาตกร! ถ…แถมยังเอาหนังสือพิมพ์ให้ฉันดู”
ดอนน่าหันไปมอง พูดพลางขมวดคิ้ว
“ฉันไม่เชื่อเด็ดขาด! ลุงสแปร์โรว์คือผู้ผดุงคุณธรรม เป็นคนกล้าหาญ เป็นนักผจญภัยที่จิตใจดี พวกเราเห็นทุกอย่างมากับตา ย่อมเป็นความจริงยิ่งกว่าหนังสือพิมพ์อยู่แล้ว!”
ลังเลสักพัก หญิงสาวกล่าวต่อ
“แม้ว่าจะมีรูปลักษณ์ค่อนข้างน่ากลัว แต่นั่นเป็นราคาที่เขาต้องจ่าย เพื่อให้ได้พลังที่สามารถปกป้องผู้คนมาครอบครอง! แดนตัน เธอต้องจำไว้ พวกหนังสือพิมพ์มักเขียนขึ้นจากข่าวลือและข่าวลวง”
“จริงด้วย!” แดนตันพยักหน้าหนักแน่น “ฉันด่าพวกมันไปแล้ว!”
หลังจากกล่าวชมน้องชาย ดอนน่ามองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว เห็นโคมไฟถนนกำลังสาดแสงเข้ามาในสวน มอบความรู้สึกเงียบสงบและอบอุ่น
…
เขตฮิลสตัน ภายในโรงแรมหรู
ไคลน์สอดผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่พับอยู่ ลงไปในกระเป๋าเสื้อหน้าอกซ้าย ยกมือขึ้นพร้อมกับถอดหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง
วันนี้คือฤกษ์ดีที่ดอน·ดันเตส เศรษฐีลึกลับ จะได้ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนอย่างเป็นทางการ
โดยไม่ต้องรอขายหุ้นจักรยานหรือสมบัติวิเศษ ไคลน์เตรียมใช้เงินสดที่เหลืออีก 2,962 ปอนด์เพื่อพยุงค่าใช้จ่ายเบื้องต้น
เงินจำนวนเท่านี้นับว่าเหลือเฟือ เทียบเท่ารายได้รวมของชนชั้นกลางค่อนไปทางสูงตลอดเจ็ดปีเต็ม!
‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสไม่ได้เข้าฝันเราเมื่อคืน… หมายความว่าหากไม่ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด จะไม่ทราบว่าเรากลับถึงเบ็คลันด์แล้ว ถือเป็นเรื่องดี… ตกลง… งั้นคืนนี้เราจะติดต่อกับเครื่องรับโทรเลขเป็นครั้งสุดท้าย สอบถามเกี่ยวกับตำแหน่งปัจจุบันของวิญญาณมาร หลังจากนั้นก็ไม่ต้องคอยวุ่นวายกับวัตถุเสี่ยงอันตรายนั่นอีก… ไคลน์พึมพำเงียบ เดินออกจากโรงแรมพร้อมไม้ค้ำ
ขณะเดียวกัน แสงแดดด้านนอกกำลังส่องทะลุชั้นหมอกเจือจาง ส่งผลให้คนที่เดินตามท้องถนนรู้สึกอบอุ่น ไคลน์โบกรถม้า มุ่งหน้าไปยัง ‘สำนักงานจัดหาคนรับใช้ในครัวเรือนแห่งมหานคร’ ซึ่งตั้งอยู่ที่อาคารหมายเลข 9 ถนนคานาโร่ เขตเชอร์วู้ด เพื่อจ้างพ่อบ้านมากประสบการณ์ จากนั้นก็ให้พ่อบ้านเลือกทีมคนรับใช้ประจำคฤหาสน์ตามใจตัวเอง
ภายในสำนักงานจัดหาคนรับใช้ในครัวเรือน เบลินหยุดสนทนากับเพื่อนร่วมงานชายที่กำลังพูดคุยด้วย ลดศีรษะลงเพื่อจัดการกับชาดำสองหยดที่หกเลอะเดรสสีใบบัวของตน
ทันใดนั้น สุ้มเสียงอันนุ่มนวลและทรงเสน่ห์ดังขึ้นข้างใบหู
“อรุณสวัสดิ์ มาดาม”
เบลินรีบเงยหน้า มองตรงไปยังแผนกต้อนรับ เห็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งในวัยย่างสี่สิบ อีกฝ่ายสวมโค้ทผ้าไหม ถือไม้ค้ำเลี่ยมทอง และตรงกระดุมเม็ดที่สามจากด้านบน มีโซ่สีทองยื่นออกจากกระเป๋าเสื้อ
สุภาพบุรุษคนนี้มีดวงตาสีฟ้าเข้ม ใบหน้าหล่อเหลา ถึงจะมีผมสีขาวแซมก็ยังดูดี เพียงแค่อีกฝ่ายยิ้ม เบลินพลันรู้สึกได้ว่าใบหน้าของตนเริ่มร้อนผ่าว
“ม…มิสเตอร์ มีอะไรให้ดิฉันช่วยหรือคะ? ไม่สิ ดิฉันต้องเรียกคุณว่าอย่างไร” เบลินรีบลุกขึ้นทักทาย
“ดอน·ดันเตส” ไคลน์ยิ้มอ่อนโยน “ผมอยากจ้างพ่อบ้าน… ที่มีฝีมือ”
“มิสเตอร์ดันเตส ช่วยรอสักครู่ค่ะ กรุณานั่งลงก่อน” เบลินนำทางไคลน์มายังโซนรับแขก ก่อนจะชี้นิ้วไปที่โซฟาผ้า
ไคลน์ยิ้มอ่อน ไม่แสดงออกว่ารีบ ไม่กล่าวคำใด นั่งลงอย่างอดทน รอให้เจ้าหน้าที่นำรายชื่อพ่อบ้านมาให้เลือก
ช่างเป็นสุภาพบุรุษ… แย่ล่ะสิ เกือบลืมไปแล้วว่าเขามาที่นี่ทำไม! เบลินยกมือขึ้นมาแตะแก้ม
“มิสเตอร์ดันเตส คุณต้องการพ่อบ้านแบบไหนหรือ”
ไคลน์มีคำตอบในใจ กล่าวด้วยเสียงทุ้มนุ่มนวล
“ถ้าเคยรับใช้ตระกูลขุนนางมาก่อนจะดีมาก”
สิ่งนี้จะช่วยให้ดอน·ดันเตสขยายแวดวงทางสังคมออกไป
เบลินค่อยๆ ฟื้นฟูความเป็นมืออาชีพ พูดลงลึกรายละเอียด
“พ่อบ้านประเภทนี้หายากมาก คุณคงทราบดี ตระกูลขุนนางแทบไม่มีการเปลี่ยนตัวพ่อบ้าน เว้นเสียแต่จะทำงานบกพร่อง แต่ถึงจะถูกปลดจากตำแหน่งพ่อบ้าน ทางตระกูลก็ยังมอบหมายให้ดูแลส่วนอื่น… นอกจากนั้น นักธุรกิจที่ร่ำรวยเองก็ต้องการตัวพ่อบ้านในลักษณะเดียวกัน แถมยังพร้อมจ่ายค่าแรงราคาสูง… มิสเตอร์ดันเตส ทางเรามีพ่อบ้านในแบบที่คุณต้องการก็จริง แต่เงินเดือนของพวกเขาจะไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยปอนด์ต่อปี”
หมายความว่า ค่าจ้างรายสัปดาห์จะตกที่เกือบสองปอนด์… เงินเดือนประจำปีของพ่อบ้านทั่วไปจะอยู่ที่สี่สิบถึงแปดสิบปอนด์เท่านั้น หรือเทียบเท่าสิบห้าซูลต่อสัปดาห์ และหนึ่งปอนด์สิบซูลต่อสัปดาห์ ตามลำดับ… อาจฟังดูเป็นรายได้ที่น้อยเท่าแรงงานชำนาญการ แต่ในกรณีของพ่อบ้าน ผู้จ้างวานต้องจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกให้ด้วย เช่นห้องพัก อาหาร เสื้อผ้า ฟืนทำความร้อน เป็นต้น ตัวพ่อบ้านแทบไม่มีค่าใช้จ่าย… ค่าจ้างรายปีที่สูงกว่าหนึ่งร้อยปอนด์จึงนับว่าแพงมาก… ไคลน์รีบคำนวณราคาในใจ ตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ไม่มีปัญหา ขอเพียงเขาสามารถจัดการทุกๆ สิ่งได้ดี”
……………………………………………………
ราชันเร้นลับ 738 : ชีวิตเศรษฐี
โดย
Ink Stone_Fantasy
“รอสักครู่นะคะ… คุณจะรับกาแฟหรือชาดำดี?” เบลินถามอย่างกระตือรือร้น
ไคลน์ตอบพลางยิ้ม
“เมื่อตอนเด็ก ผมชอบกาแฟมากกว่า ชอบกลิ่นหอมเข้มๆ … แต่ตอนนี้ผมเพลิดเพลินไปกับรสของชาดำมากกว่า”
“ฉันเองก็ชอบชาดำ ถ้าอย่างนั้น… รับชาดำมาร์ควิสไหมคะ?” เบลินแนะนำด้วยรอยยิ้ม
ตามปรกติแล้ว กาแฟและชาดำที่ให้บริการโดย ‘สำนักงานจัดหาคนรับใช้ครัวเรือนแห่งมหานคร’ จะมีคุณภาพอยู่ในระดับล่างถึงปานกลาง แต่เบลินนำชาดำมาร์ควิสของตัวเองมาจากบ้าน
ไคลน์ไม่ใช่คนโง่ แถมยังมีความช่างสังเกตเป็นพื้นฐาน หลังจากเดินเข้าประตูสำนักงาน ชายหนุ่มแอบเก็บรายละเอียดสภาพแวดล้อมโดยไม่ให้ใครเห็น พบว่ากระป๋องบรรจุกาแฟและชาดำดูธรรมดามาก ค่อนข้างมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ด้านในคงไม่ได้เลิศเลอนัก ดังนั้น ไคลน์มองว่าชาดำมาร์ควิสอาจใช้เฉพาะในกรณีต้อนรับแขกพิเศษ หรือไม่ก็เป็นสมบัติส่วนตัวของหญิงสาวตรงหน้า แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน ชายหนุ่มพอจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้
โดยไม่ปิดบัง ไคลน์ยิ้มและพูด
“ขอบคุณมากครับ ผมคงปฏิเสธข้อเสนอนี้ไม่ลง… จะให้ผมเรียกคุณว่าอย่างไรดีครับ คุณผู้หญิง?”
“เบลิน เรียกแค่เบลินก็พอค่ะ” เบลินกล่าวด้วยรอยยิ้มอันเบ่งบานประหนึ่งบุปผา
หญิงสาวเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในห้อง บอกให้เพื่อนร่วมงานที่รับผิดชอบด้านข้อมูล ค้นหาบุคคลที่เหมาะสม จากนั้นก็เดินกลับออกมายังแผนกต้อนรับ หยิบกระป๋องกาแฟดีบุก ชงชาดำอย่างชำนาญ
เฮ่อ… ขอเพียงมีใบหน้าอันหล่อเหลา มาดสุขุม และการแต่งกายที่ภูมิฐาน ถึงจะอยู่ในวัยกลางคนก็ยังได้รับความสนใจจากสาวสวยสินะ… ไคลน์ที่เพิ่งเคยสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มตระหนักถึงความสำคัญของกฎเหล็กของผู้ไร้หน้าซึ่งระบุว่า ‘จะเป็นใครก็ได้ แต่อย่าลืมว่าเป็นตัวเอง’
หากไม่เคยทราบกฎนี้มาก่อน มัวหมกมุ่นอยู่กับรูปลักษณ์จอมปลอม คนเราจะไม่อยากเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าอื่น จนกระทั่งค่อยๆ หลงลืมตัวเองในอดีต!
โดยไม่ต้องรอนาน เบลินกลับมาพร้อมถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาวเลี่ยมทอง วางลงตรงหน้ามิสเตอร์ดอน·ดันเตส กล่าวพลางยิ้มอ่อน
“ทิ้งไว้สักพักก่อนนะคะ”
ไคลน์ก้มมองถ้วย กล่าวติดตลก
“เยี่ยมเลยครับ… ผมจะได้มีเวลาปรับอารมณ์ตัวเอง เพื่อให้สามารถลิ้มรสชาถ้วยนี้ได้อย่างลึกซึ้ง”
คำชมเชยและคำขอบคุณทางอ้อมของชายหนุ่มทำให้เบลินรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เกิดเป็นภาพจำที่ว่า มิสเตอร์ดันเตสคือสุภาพบุรุษตัวจริงเสียงจริง แถมยังปากหวาน
เขาต้องไม่ใช่ผู้ศรัทธาของเทพวายุสลาตันแน่… เบลินสางเส้นผมสีน้ำตาลยาวที่หยักศกตอนปลาย เดินกลับเข้าไปข้างในอย่างกระฉับกระเฉง กระตุ้นให้เพื่อนร่วมงานเร่งมือ
ผ่านไปไม่นาน เธอนำเอกสารติดตัวออกมาหนึ่งปึก นั่งลงบนโซฟาเดี่ยวข้างๆ ชายหนุ่มและกล่าว
“หลังจากคัดกรอง นี่คือพ่อบ้านที่เข้าข่ายจำนวนสามคน ดิฉันจะช่วยแนะนำตัวพวกเขาให้ก่อน… คนแรกคือมิสเตอร์แอสเนีย อายุห้าสิบห้าปี เคยรับใช้ไวเคาต์ยอร์กวีลล์ แต่ในเวลาต่อมา เนื่องจากการลงทุนในธุรกิจสำรวจแร่ของไวเคาต์ประสบความล้มเหลว เกิดวิกฤติการเงินภายในตระกูล ต้องขายที่ดินและไล่คนรับใช้ออกเป็นจำนวนมาก เขาก็เป็นหนึ่งในนั้น… ตลอดช่วงสิบปีหลัง มิสเตอร์แอสเนียได้รับการว่าจ้างจากเศรษฐีสองราย มีผลงานโดดเด่นด้านการบริหารจัดการครอบครัว”
ขณะเล่า ดวงตาสีน้ำตาลของเบลินกำลังสดใส ดูคล้ายดวงดาวสองดวง แผ่เสน่ห์อันร่าเริงราวกับเด็กสาวในวัยเยาว์
ไคลน์พยักหน้ารับ
“แล้วทำไมเศรษฐีทั้งสองถึกเลิกจ้างเขา”
เบลินยิ้ม
“เศรษฐีคนแรกตัดสินใจลงทุนเป็นจำนวนมากในไบลัมตะวันออก ถึงขั้นย้ายครอบครัวไปอยู่ที่นั่นกันหมด มิสเตอร์แอสเนียไม่อยากไปจากเบ็คลันด์ จึงขอลาออกด้วยตัวเอง ส่วนเศรษฐีคนที่สองมีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเพราะโรคประจำตัว จึงมอบธุรกิจให้บุตรชายสานต่อ โดยบุตรชายก็มีพ่อบ้านที่ไว้ใจมากกว่าอยู่แล้ว… มิสเตอร์แอสเนียนับถือเทพธิดารัตติกาล ทัศนคติด้านการเมืองเอนเอียงไปทางพรรคอนุรักษนิยม ค่าจ้างรายปีที่ต้องการคือหนึ่งร้อยสามสิบปอนด์”
“ขอให้เทพธิดาอวยพรเขา” ไคลน์ทำสัญลักษณ์สี่จุดบนหน้าอก วาดดวงจันทร์สีแดง
ดวงตาของเบลินลุกวาวเล็กน้อย ก่อนจะถาม
“มิสเตอร์ดันเตส คุณเองก็เป็นผู้ศรัทธาในเทพธิดาเหมือนกันหรือคะ”
“แน่นอนครับ” ไคลน์ยิ้มพลางพยักหน้า ไม่อธิบายเพิ่มเติม
สมแล้วที่มีบุคลิกอ่อนโยน! เบลินชื่นชมในใจ เล่าต่อ
“มิสเตอร์รีบัค อายุสี่สิบแปดปี เคยรับใต้ตระกูลนีแกน ทำงานเป็นรองพ่อบ้านมาอย่างยาวนาน รวมถึงผู้ช่วยพ่อบ้าน แต่ในภายหลังถูกโยกย้ายไปเป็นพ่อบ้านของบารอนซินดราส… ไม่นานหลังจากดยุคนีแกนถูกลอบสังหาร สัญญาของมิสเตอร์รีบัคหมดลงและบารอนซินดราสไม่ตัดสินใจขยายออกไป เขาจึงมาลงทะเบียนกับทางเรา… มิสเตอร์รีบัคเชื่อในเทพวายุสลาตันอย่างผิวเผิน ไม่มีปัญหาด้านอุปนิสัยส่วนตัว ทัศนคติทางการเมืองเอนเอียงไปทางพรรคอนุรักษนิยม ค่าจ้างรายปีที่ต้องการคือหนึ่งร้อยยี่สิบปอนด์”
ไคลน์ฟังอย่างเงียบงัน พยักหน้ารับเป็นครั้งคราว ไม่ขัดจังหวะเบลิน
เบลินพลิกหน้ากระดาษสองสามครั้ง
“คนที่สาม มิสเตอร์วอลเตอร์ อายุสี่สิบสองปี เคยทำงานเป็นคนดูแลคฤหาสน์และผู้ช่วยพ่อบ้านให้กับไวเคาต์คอนราด แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง เขาเกิดความขัดแย้งกับพ่อบ้าน จึงตัดสินใจลาออก ค่าจ้างรายปีที่ต้องการคือหนึ่งร้อยสิบห้าปอนด์… เขาศรัทธาเทพธิดารัตติกาล ทัศนคติทางการเมืองเอนเอียงไปทางพรรคหัวก้าวหน้า”
นายกเทศมนตรีคนใหม่ของเกาะโอลาวีก็มาจากตระกูลคอนราด ครอบครัวนี้สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อราชวงศ์… ไคลน์หวนนึกถึงข้อมูลที่สอดคล้อง
เสร็จการแนะนำตัว เบลินยื่นปึกเอกสารให้
“มิสเตอร์ดันเตส คุณจะเลือกใครหรือคะ”
ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก กล่าวพลางยิ้ม
“เอาแบบนี้เป็นไง… เก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้ ให้ทั้งสามคนมาแวะมายังที่พักของผม หลังจากได้พบปะพูดคุยกัน ค่อยตัดสินใจขั้นสุดท้าย”
ชายหนุ่มรู้ดีว่าสำนักงานทำนองนี้ไม่ได้ให้บริการที่พักกับพ่อบ้าน เป็นเพียงหน่วยงานคนกลาง ถึงตนจะเลือกใครไป แต่กว่าจะได้เจอกันก็ต้องรอถึงบ่ายวันพรุ่งนี้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ไคลน์จึงอยากจัดสัมภาษณ์เล็กๆ เพื่อตรวจสอบว่าใครเหมาะสมกับตน
“ตกลงค่ะ” เบลินยิ้มอ่อน “คุณพักอยู่ที่ไหนคะ?”
ไคลน์จิบชาดำ หยิบกระดาษและปากกาบนโต๊ะ เขียนที่ตั้งและชื่อของโรงแรมปัจจุบัน
“คุณ… เพิ่งย้ายมาอยู่เบ็คลันด์หรือคะ?” หลังจากได้อ่าน เบลินโพล่งคำถาม
เธอเพิ่งรู้ตัวเมื่อสาย มิสเตอร์ดันเตสมีผิวคล้ำกว่าปรกติเล็กน้อย คล้ายกับตากแดดมาเป็นเวลานาน ผิวพรรณหยาบกร้านนิดๆ
จริงด้วย… เขาไม่ได้พูดสำเนียงเบ็คลันด์… เบลินค่อยๆ พบรายละเอียด
ไคลน์ยิ้ม
“ผมมาจากอ่าวเดซีย์ กำลังรอให้พ่อบ้านมาช่วยเลือกที่พักและทีมคนรับใช้ที่เหมาะสม”
หลังจากจ่ายเงินมัดจำสามปอนด์ ชายหนุ่มจิบชาอีกครั้งอย่างสุภาพ ลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวคำอำลา
เบลินมาส่งที่ประตู ยืนมองอีกฝ่ายขึ้นรถม้า
มิสเตอร์ดันเตสน่าจะเป็นเศรษฐี… เมื่อผนวกเข้ากับนิสัยใจคอ ลักษณะการแต่งกาย และมาดของสุภาพบุรุษ ทุกสิ่งทำให้ยิ่งดูน่าสนใจ… เบลินยืนอยู่กับที่ ครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย
บนรถม้า ไคลน์หลับตาลงครึ่งหนึ่ง เอนตัวพิงพนัก อดไม่ได้ที่จะคำนวณค่าใช้จ่ายในอนาคต
ค่าจ้างพ่อบ้านตกปีละหนึ่งร้อยยี่สิบปอนด์… บุรุษรับใช้กลางๆ หนึ่งคน ตกราวสามสิบห้าปอนด์… พ่อครัวสามสิบปอนด์ คนสวนยี่สิบห้าปอนด์ คนขับรถม้ายี่สิบห้าปอนด์ พยาบาลประจำบ้านยี่สิบปอนด์ แม่บ้านทั่วไปสามคน สิบห้าปอนด์ สาวใช้ทั่วไปสามคน สิบปอนด์… เบ็ดเสร็จ ลำพังค่าแรงคนรับใช้อย่างเดียวก็ตกปีละสามร้อยสามสิบปอนด์ เทียบเท่าหกปอนด์กับอีกเจ็ดซูลต่อสัปดาห์ มากกว่ารายได้ของเราสมัยยังอยู่ทิงเก็น…
นอกจากนั้น เราต้องมีรถม้า ราคาน่าจะตกราวหนึ่งร้อยปอนด์… ต้องการบ้านที่มีสวน ค่าเช่ารายสัปดาห์อีกเกือบสองปอนด์ เมื่อรวมกับค่าอาหาร เสื้อผ้า ถ่านฟืน และค่าจิปาถะสำหรับคนรับใช้ ค่าใช้จ่ายโดยรวมจะถือว่าสูงมาก…
วิถีชีวิตของคนรวยสินะ…
ไคลน์เริ่มนึกเสียใจที่ตนเลือกปลอมตัวเป็นบทบาทนี้
ชายหนุ่มหายใจออก สลัดความกังวลไว้เบื้องหลัง นั่งรถมาไปยังถนนเฟลป์ที่อยู่ในเขตเหนือ
ที่นั่นมีวิหารสีดำบริสุทธิ์ เหนือวิหารเป็นหอระฆังฝั่งละหอ นำเสนอความงดงามแบบสมมาตร – เป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากสำนักงานใหญ่ของโบสถ์เทพธิดารัตติกาลประจำมุขมณฑลเบ็คลันด์ มหาวิหารนักบุญแซมมวล
ไคลน์ขยับผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อฝั่งซ้าย ถือไม้ค้ำเลี่ยมทองย่างกรายเข้าไปในวิหาร ผ่านทางเดินอันเงียบสงบ และท่ามกลางแสงแดดที่สองผ่านกระจกหลากสีด้านบน ไคลน์เดินเข้ามาถึงโถงสวดมนต์หลัก
ภายในนี้มืดมาก มอบความรู้สึกสุขสงบแก่ผู้คน ไคลน์เลือกที่นั่งแบบสุ่ม วางพิงไม้ค้ำ ถอดหมวก หลับตาสวดวิงวอนอย่างตั้งใจ
เมื่อเวลาล่วงเลย ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างไม่รีบร้อนหลังจากฟังเทศนาจบ เดินไปยังแท่นบูชา ทำความเคารพบิชอปผมสั้นสีดำ ก่อนจะเดินไปยังกล่องบริจาคที่ตั้งอยู่ด้านข้าง
หายใจเข้าออกแผ่วเบา ไคลน์หยิบธนบัตรสิบปอนด์ออกมาสองใบ ธนบัตรห้าปอนด์หกใบ หย่อนใส่ทีละใบ
เมื่อเห็นฉากดังกล่าว ดวงตาของบิชอปผมสั้นพลันอ่อนโยน
ตามปรกติแล้ว หากไม่ใช่การเรี่ยไรเงินหรือการบริจาคหลังความตาย กล่องรับบริจาคแทบไม่เคยได้เงินเกินกว่าคราวละสิบปอนด์
นั่นหมายความว่า ชายคนนี้เป็นเศรษฐี! เป็นคนร่ำรวย!
……………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น