Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 725-734
ราชันเร้นลับ 725 : เช้าตรู่
โดย
Ink Stone_Fantasy
เฝ้ามองมิสผู้ส่งสารหายตัวไป ไคลน์ครุ่นคิดเกี่ยวกับครึ่งเทพที่ตนสามารถติดต่อได้ในทันที แต่เค้นสมองนึกเท่าไรก็ไม่ได้คำตอบ สมาธิจึงย้อนกลับมายังคำถามที่ว่า ตนควรทำอย่างไรต่อ
‘เสียงตามสายทั่วเมือง’ เมื่อครู่ต้องทำให้ ‘เจ้าสมุทร’ แยนน์·ค็อตแมนออกตามหาเฮลโมซีนแน่ ขณะเดียวกันก็พยายามค้นหาร่องรอยของ ‘เทพสมุทร’ และสาวก… การออกไปไหนมาไหนยามค่ำคืนอาจทำให้ถูกพบตัว ดังนั้น เราทำได้แค่รออยู่ในห้องจนกระทั่งรุ่งสาง…
นอกจากนั้น เราโดยสารเรือเที่ยวพรุ่งนี้ไม่ได้ หากถูกโจมตีกลางทาง ผู้คนบนเรือคงไม่รอด นอกจากนั้น เรายังปกปิดตัวเองได้ไม่แนบเนียนพอ…
อา… คงต้องอัญเชิญสัตว์ทะเล ออกเดินทางด้วย ‘เรือวาฬ’ อาศัยเกาะร้างและหินใหญ่เป็นที่พักระหว่างทางจนกว่าจะถึงท่าเรือถัดไป… ‘แสงส้ม’ บอกว่าต้องเข้าใกล้พอสมควรจึงจะพบ ‘ร่องรอย’ ความพิเศษในตัวเรา… พิธีกรรมของสาวกมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายคงมีขอบเขตตรวจจับกว้างเท่าเมืองใหญ่ และน่าจะระบุตำแหน่งได้ละเอียดระดับบล็อกถนน… นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมเราถึงถูกวางกับดักบนเกาะโอลาวี…
แค่ออกจากบายัมให้ได้ เราก็จะรอดพ้นจาก ‘สายตา’ ของหล่อน…
ขณะความคิดไคลน์กำลังสุขุม เครื่องรับโทรเลขเริ่มส่งข้อความใหม่!
ชายหนุ่มขยับเข้าไปใกล้ รีบจดบันทึกเนื้อหาและแปลงรหัสด้วยคู่มือ
เพียงไม่นาน คำแปลจากสัญญาณโทรเลขถูกเขียนลงบนกระดาษขาวด้วยหมึกดำ
“ข้าเห็นเจ้า”
ข้าเห็นเจ้า… ไคลน์ทวนคำในใจ ร่างกายสั่นสะท้านเย็นเยียบ
…
บายัม ณ บ้านหลังหนึ่งที่ไม่ห่างจากอาคารสภาเมืองมากนัก
ภายในห้องใต้ดินขนาดใหญ่ เทียนไขกำลังเผาตัวเองอย่างเงียบงัน มอบแสงสว่างแก่ทุกสิ่งโดยรอบ
‘อสรพิษเหรียญเงิน’ โอเดลถอดเสื้อคลุมหัว จ้องชายวัยกลางคนฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทางสั่นกลัว กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคง
“ท่านเซนอล ผมไม่ทราบว่าทำไมจุดซ่อนตัวที่แท้จริงของเฮลโมซีนถึงถูกเปิดเผย”
เซนอลสวมหมวกสามเหลี่ยมใบเก่า เบ้าตาจมลึก ผิวพรรณขาวซีดจนน่ากลัว คล้ายกับวิญญาณมารมากกว่ามนุษย์ มันยกมือขึ้นมาลูบเคราสีดำใต้ริมฝีปาก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องใบหน้าโอเดลด้วยความเย็นชา อีกฝ่ายทำได้เพียงก้มหน้าต่ำตามสัญชาตญาณ
จ้องหน้าบุรุษฝั่งตรงข้ามสักพัก ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอล ผู้สวมกางเกงสีขาวและแจ็คเก็ตสีแดงกล่าวเสียงเย็น
“ไม่ถึงสามนาทีนับตั้งแต่โทรเลขถูกส่ง ข้อความได้กระจายไปทั่วเมือง และเนื้อหาคือสิ่งที่เขียนอยู่ในโทรเลข… ฉันกำลังสงสัยว่า ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเริ่มให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีไร้สายแล้ว และพวกมันได้รับคู่มือการถอดรหัสไปจากเฒ่าควินน์”
“ค…ครับ ต้องใช่แน่!” ‘อสรพิษเหรียญเงิน’ โอเดลรีบเห็นพ้อง หวังให้พลเรือเอกโลหิตไม่ถือโทษในเรื่องที่ตนเลินเล่อจนยอดนักวิทยาศาสตร์เฮลโมซีนหายตัวไป
มันรู้ดีว่าโจรสลัดป่าเถื่อนรายนี้ปฏิบัติต่อลูกน้องที่ก่อความผิดพลาดอย่างไร!
เซนอลชำเลืองโอเดล กล่าวเย้ยหยัน
“แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า แกทำงานพลาด… หากไม่ใช่เพราะแกกับภรรยาเคยทำให้ฉันมีความสุข ป่านนี้คงถูกล้วงไส้ออกมาแล้ว!”
“ส่งโทรเลขซะ บอกกับคนที่แอบฟังไปว่า ข้าเห็นเจ้า ให้มันได้ลิ้มรสค่ำคืนอันหวาดกลัวและเต็มไปด้วยความวิตก นั่นคือหน้าที่เดียวของแกในตอนนี้”
ได้ยินเช่นนั้น โอเดลแอบโล่งใจ ชำเลืองอย่างหวาดกลัวไปทางพลเรือเอกโลหิตและแท่นบูชาด้านหลังซึ่งเต็มไปด้วยเลือด ตอบกลับนอบน้อม
“ครับ ท่านเซนอล!”
จนถึงเมื่อครู่ มันนึกว่าตัวเองต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องสังเวยเสียแล้ว
รอจนกระทั่งโอเดลออกจากห้องใต้ดิน ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลหันหน้าไปทางแท่นบูชาที่เต็มไปด้วยศีรษะมนุษย์ เครื่องใน แขนขา และเลือดสด จากนั้นก็กล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม
“ท่านอาวุโสแจ็คส์ พิธีกรรมสำเร็จไหมครับ”
“สำเร็จ เหลือแค่รอให้พระองค์ตอบสนอง” น้ำเสียงเย็นชาและไร้อารมณ์ดังมาจากผ้าม่านที่แขวนรอบแท่นบูชา
จากนั้น คล้ายกับผ้าม่านมีชีวิต ฝั่งซ้ายและขวาต่างม้วนเข้าหากัน มัดตัวเองเสร็จสรรพและตกลงมายังกึ่งกลางแท่นบูชา
ผ่านไปสักพัก ร่างกึ่งล่องหนปรากฏตัวใกล้แท่นบูชา ผิวสีแทน ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยร่องลึก ผมสีเทาแห้งกรอบคล้ายใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง ราวกับมีชีวิตอยู่บนโลกมานาน
มันยืนจ้องแสงเทียนไขอย่างถ่อมตน ดวงตาสีน้ำตาลยังคงไร้ความเคลื่อนไหว
‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลไม่กล้าพูดอะไร เพียงยืนข้างอาวุโสแจ็คส์ เฝ้ารอการเปลี่ยนแปลงของแท่นบูชา
ทันใดนั้น เปลวไฟเทียนไขพลันถูกฉาบด้วยแสงหลากสี คล้ายกับแต่ละสีคือตัวแทนความปรารถนาในใจผู้เฝ้ามอง
ศีรษะ เครื่องใน แขนขา และเลือดสดบนแท่นบูชาเริ่มขยับได้เองโดยไม่ต้องมีลมช่วย ซ้อนทับกันหลายชั้นด้านหน้าเทียนไขที่กำลังละลาย
ถัดมาไม่นาน พวกมันก่อตัวกันเป็นต้นไม้เลือดเนื้อที่ไม่สูงนัก ผิวตะปุ่มตะป่ำเหมือนเปลือกวอลนัท
ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!
ภายในต้นไม้เลือดเนื้อ เสียงคล้ายหัวใจเต้นคำรามออกมาอย่างทรงพลัง
เมื่อเซนอลเริ่มทนเสียงไม่ไหว ต้นไม้เลือดเนื้อพลันเหี่ยวเฉา สลายเป็นกองโคลนแพร่กระจาย
ในจุดเดิม เหลืองเพียงลูกบอลสีเนื้อเปียกๆ เหนียวข้น
ทันใดนั้น แขนขาและศีรษะงอกออกจากลูกบอล กลายเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ขนาดเท่าฝ่ามือ
ไม่มีดวงตา ไม่มีใบหน้า ไม่จมูก แต่มีหนึ่งช่องว่างคล้ายปาก
ปากของมันพ่นหมอกสีเทา สลับกับสูดเข้าไป หลายครั้งอย่างต่อเนื่อง
ชายชรานามว่าแจ็คส์ท่องคำว่า ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’ ซ้ำไปมาด้วยสีหน้าเปี่ยมศรัทธา ก่อนจะเหยียดแขนออกไปจับสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาด
เทียนไขทั้งหมดดับสนิทอย่างเงียบงัน แต่ด้วยเนตรมองกลางคืนของ ‘วิญญาณอาฆาต’ สิ่งเหล่านี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็น
‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลที่ยืนมองแจ็คส์ ได้ยินอาวุโสคนดังกล่าวเปล่งเสียงแผ่ว
“เพื่อพิธีกรรมคราวนี้ พวกเราใช้เวลาเตรียมการนานมาก… พรของพระองค์จะทำให้เราสามารถสัมผัสถึงตัวตนของเป้าหมายได้เป็นระยะทางไกล… จากนั้น พวกเราจะตามหามันด้วยแว่นตาที่สร้างจากคนของโรงเรียนชีวิต!”
ขณะกล่าว แจ็คส์นำแว่นตาขาเดียวออกจากกระเป๋า ภายนอกดูไม่แตกต่างจากแว่นปรกติ แต่จะส่องแสงสีขาวในความมืด
“ท่านอาวุโสแจ็คส์ พวกเราต้องทำยังไงต่อ?” เซนอลถามด้วยความเคารพ
แจ็คส์ เจ้าของริ้วรอยเหี่ยวย่น ครุ่นคิดสักพัก
“รุ่งสางเมื่อไร จงออกไปตามหาเป้าหมาย… หากเจ้านั่นมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือ พวกเราจะจับตามองโดยรักษาระยะห่าง ป้องกันไม่ให้เป้าหมายออกห่างจากรัศมีการตรวจจับ รอจนกว่าท่านอาวุโสเซียอาจะมาถึง… แต่ถ้าไม่มีคนคุ้มกัน ลำพังเจ้านั่นถือว่าอ่อนแอมาก พวกเราจะลงมือทันที”
ในวินาทีที่ได้ยินคำว่าเซียอา หน้าผาก ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลพลันกระตุกรุนแรง ลำพังนามของบุคคลดังกล่าว ยิ่งใหญ่พอจะทำให้มันหวาดกลัว
เซนอลสูดลมหายใจ
“รับทราบครับ ท่านอาวุโสแจ็คส์”
หลังจากมอบคำตอบ เซนอลเลื่อนมือไปสัมผัสสร้อยคอที่หน้าอกตามสัญชาตญาณ
สร้อยเส้นดังกล่าวทำจากเงินแท้ จี้ห้อยเป็นเหรียญเก่าแก่
…
ไคลน์ที่ถูกโทรเลขทำให้หวาดกลัว แทบไม่ได้นอนหลังจากเที่ยงคืน จนกระทั่งรุ่งสางจึงค่อยสังเวยกระเป๋าเดินทาง กระเป๋าสตางค์ และเงินสดเกือบทั้งหมดเข้าไปในมิติหมอก
จัดการเสร็จ ชายหนุ่มเดินลงไปยังแผนกต้อนรับเพื่อเช็กเอาต์ นั่งรถม้าไปยังสุดขอบเมืองบายัม เดินเท้าออกจากเมืองและตรงขึ้นเขา คล้ายกับเตรียมมุ่งหน้าไปยังสุสานสำหรับชนพื้นเมือง
เดินไปได้ครึ่งทาง ไคลน์หักเลี้ยวเข้าไปในป่า ปลายทางคือสุดขอบหน้าผาสูง ที่นั่นมีสัตว์ทะเลขนาดใหญ่กำลังรออยู่ด้านล่าง!
ท่ามกลางฝูงนกและแมลงยั้วเยี้ย ไคลน์เดินไปบนดินร่วนด้วยความเร็วสูงโดยมีสัตว์เล็กๆ วิ่งผ่านหน้าเป็นระยะ
ระหว่างทาง ชายหนุ่มเห็นเห็ดที่โตหลังฝน เห็นเสื้อผ้าเก่าฉีกขาดและขยะอื่นๆ ที่ชนพื้นเมืองเหลือทิ้งไว้หลังจากปิกนิก ธรรมชาติรอบตัวกำลังสงบสุข ผสานกับกลิ่นอากาศสดใสของยามเช้า
ใบไม้ใบหนึ่งร่วงหล่นตรงหน้า แต่ไคลน์ไม่หยุดเดิน ทำเพียงโยกตัวหลบ
ทันใดนั้น ความเร็วของใบไม้เพิ่มขึ้นกะทันหัน แถมยังหักเลี้ยวกลางอากาศอย่างผิดธรรมชาติ อุดปากและจมูกของชายหนุ่มแนบแน่น
ขนาดเท่าฝ่ามือผู้ใหญ่ ปิดช่องทางการหายใจโดยสมบูรณ์
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
กิ่งไม้ร่วงหล่นจากด้านบน พุ่งเข้าหาไคลน์ประหนึ่งศรคม
แม้แต่ขยะกับกระดาษบนพื้นก็ยังคล้ายกับมีชีวิต รวมตัวกันในลักษณะตาข่ายและ ‘ขว้าง’ ตัวเองมาทางไคลน์
ราชันเร้นลับ 726 : การเตรียมตัวคือสิ่งสำคัญ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทันใดนั้น ไคลน์พลันเกิดความรู้สึกคุ้นเคย คล้ายกับต้นไม้ทั้งหมดรอบตัว ใบไม้ทุกใบ หินทุกก้อน หญ้าทุกต้น ปรารถนาจะฆ่าตนเสียให้ตาย
เมื่อได้เห็นตาข่ายประหลาด รวมถึงเศษกระดาษและขยะที่พยายามพุ่งเข้าหา ร่างกายชายหนุ่มพลันแบนราบ กลายสภาพเป็นกระดาษรูปคน
ฟ้าว ฟ้าว!
กิ่งไม้คล้ายลูกศรทะลวงผ่านแผ่นกระดาษ พุ่งตกพื้นเป็นระยะทางไกล ส่วนตาข่ายประหลาดหุบตัวลงและพยายามห่อหุ้มทุกสิ่งโดยรอบ กลายเป็นลูกบอลทรงกลมที่ยุบพองแผ่วเบา
ไคลน์โผล่อีกครั้งห่างออกไปราวเจ็ดแปดเมตรจากจุดเดิม ทราบทันทีว่าสิ่งที่ตนกังวลได้เกินขึ้นแล้ว
ชายหนุ่มไม่เสียเวลาสำรวจรอบตัว ไม่แม้แต่จะลังเล รีบยกมือขวาขึ้น เตรียมล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเพื่อหยิบฮาร์โมนิก้านักผจญภัย
สถานการณ์ตรงหน้าทำให้ไคลน์เข้าใจถ่องแท้ว่า ผู้โจมตีคือยอดฝีมือระดับครึ่งเทพจากโรงเรียนกุหลาบ ไม่ใช่ศัตรูที่ตนจะรับมือไหวตามลำพัง!
และความรู้สึกคุ้นเคยมีต้นตอมาจาก กลุ่มสมาชิกของโรงเรียนกุหลาบที่พยายามล่าชารอนและมาริค!
แต่ทันใดนั้น กระดาษคนตัวแทนที่เหลือในกระเป๋าพลันปลิวว่อนกะทันหัน ลอยขึ้นมาปิดหน้าชายหนุ่มทีละใบ ซ้อนทับกันหลายชั้น!
ในเวลาเดียวกัน แขนเสื้อไคลน์เกิดตึงแน่น เริ่มบีบรัดท่อนแขน พยายามยับยั้งการขยับของฝ่ามือ
เสื้อทาลาบาและแจ็คเก็ตสีน้ำตาลเริ่มหดตัวบีบร่างกาย คล้ายกับกำลังถูกหมียักษ์โอบกอด!
เพียงหนึ่งถึงสองวินาที ไคลน์ถูกเสื้อผ้าตัวเองพันธนาการโดยสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นกางเกง รองเท้า หรือเสื้อ ขณะเดียวกันก็ถูกกระดาษคนซ้อนทับหลายชั้นบนใบหน้า ซี่โครงกำลังจะหัก ลมหายใจกำลังจะขาดห้วง
ไคลน์เตรียมใจกับเรื่องนี้ไว้แล้ว แถมยังมีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน ปราศจากความแตกตื่นโดนสิ้นเชิง เพียงเลื่อนนิ้วโป้งและนิ้วกลางของมือขวาที่ไม่ได้รับผลกระทบมาเสียดสีกัน เกิดเป็นเสียงดีดนิ้ว
บริเวณหัวเข่า เพลิงสีแดงลุกโชนในพริบตา แผดเผา ‘ผ้า’ รอบจุดดังกล่าวจนไหม้เกรียม จากนั้นก็เริ่มลุกลามทั้งด้านล่างและด้านบน
อาศัยโอกาสดังกล่าว ไคลน์งอเข่ากระโดดสุดแรง คล้ายกับกระสุนปืนใหญ่ลั่นหลังจากขัดลำกล้อง พุ่งตัวไปทางด้านขวา
ขณะลอยกลางอากาศ ชายหนุ่มดีดนิ้วอีกครั้ง คราวนี้เป็นการเผาแขนเสื้อบริเวณข้อศอกขวา!
ณ ตำแหน่งเดิมที่เคยยืน วัชพืชสีเขียวเหี่ยวเฉากะทันหัน พื้นดินสีดำกลายเป็นขาวโพลน ราวกับแห้งแล้งมาเป็นเวลานาน
การโจมตีเกิดขึ้นอย่างเงียบงันและไม่มีการเตือนล่วงหน้า หากไม่ใช่เพราะไคลน์ตระหนักว่าศัตรูในคราวนี้แข็งแกร่งและยังดื้อรั้นยืนปักหลักในจุดเดิม เกรงว่าป่านนี้คงถูกกระหน่ำด้วยชุดการโจมตีที่มิอาจตอบโต้ นับว่าทำถูกแล้วที่ต้องรีบปลดพันธนาการขา ไม่อย่างนั้น การสูญเสียความคล่องตัวอาจทำให้ถึงแก่ความตาย
ท่ามกลางเสียงดีดนิ้ว แขนเสื้อบริเวณข้อศอกทั้งสองข้างกำลังมีเปลวไฟลุกโชน มือขวาที่เป็นอิสระรีบล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ จับฮาร์โมนิก้านักผจญภัย
ตุ้บ!
ชายหนุ่มทิ้งตัวลงกับพื้นและกลิ้ง มือขวายันพื้นเพื่อสร้างแรงกระโดด มือซ้ายที่สวมถุงมือหนังมนุษย์เริ่มขยับดีดนิ้ว
ในคราวนี้ เป้าหมายของไคลน์คือความระคายเคืองบนใบหน้า – กระดาษคนตัวแทนที่กำลังทำให้หายใจลำบาก!
เป๊าะ!
กระดาษคนตัวแทนเริ่มลุกไหม้ เปลวไฟสีแดงส้มลามขึ้นไปด้านบนจนเกือบเผาเส้นผม
พร้อมกันนั้น ฉากหนึ่งปรากฏในใจไคลน์
ผลึกน้ำแข็งเรียวยาวแท่งหนึ่ง ถูกควบแน่นจนกลายเป็นลูกธนูสีเขียวเข้มโปร่งแสง กำลังพุ่งมายังศีรษะชายหนุ่มด้วยความเร็วที่สูงมาก!
เนื่องจากมีความเร็วสูงและใสจนยากจะมองเห็น หากเป็นคนทั่วไปคงไม่มีทางหลบพ้น!
และถึงไคลน์จะมีนิมิตลางสังหรณ์ แต่ก็ตอบสนองได้ช้าเกินไป เนื่องจากร่างกายบางส่วนยังถูกพันธนาการด้วยเสื้อผ้า ยากจะหลบให้พ้นอย่างสมบูรณ์
ท่ามกลางความคิดมากมายแล่นผ่าน ชายหนุ่มเอียงสะโพกเล็กน้อย ร่างกายโน้มไปด้านหลังเฉียงทางขวา
ฟุ่บ!
ศรน้ำแข็งบางๆ ที่เย็นเฉียบพุ่งปะทะบริเวณหน้าอกซ้าย ส่งผลให้แจ็คเก็ตสีน้ำตาลและเสื้อคอกลมสีขาวขาดรุ่งริ่งในพริบตา เศษผ้าปลิวกระจายกลางอากาศ
ทว่า ศรน้ำแข็งที่มีฤทธิ์สังหารมิได้พุ่งเข้าไปลึกกว่านั้น เพราะบริเวณดังกล่าวมีหนังสือปกสีน้ำตาลเข้มเหน็บอยู่
หนังสือดูธรรมดา กระดาษหนังด้านในมีสีน้ำตาลตามปรกติ แต่กลับไม่เกิดรอยขีดข่วนแตกต่างจากเสื้อผ้าสองชั้นนอก
บันทึกการเดินทางของกรอซาย!
วัตถุชิ้นนี้เคยถูก ‘พายุสายฟ้า’ จากคทาเทพสมุทรเล่นงานโดยอาศัยพลังของมิติหมอก แต่กลับไม่มีแม้แต่รอยขนแมว!
ไคลน์ที่ถูกขู่ให้กลัวโดยโทรเลข ‘ข้าเห็นเจ้า’ เมื่อคืน ย่อมต้องยกระดับการป้องกันขึ้นจากปรกติหลายเท่า ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถคิดออกในตอนนั้น!
หนังสือบันทึกการเดินทางถูกนำมาใช้ป้องกันจุดตาย นอกจากนั้นยังมีกล่องเหล็กในกระเป๋าเสื้อใบอื่นที่บรรจุถุงมือ ‘อินธน์’ หากสถานการณ์แย่ลงเมื่อใด ชายหนุ่มจะสลายกำแพงวิญญาณและโยนอินธน์ออกไปเพื่อดึงความสนใจจาก ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ หวังให้อีกฝ่ายส่งยอดฝีมือมาสำรวจจุดปัจจุบัน สถานการณ์จะได้ทวีความโกลาหล
มันทราบดีว่า พระผู้สร้างแท้จริงและเทพมารตนอื่นๆ ล้วนเกลียดชังมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย!
หลังจากรับศรน้ำแข็ง ไคลน์ทิ้งตัวและกลิ้งไปด้านข้าง นำฮาร์โมนิก้านักผจญภัยขึ้นมาจ่อปาก เป่าเสียงหวีดแหลม
ปัจจุบัน ใบหน้าชายหนุ่มค่อนข้างคล้ำเพราะโดนควันจากการเผากระดาษ แต่เป็นเพราะมีพลังควบคุมไฟ จึงไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
จากนั้น ไคลน์สัมผัสได้ว่าเสื้อผ้าที่เคยบีบรัดแขนซ้าย สะโพก ท้อง ต้นขา ลำคอ และเท้าเริ่มกลับเป็นปรกติ ได้รับอิสระที่แท้จริงกลับคืนมา
หลังจากเป่าฮาร์โมนิก้า ชายหนุ่มเปิดเนตรวิญญาณและเห็นมิสผู้ส่งสารเดินออกจากห้วงมิติ ศีรษะทั้งสี่หันได้เองโดยไม่ต้องขยับมือ จ้องไปยังจุดหนึ่งอย่างพร้อมเพรียง
หนึ่งในศีรษะของหญิงสาวเริ่มส่งเสียง อ้าปากกว้างและสูดลมเข้าไป
สายลมหนาวระลอกใหญ่พลันพัดผ่าน ห่างออกไปจากไคลน์ประมาณหนึ่งร้อยเมตร ร่างหนึ่งถูกพลังที่มองไม่เห็นกระชากออกจากพุ่มไม้เขียวขุ่น
บุคคลดังกล่าวมิอาจคงสถานะที่คนอื่นยากจะตรวจจับ จึงรีบแปลงกายเป็นสิ่งมีชีวิตกึ่งโปร่งแสง
อีกฝ่ายคือชายวัยกลางคนเจ้าของเส้นผมสีเทาแห้งกรอบ ใบหน้าสีแทนเปี่ยมริ้วรอย เห็นได้ชัดว่ามาจากทวีปใต้ เมื่อกระจกตาสีน้ำตาลสะท้อนภาพไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ มันอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วอย่างตกตะลึง รีบอ้าปากโดยปราศจากความลังเล คล้ายกับเตรียมพ่นคำสาปแช่งที่บ่มเพาะเป็นเวลานาน
ทันใดนั้น ศีรษะอีกข้างหนึ่งที่ไรเน็ตต์ถือเริ่มอ้าปากเช่นเดียวกัน ส่งเสียงคำรามอันเงียบงัน
ภายในป่าแสนสงบสุข ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแม้แต่อย่างเดียว
แจ็คส์เห็นดังนั้นจึงรีบหันมองไคลน์แทน ชายหนุ่มย่อมมิอาจตอบสนองได้ทัน กระจกตาจึงสะท้อนภาพเส้นผมสีเทาแห้งกรอบและริ้วรอยชัดลึกของอีกฝ่าย!
สติไคลน์พลันเย็นเยียบ แต่ความคิดยังไม่เชื่องช้า เพียงค่อยๆ สูญเสียการควบคุมร่างกาย ทำได้เพียงยืนมองชายชราเลือนหายไปจากการมองเห็น จึงตัดสินใจหันหน้าไปทางมิสผู้ส่งสาร
สองศีรษะที่ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์เคยถือพลันพุ่งมาทางไคลน์ แต่ละปากเริ่มอ้าพร้อมกับสูดลมหายใจเข้า ดวงตาสีแดงมืดลงข้างหนึ่ง ฟันงอกยาวในลักษณะแหลมคม แยกไม่ออกว่าเป็นความจริงหรือภาพมายา
ไคลน์เห็นร่างโปร่งแสงของชายชราผมเทาถูกกระชากออกจากร่างกายตน จากนั้น ศีรษะของมิสผู้ส่งสารข้างที่มีฟันยาวกว่า กัดเข้าที่หัวไหล่ของอีกฝ่ายเต็มแรง ฉีกกระชากสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นร่างวิญญาณและร่างเนื้อออกไปพร้อมกัน
แจ็คส์ขมวดคิ้ว ไม่ส่งเสียงร้อง เพียงหายตัวไปกะทันหัน เป็นการกระโดดเข้าไปในกระจกที่ห่างออกไปหนึ่งร้อยเมตร
จากนั้น คล้ายกับมันถูกไล่ล่าโดยมือหรือศัตรูที่มองไม่เห็น พยายามกระโจนผ่านน้ำขัง แอ่งน้ำ กระจกตาสัตว์ น้ำค้างบนหญ้า และอีกมากมาย จนกระทั่งได้พักหายใจหายคอ โดยในเวลาเดียวกัน ร่างกายไคลน์ยังคงสัมผัสได้ถึงความเย็น
แจ็คส์เข้าสู่โลกวิญญาณและโผล่ออกมาอีกครั้ง คราวนี้ในมือถือตุ๊กตาขนาดเท่าฝ่ามือที่เปียกๆ และเหนียวข้น
ใบหน้าตุ๊กตาตัวเล็กมีเพียงหนึ่งรู พ่นหมอกสีเทาที่ไคลน์รู้สึกคุ้นเคย
แจ็คส์ปราศจากความลังเล รีบนำตุ๊กตาตัวเล็กยัดใส่ปาก
ได้เห็นฉากตรงหน้า ศีรษะอีกสองข้างของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์พุ่งออกจากมือเหมือนคราวก่อน ตรงไปหาแจ็คส์ด้วยความเร็วสูงจนเกือบจะเป็นการเคลื่อนที่ในพริบตา
ทว่า ร่างกายแจ็คส์เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว
ลำตัวกลายเป็นสีดำ ผิวหนังเหี่ยวย่นและมีคราบน้ำไหลซึม เส้นผมและขนคิ้วเหี่ยวเฉาพร้อมกับหลุดร่วง มือเท้าผอมลงแต่ยาวขึ้น
เพียงหนึ่งวินาที คล้ายกับแจ็คส์รวมร่างกับตุ๊กตาประหลาด กลายเป็นทารกสีดำที่ตัวใหญ่เก้งก้าง ผิวหนังเหี่ยวย่นและเปียกชุ่ม
ทั้งดวงตา ปาก และจมูกล้วนมิได้ประจำตำแหน่งเดิม ขยับไปรวมกันกึ่งกลางใบหน้า คล้ายกับเตรียมผสานกันเป็นอวัยวะใหม่
ทั้งผิวหนัง ท่อนแขน และอวัยวะใหม่ของอีกฝ่ายเปี่ยมด้วยความลึกลับและชั่วร้ายอย่างหาที่สุดมิได้ เพียงไคลน์จ้องมอง ร่างกายพลันเป็นอิสระจากความเย็น แต่เริ่มคันยุบยิบไปทุกส่วน ตุ่มเนื้อใต้ชั้นผิวหนังทวีจำนวนอย่างรวดเร็ว
ดวงตาปวดแสบอย่างไร้เหตุผล จำเป็นต้องปิดลงตามสัญชาตญาณพร้อมกับน้ำตาที่ไหลซึม
จนกระทั่งสงบสติได้อีกครั้งด้วยการเข้าฌาน ไคลน์ลืมตาขึ้น พบว่ามิสผู้ส่งสารและครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบหายตัวไป!
แต่สัมผัสวิญญาณของไคลน์แจ้งว่า ทั้งสองยังอยู่ไม่ห่าง กำลังดวลกันอย่างดุเดือดทั้งในโลกวิญญาณและภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเศษใบไม้ที่ร่วงหล่น วัชพืชที่โยกเอน หรือแมลงและสัตว์ที่กำลังหนีตาย ทั้งหมดคือเครื่องบ่งชี้ว่าทั้งสองกำลังปะทะอย่างรุนแรง
ความคิดหนึ่งแล่นผ่าน ไคลน์หยิบลูกโม่ ‘ลางมรณะ’ ออกมาถือ พลางใช้นิ้วโป้งซ้ายกดลงบนข้อต่อแรกของนิ้วชี้สองครั้ง
ด้ายมายาจำนวนมหาศาลปรากฏขึ้นตรงหน้า ช่วยให้ชายหนุ่มมองเห็นสิ่งที่แตกต่างจากดวงตาปรกติและเนตรวิญญาณ
ด้ายวิญญาณสองกระจุกใหญ่กำลังสะบัดพลิ้วรอบตัวไคลน์ ผลัดกันรุกผลัดกันรับ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ด้ายสองกลุ่มนี้คือไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์และครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบ!
นอกจากนั้น ไคลน์ยังพบด้ายสีดำกลุ่มหนึ่งจากจุดห่างไกล กำลังมุ่งหน้ามายังตำแหน่งของตน แต่เป็นการสลับวิ่งๆ หยุดๆ เป็นระยะ คล้ายกับหวั่นเกรงการดวลอันดุเดือดของครึ่งเทพทั้งสอง
ศัตรูใหม่? เดิมทีคอยซุ่มในจุดห่างไกลและรอผลลัพธ์ แต่ตอนนี้เกิดอยากเข้ามามีส่วนร่วม? สรุปได้ว่า… บุคคลที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ และกำลังวิ่งเข้ามาใกล้เรา จะต้องเป็นศัตรูอย่างไม่ต้องสงสัย! ไคลน์กลอกตาพลางง้างนกของลางมรณะ ปล่อยให้อยู่ในสถานะ ‘โจมตีหนักหน่วง’
จากนั้น ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นด้ายมายาสีดำ สอดมือซ้ายเข้าไปในเสื้อ จับเหรียญทองมาควงระหว่างนิ้วคล้ายกับกำลังทำนายบางสิ่ง
ทำไปเพื่อขัดขวาง ‘ลางสังหรณ์หยั่งถึงอันตราย’ ที่อาจเป็นพลังของอีกฝ่าย!
หลังจากสูญเสียกระดาษคนตัวแทน ไคลน์มีแต่ต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น
รอคอยอย่างใจเย็นราวสองวินาที จนกระทั่งศัตรูเข้ามาในระยะยิง ไคลน์รีบยกมือขวาขึ้นเล็ง เหนี่ยวไกโดยไม่ลังเล!
ราชันเร้นลับ 727 : ผู้โชคดี
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปัง!
ลูกโม่เหล็กดำที่ลำกล้องยาวกว่าปรกติ ถีบไปด้านหลังเล็กน้อยพร้อมกับแสงสีทองสว่างเจือจาง หัวกระสุนแหวกผ่านอากาศ พุ่งดักหน้าเป้าหมายเล็กน้อย
ทว่า ด้ายมายาสีดำเกิดหยุดกะทันหัน คล้ายกับชะงักฝีเท้าและหันไปมองบางสิ่ง
จากสภาพปัจจุบัน เซนอลไม่น่าจะสัมผัสถึงความผิดปรกติ แต่ถูกเบี่ยงเบนความสนใจโดยสิ่งอื่น
ขณะกระต่ายสีเทากระโจนออกจากพุ่มไม้เขียวและรีบวิ่งหนี ต้นไม้ใหญ่ด้านหน้าด้ายมายาสีดำเกิดเสียงสั่นคล้ายถูกยิง ก่อนจะหักโค่นกลางลำต้น
เป็นการยิงจากมุมสูง กึ่งกลางท่อนไม้มีรูขนาดใหญ่ เปลวไฟสีทองบริสุทธิ์กำลังลุกโชน ไม้ทั้งท่อนหักครึ่งจากการถูกปะทะด้วยกระสุนเพียงหนึ่งนัด!
ลางมรณะรุนแรงเทียบเท่าปืนใหญ่ลำกล้องเล็ก แถมยังมีพลังในการทะลุทะลวงดีเยี่ยม!
กลุ่มด้ายมายาสีดำรีบถอยหลังและหายไปจากจุดเดิม ก่อนจะโผล่ออกมาอีกครั้งจากขอบหลุมลึกใกล้ๆ
ไคลน์มองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายเด่นชัด ผิวพรรณขาวซีด เบ้าตาจมลึก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน อายุราวสี่สิบ ริมฝีปากมีเคราสองฝั่ง สวมหมวกทรงสามเหลี่ยมสภาพเก่า
ไคลน์คุ้นเคยใบหน้านี้เป็นอย่างดี เพราะค่าหัวของอีกฝ่ายค่อนข้างล่อตาล่อใจ ใช้เวลาไม่นานก็จดจำรายละเอียดได้คมชัด
‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอล!
เฉพาะในโลเอ็น ค่าหัวของมันสูงถึงสี่หมื่นสองพันปอนด์!
มันลอบเข้ามาในบายัมนานแล้วสินะ… เพื่อรับตัวทูรานี่·ฟอน·เฮลโมซีน? หลังจากยอดนักวิทยาศาสตร์ถูกพบเป็นศพ หมอนี่ก็เข้าร่วมภารกิจของโรงเรียนกุหลาบเพื่อตามล่าเรา? ตอนนี้เราสัมผัสได้ว่าตัวเองมีจุดอ่อนใหม่เพิ่มเข้ามา แต่ในเมื่อยังไม่ถูกกระตุ้น จึงยังไม่รู้ว่าเป็นจุดอ่อนแบบไหน… ขณะความคิดมากมายแล่นผ่านสมอง ไคลน์เห็นเซนอลหายตัวไปอีกครั้ง
แต่พลเรือเอกโลหิตยังอยู่แถวนั้นไม่ผิดแน่ เพราะด้ายมายาสีดำที่เป็นตัวแทนอีกฝ่ายยังคงเด่นชัดราวกับหิ่งห้อยยามราตรี ไม่ใช่เรื่องยากในการระบุตำแหน่ง
ถัดมา กลุ่มด้ายมายาสีดำเริ่มย่นระยะ จากจุดหนึ่งไปสู่จุดหนึ่ง ไม่ว่าจะน้ำค้างบนใบไม้ เศษแก้ว และบ่อน้ำที่เยือกแข็ง มันกระโจนอยู่หลายครั้งจนสามารถเข้าใกล้ไคลน์
ชายหนุ่มไม่มัวรออยู่กับที่ รีบขยับเปลี่ยนจุดเล็กน้อย ด้วยเกรงว่าจะยิงไปติดครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบที่กำลังต่อสู้กับมิสผู้ส่งสารอย่างดุเดือด
พฤติกรรมของเซนอลทำให้ไคลน์เข้าใจบางสิ่ง หากวิญญาณอาฆาตต้องการสิงร่างโดยสมบูรณ์ จะต้องเข้าใกล้ในระยะหนึ่งเสียก่อน แม้ว่าครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบจะสามารถใช้งานได้จากระยะไกลมาก แต่พลังของเซนอลอาจแคบกว่า หรือไม่ก็กังวลว่าจะเกิดผลข้างเคียง จึงไม่ได้ลงมือในแบบเดียวกัน
ตอนนี้เราสามารถอนุมานแล้วได้ว่า เซนอลคือลำดับ 5 ‘วิญญาณอาฆาต’ ! ไคลน์ยังคงเปลี่ยนตำแหน่งเรื่อยๆ รอจนกว่าระยะห่างจะเหมาะสม
ทันทีที่พลเรือเอกโลหิตลดความเร็วลง เตรียมใช้พลังสิงร่างเป้าหมาย ถุงมือข้างซ้ายของไคลน์พลันเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท คล้ายกับเป็นการเรียงตัวของอนุภาคบริสุทธิ์
จากนั้น ชายหนุ่มพ่นถ้อยคำชั่วร้ายและกัดกร่อน
“เชื่องช้า!”
เซนอลสัมผัสถึงความไม่ชอบมาพากล รีบเปลี่ยนตำแหน่งตัวเองก่อนไคลน์จะได้เปิดปากพูด แต่ก็ไม่ทันการณ์ ทุกสิ่งในรัศมีแปดเมตรต้องหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ความพยายามในการหลบหลีกของเซนอลจึงสูญเปล่า
นี่คือท่าโจมตีเป็นวงกว้าง!
ร่างกายเซนอลช้าลงและค่อยๆ คืนเค้าโครงคมชัดบนโลกความจริง ไคลน์ยกลูกโม่ในมือขวาเล็งพลางง้างนก นำศัตรูมาประทับลงบนศูนย์หลัง
ด้วยความช่วยเหลือจากลูกโม่ลางมรณะ ชายหนุ่มมองเห็นสีสันจำนวนมากจากอีกฝ่าย ส่วนที่ซีดที่สุดซึ่งหมายถึงจุดอ่อนมิได้อยู่กึ่งกลางศีรษะ หากแต่เป็นตำแหน่งเหนือลูกกระเดือกเล็กน้อย
โดยไม่ลังเลหรือรีรอ ไคลน์ลั่นไก
โจมตีหนักหน่วง!
แต่ทันใดนั้น กลุ่มด้ายมายาสีดำด้านข้างของครึ่งเทพโรงเรียนกุหลาบ บังเอิญขยับเข้ามาบังเซนอลไว้!
พลเรือเอกโลหิตรีบพุ่งตัวหลบในแนวทแยง กระสุนสีทองซีดพุ่งถากต้นคอไปโดนก้อนหินใหญ่ด้านหลังจนแหลกเป็นผุยผง!
เปลวไฟสีทองลุกไหม้บนลำคอเซนอล เผาลามขึ้นไปบนศีรษะจนมันตัดสินใจอ้าปากกว้าง
เสียงโหยหวนแหลมลึกถูกแผดไปรอบทิศ เล่นงานโสตประสาทไคลน์โดยตรง ส่งผลให้ออกอาการโงนเงนและชะงัก
ไม่มีใครทราบว่าร่างวิญญาณล่องหนจำนวนหนึ่งเริ่มบินว่อนรอบตัวเซนอลตั้งแต่เมื่อไร พวกมันผสมผสานเข้ากับสายลมเย็นเยียบ กรูเข้าหาศัตรูจากทุกทิศทางไม่ว่าจะท้องฟ้าหรือผิวดิน
ในการมองเห็นของไคลน์ วิญญาณทั้งหมดล้วนสวมหมวกทรงสามเหลี่ยม
เพียงพริบตา ร่างของชายวัยกลางคนสวมแจ็คเก็ตสีแดงเริ่มคมชัดด้านหน้าชายหนุ่ม
เป๊าะ!
ไคลน์ดีดนิ้ว ร่างกายถูกปกคลุมด้วยเปลวไฟอันร้อนแรงทันที
ก่อนที่วิญญาณอาฆาตจะเข้าสิงร่าง ชายหนุ่มอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
ใต้ต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงสิบเมตร วัชพืชลุกไหม้พร้อมกับเปลวไฟที่ค่อยๆ ขยายตัวและพุ่งสูงขึ้นฟ้า
ไคลน์กระโดดออกมาด้วยท่าทีผ่อนคลาย ยกลางมรณะขึ้นเล็งในจุดที่ตนเคยยืนเมื่อครู่ ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปมากกว่าปรกติสองเท่า
โจมตีล้างบาง!
ปัง!
ชายหนุ่มลั่นไก กระสุนสีทองซีดแตกตัวเป็นสะเก็ดขนาดเล็กจำนวนมาก กวาดล้างทุกสิ่งในทิศทางที่ปากกระบอกปืนเล็งด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ เหล่าผีล่องหนคล้ายกับถูกชำระล้างด้วยพายุแสงแดด ทำได้เพียงกรีดร้องและลุกไหม้โดยมิอาจต่อต้านขัดขืน
เซนอลที่เข้าสิงพลาดย่อมทราบว่าจะถูกโจมตีตอบโต้ จึงกระโดดเข้าไปหลบในเศษแก้วใกล้เคียง ทว่า พายุกระสุนที่ยิงโดย ‘โจมตีล้างบาง’ นั้นครอบคลุมจนเต็มพื้นที่ รวมไปถึงเศษแก้วชิ้นดังกล่าวด้วย!
ท่ามกลางเสียงอึกทึก เปลวไฟสีทองพุ่งเฉียดด้านข้างเศษกระจก พลาดการโจมตีโดยตรงไปอย่างน่าเสียดาย ทำได้เพียงสร้างความเสียหายก่อกวนด้วยไฟเผา เซนอลเห็นดังนั้นจึงรีบหนีโดยการกระโดดเข้าไปในกระจกเงา ก่อนจะโผล่ตัวอีกครั้งในหยดน้ำค้างห่างออกไป ตามลำตัวมีบาดแผลถูกกระสุนชำระล้างแผดเผาหลายจุด แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ไม่โชคดีไปหน่อยหรือ? ไม่ผิดแน่ เซนอลต้องมีสมบัติวิเศษที่ช่วยเสริมโชค… เราเหลือกระสุนชำระล้างอีกแค่สามเดียว… ไคลน์ขมวดคิ้วพร้อมกับออกวิ่ง หมายไล่ตามอีกฝ่ายให้ทัน
เป็นเพราะทราบล่วงหน้าว่าศัตรูคือโรงเรียนกุหลาบ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนกระสุนวิเศษทั้งหมดให้เป็นกระสุนชำระล้างซึ่งเป็นของแสลงสำหรับซอมบี้และวิญญาณอาฆาต จากหกนัด ปัจจุบันยิงไปแล้วสามนัด!
ในนัดแรก เซนอลรอดมาได้เพราะบังเอิญมีกระต่ายกระโดดตัดหน้า นัดที่สองยิงไปติดครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบที่บังเอิญอยู่ตรงนั้นพอดี และนัดที่สาม พายุกระสุนล้างบาง เศษแก้วที่เซนอลหลบบังเอิญอยู่ตรงช่องว่างของเศษลูกปรายจำนวนมากพอดิบพอดี ทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก ไคลน์ไม่อยากยอมรับว่าความบังเอิญระดับนี้เป็นแค่ความโชคดี!
ทว่า ชายหนุ่มไม่หดหู่ กลับกัน มันตัดสินใจเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เผื่อว่าสถานการณ์เลวร้ายลงจากเดิม จะได้ลงมือระเบิดยันต์ในขอบเขตเทพสมุทรเป็นจำนวนมาก สร้างความวุ่นวายเพื่อดึงดูดให้ ‘เจ้าสมุทร’ แยนน์·ค็อตแมนที่อยู่ในบายัมสัมผัสถึงความผิดปรกติ
หากครึ่งเทพลำดับ 3 ตนนี้มาถึงจุดเกิดเหตุและพบคนสามคน ประกอบด้วยครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบ พลเรือโจรสลัดที่มีปูมหลังเป็นปริศนา และนักผจญภัยเสียสติที่เคยช่วยงานกองทัพ เดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายจะเลือกจัดการใครก่อน
สำหรับมิสผู้ส่งสาร ไคลน์เชื่อว่าเธอสามารถหนีเข้าไปในโลกวิญญาณได้ทุกเวลา สามารถเลือกที่จะเข้าร่วมสงครามหรือล่าถอยตามแต่สถานการณ์
ถึงเมื่อคืนจะได้รับโทรเลขข่มขู่ แต่เป็นเพราะในบายัมยังมีเจ้าสมุทรช่วยให้ ‘อุ่นใจ’ ไคลน์จึงยังไม่คิดหนีในทันที รอให้ถึงตอนเช้าเสียก่อน
หากตนออกไปตามลำพังในยามค่ำคืน โบสถ์วายุสลาตันย่อมพบความผิดปรกติและไล่ล่าจับกุมตัว จากนั้นก็ถูกสอบสวนด้วยมาตรการรุนแรง ไม่มีทางเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
การหมกตัวอยู่ในห้องจึงเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่า รอให้คนที่ส่งข้อความ ‘ข้าเห็นเจ้า’ โผล่ออกมาโจมตี จึงค่อยหนีออกมาบนถนนเพื่อให้เจ้าสมุทรพบความผิดปรกติของศัตรู
เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลชั่วร้ายระดับครึ่งเทพเป็นอย่างน้อย ส่วนอีกคนคือนักผจญภัยเสียสติที่เคยช่วยงานกองทัพ แยนน์·ค็อตแมนย่อมต้องเลือกจัดการกับโรงเรียนกุหลาบ และด้วยฐานะของพระคาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตันกับอาวุโสระดับสูงของทูตพิพากษา ค็อตแมนย่อมมีสิทธิ์เบิกใช้งานสมบัติปิดผนึกที่ทรงพลัง ถึงจะเผชิญหน้ากับ ‘เทวทูต’ ก็คงยื้อเวลาได้นานจนกระทั่งกองทัพส่งคนมาสนับสนุน และท่ามกลางความวุ่นวายดังกล่าว ไคลน์จะฉวยโอกาสหนีไปที่ชายหาด โดยสาร ‘เรือวาฬ’ ออกจากเกาะแห่งนี้!
แต่น่าเสียดาย หลังจากส่งโทรเลขข่มขู่ ค่ำคืนดังกล่าวกลับสงบสุขผิดคาด และเมื่อถึงตอนเช้า คงเป็นเรื่องยากที่ ‘เจ้าสมุทร’ จะตรวจตราความเรียบร้อยได้ทั่วเมือง
เป๊าะ!
ไคลน์ดีดนิ้วอีกครั้ง แผดเผาวัชพืชและต้นไม้โดยรอบ คล้ายกับการจุดพลุไฟขนาดใหญ่โดยมีตัวเองเป็นศูนย์กลาง
เหตุใดถึงเลือกป่าริมผาเป็นสมรภูมิ? เพราะไม่มีที่ใดเหมาะสมกับนักมายากลไปมากกว่านี้อีกแล้ว!
ร่างชายหนุ่มกระโจนไปตามเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ท่วมป่า คอยหลบหลีกพลังสิงร่างของพลเรือเอกโลหิตเป็นระยะ ในทางกลับกัน เซนอลเองก็มีประสบการณ์และบทเรียน ทราบว่าอีกฝ่ายสามารถยิงกระสุนโจมตีได้รุนแรง จึงไม่กล้าแช่อยู่ในระยะใกล้นานนัก เมื่อสิงร่างพลาดก็จะรีบถอยออกห่างทันที คอยตอดจากระยะไกลด้วยการแผดเสียงหวีดแหลม หรือไม่ก็คอยเล็งยิงด้วยนิ้วสีเขียวซีด แต่น่าเสียดาย พลังหลังสุดทำได้เพียงดับไฟและเปลี่ยนให้วัชพืชเฉาตาย ไม่มีอันตรายกับไคลน์มากนัก
เมื่อเห็นไฟป่าเริ่มลุกลามเป็นวงกว้างและเป็นอุปสรรคต่อการโจมตี เซนอลชะงักความเคลื่อนไหว ส่งเสียงหวีดร้องที่สามารถทำลายแก้วหูและร่างวิญญาณได้โดยตรง
ท่ามกลางเสียงร้อง ออร่าสีฟ้าน้ำแข็งใต้ฝ่าเท้าเซนอลเริ่มขยายตัวเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะพื้นดิน วันพืชรกรุงรัง หรือเศษก้อนหินกระจัดกระจาย ทั้งหมดล้วนถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งสีขาว
เปลวไฟในจุดดังกล่าวส่งเสียง ‘เปรี้ยะๆ’ พร้อมกับระเหยกลายเป็นหมอก ก่อนจะถูกแช่แข็งโดยสมบูรณ์
ไคลน์ได้รับผลกระทบจากเสียงคำรามวิญญาณอาฆาต การใช้กระโจนไฟจึงชะงักไปครึ่งจังหวะ ก่อความผิดพลาดจนร่วงหล่นกลางอากาศ ฝ่าเท้าสัมผัสกับพื้นดิน
จากนั้น ชายหนุ่มมองเห็นกะโหลกมายาที่แผ่พลังงานสีดำกำลังพุ่งเข้าหาตน กลิ่นอายท่วมต้นไปด้วยความตาย ราวกับเป็นผู้ส่งสารจากโลกแห่งความตายก็มิปาน!
ในวินาทีดังกล่าว ถึงไคลน์จะหลบไม่พ้น แต่ลูกบอลไฟสีฟ้าอ่อนซึ่งมาพร้อมกลิ่นกำมะถันกำลังควบแน่นอยู่เบื้องหน้า
ถุงมือข้างซ้ายยังคงเป็นสีดำสนิท อยู่ในสถานะของ ‘ปีศาจ’ !
ฟุ่บ! ลูกบอลไฟพุ่งออกไปด้านหน้า กะโหลกมายาที่รายล้อมด้วยพลังงานสีดำถูกกระแทกจนแตกร้าวและร่วงหล่น เปลี่ยนให้พื้นดินในจุดตกกลายเป็นเขตปลอดชีวิต
ถัดมา ไคลน์เหยียดตัวตรง หยิบกล่องบุหรี่โลหะจากกระเป๋าเสื้อ โยนไปทาง ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอล โดยพร้อมกันนั้น ถุงมือข้างซ้ายเริ่มเจือกลิ่นอายความชั่วร้ายที่สูงส่ง
บารอนแห่งการเน่าเปื่อย! ติดสินบน!
ราชันเร้นลับ 728 : คอมโบสามสหาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
เซนอลไม่มีทางคิดว่าวัตถุที่ศัตรูขว้างมานั้นปลอดภัย จึงรีบหลบด้วยการหายตัวเป็นระยะทางไกล ปล่อยให้กล่องบุหรี่เหล็กที่ผนึกด้วยกำแพงวิญญาณหล่นลงพื้น
จากนั้น เซนอลเปิดปากอีกครั้ง เป็นการแผดเสียงร้อง
เสียงคำรามที่ราวกับมีต้นตอมาจากส่วนลึกของร่างวิญญาณ ส่งผลให้ให้ศีรษะไคลน์ปวดแปลบกะทันหัน ทั้งที่เคยได้ยินเสียงเพรียกของพระผู้สร้างแท้จริงและมิสเตอร์ประตูจนมีภูมิต้านทานมาแล้ว ก็ยังอดไม่ได้ที่จะชะงักไปชั่วขณะ จมูกร้อนผ่าวราวกับเส้นเลือดฝอยระเบิด
ทว่า ด้วยความสามารถในการต้านทานของตัวไคลน์เอง ผนวกกับการอ่อนแอลงของเซนอลหลังจากถูก ‘ติดสินบน’ ส่งผลให้อาการชะงักเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ และนี่ไม่ใช่สิ่งที่พลเรือเอกโลหิตจะรู้ล่วงหน้า
ไคลน์จึงแสร้งทำเป็นยังไม่หายชะงัก ทำทีเผยจุดอ่อน รอให้เหยื่อเข้ามาติดกับ
หากเป็นการต่อสู้ตามปรกติ ด้วยพลังของวิญญาณอาฆาตที่สามารถกระโดดผ่านวัตถุที่คล้ายกระจก แถมยังมิอาจระบุตำแหน่งปลายทางได้ล่วงหน้า ถึงไคลน์จะมีเปลวไฟให้กระโดดรอบป่า แต่ก็ยากที่จะเข้าใกล้อีกฝ่ายในรัศมีห้าเมตร ไม่สามารถเข้าควบคุมด้วยด้ายวิญญาณ
ลงเอยด้วย ชายหนุ่มวางแผนที่ค่อนข้างเสี่ยง ล่อให้ศัตรูเข้ามาติดกับและรีบจบการต่อสู้นี้โดยเร็ว จะได้หนีไปยังริมหน้าผา
เมื่อเห็นเป้าหมายได้รับความเสียหายจากเสียงกรีดร้องบ่อยครั้ง แถมอาการชะงักก็ยังรุนแรงกว่าทุกที เซนอลรีบสูดลมหายใจยาว
ในการมองเห็นของไคลน์ ร่างพลเรือเอกโลหิตปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ลดขนาดลงและเริ่มคมชัด
ฉากตรงหน้าไม่เหมือนกับภาพที่สะท้อนเข้ามายังกระจกตา แต่ราวกับอีกฝ่ายกำลังอาศัยอยู่ในดวงตาทั้งสองข้างของตนจริงๆ!
ในวินาทีที่พลังสิงร่างของวิญญาณอาฆาตใกล้เสร็จสมบูรณ์ ไคลน์ในสภาพเสื้อผ้าขาดวิ่นหลายจุด เอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อย เหยียดฝ่ามือไปทางซ้ายอย่างไม่เร่งรีบ คล้ายกับสุภาพบุรุษกำลังกล่าวอย่างสุภาพว่า ‘เชิญ’
ยุบพองหิวโหยที่ยังแผ่กลิ่นอายความชั่วร้ายแต่สูงศักดิ์ ช่วยให้ไคลน์สามารถ ‘บิดเบือน’ เจตนาของพลเรือเอกโลหิต
และด้วยออร่าเยือกแข็งใต้ฝ่าเท้า ผิวน้ำแข็งโดยรอบกำลังทำหน้าที่แทนกระจกเงา!
บนชั้นน้ำแข็งแผ่นบาง ร่างของเซนอลที่สวมหมวกทรงสามเหลี่ยมปรากฏขึ้น สีหน้าเผยความสับสน
ทันใดนั้น ยุบพองหิวโหยเปลี่ยนเป็นสีดำมืด ไคลน์เปล่งคำพูดชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยการกัดกร่อน
“เชื่องช้า!”
เซนอลที่เตรียมกระโจนหนีด้วยความช่วยเหลือของผิวกระจกพลันแข็งทื่อในตำแหน่งเดิม ร่างวิญญาณเริ่มคืนร่างเนื้ออย่างมิอาจควบคุม การเคลื่อนไหวเริ่มเชื่องช้า ดิ้นรนเท่าไรก็สลัดไม่หลุด
เนื่องจาก ‘เชื่องช้า’ ไม่ใช่พลังที่สามารถใช้ได้ต่อเนื่อง ไคลน์รีบเปลี่ยนถุงมือข้างซ้ายเป็นสีซีด เจือเขียวครึ้มเล็กน้อย
ซอมบี้!
ชั้นน้ำแข็งบนพื้นกลับมาทวีความเข้มข้นอีกครั้ง ออร่าน้ำแข็งแพร่กระจายไปหาเซนอลด้วยความเร็วสูง เกาะกินปลายเท้าของมัน ค่อยๆ เปลี่ยนให้เป็นรูปปั้นน้ำแข็งโดยสมบูรณ์
ไคลน์ที่ทราบว่าวิญญาณอาฆาตต้านทานพลังน้ำแข็งได้ดี ไม่แสดงความประมาท รอสักพักก็เปลี่ยนยุบพองหิวโหยให้กลายเป็นสีทองคำ
ด้ายดำในดวงตาชายหนุ่มหายไป แทนที่ด้วยสายฟ้าสีเงินแวววาวสองเส้น ยิงออกจากส่วนลึกของดวงตา
นักสอบสวน ทะลวงจิต!
หากเป็นในสภาพปรกติ ร่างเนื้อของเซนอลจะแทบไม่ได้รับผลกระทบใดๆ มิหนำซ้ำยังอาจตอบโต้กลับได้ทันควัน แต่ปัจจุบัน มันเพิ่งหายจากอาการชะงัก เมื่อพบว่าตัวเองถูกขังอยู่ในรูปปั้นน้ำแข็ง จึงไม่มีทางเลือกนอกจากอ้าแขนรับศรสายฟ้าล่องหนที่กำลังเล็งใส่ร่างวิญญาณ!
จิตใจของมันพลันเจ็บแปลบราวกับถูกมีดเสียบและกวนไปมา ความทุกข์ทรมานแผ่ซ่านไปทั่วร่าง สติหลุดลอยชั่วคราว
เมื่อได้สติกลับมาอีกครั้ง ขณะที่เซนอลเตรียมกระโดดหนีเพื่อรักษาระยะห่าง มันเห็นนักผจญภัยมาดเย็นชาฝั่งตรงข้ามเริ่มเปิดปากพูด
“เชื่องช้า!”
แม่เย็*… การเคลื่อนไหวของ ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลเชื่องช้าลงอีกครั้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องถูกคอมโบตามด้วย ‘ผนึกน้ำแข็ง’ และ ‘ทะลวงจิต’ ซ้ำอีกระลอก
ขณะได้สติกลับมาและเตรียมหนีอีกหน เกอร์มัน·สแปร์โรว์เจ้าของเส้นผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาลอ้าปากเป็นครั้งที่สาม
“เชื่องช้า!”
เซนอลเดือดดาลและสิ้นหวัง ก่อนจะพบว่าตัวเองถูกส่งเข้าสู่วัฏจักรเดิม
ในส่วนของไคลน์ที่ตรึงศัตรูด้วยคอมโบสามสหาย เริ่มลงมือควบคุมด้ายวิญญาณของพลเรือเอกโลหิตทีละนิด
อันที่จริง วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ อาศัยสภาพไร้การป้องกันตัวของเป้าหมาย ใช้ลูกโม่ ‘ลางมรณะ’ โจมตีหนักหน่วงใส่สองถึงสามนัด แต่ประสบการณ์ก่อนหน้าได้เตือนไคลน์ว่า ศัตรูพกสมบัติวิเศษด้านความโชคดี การโจมตีที่ตรงไปตรงมาอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุและเกิดผลลัพธ์ตรงกันข้าม
ดังนั้น ชายหนุ่มเลือกจะใช้วิธีควบคุมด้วยด้ายวิญญาณอย่างใจเย็น!
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไคลน์คอยวิ่งไปรอยๆ ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลอย่างสม่ำเสมอ ด้วยเกรงว่าครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบจะบังเอิญโผล่ออกมาขวางทางอีก ด้ายวิญญาณเซนอลถูกครอบงำอย่างใจเย็นจนกระทั่งเข้าสู่สถานะ ‘ควบคุมขั้นต้น’
สามวินาที สองวินาที หนึ่งวินาที!
ความคิดเซนอลพลันหยุดชะงัก ทุกส่วนของร่างกายคล้ายกับถูกสนิมเก่าเกาะกิน
ไคลน์ไม่เหลือพลังพอจะใช้ยุบพองหิวโหย จึงตัดสินใจควบคุมด้ายวิญญาณให้ลึกลงไปอีก ระหว่างนั้นก็คอยเดินหลบไปรอบๆ อย่างไม่รีบร้อน
ปล่อยไว้… แบบนี้… ไม่ได้… หลังจากความคิดของเซนอลผุดขึ้นเป็นระลอกอย่างเชื่องช้าง ศรผลึกน้ำแข็งสีใสอันเล็กๆ เริ่มควบแน่นจากความว่างเปล่า
คมศรถูกย้อมด้วยสีเขียวเจือจาง เป็นสีที่สะท้อนจากผืนป่าโดยรอบ
ไคลน์เฝ้ามองการเคลื่อนไหวอันเชื่องช้าของอีกฝ่ายอย่างใจเย็น ล้วงมือเข้าไปในเสื้อ หยิบ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ที่สอดไว้ตรงหน้าอกขึ้นมา
ฟุ่บ!
ศรผลึกน้ำแข็งถูกยิงตรงมายังหน้าอกของไคลน์ แต่ระหว่างทางเกิดหักเหเฉียงขึ้นด้านบน!
อันที่จริง ลูกเล่นเมื่อครู่ควรทำให้ศัตรูถึงแก่ความตาย แต่เนื่องจากความคิดเชื่องช้า การควบคุมศรจึงทำได้ไม่ดี กว่าจะเกิดการหักเหก็เข้าใกล้ไคลน์มากแล้ว เพียงขยับ ‘การเดินทางของกรอซาย’ เล็กน้อยก็สามารถป้องกันได้ง่ายดาย
ใบหน้าของเซนอลซีดลงอีกครั้ง หลังจากครุ่นคิดอย่างเงียบงันหลายวินาที มันค่อยๆ เปิดปาก พยายามส่งเสียงกรีดร้อง
ไคลน์ที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ชิงพูดตัดหน้า
“ปัง!”
กระสุนอัดอากาศพุ่งด้วยความเร็วสูง กระแทกริมฝีปากเซนอลจนศีรษะผงะไปด้านหลัง ฟันร่วงกราวหลายซี่ ส่งเสียงแหกปากภายในลำคอ
ขณะที่ด้ายวิญญาณค่อยๆ ควบคุมลึกลงไป เซนอลพยายามดิ้นรนขัดขืนอีกหลายหน แต่ทั้งหมดก็ถูกสลายทิ้ง จนกระทั่งเซนอลเริ่มสติแตกและอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง ฉากตรงหน้าทำให้ไคลน์ยิ้มออก
แต่ทันใดนั้น เสียงร่ำไห้ของทารกที่ฟังดูแหลมลึกและน่าขนลุก พลันกังวานไปทั่วผืนป่า
ตุ่มเนื้อทั่วร่างไคลน์ผุดขึ้นบนผิวหนังอย่างกะทันหัน ‘การเดินทางของกรอซาย’ ร่วงหล่นลงพื้น สมองรู้สึกคล้ายกับถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น สูญเสียการรับรู้รอบตัวไปชั่วขณะ หนึ่งในนั้นคือด้ายจิต เป็นผลให้เซนอลได้รับอิสระกลับคืนมา
ห่างออกไปจากคนทั้งสองหลายร้อยเมตร ทารกสีดำขนาดใหญ่ที่มีผิวหนังเปียกชุ่มและเหี่ยวย่น สภาพคล้ายกับเพิ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำ ค่อยๆ ออกจากสถานะร่างมายา กลับคืนความคมชัดของร่างเนื้อ
แขนขายาวเรียวเก้งก้าง บนใบหน้ามีหนึ่งหลุมดำขนาดใหญ่ รอบหลุมดำเป็นฟันซี่ยาว
จากสภาพปัจจุบัน แจ็คส์มีบาดแผลฉกรรจ์เต็มตัว ผิวหนังสีดำและเหี่ยวย่นถูกทะลวงจนเกิดรูโหว่ มีของเหลวเน่าๆ สีดำและเขียวไหลซึม
หลังจากครึ่งเทพโรงเรียนกุหลาบปรากฏตัว มันเลิกหลบหลีกหรือหลบหนี เพียงแหกปากส่งเสียงร้องราวกับทารก ส่งผลให้ไคลน์และเซนอลตกอยู่ในสภาพย่ำแย่พอกัน ต่างฝ่ายต่างแสดงอาการคล้ายใกล้จะคลุ้มคลั่ง
สี่เศียรที่มีผมสีทองและดวงตาสีแดงโผล่จากความว่างเปล่า ทั้งหมดอ้าปากกว้างพร้อมกัน ส่งเสียงกรีดร้องอันเงียบสงัด สยบเสียงร้องสยดสยองของทารก
ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์และแจ็คส์เริ่มสู้กันอีกหนึ่งยก บ้างในโลกวิญญาณ บ้างบนโลกความจริง ส่งผลให้วัชพืช ต้นไม้ แมลง และธรรมชาติโดยรอบสั่นไหว
‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลและไคลน์กำลังยืนมึนงงในตำแหน่งเดิม พยายามสลัดให้หลุดจากอิทธิพลของเสียงทารก
หากเป็นในด้านนี้ เซนอลเชื่อว่าตนซึ่งเป็นวิญญาณอาฆาต ย่อมได้เปรียบอีกฝ่ายเต็มประตู จึงยกมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
มันเริ่มวางแผนว่าจะจัดการศัตรูตรงหน้าอย่างไร
แต่ทันใดนั้น ตรงมุมสายตาของเซนอล นักผจญภัยมาดเงียบขรึมที่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น กลับมีแววตากระจ่างชัดอย่างรวดเร็ว!
เพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งวินาทีหลังจากเสียงร้องของทารกหยุดลง!
ไคลน์ที่มีประสบการณ์ด้านนี้โชกโชนและฟื้นคืนสติได้ก่อน พบว่าเซนอลยังคงตกอยู่ในอาการเฉื่อยชา
โอกาสทอง! สมองชายหนุ่มรีบประมวลผล เลือกไม่โจมตีจากระยะไกลที่มีโอกาสพลาดสูง และเลือกจะไม่เข้าควบคุมด้วยด้ายวิญญาณซึ่งต้องใช้เวลานาน เพียงขยับเท้าขวา กระโดดเข้าไปหาเหมือนเสือซีตาร์
ถุงมือข้างซ้ายชายหนุ่มที่กลายเป็นสีดำเข้ม ขยับไปด้านหลัง ควบแน่นแมกมาและเปลวไฟให้กลายเป็นรูปทรงคล้ายดาบ
ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย ดาบแมกมา!
ฉึบ!
ร่างไคลน์พุ่งเข้าหาฝั่งซ้ายของเซนอล ดาบยักษ์ที่ลุกไหม้ฟันกวาดลงบนหน้าอกและช่องท้อง ก่อนจะหยุดคาอยู่กึ่งกลาง
เปลวไฟสีฟ้าอ่อนแผดเผาร่างกายพลเรือเอกโลหิต แต่ส่วนที่ได้รับความเสียหายมีเพียงร่างเนื้อ ยังไม่ถึงแก่ชีวิต เพียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด
ไคลน์ทิ้งดาบแมกมาพร้อมกับขยับไปทางซ้ายและหมุนตัว เผชิญหน้ากับแผ่นหลังของพลเรือเอกโลหิต ควักปืนลูกโม่ ‘ลางมรณะ’ เหล็กดำและเล็งไปยังท้ายทอยอีกฝ่าย
ชายหนุ่มไม่ได้ใช้การโจมตีหนักหน่วง เพียงเหนี่ยวไกธรรมดา!
สิ้นเสียง ‘ปัง’ ไคลน์เสียหลักกะทันหัน เพราะจุดที่ฝ่าเท้ากำลังเหยียบดูเหมือนจะเป็นหลุม ส่งผลให้ลำกล้องของลางมรณะขยับเล็กน้อย กระสุนสีทองซีดจึงพุ่งใส่ด้านข้างลำคอเซนอล
เลือดที่เจือสีเขียวเข้มพลันสาดกระเซ็น พลเรือเอกโลหิตที่ลำคอเหลือเพียงครึ่งเดียว เสียหลักล้มลมอย่างหมดสติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ตาย
ขณะไคลน์เตรียมลั่นไกนัดที่สอง ท้องฟ้าพลันมืดสนิท แขนข้างหนึ่งกำลังเหยียดยาวลงมา!
ท่อนแขนยาวกว่าสิบเมตร ผิวสีเข้มและเหนียวหนืด บนผิวมีสิ่งแปลกปลอมจำนวนมากนูนยื่น ไม่ว่าจะเป็นกะโหลก ดวงตา หรือลิ้นหนาม ในวินาทีที่แขนท่อนนี้ปรากฏตัว ทั่วทั้งป่าเริ่มสั่นสะเทือนรุนแรง
ใบไม้สีเขียวเหี่ยวเฉาในพริบตา แมลงทั้งหมดตายในสภาพแน่นิ่ง สัตว์ป่าต่างเป็นอัมพาตหรือไม่ก็กัดกินร่างกายตัวเองจนเลือดสาด!
ลางสังหรณ์ของไคลน์กระตุ้นเตือนในระดับสูงสุด ชายหนุ่มรีบปิดตาสนิท กระโจนไปข้างหน้าและม้วนตัว พลางยก ‘การเดินทางของกรอซาย’ ขึ้นมาปิดหน้าตัวเองไว้!
ราชันเร้นลับ 729 : โกลาหล
โดย
Ink Stone_Fantasy
ป่าทั้งผืนพลันเหี่ยวแห้ง คล้ายกับตัวตนที่สามารถทำลายล้างทุกสรรพสิ่งกำลังลงมาเยือน
เมื่อแขนท่อนดังกล่าวยืดออกจนเกือบสุด กลุ่มสายฟ้าสีเงินเส้นมหึมาพลันโผล่ออกจากอากาศอันว่างเปล่า มอบความสว่างไสวไปทั่วภูเขา ก่อนที่สายฟ้าทุกเส้นจะถักสานเข้าด้วยกัน กลายเป็นกรงอสนีบาตที่เคยได้ยินเพียงในตำนาน ห่อหุ้มแขนเหนียวหนืดสีเข้มไว้ทุกทิศทาง
เมฆดำรวมตัวกัน ณ กึ่งกลางท้องฟ้า ผุดคิ้วและปากขนาดใหญ่ ดูคล้ายกับใบหน้าของมนุษย์!
ความวุ่นวายครั้งใหญ่ส่งผลให้ ‘เจ้าสมุทร’ แยนน์·ค็อตแมนในบายัมตระหนักถึงความผิดปรกติ จึงไม่ลังเลที่จะลงมือด้วยตัวเอง และยังสั่งให้ทูตพิพากษาเปิดใช้งานสมบัติปิดผนึกบางอย่าง
ร่างของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ถูกผลักออกจากความว่างเปล่า เดรสสีดำหรูหราซับซ้อนยังคงปราศจากความยุ่งเหยิง
หญิงสาวยกมือซ้าย สองศีรษะผมทองและตาแดงลอยกลับไปยังบริเวณลำคอที่ขาด ส่วนอีกสองหัวยังคงต่อสู้กับทารกผิวดำตัวใหญ่ที่มีผิวหนังเปียกชุ่มและเหี่ยวย่น
รอยตัดบริเวณลำคอเริ่มยุบพองและขยับเขยื้อน เชื่อมต่อเข้ากับศีรษะทั้งสอง หลังจากนั้น ร่างกายหญิงสาวขยายขนาดขึ้นทันที ดูคล้ายกับปราสาทเก่าแก่สไตล์โกธิค บนพื้นผิวเต็มไปด้วยลวดลาย เถาวัลย์ และการประดับตกแต่งอื่นๆ ที่อัดแน่นไปด้วยความลึกลับและชั่วร้าย มอบความรู้สึกไม่ควรจ้องมองโดยตรง
ไคลน์ปิดตาสนิท ใช้การเดินทางของกรอซายปกปิดใบหน้าอีกชั้น พยายามควบคุมพลังวิญญาณอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยากจะขจัดผลด้านลบบนร่างกายออกไปได้หมด ลำตัวมิอาจหยุดสั่น ตุ่มเนื้อเม็ดแล้วเม็ดเล่าผุดขึ้นจากผิวหนัง
จนถึงเมื่อครู่ มันเพิ่งยืนยันได้ว่า จุดอ่อนใหม่ที่เกิดจากผลข้างเคียงของ ‘ลางมรณะ’ ก็คือ ภาวะกลัวความมืด!
ภายในหกชั่วโมงถัดไป จะไม่มีจุดอ่อนใหม่เพิ่มเติม
โชคยังดี… จริงอยู่ที่จุดอ่อนนี้ค่อนข้างร้ายแรง แต่เรายังพอมีวิธีแก้ขัดในระยะเวลาสั้นๆ … ไคลน์หลับตาลง หลั่งน้ำตาที่มิอาจควบคุม
สำหรับประเด็นดังกล่าว ชายหนุ่มไม่กังวลจนเกินไป เพราะสถานการณ์ภาพรวมได้วุ่นวายและเลยเถิดไปไกลมากแล้ว
หืม… ตัวตนที่ลงมาจากฟากฟ้าดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่า ‘เจ้าสมุทร’ พอสมควร… คงเป็นระดับเทวทูต แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพเต็มร้อยนัก เพราะมิได้ปรากฏตัวออกมาโดยตรง แต่เลือกโจมตีผ่านโลกวิญญาณแทน…
เป็นเพราะประเมินแล้วว่ามาถึงไม่ทัน ก็เลยเลือกใช้วิธีนี้? โชคดีที่เราได้รับคำเตือนจาก ‘แสงส้ม’ ล่วงหน้า ไม่อย่างนั้น หากตัดสินใจหลบหนีช้าเกินไป อาจตกอยู่ในวงล้อมศัตรูที่เตรียมความพร้อมมาอย่างดี! ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์ แผนขั้นแรกคือการฉวยโอกาสหลบหนี สร้างระยะห่างที่ปลอดภัยให้ตัวเอง
ทว่า ชายหนุ่มทราบดี การล่าถอยโดยไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า อาจมีอันตรายรออยู่
หากเทวทูตของโรงเรียนกุหลาบล้มเลิกความคิดที่จะโจมตี ดึงแขนกลับเข้าไป ‘เจ้าสมุทร’ แยนน์·ค็อตแมนก็คงไม่คิดไล่ตาม เพราะ ‘นักบุญ’ คงไม่กล้าเสี่ยงกับ ‘เทวทูต’ แถมเมื่อครู่ยังเลือกจะใช้วิธีผนึกมากกว่าโจมตีใส่โดยตรง… และถ้าเทวทูตตนดังกล่าวเริ่มไล่ล่าเราอีกครั้ง ลำพังมิสผู้ส่งสารคงช่วยเราไม่ได้… ต้องหาทางทำให้มันเดือดร้อนมากกว่านี้ หาทางยื้อเวลาให้นานที่สุด เราจะได้ฉวยโอกาสหลบหนีออกจากเกาะภูเขาคราม! ไคลน์ผุดทฤษฎีมากมาย ก่อนจะเริ่มลงมือทำตามแผนฉุกเฉิน มือข้างหนึ่งถือการเดินทางของกรอซาย อีกข้างสอด ‘ลางมรณะ’ เข้าไปเก็บในเสื้อ กลิ้งสองตามตลบจนกระทั่งถึงกล่องบุหรี่เหล็ก
เมื่อปลายนิ้วสัมผัสกล่อง กำแพงวิญญาณพลันสลายตัวทันที ชายหนุ่มรีบเปิดผาพร้อมกับโยนถุงมือ ‘อินธน์’ ที่ปนเปื้อนการกัดกร่อนของพระผู้สร้างแท้จริงขึ้นไปในอากาศ เล็งไปยังจุดที่มีการปะทะ!
ถัดมา ไคลน์ที่กำลังใช้การเดินทางของกรอซายปิดหน้า ลืมตาขึ้นพลางล้วงนกหวีดทองแดงจากในเสื้อ
สิ่งนี้ไม่ใช่นกหวีดทองแดงของมิสเตอร์อะซิก แต่เป็นนกหวีดของนิกายวิญญาณที่ได้รับจากชายคลั่งศาสตร์เร้นลับในกรุงเบ็คลันด์ เดิมทีเคยเป็นของสมาชิก ‘นิกายวิญญาณ’ คนหนึ่งซึ่งคืนชีพหลังความตาย
ย้อนกลับไปในตอนนั้น ไคลน์ลองทำนายถามถึงผลลัพธ์ของการเป่านกหวีด คำตอบที่ได้รับก็คือ การกระทำดังกล่าวจะเต็มไปด้วยอันตรายที่ยากหยั่งถึง!
ดังนั้น ไคลน์จึงต้องการชักนำ ‘อันตรายมาก’ มาเผชิญหน้ากับ ‘อันตรายมาก’ สร้างสถานการณ์สุดแสนวุ่นวายแต่เป็นประโยชน์กับฝ่ายตน!
ชายหนุ่มสอดนกหวีดทองแดงเข้าไปในปากและพ่นลมเป่า จากนั้นก็เปิดเนตรวิญญาณ แต่ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง โดยในเวลาเดียวกัน กะโหลกที่มีดวงตาเฉยเมยสามดวงปรากฏขึ้นจากความว่าเปล่า รอบๆ กะโหลกมีหนวดยาวสีดำ
ไคลน์รีบยื่นขนนกสีขาวให้ผู้ส่งสารอย่างไม่ลังเล เป็นขนนกที่สมาชิกนิกายวิญญาณผู้คืนชีพเหลือทิ้งไว้
ไม่รอให้ผู้ส่งสารหายไป กล้ามเนื้อแขนของไคลน์พลันบวมพอง ขว้างนกหวีดทองแดงไปในอากาศ เล็งไปยังจุดที่มีการปะทะแสนวุ่นวาย
จัดการทั้งหมดเสร็จ ชายหนุ่มเก็บกล่องบุหรี่เหล็ก ม้วนตัวอีกหนึ่งตลบและกระโจนไกลหนึ่งครั้ง ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาวิ่งตรงไปทางหน้าผา ระหว่างทางมีการก้มหน้าลง สลับกับซิกแซกไปเรื่อยๆ ไม่กล้าแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า และไม่กล้าวิ่งแช่ในตำแหน่งเดิม!
เมื่อย้อนกลับไปถึงจุดที่ ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลนอนหมดสติ ดวงตาไคลน์พลันแข็งค้าง เนื่องจากอีกฝ่ายหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย!
ท่ามกลางสถานการณ์อันวุ่นวายและไม่มีใครเข้ามาช่วย ร่างของ ‘วิญญาณอาฆาต’ ที่บาดเจ็บสาหัสจนหมดสติจะหายตัวไปได้อย่างไร?
ไคลน์ยังไม่หยุดฝีเท้า เพียงชำเลืองไปมองเลือดสีแดงเข้มที่สะท้อนแสงอยู่ตรงหน้า โดยตำแหน่งดังกล่าวคือจุดที่ไคลน์เคยทำ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ตกพื้น!
อย่าบอกนะว่า… หยดเลือดของ ‘พลเรือเอกโลหิต’ กระเซ็นลงบนปกหนังสือบันทึกการเดินทาง? จากนั้นก็ถูกดูดเข้าไป? ไคลน์ขมวดคิ้ว ไม่คิดว่านั่นเป็นเรื่องดี
ชายหนุ่มกังวลว่า เทวทูตและนักบุญที่มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายส่งมา จะใช้พลเรือเอกโลหิตซึ่งอยู่ใน ‘การเดินทางของกรอซาย’ เป็นเครื่องนำทางหายังตน!
อย่างไรก็ตาม ไคลน์ทิ้งหนังสือเล่มนี้ไม่ลง หากปราศจากมัน ท่ามกลางสนามรบอันดุเดือดและเต็มไปด้วยสะเก็ดการโจมตีจากท้องฟ้า ไคลน์ไม่มั่นใจว่าตนจะหลบอันตรายทั้งหมดพ้น
“…” ไว้ค่อยแก้ปัญหานี้ทีหลัง หากเราหนีรอดเมื่อไร ค่อยใช้ร่างวิญญาณเข้าไปจัดการ … ท่ามกลางความคิดมากมายที่กำลังผุดขึ้นในสมอง ขณะวิ่งผ่านดินที่เปื้อนเลือดของเซนอล ไคลน์ตัดสินใจจิกปลายเท้าและงัดดินบางส่วนขึ้นมา จากนั้นก็ใช้มือคว้าไว้
สิ่งนี้จำเป็นสำหรับการค้นหาตัว ‘พลเรือเอกโลหิต’ ในภายหลัง!
สวบ สวบ สวบ!
ไคลน์ที่วิ่งซิกแซกเหมือนกับงู ยังคงวาง ‘การเดินทางของกรอซาย’ ไว้เหนือศีรษะ เปลี่ยนตำแหน่งเป็นบางครั้งตามแต่ลางสังหรณ์อันตรายจะแจ้งเตือน
หนังสือเล่มดังกล่าวสามารถป้องกันสายฟ้าพลังสูง เม็ดฝนที่สามารถกัดกร่อนหิน รวมถึงกีดขวางการจ้องมองจากตัวตนลึกลับและน่ากลัว ช่วยให้ไคลน์วิ่งผ่านผืนป่าไร้ชีวิตชีวาอย่างราบรื่น จนกระทั่งถึงริมหน้าผา
ทันใดนั้น บรรยากาศรอบตัวชายหนุ่มพลันมืดสนิท ไม่ใช่ความมืดแบบที่กำลังจะเกิดฝนตกหนัก ไม่ใช่ความมืดที่ปราศจากแสงจันทร์และดวงดาว แต่เป็นความมืดมิดอันไร้ชีวิตชีวา มาพร้อมกลิ่นเหม็นเน่าโชย
เสียงเพรียกดังขึ้นเป็นระยะ เดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกล คล้ายกับมีใบหน้าอากาศกำลังขยับปาก
ไคลน์พลันสั่นระริกเพราะความมืด ไม่กล้าแหงนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านบน แต่เมื่อฟ้าผ่าลงมาจนเกิดแสงสว่าง ชายหนุ่มสังเกตเห็นขนนกสีขาวที่เปื้อนคราบน้ำมันเหลืองๆ สองสามเส้น ลอยอยู่ไม่ห่างจากตัวเอง
ไคลน์รีบก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า ทิ้งตัวลงจากหน้าผา หลุดออกจากความมืดมิด เริ่มมองเห็นแสงสว่างรอบตัว
จากนั้น ชายหนุ่มเลือกจุดตกเป็นปากของสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาที่ตนเตรียมการไว้ล่วงหน้า
ปากซึ่งไม่มีฟันแม้แต่ซี่เดียว ปิดลงกะทันหันและดำดิ่งสู่ก้นทะเลลึก ตามที่นัดแนะไว้ล่วงหน้า มันว่ายออกไปทางแนวปะการังด้านนอกเกาะภูเขาคราม
นี่คือสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ที่มีครีบหลังสิบหกครีบ!
ท่ามกลางความมืดมิดที่ไม่มีอะไรให้ทำ สัญชาตญาณสั่งให้ไคลน์ขดตัวเป็นลูกบอลอย่างหวาดกลัว ร่างกายสั่นระริก ทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มฝืนเอาชนะความรู้สึกเหล่านั้นอย่างยากลำบาก หยิบตะกอนพลังของ ‘นักบวชแสง’ ที่เตรียมไว้รับมือกับ ‘วิญญาณอาฆาต’ ออกมา
เป็นตะกอนพลังที่สกัดออกจากถุงมือ
แสงบริสุทธิ์แผ่ออกจากหินโปร่งใส ขจัดความกลัวที่มืดให้ไคลน์
ขณะกำลังไตร่ตรองว่า ระหว่างรอให้ถึงปลายทาง ตนยังทำอะไรได้อีกบ้าง แต่ทันใดนั้นพลันรู้สึกคันหลังมือยุบยิบ
เมื่อรีบมองลงไป ชายหนุ่มพบรูขุมขนที่เปิดกว้างพร้อมกับปุยเส้นขนสีขาว
ปุยขนงอกยาวอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังจะกลายเป็นขนนก!
ไคลน์รู้สึกคันคะเยอไปทั่วร่างทันที!
เจ้าของนกหวีดทองแดงตนนี้อันตรายมาก! ไคลน์ที่มีประสบการณ์โชกโชน รีบลุกขึ้นยืน เดินถอยหลังสี่ก้าวภายในปากสัตว์ทะเล ท่องบทสวดเสียงต่ำ
ร่างวิญญาณของชายหนุ่มเคลื่อนที่ผ่านกลุ่มหมอกสีเทา ระหว่างทางได้ยินเสียงเพรียกมากมาย โดยในเวลาเดียวกัน ก๊าซสีเขียวเข้มเริ่มผุดออกจากร่างกาย มีการต่อต้านเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็หายไปโดยสมบูรณ์
กลับมายังวังที่คล้ายกับถิ่นพำนักของคนยักษ์ ไคลน์ทบทวนสภาพปัจจุบันของร่างวิญญาณอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบความผิดปรกติใด ปราศจากก๊าซสีเขียวเข้ม ปราศจากขนนกสีขาว
ฟู่ว… ได้ผล… ชายหนุ่มหายใจออก รีบส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริงอีกครั้ง
ท่ามกลางแสงสว่างจากตะกอนพลังของนักบวชแสง ไคลน์พบว่าปุยขนสีขาวที่หลังมือยังอยู่ แต่สูญเสียความสามารถในการงอกเงย ตามร่างกายยังมีอีกหลายจุดที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
รอมิสเตอร์อะซิกมาหาก่อนก็แล้วกัน เขาคงมีวิธีแก้ไข… ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก วาดจันทร์แดงเข้มในใจ สวดวิงวอนขอพรต่อเทพธิดา ให้มิสเตอร์อะซิกรีบมารับโดยเร็ว
ทันใดนั้น ร่างของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ปรากฏขึ้นตรงหน้าชายหนุ่ม
ผู้ส่งสารสาวสวยมีสามศีรษะอยู่บนคอ ส่วนอีกหนึ่งศีรษะยังคงใช้มือหิ้ว เมื่อเทียบกับครั้งก่อนๆ คล้ายกับเธอดูมีชีวิตชีวากว่าปรกติเล็กน้อย
หญิงสาวยื่นฝ่ามือซ้ายที่ไม่ได้ถืออะไร จับไหล่ไคลน์ พาเข้าไปในโลกวิญญาณและทำหน้าที่รถรับส่ง
ท่ามกลางริ้วแสงสีสันฉูดฉาด ไคลน์วิงเวียนศีรษะเล็กน้อยก่อนจะกลับสู่โลกความจริง พบว่าตนอยู่บนก้อนหินใหญ่
ศีรษะทั้งสี่ของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์กวาดตาไปรอบตัว
“ปลอดภัย…” “แล้ว…” “อย่าลืม…” “จ่ายเงิน…”
กล่าวจบ เธอรีบหายตัวไปราวกับมีเริ่มสำคัญต้องทำ
ทำแบบนี้ก็ได้หรือ… ถ้ารู้แต่แรก เราคงบอกให้เธอพาออกจากจุดเกิดเหตุแทนสัตว์ทะเล… แต่พิจารณาจากเมื่อครู่ สภาพปัจจุบันของเธอก็ไม่สู้ดีนัก คงเป็นร่างที่จะไม่ใช้ถ้าไม่จำเป็น… ไคลน์ถอนหายใจพลางเก็บตะกอนพลังของนักบวชแดงไว้ในกระเป๋า ส่วน ‘การเดินทางของกรอซาย’ ยังคงถือไว้กับมือ
หลังจากมองไปรอบตัวและพยายามยืนยันตำแหน่งปัจจุบัน ฝ่ามือลึกลับอีกข้างหนึ่งโผล่ออกจากความว่างเปล่าและจับไหล่ชายหนุ่ม
ไคลน์พลันผงะ รีบมองย้อนกลับไป พบว่าเป็นมิสเตอร์อะซิก
อะซิกจับไหล่และพาเข้าสู่โลกวิญญาณทันที เคลื่อนที่ผ่านแนวริ้วแสงสีสันฉูดฉาดอย่างรวดเร็ว
อันที่จริง… ผมปลอดภัยแล้วครับ… มุมปากไคลน์เริ่มกระตุก แต่ก็ไม่ได้กล่าวคำใดออกไป
ราชันเร้นลับ 730 : จัดการกับภัยคุกคามซ่อนเร้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
บนภูเขานอกบายัม ผืนป่าทั้งหมดล้วนไร้ชีวิตชีวา หลายจุดถูกฝังกลบโดยผาหินที่ถล่มลงมา
ชายวัยกลางคนตัวใหญ่กำยำ ผมสีน้ำเงินเข้ม สวมเสื้อคลุมนักบวชวายุสลาตัน กำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศ จ้องมองลงมาด้วยแววตาเผยความโกรธโดยไม่ปิดบัง
ไม่ใช่ใครนอกจากพระคาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตัน อาร์ชบิชอปแห่งน่านน้ำหมู่เกาะรอสต์ อาวุโสลำดับสูงของทูตพิพากษา ‘เจ้าสมุทร’ แยนน์·ค็อตแมน
จนกระทั่งตอนนี้ ภาพการต่อสู้เมื่อครู่ยังคงชัดเจนในใจค็อตแมน จดจำได้แม่นยำว่าใครหลบหนีด้วยวิธีใดบ้าง
เทวทูตแห่งโรงเรียนกุหลาบใช้พลังหรือวิธีการบางอย่าง ส่งการโจมตีมาจากระยะไกล แต่ดูเหมือนจะไม่บรรลุจุดประสงค์ ภายหลังได้พาตัวพวกพ้องที่บาดเจ็บหนีกลับไปอย่างไม่ยากเย็น และแน่นอน ไม่มีใครอยากให้ ‘ท่าน’ อยู่ที่นี่ต่อ เว้นเสียแต่สัตว์ประหลาดตนหนึ่งซึ่งโผล่มาจากไหนไม่มีใครทราบ แยนน์·ค็อตแมนยังคงไม่ลืม เมื่อเทวทูตดึงแขนกลับ บนผิวหนังสีเข้มมีขนนกสีขาวปกคลุมประปราย ไม่ว่าจะบนกะโหลกและดวงตาที่นูนยืน รวมถึงอีกหลายจุดที่ยากจะจินตนาการถึง อันที่จริง ความเสียหายควรจะมากกว่านี้ แต่ครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบสามารถหลบถุงมือที่มีกลิ่นอายของพระผู้สร้างแท้จริงพ้น ขณะเดียวกันก็ออกแรงเล็กน้อยเพื่อบดขยี้นกหวีดทองแดงธรรมดาๆ ที่ถูกขว้างมา
หลังจากสิ่งมีชีวิตวิญญาณพิสดารตนหนึ่งเข้ามาพัวพันกับเทวทูตของโรงเรียนกุหลาบได้สักพัก ตัวตนดังกล่าวได้หนีเข้าไปในส่วนลึกของโลกวิญญาณ แยนน์·ค็อตแมนจึงจนปัญญาจะไล่ตาม
ส่วนนักบุญของชุมนุมแสงเหนือที่เปิดประตูมิติออกมา ตัดสินใจไม่เข้าร่วมการต่อสู้ เพียงเฝ้ามองอย่างสนใจอยู่พักใหญ่ จึงค่อยหยิบถุงมือที่ปนเปื้อนกลิ่นอายของพระผู้สร้างแท้จริงขึ้นมา เปิดประตูมิติกลับไปก่อนที่สงครามจะปิดฉาก
สัตว์ประหลาดที่โผล่มาจากนกหวีดทองแดงมีรูปร่างไม่ตายตัว ราวกับเป็น ‘วิวัฒนาการ’ ของความตาย ทำตัวเหมือนกับหมอกขนนกสีขาวที่เปื้อนคราบน้ำมันสีเหลือง แต่เป้าหมายของมันชัดเจนมาก คือการโจมตีใส่เทวทูตของโรงเรียนกุหลาบ เมื่อเห็นคู่ต่อสู้หนีไป สัตว์ประหลาดขนนกก็หายตัวไปจากจุดเกิดเหตุ คล้ายกับพยายามไล่ตามเป้าหมาย แต่ถึงอย่างนั้น แยนน์·ค็อตแมนที่เพิ่งบินมาถึงจุดเกิดเหตุพร้อมกับสมบัติปิดผนึก กลับรู้สึกอึดอัดเหนือคำบรรยาย คล้ายกับตัวมันกำลังเดินเข้าใกล้ความตายเข้าไปทุกขณะ
บุคคลหนึ่งเดียวที่ไม่ใช่ครึ่งเทพได้หลบหนีไปก่อนที่แยนน์·ค็อตแมนจะมาถึง หายตัวไปจากบริเวณรอบๆ และหาไม่พบอีกเลย
อย่างไรก็ตาม แยนน์·ค็อตแมนทราบดีว่าชายคนนั้นเป็นใคร
นักผจญภัยผู้สามารถสังหารลำดับ 5 ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ ปัจจุบันกำลังโด่งดังจนเอกสารข้อมูลของชายคนนี้ถูกนำมาวางบนโต๊ะทำงานของ ‘เจ้าสมุทร’ !
แม้จะเป็นเอกสารที่ไม่สำคัญมาก แต่แยนน์·ค็อตแมนที่อยู่บนเส้นทาง ‘นักเดินเรือ’ สามารถจดจำเนื้อหาได้แม่นยำ
ชำเลืองไปทางหน้าผา มองลงไปยังจุดที่คลื่นซัดสาดเข้าหาเกาะ เจ้าสมุทรพึมพำด้วยเสียงต่ำ
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์!”
…
บนเกาะร้างที่มิอาจระบุตำแหน่ง เงาสะท้อนของไคลน์และอะซิกปรากฏขึ้นริมชายหาด
ขณะไคลน์เตรียมกล่าวบางสิ่ง ดวงตาสีน้ำตาลของอะซิก ชายผิวแทนผู้สวมสูทสุภาพและหมวกกลมทรงสูง พลันมืดลงกะทันหัน คล้ายกำลังเชื่อมต่อเข้ากับโลกอันมืดมิดและไร้ชีวิตชีวา
อะซิกใช้มือขวาคว้าอากาศ ส่งผลให้ขนนกสีขาวบนร่างไคลน์ลอยออกไปรวมกันที่ฝ่ามือของอีกฝ่าย
เพียงบีบเบาๆ ขนนกประหลาดเหล่านี้พลันอันตรธานหาย ราวกับกลายเป็นอาหารของโลกที่ไร้ชีวิตชีวา
“มิสเตอร์อะซิก ขนนกพวกนี้เกิดจากการเป่านกหวีดของนิกายวิญญาณ!” ไคลน์เปิดประเด็นด้วยข้อเท็จจริงเบื้องต้น ก่อนจะลงลึกรายละเอียด “สถานการณ์ค่อนข้างวิกฤติ ผมจึงทำให้โกลาหลยิ่งกว่าเดิมด้วยการเป่านกหวีดทองแดง มอบขนนกเปื้อนคราบน้ำมันให้กับผู้ส่งสาร หลังจากนั้นไม่นาน คล้ายกับรอบตัวผมถูกปกคลุมด้วยโลกแห่งความตาย ถึงจะรีบหนีออกจากจุดดังกล่าวโดยเร็ว แต่ก็ยังมีขนนกสีขาวติดตามร่างกาย”
อะซิกที่มีใบหน้าอ่อนโยนผงกศีรษะรับ
“แม้แต่ผมที่อยู่ไกลก็ยังสัมผัสได้… อีกฝ่ายไม่ใช่ผู้วิเศษลำดับสูงธรรมดา แต่สงสัยว่าจะเป็นผลผลิตจากโครงการมรณาเทียมของพวกนิกายวิญญาณ”
แบบนี้นี่เอง… ก็เลยมีพลังมากพอที่จะตรึงเทวทูตของโรงเรียนกุหลาบไว้ได้นาน? ไคลน์ครุ่นคิดด้วยความยินดี
อะซิกกวาดตาไปรอบตัว กล่าวต่อ
“ผมยังมีงานอื่นต้องไปทำ สิ่งนั้นจะช่วยฟื้นฟูความทรงจำกลับมาอีกมาก… หากสะสางเสร็จเมื่อไร ผมจะกลับมาหาคุณทันที ให้คุณช่วยพาไปรับแหวนที่เป็นมรดกของเทพมรณา ลางสังหรณ์บอกกับผมว่า ในอนาคตอาจต้องไปเยือนทวีปใต้หรือไม่ก็ทะเลคลั่ง… ผมขอแนะนำให้คุณหนีไปที่เมืองใหญ่อย่างเบ็คลันด์หรือไม่ก็ทรีอาร์ หากเป็นสถานที่เหล่านั้น โรงเรียนกุหลาบจะลงมือได้ไม่สะดวก ไม่กล้าทำตามอำเภอใจ… แน่นอน ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการหนีไปอยู่ใกล้กับสำนักงานใหญ่ของโบสถ์หลัก เช่นเกาะปาซู แต่นั่นก็จะมาพร้อมความวุ่นวายในด้านอื่นๆ”
ประโยคสุดท้ายของอะซิกเป็นเพียงมุกตลก เฉกเช่นที่สุภาพบุรุษชาวโลเอ็นชอบทำ ดูเหมือนว่าประสบการณ์ในชีวิตปัจจุบันจะสร้างความประทับใจให้ชายคนนี้ไม่น้อย ทั้งที่ฟื้นฟูความทรงจำเก่ากลับมาพอสมควรแล้ว แต่ก็ยังหลงเหลือเอกลักษณ์ของตัวตนปัจจุบัน
หืม… ในกรณีของผู้วิเศษที่อายุยืนยาวนับพันปี ช่วงเวลาหลายสิบปีนั้นแทบไม่ส่งผลต่อจิตใจ แต่ถ้าเป็นการเริ่มต้นจากภาวะความจำเสื่อม ช่วงเวลาเพียงยี่สิบสามสิบปีก็มากพอจะเกิดเป็นบุคลิกใหม่… ไว้ความทรงจำของมิสเตอร์อะซิกฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์เมื่อไร ค่อยมาดูว่าเขาจะกลายเป็นคนหลายบุคลิกจากความทรงจำสั้นๆ หลายช่วงหรือไม่… เป็นคำถามที่ยากจะหาคำตอบ คงต้องปรึกษามิสจัสติสไว้ล่วงหน้า เธอจะได้มีเวลาไปปรึกษากับสมาคมแปรจิต… ขณะไคลน์ครุ่นคิด เมื่อเห็นว่ามิสเตอร์อะซิกไม่ถามถึงเหตุผลที่ถูกโรงเรียนกุหลาบไล่ล่า ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอก
“มิสเตอร์อะซิก คุณมีข้อมูลของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายบ้างไหม”
อะซิกส่ายหน้า
“ก่อนจะได้อ่านจดหมายของคุณ ผมไม่เคยทราบด้วยซ้ำว่าท่านผู้นี้มีตัวตนอยู่”
ไม่รู้จักมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย? ไคลน์ผงะ ถามต่อ
“แล้วเทพผู้ถูกล่าม?”
อะซิกส่ายหน้าอีกครั้ง ถอนหายใจและยิ้ม
“ในสมัยโบราณ ท่านหรือพวกท่านอาจใช้นามอื่น”
นั่นสินะ… ในช่วงปลายยุคสมัยที่สี่ มิสเตอร์อะซิกเริ่มเข้าสู่วังวนความจำเสื่อมและฟื้นฟู ต้อง ‘เตร็ดเตร่’ บนทวีปเหนือเป็นเวลานาน ส่วนโรงเรียนกุหลาบเพิ่งถือกำเนิดขึ้นบนทวีปใต้ในช่วงต้นยุคสมัยที่ห้า… ไคลน์พยักหน้ารับ ไม่ถามสิ่งใดเพิ่มเติม และเนื่องจากอะซิกจะค่อนข้างยุ่ง จึงทำเพียงมอบคำแนะนำเล็กน้อยก่อนจะพาไคลน์ท่องโลกวิญญาณ มาส่งที่ชายฝั่งตะวันออกสักแห่งของทวีปเหนือ ทิ้งไว้บนชายหาด
เมื่อเห็นอะซิกจากไป ไคลน์ยืนมองน้ำทะเลที่กระทบเข้าฝั่งสักพัก จึงค่อยเดินไปยังเมืองใกล้เคียงอย่างไม่รีบร้อน เมื่อเห็นว่ามีถ้ำร้าง ชายหนุ่มตัดสินใจเข้าไปตั้งแท่นบูชาเรียบง่าย สร้างกำแพงวิญญาณ สังเวยยุบพองหิวโหย ลูกโม่ลางมรณะ นกหวีดทองแดงอะซิก การเดินทางของกรอซาย และดินที่เปื้อนเลือดเซนอลเข้าไปในมิติเหนือหมอกสีเทา
จากนั้น ไคลน์ถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเข้าไปในมิติลึกลับดังกล่าว นั่งบนเก้าอี้เดอะฟูลพร้อมกับเสกขวดโลหะ
เนื่องจากถูกเก็บรักษาไว้บนมิติหมอก เลือดในขวดจึงไม่แข็งตัว ไคลน์ที่สวมถุงมือและยัดสิ่งของอื่นๆ เข้าไปในร่างวิญญาณ ทำการป้ายเลือดตัวเองลงบนปก ‘การเดินทางของกรอซาย’ สองสามหยด
หืม… ทั้งที่มีตัวละครใหม่เข้าร่วม แต่ทำไมถึงไม่เริ่มเรื่องใหม่ด้วยชื่อใหม่? ไคลน์มองปกหนังสือเล่มเล็กที่ยังไม่เปลี่ยนชื่อ ตั้งคำถามกับตัวเองในใจ
แต่ยังไม่ทันจะได้คำตอบ ทัศนียภาพพลันพร่ามัว คล้ายกับรอบๆ ตัวเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตโปร่งใส
เพียงไม่นาน ฉากตรงหน้าคมชัดอย่างรวดเร็ว ไคลน์พบว่าตัวเองกำลังนั่งบนเก้าอี้ยาวริมถนน
นี่คือจุดเดิมก่อนออกไป
ระบบช่วยบันทึกการอ่านล่าสุด? ไคลน์รำพันติดตลก นำดินที่เปื้อนเลือดเซนอลออกมาถือ หักกิ่งไม้เพื่อใช้เป็นแท่งทำนาย
เมื่อได้ผลลัพธ์ ชายหนุ่มเดินออกนอกเมือง เข้าไปในป่าใกล้ๆ ริมลำธารและพบพลเรือเอกโลหิตที่ยังนอนหมดสติ
สภาพคล้ายกับผ่านมาแล้วสิบนาทีหลังจากการต่อสู้ครั้งล่าสุด!
บาดแผลเหวอะหวะบริเวณลำคอและหน้าอกเซนอลฟื้นตัวขึ้นมาก เป็นระดับความทนทายาดที่ไม่เหมือนมนุษย์เลยสักนิด
อีกราวสิบห้าถึงสามสิบนาที พลเรือเอกโลหิตจะได้สติกลับมา และอีกราวหนึ่งถึงสองชั่วโมง มันจะกลับมาเคลื่อนไหวได้ตามปรกติ
นี่คือพลังของ ‘ซอมบี้’ ลำดับก่อนหน้า ‘วิญญาณอาฆาต’ !
อันที่จริง นายยังมีโอกาสถูกเทวทูตและครึ่งเทพของโรงเรียนกุหลาบพาตัวกลับไป แต่เลือดดันบังเอิญกระเซ็นใส่การเดินทางของกรอซาย ส่งผลให้ถูกขังอยู่ในหนังสือเล่มนี้ มีเวลาเหลือเฟือให้ฉันเชือดนิ่มๆ … แต่เรื่องดีก็คือ นายไม่ต้องโดนลูกหลงตายที่นั่น… ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่… ไคลน์พึมพำพลางเก็บรายละเอียด มือข้างหนึ่งถือลางมรณะ อีกข้างหนึ่งจับคอเซนอลและปลดสร้อยคอที่ทำจากเงินแท้
จี้ที่ห้อยอยู่กับสร้อยมีลักษณะคล้ายเหรียญโบราณ ด้านหน้าและด้านหลังปกคลุมไปด้วยลวดลายและสัญลักษณ์ลึกลับ นอกจากนั้นยังสลักถ้อยคำภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“เจ้าจะโชคร้ายเท่าที่เจ้าโชคดี”
นี่คือสมบัติวิเศษช่วยเสริมดวงของพลเรือเอกโลหิต? น่าเสียดาย แม้แต่ครึ่งเทพก็มิอาจทำให้เราโชคดีขึ้นได้ การนำมาใช้เองคงไม่เกิดประโยชน์… ขายเป็นเงินดีไหม? ไม่สิ ควรถามมิสผู้ส่งสารดูก่อน ว่าสามารถใช้สิ่งนี้ชำระหนี้ได้ไหม… ไคลน์เก็บสร้อยคอ วางไว้บนก้อนหินด้านข้าง
มันกังวลว่าจะได้รับผลข้างเคียงเชิงลบขณะถืออยู่กับตัว ส่งผลให้แผนการขั้นถัดไปเกิดอุบัติเหตุ
ถัดมา ไคลน์เพ่งสมาธิ เข้าควบคุมด้ายวิญญาณของพลเรือเอกโลหิต
ชายหนุ่มต้องการสร้างหุ่นเชิดที่ใช้งานได้นานๆ เป็นตัวแรก เพื่อสรุปกฎการสวมบทบาทของ ‘นักเชิดหุ่น’
นอกจากนั้น ไม่มีหุ่นเชิดตัวไหนจะพกพาสะดวกสบายไปกว่า ‘วิญญาณอาฆาต’ อีกแล้ว!
หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที
เพียงสิบวินาที ไคลน์เข้าควบคุมขั้นต้นสำเร็จ
สัมผัสวิญญาณของเซนอลตระหนักถึงอันตรายที่เกิดกับร่างกาย จึงแสดงการขัดขืนเล็กๆ แต่เนื่องจากอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสและความคิดอ่านเชื่องช้า จึงหมดสิทธิ์ตอบโต้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผ่านไปสักพัก เมื่อครบสี่นาที ไคลน์ถอนหายใจอย่างไม่ปิดบัง
พร้อมกันนั้น ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลลืมตาขึ้น ลุกยืนและเผชิญหน้ากับไคลน์ เลื่อนมือขึ้นมาทาบหน้าอกและโค้งคำนับนอบน้อม
“อรุณสวัสดิ์นายท่าน จะให้ผมรับใช้อะไรดีครับ”
ราชันเร้นลับ 731 : เก็บเกี่ยว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ด้ายมายาสีดำที่ยื่นออกจากร่างเซนอลกำลังถูกโยงผ่านฝ่ามือไคลน์ การถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปแต่ละครั้งจะทำให้เกิดท่าทีตอบสนองต่างกัน
ในความเป็นจริง การควบคุมด้ายวิญญาณไม่จำเป็นต้องใช้สองมือ แต่ไคลน์เคยชินกับการทำแบบนี้ เพราะได้ความรู้สึกคล้ายกับกำลังควบคุมหุ่นเชิดของจริง
หืม… จากเท่าที่ดู นักเชิดหุ่นคนอื่นสามารถมองเห็นหุ่นเชิดของกันและกันได้ ดังนั้นต้องคอยระวังตัวให้ดี… ไคลน์สรุปสิ่งที่ค้นพบเบื้องต้น จากนั้นก็หันกลับมาสนใจเซนอล
พลเรือเอกโลหิตคนนี้ตายไปแล้ว ร่างวิญญาณเป็นของแถมจากสถานะหุ่นเชิด ไม่หลงเหลืออัตลักษณ์และตัวตนอีกต่อไป ดังนั้น พลังทำนายหลายๆ ชนิดจะไม่มุ่งเป้ามาหาเซนอล
อย่างไรก็ตาม การทำนายหา ‘ศพ’ ยังจะใช้ได้ผลอยู่ ไคลน์จึงมีแผนจะฆ่าเชื้อ ‘วิญญาณอาฆาต’ ตนนี้บนมิติเหนือสายหมอก จากนั้นก็ใช้เทวทูตกระดาษห่อหุ้มวัตถุที่สามารถแทนกระจกเงา ให้วิญญาณอาฆาตเข้าไปสิงในวัตถุดังกล่าว และนำวัตถุใส่กล่องบุหรี่โลหะที่ปิดผนึกด้วยกำแพงวิญญาณ เก็บไว้ด้วยกันกับนกหวีดทองแดงอะซิก เป็นการกีดขวางพลังทำนายถึงสามชั้น
ด้วยเหตุนี้ ไคลน์เชื่อว่าโรงเรียนกุหลาบแทบไม่มีโอกาสทำนายถึงพลเรือเอกโลหิตเพื่อระบุตำแหน่งตนได้เลย
สำหรับคำถามที่ว่า มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายจะทิ้ง ‘ลูกเล่น’ ไว้บนร่างเซนอลหรือไม่ ไคลน์ไม่กังวลมากนัก เพราะถ้ามารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายทิ้งลูกเล่นไว้บนร่างกายพลเรือเอกโลหิตจริงๆ ในระหว่างที่ครึ่งเทพกำลังต่อสู้กันอยู่ ท่านสามารถทำให้เซนอล ‘กลายพันธุ์’ และเล่นงานตนทันที พิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนั้น โอกาสจัดการสำเร็จมีค่อนข้างมาก
มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย หรือที่เราควรเรียกว่าเทพผู้ถูกล่าม คงใช้มาตรการเข้มงวดเพื่อควบคุมสมาชิกองค์กร อย่างเช่นการฝังคำสาปและพันธสัญญาลงในดวงวิญญาณ… สิ่งนี้สามารถอนุมานได้จากคำอธิบายของมาดามชารอน รวมถึงประสบการณ์ของเราขณะมีปฏิสัมพันธ์กับตะกอนพลังบนเส้นทางที่เกี่ยวข้อง…
ตราบใดที่เราไม่ใช้ศพของ ‘พลเรือเอกโลหิต’ ทำนายถามหาความลับของโรงเรียนกุหลาบ หรือสูตรโอสถเส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์ ปัญหาก็จะไม่เกิด… แม้แต่ตะกอนพลังมนุษย์หมาป่าที่ถูกเก็บไว้บนมิติหมอกเป็นเวลานาน จนป่านนี้ก็ยังไม่พบความผิดปรกติใด
นอกจากนั้น หากผ่านกระบวนการ ‘ฆ่าเชื้อ’ ของมิติหมอก ถึงจะมีปัญหาหลงเหลืออยู่ ก็คงถูกขจัดออกไปแล้ว… ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก นำนกหวีดทองแดงอะซิกออกจากตัว
บิดมือขวาแผ่วเบา ขยับให้ด้านที่มีลวดลายน้อยหันเข้าหาแสงแดด สะท้อนแสงคล้ายกระจก
ทันใดนั้น ใบหน้าเซนอลพลันปรากฏบนผิวโลหะของนกหวีดอย่างคมชัด
และพลเรือเอกโลหิตตรงหน้าไคลน์ก็หายไปทันที
อา… มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายอาจสามารถระบุตำแหน่งของเราได้อย่างคลุมเครือผ่านพันธสัญญาบางอย่าง แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะอีกฝ่ายสามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายหมอกสีเทาในตัวเราได้อยู่แล้ว สามารถสัมผัสถึงเราหากเข้ามาอยู่ในระยะ… นอกจากนั้น ถ้าเราใช้เซนอลเป็นโล่ในการต่อสู้ สักวันหุ่นเชิดตัวนี้ก็ต้องถูกทำลาย ไม่มีอะไรต้องกังวล… ไคลน์รู้สึกเหมือนกับคนเร่ร่อนที่กำลังติดหนี้ก้อนโต ภายในใจปราศจากความหวาดกลัว ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
แน่นอน ในบางแง่มุม มันกำลังติดหนี้ก้อนโต!
วันใดที่เราเลื่อนลำดับเป็นครึ่งเทพและซ่อนกลิ่นอายพิเศษของหมอกสีเทาได้หมดจด ถึงตอนนั้นจะเสียหุ่นเชิดไปก็ไม่เป็นอะไร… ไคลน์มองไปรอบตัว ก้มลงหยิบสร้อยคอที่ทำจากเงินแท้ เดินถอยหลังสี่ก้าว ท่องคาถาเสียงต่ำ
เนื่องจากในคราวนี้ ชายหนุ่มมิได้เข้ามาในหนังสือด้วยพิธีกรรมอัญเชิญร่างวิญญาณ จึงไม่สามารถยุติพิธีกรรมและกลับได้ทันที
หมอกสีเทารายล้อมอย่างรวดเร็ว เสียงเพรียกก้องกังวานตลอดทาง นกหวีดทองแดงอะซิกในมือไคลน์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แสดงให้เห็นว่า ไม่มีการเล่นตุกติกอะไรกับร่างกายของพลเรือเอกโลหิต
นั่งบนเก้าอี้หัวโต๊ะทองแดงยาว ไคลน์วางนกหวีดทองแดงอะซิกไว้ด้านหน้า บังคับเซนอลที่สวมแจ็คเก็ตสีแดงเข้มและหมวกทรงสามเหลี่ยมใบเก่าให้โผล่ออกมาด้านข้าง ทำท่าทางคล้ายกับพ่อบ้านที่รอรับคำสั่งเจ้านาย
“ยังเหลือสิ่งของอะไรในตัวอีก” ไคลน์ตั้งคำถาม ประหนึ่งพลเรือเอกโลหิตกำลังมีชีวิตอยู่
ชายหนุ่มกำลังลองสวมบทบาทเป็นนักเชิดหุ่น!
ในเวลาเดียวกัน ไคลน์บังคับให้เซนอลค้นทุกกระเป๋าในตัว หยิบธนบัตรสามร้อยยี่สิบห้าปอนด์ สิบหกซูล และแปดเพนนีออกมา นอกจากนั้นยังมีเหรียญทองอีกสามเหรียญ
บางที อาจเพราะต้องคอยสลับร่างเป็นวิญญาณอาฆาต เซนอลจึงไม่ได้พกสิ่งของติดตัวมากนัก
จนฉิบ… เป็นถึงนายพลโจรสลัด แต่กลับมีสมบัติวิเศษแค่ชิ้นเดียว? ที่เหลืออยู่กับโรงเรียนกุหลาบ? หรืออยู่กับโจรสลัดลูกน้อง? ไคลน์พิจารณาความเป็นไปได้อย่างจริงจัง ถึงการนำค่าหัวของพลเรือเอกโลหิตไปขึ้นในตลาดมืด
ชายคนนี้มีมูลค่าสูงถึงสี่หมื่นสองพันปอนด์!
ไม่สิ… การไปขึ้นเงินกับอาณาจักรโลเอ็นไม่ใช่เรื่องฉลาด ไม่ว่าจะเป็นกองทัพหรือโบสถ์วายุสลาตัน พวกมันล้วนต้องการตัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์ซึ่งเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย จากนั้นก็จะสอบสวนหาองค์กรลับเบื้องหลัง ไม่มีทางยอมจ่ายค่าหัวแน่ หรือถ้าจ่ายก็ต้องเป็นกับดัก…
ด้วยเหตุผลเดียวกัน ศาสนจักรและรัฐบาลของอาณาจักรอื่นคงมีแนวคิดไม่ต่างกันมากนัก ถึงทัศนคติอาจดีกว่าเล็กน้อย แต่การขึ้นค่าหัวก็ยังต้องแบกรับความเสี่ยงสูง…
นอกจากนั้น เราไม่จำเป็นต้องรีบ ไว้ค่อยอยากเปลี่ยนหุ่นเชิด ค่อยส่งตัวเซนอลไปขึ้นค่าหัวก็ไม่สาย… การมาเป็นหุ่นเชิดสักพักไม่ได้ทำให้ค่าหัวลดลงสักหน่อย… ไคลน์นึกทบทวนความคิดตัวเอง มองไปยังสร้อยสีเงินที่ห้อยจี้คล้ายเหรียญโบราณ
ชายหนุ่มใช้พลังทำนาย ตรวจสอบต้นกำเนิดและพลังของสร้อยคร่าวๆ
มีต้นตอมาจากลำดับ 5 ‘ผู้ชนะ’ ของโรงเรียนชีวิต หลังจากสุภาพบุรุษรายนี้เสียชีวิตลงด้วยเงื้อมมือของครึ่งเทพโรงเรียนกุหลาบ ตะกอนพลังได้รวมเข้ากับสร้อยเงินธรรมดาที่เขาพกติดตัว เกินเป็นสมบัติวิเศษ
ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมยอดฝีมือลำดับ 5 ถึงสวมสร้อยเงินธรรมดาๆ ไคลน์มิอาจทำนายหาคำตอบ อาจเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นนานแล้ว หรือไม่ก็ถูกกัดกร่อนจนบิดเบี้ยว
สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีประโยชน์สองสิ่ง หนึ่งคือการทำให้ผู้สวมใส่ประสบความโชคดี หากเป็นในชีวิตประจำวันปรกติ เจ้าของสร้อยจะพบเจอสิ่งดีๆ เป็นระยะ งานการลุล่วงอย่างง่ายดาย แต่หากเผชิญกับอันตรายร้ายแรงระหว่างต่อสู้ จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ช่วยให้รอดชีวิตได้ราวกับปาฏิหาริย์ โดยผลของอย่างหลังจะอยู่ได้นานสิบนาที
ประการที่สอง มอบโชคร้ายกับศัตรูแบบสั่งได้ ทำให้เป้าหมายอับโชค ไม่ว่าจะในชีวิตประจำวันหรือการต่อสู้ ทุกการกระทำมีแนวโน้มที่จะเกิดอุบัติเหตุ
ผลเสียของสร้อยก็คือ ‘กฎการอนุรักษ์โชคชะตา’ หากประสบความโชคดี ผู้สวมก็ต้องเผชิญโชคร้ายเป็นการแลกเปลี่ยน ถ้าเคยโชคดีมากแค่ไหน ความโชคร้ายก็จะรุนแรงในระดับเดียวกัน ผลข้างเคียงของมันทำให้เจ้าของต้องมีสมาธิตลอดเวลา คอยหลบหลีกความผิดปรกติรอบตัวอย่างตั้งใจ ไม่งั้นอาจเสียชีวิตเอาง่ายๆ ในสภาพน่าสมเพช อีกทั้งยังมีฤทธิ์เล่นงานคนรอบตัว
สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ดวงชะตาจะพลิกผันหลังจากประสบความโชคดีครบหนึ่งเดือน โดยไม่ว่าจะสวมสร้อยไว้หรือไม่ โชคร้ายก็จะยังตามหลอกหลอน แต่ถึงอย่างนั้น ความโชคร้ายจะค่อยๆ มาในรูปแบบที่ไม่รุนแรงนัก ระดับความอันตรายไม่สูงมาก
หากเป็นกรณีของโชคดีที่ได้รับในการต่อสู้ เมื่อผ่านไปครบสิบนาที โชคร้ายจะย้อนกลับมาเล่นงานด้วยความรุนแรงที่เท่าเทียม
ประเมินจากภาพรวม มันเป็นสมบัติวิเศษที่ค่อนข้างดี แต่ไม่มีประโยชน์กับเราสักเท่าไร เพราะแม้แต่ ‘สภาแห่งชะตา’ ริคคาร์ดก็ยังมีพลังไม่มากพอจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเรา… เอาเป็นว่า ตอนนี้ใส่ไปก่อนก็แล้วกัน เพราะมันแทบไม่ส่งผลเสียกับเราเลย ถ้ามีก็โอกาสขายก็จะไม่ลังเล รีบใช้หนี้ของมิสผู้ส่งสารให้หมด… มิสผู้ส่งสารต้องการเหรียญทอง การแลกเปลี่ยนเหรียญทองหนึ่งหมื่นเหรียญผ่านธนาคารทั่วไปและตลาดมืดในคราวเดียวคงทำได้ยาก… ดูเหมือนว่าต้องแบ่งงานกันทำ ค่อยๆ ให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์ช่วยกันรับผิดชอบ… ไคลน์สรุปแผนการในอนาคต ถือวิสาสะมอบชื่อใหม่ให้สร้อยคอ
“ตาชั่งโชคชะตา!”
จากนั้น ชายหนุ่มจ้อง ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลที่ยืนอยู่ด้านข้าง ศึกษาอย่างถี่ถ้วนว่าวิญญาณอาฆาตมีพลังแบบใด
บังคับสิงร่าง ควบคุมร่าง เสียงหวีดร้องของวิญญาณอาฆาต ผิวกระจกสั่นไหว ทะลวงผ่านสิ่งกีดขวาง คาถามรณะ และการหายตัวที่ผู้วิเศษลำดับต่ำถึงกลางตรวจจับไม่ได้… ไคลน์ระบุทีละหนึ่ง และนำมาผนวกกับข้อมูลที่ชารอนกับมาริคเคยเล่าให้ฟัง รวมถึงประสบการณ์ต่อสู้จริง
ชายหนุ่มรีบสรุปผล ด้วยเกรงว่าเทียนไขในโลกจริงจะดับมอดเสียก่อน ถ้ำที่ปราศจากแสงสว่างไม่เป็นมิตรกับคนที่กลัวความมืดสักเท่าไร
ไคลน์เสกกระดาษรูปคนขึ้นจากกองขยะ จับคู่กับไพ่จักรพรรดิมืด อาศัยพลังของมิติเหนือหมอกสีเทาเล็กน้อย ผสานกันเป็น ‘เทวทูต’ ที่สามารถต่อต้านการทำนายถึง
เทวทูตกางปีกออก โอบกอดเหรียญทองแนบแน่น ผิวเหรียญกำลังสะท้อนใบหน้าของเซนอล
ถัดมา ไคลน์นำเหรียญทอง นกหวีดทองแดงอะซิก ลูกโม่ลางมรณะ กระเป๋าเดินทาง และสิ่งของจิปาถะกลับสู้โลกความจริง ส่วนยุบพองหิวโหยและการเดินทางของกรอซาย อย่างแรกเป็นเพราะไม่มีอาหาร ส่วนอย่างหลังไม่ควรพกติดตัวนานเกินไป ไม่อย่างนั้นอาจดูดไคลน์เข้าไปในหนังสือกะทันหัน พวกมันจึงต้องถูกทิ้งไว้ในกองขยะของห้วงมิติเหนือหมอกสีเทา
กลับมายังถ้ำ ไคลน์นำเหรียญทองและนกหวีดทองแดงอะซิกบรรจุลงในกล่องบุหรี่โลหะ ลงมือผนึกด้วยกำแพงวิญญาณอีกชั้น
หลังจากเก็บกวาดที่เกิดเหตุและเปลี่ยนเป็นชุดสุภาพ ชายหนุ่มแบกกระเป๋าเดินทาง เดินไปตามย่านชุมชนริมชายหาด จนกระทั่งพบว่าตัวเองอยู่ในบริเวณใกล้เคียงท่าเรือพริสต์
ไคลน์ไม่ตรงกลับเบ็คลันด์ทันที แต่เปลี่ยนใบหน้า ขึ้นรถจักรไอน้ำ มุ่งหน้าไปยังเมืองคอนแนนท์ในอ่าวเดซีย์ โดยมีแผนจะอ้อมจากที่นั่นกลับเบ็คลันด์และเปลี่ยนตัวตนอีกครั้ง
…
ท่าเรือแบนชี
ท่ามกลางแสงแดดยามบ่าย อัลเจอร์·วิลสันมองดูเมืองที่ถูกทำลายย่อยยับ
อาคารบ้านเรือนกลายเป็นเศษซาก พื้นดินเป็นหลุมเป็นบ่อ ร่องรอยไหม้เกรียมหลายจุด
ฉากทำนองนี้ทอดยาวเข้าไปในส่วนลึกของเกาะ แม้แต่ภูเขาก็ยังถล่ม
ปัจจุบันไม่มีคนของโบสถ์วายุสลาตันคอยเฝ้าระวังรอบซากปรักหักพัง เนื่องจากที่นี่ไม่หลงเหลืออะไรแล้ว ส่วนแผนการสร้างท่าเรือใหม่ยังไม่ได้อยู่ในวาระการประชุม
อัลเจอร์กระโดดลงจากโทสะสีคราม เดินวนเวียนในซากปรักหักพัง ไม่พบสิ่งของมีค่า
“ไปกันเถอะ” มันออกคำสั่งเยือกเย็น
เพียงไม่นานก็กลับขึ้นเรือ แล่นออกจากเกาะ
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ร่างหนึ่งโผล่ออกจากส่วนลึกของซากปรักหักพัง
สวมเสื้อคลุมนักบวชสีดำกระดุมสองแถว ผมสีทองเข้ม ใบหน้าชัดลึก คล้ายกับประติมากรรมโบราณ ปราศจากริ้วรอยใดๆ
รูม่านตาเป็นสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ ดูราวกับไร้วิญญาณ แต่หากมองเข้าไปจะพบเส้นเลือดฝอยจำนวนมหาศาลอัดแน่น
ราชันเร้นลับ 732 : จุดสิ้นสุด
โดย
Ink Stone_Fantasy
แคว้นเดซีย์ เมืองคอนแนนท์ อาคารหมายเลข 67 ถนนฟีนิกซ์
ไคลน์สวมใบหน้ามาตรฐานของชาวโลเอ็น ก้าวขาไปข้างหน้า สั่นกระดิ่ง
ไม่ถึงหนึ่งนาที ประตูเปิดออกด้วยเสียงแอ๊ด สาวใช้ในชุดสีดำสลับขาวจ้องมองสองสามวินาที ถามด้วยความสงสัย
“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ กำลังมองหาใครหรือ”
“ผมกำลังตามหามาดามเนลล์ ผมเป็นเพื่อนกับเดวีย์·เรดมอนด์บิดาของเธอ” ไคลน์ตอบสุขุม
เดวีย์·เรดมอนด์คือ ‘ฝันร้าย’ ที่ชายหนุ่มปลดปล่อยจากยุบพองหิวโหย สังกัดหน่วย ‘ถุงมือแดง’ ของเหยี่ยวราตรี ห้วงคำนึงสุดท้ายก่อนตายคือบุตรสาวของเขา เนลล์·เรดมอนด์ เดวีย์ไม่สามารถทำหน้าที่พ่อได้อย่างสมบูรณ์ นั่นทำให้เขารู้สึกผิดมากที่ทำให้เธอต้องรู้สึกเหมือนกับสูญเสียบิดาไป ทั้งที่เพิ่งเสียมารดาทั้งคน ไคลน์ให้สัญญากับเดวีย์ หากมีโอกาส จะแวะไปเที่ยวชมเมืองชายฝังอันงดงามแห่งนี้และเยี่ยมเยียนลูกสาว
หลังจากตระเวนสอบถามข้อมูลล่วงหน้า ไคลน์เริ่มเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของเนลล์·เรดมอนด์ หลังจากที่เธอจบการศึกษาจากโรงเรียนสามัญ ก็เข้าทำงานกับ ‘มูลนิธิเด็กและสตรี’ ของโบสถ์เทพธิดารัตติกาลทันที รับค่าจ้างรายสัปดาห์อยู่ที่สองปอนด์ สิบซูล ค่อนข้างเป็นที่อิจฉาของเพื่อนบ้าน
นอกจากนั้น เธอยังได้รับมรดกจากบิดาที่เป็น ‘พ่อค้า’ มาจำนวนหนึ่ง ส่วนสิ่งนั้นจะเป็นอะไรและมูลค่าเท่าไร ไม่มีใครทราบ รู้เพียงว่าเนลล์ร่ำรวยกว่าชนชั้นกลางส่วนใหญ่
โดยทั่วไป สตรีที่มีพอจะมีเงินใช้สอย จะค่อนข้างระมัดระวังเรื่องการแต่งงาน พิถีพิถันกับการเลือกคู่ครอง ส่วนมากจึงแต่งงานช้ากว่าปรกติ แต่หลังจากเนลล์ทำงานได้เพียงหนึ่งปี เธอตกลงปลงใจแต่งงานกับหนุ่มข้าราชการคนหนึ่งทันที
เนื่องจากทั้งสองฝ่ายเป็นผู้เชื่อของเทพธิดารัตติกาล เนลล์จึงไม่ได้ใช้นามสกุลของสามี ยังคงมีชื่อเต็มว่าเนลล์·เรดมอนด์ดังเดิม และอาศัยอยู่ที่บ้านหมายเลข 67 ถนนฟีนิกซ์ ไม่เคยย้ายออกไปไหน
ได้ยินคำตอบไคลน์ สาวใช้บอกให้ยืนรอ ส่วนเธอรีบกลับไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อแจ้งกับคุณนายเจ้าของบ้าน
โดยไม่ต้องคอยนาน สตรีในชุดอยู่บ้านเดินมาที่ประตู เส้นผมของเธอสีดำขลับ ดวงตาสีฟ้า ใบหน้าผอมเพรียว เค้าโครงมีเสน่ห์ ละม้ายคล้ายกับเดวีย์หลายส่วน
“สายัณห์สวัสดิ์ มิสเตอร์ ดิฉันคือเนลล์ ลูกสาวของเดวีย์·เรดมอนด์… ขอถามได้ไหมคะว่าคุณได้พบกับพ่อตอนไหน?”
ไคลน์ถอดหมวก ยิ้มและกล่าว
“รู้จักกันในทะเล…. ผ่านมาแล้วหลายปี”
เนลล์·เรดมอนด์ชำเลืองอีกฝ่ายด้วยสายตาเจือความระแวง
“คุณอาจไม่ทราบ แต่เขาเสียแล้ว”
ไคลน์ถอนหายใจ
“ผมทราบ… ผมมีโอกาสได้รู้จักเขาจากเหตุการณ์ดังกล่าว ตอนนั้นเขาสั่งเสียงไว้บางอย่าง แต่ผมเคยคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ… อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านมาหลายปี ยิ่งขบคิด ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องนำมาบอกคุณให้ได้”
“อย่างนั้นหรือ…” เนลล์กล่าวเสียงแผ่ว “เชิญเข้ามาก่อน คุณจะรังเกียจไหมถ้าสามีของฉันนั่งฟังด้วย?”
“แล้วแต่คุณเลย” ไคลน์ตอบสุขุม
เนลล์พยักหน้า พาไคลน์เข้าไปในห้องอ่านหนังสือ ส่วนสามีของเธอ พนักงานข้าราชการที่มีหน้าตาธรรมดาค่อนไปทางอ่อนโยน วางหนังสือพิมพ์ลงและเดินตามเข้าไป
เมื่อทั้งสองฝ่ายแยกกันนั่ง ไคลน์จ้องคู่สามีภรรยาบนโซฟาฝั่งตรงข้าม กล่าวหลังจากใคร่ครวญ
“ในอดีต มิสเตอร์เดวีย์·เรดมอนด์เคยประสบโศกนาฏกรรม… เขาต้องสูญเสียพ่อแม่ ภรรยา และพี่น้อง”
เนลล์พยักหน้าไร้อารมณ์
“ฉันรู้”
ไคลน์เว้นวรรคสักพัก กล่าวต่อ
“เขาแสร้งทำตัวเป็นพ่อค้า แต่ความจริงแล้วกำลังตามล่าฆาตกรที่ก่อเหตุ”
“ฉันรู้” เนลล์กล่าวโดยไม่โต้แย้ง
ไคลน์ชำเลือง เล่าต่อไป
“เขาทุ่มเทให้กับเรื่องนี้มาก และนึกเสียใจที่ไม่มีเวลาอยู่กับคุณมากนัก ทำให้คุณรู้สึกเหมือนเสียพ่อไปพร้อมกับแม่”
เนลล์เงียบงันสักพัก ตอบกลับ
“ฉันรู้!”
ไคลน์ชำเลืองมองหนังสือเก่ารอบตัว ถอนหายใจเงียบ
“เขากล่าวว่า ความปรารถนาสุดท้ายในชีวิตคือการได้เห็นคุณแต่งงานและมีครอบครัวภายใต้ร่มเงาของเทพธิดา ไม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนเมื่อก่อน… ตอนนี้ผมคิดว่าเขาน่าจะกำลังมีความสุข”
สายตาเนลล์ค่อยๆ ขยับออกจากไคลน์ ริมฝีปากขยับขึ้นเล็กน้อย ใช้เวลาสักพักก่อนจะตอบ
“ฉันรู้”
ไคลน์โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ประสานมือและกล่าว
“เขาบอกว่า ตัวเขาอาจต้องตายในทะเล จึงฝากมาบอกคุณ คนร้ายทั้งหมดล้วนได้รับโทษอย่างสาสมแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องเคียดแค้นใครอีก… ยังกล่าวด้วยว่า เขารักคุณมาก และเขาเสียใจมากจริงๆ”
เนลล์เงียบงันสองสามวินาที กะพริบตาหนึ่งครั้ง มองไปด้านข้างด้วยอารมณ์คลุมเครือ
“ฉันรู้”
ไคลน์จ้องหญิงสาวด้วยแววตาลุ่มลึก ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“ผมถ่ายทอดไปหมดแล้ว… ขอตัวกลับก่อน”
เนลล์ตอบสนองด้วยความเงียบ ส่วนสามีพยักหน้าเบาๆ เชิงขอบคุณ
ไคลน์หันหลังกลับ เดินไปที่ทางเข้าห้องอ่านหนังสือ แต่ขณะจับลูกบิด เสียงอันแหบพร่าของเนลล์ดังขึ้น
“คุณ… คิดว่าเขาเป็นคนแบบไหน”
ไคลน์เงียบสักพัก หันหลังกลับ ยกมุมปากยิ้ม
“ผู้พิทักษ์”
โดยไม่มัวเสียเวลา ชายหนุ่มเปิดประตูห้องอ่านหนังสือ เดินตรงไปยังราวแขวนเสื้อโค้ท
สวมหมวกกลมทรงสูงเสร็จ ขณะไคลน์เดินออกจากบ้านเลขที่ 67 ถนนฟีนิกซ์ เสียงสะอื้นที่พยายามระงับดังขึ้นจากข้างใน
ส่ายศีรษะแผ่วเบา ไคลน์เดินออกจากบล็อกถนน เข้าไปในวิหารท้องถิ่นของเทพธิดารัตติกาล
ผ่านทางเดินที่เงียบสงบและค่อนข้างมืด ชายหนุ่มนั่งเก้าอี้แถวที่เจ็ดจากด้านหลัง หันหน้าไปทางตราสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์สีดำสนิทที่ด้านในมีรูปพระจันทร์แดงครึ่งซีกและหมู่ดาราสุกสว่าง ถอดหมวกออก ก้มศีรษะลง เลื่อนมือขึ้นมาประสานใต้ริมฝีปาก ทำตัวตามธรรมชาติเหมือนกับสาวกส่วนใหญ่
ท่ามกลางความเงียบสงบ กระแสเวลาไหลผ่านอย่างรวดเร็ว ไคลน์บรรจงลืมตา ยืนขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง
ในจุดที่ชายหนุ่มเคยนั่ง มีสิ่งของบางอย่างถูกวางไว้ในสภาพห่อกระดาษ
ไคลน์เดินไปตามทาง ออกจากโถงสวดมนต์ จนกระทั่งถึงประตูวิหาร
ขณะยืนหันหลังให้ห้องโถง ในสภาพสวมหมวกทรงกึ่งสูง ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นและดีดนิ้ว
เป๊าะ!
กระดาษที่ห่อวัตถุปริศนาซึ่งวางไว้บนเก้าอี้เริ่มลุกไหม้ ดึงดูดความสนใจจากเหล่านักบวช เมื่อมีนักบวชคนหนึ่งวิ่งเข้ามาใกล้ เปลวไฟพลันดับมอด เหลือทิ้งไว้เพียงวัตถุสีดำเข้มคล้ายอัญมณี
นี่มัน… แม้นักบวชจะไม่ทราบว่าวัตถุชิ้นนี้คืออะไร แต่สัมผัสวิญญาณได้ร้องเตือนว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก!
เมื่อกลุ่มนักบวชพยายามวิ่งตามออกมานอกวิหาร พวกมันพบว่า สุภาพบุรุษสวมโค้ทหางยาวและหมวกทรงกึ่งสูงได้หายตัวไปแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น
ไคลน์ที่ได้รับตัวตนใหม่จากตลาดมืดท้องถิ่น เดินทางมาถึงสถานีรถจักรไอน้ำ
มือข้างหนึ่งถือตั๋วชั้นสองมูลค่าสิบแปดซูลและเอกสารประจำตัว อีกข้างหนึ่งถือกระเป๋าหนังสีดำ ยืนตัวตรงบนชานชาลา รอให้รถไฟเที่ยวเบ็คลันด์แล่นมาจอด
ปัจจุบัน ชายหนุ่มอยู่ในรูปลักษณ์ของสุภาพบุรุษวัยกลางคนอายุเกือบสี่สิบ สูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรเล็กน้อย ผมสีดำแซมเทา ดวงตาสีน้ำเงินเข้มคล้ายทะเลสาบยามค่ำคืน ใบหน้าค่อนข้างมีเสน่ห์ มอบบรรยากาศหนุ่มใหญ่พิถีพิถัน
ก้มมองเอกสารประจำตัวในมือ กระจกตาไคลน์สะท้อนชื่อปัจจุบัน
“ดอน·ดันเตส”
ครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มวางกระเป๋าเดินทางลง เปิดออกและยัดเอกสารประจำตัวทั้งหมดเข้าไป
ในกระเป๋าเดินทางมีกล่องไม้สีดำใบเล็ก เป็นกล่องบรรจุเถ้ากระดูกของอดีตทหารโลเอ็น รอนเซล·เอ็ดเวิร์ด
ขณะไคลน์จัดกระเป๋า เสียงหวูดดังขึ้นข้างใบหู หัวรถจักรไอน้ำซึ่งกำลังพ่นควันขาวท่วมท้น แล่นเข้ามาจอดยังชานชาลาด้วยความเร็วที่ค่อยๆ ลดลง
ชายหนุ่มเงยหน้ามองตรง กระซิบกับกระเป๋าเดินทางด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ได้เวลากลับบ้านแล้ว”
ไคลน์ยืนตัวตรง ถือสัมภาระเดินไปยังประตูห้องโดยสารที่เปิดอยู่
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตเชอร์วู้ด บ้านเลขที่ 26 ถนนคิงสเตอร์
เบ็นสันถอดหมวกและเสื้อคลุมส่งให้สาวใช้ มองไปทางน้องสาวของตน – เมลิสซ่าในห้องนั่งเล่นที่กำลังตั้งใจอ่านหนังสือ
“การสอบจะเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายนสินะ… ในที่สุดเธอก็จะได้ลิ้มรสนรกแห่งการเรียนและอ่านหนังสือเหมือนที่ฉันเคยเผชิญ”
เมลิสซ่าไม่เงยหน้ามอง พูดขณะอ่าน
“ฉันเรียนหนักทุกวันอยู่แล้ว”
“แต่มุกตลกน่า… เมลิสซ่า หัดมีอารมณ์ขันบ้าง มนุษย์จะไปต่างอะไรกับลิงบาบูนขนหยิกถ้าไม่มีอารมณ์ขัน?” เบ็นสันพูดพลางยิ้ม
เมลิสซ่าชำเลืองด้วยหางตา
“คราวก่อนนายไม่ได้พูดแบบนี้”
เธอไม่ได้สนใจเรื่องที่มนุษย์ไร้อารมณ์ขันจะมีสถานะเทียบเท่าลิงบาบูนขนหยิก เพียงเปลี่ยนไปถามประเด็นอื่น
“ข้าราชการเลิกงานช้าแบบนี้เป็นประจำเลยหรือ”
“เปล่า… ช่วงนี้มีหลายๆ อย่างเกิดขึ้น เธอเองก็น่าจะรู้… ไม่สิ เธอคงไม่รู้ ท่ามกลางการปฏิรูปครั้งใหญ่ งานก็ต้องส่งให้ทันเวลา ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานก็ต้องรักษา เรื่องพวกนี้ชวนให้สิ้นเปลืองพลังใจมาก” เบ็นสันเหลือบมองกระจกในห้องนั่งเล่น อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นและสางผม สีหน้าค่อนข้างเหนื่อยหน่าย “แม้ว่าฉันจะเป็นแค่พนักงานตัวเล็กๆ ของกระทรวงการคลัง แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้มีงานน้อยลง ข่าวดีเรื่องเดียวในช่วงนี้ก็คือ ในที่สุดก็ผ่านช่วงเวลาทดลองงานสุดระยำได้เสียที ต่อไปนี้ฉันจะได้ค่าจ้างสัปดาห์ละสามปอนด์!”
เมลิสซ่าวางหนังสือลง เดินไปที่ห้องกินข้าวพลางพูดกับเบ็นสัน
“ถึงเวลาข้าวเย็นแล้ว”
เว้นวรรคเล็กน้อย เธอกล่าวต่อด้วยสีหน้าขึงขัง
“ฉันเคยเห็นในหนังสือพิมพ์ เขาบอกว่ายางไม้ดอนนิงส์แมนมีสรรพคุณช่วยเร่งการเจริญเติบโตของเส้นผม”
สีหน้าเบ็นสันพลันบิดเบี้ยว
…
วู้~!
ท่ามกลางเสียงหวูด หัวรถจักรไอน้ำแล่นเข้าสู่กรุงเบ็คลันด์
ไคลน์หยิบกระเป๋าเดินทาง เป็นอีกครั้งที่ได้ใช้ฝ่าเท้าเหยียบลงบนผืนแผ่นดินของ ‘มหานครแห่งหมู่นคร’ และ ‘ดินแดนแห่งความหวัง’ ชายหนุ่มพบว่าหมอกควันบางลงกว่าเดิม ไม่เข้มข้นคละคลุ้งเหมือนสมัยอดีต โคมไฟแก๊สบนชานชาลาไม่ต้องถูกเปิดก่อนเวลาอันควรเพื่อคอยมอบแสงสว่างท่ามกลางมลพิษ
มองไปรอบตัว ไคลน์เดินออกจากสถานีรถจักรไอน้ำ ต่อขบวนด้วยรถไฟใต้ดินและรถม้า ตรงมายังสุสานของวิหารวายุสลาตันสุดเขตตะวันตก
จากนั้น ชายหนุ่มสละเงินเล็กน้อยเพื่อบรรจุกล่องเถ้ากระดูกของรอนเซล·เอ็ดเวิร์ดลงในตู้
ผ่านไปหนึ่งร้อยหกสิบห้าปี ในที่สุดทหารหนุ่มของโลเอ็นก็ได้กลับบ้าน
ถอยหลังออกมา ไคลน์จ้องมองสักพักด้วยสายตาลุ่มลึก สะบัดกระดาษให้แข็งเหมือนเหล็ก สลักถ้อยคำไว้ที่ฝาตู้
“รอนเซล·เอ็ดเวิร์ด”
ชายหนุ่มหลับตาลง เขียนอีกครั้ง
“ทุกการเดินทางย่อมมีจุดสิ้นสุด”
(จบบทที่สาม)
ราชันเร้นลับ 733 : การกลับมา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่ว่าจะสายฝนโปรยปราย กลุ่มหมอกเจือจาง ทิวแถวโคมไฟถนนที่กำลังมอบแสงสว่างอย่างยากลำบาก หรือกลุ่มรถม้าที่แล่นผ่านไปมาเป็นครั้งคราว ทั้งหมดคือฉากยามค่ำคืนที่พบเห็นได้บ่อยในกรุงเบ็คลันด์
นอกจากสิ่งเหล่านี้ ไคลน์ผู้กำลังยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เริ่มสังเกตเห็นอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดี
กริ๊ง กริ๊ง!
ท่ามกลางเสียงอันคมชัดและกังวาน ยานพาหนะประหลาดที่มีเพียงสองล้อกำลังแล่นอยู่ริมถนน ก่อนจะหักเลี้ยวไปยังถนนอีกเส้น – โครงแกนกลางของยานพาหนะมีสีดำเข้ม แต่ส่วนอื่นเป็นโลหะสีเทาอมขาว สะท้อนแสงจากโคมไฟแก๊สบนถนนจนเกิดความแวววาว
ด้านบนของยานพาหนะชนิดนี้มีบุรุษสวมชุดพนักงานไปรษณีย์ ขาทั้งสองข้างกำลังหมุนเป็นวงกลมอย่างขยันขันแข็ง ด้านหลังมีกล่องไม้สีเขียวถูกมัดติด
ผลักดันกันเต็มที่เลยสินะ… ไคลน์ ผู้แต่งกายด้วยเชิ้ตสีขาวและเสื้อกั๊กสีดำในมาดหนุ่มใหญ่ เฝ้ามองฉากตรงหน้าพลางถอนหายใจเงียบ
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากกลับถึงเบ็คลันด์ ชายหนุ่มได้พบกับยานพาหนะแปลกๆ แต่คุ้นเคยจำนวนมาก – ไม่ใช่สิ่งใดนอกจาก ‘จักรยาน’ ที่ตนมีหุ้นส่วนและพยายามผลักดันอย่างเต็มที่!
จากหนังสือพิมพ์ ไคลน์ได้ทราบว่าบริษัทจักรยานเบ็คลันด์ลงโฆษณามากมายในทุกวัน นอกจากนั้นยังมีการจัดแข่งจักรยานในเขตเชอร์วู้ดและย่านสะพานเบ็คลันด์เพื่อดึงดูดความสนใจ มีนโยบายส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐนำไปใช้งาน ไม่ว่าจะไปรษณีย์ กรมตำรวจ หรืออื่นๆ โดยผลลัพธ์ออกมาน่าพึงพอใจมาก
กลยุทธ์การกำหนดราคายังเป็นไปตามคำแนะนำของไคลน์ หลีกเลี่ยงชนชั้นกลางและชั้นสูงที่มักใช้รถม้า กำหนดกลุ่มเป้าหมายหลักให้เป็นแรงงานฝีมือดีที่มีรายรับหนึ่งปอนด์สิบซูลต่อสัปดาห์ขึ้นไป รวมถึงนักเรียนเกรดดีและพนักงานของรัฐที่ต้องเดินทางบ่อย ราคาจึงตกอยู่ที่คันละสามถึงห้าปอนด์ สามารถซื้อได้ไม่ยากหากทนกระเบียดกระเสียรสักพัก ขณะเดียวกันก็ยังเป็นสิ่งที่สามารถใช้โอ้อวดกับคนรายได้ต่ำกว่า
แต่ปัญหาตอนนี้ก็คือ เบ็คลันด์มีฝนตกบ่อยเกินไป นักปั่นไม่สามารถขับมือเดียวและถือร่มไปพร้อมกันได้… ลำดับถัดไปคงต้องเป็นเสื้อกันฝนสินะ… ไคลน์ถอนสายตากลับ ส่ายหน้าแผ่วเบา
ปัจจุบัน ชายหนุ่มอาศัยในโรงแรมหรูหราของเขตฮิลสตัน ราคาสิบซูลต่อหนึ่งคืน ค่อนข้างแพงสำหรับไคลน์ แต่เพื่อให้สอดคล้องกับบุคลิกของตัวตนใหม่ มันจำต้องกัดฟันทน
ตามความคิดของไคลน์ ดอน·ดันเตสคือเศรษฐีลึกลับที่มาจากอ่าวเดซีย์และศรัทธาในเทพธิดารัตติกาล ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับที่ดินและเหมืองแร่ หวังแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ภายในกรุงเบ็คลันด์ มีความสนใจที่จะบริจาคเงินเพื่อให้ได้รับบรรดาศักดิ์ขุนนาง แต่ในช่วงแรกยังไม่ได้มีเงินเหลือกินเหลือใช้ จำเป็นต้องขยายแวดวงทางสังคมและลงทุนทำกำไรเสียก่อน
ข้อดีของตัวตนนี้ก็คือ แตกต่างจากทุกบทบาทที่ไคลน์เคยสวมโดยสิ้นเชิง และยังสามารถเข้าถึงบุคคลในแวดวงชนชั้นกลางและชั้นสูงได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะคนในสโมสรนายทหารและบิชอปของโบสถ์รัตติกาลประจำกรุงเบ็คลันด์ ส่งผลให้ค่อนข้างสะดวกต่อการค้นหาความจริงเบื้องหลังโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน นอกจากนั้นยังมีโอกาสรวบรวมข้อมูล ร่างแผนขโมยสมุดบันทึกของตระกูลอันทีโกนัสด้านหลังประตูยานิสในมหาวิหารนักบุญแซมมวล
แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน เศรษฐีซึ่งมีปูมหลังเป็นปริศนาย่อมถูกจับตามองโดยเหยี่ยวราตรีและทูตพิพากษา ถูกขุดคุ้ยประวัติลึกไปถึงระดับหนึ่ง
จากประสบการณ์ของไคลน์ การสืบสวนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติมักถูกโยนให้หน่วยงานอื่นทำ เช่นกรมตำรวจสามัญ และการสืบสวนก็ไม่ค่อยเอาจริงเอาจังสักเท่าไร ทำเพียงผิวเผินพอเป็นพิธี
ดังนั้น ไคลน์ที่เชี่ยวชาญด้านการปลอมตัวจึง ‘ออกแบบ’ ความซับซ้อนของตัวละครชั้นที่สองให้ดอน·ดันเตส ไว้รับมือกับการถูกคุ้ยประวัติโดยเฉพาะ
ในความซับซ้อนชั้นที่สอง ด้วยเหตุผลบางประการ ดอน·ดันเตสเป็นชายที่เคยเดินทางไปทั่วฝั่งตะวันตกและตะวันออกของจักรวรรดิไบลัมบนทวีปใต้ ดำรงชีวิตที่นั่นด้วยนามแฝงนานนับสิบปี แสวงหาโอกาสท่ามกลางอันตราย สั่งสมความมั่งคั่ง
เนื่องจากที่มาของเงินไม่ค่อยขาวสะอาด จึงแอบกลับไปที่อ่าวเดซีย์อย่างลับๆ ปลอมแปลงตัวตนใหม่ เตรียมเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเบ็คลันด์ และค่อยๆ เปลี่ยนให้ทรัพย์สินของตนเป็นสิ่งถูกกฎหมาย
บุคคลทำนองนี้มีอยู่มากในโลกเอ็น เป็นเรื่องราวที่ตำรวจสามารถยอมรับได้ และเพื่อให้ตัวตนในชั้นที่สองสมจริง ไคลน์ลงทุนสร้างเบาะแสปลอมๆ ที่ดูน่าสงสัยไว้ในเมืองคอนแนนท์ กระตุ้นให้ ‘ความจริง’ จอมปลอมถูกเปิดโปงโดยเร็ว
หนึ่งในเบาะแสก็คือ ต้นขั้วของตั๋วเรือเที่ยวจากไบลัมตะวันออกมายังเมืองคอนแนนท์ ทางตำรวจจะได้เริ่มสาวไปถึงเรื่องที่เคยอาศัยอยู่บนทวีปใต้ รวมถึงความร่ำรวยที่ไม่ทราบที่มา
ไคลน์เชื่อว่า ตราบเท่าที่ดอน·ดันเตสไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติครั้งใหญ่ การเตรียมตัวเพียงเท่านี้มากพอจะช่วยให้ตำรวจยุติการขุดคุ้ยประวัติลึกลงไป
และถึงจะบังเอิญได้เจอกับผู้วิเศษทางการแสนขยัน ต้องการสืบสวนประวัติของตนลึกลงไป ทำถึงขั้นสอบถามข้อมูลจากพวกพ้องบนทวีปใต้ ดอน·ดันเตสยังมีตัวตนชั้นที่สามไว้คอยรองรับ – นักตุ้มตุ๋นที่มีพลังต่อต้านการทำนายและวางแผนปลอมตัวเป็นเศรษฐีลึกลับ ทุ่มเงินก้อนโตเพื่อหลอกลวงผู้คนครั้งสุดท้าย
ตัวตนนี้มากพอจะทำให้ดอน·ดันเตสคือบุคคลผิดกฎหมาย แต่ระดับความสนใจจะไม่สูงมาก ช่วยให้ไคลน์มีเวลาพอจะหนีอย่างเงียบเชียบ อันตรธานหายไปจากเวที
เมื่อเทียบกับการมาเยือนเบ็คลันด์ครั้งแรก เราเติบโตขึ้นมากที่คิดออกแบบตัวตนอันซับซ้อนเผื่อไว้ถึงสามชั้น… ไคลน์เดินไปยังใจกลางห้องอย่างไม่รีบร้อน จ้องกระจกยาวเต็มตัวตรงมุม
ในกระจกเงา ผมสีดำของชายหนุ่มมีสีขาวแซมเล็กน้อย ดวงตาลุ่มลึก อัดแน่นด้วยประสบการณ์อันหลากหลาย เป็นชายวัยกลางคนที่มีมาดหนุ่มใหญ่รสนิยมดี
สำหรับไคลน์ การออกแบบตัวตนที่มีมิติสูงอย่างดอน·ดันเตสไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่ยากกว่าคือการขโมยสมุดบันทึกอันทีโกนัสจากประตูยานิสของวิหารนักบุญแซมมวล ภารกิจดังกล่าวใกล้เคียงคำว่าเป็นไปไม่ได้ แทบไม่มีโอกาสสำเร็จไม่ว่าจะเป็นผู้วิเศษคนใด
อย่างไรก็ตาม แตกต่างจากผู้วิเศษคนอื่น ไคลน์มีข้อได้เปรียบสองเรื่อง หนึ่งคือการที่เคยสังกัดเหยี่ยวราตรีมาก่อน ทราบเกี่ยวกับกระบวนการภายใน และทราบว่าจะใช้ประโยชน์จากจุดใดได้บ้าง ดังนั้น อันดับแรกจึงต้องตัดทิ้งแผนการปลอมตัวเป็นเหยี่ยวราตรีเพื่อแฝงตัวเข้าไปขโมยของ
วิธีนี้มีข้อเสียใหญ่อยู่หนึ่งเรื่อง เหยี่ยวราตรีไม่สามารถผ่านเข้าออกประตูยานิสได้ตามใจชอบ แม้แต่หัวหน้าหน่วยหรืออาวุโสก็ทำไม่ได้… ต้องรอให้เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น จึงจะมีสิทธิ์เบิกใช้งานสมบัติปิดผนึก และนอกจากนั้น ด้านหลังประตูยานิสยังมี ‘ผู้คุม’ คอยลาดตระเวน หากเดินเข้าไปส่งเดชอาจทำให้เกิดการปะทะโดยไม่จำเป็น – ไคลน์ไม่อยากให้แผนจารกรรมของตนลงเอยด้วยการมีสาวกเทพธิดาบาดเจ็บล้มตาย
หลังจากครุ่นคิดอย่างรอบคอบ ชายหนุ่มเลือกเป้าหมายเป็น ‘ผู้คุม’ ด้านใน
ชายชราเหล่านั้นเกษียณแล้ว เป็นอาสาสมัครที่รับงานดูแลสมบัติปิดผนึกด้านหลังประตูยานิสโดยเฉพาะ มาจากคนละหน่วยกับเหยี่ยวราตรี เข้าออกผ่านทางอุโมงค์ใต้วิหาร ไม่เคยแทรกแซงการทำงานของเหยี่ยวราตรี และไม่เคยถูกเหยี่ยวราตรีแทรกแซง
อาจเพราะอยู่หลังประตูยานิสเป็นเวลานาน ผู้คุมด้านในจึงมีเอกลักษณ์หนึ่งที่เหมือนกัน – ออร่ารอบตัวเย็นเยียบ ไร้อารมณ์ ผิวพรรณซีดเผือด คล้ายกับสัตว์ประหลาดในเงามืดที่ยืนอยู่ระหว่างความเป็นและความตาย ไคลน์เชื่อว่าขอเพียงได้พบตัวเป็นๆ สักครั้ง ตนสามารถระบุเป้าหมายได้ไม่ยาก
แผนการขั้นแรกคือ เช่าบ้านใกล้กับวิหารนักบุญแซมมวลในย่านทิศเหนือ จ้างพ่อบ้าน บุรุษรับใช้ แม่บ้าน คนสวน พ่อครัว และคนขับรถม้าเพื่อแสดงความร่ำรวย จากนั้นก็แวะไปที่วิหารบ่อยๆ เพื่อสวดวิงวอนถึงเทพธิดา เข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนา บริจาคเงิน ทำความคุ้นเคยกับบิชอปและนักบวช
ระหว่างนั้น ชายหนุ่มจะลองค้นหาว่าใครคือ ‘ผู้คุม’ เลือกเป้าหมายมาสักสองสามคน สังเกตวิถีชีวิตประจำวัน รอโอกาสที่เหมาะสม จับหนึ่งในนั้นมาคุมขังและแปลงโฉมสวมรอยแทน หรือไม่ก็สิงร่างโดยตรง เดินผ่านประตูยานิสเข้าไปเปิดอ่านหรือไม่ก็ขโมยสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส
นี่เป็นเพียงแผนการอย่างหยาบ เรียกว่าแนวคิดคงจะเหมาะกว่า อาจมีการปรับเปลี่ยนตามข้อมูลที่ไคลน์รวบรวมได้
ย้อนกลับมาที่อีกหนึ่งข้อได้เปรียบ ไคลน์มีชุมนุมทาโรต์อยู่เบื้องหลัง มีตัวช่วยที่โบสถ์รัตติกาลและเหยี่ยวราตรีคาดไม่ถึง และยังสามารถชักชวนเหยี่ยวราตรีหรือ ‘ผู้คุม’ ของมุขมณฑลเบ็คลันด์มาเข้าร่วมชุมนุมเพิ่ม จากนั้นก็ให้ผู้ทรยศรายนี้ทำการขโมยของออกมา เช่นเดียวกับซาราธที่ใช้จักรพรรดิโรซายล์ขโมยสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส
เราต้องแวะไปที่วิหารบ่อยๆ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นจึงจะหาเป้าหมายพบ… ไคลน์หันไปทางกระจก พยักหน้ากับตัวเอง
คงต้องบอกว่า ชายหนุ่มกำลังเกิดความขัดแย้งภายในใจ เพราะหากมี ‘ผู้คุม’ คนใดทรยศต่อเทพธิดาและหันมารับใช้มิสเตอร์ฟูลจริง ไคลน์รู้สึกว่าตนต้องลงโทษคนผู้นั้นสถานหนัก กำจัดไอ้พวกนกสองหัวกลับกลอกให้สิ้นซาก!
หายใจออกหนึ่งครั้ง ไคลน์หัวเราะกับตัวเอง สวมโค้ทยาวกระดุมสองแถว สวมหมวก เดินออกจากห้องพักมายังถนน
ในสภาพถือร่ม ชายหนุ่มเดินอ้อมไปยังถนนอีกเส้น ฉวยโอกาสในจุดที่โคมไฟถนนอยู่ไกล ท่ามกลางฝนตกปรอย รีบเปลี่ยนไปใช้รูปลักษณ์ของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้
ก้มมองกางเกงที่มีรอยยับเล็กๆ ไคลน์เหยียดแขนออกไปโบกรถม้า เดินทางไปยังบ้านของไอเซนการ์ด·สแตนธอนในย่านฮิลสตัน
ราวครึ่งชั่วโมงถัดมา อาคารเก่าที่ค่อนข้างหม่นหมองปรากฏในสายตาไคลน์
ชายหนุ่มจ่ายค่าโดยสารเป็นเงินสองซูล จากนั้น ท่ามกลางละอองฝนที่สะท้อนแสงสลัว เดินอ้อมแอ่งน้ำขังอย่างใจเย็น มาหยุดยืนหน้าประตูบ้านนักสืบ
เก็บร่มเสร็จ ไคลน์เอื้อมมือสั่นกระดิ่งและรอสักพัก จนกระทั่งเห็นบุรุษหน้าบานเปิดประตูออกมา
ผมสีเดียวกับข้าวสาลี ดวงตาสีฟ้าอมเทา แก้มโหนกนูน เป็นลักษณะเด่นของชาวลุนเบิร์กหรือไม่ก็มาซิน
ผู้ช่วยคนใหม่ของไอเซนการ์ด? คนของโบสถ์ปัญญาความรู้? ไคลน์ถอดหมวกและยิ้ม
“สายัณห์สวัสดิ์ มิสเตอร์ไอเซนการ์ด·สแตนธอนอยู่ที่นี่ไหม?”
“อยู่ครับ… หลังกลับมาจากวันที่วุ่นวาย เขาเพิ่งรับประทานอาหารเสร็จ” บุรุษผมสีข้าวสาลีตอบอย่างสุภาพ “ขอถามได้ไหมว่าคุณเป็นใคร”
ไคลน์ยิ้ม
“บอกกับคุณนักสืบไปว่า เพื่อนของเขากลับจากการพักร้อนแล้ว”
ชายคนดังกล่าวผงะ โพล่งขึ้นทันที
“มิสเตอร์เชอร์ล็อก·โมเรียตี้?”
ราชันเร้นลับ 734 : สหายเก่า
โดย
Ink Stone_Fantasy
รู้จักเราด้วย? หมายความว่า มิสเตอร์ไอเซนการ์ดมักเอ่ยถึงเราในฐานะเพื่อนสนิทให้เขาฟัง? หรือเป็นเพราะว่า โบสถ์ปัญญาความรู้ทราบเรื่องที่เราเข้าไปพัวพันกับโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแล้ว? ไคลน์ยิ้ม พยักหน้าอย่างใจเย็น
“ถูกต้อง ผมคือเชอร์ล็อก·โมเรียตี้”
ชายเจ้าของดวงตาสีเทาอมฟ้าก้าวออกมาข้างหน้า ยิ้มอย่างอบอุ่น
“มิสเตอร์สแตนธอนเป็นห่วงคุณมาก! กลัวว่าคุณอาจได้รับอุบัติเหตุ ตอนนี้เขาคงสบายใจได้แล้ว”
ไคลน์ยื่นร่มให้อีกฝ่าย ถอดหมวกตามด้วยเสื้อโค้ท เดินเข้าไปด้านในตัวบ้าน ขณะเดียวกัน คล้ายกับไอเซนการ์ดสัมผัสบางอย่างได้ รีบวางหนังสือพิมพ์และกล้องยาสูบลง ลุกขึ้นจากเก้าอี้เอนหลังเพื่อชะโงกมองแขก
“โอ้! เชอร์ล็อก… ในที่สุดคุณก็กลับมา… ไม่ได้พบกันนานแล้วสินะ สหายของผม” ไอเซนการ์ดเจ้าของใบหน้าเรียวและจอนสีขาว ยิ้มทักทายพร้อมกับก็อ้าแขนโผเข้ากอดอย่างอบอุ่น
ไคลน์ที่ไม่คุ้นเคยกับการทักทายเช่นนี้ในหมู่ผู้ชาย เผยสีหน้าไม่เต็มใจ ยิ้มและกล่าว
“มิสเตอร์สแตนธอน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ศรัทธาในปัญญาควรกระทำ”
นักบวชและบิชอปของเทพปัญญาความรู้มักหยิ่งผยอง ไม่ค่อยทักทายด้วยการกอดมากนัก
อันที่จริง หากไม่นับจักรวรรดิฟุซัคที่ป่าเถื่อน และอาณาจักรอินทิสที่ค่อนข้างอิสระ มารยาทเช่นนี้พบเห็นได้ยากในอาณาจักรอื่น มีเฉพาะในหมู่เพื่อนสนิทเท่านั้น
ไอเซนการ์ดถอยหลังสองก้าว หัวเราะในลำคอ
“ผิดแล้วเชอร์ล็อก สำหรับสหายที่ฉลาดเป็นกรดแบบคุณ พวกเราจะแสดงความเคารพแบบนี้เสมอ… ในมุมมองของผม คุณคือหนึ่งในห้านักสืบที่เก่งที่สุดของกรุงเบ็คลันด์”
พูดได้ดี! ไคลน์หัวเราะแห้ง ถามกลับอย่างขบขัน
“แล้วคุณล่ะ? หนึ่งในสาม?”
การถูกยกย่องด้านปัญญาโดยผู้วิเศษลำดับ 7 ของโบสถ์เทพปัญญาความรู้ ไม่ว่าใครได้ฟังก็ต้องมีความสุข
“ผมหวังว่าคุณจะคิดแบบนั้น” ไอเซนการ์ดตอบอย่างอ่อนโยน ตามด้วยการเชื้อเชิญให้ไคลน์เข้าไปในห้องนั่งเล่น ชี้ไปทางบนโซฟา
ตัวไอเซนการ์ดนอนลงบนเก้าอี้เอนหลัง หยิบกล้องยาสูบ สูดลมเข้าไปเต็มปอดและพ่นออกอย่างช้าๆ
“ผมดีใจที่คุณปลอดภัย สภาพร่างกายและจิตใจค่อนข้างดีดีทีเดียว… เป็นอย่างไรบ้าง อ่าวเดซีย์ทำให้มีความสุขไหม?”
ไคลน์เตรียมคำตอบไว้แล้ว จึงยิ้มอย่างใจเย็น
“อันที่จริง ผมไม่ได้เป็นอ่าวเดซีย์… เป้าหมายที่แท้จริงคือเมืองคอนสแตน ก่อนหน้านั้นผมบังเอิญเข้าไปพัวพันกับปัญหาบางอย่างในเบ็คลันด์ จึงต้องหาที่ซ่อนตัวสักพัก”
เชอร์ล็อก·โมเรียตี้มาจากแคว้นเลียบทะเลและมีสำเนียงเป็นเอกลักษณ์ เมื่อประสบปัญหา การกลับไปซ่อนตัวที่บ้านเกิดคือเรื่องปรกติ – เมืองคอนสแตนคือเมืองหลวงของแคว้นเลียบทะเล
“ผมทราบ” ไอเซนการ์ดตอบเสียงต่ำ
มันไม่ได้ถามว่าเชอร์ล็อกก่อปัญหาอะไร เพียงยิ้ม
“เอาเป็นว่า ยินดีต้อนรับกลับสู่เบ็คลันด์ หากคุณต้องการความช่วยเหลือ มาหาผมได้ทุกเมื่อ”
ไคลน์ไม่มากพิธี รีบเข้าประเด็น
“ที่ผมมาหาคุณในวันนี้ ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้พบกันนาน แต่อีกส่วนหนึ่ง ผมอยากให้คุณช่วยขายหุ้นของบริษัทเบ็คลันด์จักรยานในนามของผม… เอกสารถูกเตรียมพร้อมหมดแล้ว คุณไม่ต้องจัดการอะไร”
เพื่อที่จะสวมรอยเป็นเศรษฐีลึกลับและใช้หนี้หนึ่งหมื่นเหรียญทองของมิสผู้ส่งสาร ไคลน์ไม่เพียงจะเทขายสิ่งของไม่จำเป็นทั้งหมด แต่ยังรวมถึงการสละหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ในบริษัทเบ็คลันด์จักรยาน เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เชอร์ล็อก·โมเรียตี้คือบุคคลที่ไม่สามารถปรากฏตัวได้อีกพักใหญ่
“จะขายจริงหรือ” ไอเซนการ์ดคลำกล้องยาสูบ “ถึงผมจะไม่เคยเป็นนักธุรกิจ แต่ก็พอจะเดาออกว่าตลาดจักรยานยังเติบโตได้อีกมากในอนาคต แนวโน้มทางธุรกิจเหมือนกับพระอาทิตย์กำลังขึ้น ห่างไกลจากจุดสูงสุด ถ้าขายตอนนี้ คุณจะทิ้งกำไรไปมหาศาล”
“ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผู้ซื้อย่อมยินดีจ่ายในราคาสูงกว่าปรกติ” ไคลน์หัวเราะในลำคอ “ผมเชื่อว่ามีคนมากมายมองเห็นคุณค่าและโอกาสทางธุรกิจของจักรยาน และในเมื่อฟามี่กับเลพเพิร์ดไม่คิดจะขายหุ้นในส่วนของตัวเอง หุ้นของผมจึงสามารถขายได้แพงกว่าราคาจริงราวสองถึงสามเท่า… ไอเซนการ์ด ราคาของหุ้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจุบันเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงแนวโน้มในอนาคต”
กุญแจสำคัญคือการโน้มน้าวให้นักลงทุนเชื่อว่า หุ้นจักรยานมีอนาคตที่สดใสมากๆ รออยู่! และอันที่จริง ศักยภาพของหุ้นจักรยานมีมากมายเพียงใด เราคงไม่ต้องอธิบายให้เปลืองน้ำลาย คนที่มีหัวทางธุรกิจน่าจะมองออกกันหมด ปัญหาเดียวในตอนนี้คืออุตสาหกรรมยางธรรมชาติ… ไคลน์เสริมในใจ
“ราคาของหุ้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจุบันเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงแนวโน้มในอนาคต…” ไอเซนการ์ดทวนคำพูดไคลน์ด้วยเสียงแผ่ว ก่อนจะกล่าวคำชมจากใจ “เชอร์ล็อก คุณน่าจะไปได้ดีกับโลกของธุรกิจ… แต่ที่นั่นก็เต็มไปด้วยอันตรายเช่นกัน”
“กฎเหล็กของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคือต้องกล้าเสี่ยง… ตอนนี้ผมถึงต้องการเงินสดก้อนใหญ่” ไคลน์ยิ้มตอบ
ไอเซนการ์ดหยิบกล้องยาสูบ สูดเข้าไปอย่างพึงพอใจ
“ตกลง… ผมจะบอกให้นักกฎหมายและนักบัญชีเฉพาะทางช่วยคำนวณมูลค่าปัจจุบันของบริษัทเบ็คลันด์จักรยาน จากนั้นก็ประเมินผลกำไรคร่าวๆ และขายหุ้นของคุณในราคาสิบเปอร์เซ็นต์จากตัวเลขนั้น ค่าดำเนินการของผมและภาษีจะถูกหักออกจากเงินที่ได้รับ… จริงสิ แล้วผมจะติดต่อคุณได้ทางไหน? ดูเหมือนว่าสัญญาเช่าบ้านบนถนนมินส์ของคุณจะหมดอายุไปนานแล้ว”
แน่นอน ไคลน์ยังไม่เปิดเผยตัวตนใหม่
“คุณสามารถลงข่าวเกี่ยวกับการขายหุ้นในหนังสือพิมพ์ชื่อดังจำพวกทัสซอค หรือเบ็คลันด์รายวัน ป่าวประกาศให้ผู้คนรับรู้เป็นวงกว้าง เพิ่มการแข่งขันเพื่อกระตุ้นให้มูลค่าสูงขึ้น… จนกระทั่งหุ้นถูกขาย คุณก็ลงประกาศแจ้งว่า หลังจากนี้จะไม่รับข้อเสนอใดๆ อีก… ถ้าผมเห็นประกาศก็จะแวะมาหาคุณเอง”
ไอเซนการ์ดคุ้นเคยกับการลงโฆษณาบนหน้าหนังสือพิมพ์เพื่อสื่อสารไปถึงคนไกล จึงทำเพียงพยักหน้า
“ไม่มีปัญหา ตกลงตามนี้ ค่าใช้จ่ายส่วนของผมจะถูกหักออกจากยอดขายสุทธิ”
เมื่อบรรจุจุดประสงค์หลัก ไคลน์ลุกขึ้นยืน เหยียดแขนออกไป
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ มิสเตอร์ไอเซนการ์ด… ผมขอตัวก่อน ไว้มีโอกาสค่อยคุยกันใหม่”
ไอเซนการ์ดไม่รั้งไว้ เดินไปส่งถึงหน้าประตู
ไคลน์เปลี่ยนถนนหลายเส้นก่อนจะโบกรถม้าเช่า นั่งเพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเบ็คลันด์ท่ามกลางสายฝนบางเบา จนกระทั่งรถม้าแล่นมาถึงผับวีรบุรุษ
สำหรับค่ำคืนนี้ ชายหนุ่มจะกลับมาเปิด ‘เครือข่ายข้อมูล’ ที่เคยเป็นของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้!
เดินเข้าไปในผับที่วุ่นวายและเสียงดัง ไคลน์ไม่ตรงไปยังเคาน์เตอร์เพื่อสั่งเครื่องดื่มและถามข้อมูล เพียงวนรอบเวทีมวยและเดินออกจากผับ รอให้มาดามชารอนปรากฏตัว
ทันใดนั้น ประตูห้องบิลเลียดเปิดดังแอ๊ด เอียนในเสื้อคลุมตัวเก่าเดินออกมาพร้อมหนังสือพิมพ์
ดวงตาสีแดงสดกวาดมองไปรอบๆ จนกระทั่งพบบุคคลที่คุ้นเคย เด็กหนุ่มอ้าปากค้างเล็กน้อย แต่มิได้เอ่ยชื่ออีกฝ่าย เพียงกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“สายัณห์สวัสดิ์ มิสเตอร์ ให้ผมช่วยอะไรไหม”
“ตอนนี้ยังไม่จำเป็น ผมแค่แวะมาหาเพื่อนเก่า” ไคลน์ยิ้มอย่างยินดี
ขณะกล่าว ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่า หนังสือพิมพ์ที่เอียนกำลังถือคือ ‘ข่าวทางทะเล’ ด้านบนสุดพาดด้วยหัวข้อข่าวที่สะดุดตา
“ข่าวช็อก! นักผจญภัยเสียสติกลายเป็นอาชญากรที่ทางการหมายหัว!”
นักผจญภัยเสียสติ… ไคลน์เชื่อโดยสัญชาตญาณว่า นั่นคงหมายถึงตน
เอียนสังเกตเห็นสายตาอีกฝ่าย จึงยกหนังสือพิมพ์ขึ้นด้วยท่าทางยิ้มแย้ม
“นี่เป็นข่าวใหม่ทางทะเลที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ตอนนี้ใบค่าหัวถูกแจกจ่ายไปตามสถานที่ต่างๆ แล้ว… ‘นักผจญภัยเสียสติ’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์วางกลอุบายบางเพื่อนำภัยอันตรายมาสู่ ‘เมืองแห่งการให้’ นอกจากนั้นได้รับการยืนยันแล้วว่า เขาเป็นคนขององค์กรลับชั่วร้าย ในเหตุการณ์ดังกล่าว เมืองบายัมถูกปกป้องไว้โดยกองกำลังของโบสถ์วายุสลาตันและกองทัพ แต่ ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลที่เป็นหนึ่งในผู้ร่วมเหตุการณ์ หายตัวไปอย่างลึกลับ สันนิษฐานเบื้องต้นว่าถูกฆ่าโดยเกอร์มัน·สแปร์โรว์… ลองเดาดูสิว่าตอนนี้เกอร์มัน·สแปร์โรว์มีค่าหัวเท่าไร?
“เท่าไร?”
“ห้าหมื่นปอนด์! มากยิ่งกว่าพลเรือเอกโลหิตเสียอีก เกือบจะเท่าพลเรือเอกขุมนรกอยู่แล้ว!”
ห้าหมื่นปอนด์ หัวใจไคลน์หล่นไปอยู่ตาตุ่ม
ชายหนุ่มพยายามข่มใจให้สุขุม ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“น่าเสียดาย มีแค่ไม่กี่คนที่แข็งแกร่งพอจะรับค่าหัวของหมอนั่น”
ไคลน์ชี้ไปทางประตูผับ
“ผมขอตัวก่อน ไว้มีเวลาว่างจะแวะมาหาใหม่”
“ตกลง” เอียนไม่ซักไซ้ พลางถามโดยไม่หันไปมอง “มิสเตอร์ไวท์จากโบสถ์ฤดูเก็บเกี่ยวเป็นเพื่อนของคุณใช่ไหม”
สหายเอ็มลินยอมออกจากบ้านแล้วหรือ? เพื่อหาเบาะแสของสาวกดวงจันทร์บรรพกาล? ไคลน์พยักหน้า
“ใช่แล้ว”
กล่าวจบ ชายหนุ่มเดินเบียดเสียดฝูงชน ผลักประตูและก้าวออกจากผับวีรบุรุษ
เมื่อขึ้นรถม้า ไคลน์มองออกไปนอกหน้าต่าง รอให้ชารอนปรากฏตัว
แน่นอน ชายหนุ่มไม่มีหลักประกันว่าอีกฝ่ายจะยังอยู่ที่นี่ ผ่านมาแล้วหลายเดือน สตรีคนดังกล่าวและมาริคอาจเปลี่ยนแหล่งกบดานตามนิสัยเดิม
เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน จนกระทั่งสัมผัสวิญญาณถูกกระตุ้น ไคลน์มองไปทางหน้าต่างข้างๆ และเห็นภาพหนึ่งบนกระจกที่กำลังสะท้อนทิวทัศน์ในยามราตรี – ร่างของสาวงามสวมหมวกอ่อนสีดำใบเล็ก สวมเดรสโกธิกหรูหราซับซ้อน
หันไปมองฝั่งตรงข้าม ไคลน์เห็นชารอนกำลังนั่งบนเก้าอี้ เส้นผมสีทองอ่อน ดวงตาสีฟ้า ผิวพรรณขาวซีดไม่ต่างจากเมื่อก่อน
“สายัณห์สวัสดิ์” ไคลน์ไม่จำเป็นต้องสวมบทบาทเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ จึงกล่าวทักทายด้วยอุปนิสัยส่วนตัว
ชารอนลุกขึ้น จับชายกระโปรงและโค้งศีรษะเล็กน้อย
เมื่อตระหนักว่าอีกฝ่ายคงได้อ่าน ‘ข่าวทางทะเล’ แล้ว ชายหนุ่มกระแอมในลำคอเพื่อแก้เขินหนึ่งครั้ง
“ผมฆ่าเซนอลแล้ว”
“อา…” ชารอนพยักหน้าเชิงรับรู้
ไคลน์ยิ้มและเล่าต่อ
“ถ้ามาริคต้องการตะกอนพลังของวิญญาณอาฆาต บอกให้เขาเก็บเงินรอได้เลย ถ้าผมพบตัวแทนเมื่อไรจะขายเซนอลให้”
ชารอนมิได้ถามว่า ‘ตัวแทน’ หมายถึงอะไร เพียงตอบเสียงเรียบ
“หลังจากอ่านข่าว เขากำลังรอให้คุณกลับมา”
“เยี่ยมเลย” ไคลน์ยิ้มเล็กๆ ก่อนจะล้วงคอเสื้อและหยิบสร้อยเงินออกมา “สมบัติวิเศษนำโชคของเซนอล คุณน่าจะรู้จักมันใช่ไหม”
ชารอน ‘อืม’ ในลำคอ รอให้ไคลน์พูดต่อ
“ผมอยากขายทั้งขวดพิษชีวภาพและสร้อยเส้นนี้… มีใครในแวดวงของคุณสนใจไหม?” ไคลน์ถามอย่างคาดหวัง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น