Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 697-702

 ราชันเร้นลับ 697 : การดำเนินของเรื่องราว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไม่ว่าจะพูดภาษาใด ทุกคนล้วนเข้าใจตรงกัน? ไคลน์มองข้ามประโยคแรกและเพ่งความสนใจไปยังประโยคหลังที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร


แม้ที่นี่จะเป็นโลกในหนังสือการเดินทางของกรอซาย สามารถเกิดเรื่องมหัศจรรย์แบบใดขึ้นก็ได้ แต่รายละเอียดเพียงเล็กน้อยก็สามารถบ่งชี้ถึงปัญหาบางอย่างได้เช่นกัน!


สำหรับไคลน์ สิ่งที่แปลกไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนเข้าใจคำพูด แต่เป็นหลักการที่ ‘ช่วย’ ทำให้ทุกคนเข้าใจความหมายตรงกัน


น่าแปลก… นี่เป็นกฎของโลก หรือว่าเบื้องหลังจะมีบุคคลที่ถือครองอำนาจเหนือทุกสิ่งคอยแปลภาษาให้? เหมือนกับเราในชุมนุมทาโรต์… ถ้าเป็นอย่างแรก ภาษาคนยักษ์จะไม่คุ้นหูสำหรับคนที่ไม่เคยฟัง แต่สามารถเข้าใจได้ แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง คนฟังจะรู้สึกคุ้นเคย… เนื่องจากเป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณและภาษาที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์เร้นลับ ไคลน์จึงมิอาจระบุได้ชัดเจนว่าเป็นกรณีไหน ชายหนุ่มตัดสินใจลดฝีเท้าลง เดินด้วยความเร็วเท่าเดนิส ลดระดับเสียงถาม


“นายได้ยินกรอซายพูดภาษาอะไร”


เดนิสชะงัก ทำท่านึก


“ภาษาที่ฟังดูคุ้นเคย แต่ก็เหมือนจะไม่คุ้นเท่าไร… แต่ฉันสามารถเข้าใจความหมายทั้งหมดได้”


ภาษาในศาสตร์เร้นลับที่เดนิสคุ้นเคยคือเฮอร์มิสโบราณและเอลฟ์ ส่วนภาษาคนยักษ์ยังมีความรู้เพียงพื้นฐาน


เข้าใจแล้ว โลกใบนี้มีกฎการแปลภาษาร่วมกัน… เป็นการแปลความหมายระดับจิตใต้สำนึก… หรือกล่าวได้ว่า โลกของหนังสือสามารถมีกฎที่แตกต่างจากโลกภายนอก สามารถเปลี่ยนแปลง ‘กฎธรรมชาติ’ ได้บางส่วน แต่ก็ไม่ฉีกไปจากกฎของโลกภายนอกมากนัก… คงต้องตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันเรื่องนี้ให้แน่ใจ อย่าเพิ่งตัดความเป็นไปได้ในเรื่องอื่นออก ยกตัวอย่างเช่น การมีตัวตนแบบ ‘เดอะฟูล’ คอยแปลภาษาใส่จิตใต้สำนึกของทุกคน… เอ็ดวิน่าหลักแหลมมาก สามารถพบความผิดปรกติในรายละเอียดเพียงเล็กน้อย จนนำไปสู่การค้นหาแก่นของโลกภายในหนังสือ… ขณะครุ่นคิด ไคลน์เดินเข้าไปในถ้ำขนาดใหญ่ที่มืดสลัวอย่างไม่รีบร้อน


สำหรับประวัติศาสตร์พิสดารที่ชาวค่ายเล่าให้เอ็ดวิน่าฟัง ไคลน์ไม่ประหลาดใจสักเท่าไร ตรงกันข้าม ชายหนุ่มกำลังรอฟังอย่างสนใจ


ไคลน์ทราบมานานแล้วว่า โบสถ์หลักและอาณาจักรบนทวีปเหนือล้วนพยายามทำลายหรือปกปิดข้อมูลบางอย่าง ไม่อยากให้ใครทราบความจริงเบื้องหลังยุคสมัยที่สี่ สาม และสอง เนื้อหาที่ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลกจึงแตกต่างจากข้อมูลที่ชาวค่ายรับรู้ พวกเขาติดอยู่ในหนังสือนานหลายปีโดยไม่ได้ออกไปสัมผัสกับโลกภายนอก


นั่นคือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ไคลน์ตัดสินใจเสี่ยงเข้ามาในโลกหนังสือ!


ภายในถ้ำกว้างและอากาศโปร่ง สิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์สามคนกำลังกระจายตัวรอบกองไฟที่ยังคงมอบความร้อน


คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีขาวเรียบง่าย หันหน้าเข้าหาผนังถ้ำ ดวงตาสองข้างปิดสนิท สวดวิงวอนบางสิ่งอย่างตั้งใจ พิจารณาจากภายนอก อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนที่ยังไม่แก่มาก บนใบหน้ามีริ้วรอยเล็กน้อย ผมสีน้ำตาล ตามหัวไหล่ แขน น่อง และเท้า เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น


ถัดมาด้านข้างเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังนอนหลับบนก้อนหิน สวมชุดเกราะสีดำสนิท มอบความรู้สึกหนักและแข็ง ในมือถือดาบสีดำแผ่แสงเย็นยะเยือก ใบหน้าชัดลึกคล้ายกับชาวโลเอ็น


ฝั่งตรงข้ามคนทั้งสองเป็นชายอายุราวสามสิบ แต่งกายพิลึก มอบความรู้สึกชวนอึดอัดแก่ผู้พบเห็น สวมหมวกแหลมทรงแข็งสีดำ กระดุมเสื้อยุ่งเหยิง ไม่เรียงเป็นเส้นตรงหรือสมมาตร


นอกจากนั้นยังสวมรองเท้าบูตหนังหัวแหลมและโค้งขึ้น คล้ายกับตัวตลกในคณะละครสัตว์


ใบหน้าหล่อเหลา เส้นผมสีทองอมเทา ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากบางเรียว ถึงจะอยู่ในท่านั่งก็ยังมอบความรู้สึกสง่างามและเย่อหยิ่ง


เอ็ดวิน่าชี้ไปทางชายคนดังกล่าวและเริ่มแนะนำตัว


“ไวเคาต์แห่งจักรวรรดิโซโลมอน โมเบธ·โซโรอาสเตอร์ สุภาพบุรุษผู้สามารถพรากความฝันและอุดมคติของผู้อื่น”


“ไม่ต้องอ้อมค้อมขนาดนั้น สวัสดี ข้าคือลำดับ 5 แห่งเส้นทางนักจารกรรม ‘นักชิงฝัน’ ” โมเบธหัวเราะ มิได้เย่อหยิ่งเหมือนภายนอก


คนของตระกูลโซโรอาสเตอร์… เทวทูตปรสิตในตัวเลียวนาร์ดเองก็มาจากตระกูลนี้ พวกเขาอาจจะรู้จักกันก็ได้… ช่างน่าขัน ตอนนี้เรารู้จักชื่อของทั้งลำดับ 5 และ 4 แห่งเส้นทางนักจารกรรม แต่กลับยังไม่มีข้อมูลของลำดับ 7 กับ 6 เลย… ไคลน์ครุ่นคิดหลายสิ่งด้วยใบหน้าเรียบเฉย


ขณะเดียวกัน แอนเดอร์สันยิ้มทักทายและถามอย่างเป็นกันเอง


“ขอสารภาพตามตรง ฉันเพิ่งเคยได้ยินชื่อ ‘นักชิงฝัน’ เป็นครั้งแรก เดิมทีรู้จักแต่ ‘นักจารกรรม’ และ ‘นักต้มตุ๋น’ … ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกสองลำดับที่หายไปคืออะไร”


“ผู้วิเศษเส้นทางนี้หายากขนาดนั้นเชียว? แต่ทำไมเอ็ดวิน่าถึงทราบ? ลำดับ 7 มีชื่อว่า ‘นักถอดรหัส’ ลำดับ 6 คือ ‘นักชิงไฟ’ ฮะฮะ! มา… เดี๋ยวข้าช่วยแนะนำคนที่เหลือให้เอง” โมเบธชี้ไปทางชายผู้กำลังหันหลังสวดภาวนา “นักบวชเคร่งศาสนา สโนวมัน ศรัทธาในพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง… อย่าได้ถือสาเขาเลย ถึงจะเอาแต่ปิดกั้นตัวเองและจมอยู่กับความเชื่อ แต่ในยามต่อสู้ เจ้านั่นคือพวกพ้องที่ไว้ใจได้ เฮ้! สโนวมัน ในเวลาแบบนี้ ข้าคิดว่าเจ้าควรพูดอะไรกับพวกเขาหน่อยนะ”


หลังจากไม่ได้รับการตอบสนองใด โมเบธเพียงยิ้มแห้งและลูบคาง


“ข้าต้องเจออะไรแบบนี้ทุกวัน… พวกเจ้าคงจินตนาการไม่ออก ข้ามาถึงที่นี่ด้วยความโอหัง เย่อหยิ่งตามประสาขุนนางผู้มีการศึกษาสูง แต่กาลเวลาได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง… ฮะฮะ! โดยเฉพาะเมื่อพวกพ้องของเจ้าเป็นคนยักษ์ที่รู้จักแค่การหัวเราะและตะโกนปลุกใจล่ะนะ”


กล่าวจบ กรอซายที่นั่งบนก้อนหินใหญ่ หันมายิ้มให้ทุกคนอย่างจริงใจพลางยกมือเกาหัว ดวงตาแนวตั้งหนึ่งดวงปราศจากความดุร้ายและดูแคลน แตกต่างจากในข่าวลือโดยสิ้นเชิง


โมเบธส่ายหน้า ชี้ไปทางนักบวชสโนวมันและเล่าต่อ


“สโนวมันเป็นคนพูดน้อย บางทีอาจไม่คุยกับใครเลยนานนับสิบปี ส่วนเอลฟ์หญิงตรงนั้น เซียธาส เป็นผู้หญิงป่าเถื่อน ถ้าเกิดหงุดหงิดขึ้นมาก็จะลงไม้ลงมือกับข้าทันที เฮ่อ… ข้าเคยชอบหล่อน แต่ตอนนี้ทำได้แค่กลัว… ข้าพยายามชวนทุกคนคุย เพราะเกรงว่าตัวเองจะกลายเป็นบ้าไปเสียก่อน… แต่โชคยังดี ภายหลังมีรอนเซลตามมาสมทบ เขาเป็นคนช่างพูด เฮ้! รอนเซล ตื่นได้แล้ว! พวกเรามีเพื่อนร่วมทางเพิ่ม!”


อัศวินเกราะดำค่อย ๆ ตื่นจากภวังค์หลับ ลืมตาขึ้น มองไปทางไคลน์และคนที่เหลือ


ทันใดนั้น รอนเซลพลันลุกพรวดจนเกิดเสียงโลหะเสียดสี จ้องไคลน์อย่างไม่กะพริบตา


“ชาวโลเอ็น?”


“ใช่” ไคลน์พยักหน้ารับ ขณะเดียวกันก็พบว่า ทหารชาวโลเอ็นที่หายตัวไปนานกว่าหนึ่งร้อยหกสิบห้าปีผู้นี้ มิได้แก่ลงเลยสักนิด เส้นผมยังดำขลับสุขภาพดี ดวงตาสีฟ้าคมเข้ม แผ่บรรยากาศข่มขวัญอย่างเจือจาง


รอนเซลผงะไปสักพัก ก่อนจะรีบกลับไปสำรวม


“รู้จักตระกูลเอ็ดเวิร์ดในกรุงเบ็คลันด์ไหม?”


“เบ็คลันด์มีหลายเอ็ดเวิร์ด” ไคลน์ตอบห้วน


“…ตระกูลเอ็ดเวิร์ดที่อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 18 ถนนเดลาไฮในเขตตะวันตกเฉียงเหนือ” รอนเซลถามด้วยสีหน้าคาดหวัง


ไคลน์ส่ายหัว


“ปัจจุบันไม่มีเขตตะวันตกเฉียงเหนือ”


“ไม่มีเขตตะวันตกเฉียงเหนือ…” รอนเซลพึมพำในลำคอ


มันเงียบไปสักพัก ถอนหายใจยาว


“ฉันไม่รู้ว่าข้างนอกผ่านไปกี่ปีแล้ว คงจะหลายปีมาก… เอ็ดวิน่าเคยระบุปีปัจจุบันให้ฟัง แต่ฉันจำไม่ได้ว่าตัวเองเข้ามาตอนไหน… ส่วนใหญ่ก็เอาแต่นอนหลับ คล้ายกับเวลาที่นี่ไม่เดินหน้าเลยสักนิด”


ได้ยินเช่นนั้น โมเบธหัวเราะในลำคอ


“เจ้าก็แค่โชคร้ายกว่าคนอื่น เมื่อก่อนพวกเราเคยอาศัยในเมืองและหมู่บ้าน บรรยากาศที่นั่นงดงามมาก ทุกคนเต็มไปด้วยความสุข”


โมเบธมองไปทางไคลน์ แอนเดอร์สัน และเดนิส


“ย้อนกลับไปในตอนนั้น พวกเราอาศัยในถิ่นของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา พวกเราแต่งงานหนแล้วหนเล่า ได้เห็นภรรยาหลายคนแก่เฒ่าและตายไปต่อหน้า… เฮ่อ… ก่อนที่จะมีสมาชิกใหม่เข้าร่วม พวกเราเคยหลงลืมจุดประสงค์ที่แท้จริง มัวแต่ใช้ชีวิตเสพสุขไปวัน ๆ นานหลายสิบปีหรือหลายร้อยปี… ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือ พวกเราไม่สามารถมีทายาทได้… หลังจากได้พบรอนเซล พวกเราเริ่มเดินทางมายังดินแดนที่มีแต่พายุหิมะปกคลุมแห่งนี้ ล่าสัตว์ประหลาดมากไปมากมาย แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ทุกสิ่งก็เริ่มกลับสู่ความสงบนิ่ง ทุกคนเอาแต่นอนกันเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยตื่นมาทำอะไร จนกระทั่งพวกเราได้พบกับเอ็ดวิน่า”


หรือสรุปได้ว่า เวลาภายในโลกหนังสือยังคงเดินไปตามปรกติ แต่เนื้อเรื่องจะไม่คืบหน้าจนว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับคณะเดินทาง… หากไม่มีสมาชิกใหม่เข้าร่วม เรื่องราวจะหยุดนิ่งที่จุดใดจุดหนึ่ง คณะเดินทางจะทำกิจวัตรเรื่อยเปื่อยที่ไม่เกี่ยวข้องกับความคืบหน้าของเรื่องราว… นี่คงเป็น ‘กฎ’ แบบเดียวกับการแปลงภาษาในระดับจิตใต้สำนึก…


ถ้าอย่างนั้น… ในทางกลับกัน เมืองและหมู่บ้านของโลกหนังสือจะมีพัฒนาการตามปรกติไหม? เรื่องนั้นช่างมันก่อน… พวกเราต้องรีบตามหา ‘ราชาแห่งแดนเหนือ’ ยูลิเซี่ยนให้พบโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นตัวเราก็จะง่วงซึมและเอาแต่นอนหลับเหมือนพวกเขา… อาจถึงขั้นลืมจุดประสงค์หลัก ต้องใช้ชีวิตไปจนกว่าจะมีสมาชิกใหม่เข้าร่วมและหาพวกเราพบ… ไคลน์เงียบงันหลายวินาที ขณะเตรียมกล่าวบางสิ่ง เอ็ดวิน่าชิงพูดตัดหน้า


“เรื่องนั้นไม่ต้องกังวล… เรากำลังจะได้พบกับราชาแห่งแดนเหนือ”


“เหตุผล?” แอนเดอร์สันและโมเบธถามพร้อมกัน


เอ็ดวิน่ามองไปรอบตัว อธิบาย


“ก่อนที่ฉันจะเข้ามา บันทึกการเดินทางเหลือหน้ากระดาษในส่วนที่ติดกันอีกแค่ไม่กี่แผ่น… และตอนนี้ เมื่อพวกคุณเข้ามาเพิ่มและหาค่ายพบ เรื่องราวก็จะเริ่มดำเนินต่อ บางทีอาจใกล้ถึงตอนจบแล้ว”


โมเบธพยักหน้ารับ เห็นพ้องกับข้อสันนิษฐานของเอ็ดวิน่า ส่วนแอนเดอร์สันเพียงพึมพำคำว่า ‘หน้ากระดาษที่ติดกัน’


จากนั้น เอ็ดวิน่าหันไปส่งสัญญาณให้ไคลน์ แอนเดอร์สัน และเดนิส ก่อนจะเดินไปนั่งข้างกองไฟเป็นเยี่ยงอย่าง


ไคลน์ถอดหมวกออก นั่งลงในท่าถือไม้ค้ำด้วยมือข้างหนึ่ง ชำเลืองไปทางโมเบธและยิงคำถาม


“เคยได้ยินเรื่องของจักรวรรดิทูดอร์กับทรันซอสต์ไหม?”


ชายหนุ่มไม่มัวอ้อมค้อม ซักถามตรงประเด็นตามแบบฉบับเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“ไม่” โมเบธส่ายหน้า “เอ็ดวิน่าก็เคยถามแบบเดียวกัน… ในยุคสมัยของข้า ทูดอร์และทรันซอสต์มีระดับเดียวกับโซโรอาสเตอร์ เป็นตระกูลขุนนางใหญ่ของจักรวรรดิโซโลมอน รับใช้จักรพรรดิมืดเพียงผู้เดียว”


หมายความว่า ทูดอร์กับทรันซอสต์หักหลังจักรวรรดิโซโลมอน… ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะถามต่อ


“นอกจากคุณ จักรวรรดิโซโลมอนยังมีตระกูลขุนนางอีกเยอะไหม”


“เยอะมาก” โมเบธยิ้มพลางมองแผ่นหลังรอนเซล “ออกัสตัส อับราฮัม ซาราธ และอื่น ๆ ที่กล่าวไม่หมด… ในยุคสมัยดังกล่าว ศัตรูตัวฉกาจของโบสถ์รัตติกาลคือโบสถ์เทพสงครามและราชวงศ์อายเกสแห่งทวีปใต้ ส่วนโบสถ์วายุสลาตัน สุริยันเจิดจรัส และปัญญาความรู้ก็ไม่ค่อยถูกกันสักเท่าไร ทั้งหมดล้วนปรารถนาให้จักรวรรดิโซโลมอนหนุนหลัง”


โมเบธชะงักสองสามวินาที กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ในช่วงเวลานั้น เหล่าทวยเทพยังเดินดิน มิใช่บนโลกแห่งดารา”


ราชันเร้นลับ 698 : ราชาเทวทูตที่ห้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทวยเทพเดินดิน มิใช่โลกแห่งดารา… ในยุคสมัยที่สี่ เมื่อครั้งจักรวรรดิโซโลมอนยังเฟื่องฟู โลกแห่งเทพและโลกมนุษย์ไม่มีขอบเขตระหว่างกัน? เหล่าทวยเทพต่างเดินดิน ไม่จำเป็นต้องเสด็จขึ้นลงระหว่างโลก?


ข้อมูลนี้สอดคล้องกับตำนานของเมืองเงินพิสุทธิ์ สถานที่สำคัญอย่างวังราชาคนยักษ์ถูกแบ่งแยกออกจากโลกแห่งความจริงด้วย ‘ประตู’ ที่เข้าออกได้ทางเดียว… ยุคสมัยที่มนุษย์และเทพ ความมืดมิดและโกลาหล ผสมปนเปกันบนโลกแห่งความจริง… นอกจากนั้น… ดินแดนดาราคือสถานที่สิงสถิตของเทพในปัจจุบันอย่างที่เราเคยคิดไว้… หลังจากฟังข้อมูลของไวเคาต์โมเบธ·โซโรอาสเตอร์ ไคลน์ครุ่นคิดหลายสิ่ง


ชายหนุ่มมองไปทางกรอซายโดยไม่รู้ตัว เพราะคนยักษ์ตนนี้น่าจะมีประสบการณ์ตรงจากยุคสมัยที่สอง!


กรอซายหยิบแก้วที่ใหญ่กว่าถังไม้ จิบหิมะละลาย หัวเราะในลำคอ


“โมเบธ นั่นมันเรื่องปรกติไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงต้องขึงขังนัก”


“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องขึงขัง…” โมเบธ·โซโรอาสเตอร์เผยรอยยิ้มขื่นขม “ฮะฮะ เรื่องที่ปรกติสำหรับพวกเรา อาจเป็นเรื่องที่น่ากลัวและยากจะทำใจเชื่อสำหรับพวกเขาก็ได้ ข้าจึงคิดว่าควรเล่าด้วยสีหน้าที่เหมาะสม พวกเขาจะได้ไม่เข้าใจเจตนาผิด… ลืมไปแล้วหรือ รอนเซลเคยทำหน้ายังไงตอนที่พวกเราเล่าเรื่องนี้? เขาเอาแต่คุกเข่าสวดวิงวอนถึงเทพวายุสลาตันท่าเดียว”


“…” ไคลน์ เดนิส และคนที่เหลือหมดคำจะกล่าวไปสักพัก


แอนเดอร์สันโน้มตัวมาหาเกอร์มัน·สแปร์โรว์เล็กน้อย ลดเสียงลง


“คนพวกนี้ยั่วยุเก่งชะมัด”


ถึงแม้จะพยายามควบคุมระดับความดัง แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะได้ยินกันถ้วนหน้า


โมเบธไม่แสดงท่าทีรังเกียจ เพียงหัวเราะในลำคอสองหนและเล่าต่อ


“ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าคงไม่เชื่อเรื่องที่เหล่าทวยเทพเคยเดินดินมาก่อน เอ็ดวิน่าตอนมาใหม่ ๆ ก็ไม่ต่างกัน ฮะฮะ! ข้าจะยกตัวอย่างให้ฟังสักสองเรื่องก็ได้… ‘ห้วงลึกแห่งพายุ’ บนเกาะปาซูและ ‘สวรรค์มืด’ บนเทือกเขาอมานด้า ต่างเป็นอาณาจักรเทพของวายุสลาตันและรัตติกาล เป็นดินแดนแห่งเทพบนโลกมนุษย์ที่ถูกกั้นแบ่งด้วยประตูมายา!”


เกาะปาซู? นั่นมันสถานที่ตั้งแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์วายุสลาตันไม่ใช่หรือ? เทือกเขาอมานด้า… ในภาษาเฮอร์มิส อมานด้าแปลว่าเงียบสงบ หรือนั่นจะหมายถึงมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ วิหารสุขสงบ? เมื่อทวยเทพมิได้เดินดินอีกต่อไป อาณาจักรของพวกท่านจึงกลายมาเป็นวิหารใหญ่ของศาสนจักรแทน? สัญชาตญาณไคลน์กำลังบอกว่าโมเบธมิได้โกหก ภายในใจเริ่มปะติดปะต่อข้อมูล


เดนิสทั้งมึนงงและหวาดกลัว จิตใต้สำนึกต้องการไปออกจากที่นี่ แต่เมื่อหันไปเห็นกัปตันของตนกำลังใช้สมาธิ หันไปเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังใคร่ครวญบางสิ่ง และหันไปเห็นแอนเดอร์สัน·ฮู้ดเผยสีหน้าคล้ายกำลัง ‘ครุ่นคิด’ เดนิสจึงตัดสินใจอดทนรอ สายตาชำเลืองหาจุดนั่งที่สบายกว่าเดิม


ทันใดนั้น ‘ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์’ เซียธาส เดินกลับจากการเฝ้ายามและกล่าวด้วยน้ำเสียงดูแคลน


“อย่าได้เอ่ยนามของเทพจอมปลอมตนนั้นอีก! อำนาจแห่งพายุเป็นของราชาเอลฟ์เพียงผู้เดียวเท่านั้น!”


เนื้อเสียงของหญิงสาวกระจ่างใสและนุ่มนวล แต่แฝงความหงุดหงิดไว้อย่างชัดเจน คล้ายกับพร้อมยกมือประเคนลูกศรใส่โมเบธทันที


“ก็ได้… หลังจากนี้ข้าจะเรียกว่าเทพจอมปลอม” โมเบธยกมือขึ้น ลูบไล้หมวกปลายแหลมทรงแข็ง


เซียธาสถอนสายตากลับ หันไปกล่าวกับรอนเซล อดีตทหารของโลเอ็นและผู้ศรัทธาในวายุสลาตัน


“ถึงตาเจ้าแล้ว!”


รอนเซลเงยหน้าเล็กน้อย ท่าทีเผยความงุนงง


คล้ายกับมันไม่แยแสบทสนทนาและประเด็นโต้เถียงของผู้อื่น เพียงดึงดาบเหล็กดำขึ้นจากด้านข้าง เดินไปทางปากถ้ำ


ไคลน์ที่เฝ้ามองเหตุการณ์ ถือโอกาสพูดกับเอลฟ์สาวเซียธาส


“เธอรู้จัก ‘ราชินีแห่งภัยธรรมชาติ’ โคฮีเน็มไหม?”


ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่า ‘ราชินีแห่งภัยธรรมชาติ’ โคฮีเน็ม จะใช่เทพรับใช้ของ ‘ราชาเอลฟ์’ ซอนญาธริมหรือไม่ คำถามเมื่อครู่จึงมีเพื่อหยั่งเชิงคำตอบจาก เซียธาส ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์


ใบหน้าที่อ่อนนุ่มของเซียธาสพลันเผยความมึนงงแบบเดียวกับรอนเซล


“ข้าไม่ได้ยินชื่อนั้นมานานแล้ว… พระองค์คือราชินีแห่งเอลฟ์ของเรา… แม้แต่โมเบธและรอนเซลก็ยังไม่รู้จักท่านด้วยซ้ำ…”


“เจ้าได้พบท่านที่ไหน? ไม่สิ… ได้ฟังเรื่องราวของท่านมาจากไหน”


ขณะกล่าว น้ำเสียงเซียธาสเริ่มร้อนรน


เดนิสพลันจ้องเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยสีหน้าตกตะลึง ภายในใจนึกชื่นชมว่าชายเสียสติคนนี้ช่างมีความรู้กว้างขวาง สามารถสนทนากับเอลฟ์โบราณได้ในหัวข้อลึกซึ้ง


“คิดไม่ถึงว่านายเองก็นักปราชญ์… ถ้าไม่เห็นด้วยตาก็คงไม่เชื่อ” แอนเดอร์สันถอนหายใจพลางส่ายหน้า


พลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า หันหน้ามาทางไคลน์ ดวงตาสีฟ้าอ่อนที่ใสกระจ่างราวกับน้ำพุกำลังเผยความอยากรู้อยากเห็น


ไคลน์ตอบอย่างใจเย็น


“ฉันเคยเข้าไปในซากปรักหักพังของ ‘ราชินีแห่งภัยพิบัติ’ โคฮีเน็ม ขากลับได้หยิบบางสิ่งติดมือออกมาด้วย”


“ซากปรักหักพัง?” เซียธาสเคี้ยวคำแผ่วเบา น้ำเสียงคล้ายกับสูญเสียบางสิ่งที่ไม่สำคัญมาก แต่ก็ชวนให้ใจหาย


“แต่ถ้าพิจารณาจากสภาพแวดล้อม ท่านอาจจะยังไม่ตาย” เมื่อเห็นดวงตาของเซียธาสเริ่มลุกวาว ไคลน์ถามเข้าประเด็น “เธอมีสูตรโอสถของ ‘ผู้ขับขานสมุทร’ ไหม? แล้วต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยน”


ชายหนุ่มรู้สึกว่า หากหวังเจรจากับผู้วิเศษเส้นทางวายุสลาตัน ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการพูดความจริงและซักถามอย่างตรงไปตรงมา


เซียธาสครุ่นคิดสักพัก


“แลกเปลี่ยนด้วยสิ่งของของราชินีสักชิ้นก็พอ”


“ฉันมีแค่แก้วไวน์ทองคำ สภาพของมันแบนราบคล้ายถูกกดทับ ผิวแก้วสลักลวดลายประณีตรวมถึงคำว่า ‘ภัยธรรมชาติ โคฮีเน็ม’ เป็นภาษาเอลฟ์” ไคลน์ไม่ปิดบัง


“ข้ารู้จักแก้วใบนั้น เป็นแก้วใบโปรดขององค์ราชินี” เซียธาสกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ตกลง!”


“ถ้วยอยู่ข้างนอก” ไคลน์ไม่ต้องการส่งตัวเองเข้ามิติเหนือสายหมอกเทาต่อหน้าทุกคน


เซียธาสพยักหน้า


“ข้าเข้าใจ… ค่อยจัดการหลังจากพวกเราออกจากหนังสือสำเร็จ”


กล่าวจบ หญิงสาวนำสองมือแนบลำตัว


“พายุจงสถิตกับเอลฟ์!”


โดยไม่รอให้ใครพูดต่อ เซียธาสถามอย่างสงสัย


“ภายในนั้น… เจ้ายังพบอะไรอีกบ้าง”


“ภาพจิตรกรรมฝาผนังบางส่วน บอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างราชาเอลฟ์และเทพสุริยันบรรพกาล” ไคลน์ชำเลืองไปทางสโนวมันผู้ศรัทธาใน ‘พระผู้สร้างสรรพสิ่ง มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง’


ด้วยเสียงแหบพร่า ชายวัยกลางคนที่กำลังหันหน้าเข้าหากำแพงยอมเปิดปากในที่สุด


“ผิดแล้ว พระองค์มิได้เป็นเพียงเทพสุริยัน… พระองค์คือเจ้าชีวิตของเราทุกคน เป็นบิดาของทุกสรรพสิ่ง รากเหง้าของความยิ่งใหญ่… พระองค์มิได้ต่อสู้กับราชาเอลฟ์ แต่เป็นการทวง ‘อำนาจ’ ของตนคืนกลับ”


สิ้นเสียงสโนวมัน เซียธาสลุกพรวด เล็งปลายศรไปทางอีกฝ่าย


พร้อมกันนั้น ผมยาวสีดำขลับของผู้ขับขานแห่งเอลฟ์ที่มัดรวบหางม้า พลันแตกตัวและลอยขึ้นด้านบนโดยไม่แยแสกฎแห่งธรรมชาติ ผมทุกเส้นแยกออกจากกันพร้อมกับมีแสงสีเงินรายล้อม ผสมกับสีเดิมจนกลายเป็นแสงสีน้ำเงินเข้มแปลกตา


ขณะเซียธาสเตรียมปล่อยสายธนู ฝ่ามือสีเทาอมฟ้าขนาดมหึมาพลันปรากฏขึ้นตรงหน้า กีดขวางเส้นทางการพุ่งของลูกศรโดยไม่เกรงกลัวว่าจะถูกเจาะทะลวง


เป็นฝ่ามือของคนยักษ์กรอซาย เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเผ่าพันธุ์นี้คือการมีสัดส่วนของมือเท้าใหญ่ผิดปรกติ เพียงนั่งในจุดเดิมก็สามารถหยุดเซียธาสได้โดยไม่ต้องลุก


“พอได้แล้ว สโนวมัน… เจ้าก็รู้ว่าเซียธาสเป็นเอลฟ์ที่ชอบใช้การกระทำแทนคำพูด” กรอซายกล่าวกับนักบวชเป็นอันดับแรก ก่อนจะหันไปทางผู้ขับขานแห่งเอลฟ์ “เซียธาส พวกเราคือสหายของกันและกัน เคยฝ่าฟันอันตรายร่วมกันนับครั้งไม่ถ้วน สามารถฝากแผ่นหลังให้อีกฝ่ายดูแลได้… เธอมีสิทธิ์โต้เถียงกับสโนวมัน มีสิทธิ์ทุบตีสโนวมัน แต่ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายสโนวมัน”


สมกับเป็นตัวเองของเรื่องราว ช่างเต็มไปด้วยพลังบวก… แต่ว่า… อะไรคือข้อแตกต่างระหว่างทุบตีและทำร้าย? ไคลน์รำพันอย่างอดไม่ได้


เซียธาสครางต่ำในลำคอพลางกลับไปนั่ง บรรยากาศโดยรอบพลันอึมครึมและอึดอัด


คนยักษ์กรอซายใช้หนึ่งดวงตาในแนวตั้งมองไปรอบตัว หัวเราะและกล่าว


“ข้อขอเล่าประสบการณ์ของตัวเองบ้าง… ก่อนจะเข้ามาในหนังสือ ข้าอาศัยอยู่ในวังราชาคนยักษ์ เป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ของ ‘ป่าเสื่อมโทรม’ ซึ่งมีเพียงราชาของเราเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้าออก กล่าวกันว่า นั่นคือสถานที่ฝังบิดาและมารดาของพระองค์ บรรพชนต้นตระกูลของคนยักษ์เรา”


วังราชาคนยักษ์ประกอบด้วยไปหลายเขต และป่าเสื่อมโทรมคือหนึ่งในนั้น? สถานที่ดังกล่าวคือจุดฝังศพบรรพชนเก่าแก่ของเผ่าคนยักษ์? ไคลน์ที่กำลังตั้งใจฟัง ผุดคำถามขึ้นมากมาย


สำหรับชายหนุ่ม ข้อมูลเหล่านี้มีค่ายิ่งกว่าประวัติศาสตร์ของยุคสมัยที่สี่ เพราะความหวังเดียวของเมืองเงินพิสุทธิ์น่าจะอยู่ที่วังราชาคนยักษ์


ทว่า ยังไม่ทันได้ถามต่อ เอ็ดวิน่าชิงพูดตัดหน้า


“กรอซาย ในตอนที่ได้หนังสือเล่มนี้มาครอบครอง สภาพของมันเป็นอย่างไร”


กรอซายยกมือเกาแก้ม


“ไม่มีอะไรเลย เป็นเพียงหนังสือเล่มเล็กที่ว่างเปล่า รอให้ใครสักคนเขียนอะไรลงไป”


ในตอนแรก เราเคยสันนิษฐานว่ากรอซายอาจเป็นตัวละครสมมติภายในหนังสือด้วยซ้ำ… ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก มิได้สอบถามรายละเอียดของวังราชาคนยักษ์โดยตรง เพียงหันไปทางโมเบธ·โซโรอาสเตอร์


“นายรู้จัก ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ไหม”


“ผู้เย้ยเทพหมายถึงคนตระกูลอามุนด์ทั้งหมด พวกมันเป็นศัตรูตัวฉกาจของโซโรอาสเตอร์ กล่าวกันว่า บรรพบุรุษของอามุนด์ทั้งทรงพลังและน่ากลัวมาก แม้แต่ท่านโอโรเลอุสกับเมดีซีก็ยังต้องคอยระแวง ถึงขั้นเกิดเป็นความหวาดกลัวเล็ก ๆ … แต่ก็ไม่มีใครรู้จักนามที่แท้จริงของผู้เย้ยเทพคนนั้น” โมเบธลงลึกรายละเอียด


โอโรเลอุส? เมดีซี? นั่นสินะ ย้อนกลับไปในช่วงเวลาดังกล่าว พระผู้สร้างแท้จริงและกุหลาบไถ่บาปยังคงสนับสนุนจักรวรรดิโซโลมอน… หัวใจไคลน์เริ่มเต้นแรง รีบถามต่อทันที


“แล้วเคยได้ยินชื่อซาสเรียไหม?”


โมเบธชะงักเล็กน้อย ส่ายหัวช้า ๆ และตอบ


“ไม่เคย”


นามของ ‘เทวทูตมืด’ ซาสเรียหายไปหลังจากเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ? ถูกใครบางคนทำลายเบาะแสทิ้ง? ไคลน์เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว


ทันใดนั้น นักบวชสโนวมันที่หันหน้าเข้ากำแพง กล่าวด้วยเสียงล่องลอย


“ซาสเรียคือเทวทูตมืด เป็นผู้นำของราชาเทวทูต อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์มากที่สุด”


กำลังรอฟังคำตอบของนายพอดี… ไคลน์มองไปทางนักบวช ซักถามเสียงทุ้ม


“นอกจากซาสเรีย โอโรเลอุส เมดีซี และอามุนด์ ราชาเทวทูตยังมีใครอีกบ้าง? ไม่ต้องเอ่ยนามพวกท่านโดยตรงก็ได้”


ไคลน์กังวลว่าจะเกิดการตอบสนองที่ไม่คาดฝัน แบบเดียวกับ ‘ผู้สารภาพบาป’ ในหมู่บ้านยามบ่าย


เอ็ดวิน่า แอนเดอร์สัน และเดนิสที่ตามไม่ทันมาตั้งแต่ต้น กำลังอยู่ในภวังค์มึนงงสุดขีด เนื่องจากบทสนทนาระหว่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์กับบุคคลจากอดีตคือสิ่งที่พวกมันไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่มีใครอยากเชื่อว่านักผจญภัยเสียสติรายนี้จะกุมความลับและความรู้ไว้มากมาย!


สโนวมันเงียบงันสองสามวินาที ก่อนจะกล่าว


“นอกจากนั้นก็ยังมี… เทวทูตจินตภาพ อาดัม”


เพียงเอ่ยชื่อ ถ้ำทั้งหลังพลันสั่นสะเทือนหนักหน่วง กลิ่นอายที่คุ้นเคยและแรงกดดันมหาศาล กำลังโฉบลงมาหาทุกคนด้วยความเร็วสูง!


ราชาแดนเหนือ ยูลิเซี่ยน กำลังตรงมาทางนี้!


ราชันเร้นลับ 699 : ล่าบอส

โดย

Ink Stone_Fantasy

อดีตทหารโลเอ็นที่กำลังเฝ้าปากทางเข้าถ้ำ รอนเซล·เอ็ดเวิร์ด พลันออกอาการสั่นเทา ดวงตาทั้งสองจับจ้องสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาที่ร่อนลงจากท้องฟ้า โฉบลงบนหินก้อนใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยชั้นน้ำแข็งหนาในบริเวณใกล้เคียง ปีขนาดยักษ์สองข้างสยายออกกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งบดบังแสงสว่างโดยรอบเกือบหมด


เกล็ดมายางดงามคล้ายผลึกน้ำแข็ง ดวงตามังกรสีฟ้าแฝงความดุร้ายอย่างเต็มเปี่ยม ในแวบแรกที่รอนเซลเห็น มันตระหนักถึงอันตรายได้จากก้นบึ้งหัวใจ ท่าทีตอบสนองแรกคือการถือดาบเหล็กดำกระโจนไปด้านข้าง พยายามม้วนตัวกลิ้งออกจากตำแหน่งเดิม


แทบจะในเวลาเดียวกัน ‘ราชาแดนเหนือ’ มังกรน้ำแข็งยูลิเซี่ยนอ้าปากกว้าง พ่นเกลียวเปลวเพลิงสีฟ้าเย็นยะเยือกและเงียบงันเข้าใส่ปากถ้ำ ตลอดทางที่คลื่นพลังพุ่งผ่าน ห้วงมิติพลันจับตัวเป็นน้ำแข็งในพริบตา!


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เปลวเพลิงสีฟ้าเย็นเยียบแปรสภาพเป็นคลื่นแสงมายา พรั่งพรูเข้าไปในถ้ำอันมืดมิดอย่างบ้าคลั่ง ทุกจุดที่พุ่งผ่านล้วนถูกแช่แข็ง


แม้ว่าหัวใจไคลน์จะกำลังสูบฉีดอย่างบ้าคลั่งหลังจากได้ยินคำว่า ‘เทวทูตจินตภาพ อาดัม’ จนทำให้หวนนึกถึงคำอธิบายของจักรพรรดิโรซายล์เกี่ยวกับ ‘สภานักสิทธิ์สนธยา’ ที่ว่า — “จุดประสงค์ของพวกเขาคือการคืนชีพให้พระผู้สร้างต้นกำเนิด มีอาวุโสหลายคนขององค์กรเป็นครึ่งเทพบนเส้นทาง ‘ผู้ชม’ นอกจากนั้นยังเป็นผู้ถือครอง ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางดังกล่าว สมาชิกจะเข้าร่วมการชุมนุมผ่าน ‘ดินแดนความฝันที่แท้จริง’ ซึ่งเชื่อมต่อกับชายฝั่งตะวันตกและตะวันออกของทวีป และเมื่อใดที่นามขององค์กรถูกเอ่ยถึง พวกเขาจะทราบได้ทันที” แต่ถึงอย่างนั้น ไคลน์ก็ยังมีสมาธิตอบสนองต่อเหตุการณ์อันตรายตรงหน้า


ชายหนุ่มกระโจนออกด้านข้าง หลบเข้าไปในส่วนเว้าโค้งของถ้ำ พยายามใช้ผนังเป็นกำบังสำหรับป้องกันการโจมตีที่กำลังจะมาถึง


ทว่า แสงสีฟ้าราวกับน้ำแข็งได้ถาโถมเข้ามาดุจดังคลื่นยักษ์ ท่วมท้นทุกซอกมุมของถ้ำ หมายแช่ทุกสรรพสิ่งให้กลายเป็นน้ำแข็ง ด้วยสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายดังกล่าว เหยื่อภายในถ้ำแทบไม่มีโอกาสหลบพ้น


ขณะเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวกำลังจะกลายเป็นโลงศพน้ำแข็ง ร่างกายขนาดมหึมาสีฟ้าอมเทาพลันปรากฏตรงหน้าไคลน์


คนยักษ์กรอซายเดินย่างสามขุมอย่างไร้สุ้มเสียง คุกเข่าลงหนึ่งข้าง เสียบดาบยักษ์ที่ใหญ่กว่าบานประตูของมนุษย์ลงบนพื้นเบื้องหน้าโดยหันส่วนคมออกจากลำตัว


แสงรุ่งอรุณพลันสาดส่อง กำแพงมายาโผล่ขึ้นจากความว่างเปล่า ห่อหุ้มกรอซายไว้ทุกทิศทาง ช่วยปกป้องทุกคนที่อยู่ด้านหลัง


‘คลื่นน้ำ’ สีฟ้าเย็นเยียบเริ่มถาโถม ปะทะกับคมดาบเป็นสิ่งแรกจนคลื่นถูกผ่าออกเป็นสองซีก แยกย้ายพุ่งใส่กำแพงแสงรุ่งอรุณทั้งสองฝั่ง!


ทัศนวิสัยไคลน์และคนที่เหลือพลันดำมืด ก่อนจะกลับมาสว่างอีกครั้งจากแสงไฟดวงเล็ก ๆ


ทุกคนกำลังเห็นสองสิ่ง หนึ่งคือกองไฟที่ดับมอดไปแล้ว และอีกหนึ่งคือแสงสลัวจากภายนอกที่พยายามทะลวงผ่านก้อนน้ำแข็งหนาจนเกิดการหักเหหลายครั้ง


ในวินาทีปัจจุบัน กรอซายและทุกสิ่งด้านหน้าได้กลายเป็นน้ำแข็งทุกตารางนิ้ว คนยักษ์สีฟ้าอมเทาดูราวกับเป็นแมลงที่ติดอยู่ในก้อนอำพัน!


ไม่กี่อึดใจถัดมา ดาบใหญ่ที่เสียบลงบนพื้นเริ่มระเบิดแสงสว่างที่คล้ายกับแสงรุ่งอรุณไปรอบทิศ


แสงดังกล่าวอาบร่างกรอซายอย่างท่วมท้น ก่อนจะหลอมรวมและแปรสภาพกลายเป็นพายุแห่งแสง พัดผ่านทุกสิ่งออกไปด้านนอกถ้ำ


กระแสเวลาไหลผ่านอย่างเงียบงัน น้ำแข็งเบื้องหน้าทุกคนปรากฏช่องว่างเป็นทางยาวไปจนถึงปากถ้ำ ร่างกายสีฟ้าอมเทาของกรอซายหายไปจากตำแหน่งเดิมโดยสมบูรณ์


เซียธาส ‘ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์’ ที่ไม่มีเวลามัวมัดผมกลับ กำคันศรและลูกศรในมือแน่น เสกสายลมโอบกอดร่างกายและรีบพุ่งตัวออกจากถ้ำโดยไม่ปล่อยให้เวลาสูญเปล่า ขณะเดียวกัน ในสภาพสวมชุดคลุมสีดำไม่สมมาตร โมเบธ·โซโรอาสเตอร์ ไวเคาต์แห่งจักรวรรดิโซโลมอนส่งเสียงพึมพำ “อย่าแตกตื่น” “เวลาที่เรารอคอยมาถึงแล้ว” จากนั้นก็รีบวิ่งย่ำเท้าก้าวใหญ่ ไล่ตามหลังเซียธาสไปติด ๆ


นักบวชสโนวมันที่มักหันหน้าเข้าหาผนังหิน พลันลุกพรวดพร้อมกับทำเครื่องหมายสี่จุดบนหน้าอก คล้ายกับวาดสัญลักษณ์ไม้กางเขน


“ข้าแต่พระองค์ ได้โปรดประทานพลังให้ข้าด้วย!”


ท่ามกลางเสียงแหบแห้ง ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าทั้งสองข้างเหยียบลงบนพื้นน้ำแข็งเย็นเฉียบ วิ่งผ่านช่องว่างออกไปจากถ้ำ


ไคลน์เองก็ไม่ลังเล วิ่งออกไปในสภาพมือเปล่าพร้อมกับแอนเดอร์สันที่กำลังถือ ‘เขี้ยวมรณะ’


เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ดในสภาพสวมเชิ้ตลวดลายซับซ้อน มองไปทางเดนิสที่กำลังยืนสั่นเทาภายใต้แรงกดดันของสิ่งมีชีวิตระดับสูง ก่อนจะเปล่งเสียงแผ่วด้วยใบหน้าไร้อารมณ์


“คุณรออยู่ที่นี่”


กล่าวจบ ดวงตาสีฟ้าอ่อนของหญิงสาวพลันทวีความเข้ม รอบตัวรายล้อมด้วยสายลม ช่วยส่งให้วิ่งไปทางปากถ้ำเร็วขึ้น


รออยู่ที่นี่… เดนิสยืนตัวแข็งทื่อหลายวินาที กวาดตามองไปรอบ ๆ ตามความเคยชิน พบเพียงผนังหินที่มีน้ำค้างเกาะและกองไฟดับมอด


ท่ามกลางถ้ำเงียบสงบ มีแค่มันคนเดียวที่ยืนอยู่


ร่างกายเดนิสสั่นระริกเล็กน้อย ปากอ้ากว้าง แต่มิได้กล่าวสิ่งใด ทำได้เพียงเฝ้ามองกัปตันเดินหายออกไป


ด้านนอกน้ำ อดีตทหารโลเอ็น รอนเซล·เอ็ดเวิร์ด กลิ้งตัวหลบการโจมตีระลอกแรกพ้น เมื่อชำเลืองเห็น ‘ราชาแดนเหนือ’ ยูลิเซี่ยนกระพือปีกเตรียมบิน หวังรักษาระยะห่างจากผู้วิเศษคนอื่น รอนเซลรีบใช้มือซ้ายดันพื้นเพื่อพยุงตัวขึ้น


จากนั้น อดีตทหารโลเอ็นตะโกนด้วยภาษาเฮอร์มิสโบราณ


“ที่นี่ไม่อนุญาตให้บิน!”


เพียงพริบตา ปีกของมังกรน้ำแข็งที่ปกคลุมท้องฟ้า คล้ายกับถูกวัตถุล่องหนกดทับด้วยน้ำหนักที่มากกว่านับสิบนับร้อยเท่า การกระพือปีกกลายเป็นเรื่องยากในทันที


ราชาแดนเหนือส่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว คลื่นเสียงอันทรงพลังทะลวงเข้ามาในโสตประสาทรอนเซล ส่งผลให้ร่างกายโงนเงนอย่างมิอาจควบคุม


ท่ามกลางเสียงร้อง ปีกที่ปกคลุมท้องฟ้าเริ่มขยับได้อีกครั้ง พัดกระพือหิมะและน้ำแข็งรอบ ๆ จนฟุ้งเต็มอากาศ


แม้จะยากลำบาก แต่ยูลิเซี่ยนก็บินขึ้นฟ้าสำเร็จ


ในเวลาเดียวกัน สีหน้าของ ‘อัศวินวินัย’ รอนเซลพลันดำมืด ประโยคภาษาเฮอร์มิสโบราณถูกเปล่งอีกครั้ง


“ผู้ฝ่าฝืนกฎต้องได้รับโทษ!”


กล่าวจบ ร่างกายชายหนุ่มทะยานขึ้นฟ้า รวดเร็วยิ่งกว่ามังกรน้ำแข็งยูลิเซี่ยนที่เฉื่อยชา คล้ายกับถูกเสริมพลังจากบางสิ่ง


กิ้ง!


รอนเซลจัดระเบียบร่างกายกลางอากาศ แกว่งดาบเหล็กดำฟันใส่คอของราชาแดนเหนือในมุมที่ยากจะหลบพ้น


ณ จุดดังกล่าว ผิวเกล็ดน้ำแข็งเริ่มเกิดรอยแตกที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ก่อนจะเริ่มลุกลามออกไปเป็นวงกว้าง แต่นั่นมิได้ทำให้ยูลิเซี่ยนเลือดออกหรือแสดงอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด


มังกรน้ำแข็งตัวนี้อาจไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ ดวงตาสีฟ้าพร่ามัวของมันหันมาจ้องรอนเซล สีหน้าเผยความดุร้ายและเกรี้ยวกราดชัดเจน


ยูลิเซี่ยนยกอุ้งเท้าหน้าขึ้นเตรียมตะปบ รอนเซลที่ลอยอยู่กลางอากาศแทบไม่มีทางหลบพ้น


ในช่วงเวลาความเป็นความตาย พายุเฮอร์ริเคนพลันพัดผ่าน ผลักอัศวินวินัยที่สวมชุดเกราะสีดำกระเด็นออกไป ท่าตะปบของยูลิเซี่ยนจึงสัมผัสโดนเพียงความว่างเปล่าพร้อมกับเกิดเสียงแหวกอากาศ มิอาจสร้างบาดแผลแก่เป้าหมาย


ในวินาทีที่ ‘ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์’ เซียธาสออกจากถ้ำ เธอไม่ลังเลที่จะช่วยชีวิตรอนเซล


ถัดมาหนึ่งอึดใจ เส้นผมของหญิงสาวลอยขึ้นในอากาศอย่างขัดต่อกฎธรรมชาติอีกครั้ง ไล่จากรากจนถึงปลาย เกลียวสายฟ้ากำลังหมุนวนรอบเส้นผมอย่างงดงาม


หญิงสาวเล็งปลายศรไปทางราชาแดนเหนือซึ่งกำลังทำตัวเชื่องช้าอยู่กลางอากาศ ดึงสายธนูไปด้านหลังอย่างทะมัดทะแมง


ท้องฟ้าพลันดำมืดทันใด ประหนึ่งเมฆดำกำลังรวมตัว เส้นสายฟ้าแลบผ่าเป็นระลอก


อาจเพราะกำลังถูกครอบงำโดยพลังของอัศวินวินัย การบินบนฟ้าจึงไม่ราบรื่นนัก ยูลิเซี่ยนตัดสินใจขยับปีกเข้าหากันเพื่อร่อนลงพื้น เตรียมพุ่งชนเซียธาสประหนึ่งรถไฟหัวกระสุน


ทันใดนั้น ร่างกายสีเทาอมฟ้าที่มอบความรู้สึกสุขุม ขยับตัวไล่ตามความเร็วจนกระทั่งสามารถขวางทางราชาแดนเหนือสำเร็จ!


คนยักษ์กรอซายคุกเข่าลงหนึ่งข้างอีกครั้ง ดาบใหญ่ชนิดที่มนุษย์หมดสิทธิ์ใช้งานถูกปักลงบนพื้นด้านหน้า


แสงคล้ายรุ่งอรุณพลันสว่างวาบ สร้างกำแพงล่องหนที่มิอาจถูกทำลาย


บึ้ม!


การปะทะกันระหว่างมังกรน้ำแข็งและกรอซายคล้ายกับเหตุระเบิดวินาศสันตะโร ส่งผลให้หิมะและน้ำแข็งโดยรอบแตกกระจัดกระจาย ผลักทุกคนกระเด็นถอยหลัง


กรอซายเองก็มิอาจต้านทาน ตัวปลิวราวกับลูกบอล กลิ้งผ่านเซียธาสกระแทกภูเขาเสียงดังโครมใหญ่ ทำให้หิมะและน้ำแข็งตกลงมาจากด้านบน เกือบเป็นเหตุการณ์หิมะถล่ม


ในส่วนของยูลิเซี่ยน มันมิได้ถอยหลัง ยังคงยืนแน่นิ่งในจุดเดิม


หลังจากการพุ่งชนถูกขวาง ขาหลังสองข้างเริ่มดันพื้น ลำตัวโน้มไปด้านหน้า สะบัดคอพร้อมกับอ้าปากเล็งไปทาง ‘ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์’ เซียธาส


เมื่อโมเบธ·โซโรอาสเตอร์ ขุนนางแห่งจักรวรรดิโซโลมอนเข้าประชิดตัวเซียธาสสำเร็จ มือขวาของมันเหยียดออก บิดข้อมืออย่างรวดเร็ว


ขณะปากของยูลิเซี่ยนกำลังอ้าจนสุด คล้ายมังกรน้ำแข็งหลงลืมสิ่งที่อยากจะทำไปชั่วขณะ แน่นิ่งในท่านั้นไปอีกสักพัก มิได้ดำเนินการใดต่อ โมเบธอาศัยโอกาสนี้สะบัดหน้าไปด้านข้าง ถุยน้ำลายหนึ่งคำ


“ถุด!”


เป็นเพียงน้ำลายธรรมดา ไม่มีสิ่งใดพิเศษ


พร้อมกันนั้น นักบวชสโนวมันที่ตามออกมา ยกมือขึ้นประสานกัน คล้ายกับกำลังรอคอยการโอบกอดจากทวยเทพ


ทันใดนั้น สโนวมันหันหน้าไปทาง ‘ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์’ เซียธาส กล่าวด้วยภาษาเฮอร์มิสโบราณ


“พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า จงสำเร็จ!”


สายฟ้าสีเงินรอบเส้นผมเซียธาสทวีความสว่าง แต่ละเส้นเริ่มถ่ายเทออกมาพัวพันรอบลูกศรยาวระหว่างสองมือ


หญิงสาวปล่อยมือจากสายรั้ง ส่งลูกธนูพุ่งตรงด้วยความเร็วสูง


ครืนนน!


กลุ่มเมฆเริ่มก่อตัวกลางอากาศ สายฟ้าเส้นหนึ่งฟาดผ่าลงมา ช่วยเสริมพลังให้ศรยาวดอกดังกล่าว


ศรยาวถูกย้อมกลายเป็นสีเงินอมขาว ด้วยความเร็วอันยากจะหลบพ้น ปลายศรกระแทกใส่หน้าผากยูลิเซี่ยนประหนึ่งสายฟ้าจากเทพเบื้องบน


ผลึกน้ำแข็งที่ปกคลุมเริ่มเลือนหาย เกล็ดมังกรสีใสปรากฏรอยร้าวอย่างเด่นชัด ในวินาทีที่ศรยาวปักใส่ศีรษะของราชาแดนเหนือ เสียงคำรามแฝงความเจ็บปวดพลันดังอึกทึกกึกก้อง


เลือดสีฟ้าอ่อนไหลทะลักก่อนจะแข็งตัว ศีรษะที่น่าเกลียดน่ากลัวของมังกรน้ำแข็งสั่นคลอนอย่างรุนแรงหลังจากถูกศรสีเงินเล่นงาน


ขณะเดียวกัน ไคลน์และแอนเดอร์สันเพิ่งวิ่งออกจากถ้ำ ส่วน ‘อัศวินวินัย’ รอนเซลกลิ้งไปบนพื้นสองสามตลบก่อนจะลุกขึ้นยืน ทางด้านกรอซายเหยียดแขนออกจากกองหิมะ ลูบศีรษะเล็กน้อยคล้ายกับไม่บาดเจ็บ


ถ้ามีพวกพ้องมากขนาดนี้ เราไม่จำเป็นต้องโจมตีเอง สามารถทุ่มสมาธิไปกับการครอบงำ ‘ด้ายวิญญาณ’ ของยูลิเซี่ยนได้โดยตรง… จากการพิจารณาเบื้องต้น ถึงพลังป้องกันของมันจะไม่ได้อยู่ในระดับครึ่งเทพ แต่ก็แข็งแกร่งกว่าลำดับ 5 มากพอสมควร… การเข้าใกล้ในระยะห้าเมตรค่อนข้างอันตราย… ไคลน์จ้องมังกรน้ำแข็ง ภายในใจครุ่นคิดหลายสิ่งอย่างรวดเร็ว


ราชันเร้นลับ 700 : รู้ใจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เสียงโหยหวนของ ‘ราชาแดนเหนือ’ เปลี่ยนเป็นเสียงคำรามอย่างรวดเร็ว พายุหิมะพลันแผ่ปกคลุมด้านนอกถ้ำ ไม่มีใครสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมได้เกินห้าเมตร


สายลมกระโชกพัดพาเกล็ดหิมะขนาดเท่าขนห่านปกคลุมทุกตารางนิ้ว ขณะเดียวกัน ออร่าสีฟ้าคล้ายน้ำแข็งเริ่มขยายตัวบนพื้นราบ ทุกจุดที่แพร่ผ่านไป หากมีสิ่งใดสัมผัสเข้า หัวจรดเท้าจะถูกแช่แข็งโดยสมบูรณ์


ไคลน์ซึ่งทั้งสายตาและโสตประสาทถูกรบกวนโดยพายุหิมะ หลังจากภาพหนึ่งผุดขึ้นในใจ เข่ารีบย่อลงตามสัญชาตญาณ เกร็งข้อเท้าและกระโดดขึ้น ปล่อยให้ออร่าสีฟ้าคล้ายน้ำแข็งแพร่ผ่านไปจากด้านล่าง


แต่ทางด้านโมเบธที่ไม่ชำนาญการต่อสู้ กว่ามันจะตระหนักถึงออร่าน้ำแข็งสีฟ้าก็สายเกินไป มิอาจกระโดดหลบได้ทันเวลา


ทันใดนั้น ไหล่ของโมเบธถูกใครบางคนจับยกขึ้น ใต้ฝ่าเท้าเกิดพายุเฮอร์ริเคนรุนแรง เมื่อผนวกทั้งสองปัจจัยเข้าด้วยกัน มันสามารถกระโดดไปในอากาศได้ฉิวเฉียด หลีกเลี่ยงการถูกแช่แข็งทั้งเป็น


โมเบธหันหน้าไปมอง ไม่ประหลาดใจนักเมื่อได้เห็นเซียธาสผู้มีใบหน้าเคร่งขรึม ในยามที่ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์ถูกห้ามบิน พลังหลักของเธอจึงเหลือเพียงการควบคุมสายลมเพื่อกระโดดและร่อนตัว


แอนเดอร์สัน เอ็ดวิน่า สโนวมัน และรอนเซลต่างตอบสนองในแบบฉบับของตัวเอง กระโดดหลบได้ทันเวลา หลีกเลี่ยงความเสียหายที่ไม่จำเป็น มีเพียงกรอซายคนเดียวที่ยังถือดาบในภาพจมกองหิมะ เท้าสองข้างปะทะกับออร่าน้ำแข็งสีฟ้าอ่อนอย่างจัง


เกล็ดน้ำแข็งเกาะตามขาไล่ขึ้นไป ร่างกายกรอซายถูกแช่แข็งโดยสมบูรณ์ในพริบตา ประหนึ่งศพถูกแช่ในก้อนน้ำแข็งอายุหลักหมื่นปี


ฟ้าว!


พายุหิมะที่เกรี้ยวกราดกำลังบดบังทัศนวิสัยของเหล่าผู้วิเศษ ส่งผลให้ทุกคนคลาดสายตากับมังกรน้ำแข็งยูลิเซี่ยน ทำได้เพียงตั้งรับการโจมตี


ทันใดนั้น นักบวชสโนวมันที่ฝ่าเท้ายังไม่สัมผัสถึกพื้น กางแขนออกกว้างอีกครั้ง เปล่งประโยคภาษาเฮอร์มิสโบราณด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


“พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า จงไร้ผล!”


พายุหิมะที่กำลังบ้าคลั่งสงบลงทันที รวมไปถึงพายุเฮอร์ริเคนทรงพลังและเกล็ดน้ำแข็งขนาดเท่าหนข่านรอบตัว ทั้งหมดอ่อนกำลังลงจนเหลือเพียงมวลอากาศบางเบา


เซียธาสเริ่มมองเห็นใบหน้าคล้ายกิ้งก่าขนาดมหึมาอย่างคลุมเครือ ศรยาวของเธอยังคงเสียบกลางหน้าผากในสภาพหักครึ่ง


ฉวยโอกาสดังกล่าว มังกรน้ำแข็งรีบย่นระยะห่างของทั้งสองลง!


เซียธาสมิได้แตกตื่น เพียงเสกสายลมเปลี่ยนทิศทาง ผลักเธอและโมเบธให้ถอยหลัง พร้อมกันนั้น ริมฝีปากที่ซีดเผือดของหญิงสาวขยับอ้าพลางขับขานบทเพลงภาษาเอลฟ์โบราณที่เข้าใจได้ยาก


“ปะการัง ถูกคลื่นสาด จนขาดหัก”


“ต้นไม้หนัก ถูกพายุ พัดหักโค่น”


“ขุนเขาถูก อสนี ป่นเป็นโคลน…”


เนื่องจากทุกคำในภาษาเอลฟ์ล้วนมีความหมายในตัวเอง ประโยคจึงสั้นกระชับ เนื้อเพลงสองสามท่อนไม่ทำให้เซียธาสเสียเวลานานนัก และเหนือสิ่งอื่นใด นับตั้งแต่ที่คำแรกถูกเปล่งอย่างไพเราะและหนักแน่น สายลมท่ามกลางพายุหิมะได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง!


พายุเกรี้ยวกราดส่งเสียงหวีดร้องและกระจายออกไปทุกทิศ ร่างกายอันใหญ่โตของ ‘ราชาแดนเหนือ’ ยูลิเซี่ยนปรากฏขึ้นอีกครั้งต่อหน้าไคลน์และทุกคน


ขณะเซียธาสร้องเพลงบทที่สาม ‘อัศวินวินัย’ รอนเซลทำการเหยียดฝ่ามือข้างขวาออก เปล่งเสียงภาษาเฮอร์มิสโบราณอย่างลุ่มลึก


“จองจำ!”


เพียงพริบตา มังกรน้ำแข็งที่กำลังจะพุ่งชนเซียธาสและโมเบธพลันชะงักงัน คล้ายกับถูกตีกรอบด้วยกำแพงล่องหน


และขณะที่รอนเซลกระซิบเสียงแผ่ว ดวงตาสีฟ้าอ่อนของเอ็ดวิน่าที่เพิ่งตั้งหลักยืนเริ่มกลายเป็นสีดำ ด้านในมีของเหลวเหนียวข้นที่คล้ายกับกำลังอัดแน่นไปด้วยความคิดชั่วร้ายทุกชนิดของสิ่งมีชีวิต


เพียงหญิงสาวบีบมือแผ่วเบา ‘ราชาแดนเหนือ’ ยูลิเซี่ยนมีอันต้องส่งเสียงคำรามพร้อมกับเหยียดคอตั้งตรง อาละวาดจนทำลายกำแพงจองจำรอบตัวทิ้งในพริบตา


ดวงตาสีฟ้าอ่อนของมังกรน้ำแข็งแฝงความเจ็บปวดและสับสน คล้ายกับถูกดึงเข้าสู่ห้วงความคิดอันบ้าคลั่งและไร้ศีลธรรมอย่างกะทันหัน


แม้นจิตใจของมันจะมีสภาวะเช่นนี้เป็นทุนเดิม แต่พลังกระตุ้นอารมณ์กลับยังสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลง


เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า มังกรตัวนี้ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์!


อาศัยจังหวะที่ยูลิเซี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง แอนเดอร์สัน·ฮู้ดควบแน่นหอกเพลิงไว้ในมือ โน้มตัวไปด้านหลังเล็กน้อยก่อนจะขว้าง


โดยไม่รอผลลัพธ์ นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดเสกเปลวไฟห่อหุ้มฝ่าเท้า ละลายน้ำแข็งจนกลายเป็นของเหลว


ฉึก!


หอกเพลิงที่ลุกโชติช่วงพุ่งใส่ปากที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งของมังกรน้ำแข็งอย่างแม่นยำ ละลายเกล็ดน้ำแข็งหนาในพริบตา เกิดเป็นช่องว่างบริเวณขากรรไกรด้านบน


ยูลิเซี่ยนแหกปากส่งเสียงร้องอีกครั้ง ขาหลังถีบลงพื้น ส่งร่างกายกระโจนขึ้นไปในอากาศ พุ่งเข้าหาแอนเดอร์สันด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง


สิ่งเดียวที่มันเห็นในตอนนี้ก็คือ หนอนแมลงที่กำลังรนหาความตาย!


ซู่ว!


หิมะตามทางเริ่มละลายกลายเป็นแอ่งน้ำกว้าง ร่องดังกล่าวแผ่ขยายจากจุดที่แอนเดอร์สันกำลังยืน


โครม! มังกรน้ำแข็งที่พุ่งปรี่ด้วยแรงเฉื่อยมหาศาล กระแทกใส่หินยักษ์ที่ปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งหนา กะเทาะเปลือกหินออกพร้อมกับสร้างความเสียหายไปจนถึงด้านใน!


หากแอนเดอร์สันหลบไม่พ้น นักล่าอันดับหนึ่งคงได้กลายเป็นซอสเนื้ออย่างไม่ต้องสงสัย เพียงการเฉี่ยวชนก็มากพอจะทำให้ถึงแก่ความตาย


ทว่า ท่ามกลางร่องหิมะละลายในตำแหน่งที่แอนเดอร์สันเคยยืน จุดดังกล่าวปรากฏปากหลุมลึกในแนวดิ่ง ขนาดหลุมเพียงพอสำหรับให้ผู้ชายหนึ่งคนมุดลงไป


พรวด!


มือข้างหนึ่งโผล่ออกจากปากหลุม เกาะขอบพร้อมกับเกร็งแขนส่งแรง ช่วยให้นักล่าอันดับหนึ่งกระโดดขึ้นมาในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง


หลังจากยิงหอกเพลิง มันมิได้หลบหนีอย่างแตกตื่น แต่เลือกใช้พลังพิเศษที่ตัวเองชำนาญ ละลายหิมะใต้ฝ่าเท้า รวมถึงการเผาดินเจาะด้านล่างลึกลงไป สร้างโพรงขนาดพอเหมาะและเอาตัวเองเข้าไปหลบในสภาพนั่งยอง หลีกเลี่ยงการโจมตีตอบโต้ของราชาแดนเหนือได้อย่างสมบูรณ์แบบ


พร้อมกันนั้น ลำแสงอันเจิดจ้าและบริสุทธิ์ผุดผ่องเริ่มสาดส่องลงจากฟากฟ้า กระทบกับร่างกรอซาย ช่วยละลายน้ำแข็งที่เกาะตามลำตัวในพริบตา


นักบวชสโนวมันเลือกใช้พลังสายโจมตีเพื่อสลายพันธนาการให้คนยักษ์ผู้พิทักษ์!


ท่ามกลางแสงรุ่นอรุณที่ระเบิดปะทุ กรอซายถือดาบใหญ่ย่างสามขุมเข้าหามังกรน้ำแข็ง ฟันสับลงอย่างเกรี้ยวกราด


เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!


ความสูงของกรอซายน้อยกว่ายูลิเซี่ยนในท่ายืนสี่ขาอยู่หนึ่งเมตร แต่พละกำลังสูสีจนน่าเหลือเชื่อ ท่ามกลางการฟันปะทะกับอุ้งเท้าหน้าของอีกฝ่าย แม้ร่างกายจะสั่นเทาและเซเสียหลักหลายหน แต่ไม่นานก็กลับมาอยู่ในสภาพสูสี หรือกระทั่งได้เปรียบเล็กน้อย


อาศัยจังหวะที่คนยักษ์ผู้พิทักษ์ประจันหน้า พวกพ้องที่เหลือสามารถตอบสนองได้อย่างใจเย็นมากขึ้น


นักบวชสโนวมันอ้าแขนกว้าง แสงอาทิตย์ทรงกลดแผ่ออกจากร่างกายก่อนจะดับลงอย่างรวดเร็ว มอบความอบอุ่นแก่พวกพ้องถ้วนหน้า นำมาซึ่งความฮึกเหิมและกล้าหาญ ขณะเดียวกันก็บังคับให้ผลของพลังไม่ตกไปถึงราชาแดนเหนือได้อย่างชำนาญ


ไม่ไกลกันนัก เซียธาสกับเส้นผมที่กำลังส่องแสง ดึงสายธนูไปด้านหลังและเริ่มกระหน่ำยิงศรที่สร้างจากลมเฉือนสลับกับสายฟ้า เนื่องจากเป้าหมายมีร่างกายใหญ่โต ศรทุกดอกจึงเข้าเป้าอย่างไม่ยากเย็น โดยที่เกือบทั้งหมดพุ่งไปยังจุดเดียวกัน นั่นคือบริเวณหัวไหล่ของมังกรน้ำแข็ง


โมเบธ·โซโรอาสเตอร์เริ่มออกโรงช่วยเหลือกรอซาย บ้างขโมยความคิดที่จะโจมตีของราชาแดนเหนือ บ้างก็พยายามขโมยพลังต่อสู้ แต่ส่วนใหญ่มักไม่ประสบความสำเร็จ


ในสภาพถือมีดสั้นสีดำสนิท แอนเดอร์สันอ้อมไปด้านข้างอย่างระมัดระวัง คล้ายกับหวังลอบโจมตีใส่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง ส่วน ‘อัศวินวินัย’ รอนเซลถึงดาบเหล็กดำทรงยาวพร้อมกับใช้พลัง ‘กฎ’ และ ‘จองจำ’ พลางช่วยเหลือกรอซายต่อสู้ในระยะประชิดกับมังกรน้ำแข็ง หากไม่ใช่เพราะมัน เกรงว่าแม้แต่คนยักษ์ผู้พิทักษ์ก็คงเสียท่าถูกดีดกระเด็นและถูกกระทืบซ้ำหรือไม่ก็พ่นลมหายใจใส่


ไคลน์ชำเลืองเอ็ดวิน่า ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง


“ล่องหน!”


ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายคัดลอกพลังชนิดนี้ไว้บ้างไหม ถ้าหากไม่ ก็คงต้องพิจารณาถึงแผนอื่น


เอ็ดวิน่าไม่ถามถึงเหตุผล ดวงตาสีฟ้าอ่อนและกระจ่างใสพลันสะท้อนภาพของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่สูญเสียความคมชัดและค่อย ๆ จางลง


เพียงไม่นาน ไคลน์อันตรธานหายไปโดยสมบูรณ์


หลังจากยืนยันสถานะตัวเอง ไคลน์รีบวิ่งไปยังจุดที่มังกรและคนยักษ์กำลังปะทะกันอย่างดุเดือด ม้วนตัวหนึ่งตลบ หยุดลงตรงตำแหน่งขาหลังฝั่งซ้ายของราชาแดนเหนือ


ถัดมา ชายหนุ่มแบ่งสมาธิส่วนใหญ่ไปกับการระวังไม่ให้ถูกยูลิเซี่ยนเหยียบ อาศัยเนตรด้ายวิญญาณที่เปิดมาสักพัก แผ่พลังวิญญาณเข้าควบคุมด้ายวิญญาณมายาของมังกรน้ำแข็ง


หลังจากนั้น บ้างม้วนตัวหลบ บ้างกับกระโดดฉากออกด้านข้าง พยายามมองหาจุดปลอดภัยภายใต้ลำตัวและรอบๆ ตัวยูลิเซี่ยน


ฟุ่บ ฟุ่บ!


ศรสายฟ้าสีเงินและลมเฉือนสีฟ้าครามพุ่งปะทะพื้นผิวเล็กๆ จุดหนึ่งบนร่างกายมังกร ป่นเกล็ดน้ำแข็งจนแหลกละเอียด ทะลวงผ่านผิวหนังที่หนาและเหนียว ส่งผลให้ไหล่ขวาของมังกรน้ำแข็งถูกย้อมด้วยสีฟ้าซีดภายในเวลาอันสั้น อุ้งเท้าหน้าข้างเดียวกันพลันเคลื่อนไหวได้ช้าลง


‘อัศวินวินัย’ รอนเซลที่ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว หลังจากกระโจนไปด้านข้างเพื่อหลบหลีกลมหายใจสีฟ้าเย็นเยียบ มันเหยียดแขนไปทางหัวไหล่มังกรพร้อมกับเปล่งคาถาภาษาเฮอร์มิสโบราณด้วยเสียงเคร่งขรึม


“ตาย!”


โผละ! หัวไหล่ขวาที่เต็มไปด้วยเลือดสีฟ้าอ่อนของยูลิเซี่ยนพลันแห้งกรัง บาดแผลเกิดฉีกขาดกะทันหันจนมองเห็นกระดูกสีใสด้านใน


เอ็ดวิน่าหยิบกระจกทองเหลืองขนาดเท่าฝ่ามือออกมา สะท้อนอวัยวะดังกล่าวของยูลิเซี่ยนลงบนผิวกระจก


จากนั้น หญิงสาวก้มมองมือขวา จับผิวกระจกด้วยมือเปล่า บีบภาพด้านในและทำทางกระชากออกมา!


บาดแผลของยูลิเซี่ยนพลันเหวอะหวะจนน่าสะพรึงและเริ่มลุกลามเป็นวงกว้าง คล้ายกับมันกำลังจะเสียอุ้งเท้าไปข้างหนึ่ง


มังกรน้ำแข็งคำรามสนั่น ร่างกายกระตุกในท่ายืนด้วยขาหลัง


แสงสีฟ้าจนเกือบขาวเริ่มแผ่ออกจากร่างกายอันใหญ่โตของมังกร ภายในรัศมีหนึ่งร้อยเมตร อุณหภูมิโดยรอบลดลงอย่างฉับพลัน มาพร้อมกับความรู้สึกที่ยากจะต้านทาน


เพียงพริบตา ผู้วิเศษทั้งหมดรู้สึกคล้ายตนถูกแช่แข็งเป็นเวลานาน ร่างกายเย็นจัดจนเกือบแข็ง อดไม่ได้ที่จะสั่นระริก


ไม่ว่าจะเซียธาส โมเบธ เอ็ดวิน่า ไคลน์ กรอซาย แอนเดอร์สัน หรือรอนเซล ทุกคนล้วนเผชิญชะตากรรมแบบเดียวกัน มีเพียงนักบวชสโนวมันผู้เคยฝึกตนท่ามกลางความหนาวเหน็บอย่างยาวนานที่ยังสามารถขยับตัวได้เล็กน้อย


มันกางแขนออก ปิดตาลงครึ่งหนึ่ง กล่าวเสียงขรึม


“พระผู้เป็นเจ้ารักโลกใบนี้!”


แสงแดดส่องลงมายังใจกลางสายลมและหิมะ มอบความอบอุ่นเป็นล้นพ้นจนความรู้สึกคล้ายกับถูกแช่แข็งเริ่มละลาย


เปรี้ยง!


ยูลิเซี่ยนส่งกรอซายกระเด็นไปในอากาศด้วยอุ้งเท้า สร้างบาดแผลฉกรรจ์บนหน้าอกคนยักษ์ผู้พิทักษ์


โดยไม่สนใจเป้าหมายอื่น ราชาแดนเหนือพุ่งตรงไปหานักบวชสโนวมันด้วยความเร็วสูง!


ไม่มีใครปกป้องสโนวมัน… และยูลิเซี่ยนกำลังจะออกจากรัศมีห้าเมตรของเรา… ไคลน์เฝ้ามองฉากตรงหน้าด้วยร่างกายที่ยังคงประสบอาการชา ในใจนึกอยากหมุนตัววิ่งกลับเข้าไปในถ้ำ สวดภาวนาถึงตัวเอง ส่งจิตเข้ามิติหมอกและใช้คทาเทพสมุทรตอบสนองต่อคำวิงวอน


ทันใดนั้น ลูกไฟสีแดงเข้มพุ่งตรงไปทางมังกรน้ำแข็ง ตกลงในจุดใกล้กับนักบวชก่อนจะระเบิดออก แผ่คลื่นกระแทกออกไปทุกสารทิศจนนักบวชลอยกระเด็นไปในอากาศ


เป็นพลังของแอนเดอร์สัน นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด


ขณะเดียวกัน เอ็ดวิน่าเองก็กำลังรวบรวมลูกไฟไว้บนมือ ขว้างให้ตกในตำแหน่งด้านหลังยูลิเซี่ยนคล้ายกับไม่มีเจตนาสร้างความเสียหาย


เธอกำลังสร้างลัดในการเคลื่อนที่ให้ไคลน์!


หญิงสาวเคยได้ยินจากเดนิสว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์มีพลังเช่นนี้อยู่!


ราชันเร้นลับ 701 : คนยักษ์ไม่เคยถอย

โดย

Ink Stone_Fantasy

มังกรน้ำแข็งยูลิเซี่ยนปรี่เข้าไปยังจุดที่นักบวชสโนวมันเคยยืน แต่การโจมตีกลับต้องพลาดเป้า ทำได้แค่ลื่นไถลไปตามร่องน้ำแข็งละลาย


ด้านหลังราชาแดนเหนือ ลูกไฟพลันระเบิดเกิดเป็นเปลวเพลิงลุกโชน ร่างกายไคลน์ที่กำลังยืนแข็งทื่อ ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงและหายไป ก่อนจะโผล่อีกครั้งในจุดเดียวกับลูกไฟดังกล่าว ยังรักษาระยะห่างห้าเมตรกับเป้าหมายไว้ได้


จนกระทั่งร่างกายยูลิเซี่ยนหยุดนิ่ง ชายหนุ่มสัมผัสถึงลางร้ายแม้จะอยู่ในสภาวะล่องหน หลังจากภาพหนึ่งปรากฏขึ้นในหัว ไคลน์เร่งฝีเท้าพุ่งไปด้านหน้า หมอบต่ำจนเกือบติดพื้น ลอดเข้าไปใต้ท้องมังกรน้ำแข็งสำเร็จ


ในเวลาเดียวกัน หางที่หนาและแข็งแรงของยูลิเซี่ยนส่ายสะบัด ฟาดกวาดไปทาง ‘ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์’ เซียธาสและ ‘ขุนนางจักรวรรดิโซโลมอน’ โมเบธที่อยู่ไม่ห่างออกไป


ฟ้าว!


สายลมระลอกหนึ่งพุ่งมาทางคนทั้งสองพร้อมกับหวีดร้อง ร่างกายโมเบธถูกซัดกระเด็น รอดพ้นจากการตวัดหางของมังกรน้ำแข็งอย่างฉิวเฉียด อย่างไรก็ตาม ทางฝั่งเซียธาสค่อนข้างโชคร้าย แม้จะมีสายลมรุนแรงคอยช่วยเหลือ แต่ก็หลบไม่พ้นโดยสมบูรณ์ ปลายหางแฉลบเข้าที่สีข้าง ส่งผลให้เกล็ดมายาที่ปกคลุมร่างกายเอลฟ์สาวแตกละเอียด ซี่โครงหักในสภาพร่างกายลอยละลิ่ว แต่เนื่องจากมีสายลมคอยเกื้อหนุน การตกกระแทกพื้นจึงไม่รุนแรงนัก


หากเปลี่ยนเป็นโมเบธ แอนเดอร์สัน หรือคนอื่น การโจมตีเมื่อครู่มากพอจะทำให้พวกมันตายคาที่ โชคดีที่เส้นทางวายุสลาตันมีเกล็ดเวทมนตร์คอยปกป้องร่างกาย และเมื่อลำดับเพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพก็ยิ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว เซียธาสจึงลงเอยแค่การบาดเจ็บหนัก ไม่ถึงขั้นหมดสติ ยังสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้เล็กน้อย


ขณะเดียวกัน ลำคอของ ‘ราชาแดนเหนือ’ ยูลิเซี่ยนเริ่มขยับ ปากอ้ากว้างพร้อมกับพ่นคลื่นแสงสีฟ้า


คลื่นยักษ์ถาโถมเข้าหาสโนวมัน แช่นักบวชเคร่งศาสนาให้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งในพริบตา โดยที่เอ็ดวิน่า รอนเซล และแอนเดอร์สันไม่มีใครสามารถยื่นมือช่วยเหลือได้ทันเวลา เพราะบ้างถูกกีดขวางด้วยร่างกายขนาดมหึมาของมังกร บ้างกำลังใช้พลังพิเศษอื่น และบ้างอยู่ห่างเกินไป


ตึง!


มังกรน้ำแข็งกระโจนต่ำ ผืนดินเกิดการสั่นสะเทือนพักหนึ่ง


ในเวลานี้ สภาพของมันกำลังย่ำแย่ บาดแผลฉกรรจ์บนหัวไหล่ขวาเหวอะหวะจนดูน่ากลัว แม้ว่าเลือดสีฟ้าจะแข็งตัวและช่วยให้บาดแผลไม่แย่ลงไปจากเดิม แต่ก็มากพอจะทำให้อุ้งเท้าหน้าข้างเดียวกันขยับได้ยากลำบาก


เกล็ดมายาตามร่างกายเสียหายหลายจุด สีหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด คล้ายกับแทบไม่หลงเหลือชีวิตชีวา


แต่ถึงอย่างนั้น ยูลิเซี่ยนสามารถสร้างบาดแผลฉกรรจ์หรือไม่ก็ผนึกศัตรูไปแล้วสามคน สถานการณ์ดีกว่าในตอนแรกชัดเจน โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บของคนยักษ์กรอซายที่ทำให้มังกรน้ำแข็งไม่ถูกประกบติด สามารถเลือกโจมตีได้อย่างอิสระ


ได้เห็นฉากตรงหน้า ดวงตาสีฟ้าอ่อนของเอ็ดวิน่าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึนอีกครั้ง ด้านในมีของเหลวแฝงอารมณ์ด้านลบไหลเวียน


มือขวาหญิงสาวกำและบิด ส่งผลให้ ‘ราชาแดนเหนือ’ ยูลิเซี่ยนผงาดคอคำรามอีกหนึ่งคำรบ สีหน้าท่าทีกำลังเจ็บปวดแสนสาหัส ของเหลวสีฟ้าสว่างเริ่มไหลออกจากหางตาและมุมปาก


พร้อมกันนั้น จิตใจของมังกรน้ำแข็งพลันปะทุไปด้วยอารมณ์เข้มข้นจนส่งผลโดยตรงต่อร่างวิญญาณ


ฉวยโอกาสดังกล่าว ดวงตาเอ็ดวิน่าส่องสว่างด้วยแสงบริสุทธิ์ เกิดเป็นแสงรุ่งอรุณขึ้นรอบตัวและควบแน่นกลายเป็นดาบ


เธออาสารับหน้าที่ ‘ผู้พิทักษ์’ แทนกรอซาย เตรียมเข้าไปขวางทางราชาแดนเหนือด้วยตัวเอง!


หญิงสาวเชื่อว่า การที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์หายตัวและพยายามเข้าไปใกล้ยูลิเซี่ยนต้องมีเหตุผลสำคัญสักอย่างสองอย่าง สิ่งเดียวที่ยังขาดในตอนนี้ก็คือเวลา!


ทันใดนั้น ร่างหนึ่งที่ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่างรุ่งอรุณ กำลังปรี่เข้าใส่มังกรน้ำแข็งจากด้านหน้า


คนยักษ์กรอซาย!


ในสภาพหน้าอกยุบลง ผิวหนังสีเทาอมฟ้าเริ่มซีดจาง ดาบขนาดมหึมาในมือปรากฏรอยร้าวคล้ายใยแมงมุม แต่ถึงอย่างนั้น กรอซายก็ยังเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างกล้าหาญ


ราวกับกำลังแผดเผาอายุขัยของตน ขณะร่างกายกรอซายส่องสว่างพร้อมกับสร้างความร้อน ดาบในมือกระหน่ำฟาดฟันใส่เป้าหมาย


“คนยักษ์ไม่เคยถอย!”


ท่ามกลางเสียงคำราม กรอซายปัดป้องการโจมตีจากมังกรน้ำแข็งหนแล้วหนเล่า และเนื่องจากอุ้งเท้าหน้าของศัตรูหมดสภาพไปข้างหนึ่ง การหลบลมหายใจสีฟ้าจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็น


“จองจำ!” อัศวินวินัย รอนเซลปรี่เข้าไปช่วยพร้อมกับใช้พลังตรึงการเคลื่อนไหวของราชาแดนเหนือ ด้านเอ็ดวิน่าก็จับจังหวะได้ รอจนกระทั่งยูลิเซี่ยนใกล้เป็นอิสระจากพันธนาการ ใช้พลังระเบิดอารมณ์ที่กำลังแปรปรวนของอีกฝ่าย ส่งผลให้มังกรน้ำแข็งถูกตรึงด้วย ‘จองจำ’ อีกหน หมดสิทธิ์พุ่งชนเหมือนที่เคยทำในคราวก่อน ส่วนแอนเดอร์สันบ้างก็ขว้างหอกเพลิง บ้างก็ขว้างลูกไฟ สร้างความเสียหายแก่ศัตรูหนแล้วหนเล่า ในกรณีของโมเบธที่เริ่มกลับมาขยับตัวได้ มันคอยขโมยความคิดและพลังอย่างต่อเนื่อง ก่อกวนการโจมตีของมังกรน้ำแข็งตลอดเวลา


ยูลิเซี่ยนพยายามกางปีกบินเป็นครั้งที่สอง สะบัดเกล็ดน้ำแข็งและหิมะจนฟุ้งกระจายไปทุกทิศ พยายามพุ่งทะยานขึ้นท้องฟ้า แต่สุดท้ายก็ไม่รอดพ้นจากกฎ ‘ห้ามบิน’ ของรอนเซล ขยับร่างกายได้ยากลำบากจนต้องล้มเลิกความคิด


ไคลน์ที่คอยเปลี่ยนตำแหน่งอยู่ใต้ท้องเท้ามังกรตลอดเวลา บรรจงควบคุมด้ายวิญญาณทีละนิดอย่างเชื่องช้า เพราะแม้กำลังจะครบยี่สิบวินาทีตามกำหนด แต่ด้ายวิญญาณของราชาแดนเหนือทั้งทรงพลังและบ้าคลั่งจนยากจะควบคุม!


ผ่านไปสักพัก เสียงหนึ่งดังก้องกังวาน ดาบใหญ่ในมือกรอซายที่กำลังปนเปื้อนลมหายใจของมังกรน้ำแข็ง ถูกอุ้งเท้าหน้าของยูลิเซี่ยนกระแทกจนแตกละเอียดเป็นเศษเล็กเศษน้อย กระจายออกไปทุกทิศทาง


เพล้ง! กำแพงล่องหนด้านหน้ากรอซายถูกทำลายลงทันที สะเก็ดดาบเจาะลึกเข้าไปในศีรษะและหน้าอกคนยักษ์


คนที่ใกล้ที่สุดอย่าง ‘อัศวินวินัย’ รอนเซลเองก็หลบไม่พ้น ถูกสะเก็ดเสียบเข้าไปที่ข้างด้านของชุดเกราะ บริเวณดังกล่าวมีเลือดสีแดงไหลซึมในทันที


“คนยักษ์ไม่เคยถอย!”


กรอซายคำรามอีกหน ร่างกายถูกอาบด้วยแสงสว่างเจิดจ้าอีกครั้ง ดาบแสงควบแน่นขึ้นบนฝ่ามือข้างหนึ่ง


ด้วยใบหน้ามืดมนและเต็มไปด้วยคราบเลือดสีแดงเข้ม คนยักษ์สามารถป้องกันการโจมตีถัดมาของมังกรน้ำแข็งไว้ได้


ขณะเดียวกัน ไคลน์ยังคงเพ่งสมาธิอยู่กับด้ายวิญญาณ ใกล้ประสบความสำเร็จในการควบคุมร่างวิญญาณขั้นต้น


สามวินาที! สองวินาที! หนึ่งวินาที!


การเคลื่อนไหวของ ‘ราชาแดนเหนือ’ ยูลิเซี่ยนพลันชะงัก ทุกข้อต่อบนร่างกายคล้ายถูกปกคลุมด้วยสนิม


มังกรน้ำแข็งตนนี้พบความผิดปรกติและตระหนักถึงต้นตอของภัยคุกคามได้ทันที อาศัยจังวะที่สตินึกคิดยังไม่ช้าลงโดยสมบูรณ์ ยูลิเซี่ยนทำการย่อตัวนั่งลง


จุดประสงค์เพื่อบดมนุษย์ชั่วร้ายให้กลายเป็นซอสเนื้อ!


แต่ทันใดนั้น สมองของมันพลันขาวโพลน หลงลืมสิ่งที่กำลังจะทำไปชั่วขณะ อย่างไรก็ตาม โมเบธ·โซโรอาสเตอร์ ผู้ลงมือที่อยู่ห่างออกไปราวยี่สิบเมตร ทรุดตัวลงอย่างไร้เรี่ยวแรงในท่วงท่าผิดธรรมชาติ


ไคลน์ฉวยโอกาสขยับร่างกายตัวเอง ไม่เร็วไม่ช้าเกินไป เดินออกจากใต้ท้องมังกรน้ำแข็งทางขาหลัง


ผลของพลังล่องหนเริ่มจางหาย เพราะเหนือสิ่งอื่นใด นี่เป็นเพียงพลังที่ลอกเลียนแบบ ย่อมมีประสิทธิภาพสูงไม่เท่าของจริง ชายหนุ่มเหยียดแขนออกไปครึ่งหนึ่ง แผ่พลังวิญญาณระลอกใหญ่คล้ายกับพยายามชักใยหุ่นเชิดขนาดมหึมา


โครม!


หลังจากสติที่ถูกขโมยไปคืนกลับมา ยูลิเซี่ยนซึ่งความคิดกำลังเชื่องช้าพยายามงอขาหลังด้วยอากัปกิริยาเฉื่อยชา แต่สุดท้ายก็ต้องล้มลงประหนึ่งยอดเขาถล่ม หิมะและเศษฝุ่นฟุ้งกระจายคละคลุ้ง


แบบนี้… แย่แน่… ต้องทำ… อะไร… สักอย่าง… ชุดความคิดแล่นผ่านสติของมังกรน้ำแข็งอย่างมีแบบแผน หัวใจเริ่มบีบเกร็งพร้อมกับควบแน่นแสงสีฟ้าสว่างที่ดูน่าเกรงขาม


นี่คือพลังจากรากฐานของสิ่งมีชีวิตประเภทมังกรน้ำแข็ง สามารถสร้างนรกไอเย็นเป็นวงกว้าง ในครั้งแรกที่มันพึ่งพาพลังนี้ ไคลน์และคนอื่นถูกแช่แข็งในพริบตา หากไม่เพราะนักบวชสโนวมันมีประสบการณ์และเอาตัวรอดมาได้ คงมีผู้วิเศษตายไปแล้วไม่ต่ำกว่าสองคน


ทว่า สำหรับวินาทีปัจจุบัน ภายใต้การควบคุมของไคลน์ ทุกการกระทำของยูลิเซี่ยนล้วนถูกดึงให้ช้าลง เอ็ดวิน่าสามารถตรวจพบแหล่งอันตรายที่ไม่เคยตระหนักถึงในครั้งแรก มือขวารีบกำและบิด เป็นอีกครั้งที่อารมณ์ของมังกรน้ำแข็งถูกกระตุ้นจนแปรปรวน


ร่างกายราชาแดนเหนือสั่นเทาอย่างเชื่องช้า แสงสีฟ้าสว่างที่ควบแน่นเกือบสำเร็จพลันกระจายตัวส่งเดช ล้มเหลวในการสร้างอิทธิพลต่อสภาพแวดล้อม


“อะ…”


มังกรน้ำแข็งอ้าปากอย่างเฉื่อยชา ส่งเสียงคำรามขาดห้วง


‘ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์’ เซียธาสที่ฟื้นตัวกลับมาเล็กน้อยและฝืนยืนตรงอย่างเต็มกลืน เมื่อเห็นฉากดังกล่าว หญิงสาวกัดฟันทนความเจ็บปวด ดึงสายธนูไปด้านหลังอย่างแข็งแรง


เส้นผมเริ่มแตกกระจายและลอยตัวอีกครั้ง เมฆสีตะกั่วก้อนใหญ่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ทันใดนั้น สายฟ้าสีเงินและขาวและที่สอดประสานกันเป็นเกลียว ผ่าลงมายังคันศรในมือหญิงสาว ก่อตัวเป็นลูกศรเกลียวสายฟ้ารูปร่างคล้ายอสรพิษ


เซียธาสที่มีใบหน้าบิดเบี้ยว ปล่อยมือออกจากสาย


แสงสีเงินพุ่งแหวกอากาศ ปะทะกับบริเวณกึ่งกลางระหว่างหน้าอกและช่องท้องของยูลิเซี่ยนจนเกิดบาดแผลฉกรรจ์ ด้านในบาดแผลมีเปลวไฟกำลังลุกโชนพร้อมกับประกายสายฟ้า เกิดเป็นความเสียหายเพิ่มเติมที่หนักหน่วง


ในคราวนี้ ดวงตาแอนเดอร์สันเริ่มส่องแสง ร่างกายปกคลุมด้วยเปลวไฟสีขาวอันร้อนแรง ก่อนจะแปรสภาพตัวเองกลายเป็นก้อนแสง พุ่งเข้าใส่บาดแผลดังกล่าวอย่างแม่นยำ


รอยดำจุดใหญ่ปรากฏขึ้นระหว่างหน้าอกและท้องของมังกรน้ำแข็งอย่างเด่นชัด ประหนึ่งถูกใครบางคนสลักไว้ สติของยูลิเซี่ยนไม่เฉื่อยชาอีกต่อไปหลังจากถูกปัจจัยภายนอกกระตุ้นอย่างรุนแรง มันพยายามดิ้นรนกระพือปีกเพื่อบินขึ้นไปในอากาศ


“ที่นี่ไม่อนุญาตให้บิน!” ‘อัศวินวินัย’ รอนเซลเสริมกฎเข้าไปใหม่


โครม!


ราชาแดนเหนือร่วงหล่นอีกครั้ง รอยดำระหว่างหน้าอกและช่องท้องเริ่มแตกร้าวคล้ายใยแมงมุม เลือดสีฟ้าสว่างและอวัยวะภายในพรั่งพรูออกมาราวกับน้ำตก


แอนเดอร์สันรีบกระโดดออกจากบาดแผลบนร่างกายมังกร ทันใดนั้น เปลวไฟรอบตัวมันพลันดับมอด ถูกแทนที่ด้วยชั้นน้ำแข็งสีใสแผ่นบาง


“หนาว… หนาวฉิบ” ในท่าถือ ‘เขี้ยวมรณะ’ ร่างกายแอนเดอร์สันเริ่มเย็นเยียบและสั่นระริก


ไคลน์ที่เกือบปล่อยให้มังกรน้ำแข็งหลุดมือ กลับมาควบคุมด้ายวิญญาณขั้นต้นได้อีกครั้ง ความคิดที่จะตายไปพร้อมกับทุกคนของยูลิเซี่ยนจึงเริ่มช้าลง ระหว่างนั้นก็ถูกรบกวนด้วยพลังขโมยและกระตุ้นอารมณ์


ในที่สุด ลำคอที่ค่อนข้างเพรียวของมังกรน้ำแข็งผงาดขึ้น คำรามเสียงต่ำอย่างเชื่องช้าด้วยร่างกายค่อยๆ ทรุดลงทีละนิด


ระหว่างนั้น ไคลน์ไม่คิดห้ามมิให้เซียธาสกระหน่ำยิง เพราะมันทราบดี กว่าตนจะควบคุมโดยสมบูรณ์ก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าห้านาที มีโอกาสเกิดเหตุไม่คาดฝันได้มากมาย


อัศวินวินัยรอนเซลเหยียดตัวตรง ลมหายใจกระเส่า ในสภาพที่ร่างกายมีบาดแผลฉกรรจ์ครึ่งซีก มันเหยียดแขนที่ไม่ได้ถือดาบอีกต่อไป เปล่งเสียงภาษาเฮอร์มิสโบราณด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ตาย!”


ร่างกายยูลิเซี่ยนพลันกระตุก ล้มกระแทกพื้นดังโครมจนดูเหมือนกับเทือกเขาที่มีหิมะปกคลุม


แสงสีฟ้าสว่างจนเกือบขาวระเบิดออกจากศพ แผดเผาเนื้อสดจนไหม้เกรียมในพริบตา เพียงไม่นาน ศพมังกรขนาดมหึมาได้แปรเปลี่ยนเป็นบานประตูคู่ขนาดใหญ่ที่ปกคลุมด้วยหิมะ


โดยไม่ต้องกล่าวคำใด ผู้วิเศษทุกคนต่างทราบดีว่า ปลายทางของประตูบานนี้คือโลกภายนอก


“ในที่สุด… ก็สำเร็จ…” คนยักษ์กรอซายระเบิดเสียงหัวเราะ ก่อนที่ระดับเสียงจะค่อยๆ ลดลง


โครม!


ด้วยร่างกายที่สูงเกือบสี่เมตร กรอซายทรุดคุกเข่าหนึ่งข้าง แสงรุ่งอรุณที่ปกคลุมร่างกายเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เฉกเช่นสัญญาณชีพของมัน


“กรอซาย!” เซียธาสและคนที่เหลือต่างรีบขยับเข้ามาใกล้


กรอซายค่อยๆ ก้มมอง กำหมัดแน่น เผยรอยยิ้มอ่อนโยน


“พวกเราทำสำเร็จแล้ว! คนยักษ์… ไม่เคยถอย…”


เสียงของมันขาดห้วงกะทันหัน ศีรษะที่มีดวงตาแนวตั้งห้อยลง


ราชันเร้นลับ 702 : ปัจฉิมบท

โดย

Ink Stone_Fantasy

“กรอซาย!”


‘อัศวินวินัย’ รอนเซลซึ่งอยู่ใกล้กับคนยักษ์มากที่สุด รีบวิ่งเข้าไปช่วยพยุงร่างกรอซาย แต่เพียงไม่นานก็ค่อยๆ ปล่อยมือทีละนิดพร้อมกับยืนตัวตรง สีหน้าแววตาคล้ายกับกำลังจมอยู่ในห้วงความฝันอันแสนสับสน


เซียธาสสลัดหลุดจากการพยุงของโมเบธ ไม่สนใจความเจ็บปวดทางร่างกาย เสกสายลมช่วยเกื้อหนุน รีบวิ่งไปยืนข้างกรอซายอย่างรวดเร็ว


หญิงสาวคุกเข่าลง ตรวจสอบสักพัก ก่อนจะเขย่าตัวอีกฝ่ายพร้อมกับส่งเสียงตะโกน


“ตื่นสิ! ตื่น! พวกเราต้องออกไปข้างนอกแล้ว!”


เสียงของเธอเริ่มจางลงทีละนิด ค่อยๆ กลืนหายไปกับความเงียบ


โมเบธเดินมายืนเคียงข้าง เมื่อเห็นร่างกายคนยักษ์กำลังโยกคลอนอย่างมิอาจรักษาสมดุล ขุนนางแห่งจักรวรรดิโลเอ็นทรุดคุกเข่าทันที


มันเงียบงันไปสักพัก ถอนหายใจแผ่วเบาและเชื่องช้า


ในเวลาเดียวกัน แอนเดอร์สันและเอ็ดวิน่าวิ่งไปทางนักบวชสโนวมันที่ถูกแช่แข็ง คนหนึ่งใช้พลังไฟ ส่วนอีกคนคัดลอกแสงศักดิ์สิทธิ์ ช่วยสโนวมันละลายน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว ทางด้านไคลน์ที่อยู่ไม่ห่างจากกรอซาย ตัดสินใจเดินไปหาคนยักษ์


เนตรด้ายวิญญาณแจ้งกับไคลน์ว่า อีกฝ่ายเสียชีวิตไปแล้วและเหลือเพียงดวงวิญญาณ แต่วิญญาณก็เริ่มสลายตัวแล้วเช่นกัน หรือกล่าวได้ว่า สายเกินกว่าจะใช้พลังเคลื่อนย้ายบาดแผลเพื่อรักษา


ในการปะทะกับมังกรน้ำแข็งหนที่สอง… ในวินาทีที่ร่างกรอซายส่องแสงคล้ายกับรุ่งอรุณลุกโชน… กรอซายคงเตรียมใจตายไว้แล้ว… ไคลน์เงียบงันไปครู่หนึ่ง


โมเบธชำเลืองมาทางชายหนุ่ม ยิ้มขื่นขมและกล่าว


“ด้วยความสัตย์จริง ข้าเคยเห็นคนยักษ์ไม่มากนัก ส่วนใหญ่รู้จักจากหนังสือ ครูบาอาจารย์ และพ่อแม่ จึงคิดเสมอว่า เผ่าพันธุ์นี้จะต้องป่าเถื่อนและชื่นชอบความรุนแรง ใกล้เคียงสัตว์ประหลาดมากกว่าสิ่งมีชีวิตทรงปัญญา แต่กรอซายมิได้เป็นเช่นนั้นเลย เขาซื่อตรง ซื่อสัตย์ มองโลกในแง่บวก แม้จะดูเบาปัญญาไปบ้าง แต่หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณธรรม เขารู้ดียิ่งกว่าใครทั้งหมด… เขาบอกกับข้าว่า นั่นเป็นเพราะตัวเขาไม่ใช่คนยักษ์โบราณ ไม่ใช่แม้กระทั่งรุ่นที่สองหรือรุ่นที่สามของตระกูล… จริงอยู่ที่ในอดีต คนยักษ์เคยป่าเถื่อน ชอบความรุนแรง และเอาแต่ผสมพันธุ์ตามสัญชาตญาณ แต่ยิ่งมีทายาทมากเท่าไร บรรดาทายาทก็ยิ่งรู้จักผิดชอบชั่วดีมากขึ้น ช่วยผลักดันให้ตระกูลห่างไกลจากการเป็นสัตว์ประหลาด… อา… ข้าไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน แต่การมีอยู่ของเขาอาจเป็นเครื่องยืนยันทางอ้อม…”


ขณะเล่า โมเบธชะงักกะทันหัน คล้ายกับหวนนึกถึงบางสิ่งในอดีต


ในเวลาเดียวกัน เอ็ดวิน่าและแอนเดอร์สันช่วยกันพยุงสโนวมัน ผู้กำลังฝืนเดินด้วยร่างกายที่แข็งทื่อ ปลายทางคือร่างคนยักษ์กรอซาย


จ้องมองเข้าไปในดวงตาแนวตั้ง สโนวมันวาดสัญลักษณ์คล้ายไม้กางเขนบนหน้าอก ดวงตาหรี่ลง สวดวิงวอนเสียงต่ำ


“ข้าแต่พระบิดาของทุกสรรพสิ่ง รากเหง้าแห่งความยิ่งใหญ่ ที่ตรงนี้มีดวงวิญญาณอันซื่อสัตย์และบริสุทธิ์… ขอให้เขาได้เข้าสู่อาณาจักรของท่าน ได้รับการปลดปล่อยอันเป็นนิรันดร์…”


เซียธาสขยับริมฝีปาก คล้ายกับต้องการกล่าวว่า กรอซายศรัทธาในราชาคนยักษ์เออร์เมียร์ มิใช่พระผู้สร้าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวออกไป เพียงเฝ้ามองสโนวมันสวดคำวิงวอนจนจบ


“พวกเราต้องรีบออกไป ไม่มีใครรู้ว่าประตูจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน!” ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์มองไปรอบตัว อาจเป็นเพราะอาการบาดเจ็บและความเศร้าเสียใจ ใบหน้าของหญิงสาวเผยความฉุนเฉียวเล็กๆ


เซียธาสก้มมองคนยักษ์อีกครั้ง พึมพำเสียงต่ำ


“พวกเราจะปล่อยให้วิญญาณของกรอซายสลายตัวในโลกมายาไม่ได้ ต้องพาเขาออกไปยังโลกแห่งความจริง!”


“ตกลง” โมเบธรีบเห็นด้วย ไคลน์และคนที่เหลือก็ไม่คัดค้าน


เอ็ดวิน่าหันหลังกลับ ตะโกนเข้าไปในถ้ำน้ำแข็ง


“เดนิส ออกมาได้แล้ว”


ขณะเดียวกัน เซียธาสกลอกตาเล็กน้อย คล้ายกับฉุกคิดบางสิ่งได้ จึงหันมาทางไคลน์และกล่าว


“เจ้ามีปากกากับกระดาษไหม”


“มี” ไคลน์หยิบปากกาหมึกซึมและกระดาษแผ่นเล็กที่พกติดตัวตลอดเวลาออกมา สิ่งเหล่านี้คืออุปกรณ์จำเป็นสำหรับนักทำนาย


เซียธาสรับไปและเริ่มตวัดเขียน จนกระทั่งเดนิสออกมาจากถ้ำก็ยังไม่หยุด


เดนิสเอาแต่เงียบงัน คล้ายกับจิตใจกำลังดำดิ่ง ปราศจากอารมณ์ยินดีหรือตื่นเต้นทั้งที่กำลังจะได้ออกจากโลกหนังสือ


เซียธาสหยุดเขียน ส่งปากกาและกระดาษให้ไคลน์พร้อมกัน


“สูตรโอสถที่เจ้าต้องการ”


ไม่รอให้ออกไปก่อนหรือ? ไคลน์พึมพำด้วยความสงสัย พลางรับปากกาและสูตรโอสถ ‘ผู้ขับขานสมุทร’ มาถือ


คล้ายกับตระหนักถึงความฉงนของชายหนุ่ม เซียธาสเบือนหน้าไปทางศพกรอซายบนพื้น กล่าวเนิบนาบ


“พวกเราเป็นสหายกันแล้ว”


ก็เลยมอบสูตรโอสถให้กันได้เลย? ไคลน์เก็บปากกาและกระดาษ พยักหน้าเล็กน้อยจนยากจะมองเห็น


“หลังจากออกไป ผมจะนำแก้วไวน์มาให้”


เซียธาสไม่ตอบรับ เพียงหันไปผลักโมเบธ


“พยุงกรอซายขึ้นมา”


โมเบธก้มหน้ามองร่างกายที่มิได้กำยำของตน มองรองเท้าหนังหัวแหลมปลายโค้ง เผยรอยยิ้มจืดชืด เดินไปทางต้นขากรอซาย


‘อัศวินวินัย’ รอนเซลขมวดคิ้วเล็กน้อย โน้มตัวลงและโอบไหล่ซ้ายของคนยักษ์


แอนเดอร์สันกวาดสายตา ส่ายหน้า


“พวกนายกำลังบาดเจ็บหรือไม่ก็อ่อนแรง ให้ฉันทำเองดีกว่า”


มันโอบไหล่อีกข้างของกรอซาย


ขณะไคลน์เตรียมช่วยต้นขาข้างที่เหลือ เดนิสรีบเดินตรงมาและยกขึ้น


เห็นภาพดังกล่าว ชายหนุ่มชะงักฝีเท้า เฝ้ามองแอนเดอร์สันและคนที่เหลือยกกรอซายขึ้น ตรงไปยังบานประตูมายาที่มีหิมะปกคลุม


ตัวมัน เอ็ดวิน่า เซียธาส และสโนวมันผู้กำลังซวนเซและสั่นเทา ตามหลังไปอย่างเงียบงัน จนกระทั่งถึงทางออกที่เกิดจากศพของมังกรน้ำแข็งยูลิเซี่ยน


ไคลน์มองไปรอบตัว พบว่าเลือดสีฟ้าสว่างที่ราชาแดนเหนือเคยหลั่งล้วนอันตรธานหายไปจนหมดสิ้น ราวกับไม่เคยมีตัวตนมาตั้งแต่แรก


สามารถจำลองสัตว์ประหลาดมายาได้เหมือนจริงขนาดนี้… ไคลน์ที่ตามหลังทุกคนไป ชำเลืองเอ็ดวิน่าที่กำลังขยับเข้าใกล้ประตู โน้มตัวลงเล็กน้อย วางฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนบานประตู


จากนั้น ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เริ่มออกแรงผลักประตูที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ


ความเงียบงันเข้าครอบงำบรรยากาศทันที ทุกสิ่งที่ทุกคนเห็นแปรเปลี่ยนเป็นภาพมายาโปร่งใส ก่อนจะหายไปโดยสมบูรณ์


เพียงไม่นาน ทิวแถวของชั้นหนังสือสีน้ำตาลอมเหลืองปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน แสงอาทิตย์สีส้มที่ใกล้ลับขอบฟ้าสาดส่องเข้ามาจากหน้าต่าง ใกล้ๆ กันยังมีโต๊ะทำงาน ปากกา ขวดหมึก และแผ่นกระดาษ


ที่นี่คือห้องกัปตันของ ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่า!


ไคลน์และคนที่เหลือรีบหันไปทางกึ่งกลางโต๊ะทำงาน ด้านบนมีหนังสือเล่มหนึ่งที่ทำจากกระดาษหนังสัตว์


หนังสือเล่มดังกล่าวถูกสายลมที่มองไม่เห็นพัดเปิด หน้าแล้วหน้าเล่าถูกพลิกอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงหน้าสุดท้าย ไคลน์และที่เหลือเริ่มมองเห็นจุดจบของเรื่องราว


“ด้วยความช่วยเหลือจากนักผจญภัยเสียสติและนักล่าที่แข็งแกร่ง กรอซายสามารถทำในสิ่งที่เคยลั่นวาจาไว้ นำพรรคพวกสังหารราชาแดนเหนือได้สำเร็จ ทว่า ตัวเขาเองก็ต้องหลับใหลอยู่ในดินแดนอันหนาวเหน็บเช่นกัน”


“หนังสือยังไม่ได้มอบจุดจบให้เรา… เซียธาส เจ้าอยากไปที่ไหนต่อ?” โมเบธวางต้นขาของกรอซายลง ซักถามผู้ขับขานแห่งเอลฟ์ด้านข้าง


ดวงตาเซียธาสเหม่อลอยหลายวินาที ก่อนจะตอบอย่างหนักแน่น


“ตามหาผู้คนของข้า…”


ยังไม่ทันจะกล่าวจบ เธอเห็นเส้นผมสีเทาของโมเบธกลายเป็นสีหงอกขาวอย่างรวดเร็ว เห็นริ้วรอยปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เคยเรียบเนียนของอีกฝ่าย


เพียงหนึ่งลมหายใจ โมเบธตรงหน้าเธอแก่ชราราวกับเจียนตายเต็มที


หัวใจหญิงสาวเริ่มบีบรัด ขณะเตรียมกระโจนไปข้างหน้า เซียธาสพบว่าขาของเธออ่อนแรงลงกะทันหัน


ตุ้บ! หญิงสาวล้มลงไปนอนกับพื้น มองเห็นหลังมือตัวเองเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นประหนึ่งชายแก่


เซียธาสเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น น้ำตาพรั่งพรูออกจากดวงตาอย่างมิอาจหักห้าม ร่างกายพยายามดิ้นรนคลานไปหาโมเบธ


โมเบธที่ล้มลงกำลังคลานมาหาหญิงสาวไม่ต่างกัน พยายามเหยียดแขนขวาออกมาสุดเอื้อม


เซียธาสเหยียดแขนขวาออก คว้าฝ่ามือที่ซูบผอมและเหี่ยวย่น


ทั้งสองฝืนเงยหน้าอย่างยากลำบาก สภาพปัจจุบันของกันและกันกำลังสะท้อนให้เห็นบนกระจกตา


มุมปากของทั้งคู่ยกขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะคลายออกในสภาพเปลือกตาปิดสนิท มองไม่เห็นสิ่งใดอีกต่อไป


ไคลน์ เอ็ดวิน่า แอนเดอร์สัน และเดนิสมิอาจตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันได้ทันเวลา จำใจต้องเฝ้ามองศพกรอซายสลายไปอย่างรวดเร็ว ไม่หลงเหลือแม้แต่เลือดเนื้อ ทิ้งไว้เพียงกระดูกและตะกอนพลังที่กำลังควบแน่น จากนั้นก็หันไปเห็นโมเบธ เซียธาส สโนวมัน และรอนเซลแก่ชราและตายไปภายในไม่กี่วินาที ศพของทุกคนมีชะตากรรมไม่ต่างจากกรอซาย


เสื้อผ้าของทุกคนหายไปหรือไม่ก็กลายเป็นเถ้าถ่าน ดวงวิญญาณสลายตัวภายในพริบตาด้วยความเร็วที่ยากจะตอบสนอง


“คนที่อยู่ในนั้นสั้นที่สุด… ก็ยังนานถึงหนึ่งร้อยหกสิบห้าปี” เอ็ดวิน่าพึมพำกับตัวเอง ชำเลืองไปทางกระดูกของผู้ที่ถูกกล่าวถึงซึ่งกำลังมองท้องทะเลและดวงอาทิตย์ด้านนอก


อัศวินวินัยรอนเซลตายในท่านั่งบนเก้าอี้ ดวงตาไปทางตะวันตกซึ่งเป็นทิศของกรุงเบ็คลันด์


สโนวมันนั่งขัดสมาธิ ศพยังคงอยู่ในท่าสวดภาวนา


นั่นสินะ คนเหล่านี้อาศัยอยู่ในโลกหนังสือนานกว่าร้อยปี บางคนนานนับพันปี พิจารณาจากกฎของโลกภายนอก พวกเขาที่ไม่ได้เป็นแม้แต่ครึ่งเทพย่อมต้องตายไปนานแล้ว… นี่มันเรื่องพื้นฐานที่เราควรฉุกคิดได้ตั้งแต่แรก… ทำไมถึงเพิ่งนึกออกป่านนี้? หรือว่า… หลังจากได้เห็นอิทธิพลทางพลังวิญญาณที่โลกหนังสือกระทำต่อโมเบธ กรอซาย และคนอื่นๆ ไคลน์ผุดแนวคิดบางอย่าง


ชายหนุ่มก้มอ่านหนังสือที่ทำจากหนังสัตว์อีกครั้ง เชื่อว่าด้านในยังมีปริศนาบางอย่างแฝงอยู่


“หมอนี่ตลกชะมัด… ดันมาตายในท่านี้” แอนเดอร์สันมองไปทางศพโมเบธพลางยกมุมปาก


ขณะเดียวกัน ตะกอนพลังของทุกคนเริ่มควบแน่น แต่กลับไม่มีสิ่งใดออกมาจากศพ ‘อัศวินวินัย’ รอนเซล หลังจากตรวจสอบสักพัก เอ็ดวิน่ากล่าวเสียงเรียบ


“โอสถที่เขาดื่มเป็นแค่ภาพมายา… พลังของเขาก็ด้วย เหมือนกับมังกรน้ำแข็งตัวนั้น”


เป็นสิ่งที่โลกหนังสือเสกขึ้นสินะ… ไม่ผิดแน่… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ หมดคำจะกล่าวเป็นเวลานาน ทำได้เพียงรักษามาดเงียบขรึมของเกอร์มัน·สแปร์โรว์


ผ่านแล้วไปสิบนาที ภายในห้องกัปตันฝันทองคำ ทุกคนเอาแต่ปิดปากเงียบจนกระทั่งตะกอนพลังสี่ชิ้นควบแน่นเป็นรูปร่าง


ขนาดใกล้เคียงกำปั้นมนุษย์ หนึ่งในนั้นมีรูปทรงคล้ายหัวใจ เต็มไปด้วยรูพรุน ส่องแสงรุ่งอรุณ อีกหนึ่งชิ้นดูเหมือนแมงกะพรุน เยื่อใสด้านนอกมีลักษณะคล้ายแผ่นน้ำทะเลสีครามห่อหุ้ม ด้านในมีเกลียวสายลมพัดผ่านเป็นระยะ ส่องแสงสีเงินระยิบระยับเป็นบางครั้ง และมีเสียงท่วงทำนองอันไพเราะดังแว่วเป็นบางคราว อีกหนึ่งชิ้นเป็นผลึกส่องแสงบริสุทธิ์ มอบความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ท่วมท้น และชิ้นสุดท้ายมีรูปทรงคล้ายกำปั้นทารก นิ้วเล็กๆ ทั้งห้าเหยียดยาว ผิวหนังเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ตามสภาพแวดล้อม


“เฮ้… พวกนายคิดจะยืนมองไปถึงเมื่อไร” ในที่สุด แอนเดอร์สันตัดสินใจทำลายความเงียบงัน “แบ่งตะกอนพลังพวกนี้กัน”


เมื่อเห็นดวงตาสีฟ้าสว่างของเอ็ดวิน่าเจือความโกรธ นักล่าอันดับหนึ่งยักไหล่พร้อมกับเผยรอยยิ้มขื่นขม


“ฉันเชื่อว่าพวกเขาก็คงต้องการแบบเดียวกัน… เราทุกคนคือพวกพ้องที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)