Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 735-736
ราชันเร้นลับ 735 : สำรวจอีกครั้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชารอนเงียบงันสองสามวินาที
“ไว้ฉันจะช่วยถามให้”
ตัวเธอเองก็ไม่เอาหรือ? นั่นสินะ ผลข้างเคียงของ ‘ตาชั่งโชคชะตา’ คงทำให้ใครหลายคนลังเล… แต่ขวดพิษชีวภาพนั้นเข้ากันได้ดีมากกับวิญญาณอาฆาต หากไม่ใช่เพราะเราร้อนเงิน และการพกติดตัวทำให้ป่วยไข้ได้ง่าย เราคงไม่ตัดใจขายทิ้ง… มันถือเป็นอาวุธที่มีประโยชน์มากสำหรับปฏิบัติการซุ่มโจมตี! ไคลน์พอจะเดาเจตนาของชารอนออก จึงเหน็บสร้อยคอเงินแท้และจี้เหรียญโบราณกลับเข้าไปในคอเสื้อ
ชายหนุ่มถามหลังจากใคร่ครวญ
“พลังที่ทำให้วัตถุไร้ชีวิตรอบๆ ตัวโจมตีเป้าหมายได้เอง เป็นของผู้วิเศษครึ่งเทพลำดับใดบนเส้นทางนักโทษ?”
“หุ่นกระบอก” ชารอนตอบห้วน
พลังของลำดับ 4 หุ่นกระบอก? เปลี่ยนตัวเองให้เป็นหุ่นกระบอกและควบคุมวัตถุไร้ชีวิตทั้งหมดภายในรัศมีรอบตัว? ถ้าอย่างนั้น หากพัฒนาลำดับขึ้นไปอีก จะมีพลังในการควบคุมสมบัติวิเศษของศัตรูด้วยไหม? ไคลน์พยักหน้ารับ
“คุณรู้จักครึ่งเทพแบบนั้นบ้างไหม”
ชายหนุ่มเริ่มอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับชายชราที่ทำร้ายตนในป่าด้านนอกเมืองบายัม
“แจ็คส์” ชารอนเอ่ยชื่ออย่างใจเย็น
อันที่จริง ผมอยากได้รายละเอียดมากกว่านี้… ไคลน์ย่อมทราบสไตล์การสนทนาของชารอน จึงทำเพียงยิ้ม
“แล้วคุณรู้จักซัตทเวนไหม”
นี่คือชื่ออาจารย์ของหัวหน้านิกายกายาสวรรค์บนเกาะโอลาวี
“ครึ่งเทพที่กำลังตามล่าพวกเรา” ชารอนในสภาพคล้ายตุ๊กตา ตอบกลับโดยปราศจากอารมณ์หรือการปกปิด
แจ็คส์สินะ… หมอนั่นเป็นคนแรกที่ทำให้เรารู้สึกว่า เก้าอี้ โต๊ะ และผ้าม่านรอบตัวพร้อมจะฆ่าเราได้ทุกเมื่อ… ช่างบังเอิญอะไรขนาดนี้… แต่ก็ทำให้เราได้ทราบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ถูกชักนำโดยใครบางคน… กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้แต่โรงเรียนกุหลาบที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ก็ยังถือครองครึ่งเทพไว้ไม่มาก… จำนวนใกล้เคียงกับชุมนุมแสงเหนือ ระดับนักบุญมีประมาณห้าคน เทวทูตสองถึงสาม และสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ก็สองถึงสามเช่นกัน… แน่นอน นี่เป็นเพราะการกวาดล้างอย่างหนักของเจ็ดโบสถ์หลัก บีบให้ฐานใหญ่ขององค์กรต้องซ่อนอยู่ในเกาะอาณานิคมห่างไกล หากเป็นในยุครุ่งเรือง พวกมันต้องถือครองพลังอำนาจมากกว่านี้แน่… ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ตั้งคำถาม
“แล้วคุณรู้จักสมาชิกที่สามารถทำให้ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนได้ด้วยแขนข้างเดียวไหม?”
ชายหนุ่มต้องการอธิบายลักษณะของแขนอย่างละเอียด แต่ลืมไปว่าตนเอาแต่หวาดกลัวจนไม่กล้ามอง
ชารอนที่นั่งฟังอย่างเงียบงัน พลันดวงตาเบิกโพลงราวกับมีชีวิตกะทันหัน ถามด้วยเสียงกระจ่างใส
“คุณไปเจออะไรมากันแน่?”
ไม่มากเท่าไร… ก็มีนักบุญ เทวทูต เจ้าสมุทร ครึ่งเทพของชุมนุมแสงเหนือ สัตว์ประหลาดที่เป็นผลผลิตของนิกายวิญญาณ… ไคลน์จิกกัดตัวเองในใจ เผยรอยยิ้มจางๆ
“ผมดันไปทำให้มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายไม่พอใจ จึงถูกโรงเรียนกุหลาบซุ่มโจมตี โชคดีที่อยู่ใกล้บายัม กองทัพและโบสถ์วายุสลาตันจึงเข้ามาพัวพันในเหตุการณ์ และเมื่อผมโยนวัตถุที่ปนเปื้อนกลิ่นอายของพระผู้สร้างแท้จริง กับวัตถุบางอย่างของนิกายวิญญาณไปยังใจกลางการปะทะ ความโกลาหลพลันก่อตัวขึ้นชั่วคราว ผมจึงฉวยโอกาสดังกล่าวหลบหนี”
ชายหนุ่มเล่าความจริงทุกอย่าง เพียงปกปิดตัวตนของมิสผู้ส่งสารและมิสเตอร์อะซิก ในส่วนของพระผู้สร้างแท้จริง ชารอนเคยเห็นมาแล้วหลายครั้งว่าตนสามารถต้านทานอิทธิพลจากเสียงเพรียกได้ดีกว่าคนทั่วไป และมักฟื้นคืนสติกลับมาได้เร็วเสมอในยามคับขัน
“มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย…” ชารอนพึมพำชื่อ ดวงตาสีฟ้าเผยความสั่นไหวทางอารมณ์ที่หาพบได้ยาก
ไคลน์ไม่มีพลังในการถอดรหัสสีหน้าเหมือนกับ ‘ผู้ชม’ จึงไม่สามารถระบุอารมณ์ที่ถูกต้องของอีกฝ่าย ทราบเพียงรางๆ ว่าเธอค่อนข้างหวาดกลัวและขยะแขยง
ชารอนคืนสภาพปรกติอย่างรวดเร็ว กลายเป็น ‘ตุ๊กตา’ ที่สง่างามน่าหลงใหล
หญิงสาวจ้องเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ฝั่งตรงข้าม
“คุณโชคดีมาก… แถมยังลึกลับมากด้วย”
ไคลน์ยิ้มโดยไม่กล่าวคำใด ไม่โกหก และไม่อธิบาย
ชารอนไม่ซักไซ้ หันไปด้านข้างและพูด
“ที่คุณได้เจอน่าจะเป็นเซียอา ท่านคือ ‘เทพหายนะ’ ที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อเก้าร้อยยี่สิบสองปีก่อน อ้างตนว่าเป็นบุตรแห่งเทพผู้ถูกล่าม ขณะเดียวกันก็เป็นผู้นำคนปัจจุบันของโรงเรียนกุหลาบ”
บ้าน่า… แค่จะจัดการกับเรา โรงเรียนกุหลาบถึงกับต้องส่งผู้นำและครึ่งเทพมาด้วยตัวเอง… ทางนี้เป็นแค่ผู้วิเศษลำดับ 5 ตัวเล็กๆ เท่านั้น! ถ้าไม่ใช่เพราะ ‘แสงส้ม’ ฮิลลาเรี่ยนช่วยเตือนล่วงหน้า เกรงว่าเราคงถูกโรงเรียนกุหลาบจับตัวไปแล้ว… ไคลน์รู้สึกหวาดกลัวจากก้นบึ้ง ถามโดยไม่หันไปมอง
“เทพหายนะคือชื่อของลำดับที่เท่าไรบนเส้นทางนักโทษ? หนึ่งหรือสอง?”
“ไม่แน่ใจ” ชารอนไม่ยืนยัน
ทันใดนั้น โดยไม่รอไคลน์ตอบสนอง เธอเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา
“ถนนวิลเลียมส์พังพินาศไปแล้ว”
เมื่อได้ยินคำถาม ไคลน์เริ่มครุ่นคิดว่าตนควรตอบสนองอย่างไร ทำได้เพียงขมวดคิ้วเป็นเวลานาน
“ฝีมือใคร ตอนไหน?”
“เหยี่ยวราตรีและจิตแห่งจักรกล ผ่านมานานกว่าสองเดือนแล้ว” เห็นได้ชัดว่าชารอนสืบข้อมูลมาแล้วเสร็จสรรพ
ไคลน์พยักหน้าขึงขัง ครุ่นคิดสักพักจึงกล่าว
“บางที เราอาจมองข้ามบางสิ่งไป… วิญญาณมารตนนั้นไม่จำเป็นต้องรอให้เราไปช่วย แต่มันสามารถควบคุมบาโรเน็ตพาวน์ให้ลงมือทำอะไรบางอย่าง! เจ้านั่นอาจเป็นต้นตอที่คอยกระตุ้นความสนใจของเหยี่ยวราตรีและจิตแห่งจักรกล?” ไคลน์กึ่งเดากึ่งใช้เหตุผล น้ำเสียงขาดความมั่นใจ
ชารอนพยักหน้า
“บาโรเน็ตพาวน์เสียชีวิตอย่างกะทันหันหลังจากจบงานเลี้ยงหนึ่ง”
นี่ก็เป็นแผนของมัน? สายเลือดสุดท้ายของอลิสต้า·ทูดอร์ถูกทำลายแล้ว? ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก
“ตอนนี้สถานการณ์บนถนนวิลเลียมส์เป็นยังไงบ้าง”
“กำลังมีการก่อสร้างอาคารสูง” ชารอนกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “ตอนแรกยังมีคนคอยแอบสอดส่อง แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ ลดลงจนตอนนี้ไม่เหลือแล้ว”
ไคลน์ไตร่ตรองสองสามวินาที
“คุณเคยลงไปสำรวจบ้างหรือยัง”
ชารอนกวาดตาไปทั่วใบหน้าชายหนุ่ม
“ยัง”
หรือว่าเธอยังรักษา ‘กฎที่ไม่ถูกเขียนไว้’ ของพวกเรา? : ในเมื่อเจอด้วยกัน ก็ต้องสำรวจด้วยกันทุกครั้ง! ช่างเป็นสตรีที่มีจิตใจสูงส่ง… ฝ่าย ‘ระงับแรงปรารถนา’ ของโรงเรียนกุหลาบดีกว่าอีกฝั่งไม่รู้ตั้งกี่เท่า! ไคลน์ถามอย่างไม่แน่ใจ
“จะไปกันเลยไหม?”
“ดี” ชารอนไม่สงวนท่าที
ไคลน์สั่งให้คนขับรถม้าเลี้ยวแยกหน้าทันที ตรงไปยังถนนวิลเลียมส์ที่ตั้งอยู่ระหว่างเขตราชินีและเขตตะวันตก
ระหว่างทาง ชายหนุ่มเล่าเรื่องที่ได้พบเจอในทะเลและประสบการณ์อื่นๆ ที่ไม่เปิดเผยความลับตัวเอง แม้ว่าชารอนจะไม่ตอบสนองมากนัก แต่กิริยาท่าทางก็ยังบ่งบอกว่าตั้งใจฟัง ค่อนไปทางสนใจ
ฉากตรงหน้าทำให้ไคลน์หวนนึกถึงครั้งที่ได้พบมิสบอดี้การ์ด เธอกำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูงในกระจกมุขหน้าต่าง ใช้มือขวาเท้าแก้ม ตั้งใจฟังบทสนทนาของตนกับเอียน ทำตัวเป็นผู้ชมที่เก่งฉกาจ
รถม้าแล่นไปบนถนนอันเงียบสงัดโดยมีสายฝนโปรยปราย จนกระทั่งมาถึงถนนวิลเลียมส์
ยังไม่ทันจะเข้าไปลึก ไคลน์และชารอนได้พบกับเขตก่อสร้างขนาดใหญ่
ทั้งคู่อ้อมไปทางด้านหลังของตำแหน่งที่ตรงกับซากอาคารใต้ดิน จนกระทั่งเดินมาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งมีใบหนาแน่น ไคลน์หันไปกล่าวกับชารอนที่ตัวไม่เปียกฝนทั้งที่ไม่ได้ถือร่ม
“เราจะลงไปจากตรงนี้”
เม็ดฝนโปรยปรายทะลุผ่านเส้นผมสีทองและเรือนร่างของชารอนโดยไม่สัมผัสสิ่งใด เพียงกระทบกับพื้นดิน
“ตกลง” ชารอนไม่ถามว่าเชอร์ล็อกจะลงไปด้วยวิธีใด
ไคลน์สอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ สลายกำแพงวิญญาณ เปิดกล่องบุหรี่โลหะ
ทันใดนั้น ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านข้างชายหนุ่ม เป็น ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลที่สวมเสื้อแจ็คเก็ตสีแดงเข้มและหมวกสามมุมทรงโบราณ
“เขาจะลงไปแทนผม” ไคลน์พูดพลางยิ้ม
จากนั้น มันบังคับหุ่นเชิดอย่างใจเย็น
‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลกดมือลงบนหน้าอก โค้งคำนับชารอน
“สายัณห์สวัสดิ์ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับคุณ”
ชารอนมองไปมาระหว่างเซนอลและไคลน์ โดยไม่กล่าวคำใด ร่างกายหญิงสาวดำดิ่งอย่างรวดเร็ว ลงไปในพื้นโคลนเปียกๆ
หืม… ดูเหมือนว่าชารอนจะเกลียดเซนอล… ไคลน์อมยิ้ม รีบเปลี่ยนให้พลเรือเอกโลหิตกลายเป็นวิญญาณอาฆาต ดำดิ่งตามลงไป
สำหรับร่างหลัก ชายหนุ่มยืนหลบหลังต้นไม้ใหญ่ด้วยดวงตาที่ปิดลงครึ่งหนึ่ง เพ่งสมาธิควบคุมหุ่นเชิดอย่างตั้งใจ รอบตัวไม่มีใคร มีเพียงฝนตกปรอยๆ และแสงไฟสลัวจากถนน
ทีละเล็กละน้อย ไคลน์เริ่มสัมผัสความรู้สึกของนักเชิดหุ่น
วิสัยทัศน์ของชายหนุ่มกับเซนอลซ้อนทับกัน เริ่มมองเห็นดินสีน้ำตาลเข้มและแมลงชอนไชตามซอกหิน
หลังจากผ่านสิ่งกีดขวางมากมาย ‘ไคลน์’ และชารอนมาถึงในจุดเดิมที่มีซากอาคารใต้ดิน สภาพค่อนข้างยับเยิน เสาหินหักโค่น หลายจุดเต็มไปด้วยดินและกรวด บางจุดหายไปโดยสมบูรณ์
ฉากดังกล่าวทำให้ไคลน์เชื่อว่า เทวรูปของหกเทพคงถูกทำลายไปแล้ว
เรื่องที่โชคดีก็คือ ตำแหน่งปัจจุบันของ ‘ไคลน์’ และชารอนค่อนข้างใกล้กับห้องที่วิญญาณมารถูกผนึก กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในภารกิจสำรวจคราวนี้ ชายหนุ่มไม่ต้องกังวลว่าระยะการควบคุมหุ่นจะเกิดขีดจำกัดหนึ่งร้อยเมตร
ท่ามกลางกลิ่นดินและกลิ่นเหม็นเน่า ชารอนและหุ่นเชิดของไคลน์ รีบเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยอันตรายเมื่อคราวก่อน ทว่า ท่ามกลางกองกรวดและดิน ด้านในมีเพียงกองกระดูกจำนวนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อผ้าอยู่ แต่ประกายแวววาวสีทองเข้มและสีน้ำเงินเข้มที่เคยพบในคราวก่อน ยามนี้อันตรธานหายไปอย่างสมบูรณ์
ตะกอนพลังถูกเหยี่ยวราตรีหรือไม่ก็จิตแห่งจักรกลเก็บไป? ใบหน้าเซนอลกระตุกเล็กน้อย สะท้อนอารมณ์ปัจจุบันของไคลน์
ชารอนหันไปมองในที่มืดพลางส่ายหน้า
“พวกเขาไม่ได้ส่งคนเข้ามา… ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตเคยผ่านเข้าออกห้องนี้”
นั่นสินะ… หากมีคนเคยเข้าออกห้องภายในครึ่งปี วิญญาณอาฆาตน่าจะสัมผัสถึงร่องรอยได้… นอกจากนั้น แถวนี้ยังไม่มีกลิ่นอายของครึ่งเทพจากจิตแห่งจักรกลและเหยี่ยวราตรีหลงเหลืออยู่… แล้วตะกอนพลังหายไปไหน? ไคลน์ขมวดคิ้ว สืบเนื่องให้เซนอลทำแบบเดียวกัน
แล้ววิญญาณมารตนนั้นล่ะ? ถูกจำกัดไปแล้ว? หรือหนีออกไปได้นานแล้ว? ยิ่งครุ่นคิด ไคลน์ก็ยิ่งตื่นตัว
ชายหนุ่มข่มอารมณ์ ปล่อยให้เซนอลลอยตามชารอนผ่านห้องที่เต็มไปด้วยดินและกรวด มาถึงจุดที่มีประตูเปื้อนเลือดตั้งเด่นตระหง่าน ปัจจุบันเหลือเพียงร่องรอยแค่ไม่กี่อย่างที่บ่งชี้ว่าอีกฝ่ายเคยมีตัวตนอยู่
บินต่อไปอีกไม่กี่เมตร ชารอนและ ‘ไคลน์’ เข้าไปในห้องที่วิญญาณมารเคยถูกผนึก
แม้แต่ที่นี่ก็ยังถูกทำลายและมีดินถล่มฝัง ไคลน์ใช้ร่างกายและดวงตาของเซนอลค้นหาเบาะแสขณะสำรวจรอบๆ
“ตรงนี้น่าจะเคยเป็นตำแหน่งของเก้าอี้พนักสูงสีดำ” ชารอนหยุด ชี้ไปยังเศษไม้ระหว่างหินสองก้อน
ทันใดนั้น ไคลน์พลันจดจำฉากที่เคยเห็นในความฝันได้ ชายคนหนึ่งซึ่งสงสัยว่าจะเป็นเมดีซี กำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูงในสภาพศีรษะก้มต่ำ ราวกับเสียชีวิตไปแล้ว
ชารอนไม่หยุดสำรวจ ลอยไปยังจุดที่มีดินหนาแน่นเพื่อมองหาร่องรอยอื่นๆ จนกระทั่งเปิดปากพูดอีกครั้ง
“ตรงนี้ก็น่าจะมีเหมือนกัน”
อีกหนึ่งตัว…? เก้าอี้พนักสูงสีดำตัวที่สอง? ‘ไคลน์’ ลอยตัวกลางอากาศด้วยสีหน้าตกตะลึง
ราชันเร้นลับ 736: เก้าอี้สามตัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
เซนอล วิญญาณอาฆาตที่ไคลน์กำลังควบคุม ทะลวงผ่านชั้นดินและกรวดหนามาอยู่ฝั่งเดียวกับชารอน ภาพตรงหน้าคือที่วางแขนของเก้าอี้ซึ่งอยู่ในสภาพแตกหัก สลักลวดลายไม่สมมาตร แม้จะค่อนข้างคล้าย แต่ก็ยังแตกต่างกับเศษไม้ที่พบเมื่อครู่
พี่วางแขนอันนี้มีสีดำ แต่ไม่ใช่ดำบริสุทธิ์ ลวดลายสีแดงเข้ม ราวกับนำเลือดและเหล็กมาหลอมรวมกัน
เมื่อหวนนึกถึงฉากจากฝันร้ายในอดีต ไคลน์ยืนยันว่านี่ไม่ใช่เก้าอี้พนักสูงที่เมดีซีเคยนั่ง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันคือเก้าอี้ตัวที่สอง!
ในห้องที่วิญญาณมารถูกผนึกไว้ มีเก้าอี้พนักสูงอย่างน้อยสองตัว!
ทั้ง ‘ไคลน์’ และชารอนไม่กล่าวสิ่งใด แยกกันสำรวจรอบๆ เพื่อมองหาร่องรอยใหม่
ผ่านไปสักพัก พวกเขาพบหลักฐานที่บ่งชี้ว่ามีเก้าอี้พนักสูงตัวที่สามอยู่ด้วย!
เป็นขาเก้าอี้สีแดงเข้ม ลวดลายสีดำบริสุทธิ์ แตกต่างจากเศษไม้สองชนิดก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง
“บางที อาจเป็นเพราะยุคสมัยที่สี่นิยมความไม่สมมาตร” ไคลน์รู้ว่าชารอนมักไม่ชวนคุยก่อน จึงลองเสนอแนวคิดที่แม้แต่ตัวเองก็เชื่อไม่ลง
ภายในฝันร้ายที่เกิดจากฝีมือวิญญาณมาร เก้าอี้พนักสูงตัวนั้นมีเนื้อไม้สีเดียวกันทุกส่วน!
ชารอนส่ายหน้า
“…สามตัว ฟังดูสอดคล้องกับพิธีกรรมมากกว่า”
เธอกำลังหมายความว่า ในพิธีกรรมที่ ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์ประกอบขึ้นเพื่อสังหารผู้บริสุทธิ์ เหยื่อไม่ได้มีเพียงหนึ่ง และเหตุการณ์น่าจะเกิดขึ้นภายในห้องที่วิญญาณมารถูกผนึก
ไคลน์สะดุ้งเล็กน้อย ภาพหนึ่งสว่างขึ้นมาในความคิด
ท่ามกลางห้องมืดที่กว้างขวาง เก้าอี้พนักสูงสามตัวที่แตกต่างกัน ถูกจับหันหน้าชนกันเป็นวงกลมในจุดหนึ่ง บนเก้าอี้แต่ละตัวมีร่างไร้ชีวิตของมนุษย์นั่งอยู่ในสภาพศีรษะก้มต่ำ หนึ่งในนั้นคือ ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซี
เมื่อฉากดังกล่าวชัดเจนขึ้น ไคลน์เริ่มนึกถึงอีกสองข้อมูลสำคัญ
วัตถุดิบหลักของโอสถลำดับ 0 ‘จักรพรรดิมืด’ จะประกอบไปด้วย ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางหนึ่งชิ้น และตะกอนพลังของลำดับ 1 อีกสองชิ้น (ไม่รวมของตัวเอง)
ดูเหมือนว่า ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์จะถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนจากลำดับ 1 ‘องค์ชายวิปลาส’ ของเส้นทางจักรพรรดิมืด ไปเป็นลำดับ 0 ‘นักบวชสีชาด’ ของเส้นทางที่ไม่ใกล้เคียงกัน ทำให้ต้องกลายเป็นเทพกึ่งเสียสติ!
ท่ามกลางความคิดมากมาย ไคลน์สรุปผลอย่างรวดเร็ว
ห้องนี้เคยเป็นสถานที่เลื่อนขั้นของลำดับ 0… มีการประกอบพิธีกรรมที่เปลี่ยนให้เทวทูตกลายเป็นเทพที่แท้จริง!
แน่นอน อ้างอิงจากพิธีกรรมอันซับซ้อนของจักรพรรดิมืด พิธีกรรมในห้องคงเป็นเพียงการปรุงยาและดื่มโอสถ เพราะเส้นทางที่เป็นตัวแทนของ ‘สงคราม’ ย่อมต้องมีพิธีกรรมใหญ่ซึ่งเกี่ยวข้องกับความโกลาหลและการต่อสู้ระดับทวีป
เนื่องจาก ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์ไม่มีตะกอนพลังของลำดับ 1 ในเส้นทางของตัวเอง… จึงต้องหันไปปรุงโอสถ ‘นักบวชสีชาด’ แทน… เพื่อการนั้น อลิสต้า·ทูดอร์ต้องใช้เทวทูตลำดับ 1 จำนวนสามคนหรือสมบัติปิดผนึกที่เกี่ยวข้องเป็นวัตถุดิบหลัก… นั่นคือเหตุผลว่าทำไมห้องนี้ถึงมีเก้าอี้พนักสูงอยู่สามตัว!
ไม่ผิดแน่… วิญญาณมารที่ต้องสงสัยว่าจะเป็น ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซีเคยกล่าวไว้ว่า วิธีที่จะคลายผนึกให้มันได้คือการค้นหาทายาทสายเลือดบริสุทธิ์ของตระกูลเซารอน ไอน์ฮอร์น และเมดีซี จากนั้นก็นำเลือดของแต่ละตระกูล คนละสิบมิลลิลิตร มาผสมกับน้ำศักดิ์สิทธิ์… ตระกูลเซารอนและไอน์ฮอร์นล้วนครอบครองเส้นทาง ‘นักล่า’ หรืออีกชื่อหนึ่งคือนักบวชสีชาด ปกครองทวีปมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สี่ แต่ปัจจุบันมีหนึ่งตระกูลเริ่มเสื่อมถอย ควบคุมได้เพียงหน่วยข่าวกรองของอินทิสและทหารบางกลุ่ม ส่วนอีกหนึ่งตระกูลยังคงปกครองจักรวรรดิฟุซัคในฐานะราชวงศ์… หลังจากความคิดมากมายแล่นผ่าน สิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้องนี้ทำให้ไคลน์ผุดสมมติฐานใหม่เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของวิญญาณมาร
บนเก้าอี้พนักสูงอีกสองตัว เหยื่อทั้งสองคือบรรพบุรุษของตระกูลเซารอนและไอน์ฮอร์น เทวทูตลำดับ 1!
เมื่อรวมเข้ากับ ‘เทวทูตสงคราม’ เมดีซีซึ่งมีแนวโน้มจะถือครอง ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทาง วัตถุดิบหลักสำหรับการปรุงโอสถ ‘นักบวชสีชาด’ จึงครบถ้วนสมบูรณ์!
และวิญญาณมารดังกล่าวคงไม่ใช่แค่ ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซีเพียงตนเดียว แต่ยังรวมถึงเศษเสี้ยวของวิญญาณและความเกลียดชังจากบรรพบุรุษตระกูลเซารอนและไอน์ฮอร์นด้วย!
ให้ตายสิ… ที่นี่เคยมีการสังเวยเทวทูตถึงสามตน! หมายความว่า คำสาปแช่งก่อนตายของพวกมันทำให้ห้องนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ชวนให้อึดอัด นอกจากนั้น ผลของพิธีกรรมยังผนึกห้องไว้โดยสมบูรณ์ ทำให้วิญญาณมารออกไปไม่ได้? โชคดีที่เราแจ้งให้โบสถ์หลักทราบ พวกเขาจึงมาจัดการถล่มให้แทน ไม่อย่างนั้น หากพึ่งพาเพียงฝีมือของตัวเอง ต่อให้เรากับชารอนเป็นลำดับ 4 ทั้งคู่ แต่ก็อาจต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ กลายเป็นอาหารของวิญญาณมาร… ไคลน์รู้สึกหวาดหวั่น แต่ลึกๆ ก็เจือความยินดี
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจถึงเหตุผลที่ไพ่ ‘นักบวชสีชาด’ ตกอยู่ในมือวิญญาณมาร เป็นเพราะดวงวิญญาณลำดับ 1 ทุกคนบนเส้นทางถูกฝังอยู่ในซากอาคารแห่งนี้ กฎแรงดึงดูดของเส้นทางจึงชักนำไพ่เย้ยเทพเข้ามาหาด้วยอำนาจอันแรงกล้า
นอกจากนั้น จักรพรรดิโรซายล์ยังเคยกล่าวไว้ว่า ทุกสิ่งที่แยกจากกันจะต้องมาบรรจบกันในสักวัน และสิ่งที่รวมกันจะต้องแยกจากกันในสักวัน… หลังจาก ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์ร่วงหล่น ตะกอนพลังของเทพแท้จริงก็ควรจะแบ่งออกเป็นสี่ส่วน…
ส่วนแรกคือ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทาง เป็นได้ทั้งนามธรรมและวัตถุ ส่วนที่เหลือคือตะกอนพลังของลำดับ 1 จำนวนสามก้อน… เป็นเหตุผลว่าทำไม เมื่อใครบางคนกลายเป็นเทพ เส้นทางเดียวกันจะขาดแคลนผู้วิเศษลำดับ 1 โดยปริยาย…
อย่าบอกนะว่า… มีตะกอนพลังราวหนึ่งถึงสองก้อนของลำดับ 1 เส้นทางนักบวชสีชาด ถูกวิญญาณมารดึงดูดเข้ามาในห้องปิดตายนี้ด้วย? และเป็นสาเหตุที่ไพ่เย้ยเทพในเส้นทางเดียวกันยิ่งถูกดึงดูดเข้ามาได้ง่าย! เมื่อเริ่มค้นพบความจริง ไคลน์เพิ่งตระหนักว่าตนดูแคลนวิญญาณมารตนดังกล่าวเกินไป
สมกับเป็นเทวทูตที่พัฒนามาจาก ‘นักวางแผน’ … ไคลน์ที่ยืนใต้ต้นไม้ บังคับให้เซนอลกล่าว
“ที่นี่น่าจะมีพิธีกรรมเกิดขึ้น… และถ้าเกี่ยวข้องกับ ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์ ระดับของพิธีกรรมต้องสูงมากแน่”
ชารอนฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะกล่าวเสริม
“เซารอน ไอน์ฮอร์น เมดีซี”
นั่นสินะ… แม้แต่มาดามชารอนก็ยังสงสัยว่า บุคคลผู้เคยนั่งบนเก้าอี้ทั้งสามตัว น่าจะเป็นเทวทูตที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำขอร้องของวิญญาณมาร… ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก บังคับให้เซนอลขยับปาก
“ ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์คือเทพแห่งเส้นทางนักล่า… ไพ่เย้ยเทพที่เกี่ยวข้องจึงเป็นนักบวชสีชาด”
ชารอนเงียบงันสองสามวินาที คล้ายกับเข้าใจบางสิ่ง
“ไพ่ใบนั้นไม่อยู่แล้ว”
เธอหมายถึงไพ่นักบวชสีชาดที่วิญญาณมารเคยแสดงให้ดู
“บางที… วิญญาณมารคงหนีออกไปก่อนที่เหยี่ยวราตรีและจิตแห่งจักรกลจะลงมือทำลายที่นี่” ไคลน์กล่าวในสิ่งที่ตนคาดเดา “ขณะเดียวกันก็นำตะกอนพลังทั้งหมดรวมถึงไพ่นักบวชสีชาดติดตัวไปด้วย”
ชารอนมองไปรอบตัว หันจนครบครึ่งวงกลม
“มันฉลาดมาก… แถมยังเจ้าเล่ห์… ไม่เหลืออะไรทิ้งไว้เลย”
นั่นสินะ… แต่น่าแปลก ตะกอนพลังจำนวนสองก้อนในห้องด้านนอกไม่น่าจะถึงลำดับ 4 ด้วยซ้ำ วิญญาณมารที่เคยเป็นราชาเทวทูตอย่างมันไม่น่าจะแยแส ไพ่นักบวชสีชาดก็เหมือนกัน… ยังพอจะเข้าใจได้ถ้ามันหยิบติดตัวไปสักอย่างสองอย่าง แต่ทำไมถึงไม่เหลืออะไรไว้เลย? ราวกับกำลังพูดว่า ‘ฮ่าฮ่า! คิดว่าข้าตายไปแล้วใช่ไหมเจ้าโง่! ข้าหนีออกไปได้สำเร็จต่างหาก! แน่จริงก็ตามจับให้ได้สิ!’ … หรือนี่จะเป็นข้อความที่มันจงใจทิ้งไว้เยาะเย้ยพวกเรา? เจตนาให้รู้ว่ายังไม่ตาย… ไคลน์ครุ่นคิด ก่อนจะบังคับให้เซนอลกล่าวติดตลก
“ผิดแล้ว… การที่ไม่เหลืออะไรทิ้งไว้เลย ไม่เกี่ยวกับความเจ้าเล่ห์… แต่เป็นเพราะลำดับ 8 ของเส้นทางนักล่าคือ ‘นักยั่วยุ’ ”
ทันใดนั้น ภาพ ‘นักบวชสีชาด’ ที่ผุดขึ้นในความคิดชายหนุ่มถูกซ้อนทับด้วยใบหน้าแอนเดอร์สัน·ฮู้ด
ชารอนฟังเงียบงัน อ้าปากเล็กน้อย แต่ไม่ได้กล่าวคำใด
เช่นเดียวกับไคลน์ มันเงียบไปสักพัก ตระหนักว่าลีลาการชีวิตของเส้นทางนักล่าช่างไม่เหมือนใคร
เมื่อเทียบกันแล้ว เอลเลนผมแดงดูไม่เหมือนกับคนจากตระกูลเซารอนสักเท่าไร
แต่เธอเองก็เคยยั่วโมโหพลเรือโทโรคภัยไว้ไม่น้อย… เรียกได้ว่ามีพรสวรรค์ทางด้านนี้… นอกจากนั้น ลีลาการยียวนของตระกูลเซารอนคงทำให้จักรพรรดิโรซายล์โกรธ จึงวางแผนเล่นงานพวกมันจนเกือบล่มจม… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ รำพันกับตัวเอง
บรรยากาศเงียบสงบถูกชายหนุ่มทำลายลงอย่างรวดเร็ว เซนอล หุ่นเชิดของไคลน์ มองไปรอบตัว กล่าวติดตลก
“บางที นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาถูกจับนั่งเก้าอี้”
“แล้วใครเป็นคนช่วยอลิสต้า·ทูดอร์?” ด้วยร่างกายมายาโปร่งใส ชารอนตั้งคำถาม แต่ดูเหมือนจะไม่ต้องการคำตอบ
“…อาจเป็นหกเทพจารีต” ไคลน์หวนนึกถึงเทวรูปในหกห้องโถงด้านนอก
ทว่า มันเริ่มลังเล
“แต่อาจไม่ใช่ก็ได้ จากในบันทึก เจ็ดเทพจารีตอยู่ฝ่ายจักรวรรดิทรันซอสต์ซึ่งมีเซารอนและไอฮอร์นเป็นขุนนางใหญ่… หรืออาจเป็นไปได้ว่า ตอนแรกพวกท่านออกตัวสนับสนุนทูดอร์ก่อน แต่ภายหลังตีตัวออกหากเพราะอลิสต้า·ทูดอร์เริ่มเสียสติ”
แต่ถ้าไม่ใช่ฝีมือหกเทพจารีต หมายความว่ามีเทพแท้จริงตนอื่นคอยหนุนหลังอลิสต้า·ทูดอร์… แล้วใครกัน? ไคลน์ครุ่นคิด
ชารอนไม่มัวรีรอ นำร่างลอยขึ้น ผ่านชั้นดินและกรวด กลับไปยังต้นไม้ใหญ่
ไคลน์เก็บวิญญาณอาฆาตของเซนอลไว้ในเหรียญทองในกล่องบุหรี่โลหะ ซักถามโดยไม่มองหน้า
“อันที่จริง ผมสงสัยเรื่องหนึ่งมานานแล้ว… วิญญาณมารและวิญญาณอาฆาตบริสุทธิ์ที่ปราศจากตะกอนพลัง… สามารถใช้พลังพิเศษได้ยังไง?”
“โลกวิญญาณ” ชารอนตอบห้วน
หืม… หมายความว่า ‘กฎการอนุรักษ์พลังพิเศษ’ จะใช้ได้กับตะกอนพลังเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับแหล่งที่มาของพลัง? นั่นสินะ… บางทีโลกวิญญาณอาจเป็นผลผลิตจากตะกอนพลังพิเศษบางชนิดก็ได้… ไคลน์พยักหน้า ก้มมองดินเปียกใต้ฝ่าเท่า
“ผมจะค้นหาที่ซ่อนตัวของวิญญาณมารตนนั้นต่อ ถ้ามีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบ”
ชายหนุ่มตั้งใจจะกลับไปถาม ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดส
กล่าวจบ ไคลน์หยิบปากกาและกระดาษ ตวัดเขียนขั้นตอนการอัญเชิญผู้ส่งสารของตน ยื่นให้ชารอน
“ถ้ามีเรื่องอะไรก็เขียนจดหมายมาหาได้”
ชารอนรับกระดาษ อ่านอย่างจริงจังและกล่าว
“ฉันจะอยู่ที่ผับวีรบุรุษ… ถ้าเป็นจดหมาย สามารถส่งไปที่อาคารหมายเลข 126 ถนนการ์ด จ่าหน้าซองถึงมาดามมาเรีย”
“ตกลง” ไคลน์เก็บปากกาในลงในกระเป๋าเสื้อ สร้างกำแพงวิญญาณด้วยกริชเงินต่อหน้าชารอน ผนึกกล่องบุหรี่โลหะ
ถัดมา ชายหนุ่มเดินเปลี่ยนถนนอีกหลายเส้นก่อนจะโบกรถม้าด้วยมาดสุภาพบุรุษ ส่งชารอนกลับไปยังย่านสะพานเบ็คลันด์
จัดการทั้งหมดเสร็จ ไคลน์กลับโรงแรมหรูในเขตฮิลสตันที่ตนเช่าไว้ ระหว่างทางมีการเปลี่ยนรถม้าและเปลี่ยนรูปลักษณ์
…
บายัม ผับสาหร่ายทะเล
เดนิสผู้ต้องอยู่ในทะเลเป็นเวลานาน ในที่สุดก็กลับมาถึงเมืองแห่งการให้ เตรียมทำหน้าที่เป็นคนกลาง คอยประสานงานกับกลุ่มต่อต้าน
มันกดหมวกลง เดินไปนั่งตรงมุมผับ รอฟังข่าวลือใหม่ๆ จากนักผจญภัยและโจรสลัด ด้วยเกรงว่าตัวเองจะตกข่าว พลาดท่าเสียทีและถูกเปลี่ยนเป็นเงินค่าหัวอย่างน่าสมเพช
ทันใดนั้น มันได้ยินนักผจญภัยด้านข้างพูดกับเพื่อนฝูง
“นายกำลังจะบอกว่า… อีกไม่นาน เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะมองหาคนช่วยเบิกเงินค่าหัวของพลเรือเอกโลหิต?”
อะไรนะ…? เดนิสเงยหน้าอย่างลืมตัว มองไปทางคนพูดด้วยสายตาเหม่อลอย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น