Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 703-704
ราชันเร้นลับ 703 : ของขวัญขอบคุณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อพบว่าสายตาจากเอ็ดวิน่าเริ่มเป็นมิตร แอนเดอร์สันยกมุมปากเล็กน้อย ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
“ยังเข้มงวดไม่เปลี่ยนเลยนะ เป็นเหตุผลว่าทำไม ชาตินี้เธอถึงไม่มีทางเป็นจิตรกรได้”
หลังจากผ่อนคลายอารมณ์ มันมองไปทางศพบนเก้าอี้
“พวกเราจะมัวแต่มองไม่ได้ ต้องทำอะไรสักอย่าง… เซียธาสพูดใช่ไหมว่าเธออยากออกตามหาชาวเอลฟ์? ถ้าอย่างนั้นก็ควรฝังเธอไว้ใกล้กับซากโบราณสถานเอลฟ์บนเกาะโซเนีย… โมเบธดูเหมือนจะอยากอยู่กับเซียธาส เราควรฝังพวกเขาในหลุมศพเดียวกัน… รอนเซลก็คงอยากกลับเบ็คลันด์กระมัง? เผาให้เหลือเพียงเถ้ากระดูก เก็บใส่กล่องและนำไปไว้ในเมืองใหญ่นั่น หรือถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยตามหาทายาทของเขา… ส่วนสโนวมัน เรายังไม่ทราบว่าเขาเป็นสาวกของเทพสุริยันบรรพกาลหรือพระผู้สร้างต้นกำเนิดกันแน่… ไม่สิ ทั้งสองพระองค์อาจเป็นคนเดียวก็ได้… หึหึ แต่สำหรับพวกเราก็คงไม่ต่าง ในเมื่อปัจจุบันไม่เหลือวิหารหรือแท่นบูชาของเทพโบราณทั้งสอง เราคงทำอะไรไม่ได้มากกว่าฝังเขาใกล้กับกรอซาย…” “อา… กรอซายสินะ… ถ้าเลือกได้ เขาคงอยากกลับไปที่วังราชาคนยักษ์ แต่สถานที่ดังกล่าวเป็นเพียงตำนานเทพนิยาย ไม่น่าจะมีตัวตนบนโลกความจริง… โชคดีที่ยังพอมีสถานที่บางแห่งเกี่ยวข้องกับคนยักษ์ พวกเราสามารถฝังศพไว้แถวนั้น ให้พวกเขาได้พักหลับผ่อนอย่างสงบสุข”
วังราชาคนยักษ์… เบ็คลันด์… ไคลน์ที่ฟังอย่างเงียบงัน กล่าวหลังจากครุ่นคิดสองสามวินาที
“เถ้ากระดูกของกรอซาย สโนวมัน และรอนเซล ฉันรับผิดชอบเอง”
ชายหนุ่มเชื่อว่า ในอีกไม่ช้าก็เร็ว เมืองเงินพิสุทธิ์จะมีศักยภาพในการสำรวจวังราชาคนยักษ์ เมื่อถึงตอนนั้น เถ้ากระดูกของกรอซายและสโนวมันจะถูกส่งถึงมือเดอะซันน้อยและกำชับให้เขาฝังสองบุคคลเก่าแก่ไว้ระหว่างการเดินทาง สำหรับกรุงเบ็คลันด์ ไคลน์มีแผนจะกลับไปอยู่แล้ว เมื่อการเดินทางครั้งนี้จบลง รอนเซลจะได้กลับบ้านเป็นครั้งแรกหลังจากหายตัวไปนานกว่าหนึ่งร้อยหกสิบห้าปี
เอ็ดวิน่าเสริม
“ฝันทองคำแวะผ่านเกาะโซเนียบ่อยครั้ง สำหรับศพของเซียธาสกับโมเบธ ทางนี้จะช่วยรับผิดชอบให้”
“ส่วนนายก็รับหน้าที่ฌาปนกิจศพพวกเขา” แอนเดอร์สันหันไปทางเดนิส เผยรอยยิ้มกึ่งถอนหายใจ “เห็นไหม ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไป”
แอนเดอร์สันคิดว่าเดนิสคงไม่เข้าใจการปลอมประโลมของตนและจะจ้องกลับด้วยสายตาโกรธเคือง แต่ในความเป็นจริง โจรสลัดคนดังทำเพียงพยักหน้ารับอย่างเงียบงัน
“แฮ่ม… ในฐานะพวกพ้องที่ช่วยกันปราบราชาแดนเหนือ เรามาเลือกตะกอนพลังคนละชิ้นกันเถอะ คิดเสียว่าเป็นการสืบทอดมรดกของพวกเขา” แอนเดอร์สันใช้คางชี้ไปทางวัตถุระยิบระยับบนพื้น “จิตตกค้างของพวกเขาคงปนเปื้อนตะกอนไม่มากนัก ฉันไม่แน่ใจว่าจะส่งผลข้างเคียงแบบใดบ้าง… ไม่ว่าจะนำไปปรุงเป็นโอสถหรือให้ช่างฝีมือช่วยผลิตเป็นสมบัติวิเศษ ผลข้างเคียงก็คงเกิดขึ้นสักอย่างสองอย่าง… ถ้าใช้วิธีแรก การขจัดจิตตกค้างสามารถทำได้ด้วยเทคนิคสวมบทบาท แต่ถ้าเป็นวิธีหลังก็จนปัญญา… หืม… นายคงไม่รู้จักเทคนิคสวมบทบาทสินะ คิดว่าฉันไม่ได้พูดก็แล้วกัน”
ประโยคสุดท้ายย่อมหมายถึงเดนิส
ไคลน์ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะต่อปากต่อคำกับแอนเดอร์สัน เพียงจ้องไปทางตะกอนพลังทั้งสี่ก้อนและกล่าว
“ฉันเลือกเซียธาส”
นี่คือวัตถุดิบหลักของโอสถผู้ขับขานสมุทร!
เอ็ดวิน่าครุ่นคิดสักพัก
“ฉันขอสโนวมัน”
เป็นตะกอนพลังของนักบวชแสง ไคลน์มีสิ่งนี้อยู่แล้ว จึงไม่ต้องการมัน
แอนเดอร์สันมองสลับไปมาระหว่างตะกอนพลังที่เหลือทั้งสองก้อน ก่อนจะหยุดลงที่วัตถุประหลาดซึ่งมีลักษณะคล้ายฝ่ามือทารก
“เจ้านี่น่าสนใจดี… บางทีอาจนำไปสร้างเป็นสมบัติวิเศษที่สามารถพูดคุยกับฉันได้ จะไม่มีใครต้องเหงาอีกต่อไป”
ตอนนี้ยังเหลือหัวใจคนยักษ์ที่ยังไม่มีใครครอบครอง ไคลน์หันไปทางเดนิสและกล่าวเสียงเรียบ
“มันเป็นของนาย”
“ฉัน? ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ร่วมต่อสู้” เดนิสค่อนข้างประหลาดใจ
ไคลน์ตอบห้วน
“นายช่วยนำทาง นั่นเองก็เป็นความเสี่ยงที่ต้องแบกรับ”
สำหรับไคลน์ มันต้องการมอบของขวัญให้อีกฝ่าย เพราะเดนิสได้เอ่ยถึงนามเต็มของเดอะฟูลและล่วงรู้ความลับของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบังคับทางอ้อมให้กลายเป็นสาวกของเดอะฟูล ไม่อย่างนั้นอาจมีปัญหาร้ายแรงตามมา
แม้เดนิสจะเต็มใจแบกรับความเสี่ยงด้วยตัวเอง แต่ไคลน์ก็ยังต้องการตอบแทน โดยหวังให้เดนิสมองว่านี่คือของขวัญจากเดอะฟูล
ส่วนเรื่องที่เดนิสจะนำตะกอนพลังของกรอซายไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินเพื่อซื้อสูตรโอสถและวัตถุดิบ หรือนำไปสร้างเป็นสมบัติวิเศษในเชิงป้องกันตัว ทุกการตัดสินใจล้วนดีต่อตัวเดนิสเอง
“รับไว้เถอะ” เอ็ดวิน่ากล่าวขณะมองเดนิส
“…ตกลง” หลังจากเงียบงันสองสามวินาที เดนิสผงกศีรษะรับ
แบ่งสมบัติเสร็จ ไคลน์เดินสองสามก้าว ก้มเก็บตะกอนพลังที่เซียธาสเหลือทิ้งไว้ เป็นอีกครั้งที่ได้เห็นน้ำทะเลสีครามด้านในเยื่อบางกำลังไหลเวียนอย่างอ่อนโยน เสียงขับร้องของชาวเอลฟ์สลับดังแว่วเจือจาง
เมื่อยืนตัวตรง ชายหนุ่มเห็นเดนิสกำลังพยักหน้า คล้ายกับตอบคำถามของใครบางคน แต่เมื่อครู่ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว!
ไคลน์ชำเลืองไปทางใบหน้าไร้อารมณ์ของเอ็ดวิน่า ในใจนึกสงสัยว่า ‘ผู้ชี้นำศาสตร์ลับ’ คนนี้กำลังแอบสื่อสารกับเดนิสโดยไม่ให้ใครได้ยิน
เมื่อเห็นเดนิสแสดงท่าทางยืนยัน เอ็ดวิน่าเหยียดแขนออกไปปิด ‘การเดินทางของกรอซาย’ บนโต๊ะและส่งให้ไคลน์
“แทนคำขอบคุณของฉัน”
“ถึงผมจะไม่เข้าไป แต่คุณก็คงปราบมังกรน้ำแข็งได้อยู่ดี” ไคลน์ไม่ยื่นมือออกไปรับ เพียงจ้องปกหนังสือที่เย็บจากกระดาษหนังสีน้ำตาล
“นั่นไม่จริงเลย… พวกเราจะตายอยู่ข้างใน ไม่มีทางรับมือการอาละวาดครั้งสุดท้ายของราชาแดนเหนือได้ และเหนือสิ่งอื่นใด คุณยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเข้ามาช่วยฉันในหนังสือ” เอ็ดวิน่าทำตัวเหมือนอาจารย์สอนหนังสือ พยายามอธิบายเหตุผลอย่างฉะฉาน “คำขอร้องเดียวของฉันก็คือ หากคุณศึกษาจนพบต้นกำเนิดของมัน รบกวนแจ้งให้ฉันทราบด้วย”
ไคลน์สนใจปริศนาที่ซ่อนอยู่ใน ‘การเดินทางของกรอซาย’ เป็นอย่างมาก หลังจากได้ยินคำพูดดังกล่าว ชายหนุ่มเลิกยืนกรานปฏิเสธ เพียงเหยียดแขนออกมารับหนังสือเวทมนตร์
“ตกลง”
ขณะเดียวกัน เนื่องจากวังราชาคนยักษ์ทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ไคลน์จึงต้องการซื้อกุญแจเหล็กดำที่เป็นของคนยักษ์ในราคาห้าพันปอนด์ อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มมิได้ยื่นข้อเสนอออกไปในทันที ด้วยเกรงว่าเอ็ดวิน่าอาจเข้าใจผิด คิดว่าตนพยายามข่มขู่ให้ขายทางอ้อม
แผนของไคลน์คือการทิ้งช่วงสักสองสามชั่วโมง หรือไม่ก็รอให้ถึงวันถัดไป จึงค่อยขอยืมกุญแจมาจากพลเรือโทธารน้ำแข็ง ส่งมันเข้ามิติหมอกเพื่อยืนยันมูลค่าให้แน่ใจ จากนั้นค่อยจ่ายเงินซื้อ
เมื่อเห็นแอนเดอร์สันและเดนิสหยิบตะกอนพลังในส่วนของตนเสร็จ เอ็ดวิน่ามองออกไปยังท้องฟ้ามืดครึ้ม กล่าวกับไคลน์
“คุณจะไปที่ไหนต่อ?”
“บายัม” ไคลน์ตอบเยือกเย็น
เอ็ดวิน่าผงกศีรษะ
“ให้ฝันทองคำไปส่งก็แล้วกัน พวกเรายังมีห้องพักเหลือ”
ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อยเชิงตอบรับ
มีใครบ้างไม่อยากขึ้นเรือฟรี?
หลังจากจัดการกับโครงกระดูกและเก็บกวาดห้องกัปตัน เอ็ดวิน่าเดินไปที่ประตูและเปิดออก
น้ำเสียงเปี่ยมความประหลาดใจพลันดังอึกทึกจากด้านนอก บรรยากาศบนทางเดินกำลังเดือดพล่านสุดขีด
“เอาล่ะทุกคน ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว” เอ็ดวิน่ากวาดสายตา บนใบหน้าที่เคยเย็นชามีรอยยิ้มเจือปนเล็กน้อย
โครม! บรรดาลูกเรือต่างดีใจกระโดดโลดเต้น เสียงเอะอะโวยวายทำให้แอนเดอร์สันเบะปากพลางขมวดคิ้ว
“แตกตื่นกว่าที่คิดไว้อีกแฮะ…” ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เสียงพูดของมันถูกกลบด้วยเสียงโห่ร้องยินดีจากด้านนอก
รอจนกระทั่งเหตุการณ์ซาลง เดนิสช่วยนำทางไคลน์และแอนเดอร์สันออกจากห้องกัปตัน ตรงไปยังห้องพักอีกฟากหนึ่งบนชั้นเดียวกัน
หลังจากหมุนตัวครึ่งรอบและหันไปมองห้องกัปตัน แอนเดอร์สันถอนหายใจยาว
“จบแบบนี้จริงหรือ… ถึงจะได้พบกับพวกเขาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่คนที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันย่อมสลักบางสิ่งลงในใจเสมอ… ทำไมทุกคนถึงต้องตายโดยไม่ทันตั้งตัว… ไม่เหลือใครเลย…”
ไคลน์เงียบงันสักพัก
“โลกนี้เต็มไปด้วยการตายที่ไม่ทันตั้งตัว”
“…นั่นสินะ” แอนเดอร์สันเผยรอยยิ้ม “เป็นเหตุผลที่พวกเราต้องมองโลกในแง่บวกเข้าไว้ ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด หากวันใดต้องเผชิญหน้ากับความตาย ฉันจะสุขุมเยือกเย็น ไม่สูญเสียความสง่างาม และตายในอากัปกิริยาที่หล่อเหลาที่สุด”
อย่าปักธงสิฟะ… ไคลน์ไม่กล่าวคำใด เพียงเดินเข้าไปในห้องที่เดนิสเปิดประตู ส่วนแอนเดอร์สันพักในห้องเยื้องกัน
เมื่อเข้ามาข้างใน ไคลน์ยืนชิดขอบหน้าต่าง มองออกไปยังผืนทะเลที่มืดลงทุกขณะอย่างเงียบงันนานเกือบสิบนาที จึงค่อยกลับเข้าห้องน้ำ เดินถอยหลังสี่ก้าว สวดคาถา ส่งตัวเองเข้ามิติหมอกเทา
ขณะนั่งบนเก้าอี้ของเดอะฟูล ชายหนุ่มเสกเดอะเวิร์ล บังคับให้อีกฝ่ายทำท่าสวดวิงวอน
“ข้าแต่ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดแจ้งเดอะซันน้อยว่า ผมมีสูตรโอสถลำดับ 6 ‘ผู้รับรอง’ ที่เขาต้องการแล้ว นอกจากนั้นยังพบเบาะแสของสูตรและวัตถุดิบหลักโอสถ ‘นักบวชแสง’ … เขายังไม่จำเป็นต้องรีบจ่าย สามารถติดค้างไว้ก่อนได้”
สำหรับไคลน์ที่กำลังจะเลื่อนเป็นลำดับ 4 เมืองเงินพิสุทธิ์ถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ คงมีวัตถุดิบหลักหรือวัตถุดิบรองที่หาจากได้ยากบนแผ่นดินใหญ่ แต่หายได้ง่ายในเมืองเงินพิสุทธิ์แน่ ตราบใดที่ตนยังไม่มีความต้องการเร่งด่วน การปล่อยให้เดอะซันน้อยติดหนี้ไว้ก่อนก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
เหตุผลที่ไคลน์ไม่พูดออกไปตรงๆ ว่า ตนมีสูตรโอสถและวัตถุดิบหลักของ ‘นักบวชแสง’ อยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว เพราะนั่นอาจฟังดูน่าเหลือเชื่อเกินไป รอให้เดอะซันน้อยย่อยโอสถไปสักพักจึงค่อยบอก
หลังจากตรวจสอบภาพเหตุการณ์จนแน่ใจ ชายหนุ่มเปลี่ยนภาพเป็นกระแสพลังและส่งเข้าไปในดาวแดงตัวแทนเดอะซัน
ณ หมู่บ้านยามบ่าย
ขณะกำลังเดินลาดตระเวนรอบค่ายที่เพิ่งตั้งเสร็จ ทัศนียภาพของเดอร์ริคพลันพร่ามัว มองเห็นสายหมอกสีเทาและใครบางคนกำลังสวดวิงวอนท่ามกลางแสงสว่างสีแดง
ถัดมา เด็กหนุ่มได้ยินเสียงของเดอะเวิร์ล จับได้ความได้ว่า อีกฝ่ายมีสูตรโอสถ ‘ผู้รับรอง’ พร้อมแลกเปลี่ยนแล้ว
มิสเตอร์เวิร์ลทำงานรวดเร็วมาก ไม่กี่วันตามที่ให้สัญญาไว้ แถมยังพบเบาะแสของสูตรโอสถและวัตถุดิบหลักของนักบวชแสงด้วย! เดอร์ริคประหลาดใจเจือความยินดี
มันอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเดอะเวิร์ล พร้อมกับหวังว่าตนจะมีพลังและความสามารถแบบเดียวกันได้ในอนาคต
บนมิติหมอก เดอะเวิร์ลกำลังทำท่าสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลอีกครั้ง ใจความสำคัญคือการแจ้งข่าวเกี่ยวกับสูตรโอสถผู้ขับขานสมุทร
“ข้าแต่ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดแจ้งกับมิสเตอร์แฮงแมนว่า ผมมีสูตรโอสถผู้ขับขานสมุทรและวัตถุดิบหลักที่เกี่ยวข้อง พร้อมส่งมอบทันทีในการชุมนุมทาโรต์ครั้งถัดไป และช่วยถามเขาด้วยว่า คิดจะใช้สิ่งใดมาแลกเปลี่ยน”
ราชันเร้นลับ 704 : ต้นกำเนิด
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท่ามกลางระลอกคลื่นทะเล ภายในเรือใบซอมซ่อที่บรรยากาศมืดมน
อัลเจอร์วิลสันกำลังยืนข้างหน้าต่าง ครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องระวังเมื่อกลับไปถึงเกาะปาซู ทันใดนั้น ทัศนวิสัยของมันพลันถูกปกคลุมด้วยสายหมอกสีเทาและชายผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งดูราวกับอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง
ถัดมา มันเห็นแสงสีแดงปกคลุมท่วมท้น เห็นร่างอันพร่ามัวของคนที่น่าจะเป็นเดอะเวิร์ล ได้ยินน้ำเสียงอันเยือกเย็นและไร้อารมณ์ของอีกฝ่ายดังกังวาน
หลังจากฟังจนจบ ดวงตาอัลเจอร์เบิกกว้างเล็กน้อย ภายในใจเกิดความยินดีปรีดาที่ยากจะเก็บซ่อน ความประหลาดใจเป็นล้นพ้นกำลังเอ่อล้นร่างกาย
มันยังจำได้แม่น ในการชุมนุมทาโรต์ครั้งล่าสุด เดอะเวิร์ลเพียงสัญญากับเดอะซันน้อยว่า จะหาสูตรโอสถผู้รับรองให้ภายในสามวัน มิได้เอ่ยถึงโอสถผู้ขับขานสมุทรเลยสักนิด แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน สุภาพบุรุษคนดังกล่าวกลับครอบครองสูตรโอสถลำดับ 5 แสนหายาก แถมยังได้รับวัตถุดิบหลักติดมือมาด้วย!
“เขาทำได้ยังไง…” อัลเจอร์พึมพำ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพลักษณ์อันเย็นชาและแข็งกระด้างของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ภายในใจทวีความรู้สึกว่า ตนมิอาจกะเกณฑ์ก้นบึ้งของอีกฝ่ายได้เลย
นี่คือสิทธิพิเศษของข้ารับใช้? อา… เราเพิ่งได้รับข่าวมาเมื่อวาน เกอร์มัน·สแปร์โรว์เริ่มโดยสาร ‘อนาคตกาล’ ที่ท่าเรือนาสเมื่อสัปดาห์ก่อน เป็นเครื่องยืนยันว่าพลเรือเอกดวงดาวคือมาดามเฮอร์มิท ในทางกลับกัน เหตุการณ์ดังกล่าวก็แสดงให้เห็นว่า ราวหนึ่งสัปดาห์ก่อน เดอะเวิร์ลแอบกระทำบางสิ่งที่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น การแอบเข้าไปในเขตน่านน้ำอันตรายทางสุดขอบตะวันออกเพื่อครอบครองบางอย่าง และนั่นจำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากมาดามเฮอร์มิท… หรือว่าผลลัพธ์ของเหตุการณ์ดังกล่าวก็คือ เขากลายเป็นผู้วิเศษลำดับ 5 สุดแข็งแกร่ง?
เรื่องนี้ช่วยตอบคำถามที่ว่า ทำไมเขาถึงครอบครองสูตรโอสถและวัตถุดิบหลักของผู้ขับขานสมุทรได้ในเวลาแค่ไม่กี่วัน… แต่ว่า เขาทำอะไรลงไป? คงไม่ใช่การฆ่าสมาชิกระดับสูงของโบสถ์หรอกใช่ไหม… อัลเจอร์อดขมวดคิ้วไม่ได้
แต่เพียงไม่นานก็สงบใจลง เปลี่ยนมาครุ่นคิดประเด็นอื่น
แม้การครอบครองวัตถุดิบหลักและสูตรโอสถผู้ขับขานสมุทรจะทำให้อัลเจอร์ตื่นเต้นเป็นล้นพ้น และสำนึกจากก้นบึ้งว่า การได้เป็นสมาชิกของชุมนุมทาโรต์คือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของชีวิต แต่มันก็ต้องไม่ลืมเช่นกัน อีกฝ่ายมิได้มอบทุกสิ่งให้ฟรี ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสม!
เรามีอะไรไปแลกเปลี่ยนกับเดอะเวิร์ลบ้าง… หลังจากดำดิ่งในห้วงความคิดเป็นเวลานาน น่าเสียดายที่อัลเจอร์ไม่มีสิ่งของหรือเงินมากพอจะแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่าย
มันเริ่มเดินอย่างกระวนกระวาย สลับกับการมองออกไปนอกหน้าต่าง
…
เหนือสายหมอกสีเทา หลังจากเดอะเวิร์ลที่งานยุ่งเป็นพิเศษอันตรธานหายไป ไคลน์ชำเลืองไปทาง ‘การเดินทางของกรอซาย’ ที่ถูกนำขึ้นมายังมิติเหนือสายหมอก
หนังสือที่เกิดจากการเย็บหนังสัตว์เข้าด้วยกันเล็มนี้กำลังนอนแน่นิ่งบนโต๊ะทองแดงยาว ไม่สำแดงความพิสดารใดออกมา ดูธรรมดาเสียจนไม่น่าจะมีใครหันมาสนใจนอกจากนักศึกษาภาควิชาประวัติศาสตร์
ไคลน์เสกปากกาและกระดาษ เขียนประโยคทำนายหลังจากครุ่นคิด
“สิ่งนี้คือ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางผู้ชม”
สิ่งที่มันกังวลมากที่สุดก็คือ ในเมื่อตนมิอาจใช้พลังของมิติหมอกเพื่อผนึกหนังสือ ย่อมไม่มีสิ่งใดรับประกันความปลอดภัย หากไคลน์พกหนังสือติดตัวในอนาคต อาจทำให้ถูกดูดกลืนเข้าไปอีก และนั่นคงจะเป็นปัญหาใหญ่ตามมา
หลังจากปลดลูกตุ้มจากข้อมือซ้าย ไคลน์สงบจิตใจและลองทำนาย
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง จี้บุษราคัมกำลังหมุนทวนเข็มนาฬิกา
การทำนายให้ผลปฏิเสธ
ดูเหมือนว่า หนังสือพิสดารเล่มนี้จะไม่ใช่ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางผู้ชม… ถ้าอย่างนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกินเหตุ… ไคลน์ครุ่นคิดสองสามวินาที จากนั้นก็พยายามทำนายยืนยันว่า บันทึกการเดินทางของกรอซายมีความเกี่ยวข้องกับลำดับ 1 หรือ 2 ของเส้นทางผู้ชมหรือไม่ แต่น่าเสียดายที่ผลการทำนายออกมาล้มเหลวทั้งหมด
หลังจากใคร่ครวญเป็นเวลานาน ชายหนุ่มเขียนประโยคทำนายใหม่
“ต้นกำเนิดของมัน”
สาเหตุที่ไคลน์กล้าทำนายอุกอาจเช่นนี้ เพราะทราบดีว่าลำดับ 0 ของเส้นทางผู้ชมร่วงหล่นไปนานแล้ว และมีโอกาสสูงที่ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางผู้ชมจะอยู่กับสภานักสิทธิ์สนธยา โอกาสเผชิญหน้ากับ ‘เทพ’ จึงค่อนข้างต่ำ
วางปากกาลง ถือกระดาษทำนายและหนังสือ ไคลน์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางพึมพำประโยคทำนาย เข้าฌานและสะกดจิตตัวเองให้หลับ
โลกสีเทาอันพร่ามัวพลันแปรเปลี่ยน ภาพตัดไปยังท้องฟ้าสีหม่นที่ดูคล้ายกับปกคลุมไปด้วยเมฆทึบและสายลมกระโชก
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอึมครึม จุดแสงโผล่ขึ้นบนเส้นขอบฟ้าและขยายขนาดอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ทวีปลอยฟ้า!
ทวีปที่สามารถรองรับเมืองขนาดปรกติได้เป็นจำนวนมาก!
เส้นรอบวงของทวีปเป็นสีขาวนวล ทิวแถวหินยักษ์เรียงตัวกันเป็นเค้าโครง และเหนือขึ้นไปด้านบน เสาหินสูงหลายสิบหลายร้อยเมตรจำนวนมากวางเรียงรายจนเต็มพื้นที่ บ้างสูงโดดเด่น บ้างยื่นออกจากมหาราชวังโบราณที่หรูหราอลังการ
มังกรขนาดมหึมาไม่ว่าจะเป็นสีเทาอ่อน สีทองเหลือง สีแดงเข้ม หรือสีผลึกน้ำแข็ง กำลังบินว่อนอยู่บนทวีป ลอยเหนือเมืองพิสดารด้านล่าง บางตัวร่อนลงบนเสาหินเพื่อพักเหนื่อยและก้มมองผืนดิน บางตัวเข้าไปในมหาราชวังสูงตระหง่านและโอ่อ่า หายลับไปจากการมองเห็นของไคลน์
ในหมู่พวกมัน ขนาดเล็กที่สุดก็ยังเท่ากับมังกรน้ำแข็งยูลิเซี่ยน ขณะที่ขนาดใหญ่ที่สุดสูงกว่าหนึ่งร้อยเมตร
ฉากความฝันเริ่มขยายเข้า ทัศนียภาพของมหาราชวังที่มีความสูงไม่ต่ำกว่าสองร้อยเมตรกำลังปรากฏในสายตาไคลน์
สำหรับสถาปัตยกรรมด้านใน เสาหินถูกวางเรียงเป็นทิวแถวท่ามกลางเพดานโดม พื้นที่ด้านในกว้างขวางพอจะให้มังกรบินได้อย่างอิสระ
‘กล้อง’ ยังคงขยับเข้าไปด้านใน เพียงไม่นานก็ช่วยให้ไคลน์มองเห็นหนังสือที่เย็บจากกระดาษหนังสีเหลืองอมน้ำตาล หน้าปกว่างเปล่า กำลังลอยอยู่กลางอากาศ ขนาดของมันดูเล็กมากเมื่อเทียบกับสภาพแวดล้อมรอบตัว
ด้านหลังหนังสือเย็บ เงาดำขนาดมหึมาเริ่มปรากฏกาย
ในวินาทีที่เงาคมชัด ความคิดในสมองไคลน์พลันระเบิดออก!
ดวงตาชายหนุ่มหลุดออกจากเบ้าพร้อมกับโลหิตแดงฉานที่สาดกระเซ็น นอกจากนั้น บริเวณสองเบ้าตา สองรูหู หนึ่งปาก และสองรูจมูกพลันกลายเป็นหลุมดำที่มืดสนิท ของเหลวสีขาวคล้ายนมผสมกับของเหลวสีแดงสว่าง กำลังพรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่อง
ห้วงมิติลึกลับเหนือสายหมอกสีเทากำลังสั่นสะเทือนแผ่วเบา คล้ายกับพยายามระงับความโกรธเกรี้ยวของบางสิ่ง แต่เพียงไม่นาน หลังจากร่างกายกลับสู่ภาวะปรกติ ไคลน์ยกแขนขึ้นลูบศีรษะพลางขบกราม
“เจ็บฉิบ! เจ็บฉิบหาย!”
ไม่ด้อยไปกว่าเมื่อครั้งสุริยันเจิดจรัส… นอกจากนั้น เรายังไม่ทันได้เห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน จึงอดได้รับความรู้ที่เกี่ยวข้อง…
นั่นคือ ‘มังกรจินตภาพ’ แอนเคอร์เวล? จากข้อมูลของเดอะซันน้อย มังกรจินตภาพร่วงหล่นหลังจากจบยุคสมัยที่สอง… ทั้งที่ผ่านมาสองแล้วสามยุคสมัย หรือราวสองสามพันปี เพียงเราแอบมองก็ต้องตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชทันที หากไม่ใช่เพราะมีพลังของมิติหมอกช่วยปิดกั้น คงไม่แคล้วได้ตายคาที่… แบบนี้ไม่ทรงพลังเกินไปหน่อยหรือ?
ไม่สิ การเปรียบเทียบกับสุริยันเจิดจรัสคงไม่เหมาะสมนัก เพราะถึงความเสียหายจากแอนเคอร์เวลจะน้อยกว่า แต่มังกรจินตภาพได้ตายไปนานแล้ว ส่วนอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่… เข้าใจแล้วว่าทำไม ผู้คนจำนวนมากจึงเชื่อว่าเทพบรรพกาลแข็งแกร่งกว่าเทพยุคปัจจุบัน…
หลังจากใช้เวลาเกือบหนึ่งนาทีในการหลุดพ้นจากความเจ็บปวด ไคลน์หันเหความสนใจกลับมายัง ‘การเดินทางของกรอซาย’ อีกครั้งพลางใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะทองแดงยาว ปากพึมพำเสียงแผ่ว
‘ผู้แต่ง’ หนังสือเล่มนี้คือ ‘มังกรจินตภาพ’ แอนเคอร์เวล?
เขียนโดยเทพบรรพกาล และดำเนินเรื่องราวได้เองจนถึงตอนจบ?
จุดประสงค์คืออะไรกันแน่… ในตอนที่หนังสือเล่มนี้ถือกำเนิด มังกรจินตภาพน่าจะยังไม่เคยปะทะกับเทพสุริยันบรรพกาล ไม่ถูกคุกคามด้วยภัยอันตรายใด… นอกจากนั้น คงใช้เวลาพอสมควรกว่าหนังสือจะเดินทางจาก ‘เมืองแห่งปาฏิหาริย์’ มายัง ‘วังราชาคนยักษ์’ และก่อนที่กรอซายจะถูกหนังสือดูดเข้าไป ราชาคนยักษ์ยังมีชีวิตอยู่แน่นอน…
แค่เล่นสนุก? เกิดเบื่อหน่ายก็เลยหาอะไรทำฆ่าเวลา? หรือว่ามังกรจินตภาพที่เป็นเทพบรรพกาลจะมองเห็นอนาคตบางอย่าง จึงจงใจสร้างหนังสือเล่มนี้เป็นแผนสำรองในการกอบกู้เผ่าพันธุ์มังกรหรือตัวท่านเองในยามมีภัย? แต่เนื่องจากประเมินพลังของเทพสุริยันบรรพกาลต่ำไป แอนเคอร์เวลจึงร่วงหล่นโดยสมบูรณ์ชนิดที่หมดสิทธิ์ใช้งานหนังสือ? ปล่อยหนังสือให้อยู่อย่างเปล่าประโยชน์นานหลายพันปี ทำได้เพียงดูดกลืนตัวละครเข้าไปเพื่อสร้างเรื่องราว?
ไคลน์ลองคาดเดา แต่ไม่สามารถหาข้อสรุป ทำได้แค่วางแผนเข้าไปในหนังสืออีกครั้งและค่อยๆ สืบหาความจริง
ในอนาคต หากเป็นบนมิติสายหมอก เราสามารถเข้าไปในหนังสือได้ด้วยร่างวิญญาณ และสามารถกลับออกมาได้ทันทีในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน… ดีล่ะ… ไว้ค่อยทดสอบหลังจากบอกลาเอ็ดวิน่ากับแอนเดอร์สัน เรายังไม่ควรประมาท… ไคลน์พยักหน้า พยายามทำนายว่า ‘การเดินทางของกรอซาย’ จะนำพาการเปลี่ยนแปลงในด้านลบมาสู่มิติหมอกสีเทาหรือไม่ แต่การทำนายประสบความล้มเหลว
ชายหนุ่มพอจะเข้าใจเหตุผล โลกหนังสือมีระดับตัวตนสูงกว่าโลกวิญญาณ ส่งผลให้เทคนิคการทำนายที่ต้องพึ่งพาโลกวิญญาณประสบความล้มเหลว
ไว้ค่อยขึ้นมาสำรวจมิติหมอกบ่อยๆ ก็แล้วกัน… ไคลน์โยน ‘การเดินทางของกรอซาย’ ลงในกองขยะ โบกมือเสกแก้วไวน์ทองคำที่ถูกบี้แบนไปบางส่วน
แก้วไวน์สลักเสลาด้วยลวดลายประณีต มีการเขียนถ้อยคำ ‘ภัยธรรมชาติ’ และ ‘โคฮีเน็ม’ เป็นภาษาเอลฟ์ แต่นอกจากนั้น ไม่มีสิ่งใดพิเศษเกี่ยวกับตัวแก้ว
ไคลน์ถือไว้ในมือพลางลูบไล้แผ่วเบา
…
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
ไคลน์เคาะประตูห้องกัปตันอย่างสุภาพ
“มีอะไรหรือ” เอ็ดวิน่าที่กำลังปล่อยผม จ้องหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้านนอก
ไคลน์ส่งแก้วไวน์ทองคำของราชินีเอลฟ์และกล่าว
“ใส่ไว้ในหลุมศพเซียธาส”
“…ตกลง” เอ็ดวิน่าเงียบงันสองสามวินาที จึงค่อยพยักหน้า
หญิงสาวสำรวจประโยคและสักลักษณ์บนแก้วไวน์ตามความเคยชิน ก่อนจะรู้สึกตัวและรีบเบือนหน้าหนี มองออกไปนอกหน้าต่างพลางกล่าว
“พวกเขากำลังจะจัดงานเลี้ยงรอบกองไฟ คุณอยากร่วมวงไหม”
“ไม่” ไคลน์ส่ายหน้า
“ฉันเข้าใจ ฉันเองก็ไม่ไป มนุษย์ทุกคนมิได้เป็นเหมือนแอนเดอร์สันที่สามารถขจัดความโศกเศร้าได้รวดเร็ว” เอ็ดวิน่าเม้มริมฝีปาก
อันที่จริง คนแบบนั้นก็น่าอิจฉาอยู่ไม่น้อย… ไคลน์หมดคำจะกล่าวไปชั่วขณะ เช่นเดียวกันกับเอ็ดวิน่าที่ถนัดเพียงการสอน แต่ไม่เก่งการชวนคุย บรรยากาศภายในห้องจึงเงียบสงัด
ราวสิบวินาทีถัดมา ไคลน์สูดลมหายใจ พูดทำลายความเงียบงัน
“กุญแจของคนยักษ์… คุณยังอยากขายอยู่ไหม”
“ขาย” เอ็ดวิน่าครุ่นคิดสักพัก ชำเลืองไปยังห้องเก็บของ
“ฉันให้คุณยืมไปตรวจสอบก่อนได้ จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ก่อนจะลงจากเรือ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น