Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 705-708

 ราชันเร้นลับ 705 : สัตว์ในตำนาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“…” โชคดีที่อีกฝ่ายเสนอตัวมาเอง… ไม่อย่างนั้น การขอยืมสินค้ามูลค่าสูงมาตรวจสอบก่อนซื้อค่อนข้างเป็นเรื่องน่าละอาย… ไคลน์โล่งใจเล็กๆ ก่อนจะเปล่งเสียงอย่างชัดถ้อยชัดคำหลังจากนึกทบทวนอุปนิสัยของเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“ผมไม่ต้องการเอาเปรียบใคร”


กล่าวจบ ชายหนุ่มเริ่มเกิดความเสียดาย กังวลว่าพลเรือโทธารน้ำแข็งจะเปลี่ยนใจไปจริงๆ


ดวงตาสีฟ้าอ่อนของเอ็ดวิน่ากลอกไปทางอื่นเล็กน้อย


“ฉันมีเงื่อนไขหนึ่งข้อ หากไขปริศนาของมันได้ คุณต้องบอกคำตอบให้ฉันทราบ”


ฟู่ว… ไคลน์ไม่รีบตอบสนอง เพียงพยักหน้า


“ตกลง”


หลายสิบวินาทีถัดมา ชายหนุ่มถือกุญแจสีดำขนาดใหญ่เท่าพิน เดินกลับไปที่ห้องพักของตัวเอง


ในหนนี้ มีเสียงเพลงดังมาจากดาดฟ้าฝั่งหัวเรือ


“ดวงตาของเธอช่างมีเสน่ห์ราวกับแสงแดดยามเช้า~”


“ทุกค่ำคืนอันมืดมิด ฉันเดินคนเดียวอย่างเศร้าใจ รอคอยแสงสว่างของวันถัดไปอย่างอดทน~”


“โอ้~ ดวงตาของเธอช่างมีเสน่ห์ราวกับแสงแดดยามเช้า~”


ไคลน์เดินมาที่หน้าต่างตามความเคยชิน ชำเลืองสายตาออกไปด้านนอก เห็นกองไฟกำลังลุกไหม้และลูกเรือที่ไม่มีการมีงานทำของฝันทองคำกำลังล้อมวง บ้างย่างปลาหรือเนื้อ บ้างเต้นตามจังหวะเพลงของ ‘นักร้อง’ ออร์ฟิอุสอย่างมีชีวิตชีวา บรรยากาศกำลังเริงร่าสุดขีด


ขณะกลิ่นหอมอันเย้ายวนของมันย่างลอยฟุ้งขึ้นไปในอากาศ ไคลน์เห็นแอนเดอร์สัน·ฮู้ดยืนปะปนกับกลุ่มโจรสลัด ดื่มจัดหนัก กินจัดเต็ม บ้างแหกปากตะโกนเป็นครั้งคราว เล่าเรื่องขำขันอีกเล็กน้อย คล้ายกับเป็นหนึ่งในสมาชิกฝันทองคำ ไม่ถูกกีดกันเหมือนในตอนแรก ส่วนเดนิสยังไม่ปรากฏตัว อย่างน้อยไคลน์ก็ไม่พบว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้กับ ‘กายาเหล็ก’ หรือ ‘ถังไม้’


ตราบเท่าที่ไม่ปากเสีย แอนเดอร์สันมีมนุษยสัมพันธ์ที่น่าทึ่งมาก… คงเป็นหนึ่งในพลังของ ‘นักวางแผน’ สำหรับรวบรวมข้อมูล… นอกจากนั้น แอนเดอร์สันอาจโยนความเกลียดชังมาไว้ที่เราแล้ว…


หลังจากเหตุการณ์วันนี้ ไม่รู้ว่าเดนิสจะเกิดแรงกระตุ้นบ้างไหม… หากหมอนั่นค่อยๆ พัฒนาตัวเองจนแข็งแกร่ง บริวารของ ‘เดอะฟูล’ ก็จะไม่ได้มีแค่เราคนเดียว ไม่ต้องทำตัวเป็น ‘ทรีอินวัน’ อีกต่อไป… หึหึ ในที่สุด เทพซ่อนเร้นอย่างเราก็มีสาวกจริงๆ กับเขาเสียที มีบริวารที่สามารถออกคำสั่งได้โดยตรง ถึงตอนนี้จะแค่เดนิสคนเดียวเถอะ… เรียกได้ว่ายังค่อนข้างน่าสมเพช…


ไคลน์ถอนหายใจ เตรียมตัวประกอบพิธีกรรมเพื่อสังเวย ‘กุญแจคนยักษ์’ เข้าไปในมิติเหนือสายหมอกสีเทา


ทันใดนั้น ชายหนุ่มสัมผัสถึงบางสิ่งได้กะทันหัน จึงเปิดเนตรวิญญาณตามสัญชาตญาณและมองไปด้านข้าง


กองกระดูกมายาเริ่มทับถมและรวมตัวเป็นผู้ส่งสารที่มีเปลวไฟสีดำลุกโชนในเบ้าตา


ร่างกายส่วนใหญ่ของผู้สงสารจมอยู่ชั้นล่าง ศีรษะจึงอยู่ระดับเดียวกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ มิได้ทะลุผ่านเพดานด้านบนเหมือนทุกที อย่างไรก็ตาม ฝ่ามือที่ถือจดหมายยังคงมีขนาดมหึมา คล้ายกับสามารถบีบศีรษะไคลน์ให้แหลกคามือ


ครั้งนี้มิสเตอร์อะซิกตอบกลับเร็วมาก… ไคลน์พยักหน้า รับกระดาษมาถือและคลี่อ่าน


ขณะเตรียมสำรวจเนื้อหา ชายหนุ่มพบว่าผู้ส่งสารโครงกระดูกยังคงยืนรออยู่ในจุดเดิม แตกต่างจากปรกติที่จะหายตัวไปทันทีหลังจากส่งจดหมายเสร็จ


“มีอะไรหรือ” ไคลน์ถามด้วยน้ำเสียงเจือความฉงน


กล่าวจบ ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว ชายหนุ่มจึงตอบกลับไป


“ถ้าต้องตอบจดหมาย ฉันจะเป็นฝ่ายเรียกเอง”


ผู้ส่งสารโครงกระดูกพยักหน้าขนาดมหึมา จากนั้น ร่างกายสีขาวเริ่มสลายตัวในลักษณะคล้ายน้ำตก ส่งตัวเองกลับไปยังโลกแห่งความตาย


“คราวก่อน มาดามไรเนตต์·ไทน์เคอร์ก็รอเราตอบจดหมายเหมือนกัน มาครั้งนี้เป็นผู้ส่งสารโครงกระดูก… หรือนี่จะเป็นข้อบังคับใหม่ของวงการผู้ส่งสาร? หึหึ… สิ่งที่เรียกว่า ‘วงการผู้ส่งสาร’ ไม่น่าจะมีอยู่จริง ขนาดเรายังสามารถเลือกผู้ส่งสารได้ด้วยตัวเอง แถมส่วนใหญ่ยังส่งจดหมายเป็นงานนอกเวลาเท่านั้น… อา… ผู้ส่งสารโครงกระดูกแผ่บรรยากาศไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไร… ไคลน์ส่ายหน้า มิได้หมกมุ่นกับประเด็นดังกล่าว เบนความสนใจมาอยู่กับจดหมายของมิสเตอร์อะซิก


“…สรุปโดยสั้น การเลื่อนเป็นลำดับ 4 หมายถึงการครอบครองเศษเสี้ยวความเป็นเทพ ร่างกายจะค่อยๆ พัฒนาไปเป็นสัตว์ในตำนาน กระบวนการนี้จะดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงลำดับ 2 ของเส้นทาง ดังนั้น ช่องว่างระหว่างเทวทูตและนักบุญจึงค่อนข้างกว้าง ในสมัยอดีตกาล เทวทูตถึงกับถูกเรียกว่าเทพบริวาร”


“ครึ่งเทพทั้งหมด รวมไปถึงนักบุญและเทวทูต ล้วนมีเอกลักษณ์ของสัตว์ในตำนานที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดจะเป็นร่างอมนุษย์ที่อัดแน่นไปด้วยมวลความรู้อันซับซ้อน กลิ่นอายของเทพ และสัญลักษณ์ลึกลับที่เกี่ยวข้อง… หากมนุษย์ธรรมดาคนใดเผลอจ้องมอง ร่างกายจะได้รับความเสียหายหนักหน่วง อาจถึงขั้นกลายเป็นบ้าในพริบตา และยิ่งระดับของครึ่งเทพสูงขึ้น ความเสียหายดังกล่าวจะยิ่งทวีคูณจนยากจะต้านทาน ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตประเภทนี้ต้องคอยควบคุมตัวเองตลอดเวลา ห้ามเปิดเผยร่างสัตว์เทพโดยเด็ดขาด มิฉะนั้น ลำพังการมีตัวตนอยู่ก็มากพอจะสร้างหายนะครั้งใหญ่”


“สำหรับครึ่งเทพ หนึ่งในอาการที่บ่งชี้ว่าใกล้คลุ้มคลั่งคือภาวะเสียสติ หากสิ่งนั้นเกิดขึ้น พวกเขาจะไม่สามารถควบคุมร่างสัตว์ในตำนานได้”


“อย่างไรก็ตาม ร่างสัตว์ในตำนานของนักบุญนั้นยังไม่สมบูรณ์แบบ จะยังหลงเหลือจุดเด่นของเผ่าพันธุ์ให้เห็น หรือกล่าวโดยสั้น กว่าจะได้ครอบครองร่างสัตว์ในตำนานที่สมบูรณ์ อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในลำดับ 2”


เราไม่แน่ใจว่าเลือดที่มาดามเฮอร์มิทต้องการ คือเลือดของสัตว์ในตำนานร่างสมบูรณ์ หรือสามารถอนุโลมเป็นร่างไม่สมบูรณ์ได้… ไม่แน่ใจว่าเลือดจากรกของวิล·อัสตินในวันคลอดจะใช้ได้ไหม… ในฐานะที่หมอนั่นเป็นถึง ‘อสรพิษแห่งชะตา’ ผู้มีลำดับ 1 สัตว์ในตำนานคงเป็นร่างสมบูรณ์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่รู้ไม่ว่าการเกิดใหม่จะส่งผลอย่างไรบ้าง… คงต้องรอรวบรวมข้อมูลอีกสักพัก จึงค่อยเขียนคำถามลงบนนกกระเรียนกระดาษทีเดียว… อา… โอกาสเขียนเหลือแค่สองครั้ง ต้องระมัดระวังพอสมควร แต่อีกไม่นานเราก็กลับไปถึงเบ็คลันด์แล้ว… คิดถึงตรงนี้ ไคลน์เริ่มคำนวณช่วงเวลาที่ ‘อสรพิษแห่งชะตา’ จะคลอดออกจากครรภ์มารดา


ชายหนุ่มจดจำรายละเอียดได้ไม่มากนัก จากความทรงจำล่าสุด วิล·อัสตินเริ่มอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน และตอนนี้เป็นช่วงกลางเดือนเมษายน


หมายความว่าจะคลอดแถวๆ กรกฎาคม? อาจจะเร็วกว่านั้น… ไคลน์ไม่กล้าฟันธง เพราะเหนือสิ่งอื่นใด บนโลกเก่า ลำพังแฟนมันยังไม่เคยมี ไม่ต้องพูดถึงภรรยาและลูก


ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนประเด็น สลัดความคิดดังกล่าวทิ้งชั่วคราว เริ่มประกอบพิธีกรรมสังเวย ‘กุญแจคนยักษ์’ ถึงตัวเอง – เหตุผลที่ไม่ใช่ร่างวิญญาณหยิบขึ้นไป เพราะกุญแจมีน้ำหนักค่อนข้างมาก ร่างวิญญาณไม่มีเรี่ยวแรงมากพอจะขยับเขยื้อน


เพียงไม่นาน ชายหนุ่มส่งตัวเองเข้ามายังมิติหมอกสีเทา บังคับให้กุญแจเหล็กสีดำขนาดมหึมาลอยไปบนโต๊ะทองแดงยาว ก่อนจะลงมือตรวจสอบทุกซอกมุม


หลังจากยืนยันว่าไม่พบสิ่งผิดปรกติ ไคลน์เสกกระดาษและปากกา เขียนประโยคทำนาย


“สถานที่ที่เกี่ยวข้องกับกุญแจดอกนี้”


ในท่าถือกระดาษและจับกุญแจ ไคลน์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หลับไปพร้อมกับเสียงสวดวิงวอนแผ่วเบา


ทันใดนั้น ภาพแรกที่ปรากฏท่ามกลางโลกมายาสีเทาคือม่านแสงลักษณะบิดเบี้ยว ถัดมา จอภาพขยายเข้าไป เผยให้เห็นประตูคู่บานใหญ่ที่สูงกว่าสิบเมตร


บานประตูมีสีโทนหลักเป็นฟ้าและเทา มีสัญลักษณ์และลวดลายสลักไว้ทั้งสองด้านอย่างสมมาตร มอบกลิ่นอายความเคร่งขรึมและลึกลับ


แสงยามเย็นสะท้อนลงบนพื้นผิวอย่างเจือจาง มอบความรู้สึกหม่นหมองราวกับวันสิ้นโลกและความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์กำลังคืบคลานเข้าใกล้


จากนั้น ไคลน์สังเกตเห็นร่องลึกบนผิวประตูฝั่งซ้าย ยาวสามถึงสี่เมตร ปลายข้างหนึ่งของร่องมีหลุมมืดขนาดเท่ากำปั้นผู้ใหญ่


ภาพความฝันแตกละเอียดในพริบตา ไคลน์ได้สติ


“บานประตูคล้ายกับที่อยู่ในอารามสีดำ แต่โทนสีแตกต่างกัน… แสงแดดยามเย็น… ถ้าให้เราถอดความหมาย นี่คงเป็นหนึ่งในบานประตูของวังราชาคนยักษ์… หรือว่า… ม่านโปร่งแสงที่บิดเบี้ยวจะหมายถึงเขตกั้นแบ่งระหว่างวังราชาคนยักษ์และดินแดนเทพทอดทิ้ง? เข้าใจแล้วว่าทำไม ทั้งที่มีมิติหมอกคอยช่วยขจัดการรบกวน แต่เรากลับไม่สามารถทำนายถึงวังราชาคนยักษ์ได้สักที… ไคลน์ใช้นิ้วเคาะขอบโต๊ะที่มีลวดลายเก่าแก่พลางครุ่นคิดบางสิ่ง


มันตัดสินใจที่จะซื้อกุญแจคนยักษ์ดอกนี้!


หลังจากนำเงินห้าพันปอนด์ออกมายังโลกจริง ไคลน์เก็บกวาดขว้างของบนโต๊ะ ถือปึกเงินก้อนใหญ่ออกจากห้องพัก เดินตรงไปทางห้องกัปตันฝันทองคำ


หึหึ… ค่าหัวของ ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ จิลเซียสเทียบเท่ากุญแจคนยักษ์บวกกับอีกหนึ่งพันปอนด์… ไคลน์ชำเลืองธนบัตรในมือ เคาะประตูห้องพลเรือโทธารน้ำแข็ง


สิ้นเสียง ‘แอ๊ด’ เอ็ดวิน่าปรากฏตัวหน้าประตู เมื่อเหลือบเห็นเงินสดที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังถือ หญิงสาวขมวดคิ้วด้วยดวงตาเบิกกว้าง กล่าวเสียงสดใส


“คุณได้ผลลัพธ์แล้วหรือ”


ไคลน์ ‘อืม’ เล็กๆ พร้อมกับอธิบาย


“ได้ผลลัพธ์แล้ว… กุญแจดอกนี้เกี่ยวข้องกับวังราชาคนยักษ์”


“วังราชาคนยักษ์ในตำนาน?” เอ็ดวิน่าซักถามด้วยดวงตาส่องประกาย


ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบาเป็นเชิงยืนยัน


เอ็ดวิน่าขยับริมฝีปากเล็กน้อย คล้ายกับต้องการถามบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็มิได้กล่าวคำใด เพียงรับเงินสดห้าพันปอนด์ไปถือ


หญิงสาวมองกลับไปยังชั้นหนังสือภายในห้อง ครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าวกับไคลน์


“ถ้าต้องการ คุณสามารถยืมพวกมันไปอ่านได้ระหว่างวัน”


เงื่อนไขเดียวก็คือ… ไคลน์เดาประโยคถัดไปของพลเรือโทธารน้ำแข็ง


“เงื่อนไขเดียวก็คือ… ถ้าคุณมีเวลาว่าง ต้องมาคุยกับฉันในหัวข้อเกี่ยวกับประวัติศาสตร์” กล่าวจบ ดวงตาเอ็ดวิน่าทวีความสดใส


ไคลน์หัวเราะในลำคอ ตอบหลังจากครุ่นคิด


“ตกลง… แต่ผมจะไม่ตอบทุกคำถาม”


ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มภาวนาในใจ


ขอให้ในกรุหนังสือของพลเรือโทธารน้ำแข็ง มีหนังสือสอนการสร้างยันต์ระดับสูง…


“ไม่มีปัญหา” เอ็ดวิน่าขยับริมฝีปาก สีหน้าเผยความสุขอย่างชัดเจน


“เจอกันพรุ่งนี้” ไคลน์ถอดหมวกลงมาทาบหน้าอก กล่าวคำอำลา


เอ็ดวิน่าตอบรับอย่างจริงใจ


“เจอกันพรุ่งนี้”



กรุงเบ็คลันด์ ถนนประตูเหล็ก ด้านนอกผับวีรบุรุษ


เอ็มลิน·ไวท์เดินลงจากรถม้า ผลักประตูไม้และเข้าไปผับ


กลิ่นด้านในลอยฟุ้งจนเอ็มลินอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาบีบจมูกด้วยสีหน้ารังเกียจ


ในการแข่งขันล่าสาวกของดวงจันทร์บรรพกาล มันแทบไม่มีความคืบหน้าใดเลย จึงวางแผนมาเยือนผับวีรบุรุษที่เชอร์ล็อก·โมเรียตี้มักเอ่ยถึงบ่อยครั้ง เพื่อตามหาตัว ‘เอียน’ – พ่อค้าอาวุธเถื่อนที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับการขายข่าว – สำหรับชื่อของรายหลัง เอ็มลินได้ยินมาจากแหล่งข่าวอื่นก่อนจะแวะมาที่นี่


ราชันเร้นลับ 706 : ชายคนนั้น

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากโยกตัวหลบกลุ่มขี้เมาอาละวาด เอ็มลินขมวดคิ้วพลางสะบัดเสื้อผ้า ตรงดิ่งไปทางเคาน์เตอร์


ระหว่างนั้น ทั้งที่ไม่ได้ใช้พลังใด แต่ร่างกายเอ็มลินกลับไม่ถูกเนื้อต้องตัวขี้เมาโดยรอบแม้แต่น้อย อาศัยเพียงความปราดเปรียว ว่องไวและสมดุลร่างกายอันเป็นเลิศ


จนกระทั่ง เอ็มลินเดินมาถึงเคาน์เตอร์และเคาะนิ้วลงไปบนผิวไม้


“เอียนอยู่ไหน”


บาร์เทนเดอร์ชำเลืองด้วยหางตา แต่มิได้กล่าวคำใด ยังคงก้มหน้าเช็ดแก้วต่อไป


“…” เอ็มลินพลันชะงัก ฉุกคิดว่าตนคงทำบางสิ่งไม่ถูกต้อง จึงไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของบาร์เทนเดอร์ทำให้มันอับอายไม่น้อย ถึงขั้นอยากเข้าไปกระชากคอเสื้อเพื่อซักถาม


กระนั้น มันมองว่าท่าทีดังกล่าวขัดต่อภาพลักษณ์สุภาพบุรุษ จึงสงบสติอารมณ์และมองไปรอบตัว พบว่าทุกคนกำลังดื่มเหล้า


ครุ่นคิดสักพัก เอ็มลินกล่าวเสียงห้วน


“ไวน์แดงเออร์เมียร์หนึ่งแก้ว”


บาร์เทนเดอร์ชะงักการเช็ดแก้ว เงยหน้าขึ้น มองชายหนุ่มรูปงามผมสีดำเจ้าของดวงตาสีแดงด้วยความประหลาดใจ


“ไม่มี”


นั่นมันไวน์แดงที่ดีที่สุดในโลกเชียวนะ ราคาต่อขวดย่อมมหาศาล!


เอ็มลินมิได้สมองทึบ เพียงเห็นแววตาอีกฝ่ายก็ทราบทันทีว่า ตนสั่งในสิ่งที่ไม่ควรสั่ง ครุ่นคิดสักพักจึงกล่าวต่อ


“เบียร์นันวีลล์หนึ่งแก้ว”


“ห้าเพนนี” บาร์เทนเดอร์วางแก้วและผ้าเช็ดลง


เอ็มลินหยิบธนบัตรหนึ่งซูลออกมาหนึ่งใบ


“ไม่ต้องทอน”


“ขอบใจ” บาร์เทนเดอร์ชี้ไปทางซ้ายมือ “เอียนอยู่ในห้องเล่นไพ่หมายเลขหนึ่ง”


เอ็มลินยิ้มออกทันที ภายในใจกำลังมีความสุขพลางนึกชื่นชมตัวเองที่สามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม มันมิได้รับเบียร์นันวีลล์มาดื่ม เพียงหันหลังและเดินไปทางห้องเล่นไพ่หมายเลขหนึ่งทันที


ก็อก ก็อก ก็อก! แวมไพร์หนุ่มเคาะประตูอย่างสุภาพ


“เข้ามาได้” เสียงค่อนข้างอ่อนเยาว์ดังเล็ดลอด


เอ็มลินจัดปกเสื้อ ผลักเปิดประตู พบว่าฉากด้านในแตกต่างจากที่จินตนาการไว้พอสมควร


ก่อนจะเข้ามา มันเคยจินตนาการไว้ว่า ภายในห้องเล่นไพ่จะต้องมีคนยืนมุงรอบโต๊ะตัวยาวจำนวนมาก รอเล่นเท็กซัสโปเกอร์หรือไม่ก็ไพ่ชนิดอื่น ใครจะไปคิดว่าในห้องที่มีคนอยู่ราวเจ็ดแปดชีวิต จะไม่มีใครเล่นเท็กซัสโปเกอร์เลย ด้านหน้าแต่ละคนมีเพียงกระดาษเปล่าที่คล้ายกับถูกใช้บันทึกบางสิ่ง นอกเหนือจากนั้น บนโต๊ะยังมีแค่ปากกาและลูกเต๋าหลายเหลี่ยม


อาศัยสัญชาตญาณ เอ็มลินจ้องไปยังคนตัวเล็กสุดด้านใน อีกฝ่ายเป็นเด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาสีแดงสด อายุราวสิบห้าสิบหก


“เอียน?” เอ็มลินถามเพื่อยืนยัน


เอียนพยักหน้าและยิ้มตอบ


“ถูกต้อง คุณสุภาพบุรุษตรงนั้นต้องการสิ่งใด? หรืออยากร่วมเล่นเกมนี้กับพวกเรา?”


“เกม?” เอ็มลินถามตามความเคยชิน


เอียนหัวเราะในลำคอ


“ถูกต้อง เกม… ผมไม่ชอบเล่นไพ่หรือบิลเลียด แต่ในเมื่ออยู่ที่นี่ทั้งวันก็ต้องหาอะไรทำ ผมได้แรงบันดาลใจมาจากชีวประวัติของจักรพรรดิโรซายล์ จึงรวบรวมคนจำนวนหนึ่งมานั่งด้วยกัน ผจญภัยบนแผ่นกระดาษ… ภายในเกมชนิดนี้ คุณจะเป็นใครก็ได้ขอเพียงรักษากฎ ไม่ว่าจะแพทย์ นักผจญภัยที่ชอบกินผัก นักสืบเอกชนที่ชอบพกประแจกับท่อเหล็ก หรือนักโบราณคดีที่ชอบสรรหาสิ่งแปลกใหม่ ทุกคนจะร่วมทางกัน ผจญภัยภายในปราสาท ค้นหาเรื่องราวลึกลับที่ซ่อนอยู่ ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดจำนวนมาก”


“ฟังดูน่าสนใจ” เอ็มลินสัมผัสได้ว่า เกมนี้เหมาะกับตนอย่างอธิบายไม่ถูก


“ฮะฮะ อยากเล่นด้วยกันไหม? พวกเรากำลังเดินทางไปเผชิญหน้ากับแวมไพร์โบราณที่แข็งแกร่ง อีกฝ่ายมีหน้าตาหล่อเหลา แต่ใต้ผิวหนังมีตุ่มหนองพุพองเพราะเลือดกำลังเดือดพล่าน” เอียนชักชวนอย่างกระตือรือร้น


ผีดูดเลือด! ขอบคุณ! เอ็มลินมุมปากกระตุกเล็กน้อย กล่าวเข้าประเด็น


“ผมมีงานมาให้คุณทำ”


“เข้าใจแล้ว… ไปคุยห้องข้างๆ ดีกว่า” เอียนยืนขึ้นในสภาพสวมหมวกปีกสั้นทรงโดมและย่ามโทรมๆ


ห้องถัดไปเป็นห้องเล่นบิลเลียด ไม่มีใครอยู่ด้านใน หลังจากตรวจสอบจนแน่ใจ เด็กหนุ่มมาดสุขุมลงกลอนปิดประตูมิดชิด หันไปทางเอ็มลิน


“มิสเตอร์ ผมไม่รู้จักคุณมาก่อน ไม่ทราบว่าใครเป็นคนแนะนำมา”


เอ็มลินเชิดคางเล็กน้อย ยิ้มและตอบ


“เชอร์ล็อก·โมเรียตี้”


กล่าวจบ มันหันไปรอบตัว ยกมือขึ้นบีบจมูก


“นักสืบโมเรียตี้นี่เอง…” เอียนถอนหายใจโล่งอกโดยไม่พยายามเก็บซ่อน “ค่อยวางใจหน่อย ว่าแต่… เขาไปพักร้อนที่อ่าวเดซีย์ใช่ไหม? ตอนนี้กลับมาแล้วหรือยัง”


เอ็มลินลดมือขวาลง กล่าวหน้านิ่ง


“ยัง… ผมลองแวะไปบ้านหลังที่เขาเช่าแล้ว แต่ก็ไม่พบใคร… ว่ากันตามตรง การหยุดยาวช่วงปีใหม่ควรสิ้นสุดลงตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคม แต่ตอนนี้ย่างเข้าเมษายนแล้ว”


“ห…หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุ?” เอียนถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล


หลังจากเอ็มลินจินตนาการถึงความแข็งแกร่งและลึกลับของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ มันส่ายศีรษะเล็กน้อย


“คงกำลังพัวพันกับคดีซับซ้อนมากกว่า”


เอียนไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ เปลี่ยนหัวข้อสนทนา


“ผมควรเรียกคุณว่าอะไร? แล้วมีงานแบบไหนให้ทำ”


“มิสเตอร์ไวท์… เรียกผมว่ามิสเตอร์ไวท์” เอ็มลินหยิบกระดาษที่คล้ายกับใบค่าหัวออกมาถือ “ตามหาเบาะแสของคนทั้งห้า”


เอียนรับกระดาษ ตรวจสอบสักพักก่อนจะกล่าว


“ยี่สิบปอนด์สำหรับเบาะแสสำคัญ หนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์สำหรับการระบุตำแหน่งที่แม่นยำ… ตกลงไหม?”


“ตกลง” ความรู้สึกแรกของเอ็มลินคือ ราคาค่อนข้างถูก


เมื่อเทียบกันแล้ว ข้อเสนอที่ตนยื่นให้ชุมนุมทาโรต์นับว่าแพงไปมาก


เอียนพับกระดาษเก็บ เงยหน้าซักถาม


“มิสเตอร์ไวท์ ถ้าผมพบเบาะแส สามารถแจ้งคุณได้ที่ไหน?”


“ย่านทิศใต้ของสะพาน โบสถ์ฤดูเก็บเกี่ยว” เอ็มลินตอบในสิ่งที่เตรียมไว้


ได้ยินเช่นนั้น เอียนครุ่นคิดและถามอย่างประหลาดใจ


“คุณเป็นผู้ศรัทธาของพระแม่ธรณี? …หาได้ยากมากในกรุงเบ็คลันด์”


“ไม่ใช่!” เอ็มลินส่ายหน้าหนักแน่น “แค่ทำงานอาสาสมัคร”


ไม่รอให้เอียนกล่าวต่อ เอ็มลินชิงถาม


“ทำไมคุณถึงมีตาสีแดง”


มันอยากถามเช่นนี้ตั้งแต่แรกพบ เพราะตามปรกติแล้ว ดวงตาสีแดงคือสัญลักษณ์ของผีดูดเลือดมาตั้งแต่โบราณกาล แต่ในยุคสมัยที่สี่ มนุษย์และผีดูดเลือดเริ่มใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะพลเมืองจักรวรรดิ เมื่อความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ลูกหลานที่เป็นพันธุ์ผสมจึงถือกำเนิดและสืบทอดดวงตาสีแดงมาจนถึงปัจจุบัน กลายเป็นสีตาหนึ่งที่หายากของมนุษย์


สรุปโดยสั้น มนุษย์ตาแดงทุกคนมีบรรพบุรุษเป็นผีดูดเลือด


เอียนตอบด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ


“ได้มาจากพ่อ… แต่ผมรู้แค่นั้น เพราะโตมาในฐานะเด็กกำพร้า”


คงไม่ได้เกี่ยวพันกับผีดูดเลือดสินะ… เอ็มลินผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะจ่ายเงินล่วงหน้ายี่สิบปอนด์ หันหลังและเดินออกจากห้องบิลเลียด


รอจนกระทั่งอีกฝ่ายลับสายตา เอียนยังไม่กลับไปที่ห้องเล่นไพ่ เพียงเดินไปปิดประตูให้สนิทและพูดกับอากาศ


“นักสืบโมเรียตี้ยังไม่กลับมาที่เบ็คลันด์… ผมเริ่มเป็นห่วงเขาแล้วสิ”


ทันใดนั้น ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าภายในห้อง ใบหน้าสีขาวซีด รูปโฉมงดงาม สวมหมวกอ่อนใบเล็กและชุดโกธิกซับซ้อนของชาววัง ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘วิญญาณอาฆาต’ ชารอน


“เขากำลังไปได้ดี” ชารอนตอบอย่างมั่นใจ ก่อนหายตัวไปอีกครั้ง


“คุณก็พูดแบบนี้ตลอด… ติดต่อกับเขาบ่อยหรือ?” เอียนกระซิบกระซาบ เดินไปหยิบหนังสือพิมพ์ตรงมุมห้องบิลเลียด


ฉบับบนเป็น ‘หนังสือพิมพ์ทัสซอค’ ส่วนฉบับล่างเป็น ‘ข่าวทางทะเล’ ซึ่งแต่เดิมเป็นการรายงานข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในอาณานิคมโลเอ็น รวมไปถึงเหตุการณ์ทางทะเลอื่นๆ ประปราย แต่เนื่องจากติดข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี กว่าข้อมูลทางทะเลจะถูกส่งมาถึงเบ็คลันด์ก็กลายเป็นข่าวเก่าล้าสมัยแล้ว ไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการติดตามข่าวอย่างจริงจัง ส่งผลให้ยอดขายไม่ดีนัก


แต่ในช่วงหลัง ด้วยนโยบายของหัวหน้าบรรณาธิการคนใหม่ รูปแบบของหนังสือพิมพ์ทางทะเลจึงเปลี่ยนไป กลายเป็นการนำเสนอข่าวลือมากมายในมหาสมุทร รวมไปถึงเรื่องราวลึกลับสุดพิสดารของโจรสลัดและนักผจญภัย คล้ายกับเป็นนิยายมากกว่าการรายงานข่าว


แต่เหนือความคาดหมาย การนำเสนอในทำนองนี้กลับได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะเนื้อหาเกี่ยวกับภูตผีและขุมทรัพย์ กลายเป็นว่า ในทุกผับจะมีกลุ่มคนที่พอจะอ่านหนังสือออก มาโอ้อวดอวดข่าวใหม่ๆ ให้คนที่อ่านหนังสือไม่ออกฟัง ถึงข่าวลือเหล่านี้จะฟังดูเกินจริงไปมาก แต่ก็เพียงพอสำหรับการสร้างความบันเทิง


เอียนพลิกหนังสือพิมพ์สุ่มๆ และแทบไม่พบข่าวที่น่าสนใจ มีเพียงบางหัวข้อจาก ‘ข่าวทางทะเล’ ที่ชวนให้อ่าน


“ตามรายงาน ในช่วงเย็นวันที่ 25 มีนาคม กองเรือของ ‘ราชาอมตะ’ เปิดฉากโจมตีใส่เรือสินค้าที่แล่นจากไบลัมตะวันโดยมีจุดหมายเป็นจักรวรรดิฟุซัค พวกมันประสบความสำเร็จในการปล้นสินค้าและเงินสดทั้งหมด นอกจากนั้น ‘จอมเชือด’ จิลเซียสยังทำตัวเหี้ยมโหดสมฉายา สังหารทุกคนบนเรือจนเกลี้ยง…”


พวกโจรสลัดช่างอุกอาจ… เอียนส่ายหน้า วางหนังสือพิมพ์ลง เดินกลับไปที่ห้องเล่นไพ่ ดำเนินเกมของตัวเองต่อ


ภายนอกผับ เอ็มลินขึ้นรถม้า เอนหลังพิงพนัก จ้องมองไฟถนนที่ค่อยๆ แล่นผ่านสองข้างทาง


มันบีบจมูกอีกครั้ง ส่งเสียงพึมพำ


“วิญญาณอาฆาต…? พ่อค้าอาวุธเถื่อนที่ชื่อเอียนนั่น… ไม่เลวทีเดียว”


เอ็มลินหลับตาลง เริ่มคาดหวังความสำเร็จจากงานที่ฝากฝัง



แสงแดดสาดส่องจากหน้าต่าง ย้อมห้องกัปตันให้กลายเป็นสีทองอร่าม


เอ็ดวิน่ากำลังนั่งบนเก้าอี้ ถือหนังสือ มองไปยังฝั่งตรงข้าม


“หมายความว่า คุณเชื่อว่าจักรวรรดิทั้งสามซึ่งประกอบด้วยโซโลมอน ทรันซอสต์ และทูดอร์ เคยอยู่ร่วมยุคสมัยเดียวกัน?”


“ถ้าไม่ใช่แบบนั้น ‘สงครามสี่จักรพรรดิ’ ก็คงเกิดขึ้นไม่ได้” ไคลน์ตอบห้วน


ชายหนุ่มกำลังถือ ‘หนังสือแห่งสามโลก’ หนึ่งในงานเขียนของโรงเรียนชีวิต เนื้อหาอธิบายเกี่ยวกับโลกแห่งวัตถุ โลกวิญญาณ และโลกที่อยู่เหนือเหตุผล ภายในหนังสือมีข้อมูลเกี่ยวกับยันต์เขียนไว้พอสมควร เป็นข้อมูลในเชิงลึก ส่งผลให้วันนี้ทั้งวัน ไคลน์ทุ่มสมาธิจดจ่อกับหนังสือโดยไม่สนใจสิ่งอื่น หวังว่าจะพบวิธีใช้งานคทาเทพสมุทรและหนอนกาลเวลาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


นอกจากนั้นไคลน์ยังพบว่า กรุหนังสือของพลเรือโทธารน้ำแข็งประกอบด้วยเอกสารโบราณที่ครอบคลุมศาสตร์เร้นลับหลายแขนง สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของโบสถ์ ‘เทพปัญญาความรู้’ ที่สนับสนุนเอ็ดวิน่าอยู่เบื้องหลังสักเท่าไร เพราะเท่าที่ไคลน์ทราบ ความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับนั้นห้ามเปิดเผยให้คนภายนอกโบสถ์รับรู้


ขณะเอ็ดวิน่าเตรียมถาม เธอพบว่าความเร็วของฝันทองคำค่อยๆ ลดลง จึงมองออกไปนอกหน้าต่าง ตรวจสอบสักพักและกล่าว


“ถึงบายัมแล้ว”


ราชันเร้นลับ 707 : คำขอของเดนิส

โดย

Ink Stone_Fantasy

ถึงบายัมแล้ว? ไคลน์ลุกขึ้นยืน ตรวจสอบซ้ายขวาจนพบท่าเรือส่วนตัวของกองกำลังกลุ่มต่อต้านที่คุ้นเคย


ชายหนุ่มมิได้แสดงสีหน้าประหลาดใจ เพียงพูดตรงไปตรงมา


“เร็วกว่าที่คิด”


เร็วกว่าที่มันคิดไว้ถึงสามชั่วโมง!


“เร็วกว่าที่ฉันคาดไว้เหมือนกัน” เอ็ดวิน่าถอนสายตากลับ เห็นด้วยกับคำพูดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์


เนื้อห้าที่เหลือไม่ค่อยสำคัญ… ไคลน์ก้มศีรษะลง แสร้งทำเป็นพลิกดูหน้าที่เหลือของ ‘หนังสือแห่งสามโลก’ อย่างรวดเร็วโดยไม่แยแส ก่อนจะยื่นให้พลเรือโทธารน้ำแข็ง


“การแลกเปลี่ยนของเราสิ้นสุดตรงนี้”


เอ็ดวิน่าชำเลืองหนังสืออย่างเงียบงัน ขยับริมฝีปากเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่กล่าวคำใด


หญิงสาวรับ ‘หนังสือแห่งสามโลก’ มาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวคำอำลา


“ในอนาคต หวังว่าพวกเราจะได้สนทนากันอีก ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์โบราณของคุณน่าทึ่งมาก”


หากเป็นนิสัยเดิมของไคลน์ ชายหนุ่มจะถ่อมตัวพร้อมกับกล่าวยกย่องพลเรือโทธารน้ำแข็งว่ามีความรู้กว้างขวางไม่ต่างกับตน แต่ในฐานะ ‘นักผจญภัยเสียสติ’ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ชายหนุ่มทำได้เพียงพยักหน้าเล็กน้อย


“เราเป็นพวกเดียวกัน”


หมายความว่า ในอนาคตคงมีโอกาสได้พูดคุยกันอีก


ชายหนุ่มไม่สานต่อบทสนทนา เดินออกจากห้องกัปตัน ตรงกลับไปยังห้องพักส่วนตัว เก็บกระเป๋าเดินทางอย่างไม่ยากเย็น รอให้ฝันทองคำจอดนิ่งเทียบท่า จึงค่อยเดินออกไปทางดาดฟ้าเรือ


ระหว่างทาง ลูกเรือจำนวนมากกำลังยืนรวมตัวกันบนดาดฟ้า มีทั้ง ‘นักชิม’ บลู·โวลส์ ‘นักร้อง’ ออร์ฟิอุส ‘หูกระต่ายบุปผา’ โจเดอร์สัน รวมถึงโจรสลัดระดับสูงอีกมาก


ทุกคนกำลังเผยรอยยิ้มจริงใจ โบกไม้โบกมือให้ไคลน์ด้วยท่าทางกระตือรือร้น ในหมู่พวกมัน ‘ถังไม้’ และ ‘กายาเหล็ก’ เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นเป็นพิเศษ ถึงขั้นร้องเพลงอำลา


เราไปสนิทสนมกับพวกเขาตั้งแต่ตอนไหน? ไคลน์หัวเราะในลำคอ เดินผ่านกลุ่มโจรสลัดไปทางกราบเรือ


แอนเดอร์สัน·ฮู้ดโน้มตัวมาด้านข้าง กล่าวในสภาพสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยและทรงผมหวีเรียบ


“ใจจริง คนเหล่านี้คงอยากพูดว่า… ลาก่อน อย่าได้พบกันอีกเลย… เกอร์มัน นายรู้ไหม การเป็นศัตรูกับโจรสลัดจำนวนมากไม่ใช่เรื่องฉลาดเลยสักนิด ทุกคนต่างขับเรืออย่างเต็มฝีมือ พยายามทำให้เรือแล่นเร็วที่สุด ประหนึ่งต้องการพาฝันทองคำมาเทียบท่าภายในห้านาที!”


ขณะไคลน์เตรียมตอบสนอง เดนิสในเสื้อคลุมสีดำวิ่งตามมาจากด้านหลัง


หมอนี่โกรธตัวเองที่อ่อนแอ ก็เลยเตรียมใจละทิ้งฝันทองคำเพื่อออกผจญภัยตามลำพัง? ผิดไปจากแผนเดิมพอสมควร เราอยากให้เดนิสอยู่ใกล้กับพลเรือโทธารน้ำแข็งและโบสถ์ปัญญาแห่งความรู้มากกว่า นั่นถึงจะเป็นสาวกที่มีประโยชน์ของเดอะฟูล… แต่ไม่เป็นไร ถ้าเดนิสพัฒนาตัวเองไปอีกขั้น นั่นจะเป็นประโยชน์กับเดอะฟูลยิ่งกว่า… ไคลน์ชั่งน้ำหนักในใจตามความเคยชิน ไม่นานก็สลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง มองไปทางเดนิสด้วยสายตาเยือกเย็น รอให้อีกฝ่ายพูด


เดนิสอ้าปากด้วยสีหน้าขึงขัง แต่ไม่กล่าวสิ่งใดออกมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งหัวเราะแห้งสองสามหน หันไปพูดกับแอนเดอร์สัน


“นายมีสูตรโอสถนักวางแผนไหม”


“มีสิ” แอนเดอร์สันยิ้ม “แต่ฉันไม่ขายให้นาย”


ใบหน้าเดนิสพลันดำมืด แอนเดอร์สันกล่าวต่ออย่างไม่แยแส


“นายได้สูตรโอสถนักวางแผนไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? หากฝืนเลื่อนลำดับตอนนี้ ผลลัพธ์จะมีเพียงความคลุ้มคลั่ง… สหาย จงสวมบทบาทใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง เริ่มจาก ‘นักล่า’ ตามด้วย ‘นักยั่วยุ’ และ ‘นักวางเพลิง’ … หึหึ จะยิ่งดีกว่าเดิมถ้านายนำ ‘หัวใจคนยักษ์’ ไปให้ช่างฝีมือผลิตเป็นสมบัติวิเศษสายป้องกัน ไม่อย่างนั้นคงถูกเชือดทิ้งกลางทางอย่างง่ายดาย… รอจนกระทั่งมั่นใจ ค่อยขอสูตรโอสถนักวางแผนจากกัปตันของนาย เธอเองก็มีมันในครอบครอง… การเป็นนักวางแผนไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ชั่วชีวิตนี้นายอาจทำไม่สำเร็จก็ได้”


มุมปากเดนิสพลันกระตุกหลังจากได้ยินถ้อยคำยั่วยุ อย่างไรก็ตาม มันจดจำทุกคำพูดของแอนเดอร์สันจนขึ้นใจ อีกฝ่ายคือชายที่ได้รับฉายานักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด มีประสบการณ์บนเส้นทางนี้กว่าใคร นอกจากนั้น เดนิสเองก็เชื่อว่า กุญแจสำคัญของโอสถคือเทคนิคสวมบทบาท กัปตันของมันเคยสอนเรื่องนี้แล้ว แต่เป็นคำแนะนำแบบคลุมเครือ


“สักวัน… ฉันจะแสดงให้นายเห็นว่านักวางแผนที่แท้จริงเป็นยังไง!” เดนิสกล่าวหนักแน่น หันไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์


มันกระแอมแห้งในลำคอ กล่าวโดยไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย


“ฉันขอกัปตันแล้ว หลังจากนี้จะเริ่มติดต่อและสานสัมพันธ์กับกลุ่มต่อต้านบนเกาะ จะหาเวลาแวะมาที่บายัมให้มากขึ้น”


หมายความว่า นายไม่อยากออกจากฝันทองคำ แต่ก็จะพยายามหาโอกาสพัฒนาตัวเอง? หึหึ… ทำไมท่าทีของหมอนี่ถึงได้เหมือนกับกำลังคุยกับหัวหน้าตัวจริง… ไคลน์แอบหัวเราะ ส่งเสียง ‘อืม’ ในลำคอ


เดนิสถอนหายใจโล่งอก เผยท่าทีผ่อนคลายชัดเจน หากไม่ใช่เพราะมีพวกพ้องกำลังจ้องมองอยู่ด้านหลัง มันคงช่วยเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถือกระเป๋าเดินทางไปจนถึงท่าเรือ


เมื่อเห็นเกอร์มันและแอนเดอร์สันเดินจากไป เดนิสตัดสินใจหนักแน่นที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในคืนนี้ สวดวิงวอนถึงเดอะฟูลวันละครั้ง แสดงถึงความจงรักภักดี หลีกเลี่ยงการเผชิญเหตุไม่คาดฝัน


ณ ท่าเรือส่วนตัวของกลุ่มต่อต้าน แอนเดอร์สันเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์หักเลี้ยวไปทางถนนเส้นใหม่อย่างชำนาญ เพียงครู่เดียวก็พ้นเขตป่าทึบ


“นายคุ้นเคยกับที่นี่ด้วยหรือ? ครั้งสุดท้ายที่ฉันมาเยือน ถนนเส้นนี้ยังไม่ถูกสร้างขึ้น” แอนเดอร์สันพูดด้วยเสียงผ่อนคลายแกมเบื่อหน่าย


แน่นอน… ในทุกๆ วันจะมีผู้คนมากมายสวดวิงวอนถึงฉัน รายงานในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ และฉันเองก็ตอบกลับไปบ้าง หนึ่งในนั้นคือการแนะนำให้สร้างถนนเส้นนี้… ไคลน์รำพันอย่างภูมิใจสักพัก กล่าวหน้านิ่ง


“เพื่อนของนายอยู่ไหน”


“ในคฤหาสน์นอกบายัม” แอนเดอร์สันเร่งฝีเท้า กลายเป็นฝ่ายนำทาง


หนึ่งชั่วโมงถัดมา มันพาไคลน์มาถึงด้านนอกคฤหาสน์ กลิ่นเครื่องเทศเข้มข้นฟุ้งกระจายเต็มอากาศ ถือเป็นบรรยากาศแปลกใหม่ที่ยากอธิบาย


หลังจากแจ้งความจำนงกับคนเฝ้าประตู ทั้งสองรอไม่นานก็ได้พบชายเจ้าของส่วนสูงมาตรฐาน เตี้ยกว่า 1.75 เมตรไม่มาก เดินตรงเข้าใกล้พร้อมกับพ่อบ้านและบริกรชาย


อีกฝ่ายมีผิวเหลือง ค่อนไปทางสีแทน มาดอ่อนโยน เบ้าตาจมลึกจนดูไม่เหมือนชาวโลเอ็น


สำหรับไคลน์ ปัจจัยข้างต้นเพียงพอที่จะระบุชาติกำเนิดของอีกฝ่าย มันทราบทันทีว่าเพื่อนของแอนเดอร์สันเป็นชาวเฟเนพ็อต


ด้วยหุ่นค่อนข้างท้วม ใบหน้ากลมกลึงและแววตาใจดี เมื่อเห็นนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด มันหัวเราะในลำคอ


“แอนเดอร์สัน ยังไม่ตายอีกหรือ”


“ฉันรอไปร่วมงานศพนายอยู่” แอนเดอร์สันตอบโต้หน้านิ่ง หันมาทางไคลน์และกล่าวแนะนำตัว “เขาคือยุกฟ่า·คอนเนอร์คริส อดีตหมอประจำทีมของฉัน”


มันมิได้แนะนำตัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เพียงยิ้มและพูด


“ฉันพาธุรกิจมาหานาย”


ยุกฟ่าเข้าใจทันทีว่าแอนเดอร์สันหมายถึงสิ่งใด จึงไม่พูดอะไรต่อหน้าพ่อบ้านและบริกรชาย เดินนำทางทั้งสองเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ของคฤหาสน์


ระหว่างทาง ไคลน์เห็นโรงสี กังหันลม โรงอบขนม โรงเหล้า ค่ายทหาร และอาคารอื่นๆ อีกหลายประเภท คฤหาสน์แห่งนี้เป็นราวกับอาณาจักรขนาดย่อม ขาดเพียงโรงเหล็ก เนื่องจากเหล็กส่วนใหญ่ในตลาดมีราคาต่ำกว่าการผลิตเอง


“วิถีชีวิตครบวงจรแบบชนบท…” ไคลน์พึมพำด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง เดินตามยุกฟ่าเข้าไปในบ้านหลังหลัก ตรงมายังห้องอ่านหนังสือ


ยุกฟ่าไม่ได้พาภรรยาหรือลูกๆ มาพบแอนเดอร์สันกับไคลน์ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้ครอบครัวยุ่งเกี่ยวกับโลกแห่งศาสตร์เร้นลับ ด้วยเหตุนี้ หลังจากลงกลอนปิดประตูสนิท มันจ้องมาทางแอนเดอร์สัน


“ธุรกิจอะไร”


“อยากขายปืนลูกโม่กระบอกนั้นไม่ใช่หรือ? เขาสนใจ” แอนเดอร์สันชี้ไปทางไคลน์ “เกอร์มัน·สแปร์โรว์”


“เกอร์มัน·สแปร์โรว์ นักผจญภัยสุดแกร่งที่เชือด ‘นักพูด’ มีซอร์·คิงอย่างง่ายดาย?” ยุกฟ่าถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ แต่มิได้หวั่นเกรง


แม้จะละทิ้งวิถีชีวิตนักผจญภัย แต่มันทราบดีว่า ข้อมูลคือสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน จึงคอยรวบรวมข่าวที่เกิดขึ้นในบายัมอย่างต่อเนื่อง หลีกเลี่ยงเหตุการณ์ไม่คาดฝัน


แอนเดอร์สันหัวเราะเสียงดัง


“ข่าวของนายมันเก่าแล้ว! วีรกรรมล่าสุดของสุภาพบุรุษท่านนี้คือการสังหาร ‘จอมเชือด’ จิลเซียสตามลำพังและเอาชีวิตรอดมาได้!”


“จิลเซียส? ผู้ช่วยกัปตันของราชาอมตะ?” สีหน้าแววตาของยุกฟ่าเริ่มแปรเปลี่ยน เผยความประหลาดใจที่ยากเก็บซ่อน


“ถูกต้อง!” แอนเดอร์สันหัวเราะ “ในแดนสวรรค์ของโจรสลัด เขาถูกยกย่องให้เป็นนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด!”


ยุกฟ่ากลืนน้ำลาย จ้องไคลน์ ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน


“ถ้าอย่างนั้น นายก็มีคุณสมบัติที่จะซื้อ ‘ลางมรณะ’ ”


“ลางมรณะ?” ไคลน์ถามด้วยท่าทีสนใจเล็กๆ อย่างไม่ประเจิดประเจ้อ


“ชื่อของปืน… มันอยู่กับฉันมานานนับสิบปี เฮ่อ… หากไม่ใช่เพราะมันซ้ำซ้อนกับสมบัติวิเศษชิ้นอื่นที่ฉันพกพา และเรื่องที่มันไม่ค่อยมีประโยชน์แล้วในปัจจุบัน ฉันคงไม่คิดขายมันเด็ดขาด” ยุกฟ่าถอนหายใจยาว


ทันใดนั้น แอนเดอร์สันยืนยิ้ม


“ตอนแรกไม่ได้พูดแบบนี้นี่… นายบอกว่าอยากได้เครื่องมือทางการเกษตรมากกว่า”


นักเพาะปลูกสินะ… ไคลน์นำคำพูดแอนเดอร์สันผสานเข้ากับภาพลักษณ์ของยุกฟ่า คาดเดาเส้นทางที่สอดคล้องกัน


พร้อมกันนั้น ชื่อของโอสถบนเส้นทางดังกล่าวผุดขึ้นในสมองทันที : ลำดับ 9 นักเพาะปลูก ลำดับ 8 แพทย์ ชื่อโบราณคือ ‘นักบวชรักษา’ และลำดับ 7 นักบวชเก็บเกี่ยว


เข้าใจแล้วว่าทำไมแอนเดอร์สันถึงแนะนำตัวว่า ‘หมอ’ … ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าว


“คุณรู้จักแฟรงค์·ลีไหม”


“ฮะฮะ! ไม่รู้จัก แม้ว่าฉันจะมาจากเฟเนพ็อต แต่โอสถและวัตถุดิบล้วนหามาด้วยตัวเอง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโบสถ์พระแม่ธรณี และนั่นคือเหตุผลที่ฉันไม่กล้ากลับไปที่เฟเนพ็อตอีกเลย… แต่ถึงอย่างนั้นก็เคยได้ยินเรื่องราวของแฟรงค์·ลีมาบ้าง เขาเป็นคนที่ทำให้โบสถ์พระแม่ต้องปวดหัวอย่างหนัก” ยุกฟ่าตอบอย่างใจเย็น “ทั้งที่เป็นแค่ลำดับ 6 นักชีววิทยา แต่โบสถ์กลับเห็นค่าเขามากขนาดนั้น ฉันเองก็อยากรู้จักไว้บ้างเหมือนกัน”


อย่าได้คิดเชียว แล้วนายจะเสียใจภายหลัง… พิจารณาจากคำตอบของยุกฟ่า ไคลน์พอจะทราบว่าอีกฝ่ายนับถือพระแม่ธรณี และมีแนวโน้มว่าจะเป็นผู้วิเศษทรงพลังลำดับ 5


แอนเดอร์สันด้านข้าง หลังจากได้ยินคำพูดยุกฟ่า มุมปากของมันกระตุกอย่างเห็นได้ชัด กล่าวด้วยสีหน้าเจือความหวาดผวา


“ชายคนนั้นเก่งกาจในการสร้างความปวดหัวอย่างแท้จริง ไม่ผิดนักหากจะเรียกว่าปีศาจ… พลังและความคิดของหมอนั่นล้ำเกินลำดับ 6 ไปไกลแล้ว… ช่างเถอะ เลิกพูดถึงเขาดีกว่า แค่คิดก็อยากจะอ้วกออกมาเป็นนม”


ยุกฟ่ามองไปยังสองบุรุษฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าสับสน แต่สุดท้ายก็เก็บซ่อนความอยากรู้อยากเห็น เดินไปที่โต๊ะตัวหนึ่ง เปิดลิ้นชัก หยิบปืนลูกโม่เหล็กสีดำลำกล้องยาวกว่าปรกติออกมา


“นี่คือลางมรณะ” ยุกฟ่าเกริ่นเสียงขรึม


ราชันเร้นลับ 708 : ลูกโม่ราคาเก้าพันปอนด์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ลางมรณะ? การยิงทุกนัดคือลางร้ายของศัตรู? ชื่อน่าสนใจ… ไคลน์ควบคุมอารมณ์บนใบหน้า ไม่แสดงความอยากได้หรือตื่นเต้นออกมาจนเกินพอดี เพียงขยับเข้าไปใกล้ เหยียดแขนหยิบลูกโม่เหล็กดำที่มีลำกล้องยาวกว่าปรกติเล็กน้อย


ชายหนุ่มกังวลว่า หากแสดงความต้องการอย่างออกนอกหน้า ยุกฟ่าจะเพิ่มราคาขาย นี่คือหลักการพื้นฐานของการซื้อขายสินค้าในโลกใต้ดิน อย่างไรก็ตาม หลังจากคำนึงถึงชื่อเสียงเกอร์มัน·สแปร์โรว์ รวมถึงเรื่องที่แอนเดอร์สัน นักล่าอันดับหนึ่งแห่งทะเลหมอกช่วยเป็นพยาน ถึงยุกฟ่าจะเป็นนักผจญภัยทรงพลังลำดับ 5 แต่ปัจจุบันก็ถอนตัวออกจากความวุ่นวายทางโลกแล้ว เป็นเพียงคนที่อยากจะมีชีวิตสงบสุขในช่วงบั้นปลาย ไม่กล้าบิดพลิ้วการซื้อขาย ด้วยเกรงว่านักผจญภัยเสียสติจะแอบลอบเข้ามาจู่โจมในคฤหาสน์ยามค่ำคืน


แต่กระนั้น ไคลน์ยังคงเก๊กมาดขรึมต่อไป เพื่อรักษาภาพลักษณ์เย็นชาของตน


เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์สนใจ ‘ลางมรณะ’ ยุกฟ่าเริ่มอธิบาย


“ความสามารถทั้งหมดของมันมีเพื่อจุดประสงค์เดียว… เอาชีวิตศัตรู… ปืนกระบอกนี้สามารถใช้งานได้สามรูปแบบ…”


“รูปแบบแรก ‘โจมตีจุดอ่อน’ โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเงื่อนไขใด เพียงถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปและเหนี่ยวไก นายจะมองเห็นจุดอ่อนของเป้าหมายในเชิงศาสตร์เร้นลับทันที บริเวณดังกล่าวคือตำแหน่งที่ศัตรูอ่อนแอเป็นพิเศษ นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มความแม่นยำให้สอดคล้องกับการเล็ง ผสมผสานเป็นการโจมตีที่รุนแรงกว่าปรกติ…”


“รูปแบบที่สอง ‘โจมตีหนักหน่วง’ นายต้องง้างนกก่อนจึงจะใช้รูปแบบนี้ได้ ลักษณะเด่นก็คือ ไม่ว่าจะยิงโดนจุดใดของเป้าหมาย กระสุนจะรุนแรงเทียบเท่าการยิงใส่จุดอ่อนเสมอ และหากยิงโดนจุดอ่อนของจริงเข้า ถ้าศัตรูมีพลังป้องกันต่ำ นายสามารถปลิดชีพอีกฝ่ายได้ในนัดเดียว แต่ถ้าศัตรูมีพลังป้องกันค่อนข้างสูง นายจะปลิดชีพมันได้ภายในสามนัด… แน่นอน แม้แต่ผู้วิเศษ ‘การ์เดี้ยน’ ก็ไม่มีข้อยกเว้น… อย่างไรก็ตาม ทั้งสามนัดต้องไม่ทิ้งห่างกันนานเกินไป ไม่ควรเกิดห้าวินาที”


“รูปแบบที่สาม ‘โจมตีล้างบาง’ หากเลือกใช้คู่กับ ‘โจมตีจุดอ่อน’ นายต้องถ่ายพลังวิญญาณมากกว่าปรกติถึงสองเท่า ความสามารถนี้จะช่วยให้ยิงกระสุนธรรมดาออกไปในลักษณะปืนลูกซอง โจมตีศัตรูหลายเป้าหมายในเวลาเดียวกัน หรือไม่ก็เพื่อให้ศัตรูได้รับบาดแผลหลายแห่ง เพิ่มความเสียหายภาพรวม… หากใช้คู่กับ ‘โจมตีหนักหน่วง’ นายต้องถ่ายพลังวิญญาณเพิ่มเข้าไปจากปรกติอีกสองเท่า นั่นไม่ใช่ภาระเล็กน้อยอีกต่อไป”


“เหนือสิ่งอื่นใด ปืนกระบอกนี้สามารถใช้ร่วมกับกระสุนพิเศษชนิดต่างๆ สำหรับจัดการศัตรูต่างประเภทกัน”


ฟังดูเหมือนพลังของลำดับ 5 ‘ยมทูต’ แห่งเส้นทางนักล่า… ไคลน์มองไปทางแอนเดอร์สันด้านข้าง ถามหลังจากครุ่นคิด


“ถ้าเป้าหมายเป็นมังกรที่ผิวกายแข็งแกร่งเทียบเท่าครึ่งเทพลำดับ 4… ต้อง ‘โจมตีหนักหน่วง’ กี่ครั้งถึงจะฆ่ามันได้?”


ยุกฟ่าผงะไปครู่หนึ่ง ส่ายหน้าอย่างเหม่อลอย


“ฉันไม่เคยเจอมังกร”


ดังนั้น ไม่ต้องพูดถึงมังกรระดับครึ่งเทพ!


เกอร์มัน·สแปร์โรว์คิดจะใช้ปืนกระบอกนี้ฆ่ามังกร? แถมยังเป็นมังกรครึ่งเทพ? หมอนี่เสียสติไปแล้วหรือ? ทันใดนั้น ยุกฟ่าเริ่มสัมผัสได้ว่า นักผจญภัยในยุคปัจจุบัน แตกต่างจากยุคที่มันเคยโลดแล่นโดยสิ้นเชิง การฆ่ามังกรไม่เคยมีอยู่ในหัวเลยสักครั้ง!


แอนเดอร์สันพลันสำลักน้ำลาย ก่อนจะกระแอมแห้งและกล่าว


“นั่นขึ้นอยู่กับดวง… เชื่อฉันเถอะ ดวงสำคัญมาก! ถ้านายเจอมังกรที่ถูกคนอื่นทำร้ายจนบาดเจ็บเจียนตาย แค่นัดเดียวก็เพียงพอ แต่ถ้าไม่ใช่ ฉันขอแนะนำให้นายรีบเผ่น ชีวิตของตัวเองสำคัญกว่ามาก… แต่สมมติว่า ถ้ามีมังกรระดับครึ่งเทพยืนให้นายยิงโดยไม่ป้องกัน รูปแบบ ‘โจมตีหนักหน่วง’ ประมาณห้านัดก็คงเพียงพอที่จะปลิดชีวิตมัน”


ยุกฟ่ามองไปทางแอนเดอร์สัน ก่อนจะมองกลับมาที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ สุดท้าย มันตัดสินใจไม่สานต่อหัวข้อสนทนาเดิม เปลี่ยนไปคุยประเด็นใหม่


“แอนเดอร์สันคงอธิบายผลข้างเคียงของลางมรณะให้ฟังแล้ว… หลังจากการใช้งานแต่ละครั้ง นายจะได้รับจุดอ่อนที่ตัวเองไม่เคยมีมาก่อน หรือไม่ก็ทวีคูณจุดอ่อนเดิม ผลข้างเคียงดังกล่าวจะคงอยู่นานหกชั่วโมง… เคยมีครั้งหนึ่ง ขณะที่ฉันได้รับจุดอ่อนเป็นความกลัวต่อสุนัข หลังจากทีมของเราเพิ่งจัดการกับโจรสลัดโด่งดังคนหนึ่ง ในวินาทีที่เห็นลูกสุนัขแรกคลอดเดินเข้ามา แข้งขาของฉันพลันอ่อนระทวย รีบคุกเข่าลงด้วยน้ำตานองหน้า ร้องขอความช่วยเหลืออย่างน่าสมเพช… ในยามที่นายพกมันไว้กับตัว ผลข้างเคียงจะไม่รุนแรงมากนัก มีเพียงกระหายน้ำบ่อยกว่าปรกติ แค่ดื่มน้ำให้มากและเข้าห้องน้ำบ่อยๆ ก็พอ”


ทำไมเราถึงรู้สึกว่า… ผลข้างเคียงที่ดูเหมือนจะไม่อันตราย ในอนาคตอาจนำพาความฉิบหายให้เราสักวัน… แต่ว่ากันตามตรง นี่เป็นผลข้างเคียงที่ยอมรับได้… ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก


“เสนอราคามา”


“เก้าพันปอนด์ แอนเดอร์สันน่าจะเกริ่นให้ฟังไปบ้างแล้ว ฉันลดให้ได้แค่นี้” ยุกฟ่ามองไปที่ปืนลูกโม่ ‘ลางมรณะ’ ในมือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ “ราคานี้นับว่าถูกมาก ถ้าไม่ใช่เพราะฉันกังวลว่าจะตกเป็นเป้าของกลุ่มผู้วิเศษจนอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน คงป่าวประกาศขายอย่างครึกโครมไปแล้ว… ฉันเชื่อว่ามีคนที่พร้อมซื้อมันในราคาหนึ่งหมื่นสองพันปอนด์”


ที่พูดมาก็ไม่ผิด… สมบัติวิเศษระดับนี้ ตราบเท่าที่ผลข้างเคียงไม่รุนแรงเกินไปและผู้ซื้อพึงพอใจ ราคาของมันสามารถดีดขึ้นไปอีกพอสมควร… อาจสูงถึงหนึ่งหมื่นถึงหนึ่งหมื่นสองพันปอนด์เลยทีเดียว… ไคลน์อยากต่อราคา แต่ตัวเลขที่อีกฝ่ายเสนอให้นับว่าค่อนข้างต่ำ การต่อรองจึงถือเป็นเรื่องน่าละอาย


“ขอเช็กของก่อน ถ้าไม่มีปัญหาจะจ่ายให้ทันที”


แน่นอน ไคลน์ไม่คิดจะทดสอบยิงปืน เพราะนั่นจะทำให้ได้รับจุดอ่อนโดยไม่จำเป็น วิธี ‘เช็กของ’ สามารถทำได้โดยการถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปตรวจสอบ รวมถึงใช้พลังทำนายเพื่อจับโกหกของอีกฝ่าย ไคลน์ลงมือทำทุกสิ่งที่จำเป็นอย่างเยือกเย็น ไม่แยแสสายตาของยุกฟ่าและแอนเดอร์สัน


ไว้ค่อยยืนยันขั้นสุดท้ายบนมิติหมอก… แต่เท่าที่ดู ยุกฟ่าไม่น่าจะโกหกเรา เขาคงกลัวการแก้แค้นจากนักผจญภัยเสียสติ… เหนือสิ่งอื่นใด ไม่มีเหตุผลให้เขาต้องเล่นตุกติก ยุกฟ่ามีชีวิตปัจจุบันที่มั่นคงและสงบสุขแล้ว… ไคลน์วางลางมรณะลงบนโต๊ะ ยกกระเป๋าเดินทาง หยิบเงินเก้าพันปอนด์ที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมาวาง


ยุกฟ่ารับเงินและเริ่มนับอย่างรวดเร็ว ยืนยันความถูกต้องของธนบัตรและจำนวนเงินเบื้องต้น


“สมแล้วที่เป็นนักผจญภัยผู้กำลังโด่งดังสุดขีด… หาได้ยากที่จะมีใครสามารถควักเงินสดรวดเดียวเก้าพันปอนด์ กระทั่งเศรษฐีบางคนยังไม่พกเงินสดติดตัวขนาดนี้” หลังจากเก็บปึกธนบัตร ยุกฟ่ากล่าวชื่นชม


จะบอกอะไรให้ ฉันเพิ่งซื้อกุญแจด้วยเงินสดห้าพันปอนด์มาหมาดๆ … ไคลน์จ้องธนบัตรเก้าพันปอนด์ที่ยุกฟ่าเก็บในลิ้นชัก ภายในเริ่มห่อเหี่ยว


เราออกทะเลมานานจนเก็บเงินได้ก่อนใหญ่ แต่สุดท้ายก็ใช้หมดภายในเวลาอันสั้น… ตอนนี้เหลือเงินสดแค่ 2,683 ปอนด์กับอีกหกเหรียญทอง ซื้อไม่ได้แม้กระทั่งคฤหาสน์เกรดปานกลาง… ไคลน์ถอนหายใจด้วยอารมณ์ยากอธิบาย นำลูกโม่ธรรมดาออกจากซองปืนใต้รักแร้ เทกระสุนใส่มือ ยัดใส่ลางมรณะทีละนัด


แอนเดอร์สันที่เฝ้าดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น ส่ายหน้าและถาม


“ยุกฟ่า นายเปลี่ยนไปนะ เมื่อค่อยเคยนั่งตรวจสอบธนบัตรแท้ทีละใบ… ถ้านายคิดว่ามันเสียเวลา ฉันยินดีช่วย!”


“อย่าดีกว่า ฉันกลัวว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะยิงนาย” ยุกฟ่าย่อมตระหนักถึงพรสวรรค์ในการยั่วยุของนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด


มันสามารถจินตนาการภาพอีกฝ่ายค่อยๆ ตรวจสอบธนบัตรภายใต้แสงสว่าง ด้วยท่าทางยียวน ทีละใบสองใบ!


พูดได้ดี! ไคลน์เห็นด้วยในใจ พลางนำปืนลูกโม่ที่มีปากกระบอกยาวกว่าปรกติ ยัดลงในซองปืนใต้รักแร้


สำหรับปืนกระบอกเดิม ชายหนุ่มเก็บใส่กระเป๋าเดินทาง


“ขอบคุณที่อุดหนุน ฉันจะได้เลิกกังวลกับเรื่องนี้เสียที” ยุกฟ่ายิ้มและชี้ไปทางประตู “เดี๋ยวจะให้บุรุษรับใช้ไปส่ง”


แอนเดอร์สันโพล่งขึ้น


“ยุกฟ่า นายไม่คิดจะเลี้ยงข้าวเย็นพวกเราจริงหรือ?”


“ไว้นายแต่งงานมีลูก ฉันจะเชิญมาเลี้ยงอาหารมื้อที่หรูหราที่สุด” ยุกฟ่ายิ้มอย่างไม่แยแสคำยั่วยุของอีกฝ่าย


ออกจากคฤหาสน์ แอนเดอร์สันชำเลืองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยหางตา เงยหน้าขึ้นฟ้า จ้องมองพระอาทิตย์ที่ใกล้ตกดิน ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ


“ในตอนแรกที่ฉันรู้จักยุกฟ่า เจ้านั่นเป็นเพียงหมอที่เก่งในการปลูกพืชประหลาดๆ บนเรือเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคน… ฉันคิดว่าเขาคงอายุไม่ยืน แต่ผิดคาด หมอนั่นดวงดีเหลือเชื่อ สามารถไต่เต้าจนกระทั่งได้เป็น ‘ดรูอิด’ ”


ทำไมประโยคชมเชยของนายถึงฟังดูเหมือน… กำลังดูแคลน… ไคลน์รำพันในใจก่อนจะตอบ


“เห็นด้วย เขาโชคดีมาก… ถ้าต้องเป็นพวกพ้องของนาย ต้องใช้ดวงมหาศาลเพื่อเอาชีวิตรอดในแต่ละวัน”


แอนเดอร์สันเอียงคอด้วยสีหน้าประหลาดใจ หลังจากยืนยันท่าทีของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ มันตอบโต้


“นายยั่วยุคนอื่นเป็นด้วยหรือ? ติดไปจากฉันรึไง?”


กล่าวจบ แอนเดอร์สันไม่รอคำตอบ จัดระเบียบเสื้อผ้า ถอดหมวก กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“เอาล่ะ นายก็ได้สมบัติวิเศษที่ต้องการแล้ว ถ้าไม่มีอะไร ฉันขอตัวออกไปทำตามความฝันบ้าง”


“อย่าลืมทำภารกิจให้ครึ่งเทพ” เพียงคำพูดเดียวของไคลน์ สีหน้าแอนเดอร์สันพลันดำมืด


“ไม่ต้องห่วง… ลึกๆ ในใจฉันมีแรงกระตุ้นประหลาด ผลักดันให้ตัวเองรีบจบภารกิจนั่นโดยเร็ว… เอาล่ะ พวกเราคงไม่จำเป็นต้องบอกลากันกระมัง สักวันอาจได้พบกันอีก” แอนเดอร์สันหัวเราะแห้ง โบกมือข้างที่ถือหมวก เดินเลี้ยวเข้าไปในถนนอีกเส้น


ยืนมองนักล่าอันดับหนึ่งเดินจากไป ไคลน์สูดลมหายใจอย่างไม่รีบร้อน ยกกระเป๋าเดินทางของตน ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามพลบค่ำ ชายหนุ่มเดินไปตามถนนใต้ร่มเงาของต้นปาล์ม มุ่งหน้าเข้าสู่บายัม



ณ เมืองบายัม


ไคลน์เข้าพักในโรงแรมธรรมดาแห่งหนึ่งและเริ่มวางแผนอนาคต


เราเป็นอิสระแล้ว… สามารถทดสอบพลังของ ‘นักเชิดหุ่น’ และตั้งกฎการสวมบทบาทของโอสถได้ทันที… สำหรับตัวเราในปัจจุบัน นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด…


นั่นสินะ นักเชิดหุ่นควรให้ความสนใจกับ ‘หุ่นเชิด’ แต่เรายังไม่ได้สร้างหุ่นเชิดอย่างจริงๆ จังๆ สักที คงต้องเริ่มจากจุดนี้ก่อน…


นอกจากนั้น เราควรรีบจัดการให้เสร็จก่อนกลับถึงเบ็คลันด์ เพราะการหาผู้วิเศษที่นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนใหญ่มักซ่อนตัวในเงามืด ยากจะพบเบาะแส และถึงจะหาจนพบในที่สุด แต่เกือบทั้งหมดล้วนพัวพันกับโบสถ์หลักไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ต้องคอยระมัดระวังและรอบคอบพอสมควร ไม่ใช่สถานที่เหมาะแก่การสร้างหุ่นเชิดสักเท่าไร… ในทะเลสะดวกกว่ามาก แค่ไปเยือนผับดังๆ สักแห่ง ลงมือทดสอบกับโจรสลัดที่เคยกระทำเรื่องชั่วช้า…


เมื่อตัดสินใจได้ ไคลน์ลุกขึ้นยืน เดินออกจากห้องพัก ทำตัวตามสบายคล้ายกับเตรียมถอนเงินจากธนาคาร ตรงไปยังจุดหมายที่อยู่ไม่ห่างออกไป – ผับสาหร่ายทะเล – จุดนัดพบอันโด่งดังที่มีโจรสลัดคนดังแวะเวียนมาเที่ยวบ่อยครั้ง


ผ่านไปไม่นาน มันหยุดยืนหน้าประตูผับ จัดระเบียบเสื้อผ้าจนเสร็จ ชายหนุ่มผลักเปิดประตูไม้บานใหญ่


ดวงตาทุกคู่พลันหันมาจ้องหน้าไคลน์ทันที ก่อนจะรีบถอนสายตากลับประหนึ่งไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่เพียงไม่นาน ใครบางคนส่งเสียงโหวกเหวก


“เกอร์มัน·สแปร์โรว์!”


เพียงพริบตา ผู้คนจำนวนมากในผับต่างวิ่งกรูออกไปทางประตูหลังอย่างไม่คิดชีวิต ชั้นหนึ่งของผับแปรสภาพเป็นห้องร้างโดยที่ไคลน์ยังไม่ทันได้ทำอะไร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)