Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 719-720
ราชันเร้นลับ 719 : ท่องความฝัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไคลน์กลอกตา มองดูป่าด้านหลังที่หนาทึบจนแทบไม่มีแสงสว่างลอดผ่าน เข้าใจคร่าวๆ ว่าตอนนี้กำลังอยู่ที่ไหน
ที่นี่คือ ‘ป่าเสื่อมโทรม’ ซึ่งกรอซายเคยปกป้องสมัยที่ยังทำงานอยู่กับ ‘ราชาคนยักษ์’
ต้นไม้ภายในป่าสูงหลายสิบเมตร ใหญ่จนต้องใช้คนยักษ์หลายตนมาโอบ เปลือกไม้มีจุดด่างดำและเน่าเปื่อย กิ่งก้านและใบแห้งกรอบ บนฟ้ามีเมฆเย็นเยียบลอยอยู่
กรอซายและคนยักษ์จำนวนมากกำลังยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกป่า บ้างถือขวาน บ้างถือดาบใหญ่ ตั้งใจป้องกันในแต่ละทิศทางที่ตัวเองรับผิดชอบ
ตามที่กรอซายเล่า ร่างของพ่อแม่ ‘ราชาคนยักษ์’ เออเมียร์ถูกฝังอยู่ใน ‘ป่าเสื่อมโทรม’ แห่งนี้… นอกจากเทพบรรพกาลตนดังกล่าว ไม่มีใครสามารถเข้าไปข้างในได้ ไม่เว้นกระทั่งเหล่าองครักษ์… อา… พ่อแม่ของราชายักษ์เออเมียร์น่าจะเป็นบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์คนยักษ์ทั้งปวง มีนิสัยโหดร้ายและป่าเถื่อนมากที่สุด… บางที… หืม… ไม่สิ แล้วทำไมกรอซายถึงมีความฝันแบบนี้? ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก จนกระทั่งสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
จากบทสนทนาในเมืองเพซอสต์ กรอซายในปัจจุบันเป็นยักษ์ที่เกิดและเติบโตในเมือง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับวังราชาคนยักษ์
หมายความว่า ความฝันในตอนนี้ไม่ปรกติ!
“จากทฤษฎีของสมาคมแปรจิตที่มาดามดาลีย์และมิสจัสติสเคยเล่าให้ฟัง อาจเป็นไปได้ว่า เมื่อโลกหนังสือสร้างตัวละครใหม่ จะทำการคัดลอก ‘จิตใต้สำนึก’ และ ‘ห้วงทะเลจิตรวม’ ของตัวละครเดิม จากนั้นก็ปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ให้จิตสำนึกปัจจุบันทำตามบทบาทใหม่… หรือกล่าวได้ว่า กรอซายในเมืองยังคงมีจิตใต้สำนึกของกรอซายคนเก่า ส่งผลให้ความฝันฉายออกมาเป็นภาพเหตุการณ์ใน ‘วังราชาคนยักษ์’ … ถ้าเป็นแบบนั้น ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ถือว่าใจร้ายมาก… ไคลน์ครุ่นคิด เริ่มรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่จะได้สืบข้อมูลของ ‘วังราชาคนยักษ์’
เดิมที ชายหนุ่มวางแผนจะถามเรื่องของวังจากปากกรอซายโดยตรง แต่น่าเสียดาย คนยักษ์ผู้พิทักษ์รายนี้เสียชีวิตในการต่อสู้กับ ‘ราชาแดนเหนือ’ ยูลิเซี่ยน แถมร่างวิญญาณยังสลายไปอย่างรวดเร็วหลังออกจากโลกหนังสือ ไม่มีโอกาสให้สื่อวิญญาณ แต่ปัจจุบัน ไคลน์พบหนทางอื่นในการสืบสวน นั่นคือการสำรวจความฝันของกรอซายในเมืองเพซอสต์
อาจมีความฝันบางส่วนที่ไร้สาระหรือเกินจริง แต่เนื้อหาหลักน่าจะยังไม่เปลี่ยน ถ้าศึกษาอย่างละเอียด คงได้พบร่องรอยที่สำคัญบางอย่าง
กรอซายไม่เคยเข้าไปในป่าเสื่อมโทรม แม้ความฝันจะแสดงภาพของฉากในป่า แต่น่าจะเป็นการจินตนาการขึ้นมาเอง เราไม่จำเป็นต้องเดินสำรวจ… ไคลน์ไตร่ตรองพลางมองไปทางยอดเขาที่มีวังราชาคนยักษ์
ความสูงไม่มาก… หมายความว่า ‘ป่าเสื่อมโทรม’ ตั้งอยู่บนภูเขาในจุดที่ใกล้กับเขตวัง… บางทีอาจจะมีถนนสักเส้นที่ตรงไปยังถิ่นพำนักของเทพบรรพกาลโดยตรง
ไคลน์ไม่มัวเสียเวลาค้นหา ตรงดิ่งไปทางกรอซาย ทำตัวราวกับสนิทกันมานาน ซักถามอย่างใจเย็น
“อยากกลับวังต้องทำยังไง?”
ชายหนุ่มทราบว่ากรอซายเป็นคนยักษ์ที่ซื่อสัตย์ ย่อมต้องซื่อสัตย์ในความฝันด้วย
กรอซายยกมือ เกาท้ายทอย กล่าวด้วยรอยยิ้มที่งุนงงพลางก้มหน้า
“ก็กลับไปทาง ‘อุโมงค์ร้าง’ ไม่ได้หรือ?”
มันชี้ไปข้างหน้า กล่าวเสริม
“อ้อมหินก้อนนั้น แล้วจะเห็นเอง”
“ขอบใจ” ไคลน์แสดงความเคารพ
ยืนมองอีกฝ่ายจากไป กรอซายเกาท้ายทอยอีกครั้ง พำพึมกับตัวเองด้วยความประหลาดใจ
“เขาเป็นใครกัน… ทำไมข้าถึงรู้สึกคุ้นเคย”
หลังจากเดินวนรอบก้อนหินที่ยื่นออกจากพื้นภูเขา สีหน้าไคลน์พลันเจือความยินดี เพราะด้านหน้าคือถ้ำขนาดใหญ่ที่สูงอย่างน้อยสามสิบเมตร
ศิลาหินหนึ่งแผ่นตั้งเด่นตระหง่านด้านนอกถ้ำ สลักภาพดวงตาแนวตั้งหนึ่งดวง จมูกโด่ง ริมฝีปากหนา ดูคล้ายกับศีรษะส่วนหน้าของคนยักษ์ทั่วไป
ขณะไคลน์เดินเข้าไปใกล้ ปากของแผ่นศิลาเปิดออก
“ทำไมเจ้าถึงกลับก่อนเวลา”
“องค์ราชาเรียกพบ” ไคลน์กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สั่นคลอน เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ระดับสติปัญญาของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในความฝันจะไม่สูงไปกว่าเจ้าของ ในที่นี้คือกรอซาย
ริมฝีปากบนของแผ่นศิลาพะงาบส่งเสียง
“เจ้าต้องตอบคำถามของข้า มิฉะนั้นจะไม่มีสิทธิ์ผ่าน”
ถ้าเรานำ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสมาด้วย น่าจะได้เห็นเรื่องสนุกๆ … ไคลน์รำพัน พยักหน้าเยือกเย็น
“ตกลง”
ริมฝีปากบนของแผ่นศิลาปิดสนิทนานสามวินาที จึงค่อยเปิด
“หากภรรยาของเจ้า ลูกสาวของเจ้า และผู้หญิงที่เจ้าปรารถนา ให้เลือกว่าคนใดงดงามที่สุด เจ้าจะตอบว่าอย่างไร”
รูปแบบแตกต่างจากคำถามของ ‘กระจกวิเศษ’ ทั่วไป … ปากของไคลน์ขยับเล็กน้อย ครุ่นคิดจริงจัง มอบคำตอบหลังจากผ่านไปเกือบสิบวินาที
“สติปัญญาของข้าไม่สูงพอที่จะตัดสินใจ จะให้คนที่ฉลาดกว่ามาตอบแทน”
ตอบไปก็เหมือนฆ่าตัวตาย ใครจะไปทำ? ชายหนุ่มขบกรามรำพัน
“…แล้วใครคือคนที่ฉลาดกว่า” ใบหน้าคนยักษ์บนแผ่นศิลาชะงักไปสองวินาที
ไคลน์ตอบเสียงขรึม
“แน่นอนว่าต้องเป็นองค์ราชาของพวกเรา”
แผ่นศิลาเงียบงันอีกครั้ง ตามด้วยกล่าว
“ตกลง ข้าจะถือว่านั่นคือคำตอบ เชิญผ่าน”
ไคลน์เดินผ่านแผ่นหินประหลาดทันที ตรงเข้าไปในถ้ำด้านหน้า
พื้นถ้ำปูด้วยหินแผ่นใหญ่ที่ตากแดดตากฝนเป็นเวลานาน ผนังสองข้างทางมีภาพจิตรกรรม เล่าเกี่ยวกับสงครามระหว่างสองฝ่าย ฝั่งหนึ่งเป็นคนยักษ์และมังกร อีกฝั่งประกอบด้วยหมาป่าอสูร มนุษย์กลายพันธุ์ ปีศาจ และฟินิกซ์ ภาพวาดค่อนข้างหยาบ ใช้สีทึบ แต่กลับดูมีชีวิตชีวา
ไคลน์ตรวจสอบจิตรกรรมฝาผนังสักพักก่อนจะเดินตรงไปข้างหน้า พบวัชพืชเหี่ยวเฉาเป็นจำนวนมาก รวมถึงกรวดหยาบที่เรียงรายตามช่องว่างระหว่างทางเดินและผนัง
ยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งพบความแห้งแล้ง
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ไคลน์มองเห็นบานประตูสีเทาอมฟ้ากำลังเปิดอ้า สองฝั่งซ้ายขวาของประตูมีคนยักษ์สูงสี่ถึงห้าเมตรกำลังยืนเฝ้า
คนยักษ์ที่นี่แตกต่างจากกรอซาย ทั้งหมดสวมชุดเกราะเหล็กดำที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขาม สวมหมวกเหล็กที่ดูทนทานและมีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ คล้ายกับเป็นกลุ่มรูปปั้นขนาดใหญ่
ไม่มีใครหยุดหรือขวางทางไคลน์ ปล่อยให้ชายหนุ่มผ่านไปทางประตู เดินเข้าห้องโถงด้านใน
ขนาดของโถงไม่กว้างมาก มองเห็นสุดปลายทางได้ชัดเจน เนื้อที่กว้างพอจะบรรจุคนยักษ์ได้ราวห้าถึงหกสิบตน
ไคลน์ที่กำลังสำรวจสภาพแวดล้อม ร่างกายพลันซวนเซกะทันหัน จากนั้น ห้องทั้งห้องคล้ายกับถูกกระชากด้วยฝ่ามือล่องหน พุ่งทะยานขึ้นด้านบนด้วยความเร็วสูง
ชายหนุ่มเสียหลักอยู่พักใหญ่ ก่อนจะสังเกตเห็นกำแพงหินสีเทาดำแล่นผ่านบริเวณบานประตู ดิ่งลงไปด้านล่างอย่างต่อเนื่อง
ราวสิบวินาทีถัดมา เกิดเสียงดังโครม ห้องโถงหยุดขยับ
ณ ตอนนี้ ด้านนอกประตูไม่ใช่อุโมงค์ถ้ำอีกต่อไป แต่เป็นพระราชวังขนาดใหญ่ที่มีเสาหินค้ำจุน
ไคลน์รีบออกจากห้องโถง มองไปรอบตัวด้วยสีหน้าสนใจ
เมื่อครู่คือ ‘ลิฟต์’ ของวังราชาคนยักษ์? หืม… ที่นี่ดูคล้ายกับห้องพักของทหารองครักษ์ ด้านนอกมีโต๊ะยาวสูงเกินกว่าจะให้มนุษย์ใช้งาน เก้าอี้มีขนาดใหญ่ ทั้งสองฝั่งมีห้องนอน ในห้องมีเตียงใหญ่ที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ… สายตาไคลน์กวาดมองสิ่งต่างๆ ภายในห้อง จนกระทั่งหยุดลงบนภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ตัวเอกของภาพคือคนยักษ์ในชุดเกราะสีเงิน แต่เนื่องจากไม่มีข้อเปรียบเทียบ จึงไม่มั่นใจว่าสูงแค่ไหน
คนยักษ์ตนนี้ยืนเด่นตระหง่านริมหน้าผา ปลายดาบยาวในมือชี้ขึ้นฟ้าในแนวทแยง ร่างกายกำลังแผ่แสงทรงกลดเจิดจ้า มอบความสว่างแก่สิ่งรอบข้างประหนึ่งดวงอาทิตย์ยามเช้า
คนยักษ์หลายตนอยู่ในท่าคุกเข่าหนึ่งข้าง ไม่แน่ใจว่ากำลังสวดวิงวอนหรือรอรับการประทานพร
หรือจะเป็น… บุตรชายคนโตของราชาคนยักษ์… ‘เทพรุ่งอรุณ’ บาร์ดไฮเออร์? ไคลน์พยายามจ้องใบหน้าตัวเอกในภาพอย่างครุ่นคิด แต่ก็พบเพียงหมวกเหล็กที่มีแสงทรงกลดคล้ายรุ่งอรุณแผ่ออกจากช่องดวงตา
ดูคล้ายกับเทวรูป ‘เทพสงคราม’ ในซากอาคารโบราณใจกลางกรุงเบ็คลันด์… แถมใบหน้าก็ยังถูกซ่อนหลังหมวกเล็กอย่างมิดชิดเหมือนกันอีก… อา ‘ราชินีเงื่อนงำ’ เคยกล่าวไว้ว่า เทพสงครามองค์ปัจจุบันคือคนยักษ์โบราณที่เหลือรอด เป็นสาเหตุว่าทำไม สำนักงานใหญ่ของโบสถ์เทพสงคราม ‘บรมมหาราชวังสนธยา’ จึงมีลักษณะคล้ายกับ ‘วังราชาคนยักษ์’ มาก … หรือจะเป็นบุตรชายคนโตของราชาคนยักษ์? หมายความว่า ‘เทพรุ่งอรุณ’ รอดพ้นจากเหตุการณ์วังหลวงถูกกวาดล้าง จากนั้นก็สามารถทวงคืน ‘อำนาจ’ ของผู้เป็นบิดากลับคืนมาบางส่วน? ไคลน์ลองเดาสุ่ม แต่ก็ไม่มีหลักฐานหรือเบาะแสรองรับ
อาศัยแนวคิดดังกล่าว ชายหนุ่มสลับไปดูผนังอีกด้าน พบภาพจิตรกรรมฝาผนังแผ่นใหม่ คราวนี้ตัวเอกไม่ใช่ ‘เทพรุ่งอรุณ’ บาร์ดไฮเออร์ แต่เป็นคนยักษ์เพศหญิงที่สวมกระโปรงยาวด้านล่าง และสวมเกราะหนังด้านบน
คนยักษ์เพศหญิงยืนหันข้าง เค้าโครงใบหน้านุ่มนวล สายตามองตรง ผมยาวสีน้ำตาลเข้มพาดลงไปบนเสื้อหนัง
มือขวากางออก ถือข้าวสาลี ผลไม้ และสิ่งอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน รายล้อมด้วยทุ่งหญ้าสีทองและทะเลสาบน้ำใส ฉากหลังเป็นต้นไม้ที่เต็มไปด้วยผลไม้และเห็ดหลากสี
หรือจะเป็น… ราชินีคนยักษ์ ‘เทพธิดาแห่งฤดูเก็บเกี่ยว’ โอมีเบล่า? ไคลน์มองไปรอบตัว ไม่พบจิตรกรรมฝาผนังที่วาดถึงราชาคนยักษ์ เออเมียร์ แม้แต่ภาพเดียว
เป็นเพราะที่นี่คือห้องพักองครักษ์ จึงไม่มีภาพของเทพบรรพกาล? ถ้าอย่างนั้น หากเราเดินออกไป ข้างนอกก็น่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างภายใน ‘วังราชาคนยักษ์’ … ไคลน์เดินไปที่ประตูอย่างระมัดระวัง ใช้วิธีการเดียวกับในดินแดนความฝันของซากสมรภูมิแห่งเทพ กระตุ้น ‘ยุบพองหิวโหย’ และยืมพละกำลังของ ‘ซอมบี้’ เปิดประตู
อย่างไรก็ตาม ด้านนอกไม่ใช่พระราชวังอย่างที่จินตนาการ หากแต่เป็นโลกสีเทา เบื้องหน้ามีลักษณะคล้ายผาสูง ด้านล่างมองไม่เห็นก้นบึ้ง
จากประสบการณ์ของมิสจัสติส จุดนี้หมายถึงสุดเขตดินแดนความฝัน… เราเดินสำรวจความฝันกรอซายมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงส่วนที่เป็น ‘ทะเลห้วงจิตรวม’ แล้ว… มิสจัสติสได้พบมังกรจิตในทะเลห้วงจิตรวมของมนุษย์ในชุมชน ถ้าอย่างนั้น ภายในโลกแห่งหนังสือที่สร้างขึ้นโดย ‘มังกรจินตภาพ’ จะมีอะไรซ่อนอยู่ในห้วงทะเลจิตรวม? หัวใจไคลน์พลันเต้นระรัว ด้านหน้ามีบันไดทอดยาวลงไปยังกลุ่มก้อนเมฆสีเทา
บันไดมีได้เรียงตัวเป็นเส้นตรง แต่หมุนวนไปมา จมลึกเข้าไปในกลุ่มหมอกสีเทา มองไม่เห็นก้นบึ้ง ไม่พบเบาะแสใดเลยแม้แต่อย่างเดียว
ราชันเร้นลับ 720 : นักปราชญ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตรวจสอบอย่างเงียบงันไม่กี่วินาที ไคลน์ก้าวขาไปข้างหน้า เหยียบขั้นบันได เดินลงไปทีละชั้นอย่างระมัดระวัง
แสงรอบตัวค่อยๆ หรี่ลง เหลือเพียงสีเทาเท่านั้นที่ยังปกคลุมโลกอันเงียบสงบ ยิ่งไคลน์ดำดิ่งลงไป ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในห้องมืดและเงียบ ไร้ซึ่งแสงสว่าง ชายหนุ่มถึงขั้นได้ยินเสียงเลือดไหลและเสียงหัวใจที่เต้นแรง
อย่างหลังเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ เกิดเป็นความวิตกและความตื่นตระหนกที่ยากจะควบคุม ไคลน์รีบเพ่งสมาธิ จินตนาการภาพลูกบอลแสงเรียงซ้อนทับกัน ข่มใจตัวเองจนสงบ
ด้านข้างคือผาสูงชันสีขาวอมเทาที่เป็นตัวแทนจิตใต้สำนึกของกรอซาย บรรยากาศเงียบสงัด แต่บางครั้งก็มีแสงกะพริบออกจากฉากหลังสีเทา
ไคลน์มองเข้าไปในจุดแสงหนึ่ง เห็นมนุษย์กำลังถูกคนยักษ์ฉีกกระชากร่างและยัดใส่ปาก และเห็นกรอซายที่กำลังยืนสั่นกลัว ในเวลานั้น ฝ่ายหลังยังสูงไม่ถึงสามเมตร เห็นได้ชัดว่าอยู่ในวัยเด็ก
จุดแสงกะพริบ ฉากถัดไปเป็นภาพแสงสนธยาบนยอดเขา แสงสงบนิ่งจนดูคล้ายกับถูกแช่แข็ง กระแสเวลาของที่นั่นดูเหมือนจะไหลช้ากว่าปรกติ
ขณะไคลน์กำลังมองหาข้อมูลที่มีค่าภายในจิตใต้สำนึกกรอซาย เสียงหอบของสัตว์ร้ายพลันดังแว่วในโสตประสาท
สิ้นเสียง ‘ฟ้าว’ ฝ่ามือขนาดใหญ่พุ่งออกจากฉากหลังสีเทาโดยรอบ ผิวสีน้ำเงินอมเทา เน่าเปื่อยพุพอง จุดเด่นที่สุดคือของเหลวสีเหลืองอมเขียว ฝ่ามือดังกล่าวพุ่งตรงมาทางข้อเท้าไคลน์อย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางเสียงหายใจหอบ ฝ่ามือแบบเดียวกันจำนวนมากกำลังตะเกียกตะกายขึ้นจากขั้นบันไดชั้นล่าง ราวกับต้องการดึงร่างวิญญาณของไคลน์เข้าสู่ดินแดนที่เงียบสงบที่สุดของโลกแห่งจิต
เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ฝ่ามือเน่าเหล่านี้รวมตัวกันเป็นก้อนใหญ่ ตะเกียกตะกายขึ้นมาพลางอ้าปากค้างจนดูน่าขนลุก ใครก็ตามที่ได้เห็นเป็นต้องเย็นสันหลัง ไคลน์ตกใจและดีดตัวตามสัญชาตญาณ ถอยหลังกลับขึ้นไปสามขั้นบันได
กระนั้น ฝ่ามือจำนวนนับไม่ถ้วนยังคงไม่หยุด พุ่งขึ้นมาตามขั้นบันไดในลักษณะน่าขยะแขยง คืบคลานคล้ายกระแสน้ำ ปกคลุมพื้นที่ทุกตารางนิ้วของบันไดเบื้องล่าง
ไคลน์ที่เตรียมใช้มือขวาล้วงหยิบ ‘ลางมรณะ’ ออกมาแก้ปัญหากับกลุ่ม ‘สัตว์ประหลาด’ จำนวนมากด้วยพลัง ‘โจมตีล้างบาง’ พลันผุดคำถามขึ้นในใจสองข้อ
‘ฝ่ามือ’ พวกนี้มาจากไหน? แล้วเหตุใดจึงปรากฏในจิตใต้สำนึกของกรอซาย?
สัมผัสวิญญาณกระตุ้นเตือนหนึ่งครั้ง ไคลน์เข้าใจบางสิ่งได้อย่างคลุมเครือ จึงเลิกใช้ ‘ลางมรณะ’ เพียงสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างใจเย็น หลับตาจินตนาการภาพลูกบอลแห่งแสงซ้อนทับ
ฝ่ามือเน่าเปื่อยขนาดมหึมาถือโอกาสตะเกียกตะกายขึ้นมาถึงฝ่าเท้าชายหนุ่ม คว้าข้อเท้าและน่องไว้ทันที!
แต่ทันใดนั้น พวกมันกลับอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไม่มีตัวตนมาก่อน
เป็นอย่างที่คิด… นี่คือภาพลวงตาที่เกิดจากอิทธิพลของจิตใต้สำนึกกรอซาย… สำหรับที่นี่ ความคิดและจิตใจไม่เพียงจะ ‘สัมผัส’ กันโดยตรง แต่ยังมีอิทธิพลต่อกันด้วย หากไม่มีพลังพิเศษในเส้นทางที่สอดคล้องคอยช่วยเหลือ ยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะสติแตกมากเท่านั้น… ถูกจิตใต้สำนึกของอีกฝ่ายกัดกร่อนทีละนิด จนกระทั่ง ‘จิต’ ได้รับมลพิษร้ายแรง กลายเป็นผู้ป่วยทางจิตที่ไม่สามารถกลับเป็นปรกติ และอาจทำให้คลุ้มคลั่ง… นี่ไม่เหมือนกับการสื่อวิญญาณ ลำพังสติและสมาธิไม่สามารถป้องกันการกัดกร่อนได้ เพราะตอนนี้เรากำลังอยู่ใน ‘จิต’ ของเป้าหมาย… ไคลน์พึมพำ เริ่มเข้าใจสถานการณ์
ลังเลสองสามวินาที ไคลน์หันหลังกลับและวิ่งขึ้นบันได ไม่คิดสำรวจโลกแห่งจิตของกรอซายอีกต่อไป เนื่องจากตนไม่มีพลังพิเศษสำหรับปลอบประโลมจิตใจ หากฝืนลงไปคงเท่ากับฆ่าตัวตาย
ไว้เรามีของวิเศษในเส้นทางดังกล่าว ค่อยพิจารณาการสำรวจรอบใหม่… ไคลน์ที่วางแผนอนาคตเสร็จ ค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้นและกระโจนกลับไปยังความฝันของกรอซาย กลับไปที่ห้องพักองครักษ์ของ ‘วังราชาคนยักษ์’
ชายหนุ่มรู้สึกอ่อนเพลียสุดขีด จึงไม่ลังเลที่จะออกจากความฝันทันที จากนั้นก็ลอยผ่านกำแพงบ้านออกจากโรงตีเหล็กของกรอซาย ลงมือตรวจสอบความผิดปรกติอื่นๆ ภายในโลกหนังสือ
จนถึงตอนนี้ เราได้พบกับกรอซาย โมเบธ และเซียธาสแล้ว… นอกจากนั้น ขณะกำลังมองหาคนให้สืบข่าว เราบังเอิญได้ยินพวกเขาพูดถึง ‘นักบวชเคร่งศาสนา’ สโนว์มันและ ‘นักปราชญ์’ รอนเซล แต่กลับไม่มีแอนเดอร์สัน·ฮู้ด ไม่มีเอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ด ไม่มีเดนิส และไม่มีเกอร์มัน·สแปร์โรว์… หมายความว่า คนที่ตายไปจะได้รับบทบาทใหม่ในหนังสือ? หรือไม่ก็อาจเป็นคนที่อยู่ในหนังสืออย่างยาวนาน เปิดเผยชีวิตประจำวันทุกซอกมุม จิตใต้สำนึกจึงถูกคัดลอก? ไคลน์เดินริมถนนที่ถูกฉาบด้วยแสงพระอาทิตย์พลบค่ำ ครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหาที่ตนมองว่าสำคัญ
หากเป็นทฤษฎีแรก คนตายจะ ‘คืนชีพ’ ขึ้นมารับบทบาทใหม่ ในกรณีนี้ ไคลน์ก็ไม่กังวลใจนัก แต่หากเป็นอย่างหลัง ตนคงต้องลดความถี่ในการสำรวจโลกหนังสือลง กำหนดเวลาสำรวจแต่ละครั้งอย่างเคร่งครัด
เรายังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นแบบไหน… คงต้องสมมติให้เป็นอย่างหลังไปก่อน ความไม่ประมาทคือสิ่งที่ถูกต้องเสมอ… ไคลน์รีบตัดสินใจ เตรียมส่งตัวเองกลับสู่มิติหมอกสีเทา
ทันใดนั้น มันเห็นอีกหนึ่งบุคคลที่คุ้นเคย
ผมยาวสีดำ ตาสีฟ้า นั่งบนเก้าอี้ยาวริมถนน แหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอย คล้ายกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง
เมื่อตระหนักว่าตนต้องนำเถ้ากระดูกของอดีตทหารโลเอ็นกลับไปฝังที่สุสานโบสถ์วายุสลาตันในกรุงเบ็คลันด์ ไคลน์ถอนหายใจเงียบงัน เดินตรงไปนั่งข้างรอนเซล ซักถามโดยไม่หันหน้ามอง
“กำลังคิดอะไรอยู่”
“กำลังคิดว่า… ผมเป็นใคร มาจากไหน และควรกลับไปที่ไหน” รอนเซลไม่ถอนสายตากลับ ตอบเสียงล่องลอย
โดยไม่รอให้ไคลน์ถาม มันส่ายหน้าพลางหัวเราะ
“ผมมั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่คนของที่นี่ ไม่ได้กำลังเป็นตัวเอง และมีสถานที่บางแห่งรอให้ผมกลับไป”
“ผู้คนมักหัวเราะเยาะผมที่เอาแต่คิดแบบนี้ จึงมอบฉายา ‘นักปราชญ์’ ”
กล่าวจบ รอนเซลมองไปยังดวงอาทิตย์ยามพลบค่ำ ปิดปากสนิทและจมอยู่กับภวังค์เหม่อลอย
ไคลน์ไม่กล่าวคำใด นั่งปิดปากเงียบ รับชมพระอาทิตย์ตกกับพร้อมกับรอนเซล จากนั้นก็หายตัวไปเงียบๆ
รอนเซลไม่ทันสังเกตว่าคนรอบข้างหายไป นั่งนิ่งราวกับรูปปั้นหิน มองไปบนท้องฟ้าไกล ไม่ขยับเขยื้อนเป็นเวลานาน
…
หลังจากเติมเสบียงเสร็จ อัลเจอร์·วิลสันสั่งให้ ‘โทสะสีคราม’ ออกจากท่าเรือส่วนตัวของกลุ่มต่อต้าน เนื่องจากไม่ต้องการอยู่ในเขตหมู่เกาะรอสต์นานเกินไป
มันมีนัดหมายต้องกลับไปยังเกาะปาซูเพื่อรายงานการปฏิบัติหน้าที่
ระหว่างนั้น ภายในห้องกัปตัน อัลเจอร์กำลังจ้องประตูมายาที่สร้างจากวัตถุวิญญาณและเทียนไขบนแท่นบูชา
นี่คือประตูแห่งการสังเวย ขณะเดียวกันก็เป็นประตูแห่งการรับมอบ!
ท่ามกลางเสียงมายา ประตูลึกลับเปิดออกอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นความลึกและมืดมิดอันไร้ก้นบึ้งภายใน
แสงสว่างพุ่งออกจากประตูและบรรจบกันในทันที รอจนกระทั่งเหตุการณ์สงบลง วัตถุสองชนิดปรากฏขึ้นกึ่งกลางแท่นบูชา พร้อมกับการหายไปของประตูที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ประหลาด
อัลเจอร์ยังคงสุขุม กล่าวขอบคุณมิสเตอร์ฟูล รอให้กระบวนการพิธีกรรมเสร็จสิ้น จึงค่อยเอื้อมมือหยิบวัตถุสองชิ้นบนแท่นบูชา
หนึ่งในนั้นคือแผ่นกระดาษที่ถูกพับเรียบร้อย ส่วนอีกหนึ่งคือ ‘แมงกะพรุน’ สีใสที่มีเยื่อน้ำทะเลสีครามบางๆ ห่อหุ้ม
อัลเจอร์ตรวจสอบอย่างหลังก่อน พบว่าบางครั้งก็มีลมและน้ำวนอยู่ข้างใน บางครั้งก็มีแสงสีเงินและสีขาวกะพริบ บางครั้งก็มีเสียงร้องเพลงที่ไพเราะกินใจ
“เสียงคล้ายผู้หญิง… เจ้าของตะกอนพลังเป็นสตรีสินะ” อัลเจอร์ถอนหายใจโล่งอก เพราะนั่นหมายความว่า เหยื่อไม่ใช่สมาชิกระดับอาวุโสของโบสถ์วายุสลาตัน
โบสถ์วายุสลาตันไม่มีเจ้าหน้าที่ลำดับสูง หรือค่อนไปทางสูง เป็นสตรีแม้แต่คนเดียว!
วางตะกอนพลัง ‘ผู้ขับขานสมุทร’ ลง อัลเจอร์คลี่กระดาษ อ่านข้ามวัสดุหลัก พิจารณาวัสดุเสริมอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งหยุดสายตาลงบนคำอธิบายเกี่ยวกับพิธีกรรม
สำหรับมันที่มีตะกอนพลัง ไม่สำคัญว่าวัตถุดิบหลักจะเป็นสิ่งใด ค่อยกลับมาดูในภายหลังก็ยังไม่สาย ส่วนวัสดุเสริมเป็นสิ่งที่รวบรวมได้ง่าย จึงไม่ต้องสนใจมากเช่นกัน มีเพียงพิธีกรรมเท่านั้นที่สำคัญเป็นพิเศษ
ดื่มโอสถในท้องของอ็อบนิส… อัลเจอร์อ่านเนื้อหาของพิธีกรรมในใจ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องปรากฏขึ้นทันที
อ็อบนิสเป็นสัตว์ประหลาดโบราณ สามารถกลืนเรือใบได้ทั้งลำ ตัวใหญ่มาก ร่างกายบิดงอ มีไม่ต่ำกว่าสามหัว และมีหนวดพันระโยงระยาง ถูกนำไปใช้เป็นตัวเอกของตำนานมากมายบนท้องทะเล
สัตว์ทะเลชนิดนี้ ส่วนใหญ่จะถูกโบสถ์วายุสลาตันฝึกจนเชื่อง แต่ถ้าเป็นในธรรมชาติ จะอาศัยอยู่ตามถิ่นเฉพาะ ไม่แน่ใจว่ามีสติปัญญาทัดเทียมมนุษย์หรือไม่
เข้าใจแล้วว่าทำไมทางศาสนจักรถึงเจาะจงควบคุมอ็อบนิส ไม่ใช่สัตว์ทะเลประเภทอื่น… และเป็นเพราะยากที่จะเลื่อนถึงลำดับ 5 บรรดาโจรสลัดจึงไม่ค่อยเลือกเส้นทาง ‘นักเดินเรือ’ … นอกเสียจากจะสืบทอดตะกอนพลังโดยตรง หรือไม่ก็เป็นลูกเรือของราชาแห่งห้าห้วงสมุทรและราชินีเงื่อนงำ… แล้วเราจะไปหาอ็อบนิสนอกโบสถ์ได้จากไหน… อัลเจอร์ขมวดคิ้ว ไตร่ตรองเกี่ยวกับวิธีเลื่อนลำดับโดยไม่ให้โบสถ์วายุรับรู้
ความคิดแรกคือ ปรึกษา ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียา บอกให้เธอช่วยถาม ‘ราชินีเงื่อนงำ’ แบร์นาแดตว่าอ็อบนิสที่ไม่ได้เป็นของโบสถ์วายุสลาตัน อาศัยอยู่น่านน้ำแถบใดบ้าง แต่ความคิดถัดมาก็คือ ตนมีความเสี่ยงที่จะตกอยู่ในอันตราย เพราะหากสัตว์ประหลาดอ็อบนิสตัวดังกล่าวคือบริวารของราชินีเงื่อนงำ มันจะรายงานทุกสิ่งให้เจ้านายทราบ
อา… นั่นคือทางเลือกสุดท้ายหากเราจนปัญญา… อัลเจอร์ครุ่นคิดหาความเป็นไปได้อื่น จนกระทั่งผุดอีกหนึ่งไอเดียใหม่
สวดวิงวอนถึงเดอะฟูล!
ตัวตนลึกลับซึ่งกำลังฟื้นคืนพลังรายนี้ แอบช่วงชิง ‘อำนาจ’ ของ ‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่ามาเป็นของตน จึงมีพลังในการควบคุมสัตว์ทะเล อาจจะทราบถึงเบาะแสของอ็อบนิสที่ไม่ได้เป็นของโบสถ์!
ไม่ต้องรีบร้อน หากเราเลื่อนลำดับตอนนี้ คงปิดเป็นความลับจากคนรอบข้างได้ยาก เพราะพลังวิญญาณจะยังกระจัดกระจายในช่วงแรก… ต้องรอให้รายงานความคืบหน้าภารกิจเสร็จก่อน ออกจากเกาะปาซู จากนั้นค่อยลองสวดวิงวอน… อัลเจอร์เริ่มใจเย็น อ่านทวนสูตรโอสถ ‘นักขับขานสมุทร’ และยื่นกระดาษเข้าหาเปลวไฟเทียนไข
เฝ้ามองเปลวไฟกลืนกินสูตรโอสถสักพัก ดวงตาอัลเจอร์เริ่มเผยความลุ่มลึก
รอจนกระทั่งร่องรอยที่เหลือหายไปโดยสมบูรณ์ สายตาของมันหันมาจ้องบนแผนที่ กำหนดตำแหน่ง
แบนชี!
อัลเจอร์คิดจะแวะเกาะแบนชีที่เป็นทางผ่าน หวังตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันของท่าเรือ จากนั้นค่อยตรงไปยังเกาะปาซู
หลังจากแจ้งแผนการให้ลูกเรือทุกคนทราบ ไม่มีแม้แต่คนเดียวคัดค้าน เพราะพวกมันต่างก็สงสัยตรงกันว่า เหตุใดท่าเรือแบนชีถึงถูกทำลายอย่างกะทันหัน และปัจจุบันมีสภาพเป็นเช่นไร
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น