Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 711-716
ราชันเร้นลับ 711 : พายุโหมกระหน่ำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ เกาะไซมีม จุดอับลม ใต้ผาหินสูงตระหง่าน เขตทะเลน้ำลึกได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมจนเกิดคลื่นกระเพื่อมขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง
บนเรือ ‘กะโหลกตาเดียว’ ของกัปตันคลั่ง คอร์เนอร์·วิกเตอร์ โจรสลัดจำนวนหนึ่งเริ่มสวมเสื้อคลุมพร้อมกับจัดแต่งหมวก สายลมกระโชกที่สามารถยกร่างกายเด็กเล็ก ปะทะใส่ร่างกายพวกมันพร้อมกับสร้างความเจ็บปวดเป็นระยะ หลายคนเริ่มเดินออกจากเขตห้องโดยสารเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย หลีกเลี่ยงอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับเรือ
เสื้อคลุมทั้งหมดทำจากผ้าลินิน แต่ผิวผ้าถูกเคลือบด้วยของเหลวหนืดที่สามารถแข็งตัว น้ำฝนจึงมิอาจซึมเข้าสู่ร่างกาย ทำได้แค่ไหลลงด้านล่าง ปะทะกับพื้นไม้ของดาดฟ้า
ของเหลวดังกล่าวคือ ‘ยาง’ ของต้นดอนนิงส์แมน พบได้ในป่าดิบชื้นบนทวีปใต้ ถือเป็นวัสดุธรรมชาติที่ใช้กันฝนได้ดีเยี่ยม แต่เดิม ราคาของมันค่อนข้างต่ำ จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว ทีมวิจัยเริ่มพบว่าหนึ่งในสรรพคุณของมันคือการทำให้เส้นผมเจริญเติบโตได้ดี นับแต่นั้น ราคาก็ทะยานขึ้นอย่างก้าวกระโดด
“ท่ามกลางสภาพอากาศแบบนี้ ถ้าได้อยู่ในโรงละครแดง ร่ำสุรา สูบกัญชา เคล้านารี คงมีความสุขเหนือคำบรรยาย!” โจรสลัดคนหนึ่งมองออกไปด้านนอกเรือ พูดแกมรำพัน
พวกพ้องของมันดึงหมวกขึ้นมาคลุมศีรษะ
“ฉันได้ยินมาว่า โรงละครแดงมีเด็กใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มอีกหลายคน อยากไปลองใจจะขาดแล้ว”
“ได้ยินมาจากไหน?” โจรสลัดอีกคนถามโดยไม่หันหน้ามอง
โจรสลัดคนเดิมหัวเราะ
“ได้ยินจากบอส นายลืมแล้วหรือว่าบอสของเราทำธุรกิจอะไร? เขารู้จักนักค้ามนุษย์หลายคน… ไม่สิ พวกนั้นชอบเรียกตัวเองว่าพ่อค้าทาสมากกว่า”
“นั่นสินะ… ฉันยังไม่ลืมเรื่องเมื่อตอนนั้นเลย” โจรสลัดคนหนึ่งกล่าวพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม “จากบรรดา ‘สินค้า’ ที่เคยไปส่ง มีคนหนึ่งเป็นหญิงสาวจากตระกูลขุนนาง หล่อนหนีออกมาจากบ้าน… ไม่ว่าจะผิวพรรณ เรือนร่าง หรือหน้าตา ทั้งหมดล้วนไร้ที่ติ… เฮ่อ… ยอดเยี่ยมจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก แต่หนึ่งสิ่งที่แน่ชัดก็คือ ฉันไม่มีวันลืมช่วงเวลาในตอนนั้น น่าเสียดายที่หล่อนชิงฆ่าตัวตายไปก่อน!”
ขณะกำลังพูดคุย พวกมันสัมผัสถึงแสงสว่างบนท้องฟ้า จึงเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ สิ่งที่ได้พบก็คือ ท่ามกลางสายฝนโหมกระหน่ำ สายฟ้าสีเงินกำลังพุ่งลงมาจากกลุ่มเมฆสีดำที่บดบังแสงจันทร์และดวงดาว
เพียงพริบตา สายฟ้าขนาดมหึมามอบความสว่างไสวแก่ทะเลโดยรอบ พร้อมกับสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่เขตห้องโดยสารของ ‘กะโหลกตาเดียว’ !
เปรี้ยง!
สายฟ้าแผ่ซ่านไปทุกทิศราวกับอสรพิษ ท่ามกลางเปลวไฟที่แผดเผาห้องพักซึ่งทำจากไม้ เสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว ท่วมท้นโสตประสาทของเหล่าโจรสลัด
ตามติดมาด้วย สายฟ้าสีเงินอมขาวระลอกแล้วระลอกเล่า บรรจงผ่าลงมาอย่างต่อเนื่อง เปลี่ยนให้เรือใบลำใหญ่นาม ‘กะโหลกตาเดียว’ ตกอยู่ตามท่ามกลาง ‘ผืนป่าแห่งสายฟ้า’ ในทันที
วินาทีถัดมา สายฟ้าเส้นใหญ่ที่กำลังจะผสานเป็นหนึ่ง พลันแยกออกจากกันในลักษณะที่ขัดต่อกฎแห่งธรรมชาติโดยสิ้นเชิง ประกายสายฟ้าหักเหจนผ่าพลาดเป้า เฉียด ‘กะโหลกตาเดียว’ ลงไปยังผืนทะเลสีน้ำเงินเข้มด้านข้าง ส่งผลให้ผืนมหาสมุทรโดยรอบสว่างไสว อสรพิษไฟฟ้าตัวเล็กตัวน้อยส่งเสียงดังลั่นเป็นพักๆ
เหล่าโจรสลัดบนดาดฟ้าเรือต่างได้รับผลกระทบหนักหน่วง บ้างไหม้เกรียมประหนึ่งท่อนไม้ถูกเผา บ้างล้มลงและชักกระตุก
ตัวปัญหาโผล่ออกมาแล้ว…
ไคลน์ ผู้นั่งอยู่บนมิติเหนือสายหมอกสีเทา เฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดผ่าน ‘หน้าจอ’ สวดวิงวอน เมื่อได้เห็น ‘พายุสายฟ้า’ ของตนถูกทำให้แยกออกจากกันและพลาดเป้า ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
นี่คือพลังของครึ่งเทพอย่างไม่ต้องสงสัย!
หากลอบเข้าไปใน ‘กะโหลกตาเดียว’ อย่างบุ่มบ่าม ต่อให้พกถุงมือยุบพองหิวโหย ลูกโม่ลางมรณะ และบันทึกการเดินทางของกรอซาย แต่ก็คงยากจะรับมือกับผู้วิเศษที่มีพลังมหาศาลระดับนี้ และภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว เราคงไม่มีโอกาสสวดวิงวอนถึงตัวเอง หมดสิทธิ์เข้าสู่มิติหมอกสีเทาและตอบสนองด้วยคทาเทพสมุทร!
สูดลมหายใจยาว ไคลน์เปลี่ยนให้อัญมณีสีฟ้าปลายคทากระดูกสว่างขึ้นรวดเดียวอย่างพร้อมเพรียง แทนที่จะค่อยๆ สว่างทีละเม็ด!
ใกล้กันกับ ‘กะโหลกตาเดียว’ เสียงท่ามกลางพายุสามารถแบ่งได้เป็นสองชนิด หนึ่งคือหวีดร้องอย่างเกรี้ยวกราด คล้ายกับสามารถเสียดทะลวงโสตประสาท อีกหนึ่งคือทุ้มลึกคล้ายกับเสียงหัวใจเต้น สามารถจู่โจมเข้าใส่ร่างวิญญาณได้โดยตรง
ความรู้สึกดังกล่าวทำให้เหล่าโจรสลัดเริ่มแน่นหน้าอก สองสามคนกระอักเลือด อย่างไรก็ตาม นี่ยังเป็นแค่การโหมแรง เพียงพริบตา น้ำทะเลโดยรอบพลันกระเพื่อมหนักหน่วง เกิดเป็นคลื่นยักษ์สูงกว่าสิบเมตร ถาโถมตรงมาทางหน้าผาหินสูงชัน!
สึนามิสีน้ำเงินแกมดำที่ดูราวกับเป็นกำแพงฝีมือเทพ พุ่งเข้าใส่ ‘กะโหลกตาเดียว’ ประหนึ่งมีมือที่มองไม่เห็นคอยบังคับทิศทาง!
คลื่นยักษ์ฝีมือไคลน์!
เป็นพลังระดับภัยธรรมชาติ!
เสียงคลื่นปะทะเรือใบดังกึกก้องประหนึ่งระเบิดกัมปนาท โจรสลัดบนดาดฟ้าทำได้เพียงแหงนมองผืนนภาสีดำสนิท ราวกับโลกนี้กำลังดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุด ต่างตนต่างละทิ้งความหวังที่จะมีชีวิตอยู่
แต่ไฟแห่งความหวังได้ลุกโชนกลับมาอีกครั้งเมื่อการพิพากษาครั้งสุดท้ายล้มเหลว ภายในคลื่นยักษ์ที่ดูราวกับกำแพงสวรรค์ วังวนเกลียวคลื่นปริศนาเริ่มก่อตัวอย่างผิดหลักธรรมชาติและหลักวิทยาศาสตร์ ฉีกทำลายสึนามิอันน่าหวาดหวั่นจนสลายไปในพริบตา
ท่ามกลางเสียงดังกึกก้องคล้ายภูเขาถล่ม คลื่นระลอกถัดมาหนุนให้ ‘กะโหลกตาเดียว’ ลอยสูงลิบลิ่ว ก่อนจะยุบตัวลงอีกครั้งตามธรรมชาติ วินาทีถัดมา ละอองน้ำกระเซ็นที่เกิดจากการสลายตัวของสึนามิลูกแรก ถาโถมเข้าใส่ ‘กะโหลกแดง’ จนเสากระโดงเรือบางต้นหักครึ่ง ห้องโดยสารพังยับเยิน ดาดฟ้าเจิ่งนอง
ฟ้าว!
ทันใดนั้น สายลมกระโชกผุดขึ้นจากความว่างเปล่าอย่างเกรี้ยวกราด ยกโจรสลัดทุกคนลอยขึ้น ก่อตัวเป็นพายุเฮอร์ริเคนทรงพลัง พัดพา ‘กะโหลกแดง’ ที่กำลังลอยกลางอากาศ ไปยังทิศทางที่ทะเลสงบนิ่ง
จากนั้น เรือใบลอยไปในอากาศคล้ายกับมีสายลมเกื้อหนุน พุ่งพรวดรวดเดียวไปไกลหลายไมล์ทะเล ไม่สนใจผิวน้ำกระเพื่อมลอนลาดด้านล่าง ลอยท่ามกลางอากาศอย่างมั่นคงประหนึ่งเรือเหาะ
ไคลน์กำลังรู้สึกทึ่ง กับเรื่องที่ครึ่งเทพหรือสมบัติปิดผนึกบนเรือสามารถทำลายสึนามิของตนได้ง่ายดาย ในใจได้แต่ตัดพ้อในความด้อยลำดับของตน แม้จะยืมพลังมาจากมิติหมอกเข้าช่วย แต่ก็ยังมิอาจสร้างสึนามิในระดับเดียวกับคาเวทูว่าขึ้นมาได้ เมื่อสงบสติอารมณ์ ชายหนุ่มเพ่งสมาธิควบคุมลมพายุเพื่อขัดขวางการบินของ ‘กะโหลกตาเดียว’ เรือใบลำยักษ์จะได้ตกกระแทกพื้นโดยไม่ออกจากรัศมีห้าไมล์ทะเลซึ่งเป็นขอบเขตอำนาจ
เป้าหมายปัจจุบันมิใช่การทำลาย ‘กะโหลกตาเดียว’ ไคลน์ไม่ต้องการจับเป็นคอร์เนอร์·วิกเตอร์ แต่คิดจะบีบให้ครึ่งเทพหรือสมบัติปิดผนึกบนเรือเปิดเผยตัวตนออกมา!
พลังที่สามารถสร้างความหวาดผวาแก่ผู้คน ลองกวาดตามองไปทั่วโลก ผู้ใช้พลังระดับนี้มีจำนวนน้อยจนสามารถนับได้ด้วยนิ้วมือ หากเปิดเผยตัวออกมา ไม่ช้าก็เร็วคงทราบว่าอีกฝ่ายคือใคร และเป็นสมาชิกขององค์กรใด!
นั่นคือเบาะแสสำคัญของโศกนาฏกรรมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์!
ขอให้ไม่ใช่เส้นทาง ‘นักทำนาย’ ไม่งั้นคงไม่ได้เห็นหน้าจริง… แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ไม่แย่ เรามีแผนจะแกะรอยโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันอยู่แล้ว สืบหาว่าอินซ์·แซงวิลล์กำลังวางแผนอะไรอยู่ จะได้เตรียมแก้แค้นได้อย่างเหมาะสม… หากมีผู้วิเศษลำดับสูงของเส้นทางนักทำนายเข้ามาเอี่ยว นั่นหมายถึงโอกาสครอบครองสูตรโอสถและวัตถุดิบหลักของจอมเวทพิสดาร… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ เปลี่ยนให้อัญมณีปลายคทาเทพสมุทรเปล่งแสงสีฟ้าบริสุทธิ์
ทันทีที่สิ้นเสียง ‘ฉึบ’ การบินของ ‘กะโหลกตาเดียว’ เริ่มเสียสมดุล ทิ้งดิ่งลงมาด้านล่างประหนึ่งก้อนหินยักษ์ ไม่แม้แต่จะร่อนลง!
ทันใดนั้น คล้ายกับน้ำหนักของเรือใบอันตรธานหาย การปะทะกับผิวทะเลดูเหมือนขนนกที่ตกลงบนผืนน้ำ
วินาทีเดียวกัน ไคลน์ที่สิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปมากและเตรียมรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายเพื่อสร้างสึนามิลูกใหม่ พลันได้ยินเสียงดังคล้ายระเบิดจากมุม ‘จอภาพ’
เป็นโซนิคบูมอันน่าสะพรึง!
แตกต่างจากโซนิคบูมทั่วไป คล้ายกับมีเสียงโหยหวนของสายลมผสมผสานเข้ามาด้วย
ฝีมือ ‘เจ้าสมุทร’ แยนน์·ค็อตแมน! แม้ว่าจะประจำการอยู่ในวิหารซึ่งห่างจากเกาะไซมีมพอสมควร แต่ที่นี่ก็อยู่ใน ‘เขตการปกครอง’ ย่อมสามารถ ‘ส่งพลัง’ ผ่านห้วงมิติและโจมตีโดยตรงได้!
นี่คือความยิ่งใหญ่ของลำดับ 3 ตัวตนที่เฉียดใกล้ความเป็นเทวทูต!
โซนิคบูมอันน่าสะพรึงส่งผลให้ ‘กะโหลกตาเดียว’ กระเด็นไปด้านข้างในทันที ไม่มีการไต่ถามว่าทำความผิดใดมา เพราะเจ้าสมุทรไม่มีความจำเป็นปรานีโจรสลัด!
ทันใดนั้น ไคลน์สัมผัสได้ว่า พลังวิญญาณที่ชวนให้แน่นหน้าอก กำลังแผ่ออกไปโดยรอบและพยายาม ‘ค้นหา’ ความผิดปรกติ ด้วยเหตุนี้ ฉากการสวดวิงวอนตรงหน้าจึงเริ่มพร่ามัว
หลังจากได้ยินเสียงโซนิคบูมอีกระลอก ไคลน์ตัดสินใจตัดการเชื่อมต่ออย่างเยือกเย็น สลายภาพหน้าจอสวดวิงวอน โยนคทาเทพสมุทรเข้าไปในกองขยะ
“ระดับของฝีมือแตกต่างเกินไป… ต่อให้เจ้าสมุทรไม่แทรกแซง เราก็ไม่มั่นใจว่าจะบีบให้ครึ่งเทพบนเรือเปิดเผยตัวได้… ลำดับของเรายังต่ำมาก การใช้งานคทาแต่ละครั้งต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณมหาศาล… เหนือสิ่งอื่นใด เส้นทางวายุสลาตันแข็งแกร่งเกินไปในมหาสมุทร ไม่ต่างอะไรกับภัยธรรมชาติเดินได้”
พลังที่ครึ่งเทพหรือสมบัติปิดผนึกบนเรือสำแดงออกมา… มีทั้งบิดเบือน สับสน หยิบยืม และแหกกฎ… ฟังดูคล้ายกับเส้นทาง ‘จักรพรรดิมืด’ เป็นอย่างมาก… คนอื่นอาจไม่พบความเชื่อมโยง แต่เราคือผู้ครอบครอง ‘ไพ่เย้ยเทพ’ ของเส้นทาง! ระดับนี้คงไม่ใช่แค่พลังของ ‘ผู้ชี้นำความสับสน’ แน่… เคาต์แห่งการเสื่อมถอย? หืม ถ้าจำไม่ผิด กองทัพอาจครอบครองสูตรโอสถเส้นทางจักรพรรดิมืดจริง แต่ดูเหมือนจะมีแค่ห้าลำดับหลัง ปราศจากโอสถครั้งแต่ครึ่งเทพขึ้นไป…
แม้ว่าไคลน์จะไม่สามารถบีบให้ครึ่งเทพหรือสมบัติปิดผนึกบนเรือเผยโฉมออกมา แต่จากพลังที่ฝั่งตรงข้ามแสดงให้เห็น ก็มากพอจะช่วยให้สืบสาวจนพบเบาะแสสำคัญ บางที ราชวงศ์บางคนอาจลอบร่วมมือกับนิกายแม่มดและอินซ์·แซงวิลล์อย่างลับๆ หรือไม่เป็นก็องค์กรบางแห่งที่ถือครองเส้นทางจักรพรรดิมืดในลำดับสูง
ลูกหลานของโซโลมอนหรือทรันซอสต์? ‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์ จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไหม? ขณะไคลน์ใคร่ครวญอย่างหนัก เสียงสวดวิงวอนจากใครบางคนดังแว่วข้างหู
เสียงดังกล่าวก่อกวนความคิด ทำให้ไคลน์ต้องแผ่พลังวิญญาณเข้าไปตรวจสอบตามความเคยชิน รับฟังข้อความจากแสงสว่างด้านข้างเก้าอี้
ทันใดนั้น ภาพของเดนิสปรากฏขึ้น
โจรสลัดคนดังกำลังหลับตาลง สวดวิงวอนอย่างเคร่งขรึมถึงเดอะฟูล
“…” ในสภาพเหม่อลอย ไคลน์หยิบนาฬิกาพกออกมาตรวจสอบเวลา กดเปิดฝาและเพ่งมองสองสามหนจนมั่นใจว่า ปัจจุบันเป็นเวลาระหว่างตีสองและตีสาม
ถูกกระแทกหัวมารึไง? ทำไมถึงสวดวิงวอนกลางดึก? ไม่คิดจะให้พักผ่อนกันเลยหรือ? ไคลน์ตั้งสติ เพ่งมองภาพการวิงวอนด้วยอารมณ์ขุ่นมัวปนขำขัน พบว่าเดนิสกำลังเมาได้ที่ ด้านนอกมีเสียงผู้คนร้องรำทำเพลงอึกทึก
ลูกเรือฝันทองคำจัดงานรอบกองไฟกันอีกแล้ว? คราวนี้ฉลองเรื่องที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ลงจากเรือ? แถมยังรวดเดียวยาวถึงเที่ยงคืน! ไคลน์พอจะทราบสาเหตุที่เดนิสสวดวิงวอน
ชายหนุ่มสูดลมหายใจยาว แผ่พลังวิญญาณเข้าไปในแสงสว่าง กล่าวเสียงขรึม
“นามของเรา จงเอ่ยแค่ภายในใจ”
…
‘เจ้าสมุทร’ แยนน์·ค็อตแมนบินมาถึงเขตเกาะไซมีม กวาดสายตาสำรวจในจุดที่สึนามิประหลาดปะทะกับเรือของโจรสลัดไม่ทราบฝ่าย
มันค่อนข้างมั่นใจว่า บนเรือลำนั้นมีครึ่งเทพซ่อนอยู่!
เจ้าของร่างกายสูงใหญ่และกำยำ คาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตันผู้มีผมสีน้ำเงินเข้ม อาวุโสใหญ่ของหน่วยจิตแห่งจักรกล กำลังกำหมัดแน่น ฉากหลังเป็นเมฆดำบนท้องฟ้าที่เริ่มแยกตัว แสงจันทร์สีแดงเข้มส่องแสงฉาบผิวมหาสมุทร
หลังจากตรวจสอบตำแหน่งของดวงดาว แยนน์·ค็อตแมนบินไปยังทิศทางหนึ่ง
ผ่านไปสักพัก ความเร็วเริ่มลดลง เนื่องจากเริ่มมองเห็นเรือโจรสลัดที่มีสัญลักษณ์ ‘กะโหลกตาเดียว’ ลอยอยู่กลางทะเล
เรือลำดังกล่าวปราศจากคนขับ ทำได้เพียงแล่นไปตามสายลม บนดาดฟ้ามีเปลวไฟสีแดงลุกไหม้หลายจุด ศพไหม้เกรียมเกลื่อนกลาด
ณ เสากระโดงเรือใหญ่ ชายวัยกลางคนสวมหมวกสามเหลี่ยมและผ้าปิดตาสีดำถูกมัดติดกับเสา ดวงตาข้างหนึ่งเบิกโพลง เผยอาการหวาดผวาอย่างชัดเจน กึ่งกลางหน้าอกมีแท่งไม้เสียบลึก เปรอะเปื้อนโลหิตแดงฉาน
ทั้งชีวิตและร่างวิญญาณ สลายไปแล้วโดยสมบูรณ์
ราชันเร้นลับ 712 : อัลเจอร์ผู้ภักดี
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะฝันทองคำแล่นออกจากพายุ แสงจันทร์สีแดงสดกำลังสาดส่องผ่านชั้นเมฆบาง พรั่งพรูเข้ามาในห้องมืดที่ปราศจากแสงเทียน
เดนิสยืนแน่นิ่งข้างเตียง คล้ายกับถูกเล่นงานด้วยพลังพิเศษบางอย่างที่เหมือนกับดวงตาเมดูซ่า
มันขบกรามแน่น แข้งขาสั่นระริกเล็กน้อยอย่างมิอาจควบคุม ภายในใจยังคงหวนนึกถึงสายหมอกสีเทาและสายตาที่จ้องลงมาราวกับกำลังดูแคลนทุกสิ่ง ถ้อยคำ ‘นามของเรา จงเอ่ยแค่ภายในใจ’ ดังกังวานซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“มีการตอบสนอง… เป็นการตอบสนองของจริง!” ริมฝีปากเดนิสสั่นระริก แต่ไม่กล่าวคำใดต่อ รู้สึกเพียงว่า กำลังวังชาของตนเริ่มหดหาย
นี่เป็นครั้งแรกที่คำสวดวิงวอนมีการตอบสนอง!
ร่างกายสั่นสะท้านราวกับวิญญาณกำลังจะหลุดลอย!
แม้จะทราบอยู่ก่อนแล้วว่า เดอะฟูลคือตัวตนลึกลับผู้เป็นศาสดาขององค์กรที่หนุนหลังเกอร์มัน·สแปร์โรว์ หากเอ่ยนามเต็มออกไป หลังจากนี้ห้ามกระทำเรื่องเสื่อมเสีย ดูหมิ่น หรือทรยศอีกฝ่ายโดยเด็ดขาด เพราะมีโอกาสอย่างมากที่จะเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา แต่ทั้งหมดข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลที่ได้ยินมาจากพลเรือโทธารน้ำแข็ง เดนิสไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนในชีวิต ย่อมไม่คาดคิดว่าสิ่งมีชีวิตลึกลับและทรงพลังจะตอบสนองต่อคำสวดวิงวอน
ในวินาทีที่สายหมอกปกคลุมทัศนวิสัยและโสตประสาท นั่นคือครั้งแรกอย่างแท้จริงที่เดนิสได้รับรู้ว่า ในบางครั้ง ตัวตนอันยิ่งใหญ่และทรงพลังก็ตอบสนองคำสวดวิงวอนของผู้ศรัทธา!
ถูกต้อง เดนิสถึงกับเผลอเปลี่ยนคำนิยามจาก ‘ตัวตนลึกลับและทรงพลัง’ ให้เป็น ‘ตัวตนอันยิ่งใหญ่และทรงพลัง’ โดยไม่รู้ตัว!
เมื่ออาการหวาดผวาและตกตะลึงเริ่มสงบลง ลมหายใจถูกสูดเข้าเต็มปอด จากนั้น มันคิดจะเดินวนเวียนภายในห้อง หวังสลัดอาการตื่นตระหนกที่ยังตกค้าง แต่เพียงเริ่มขยับเท้าขวา แข้งขาพลันอ่อนระทวยโดยสมบูรณ์ ทำอะไรไม่ได้นอกจากล้มลงบนเตียงนอนในท่านั่ง
“ตัวตนอันยิ่งใหญ่… มีอยู่จริง” เดนิสพึมพำ เริ่มตระหนักถึงผลกระทบใหญ่หลวงที่กำลังจะตามมา
เมื่อครั้งภายในโลกหนังสือ การเอ่ยนามเต็มของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้เกิดเหตุการณ์ประหลาด เดนิสจึงหวาดกลัวไม่มาก แต่สำหรับปัจจุบัน สิ่งที่มันกลัวเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ในอนาคตจะมีแต่เหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของตน เช่นนั้นแล้ว จะให้ไม่เกิดความกลัวได้อย่างไร?
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ เดนิสถอนหายใจยาว พยายามหาข้ออ้างปลอบประโลมจิตใจ
“นี่อาจไม่ใช่เรื่องแย่ก็ได้… ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์… ไม่เพียงหมอนั่นจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ยังมีอนาคตที่สดใสมากด้วย!”
ครุ่นคิดถึงตรงนี้ เดนิสยิ้มขื่นขม กล่าวเสียงแผ่ว
“เราเองก็เป็นสมาชิกขององค์กรลับแล้วเหมือนกัน… มีตัวตนที่ยิ่งใหญ่คอยอวยพร”
ขณะความคิดมากมายแล่นผ่าน เดนิสตัดสินใจหนักแน่นว่าจะสวดวิงวอนอีกครั้งในตอนเช้าหลังจากตื่นนอน เพราะคงไม่มี ‘ศาสดา’ องค์ใดไม่ชื่นชอบสาวกที่เปี่ยมศรัทธา
แน่นอน มันยังไม่ลืมวิวรณ์ที่อีกฝ่ายส่งมาตักเตือน นับแต่นี้ไป การสวดภาวนาจะต้องเปล่งเสียงภายในใจเท่านั้น
…
เช้าวันถัดมา ไคลน์ตื่นขึ้นตามธรรมชาติ
เป็นการตื่นอย่างไม่รีบร้อน นอกหน้าต่างมีท้องฟ้าสีคราม พื้นดินเปียกแฉะ คราบน้ำยังคงเกาะตามอาคารบ้านเรือน คล้ายกับโลกทั้งใบถูกสวรรค์ชะล้างจนดูเหมือนใหม่ อย่างไรก็ตาม ใบไม้กลับเรียงตัวในลักษณะยุ่งเหยิง เศษขยะกระจัดกระจาย เป็นหลักฐานว่าค่ำคืนที่ผ่านมามิได้สงบสุขสักเท่าไร
ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ไคลน์ออกไปข้างนอกด้วยใบหน้าชาวโลเอ็นทั่วไป สั่ง ‘ยางไม้กอลลั่ม’ หนึ่งแก้วจากร้านบนเกาะไซมีม รวมถึง ‘เทียทิว่า’ ชุดใหญ่เป็นอาหารมื้อเช้า ชดเชยเรี่ยวแรงที่สูญเสียไปเมื่อคืน
บนโต๊ะอาหารอันประกอบไปด้วยของเหลวที่มีรสชาติคล้ายน้ำมะนาวผสมน้ำเชื่อมและนม สเต๊กปลากับแกะ และผลไม้กลิ่นหอมที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน ไคลน์หยิบหนังสือพิมพ์หลายฉบับของโรงแรมขึ้นมาอ่าน เริ่มจาก ‘โซเนียยามเช้า’ และ ‘ทันข่าว’ ตามลำดับ
จัดการมื้อเช้าเสร็จ ชายหนุ่มหยิบหนังสือพิมพ์ ‘เรื่องเล่าพิศวง’ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจนเหลือเพียงฉบับสุดท้ายขึ้นมาอ่าน พบกับพาดหัวข่าวที่เด่นสะดุดตา
“เหตุนองเลือดท่ามกลางพายุ”
“จากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เมื่อคืนนี้ เรือ ‘กะโหลกตาเดียว’ ของ ‘กัปตันคลั่ง’ คอร์เนอร์·วิกเตอร์ เกิดเหตุนองเลือดครั้งใหญ่ แม้แต่ตัวกัปตันคลั่งก็ยังต้องจบชีวิตลง บนเรือไม่มีใครรอด”
“โศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำ จึงยังไม่มีใครทราบความจริงเบื้องหลัง แม้ว่า ‘กะโหลกตาเดียว’ จะลอยมาจอดเกยตื้นที่ท่าเรือไซมีมแล้วก็ตาม”
ด้านล่างเนื้อข่าวมีภาพถ่ายที่ค่อนข้างพร่ามัว ลักษณะเหมือนกับแอบถ่ายจากริมฝั่งท่าเรือ
บนภาพดังกล่าว สัญลักษณ์ ‘กะโหลกตาเดียว’ ปรากฏอย่างเด่นชัด มองผิวเผินก็ทราบทันทีว่าได้รับความเสียหายอย่างหนัก หลายจุดไหม้เกรียม เหลือเพียงเสากระโดงหลักต้นเดียวที่ยังสมบูรณ์ กึ่งกลางเสามีชายสวมหมวกสามเหลี่ยมถูกท่อนไม้เสียบตรึง
“เป็นคอร์เนอร์·วิกเตอร์ไม่ผิดแน่… ตายง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ…” ไคลน์หดรูม่านตา ครุ่นคิดเคร่งเครียด “ค่อนข้างแน่ชัดแล้ว บนเรือลำดังกล่าวมีครึ่งเทพซ่อนอยู่… ทันทีอีกฝ่ายพบว่า กัปตันคลั่งตกเป็นเป้าหมายการไล่ล่าของเจ้าสมุทร และตัวเองไม่สามารถพาคอร์เนอร์หนีไปด้วยกันได้ จึงตัดสินใจลงมืออย่างเด็ดขาด ปิดปากคอร์เนอร์และทำลายหลักฐานทั้งหมดทิ้ง?”
ไคลน์ที่แต่เดิมวางแผนจะไล่ล่ากัปตันคลั่งต่อ พลันเกิดความรู้สึกหดหู่ เพราะถึงแม้จะตนพอจะรวบรวมเบาะแสได้ แต่ก็ยังมีน้อยเกินไป
ข้อมูลเดียวในตอนนี้ก็คือ ครึ่งเทพตนดังกล่าวน่าจะอยู่บนเส้นทางจักรพรรดิมืด!
พิจารณาจากความรุนแรงของพายุเมื่อคืน ‘กะโหลกตาเดียว’ คงถูก ‘เจ้าสมุทร’ ยกไปเกยตื้นที่ท่าเรือเพื่อสืบสวนขยายผล… ไม่มีทางรู้เลยว่าทางโบสถ์พบอะไรเพิ่มเติมบ้าง… จริงสิ เรื่องนี้สามารถสืบได้จาก ‘แฮงแมน’ ที่เป็นคนของโบสถ์วายุสลาตัน… เรายังไม่จำเป็นต้องส่งวิวรณ์ ชุมนุมทาโรต์จะเริ่มขึ้นในช่วงบ่ายของวันนี้ ไว้ค่อยให้เดอะเวิร์ลจ้างงานเขาโดยตรง… ไคลน์ครุ่นคิดหลายสิ่งภายในเวลาอันสั้น พลางดื่ม ‘ยางไม้กอลลั่ม’ รวดเดียวหมดแก้ว
ถัดมา ชายหนุ่มกลับห้อง เตรียมนำเครื่องรับโทรเลขที่แช่ไว้บนมิติหมอกสักพักออกมายังโลกความจริง หวังติดต่อกับ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดส สอบถามเกี่ยวกับเบาะแสอื่นๆ ของสูตรโอสถ ‘จอมเวทพิสดาร’
หลังจากพ้นเขตน่านน้ำสุดขอบตะวันออกของเกาะโอลาวี – สถานที่สุดท้ายที่ครึ่งเทพของชุมนุมแสงเหนือปรากฏตัว – ไคลน์เริ่มมีความกล้าที่จะนำวัตถุเจือกลิ่นอายมิติหมอกลงมาใช้งาน อย่างไรก็ตาม มันตระหนักว่าต้องไม่ทำบ่อยจนเกินไป และแต่ละครั้งต้องไม่กินเวลานาน ไม่อย่างนั้นอาจถูก ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ จับสัมผัสได้
ด้วยเหตุผลข้างต้น รวมถึงความระแวงที่ยังมีต่อกระจกวิเศษ ไคลน์พยายามไม่พึ่งพาอีกฝ่ายมากนัก หากสิ่งใดทำเองได้ก็จะพยายามจนถึงที่สุดเสียก่อน เว้นเสียแต่จะจนปัญญาจริงๆ จึงค่อยเล่นเกมตอบคำถามกับกระจก
…
ณ ท่าเรือส่วนตัวของกลุ่มต่อต้าน ‘โทสะสีคราม’ กำลังจอดอยู่ด้านใน
อัลเจอร์มีแผนจะกลับไปยังเกาะปาซู จึงต้องเติมเสบียงครั้งสุดท้าย
หลังจากแจ้งรายการสินค้ากับลูกเรือ ชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าของชนพื้นเมือง เดินเท้ามายังบายัม หักเลี้ยวสองสามหน จนกระทั่งถึง ‘มหาวิหารคลื่นสมุทร’ เตรียมเข้าไปรายงานความคืบหน้าภารกิจในช่วงที่ผ่านมาให้หลวงพ่อโชโกรีทราบ
แม้มีกำหนดการจะกลับไปยังเกาะปาซูเพื่อรายงานให้เบื้องบนของโบสถ์วายุสลาตันทราบอยู่แล้ว แต่มันยังไม่ลืมว่าหัวหน้าของตนเป็นใคร รู้ว่าอะไรควรทำและไม่ควรทำ ไม่ข้ามหน้าข้ามตาด้วยการตรงดิ่งไปรายงานเบื้องบนทันที
โชโกรี เจ้าของร่างกายกำยำ พึงพอใจอย่างมากกับรายงานเชิงรุกที่มีประสิทธิภาพของอัลเจอร์
“ไม่มีสิ่งใดผิดปรกติในรายงานของคุณ ไม่ต้องกังวลไป… ผมได้แจ้งกับท่านเจ้าคุณแยนน์·ค็อตแมนไปแล้วว่า คุณศรัทธาต่อองค์วายุสลาตัน เป็นฝ่ายเดียวกันกับศาสนจักร และยังเป็นหนึ่งในกัปตันเรือผีสิงที่ไว้ใจได้มากที่สุด ในการประชุมครั้งหน้า ท่านเจ้าคุณค็อตแมนจะรายงานเรื่องนี้ให้สภาพระคาร์ดินัลทราบ”
เว้นวรรคเล็กน้อย โชโกรีกล่าวต่อทันทีโดยไม่ปล่อยให้อัลเจอร์พูด
“ยังมีอีกหนึ่งภารกิจ จงสืบหาคนที่ใกล้ชิดกับ ‘กัปตันคลั่ง’ คอร์เนอร์·วิกเตอร์อย่างละเอียด… นี่เป็นภารกิจที่ท่านเจ้าคุณค็อตแมนมอบหมายโดยตรง คุณต้องตั้งใจเป็นพิเศษ”
สืบหาคนสนิทของ ‘กัปตันคลั่ง’ ? อัลเจอร์งุนงงเล็กน้อย แต่มิได้ส่งเสียงซักถาม เพียงนำกำปั้นขวากระแทกหน้าอกซ้าย
“รับทราบครับ เจ้าคุณโชโกรี”
โชโกรีผมสีออกเทาพยักหน้ารับ ครุ่นคิดสองสามวินาที
“คุณรู้จักเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไหม”
คำถามดังกล่าวเป็นราวกับฟ้าผ่าลงมากลางใจ รูม่านตาอัลเจอร์พลันหดลีบ เกือบคลุ้มคลั่งคาที่ อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยความเข้มแข็งทางจิตใจที่เป็นเลิศ เพียงไม่นานก็กลับเป็นปรกติ
“เคยได้ยินชื่อมาบ้าง เขาโด่งดังมากในช่วงหลัง ไม่เพียงจะล่าค่าหัว ‘นักเจรจา’ มีซอร์·คิง แต่ยังสามารถทำให้เทรซี่บาดเจ็บหนัก นอกจากนั้นยังโดยสารไปกับ ‘อนาคตกาล’ ของแคทลียา” อัลเจอร์ร่ายยาวกว่าปรกติเพื่อปกปิดความสั่นคลอนในใจ
โชโกรีพยักหน้าเล็กน้อย
“คุณคงอยู่ในทะเลตลอด ข่าวที่ได้จึงค่อนข้างล้าหลัง… เกอร์มัน·สแปร์โรว์เพิ่งสังหารจิลเซียสบนเกาะทอสคาร์เตอร์ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน แถมยังขึ้นค่าหัวเสร็จสรรพ… หึหึ… เหยื่อคราวนี้เป็นถึง ‘ปีศาจ’ … ลำดับ 5 แห่งเส้นทางปีศาจเชียวนะ”
“จิลเซียส… ผู้ช่วยกัปตันของอาการิธ?” อัลเจอร์ซักถามด้วยสีหน้าตกตะลึงโดยแท้จริง
สำหรับมัน เรื่องที่จิลเซียสเป็นลำดับ 5 ไม่ใช่ข้อมูลใหม่ แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าอีกฝ่ายอยู่บนเส้นทางปีศาจ ถ้าหากนำลำดับ 5 กับ ‘ปีศาจ’ มารวมกัน นั่นหมายถึงความแข็งแกร่งที่มาพร้อมกับความยากในการลอบสังหาร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เกอร์มัน·สแปร์โรว์คงเผชิญหน้ากับจิลเซียสอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ฆ่าทิ้งทันที!
หมายความว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์ก้าวไปถึงจุดสูงสุดของลำดับ 5 เรียบร้อยแล้ว!
หากไม่ใช่เพราะเดอะเวิร์ลถามหาสูตรโอสถลำดับ 4 ในชุมนุมทาโรต์ เราคงสงสัยว่าเขาเป็นครึ่งเทพ… อัลเจอร์ครุ่นคิดในใจ แต่มิได้เยือกเย็นเหมือนปรกติ
มันประหลาดใจมากเมื่อพบความจริงที่ว่า ภายในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ เดอะเวิร์ลทำสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากมาย ทั้งครอบครองสูตรโอสถและวัตถุดิบหลักของลำดับ 5 ผู้ขับขานสมุทร สังหารปีศาจลำดับ 5 และมีโอกาสสูงที่จะครอบครองสูตรโอสถลำดับ 6 ‘ผู้รับรอง’ แล้ว!
ทำได้ยังไง… อัลเจอร์เริ่มหวาดกลัว ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์
แน่นอน มันมิได้ประหลาดใจโดยสมบูรณ์ เพราะพอจะคาดเดาได้ว่า ‘เดอะเวิร์ล’ อาจหมายถึง ‘ข้ารับใช้’ ของเดอะฟูล และตัวตนระดับเดอะฟูลย่อมมีข้ารับใช้หลายคน หากแบ่งงานกันทำ คนหนึ่งล่าสูตรโอสถ ‘ผู้รับรอง’ คนหนึ่งล่า ‘ผู้ขับขานสมุทร’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็คงเป็นผู้ล่า ‘จิลเซียส’
ถึงจะฟังดูน่าเหลือเชื่อ แต่ก็ยังอยู่ในหลักเหตุและผล
โชโกรีพยักหน้า เล่าต่อเสียงขรึม
“ถูกต้อง… และการที่อาการิธไม่ตอบโต้ แสดงให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง… หากเป็นไปได้ จงรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์มาให้มากที่สุด”
“รับทราบครับ เจ้าคุณโชโกรี” อัลเจอร์ทำท่าเคารพพลางครุ่นคิดว่า ตนควรทำอย่างไรให้ภารกิจนี้ดูแนบเนียนที่สุด
…
ภายในโรงแรม ไคลน์วางเครื่องรับโทรเลขลง
เพียงไม่นาน เสียง ‘กุกกัก’ เริ่มดังขึ้น
ราชันเร้นลับ 713 : สามคำถาม
โดย
Ink Stone_Fantasy
กุกกัก กุกกัก กระดาษมายาสีขาวแผ่นหนึ่งถูกพ่นออกจากเครื่องรับโทรเลขไร้สาย ด้านบนมีข้อความภาษาโลเอ็นเขียนไว้
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนของท่าน อาโรเดส ในที่สุดก็ไล่ตามท่านทันแล้ว!”
ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นเชียว? อา… ทักษะการประจบประแจงของ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสยังยอดเยี่ยมเช่นเคย ไม่ได้ตัดพ้อในเรื่องที่ต้องห่างเหินกัน และไม่ได้ถามว่าทำไมเราถึงไม่เรียกหาเป็นเวลานาน เพียงตำหนิตัวเองที่ชักช้าและใช้เวลานานกว่าจะไล่ตามเราทัน… รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังประมาทไม่ได้… ไคลน์หมดคำจะกล่าวไปชั่วขณะ
อาโรเดสไม่รีรอ ใช้เครื่องรับโทรเลขวาด ‘ใบหน้าครุ่นคิด’ ลงบนกระดาษมายาสีขาว
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ปกครองสูงสุดเหนือโลกวิญญาณ ข้ารับใช้ของท่านสัมผัสได้ว่า ท่านเข้าใกล้การกลับไปครองบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์อีกขั้นแล้วใช่ไหม?”
กระจกบานนี้วิวัฒนาการเร็วมาก เริ่มใช้สัญลักษณ์ ‘อีโมจิ’ ซึ่งเป็นต้นแบบที่นำไปสู่การสร้าง ‘อีโมติค่อน’ … ในสายตาอาโรเดส เราคือเทพที่กำลังค้นหาตัวเองและค่อยๆ ฟื้นคืนพลังกลับมา? และนั่นคือเหตุผลที่ว่า แม้ว่าเราจะอยู่แค่ลำดับ 5 แต่อาโรเดสกลับแสดงท่าทีนอบน้อมยิ่งกว่าเดิม? ไคลน์ยังไม่ลืมหลักการถามตอบของกระจกวิเศษ จึงผงกศีรษะรับ
“ถูกต้อง”
“นายท่านตอบคำถามไปแล้ว เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ท่านสามารถถามอะไรก็ได้กับข้า” อาโรเดส ‘พิมพ์’ ตอบกลับอย่างรวดเร็ว และไม่ลืมที่จะแนบ ‘หน้ายิ้ม’ ต่อท้าย
ไคลน์ไม่ลังเล ถามเข้าประเด็น
“ข้าจะหาสูตรโอสถ ‘จอมเวทพิสดาร’ ได้จากที่ไหน”
ใช้เวลาสักพักกว่าแผ่นกระดาษสีขาวจะถูกพ่นออกมา คราวนี้เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ซับซ้อน ก่อนที่กระดาษแผ่นดังกล่าวจะแปรสภาพเป็นผิวกระจกมายา ฉายให้เห็นฉากเคลื่อนไหวอันสมจริง
เป็นฉากของราชวังอันมืดมิด ปราศจากแหล่งกำเนิดแสงตามธรรมชาติ ด้านในมีบางสิ่งขนาดมหึมากำลังยุบพองตัว ภาพคลุมเครือจนยากจะจำแนก คล้ายกับภาพวาดดินสอที่ถูกลบด้วยยางลบ ไม่มีทางมองเห็นรายละเอียดที่คมชัด
อย่างไรก็ตาม ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดส แนบข้อความไว้ด้านล่างสุด
“นี่คือซาราธที่เกิดคลุ้มคลั่งขณะพยายามเลื่อนเป็นลำดับ 1 ‘บริวารเร้นลับ’ จนกลายเป็นสัตว์ประหลาด แต่นายท่านห้ามประมาทเด็ดขาด ชายคนนี้เจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างหาที่สุดมิได้ บางที การตกอยู่ในสภาพนี้อาจเกิดขึ้นเพราะจงใจ… ห้ามจ้องซาราธโดยตรงเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะเจ็บปวด และเหนือสิ่งอื่น ยกเว้นซาราธ นายท่านจะไม่มีทางได้รับสูตรโอสถจากครึ่งเทพคนใดในลัทธิเร้นลับ เนื่องจากซาราธเป็นคนจัดหาโอสถครึ่งเทพให้แก่ทุกคน และแทบไม่มีทางใช้เทคนิคทำนายแบบย้อนกลับ”
ตอบได้ดีและละเอียดมาก แถมยังบอกด้วยว่า ลำดับ 1 ของเส้นทางนักทำนายคือ ‘บริวารเร้นลับ’ … หมายถึงการเป็นเทวทูตที่คอยรับใช้ความลับ? ดูเหมือนว่า หากเลือกใช้วิธีเข้าหาลัทธิเร้นลับ การเผชิญหน้าซาราธคือหนทางเดียวที่จะได้สูตรโอสถ และเราไม่สามารถจ้องมองอีกฝ่ายได้โดยตรง… เข้าใจแล้วว่าทำไม ‘อสรพิษแห่งชะตา’ วิล·อัสตินถึงบอกเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวกับซาราธผู้เสียสติ ไม่กล่าวถึงสมาชิกลัทธิเร้นลับคนอื่น… ไคลน์ค่อนข้างประทับใจกับคำตอบของอาโรเดส หากไม่ใช่เพราะตระหนักว่าตนยังมีพลังมากไม่พอที่จะควบคุมสมบัติปิดผนึกแสนอันตราย ชายหนุ่มคงปรารถนากระจกบานนี้อย่างมาก
ท่ามกลางเสียงพิมพ์ที่คมชัด กระดาษสีขาวมายาโผล่ออกมาอีกหนึ่งแผ่น เผยฉากสมจริงที่แตกต่างไปจากเดิม
คราวนี้เป็นภูเขาสูงตระหง่าน ด้านบนมีซากปรักหักพังของราชวัง สามารถมองเห็นบัลลังก์หินขนาดมหึมาได้อย่างเลือนราง
ไคลน์คุ้นเคยกับภาพนี้เป็นอย่างมาก ไม่ต้องให้ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสอธิบาย ก็ทราบได้ทันทีว่าหมายถึงสิ่งใด
สมบัติของตระกูลอันทีโกนัสที่ซ่อนอยู่บนยอดเขาโฮนาซิส!
กระดาษสีขาวยังคงถูกคายออกมาเพิ่ม ด้านบนเป็นฉากใหม่ คราวนี้ใช้เทคนิคเปลี่ยนมุมกล้องเหมือนกับภาพยนตร์
สิ่งแรกที่สะดุดตาไคลน์คือหอระฆังสไตล์โกธิกสูงตระหง่าน รอบข้างมีราชวังอันงดงามรายล้อม
ระฆังหมายถึง ‘ระฆังประกาศิต’ และวังหมายถึง ‘วังโซเดอร์แล็ค’ อันโด่งดังในเบ็คลันด์
ฉากตรงหน้าผันเปลี่ยน เพียงไม่นานก็กลายเป็นภาพอาคารหลังใหม่บนกระดาษสีขาว คราวนี้เป็นวิหารสีดำสนิท ด้านบนมีหอระฆังที่สมมาตรกันสองแห่ง
ภาพขยายเข้าไปทีละนิด เผยให้เห็นการตกแต่งภายใน จนกระทั่งหยุดลงที่บานประตูสีดำในห้องใต้ดิน
บานประตูดูหนักจนผิดธรรมชาติ สลักตราศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืดจำนวนเจ็ดแห่ง คล้ายกับคอยปิดกั้นเส้นทางเข้าสู่สวรรค์มืด
“ประตูยานิส… มหาวิหารนักบุญแซมมวล…” ไคลน์ยังคงไม่ลืมบานประตูที่คุ้นเคย และเมื่อพิจารณาจากเอกลักษณ์ทางสถาปัตยกรรม สถานที่ในภาพเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากสำนักงานใหญ่ของโบสถ์รัตติกาลประจำมุขมณฑลกรุงเบ็คลันด์ มหาวิหารนักบุญแซมมวล!
กระดาษสีขาวแผ่นใหม่ถูกคายออก ฉากเหตุการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง หนนี้เป็นภาพของห้องมืด โดยบนชั้นหนังสืออันว่างเปล่าซึ่งประกอบขึ้นจากโครงกระดูก มีสมุดบันทึกเล่มหนึ่งวางอยู่อย่างเงียบงัน ปกทำจากกระดาษแข็ง ถูกย้อมให้เป็นสีดำ
ไคลน์จดจำสมุดเล่มนี้ได้ทันที
สมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสที่ทำให้ ‘ไคลน์’ เจ้าของร่างต้องตาย!
หลังจากต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ชะตากรรมมีอันต้องวกกลับมาที่จุดเดิมอีกครั้ง!
ไคลน์เฝ้ามองอย่างเงียบงัน ไม่กล่าวคำใด รอจนกระทั่งภาพหายไป จึงค่อยหาข้อสรุปให้ตัวเอง
นั่นสินะ… สมาชิกของชุมนุมแสงเหนือเคยเห็นสูตรโอสถ ‘ตัวตลก’ จากสมุดบันทึกเล่มนี้… แต่ปัจจุบัน ในเมื่อเราถูกสมุดบันทึกยอมรับ เนื้อหาคงเปลี่ยนไปถ้าได้อ่านอีกครั้ง อาจมีสูตรโอสถ ‘จอมเวทพิสดาร’ เขียนไว้ ขาดเพียงวัตถุดิบหลักหรือตะกอนพลัง…
หมายความว่า สมุดบันทึกอันทีโกนัสถูกผนึกไว้หลังประตูยานิสในโบสถ์นักบุญแซมมวล… การจะขโมยออกมา ระดับความยากคงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการเผชิญหน้ากับซาราธร่างสัตว์ประหลาด… ย้อนกลับไปเมื่อครั้งโศกนาฏกรรมมหาหมอกควัน โบสถ์รัตติกาลส่งผู้วิเศษที่เก่งกาจจำนวนมากออกปฏิบัติการ… หลังจากเราแจ้งข่าวให้มิสจัสติสทราบได้ไม่นาน ปัญหาก็ถูกพวกเขาสะสางอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของโบสถ์รัตติกาลประจำมุขมณฑลเบ็คลันด์ พวกเขาเพียบพร้อมทั้งครึ่งเทพและสมบัติปิดผนึก… เข้าใจแล้ว ก่อนอื่นคงต้องกลับไปที่เบ็คลันด์ก่อน ตรวจสอบหาความเป็นไปได้ในการลงมือ… ว่ากันตามตรง เราเองก็ไม่อยากไปเยือนยอดเขาโฮนาซิสสักเท่าไร…
หลังจากความคิดมากมายแล่นผ่าน ไคลน์จ้องเครื่องรับโทรเลขไร้สาย
“เมื่อคืน ใครคือครึ่งเทพที่ซ่อนอยู่บนเรือของ ‘กัปตันคลั่ง’ คอร์เนอร์·วิกเตอร์”
เสียงกุกกักดังอย่างขยันขันแข็งอีกครั้ง กระดาษมายาสีขาวตรงหน้าหายไป แผ่นใหม่ถูกพ่นออกมาแทนที่
เนื้อหาบนกระดาษยังคงเป็นฉากเหตุการณ์
ฉากหลังเป็นโคมไฟหรูหราที่ทำจากทองเหลือง เทียนไขห้าเล่มกำลังเปล่งแสงพร้อมกับมอบความอบอุ่น ชายวัยกลางคนสวมหมวกทรงสามเหลี่ยมและผ้าปิดตาหนึ่งข้างสีดำ กำลังยืนหน้าตู้เก็บไวน์ซึ่งเต็มไปด้วยแชมเปญและเหล้าหมัก สายตาจ้องไปยังบุคคลฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทีนอบน้อม
ฝั่งตรงข้ามคือชายร่างใหญ่ในชุดคลุมสีดำ ใบหน้าถูกซ่อนอย่างมิดชิดภายใต้ผ้าคลุมศีรษะ
บุคคลดังกล่าวคล้ายกับไม่มีหัว ช่วงลำคอดูราวกับเป็นความมืดมิดที่บิดเบี้ยว
อาศัยความทรงจำเกี่ยวกับใบประกาศจับ ไคลน์นึกออกทันทีว่าชายตาเดียวคือ ‘กัปตันคลั่ง’ คอร์เนอร์·วิกเตอร์ เส้นผมของมันทั้งกระเซอะกระเซิงและมันเยิ้ม ปิดลงมาถึงต้นคอ
ฝั่งตรงข้ามคงเป็นครึ่งเทพ… แต่อีกฝ่ายจงใจปกปิดตัวตน แถมยังมีการใช้เทคนิคต่อต้านการถูกทำนายถึง… น่าทึ่งมากที่อาโรเดสยังสามารถจำลองฉากนี้ได้… ไคลน์ไม่ผิดหวัง เนื่องจากยังพอจะได้เบาะแสเกี่ยวกับเค้าโครงร่างกายของอีกฝ่าย
สูงกว่า 1.85 เมตร แต่น้อยกว่า 1.9 เมตร… แขนยาวกว่าปรกติเล็กน้อย มือห้อยเกือบถึงหัวเข่า… ไหล่กว้างจนเสื้อคลุมตึง… ขาทั้งสองข้างโก่งพอสมควร…
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้วยการปลอมตัว ไคลน์เชื่อว่านี่คือขนาดร่างกายที่แท้จริงของอีกฝ่าย เพราะผู้วิเศษที่ลงทุนใช้เทคนิคต่อต้านการทำนายหลายต่อหลายชั้น คงไม่มัวเสียเวลากับการดัดแปลงสัดส่วนร่างกาย โดยเฉพาะคนที่ไม่มีจุดเด่นสะดุดตา
ดังนั้น นี่อาจเป็นเบาะแสสำคัญในอนาคต ช่วยให้ไคลน์สามารถจำแนกความคุ้นเคยเมื่อเห็นอีกฝ่าย!
“ทำได้ดี ถึงตาเจ้าถามแล้ว” หลังจากนึกขึ้นได้ ไคลน์หยุดมองภาพ รอฟังคำถามของ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสอย่างสนใจ
มันกำลังสงสัยว่า อีกฝ่ายคิดจะถามสิ่งใด และเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายหรือไม่!
กุกกัก กุกกัก การพิมพ์ในคราวนี้ค่อนข้างเชื่องช้า เผยให้เห็นความลังเลชัดเจน จนกระทั่งผ่านไปสักพัก กระดาษมายาสีขาวค่อยๆ ถูกพ่นออกจากเครื่องรับโทรเลขไร้สาย
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข…ข้าขอพูดอะไรสักคำได้ไหม”
“เชิญ” ไคลน์ตอบด้วยสีหน้าเจือความประหลาดใจ รอฟังคำพูดถัดไปของอาโรเดส
เสียงกุกกักดังเร็วขึ้น เปี่ยมด้วยความกระตือรือร้นชัดเจน
บนแผ่นกระดาษมายาสีขาว ข้อความบรรทัดแล้วบรรทัดเล่าปรากฏขึ้น
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ สุขสันต์วันเกิด!”
“นี่อาจเป็นการอวยพรที่ล่าช้าไปสักนิด ร่างปัจจุบันของนายท่านเกิดเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 1327 ข้าต้องการเป็นคนแรกที่อวยพรท่านตอนเที่ยงคืนตรงของวันดังกล่าว แต่น่าเสียดายที่ตามหาตัวนายท่านไม่พบ”
เหนือความคาดหมาย… แม้แต่เรายังลืมตัวเกิดตัวเองไปแล้ว… มุมปากไคลน์กระตุกเล็กน้อย หมดคำจะกล่าว
ความทรงจำเก่าจาก ‘ไคลน์’ เจ้าของร่างยังคงอยู่ครบ รวมถึงเศษเสี้ยวอารมณ์บางส่วน กับแค่วันเกิดย่อมต้องทราบ แต่หลังจากต้องชีวิตตามลำพังเป็นเวลานาน ใครมันจะไปจำเรื่องแบบนี้?
อาโรเดสคือคนแรกที่อวยพรวันเกิดเรา… ตอนนี้เบ็นสันกับเมลิสซ่าคงพยายามกันอย่างหนัก… การสอบสัมภาษณ์จบลงแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ เบ็นสันจะสอบติดข้าราชการไหม… ไคลน์ถอนหายใจ มองไปทางเครื่องรับโทรเลขด้วยสายตาอ่อนโยน
ครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มถามสุขุม
“คำถามที่สาม… ต้นกำเนิดของเจ้า”
เสียงการพิมพ์หยุดลงราวสองวินาที จากนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง
กระดาษสีข่าวถูกพ่นออกมาพร้อมกับฉากเหตุการณ์ใหม่
ของเหลวเหนียวข้นสีดำจำนวนมหาศาล กำลังล้นทะลักออกจากรูบนพื้นดินและไหลไปทุกทิศทางอย่างส่งเดช แขนขามากมายงอกเงยขึ้นจากพื้นสีดำ กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด วิ่งกรูไปข้างหน้า
ระหว่างนั้น จุดแสงหนึ่งถูกพ่นออกจากบ่อของเหลวหนืดสีดำ ตกลงบนก้อนหิน ผสานกันเป็นเนื้อเดียว ก่อนจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นกระจกเงาสีเงินทรงโบราณ กึ่งกลางทั้งสองด้านมีอัญมณีสีดำประดับตกแต่ง
ฉากพิสดารพวกนี้หมายถึงอะไร… นี่คือต้นกำเนิดของอาโรเดส? อะไรคือจุดแสง? แล้วมาจากไหน? ดูคล้ายกับตะกอนพลังอยู่เหมือนกัน… ไคลน์เริ่มตีความ
เสียงพิมพ์ยังไม่หยุด พ่นคำออกมาอีกหนึ่งบรรทัด
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ยังมีคำถามอื่นอีกหรือไม่”
หลังจากคำนวณเวลา ไคลน์ส่ายหน้าและกล่าว
“หมดแล้ว”
“นายท่านตอบครบทุกคำถามแล้วเช่นกัน คงถึงเวลาที่ข้าต้องขอตัว… นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ปกครองสูงสุดแห่งโลกวิญญาณ ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนของท่าน อาโรเดส รอวันที่จะได้รับใช้และติดตามนายท่านอีกครั้ง บ๊ายบาย~” บนกระดาษมายาสีขาว บรรทัดสุดท้ายคือภาพการโบกมืออำลา
ราชันเร้นลับ 714 : ไดอารีหน้าใหม่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ด้านในห้องพักโรงแรมที่เงียบสงบ เครื่องรับโทรเลขไร้สายซึ่งเคยมืดมนกลับสู่ภาวะปรกติอย่างรวดเร็ว บรรยากาศมืดสลัวเมื่อครู่อันตรธานหายไปทันที
ไคลน์วุ่นวายอยู่กับการประกอบพิธีกรรมสักพัก สังเวยสิ่งของเข้าไปในห้วงมิติเหนือสายหมอกสีเทา จนกระทั่งจัดการเสร็จ จึงมีเวลาครุ่นคิดหาคำตอบให้ตัวเอง
อาศัยเบาะแสที่กระจกวิเศษ ‘อาโรเดส’ มอบให้ ผนวกกับคำแนะนำของมิสเตอร์อะซิกและ ‘อสรพิษแห่งชะตา’ วิล·อัสติน ไคลน์เริ่มวางแผนการขั้นถัดไป
มิใช่เพราะชายหนุ่มต้องการกลับไปพักผ่อนหย่อนใจที่เบ็คลันด์ แต่มหานครอันวุ่นวายและมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นบ่อยครั้งแห่งนี้ คือเมืองที่ไคลน์ใช้ชีวิตมายาวนานที่สุด นอกจากนั้น หากหวังขโมยสมุดบันทึกอันทีโกนัสจามหาวิหารนักบุญแซมมวล การอาศัยในกรุงเบ็คลันด์ย่อมง่ายต่อการประเมินโอกาสสำเร็จ
แต่หากพบว่าภารกิจดังกล่าวเป็นไปไม่ได้ ชายหนุ่มจะพิจารณาถึงการเลื่อนลำดับในเส้นทางใกล้เคียงแทน และหากยังอับจนหนทางอีก ก็ต้องลงมือด้วยตัวเลือกสุดท้าย มุ่งหน้าไปยังเทือกเขาโฮนาซิส
อา… การกลับกรุงเบ็คลันด์คราวนี้ เราไม่สามารถใช้ตัวของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ได้อย่างเปิดเผย เว้นเสียแต่ต้องการล่อให้อินซ์·แซงวีลล์หรือราชวงศ์บางคนเผยตัวออกมา… แต่ถ้าจำเป็นต้องติดต่อกับโบสถ์จักรกลไอน้ำ ถึงตอนนั้นค่อยใช้ใบหน้าเชอร์ล็อก…
ในช่วงแรก เราต้องกลายเป็นตัวตนใหม่ และต้องแตกต่างจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์ให้มากที่สุด… ขากลับ เราไม่ควรตรงไปจากท่าเรือพริสต์ แต่ต้องอ้อมไปทางอ่าวเดซีย์ ยืนยันให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครสามารถสืบสาวต้นตอ… ไคลน์เค้นสมองใช้ความคิด แผนการเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
หลังจากกำหนดทิศทางอย่างคร่าว ชายหนุ่มเตรียมเจาะเลือดและส่งเข้าไปในห้วงมิติเหนือสายหมอก นี่คือเงื่อนไขเบื้องต้นของการสำรวจ ‘บันทึกการเดินทางของกรอซาย’ ด้วยร่างวิญญาณ แต่เมื่อพิจารณาว่า ช่วยบ่ายของวันนี้มีชุมนุมทาโรต์ จึงเอนหลังลงบนเตียง นอนหลับอย่างผ่อนคลาย
…
ขณะอนาคตกาลกำลังโลดโผนบนเกลียวคลื่น ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียายืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองออกไปยังทัศนียภาพมุมกว้างด้านนอก สลับกับจ้องมองดาดฟ้าหัวเรือเป็นระยะ ได้ยินเสียงดุด่าของนีน่าเป็นระยะ อีกฝ่ายกำลังตำหนิแฟรงก์·ลีที่สร้างเห็ด ‘โตไว’ รสเนื้อที่ชอบกินปลาขึ้นมา
แคทลียาถอนหายใจแผ่วเบา ยกมือขึ้นดันแว่นตาหนาเตอะบนดั้งจมูก
ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณพลันถูกกระตุ้น เมื่อมองไปยังโต๊ะทำงาน หญิงสาวพบกระดาษสีเหลืองสองสามแผ่น
“ไดอารีของจักรพรรดิ… ในที่สุดก็ส่งมา” แคทลียาหันหลังกลับด้วยท่าทางยินดี หยิบกระดาษสองสามแผ่นดังกล่าวขึ้นมาตรวจสอบเบื้องต้น
จนกระทั่งบ่ายสามโมงตรง เมื่อจดจำสัญลักษณ์ทั้งหมดบนกระดาษได้ขึ้นใจ แสงสีแดงเข้มส่องสว่างท่วมท้นการมองเห็นของเธอ
ท่ามกลางหลังคาโดมสูงตระหง่านที่เกื้อหนุนด้วยเสาหิน ‘เฮอร์มิท’ แคทลียามองเห็นแสงสีแดงเข้มหลายจุดกำลังสาดส่องลงบนเก้าอี้พนักสูง บรรจงก่อตัวเป็นรูปร่างมนุษย์
หญิงสาวมิได้หันไปมอง เพียงสนใจแว่นตาของตัวเองที่ปรากฏขึ้นโดยไม่ได้เสก คล้ายกับรูปกายภายนอกถูกมิติแห่งนี้จำลองขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่เว้นแม้กระทั่งเครื่องประดับ
จากนั้น ณ มุมสายตาแคทลียา มิสจัสติสลุกขึ้นยืนด้วยกิริยาสง่างาม ส่งเสียงทักทายบุคคลสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว
“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ฟูล~”
ออเดรย์กำลังอารมณ์ดี เพราะเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากกลับถึงคฤหาสน์ของครอบครัว ในฐานะบุตรสาวที่น่ารัก เธอช่วยมารดาของตน คุณหญิงเคทลิน แก้ปัญหาอาการทางจิตที่เกิดจากอายุและสภาพร่างกาย ผลตอบรับยอดเยี่ยมเกินความคาดหมาย ช่วยให้ออเดรย์สามารถสรุปกฎการสวมบทบาทของ ‘นักจิตบำบัด’
หนึ่งในนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาอาการทางจิตให้ผู้อื่น เธอสงสัยบางว่าบางที นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้โอสถมีชื่อว่า ‘นักจิตบำบัด’ แทนที่จะเป็น ‘จิตแพทย์’
มิสจัสติสกำลังมีความสุข… ราวกับอารมณ์สามารถส่งผ่านถึงกัน ไคลน์พยักหน้าตอบสนองอย่างยิ้มแย้ม
ระหว่างนั้น ชายหนุ่มพบว่า ‘แฮงแมน’ กำลังวิตกกังวล คล้ายกับลังเลในบางสิ่ง ยากจะตัดสินใจให้เด็ดขาด
หืม… อาจเป็นไปได้ว่า มิสเตอร์แฮงแมนมีเงินพอที่จะซื้อสูตรโอสถและวัตถุดิบหลักของ ‘ผู้ขับขานสมุทร’ แต่นั่นจะเป็นการสูญเสียเงินก้อนใหญ่ในคราวเดียว จึงอยากผ่อนชำระมากกว่า? ‘เดอะฟูล’ ไคลน์ถอนสายตากลับและมองไปรอบๆ
รอจนกระทั่งมิสจัสติสทักทายเสร็จ ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาหันหน้าไปทางสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว
“มิสเตอร์ฟูล ดิฉันรวบรวมไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ได้สามหน้า”
มาแล้ว… ไดอารีสามหน้าที่ ‘ราชินีเงื่อนงำ’ คัดสรรด้วยตัวเอง จะอัดแน่นไปด้วยข้อมูลมากแค่ไหนกัน? แล้วเป็นเนื้อหาแบบใด? ยกตัวอย่างเช่น เบาะแสของไพ่เย้ยเทพเส้นทางนักทำนาย… นั่นอาจช่วยให้เราค้นพบหนทางใหม่… ไคลน์ที่รอคอยอย่างคาดหวัง กล่าวด้วยอากัปกิริยาสงบนิ่งและเป็นธรรมชาติ
“ทำได้ดี คิดข้อเสนอเตรียมไว้เลย”
“ค่ะ มิสเตอร์ฟูล” แคทลียาตอบรับอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ขอสิทธิ์ในการเขียนไดอารีลงบนแผ่นกระดาษ
เมื่อเห็นกิริยาท่าทางของอีกฝ่าย ไคลน์หวนนึกถึงแคทลียาในความฝัน ภายในใจเกิดความสุขอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับอาจารย์ที่สามารถอบรมให้เด็กเกเรทำตัวอยู่ในกรอบ
นี่เป็นครั้งแรกที่มาดามเฮอร์มิทส่งไดอารีจักรพรรดิโรซายล์… พิจารณาจากฝีมือและพลังอำนาจของเธอ หากตั้งใจจะทำจริงๆ ก็คงรวบรวมไดอารีได้นานแล้ว… หมายความว่า หลังจากถูกมิสเตอร์ฟูลสั่งสอน มาดามเฮอร์มิทเริ่มอยากมีส่วนร่วมกับชุมนุมทาโรต์มากขึ้น? ‘จัสติส’ ออเดรย์สำรวจท่าทีของแคทลียาและนำไปเทียบกับการชุมนุมเมื่อสัปดาห์ก่อน สรุปผลลัพธ์ในใจ
ขณะเดียวกัน เธอยังสังเกตเห็นว่า ‘แฮงแมน’ ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก คล้ายกำลังคาดหวังบางสิ่ง และไม่อยากสูญเสียบางอย่าง นั่นยิ่งทำให้หญิงสาวเกิดความอยากรู้อยากเห็น
โดยไม่ต้องรอนาน ไดอารีจำนวนสามหน้าถูกส่งมาถึงมือไคลน์
‘เดอะซัน’ เดอร์ริคและคนที่เหลือพลันสำรวม ไม่มีใครรบกวนเดอะฟูล
“9 กุมภาพันธ์ วันนี้เป็นวันเกิดของโบโนว่า… เขาเป็นเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรง แข็งแกร่ง ซื่อสัตย์ และจิตใจงดงาม นอกจากนั้นยังเป็นเด็กที่เคร่งครัดในคำสอนของศาสนา ทางศาสนจักรจึงชื่นชอบมาก”
“ทุกคนร่วมแสดงความยินดีกับเราและกล่าวว่า โบโนว่าจะต้องกลายเป็น ‘ข้ารับใช้’ ของพระองค์ได้แน่ ดวงวิญญาณของเขาศักดิ์สิทธิ์จนน่าทึ่ง ชนิดที่สามารถมอบความศรัทธาอันแสนบริสุทธิ์”
“เราควรจะยินดี… แต่ลึกๆ ในใจกลับหดหู่เพราะอยากให้เขาเป็นมนุษย์มากกว่านี้ มีอารมณ์ความรู้สึกมากกว่านี้ และเป็นตัวของตัวเองมากกว่านี้ มิใช่ผู้ศรัทธาในเทพอย่างไม่ลืมหูลืมตา”
“อย่างไรก็ตาม เกือบทุกคนล้วนพูดเหมือนกันว่า โบโนว่ากำลังเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง ทั้งมาทิลด้า ชิเอล เหล่าขุนนางและรัฐมนตรี ทุกคนคิดแบบนี้กันหมด มีเพียงแบร์นาแดตที่คิดเหมือนเรา เธอเคยแอบคุยกับเราว่า มนุษย์ควรเห็นแก่ตัวมากกว่านี้ ตราบเท่าที่ไม่ทำร้ายใคร”
“เมื่อหวนนึกถึงคำพูดของซาราธในวันที่โบโนว่าคลอดออกมา ผนวกกับลางสังหรณ์ของเราหลังจากกลายเป็นครึ่งเทพ นั่นยิ่งทำให้เรามั่นใจ…”
“เทวทูตที่น่ารักงั้นหรือ… หึหึ… เทวทูตที่น่ารักสินะ”
“เจ้านั่นหวาดระแวงเรา?”
“แถมยังวางแผนจะควบคุมเรา?”
“แกต้องคิดไม่ถึงแน่ว่าฉันเป็นคนทะเยอทะยานมากแค่ไหน… ในสายตาของฉัน ถึงจะเป็นเทพ แต่ฉันคนนี้ก็จะขึ้นไปแทนที่ให้ดู!”
“11 กุมภาพันธ์ การติดต่อกับซาราธล้มเหลวอีกครั้ง”
“ตั้งแต่เราขโมยสมุดบันทึกอันทีโกนัสนั่นมาได้ ผู้นำลัทธิเร้นลับคนนี้ก็เริ่มหายหน้าหายตา แทบไม่ปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย เดาไม่ออกว่ากำลังแอบวางแผนอะไรอยู่ แน่นอน เจ้านั่นก็คงไม่คิดจะบอกเรา”
“12 กุมภาพันธ์ เราสร้างสมบัติวิเศษที่เหมาะกับแบร์นาแดตขึ้นมาได้”
“สิ่งนี้จะช่วยให้เธอรอดพ้นจากการจ้องมองของ ‘ปราชญ์เร้นลับ’ ขอเพียงไม่สวดวิงวอนถึงอีกฝ่ายด้วยตัวเองก็พอ… นอกจากนั้นยังช่วยให้บรรดา ‘นักบุญ’ สามารถเข้าสู่น่านน้ำอันตรายทางสุดขอบตะวันออกของทะเลโซเนีย พวกเขาจะไม่ได้รับผลกระทบจากเสียงเพรียกของ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ อีกต่อไป… ซากสมรภูมิแห่งเทพในแถบนั้น ต้องซุกซ่อนความลับของดินแดนเทพทอดทิ้งเอาไว้แน่”
“ฮะฮะ! เราแค่อยากสร้างของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้ลูกสาว แต่กลับลงเอยด้วยผลงานชิ้นโบแดงเสียได้… แบร์นาแดต พ่อของเธอคือ ‘ช่างฝีมือ’ ที่เก่งที่สุดในโลก!”
ช่างฝีมือที่เก่งที่สุดในโลก? หมายความว่า ขณะเขียนไดอารีหน้านี้ จักรพรรดิคือลำดับ 2 ของเส้นทาง ‘นักปราชญ์’ … เทวทูตเดินดิน? ตราบใดที่เทพจักรกลไอน้ำยังมีชีวิตอยู่ ลำดับ 2 หมายถึงขีดกำจัดที่ ‘ช่างฝีมือที่เก่งที่สุดในโลก’ จะเอื้อมถึง… เข้าใจแล้วว่าทำไม ‘ราชินีเงื่อนงำ’ ถึงสามารถเข้าออกซากสมรภูมิแห่งเทพได้ตามใจชอบ… ที่แท้ก็มรดกจากบิดา… เฮ่อ… ลูกที่มีพ่อแม่คอยสนับสนุนช่างน่าอิจฉา… ไคลน์ถอนหายใจด้วยอารมณ์โหยหา
นอกจากนั้น ในบางถ้อยคำของไดอารีหน้าแรก ไคลน์สัมผัสถึงความหดหู่และไม่สบอารมณ์ของจักรพรรดิโรซายล์ อาศัยทักษะการตีความจากโลกเก่า ถอดความหมายของ ‘เนื้อหา’ ที่ซ่อนอยู่
หลังจากกลายเป็นเทวทูต ดูเหมือนว่าจักรพรรดิจะถูกเทพจักรกลไอน้ำคอยควบคุมและจับตามอง ถึงขั้นล้างสมองโบโนว่า ลูกชายของโรซายล์ ให้กลายเป็นเด็กเคร่งศาสนาอย่างสุดโต่ง มอบสิทธิ์เข้าสู่ ‘ดินแดนแห่งความสัมบูรณ์’ และกลายเป็นเทวทูต…
ทว่า นอกจากจะไม่ยอมสยบ โรซายล์กลับยิ่งเกิดความรู้สึกต่อต้าน…
และในภายหลัง จักรพรรดิก็กลายเป็นศัตรูของโลกเพราะไม่ยอมจำนน? ไคลน์พยักหน้ากับตัวเอง
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มพบเบาะแสเพิ่มเติมเกี่ยวกับซาราธ เป็นที่น่าสงสัยว่า หลังจาก ‘ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์’ รายนี้ครอบครองสมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัส มันวางแผนมากมายเพื่อที่จะเลื่อนเป็นลำดับ 1 แต่กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกลางคัน ส่งผลให้คลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์ประหลาดเสียสติ อย่างไรก็ตาม เหมือนกับที่ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสตักเตือน ซาราธอาจไม่ได้คลุ้มคลั่งจริง แต่แสร้งทำเป็นเช่นนั้นโดยหวังผลบางอย่าง
หลังจากอ่านหน้าแรกจบ ไคลน์พลิกไปยังหน้าถัดไปและพบว่าเนื้อหาไม่ปะติดปะต่อกัน เป็นเรื่องราวใหม่โดยสมบูรณ์
“5 ตุลาคม สาวกของ ‘ดวงจันทร์บรรพกาล’ หลายคนถูกจับกุมโดยฝีมือองค์กร ‘ชายชุดดำ’ ที่เราก่อตั้ง ส่งผลให้พวกมันประกอบพิธีกรรมสังเวยล้มเหลว”
“พฤติกรรมของพวกมันสร้างความประหลาดใจให้เราพอสมควร กำลังจะบอกว่า พลังพิเศษที่พวกมันได้รับนั้นมาจากพระจันทร์สีแดงโดยตรง?”
“น่าแปลก… เอกสารทางวิชาการจำนวนมากล้วนยืนยันตรงกันว่า จันทร์แดงเป็นเพียงดาวเคราะห์ที่โคจรรอบโลก… ไม่สิ หลักวิทยาศาสตร์นำมาใช้กับศาสตร์เร้นลับได้ด้วยหรือ?”
“จากพลังในปัจจุบันของเรา การไปเหยียบดวงจันทร์สีแดงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แค่ต้องใช้ความพยายามมากหน่อย… แต่เรายังไม่เห็นประโยชน์ที่จะทำแบบนั้น”
“7 ตุลาคม ในที่สุดก็ตัดสินใจได้”
“เราจะเปลี่ยนไปยังเส้นทาง ‘ผู้ส่องความลับ’ ที่ใกล้ชิดกัน… เหลือแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะเลื่อนเป็นลำดับ 1 ได้”
“เราสงสัยมาตลอดว่า ‘ปราชญ์เร้นลับ’ อาจเป็นเพียง ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางที่บังเอิญได้รับ ‘ชีวิต’ จากเหตุการณ์เหนือธรรมชาติบางอย่าง และนั่นหมายความว่า ลำดับ 1 ของเส้นทางผู้ส่องความลับยังว่างอยู่!”
ราชันเร้นลับ 715 : เสียสติในบั้นปลาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เราได้รับสูตรโอสถ ‘จักรพรรดิความรู้’ มาจากองค์กรลับที่เก่าแก่ที่สุด ปัจจุบันเหลือแค่การรวบรวมวัตถุดิบหลัก บางทีอาจอยู่กับเทวทูตบางตน หรือไม่ก็หลอมรวมเข้ากับวัตถุรอบข้างไปแล้ว กลายเป็นสัตว์ประหลาดหรือไม่ก็สมบัติปิดผนึกระดับ ‘0’ ที่น่าหวาดกลัว สรุปโดยสั้น เราต้องระมัดระวังพอสมควร ถ้าเป็นไปได้ก็ต้องหาคนช่วย”
“จักรพรรดิความรู้… ชื่อโอสถลำดับ 1 ของเส้นทางนี้ฟังดูน่าสนใจ หากไม่เคยเห็นศิลาเย้ยเทพมาก่อน คงคิดว่าเป็นโอสถบนเส้นทาง ‘นักอ่าน’ แห่งโบสถ์เทพปัญญาความรู้ และที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือ ทั้งสองเส้นทางไม่สามารถสับเปลี่ยนกันได้”
“เราเคยคุยกับหัวหน้าองค์กรสุดลึกลับคนนั้นและเฒ่าเฮอร์มิส ทุกคนมีความเห็นตรงกันว่า เส้นทาง ‘นักอ่าน’ มีแก่นสำคัญคือความ ‘ปราดเปรื่อง’ ที่อยู่ในคำว่า ‘ปราดเปรื่องและทรงพลัง’ … ส่วนเส้นทาง ‘ผู้ส่องความลับ’ มีแก่นสำคัญคือ ‘ความรู้’ โดยที่ความรู้ก็ยังแบ่งได้เป็นส่องแง่มุม หนึ่งคือการค้นหาความลับ และหนึ่งคือการเข้าใกล้ความจริง”
“อา.. เมื่อเรากลายเป็น ‘จักรพรรดิความรู้’ เมื่อไร แบร์นาแดตก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูก ‘ปราชญ์เร้นลับ’ บังคับถ่ายทอดองค์ความรู้มหาศาลอีกต่อไป และไม่ต้องกลัวการตั้งคำถาม”
ท้ายที่สุด จักรพรรดิเปลี่ยนไปเป็นเส้นทาง ‘ผู้ส่องความลับ’ ? เรายังไม่มีข้อมูลว่าเขาได้เป็นจักรพรรดิความรู้สมใจหรือไม่… อาจเพราะด้วยเหตุนี้ โบสถ์จักรกลไอน้ำจึงตัดขาดความสัมพันธ์ ส่งผลให้โรซายล์กลายเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก ความหวังสุดท้ายจึงเหลือเพียง ‘สภานักสิทธิ์สนธยา’ … ไคลน์คาดเดาด้วยอารมณ์ซับซ้อน
นอกจากนั้น ชายหนุ่มยังสนใจประเด็นที่เส้นทาง ‘นักอ่าน’ ไม่สามารถสับเปลี่ยนกับเส้นทาง ‘ผู้ส่องความลับ’ และ ‘นักปราชญ์’ ได้แม้จะฟังดูคล้ายกันมาก หากคิดเรื่องนี้ให้ลึกลงไป อาจพบกฎและหลักเกณฑ์ในการ ‘สับเปลี่ยน’ เส้นทางผู้วิเศษ
ในสายตาของผู้วิเศษทั่วไป ‘นักอ่าน’ ‘ผู้ส่องความลับ’ และ ‘นักปราชญ์’ ล้วนถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ ‘ความรู้’ จึงควรเป็นเส้นทางใกล้เคียงกัน แต่ในความเป็นจริง นักอ่านกลับแปลกแยกจากพวก…
หาก ‘นักอ่าน’ สื่อถึงความ ‘ปราดเปรื่อง’ ในคำว่า ‘ปราดเปรื่องและทรงพลัง’ ถ้าอย่างนั้น ‘ผู้วิงวอนความลับ’ ของเส้นทาง ‘คนเลี้ยงแกะ’ ก็คงสื่อถึง ‘ทรงพลัง’ ในคำว่า ‘ปราดเปรื่องและทรงพลัง’ … และทั้งสองเส้นทางมีความเกี่ยวข้องกันอย่างลับๆ ในบางแง่มุม ยกตัวอย่างเช่น ปัญญาคือบ่อเกิดของพลัง ขณะเดียวกัน พลังก็คือบ่อเกิดของปัญญา ส่งผลให้สามารถสับเปลี่ยนกันได้…
หากเริ่มจากหลักการนี้ เส้นทาง ‘วายุสลาตัน’ สามารถนิยามได้ว่า ‘ทรงพลัง’ ทั้งทางทะเล ทางบก และทางอากาศ ส่วน ‘ผู้ชม’ จะทรงพลังในขอบเขตของ ‘จิตใจ’ เป็นส่วนที่เส้นทางพายุขาดหายไป ถ้าอย่างนั้นทำไม ‘สุริยัน’ ถึงถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้? ถ้าลองพิจารณาว่า ‘มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง’ คนล่าสุดคือ ‘เทพสุริยันบรรพกาล’ หมายความว่า ‘สุริยัน’ คือรากฐานสำคัญของ ‘ปราดเปรื่องและทรงพลัง’ ?
อา… ถ้าอ้างอิงจากตรรกะข้างต้น ‘ความรู้’ จากเส้นทาง ‘นักปราชญ์’ และ ‘ผู้ส่องความลับ’ ก็ถือเป็นคนละส่วน ทำให้สามารถสับเปลี่ยนกันได้… แล้ว ‘นักลอบสังหาร’ กับ ‘นักล่า’ ต่างกันยังไง? ‘รัตติกาล’ ‘มรณา’ และ ‘เทพสงคราม’ ? ไคลน์พยายามเค้นสมองคิด แต่ยังมีเวลาและข้อมูลไม่มากพอจะวิเคราะห์ จึงต้องละทิ้งความสงสัย พลิกเปิดไปยังหน้าที่สาม
กวาดสายตาตรวจสอบสักพัก ไคลน์พลันตั้งสติ เนื่องจากเนื้อหาของไดอารีหน้าปัจจุบันมีความแตกต่างจากสองหน้าแรกอย่างชัดเจน
ไม่มีวันที่เขียนกำกับไว้ ตัวอักษรมีขนาดใหญ่และเขียนห่างกันมาก คงเป็นไดอารีต้นฉบับไม่ผิดแน่ นอกจากนั้นยังเห็นได้ชัดว่า น้ำหนักในการกดปากกาไม่ปรกติ!
ไคลน์กวาดตาอ่านอีกครั้ง เนื้อหาบนกระดาษสีเหลืองสะท้อนอยู่ในห้วงความคิด
“ไม่! เป็นไปไม่ได้!”
“ได้ยังไงกัน!”
“ถ้าเดาไม่ผิด เราไม่น่าจะใช่คนเดียวที่เคยสัมผัสประสบการณ์เช่นนี้!”
“ไม่! ไม่! เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง!”
“ภาพที่เราเห็นกำลังบอกว่า ทุกสิ่งจะถูกทำลาย ไม่เว้นแม้แต่สิ่งที่เราสร้างขึ้น! ไม่! เราไม่ยอมรับจุดจบแบบนี้เด็ดขาด!”
“ต้องช่วยตัวเองให้ได้ ห้ามหวังพึ่งพาเจ็ดเทพจารีต!”
“มีเพียงการขึ้นไปครองบัลลังก์ลำดับ 0 เท่านั้น ตัวเองและคนที่เรารักถึงจะรอด!”
“ควรพามิสเตอร์ประตูกลับมายังโลกความจริงดีไหม? ไม่! ไม่ได้! แม้อีกฝ่ายจะอ้างว่าอยู่เพียงลำดับ 1 แต่เราเชื่อว่าชายคนนั้นไม่ใช่ลำดับ 1 ธรรมดา! มีโอกาสมากที่จะนำพาหายนะเหนือจินตนาการมาสู่เรา!”
อักษรจีนกลางมีขนาดใหญ่กว่าสองหน้าที่แล้ว ข้อความไม่กี่ประโยคกินเนื้อที่เกือบทั้งหมดของกระดาษสีเหลือง แม้จะมีเนื้อหาไม่มาก แต่ศีรษะไคลน์กลับรู้สึกเจ็บแปลบกะทันหัน
ขณะที่เขียนไดอารีหน้านี้ จักรพรรดิโรซายล์น่าจะกลายเป็นลำดับ 1 ‘จักรพรรดิความรู้’ เรียบร้อยแล้ว เนื้อหาที่อีกฝ่ายเขียนอัดแน่นไปด้วยอำนาจเหนือธรรมชาติอย่างรุนแรง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าอ่านบนโลกความจริง ไคลน์อาจเสียสติและคลุ้มคลั่งทันที!
โชคดีที่มาดาม ‘เฮอร์มิท’ ไม่รู้ภาษาจีน ไม่อย่างนั้นคงเกิดการกลายพันธุ์ในตอนที่เธอทำการคัดลอกเนื้อหา… แต่ถึงจะอ่านแล้วไม่เข้าใจ จิตวิญญาณคงได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย เผชิญความอ่อนเพลียกว่าปรกติ… หากเผชิญหน้ากับสิ่งนี้เป็นเวลานาน อาจเห็นภาพหลอนและได้ยินเสียงที่ไม่มีอยู่จริง จากนั้นก็แสดงอาการเริ่มต้นของภาวะคลุ้มคลั่ง… ไคลน์ครุ่นคิดพลางขอบคุณความโชคดีของตน
สมาธิหันกลับมาจดจ่ออยู่กับไดอารีอย่างรวดเร็ว ภายในใจผุดข้อสงสัย
จักรพรรดิไปเห็นอะไรเข้า? ทำไมถึงเปี่ยมด้วยอารมณ์สุดโต่งเช่นนี้?
แปลกมาก… ความตื่นเต้นที่แสดงให้เห็นระหว่างบรรทัดมีมากจนผิดปรกติ ไม่สมกับที่ดำรงความเป็นตัวตนระดับสูงอย่างเทวทูตมานาน นอกจากนั้นจักรพรรดิยังเคยพูดไว้เองว่า หากวาระสุดท้ายของตนมาถึง ต่อให้น้ำท่วมฟ้าก็จะไม่หวาดกลัวต่อความตายอย่างเด็ดขาด… แล้วทำไมถึงได้ตื่นตระหนกขนาดนี้…
ถูกอิทธิพลของบางอย่างครอบงำ? หรือถูกปนเปื้อนด้วยบางสิ่ง?”
นอกจากนั้นยังเขียนว่า… เขาไม่น่าจะเป็นคนเดียวที่ได้สัมผัสประสบการณ์แบบนี้ หมายถึงอะไร? การเดินทางข้ามโลก? ก็จริงที่เขาไม่ได้เผชิญประสบการณ์นั้นคนเดียว ยังมีเราด้วย… หรือจะบอกว่ามีมากกว่านี้?
หลังจากความคิดมากมายแล่นผ่าน ไคลน์ไม่มัวเสียเวลา รีบสลายไดอารีทั้งสามหน้าทิ้งและยิ้มให้แคทลียา
“คิดข้อเสนอได้หรือยัง”
แคทลียาโค้งคำนับราวกับเตรียมพร้อมนานแล้ว
“ดิฉันอยากทราบว่า เหตุใดจักรพรรดิโรซายล์ถึงเสียสติในช่วงบั้นปลาย”
ออเดรย์ที่นั่งฟังในแถวเดียวกันพลันกะพริบตา เคลือบแคลงว่าตนอาจได้ยินผิดไป เพราะคาดไม่ถึงว่ามาดามเฮอร์มิทจะนำประเด็นที่ใหญ่ขนาดนี้มาเป็นคำถาม
แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าจักรพรรดิโรซายล์เสียสติในช่วงบั้นปลาย? นอกจากนั้น ไดอารีคราวนี้ยังมีเพียงสามหน้า แต่กลับกล้าถามในประเด็นที่ยิ่งใหญ่ ไม่สอดคล้องกับกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม! ภายในใจออเดรย์ผุดข้อสงสัยมากมาย แต่สุดท้ายก็มิได้ขัดขวางคำถามของอีกฝ่าย กลับกัน เธอเองก็สนใจและรอฟังคำตอบจากมิสเตอร์ฟูล
‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ ‘เดอะมูน’ เอ็มลิน และ ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สล้วนกลั้นหายใจพลางมองไปทางสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว มีเพียง ‘เดอะซัน’ เดอร์ริค และ ‘เดอะเวิร์ล’ เท่านั้นที่มิได้แยแส
‘เดอะฟูล’ ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก หัวเราะในลำคอ
“ก่อนอื่น ขอออกตัวไว้ก่อนว่า… เรามิได้ปราดเปรื่อง และมิได้ทรงพลัง”
เป็นการพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายเจือความถ่อมตน แต่นั่นก็มิได้ทำให้มาดามเฮอร์มิทและคนอื่นๆ ขาดความยำเกรงต่อเดอะฟูล ตรงกันข้าม ทุกคนยิ่งทวีความศรัทธา
พวกมันทราบดีอยู่แล้วว่ามิสเตอร์ฟูลมิได้ปราดเปรื่องและทรงพลัง ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่พระองค์กำลังฟื้นฟูพลังกลับคืนมา ลำพังการที่พระนามเต็มไม่มีคำว่า ‘ปราดเปรื่องและทรงพลัง’ กำกับไว้ก็มากพอจะช่วยยืนยัน
เหนือสิ่งอื่นใด ณ ปัจจุบัน ไม่มีเทพจารีตหรือเทพมารตนใดที่พระนามเต็มมีคำว่า ‘ปราดเปรื่องและทรงพลัง’ กำกับอยู่!
หลังจากตั้งบรรทัดฐานความเข้าใจของทุกคน ไคลน์ตอบคำถามของมาดามเฮอร์มิท
“เราเองก็อยากทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับโรซายล์ในช่วงบั้นปลาย… แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ชัดก็คือ หลังจากถูกบางสิ่งกระตุ้นอย่างรุนแรง โรซายล์เริ่มเล็งตำแหน่งลำดับ 0”
ชายหนุ่มมิได้อธิบายว่าลำดับ 0 หมายถึงสิ่งใด มีหลายคนที่รู้ความหมายแล้ว และถึงจะมีคนไม่รู้ พวกเขาก็คงพอเดาได้
ลำดับ 0… จักรพรรดิโรซายล์ต้องการกลายเป็นเทพ? ไม่แปลกใจที่เสียสติในช่วงบั้นปลาย… ‘จัสติส’ ออเดรย์ทราบว่าลำดับ 0 หมายถึงสิ่งใด จึงถอนหายใจแผ่ว เช่นเดียวกันกับ ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์
‘เฮอร์มิท’ แคทลียาเองก็เข้าใจความหมายของลำดับ 0 เธอแสดงความคำนับอย่างนอบน้อมและถอนสายตากลับ
ลำดับ 0… ‘เดอะมูน’ เอ็มลินและ ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สเคี้ยวคำในใจ พอจะเดาได้ว่าเป็นลำดับที่สูงกว่า ‘1’ และนั่นหมายถึงลำดับของเทพแท้จริง!
‘เดอะซัน’ เดอร์ริคจ้องมิสเตอร์ฟูลโดยปราศจากอารมณ์ ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไรว่า การเล็งตำแหน่งลำดับ 0 ของจักรพรรดิโรซายล์เป็นเรื่องน่าแปลกอย่างไร เพราะสำหรับชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ ทุกคนล้วนต้องการเป็นลำดับ 0 ต้องการกลายเป็นเทพแท้จริงเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับทุกคน หรือไม่ก็พาออกจากดินแดนอันรกร้างแห่งนั้น
ไคลน์ไม่กล่าวเพิ่มเติม เพียงเอนหลังและมองไปรอบๆ
“เชิญเริ่มได้”
กล่าวจบ ชายหนุ่มรีบบังคับ ‘เดอะเวิร์ล’ มองไปทาง ‘เดอะซัน’ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“สูตรโอสถ ‘ผู้รับรอง’ ที่คุณต้องการพร้อมแล้ว”
“ขอบคุณมากมิสเตอร์เวิร์ล จากข้อตกลงของพวกเรา ผมจะติดหนี้ก้อนนี้ไว้ก่อน รอให้คุณแจ้งความประสงค์ภายหลัง” เดอร์ริคกล่าวอย่างจริงใจ
“ตกลง” ไคลน์ตอบพลางควบคุมเดอะเวิร์ลให้หันมาขอสิทธิ์การเขียนกับเดอะฟูล
เพียงไม่นาน สูตรการปรุงโอสถก็มาอยู่ในมือเดอะซันน้อย
เดอร์ริครับไว้ด้วยความยินดี กวาดตาอ่านเนื้อความบนกระดาษอย่างหิวกระหาย
“ลำดับ 6 ‘ผู้รับรอง’ วัตถุดิบหลัก : ผลึกรากของต้นคนชราหนึ่งก้อน, ขนแพนหาของนกพันธสัญญาวิญญาณห้าเส้น วัตถุดิบเสริม : ยางของต้นพันธสัญญาวิญญาณเจิดจ้าหนึ่งร้อยมิลลิลิตร, ดอกทานตะวันขอบทอง, ดอกทานตะวันขอบขาว, ยางของต้นเฟิร์นน้ำห้าหยด”
ไม่เปิดโอกาสให้ใครพูดต่อ เดอะเวิร์ลมองไปทาง ‘แฮงแมน’
“อย่างที่คุณทราบ ผมมีสูตรโอสถ ‘ผู้ขับขานสมุทร’ และวัตถุดิบหลัก”
อะไรนะ…? ‘จัสติส’ ออเดรย์และคนที่เหลือต่างตกตะลึง
แคทลียาหันมาจ้องเดอะเวิร์ลด้วยความประหลาดใจยิ่งกว่าใคร เธอยังไม่ลืมว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์เพิ่งล่า ‘จอมเชือด’ จิลเซียสไปเมื่อสัปดาห์ก่อน แล้วสูตรโอสถ ‘ผู้ขับขานสมุทร’ กับวัตถุดิบหลักมาจากไหน?
อย่าบอกนะว่าเขาล่า ‘ผู้ขับขานสมุทร’ เพิ่มอีกคน? แม้แต่ในโบสถ์วายุสลาตัน ลำดับดังกล่าวก็ถือว่าค่อนข้างสูง… แถมยังเพิ่งผ่านไปแค่สัปดาห์เดียว! แคทลียาพบว่าเธอมิอาจหาเหตุผลมารองรับในเรื่องนี้
ราชันเร้นลับ 716 : เกาะร้างและซากโบราณสถาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
นอกจากของเรา มิสเตอร์เวิร์ลยังหาสูตรโอสถ ‘ผู้ขับขานสมุทร’ และวัตถุดิบหลักได้ด้วย… สุดยอด! ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคถอนสายตาจากกระดาษในมือและหันไปทางสุภาพบุรุษสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว
ภายในใจกำลังครุ่นคิดว่า ระดับพลังของมิสเตอร์เวิร์ลได้เพิ่มขึ้นอีกขั้น เทียบได้กับบุคคลที่อ่อนแอที่สุดของหกสภาอาวุโส!
‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สอุทานในใจด้วยถ้อยคำที่คล้ายกัน ความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายเปลี่ยนไปอีกครั้ง
เธอยังจำได้ว่า เมื่อตอนที่ตนเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ครั้งแรก มิสเตอร์เวิร์ลเป็นคนสงวนกิริยาและมีบรรยากาศหม่นหมอง นอกจากจุดก็ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่ในการชุมนุมครั้งถัดๆ มา มิสเตอร์เวิร์ลแสดงให้เห็นว่าเขามีประสบการณ์ที่โชกโชน ความรู้กว้างขวาง และมีฝีมือพอตัว มองแวบแรกจะดูเหมือนกับรุ่นพี่เจ๋งๆ ในชุมนุม เป็นรองเพียงมิสเตอร์แฮงแมนแค่คนเดียว
นั่นคือภาพจำแรกของฟอร์ส แต่ผ่านมาหลายเดือน มิสเมจิกเชี่ยนพบว่า เดอะเวิร์ลทำให้เธอประหลาดใจหนแล้วหนเล่า
ในช่วงแรก เดอะเวิร์ลคอยแจ้งข้อมูลสำคัญ แต่พักหลังๆ เริ่มนำตะกอนพลังของผู้วิเศษมาขายเป็นจำนวนมาก หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า เขาอาจเป็นนักฆ่าจากโลกใต้ดิน นั่นทำให้ฟอร์สเกิดความกลัวจากก้นบึ้ง แต่หนึ่งสิ่งที่น่ายินดีก็คือ เธอมีสิทธิ์ในการว่าจ้างนักฆ่าที่มีอัตราความสำเร็จสูง
จนกระทั่งสมาชิกใหม่อย่าง ‘เฮอร์มิท’ ปรากฏตัว ฟอร์สคิดว่าความเฉิดฉายของเดอะเวิร์ลจะถูกสตรีลึกลับและทรงพลังคนดังกล่าวกลบจนมิด แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะ ‘เจิดจ้า’ ยิ่งกว่าเดิมจนทุกคนหมดคำพูด ไม่มีใครกล้าสบตาตรงๆ
สามารถล่าสูตรโอสถ ‘ผู้ขับขานสมุทร’ และวัตถุดิบหลัก รวมถึงสูตรโอสถ ‘ผู้รับรอง’ ได้ภายในหนึ่งสัปดาห์ ไม่น่าจะมีมนุษย์ธรรมดาคนใดทำแบบนี้ได้อีกแล้ว!
เขาเจ๋งมาก… เราชื่นชอบคนที่เงียบขรึมแต่มากฝีมือ เฮ่อ… แล้วเราจะได้เป็นไวเคาต์ตอนไหน หลังการแข่ง ‘ล่า’ คราวนี้จบลง ดูเหมือนผู้ชนะจะได้รับรางวัลที่สามารถยกระดับพลังผีดูดเลือด… ‘เดอะมูน’ เอ็มลิน·ไวท์เบนความคิดกลับมายังเรื่องของตัวเอง
‘จัสติส’ ออเดรย์อุทานในใจด้วยอารมณ์ค่อนข้างสับสน
เหตุใดมิสเตอร์เวิร์ลที่เก่งกาจถึงไม่เคยส่งไดอารีจักรพรรดิโรซายล์เลยสักครั้ง? น่าแปลกมาก… เขาไม่เหมือนกับมาดามเฮอร์มิทที่เพิ่งเข้าร่วมชุมนุม ไม่ต้องคอยระวังตัว… จะบอกว่าเขาไม่ต้องการแลกเปลี่ยน? นั่นก็ไม่ใช่ มีหลายครั้งที่ข้อเสนอของเขาสามารถบรรลุได้ด้วยการส่งไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ แต่ทำไมเขาถึงไม่รวบรวมมาส่ง?
แอบส่งลับๆ? แล้วทำไมต้องปิดเป็นความลับ?
ออเดรย์เริ่มรู้สึกว่า มิสเตอร์เวิร์ลกับเดอะฟูลแอบเชื่อมโยงกันด้วยบางสิ่ง แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด ไม่มีใครสามารถเดาสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลัง
ขณะเดียวกัน ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ผู้เงียบงันมาสักพัก มองไปยังสุดขอบโต๊ะทองแดงยาว
“เรียนมิสเตอร์ฟูล ผมขอสนทนาส่วนตัวกับเดอะเวิร์ล”
มาแล้ว… ไคลน์พยักหน้ารับอย่างคาดหวัง ปิดกั้นประสาทสัมผัสของสมาชิกคนอื่น
อัลเจอร์หยุดรอสองสามวินาทีก่อนจะหันไปทาง ‘เดอะเวิร์ล’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์
“ผมขอแลกเปลี่ยนด้วยพิกัดของเกาะร้างที่ไม่มีใครรู้จัก… บนเกาะไม่เพียงจะมีสัตว์วิเศษที่สูญพันธุ์ไปจากทวีปเหนือและใต้ แต่ยังมีซากโบราณสถานเก่าแก่ที่ไม่ทราบอายุ… เดิมที ผมพบมันพร้อมกับคีลิงเกอร์ ตอนนั้นยังไม่มีความสามารถมากพอที่จะสำรวจ แต่หมอนั่นพบเบาะแสบางอย่าง สงสัยว่าด้านในซากโบราณสถานจะมีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ และเชื่อว่ามูลค่าไม่ด้อยไปกว่าไพ่เย้ยเทพที่สร้างโดยจักรพรรดิโรซายล์… สำหรับตอนนั้น ผมยังไม่แข็งแกร่งเท่าคีลิงเกอร์ ประสาทสัมผัสไม่เฉียบแหลม ไม่รู้ว่าหมอนั่นมองเห็นอะไรกันแน่ ทำได้เพียงคาดเดาคำพูดที่อีกฝ่ายพึมพำ”
“…” ประโยคเมื่อครู่ของมิสเตอร์แฮงแมนอัดแน่นไปด้วยข้อมูลมากมาย ดูเหมือนว่าเขากับ ‘พลเรือโทวายุ’ คีลิงเกอร์จะรู้จักกันมานานแล้ว เคยผจญภัยเสี่ยงชีวิตร่วมกันจนพบเกาะร้างโบราณ… ขณะเดียวกันก็เป็นคนที่บอกให้เรารีบจัดการคีลิงเกอร์ขณะมันกำลังทำภารกิจบนบก… มิสเตอร์แฮงแมนไม่ได้เป็นแค่สมาชิกธรรมดาๆ ของโบสถ์วายุสลาตัน อดีตของเขาซับซ้อนมาก เต็มไปด้วยปริศนา… อา… เกาะร้างโบราณนับว่ามีมูลค่าสูง สำหรับองค์กรลับ สิ่งนี้ถือเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาบุคลากร… ไคลน์บังคับเดอะเวิร์ลด้วยมาดขรึม รอให้อีกฝ่ายพรั่งพรูข้อมูลออกมาเพิ่ม
เมื่อเห็นเดอะเวิร์ลไม่ปฏิเสธ แต่ยังไม่ตอบตกลง ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์เล่าอย่างใจเย็น
“ที่นั่นมีร่องรอยของสัตว์วิเศษระดับครึ่งเทพ สำหรับคุณ สิ่งนี้มีมูลค่าสูงมาก… ผมกล้าสาบานต่อหน้ามิสเตอร์ฟูลว่า ทุกคำพูดล้วนเป็นความจริง”
หลังจากครอบครองสูตรโอสถ ‘จอมเวทพิสดาร’ เราต้องพิจารณาการค้นหาวัตถุดิบไว้ด้วย ในกรณีของวัตถุดิบระดับครึ่งเทพ มีแค่เงินอย่างเดียวไม่สามารถซื้อได้ ส่วนใหญ่จะได้จากการแลกเปลี่ยน… เบาะแสของสัตว์วิเศษลำดับครึ่งเทพนับว่าน่าสนใจมาก ยังไม่รวมถึงซากโบราณสถาน… เดอะเวิร์ลไม่ลังเลอีกต่อไป กล่าวเสียงทุ้มด้วยรอยยิ้ม
“ตกลง”
‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ยังไม่ขอสูตรโอสถ ‘ผู้ขับขานสมุทร’ ในทันที
“ผมมีเงื่อนไขเล็กน้อย การสำรวจเกาะครั้งแรกต้องให้ผมร่วมทางไปด้วย หากมีมิสเตอร์ฟูลช่วยเป็นสักขีพยาน คุณคงไม่ต้องกลัวผมตุกติกกระมัง”
ไคลน์ครุ่นคิด บังคับให้เดอะเวิร์ลพยักหน้าและกล่าว
“ไม่มีปัญหา การไปเยือนสถานที่อันตรายควรมีเพื่อนร่วมทางอยู่แล้ว หวังว่าคุณในตอนนั้นจะแข็งแกร่งพอ”
อัลเจอร์มิได้แสดงท่าทีหงุดหงิด เพียงถอนหายใจโล่งอก
“ผมถึงอยากให้คุณรอผมเลื่อนลำดับก่อน จึงค่อยไปสำรวจเกาะด้วยกัน แน่นอน ถ้าผมเลื่อนลำดับล้มเหลวและเกิดคลุ้มคลั่ง เงื่อนไขดังกล่าวจะถือเป็นโมฆะ”
“ตกลง” เดอะเวิร์ลตอบหน้านิ่ง
‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ หันไปขอสิทธิ์การเขียนจากเดอะฟูลและลงมือวาดภาพแผนที่ของเกาะร้างโบราณ
สุดเขตน่านน้ำเกาะรอสต์… ขนาดโดยรวมของเกาะไม่เล็กมาก ประมาณเกาะภูเขาสีคราม… ไคลน์รับกระดาษและตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งอย่างคร่าวๆ
จากนั้นก็รีบเงยหน้า
“ผมจะส่งสูตรโอสถและวัตถุดิบหลักให้คุณหลังจบการชุมนุม”
“ตกลง” อัลเจอร์ที่ได้ข้อสรุป ไม่หลงเหลือความกังขาใดอีก หัวใจกำลังเต้นระรัวแม้ว่าสีหน้าภายนอกจะสุขุม
เมื่อสองบุรุษเสร็จการสนทนาส่วนตัว ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาถอนสายตาจากเดอะเวิร์ล หันไปทาง ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์ส
“ดิฉันได้ผลึกอุกกาบาตมาแล้ว หกร้อยปอนด์ต่อหกสิบกรัม”
เร็วมาก… มาดามเฮอร์มิทช่างกว้างขวาง! ฟอร์สตกใจปนกระอักกระอ่วน
หลังจากการชุมนุมเมื่อสัปดาห์ก่อน เธอซื้อผลึกเลือดหมึกลาวามาในราคาหกร้อยปอนด์ ทำให้เหลือเงินสดเพียงสองร้อยสามสิบปอนด์ เมื่อผนวกกับเงินเดือนจำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์ของนักเขียน เธอยังขาดอีกสองร้อยยี่สิบปอนด์
คงต้องยืมเงินเก็บฉุกเฉินของซิลมาก่อน เธอน่าจะมีอยู่มาก… หลังจากเลื่อนลำดับ เราต้องรีบหาเงินมาคืน! ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สสูดลมหายใจยาว
“ตกลง เริ่มแลกเปลี่ยนพรุ่งนี้เวลานี้”
แคทลียาพยักหน้า ‘อืม’ และมองไปทาง ‘จัสติส’ ออเดรย์ทันที
“ดิฉันหาไขสันหลังของตะกวดดำนักล่าได้แล้ว ราคาหนึ่งพันแปดร้อยปอนด์ แต่ตอนนี้ยังไม่มีเบาะแสของผลจากต้นกระดิ่งลมหลอนประสาท”
“เท่านี้ก็มากพอแล้วค่ะ เร็วกว่าที่ดิฉันคิดไว้ ขอบคุณมาก มาดามเฮอร์มิท” ออเดรย์ขอบคุณจากก้นบึ้งโดยไม่ได้สนใจเรื่องราคา
เมื่อไม่นานมานี้ หญิงสาวเพิ่งค้นพบว่าการก่อตั้ง ‘กองทุนขุดค้นและเก็บรักษาวัตถุโบราณ’ มีผลดีที่คาดไม่ถึงอยู่หนึ่งเรื่อง นั่นคือการช่วยให้เธอสามารถใช้เงินได้อิสระมากขึ้น ถูกพ่อและแม่ตรวจสอบยากขึ้น
หลังจากยืนยันการขายสินค้าสองรายการ แคทลียามองไปรอบตัว
“มีเบาะแสของเลือดสัตว์ในตำนานบ้างไหม”
ไคลน์บังคับเดอะเวิร์ลหัวเราะในลำคอ
“หมายถึงสัตว์ในตำนานร่างสมบูรณ์ใช่ไหม”
สัตว์ในตำนานร่างสมบูรณ์? มีร่างไม่สมบูรณ์ด้วยหรือ? ‘จัสติส’ ออเดรย์และคนที่เหลือต่างมึนงง หันกลับมาสนใจเนื้อหาการสนทนาอีกครั้ง
‘เฮอร์มิท’ แคทลียาผงะเล็กน้อย
“สมบูรณ์… อีกความหมายหนึ่งคือเลือดของเทวทูต แค่หยดเดียวก็เกินพอ”
เธอมิได้ลงลึกรายละเอียดเนื่องจากเชื่อว่า หากเป็นการแลกเปลี่ยนวัตถุดิบระดับสูงขนาดนี้ สมาชิกชุมนุมทาโรต์คงไม่มีปัญญาหามาได้เอง ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูล และนั่นหมายถึง เธอไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มิสเตอร์ฟูลฟัง ว่าสัตว์ในตำนานร่างสมบูรณ์หมายถึงอะไร
“ผมมีเบาะแส แต่ไม่ขอรับประกันว่าจะหามาได้ นอกจากนั้นคุณยังต้องรออย่างน้อยสามเดือน” ไคลน์บังคับเดอะเวิร์ลตอบสนอง
สมาชิกคนอื่นของชุมนุมทาโรต์พลันปิดปากสนิท ไม่มีใครคาดคิดว่าเดอะเวิร์ลจะมีเบาะแสของเลือดเทวทูต!
มีอะไรที่เขาทำไม่ได้บ้าง? ‘จัสติส’ ออเดรย์ ‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์ส และคนที่เหลือต่างตกตะลึงกับความน่าทึ่งของเดอะเวิร์ล
‘แฮงแมน’ อัลเจอร์ตั้งข้อสังเกตว่า เดอะเวิร์ลอาจใช้หยดเลือดจากหนึ่งในเทวทูตของมิสเตอร์ฟูล
หลังจากบรรยากาศเงียบงันไปอีกสักพัก เอ็มลินที่ตระหนักว่าตนยังห่างไกลจากการเลื่อนลำดับเมื่อเทียบกับสมาชิกชุมนุมคนอื่น เริ่มเปล่งเสียงแผ่วเบา
“จากงานล่าสุดที่ผมมอบหมาย มีใครพบเบาะแสเพิ่มเติมบ้างไหม”
‘เมจิกเชี่ยน’ ฟอร์สกล่าวทันที
“ฉันได้พบกับคดีประหลาด ตอนนี้กำลังตามสืบอยู่”
ในฐานะลูกหนี้ หญิงสาวมีแรงจูงใจในการหาเงินอย่างเต็มเปี่ยม!
หลังจากเสร็จสิ้นการแลกเปลี่ยน ‘เดอะซัน’ เดอร์ริคยื่นข้อเสนอขอซื้อผลึกรากของต้นคนชราทันที ในส่วนของขนแพนหางนกพันธสัญญาวิญญาณ เมืองเงินพิสุทธิ์มีเก็บอยู่ในคลัง
นอกจากนั้นยังขอซื้อวัตถุดิบเสริมของโอสถ จำพวกดอกทานตะวันขอบทองและดอกทานตะวันขอบขาว ดอกไม้เหล่านี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปบนโลกภายนอก แต่ไม่ใช่กับเมืองเงินพิสุทธิ์
“ผลึกรากของต้นคนชราและวัตถุดิบเสริมหาไม่ยาก” เอ็มลินกล่าวด้วยน้ำเสียงสดชื่น “แล้วเจ้ามีอะไรมาแลกเปลี่ยน?”
ก่อนหน้านี้มันเคยสังเวยผลของต้นคนชราให้มิสจัสติส ย่อมทราบวิธีหาผลึกราก
‘เดอะซัน’ เดอร์ริคครุ่นคิดสักพัก
“ตะกอนพลังของแวมไพร์ลำดับ 5?”
ในความมืดมิด สัตว์ประหลาดชนิดนี้หาได้ไม่ยากนัก
“ผีดูดเลือด!” เอ็มลินกัดฟันกรอด “ไม่ต้องรีบร้อน แล้วข้าจะบอกอีกทีว่าต้องการอะไร”
มันไม่อยากได้ของซ้ำกับรางวัลที่จะได้จากการแข่ง ‘ล่า’
“ตกลง” เดอร์ริคที่มีประสบการณ์ติดหนี้เดอะเวิร์ล ตอบด้วยท่าทีผ่อนคลาย
หลังจากความเงียบงันเข้าครอบงำสักพัก ‘เดอะฟูล’ ไคลน์เคาะขอบโต๊ะทองแดงยาวลวดลายเก่าแก่ เป็นสัญญาณเริ่มต้นช่วงเวลาแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น