Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 693-696

 ราชันเร้นลับ 693 : ลงมือ

โดย

Ink Stone_Fantasy

วางปากกาในมือลง ไคลน์ถอดลูกตุ้มวิญญาณออกจากข้อมือซ้ายและถือไว้ด้วยมือขวา นำปลายจี้บุษราคัมจ่อกับกระดาษเขียนประโยคทำนายในสภาพเกือบสัมผัส


“เอ็ดวิน่าเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้” ไคลน์หลับตาลงพร้อมกับพึมพำประโยคทำนายเสียงแผ่ว


ครบเจ็ดครั้ง ชายหนุ่มลืมตา จ้องจี้บุษราคัมที่กำลังหมุนตามเข็มนาฬิกา


กล่าวอีกนัยหนึ่ง คำตอบออกมาเป็น ‘ใช่’ พลเรือโทธารน้ำแข็งอยู่ในหนังสือ ‘การเดินทางของกรอซาย’ !


เป็นโลกภายในหนังสือจริงด้วย… นอกจากนั้นยังเป็นโลกซึ่งมีสภาพแวดล้อมพิเศษ หากไม่มีคนใหม่เข้าร่วม เนื้อหาก็จะไม่คืบหน้า… ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย ม้วนจี้บุษราคัมกลับที่เก่า หยิบปากกาหมึกซึมสีแดงจากด้านข้างขึ้นมาเขียนประโยคทำนายใหม่


“วิธีเข้าไปใน ‘การเดินทางของกรอซาย’ ”


คราวนี้เป็นเทคนิคทำนายฝัน ท่ามกลางโลกมายาสีเทา ชายหนุ่มมองเห็นร่างของกลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่ง


บ้างมีร่างกายใหญ่โตมโหฬาร บ้างผอมบาง จุดที่เหมือนกันก็คือ ทุกคนล้วนถือหนังสือเล่มเล็กซึ่งปกทำมาจากกระดาษหนังสีน้ำตาล


ฉากถัดไปเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกันสองแบบ แบบแรกคือกลุ่มที่ถือ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ไว้กับตัวและอันตรธานหายไปอย่างเงียบงัน อีกแบบหนึ่งคือกลุ่มที่วางหนังสือไว้ด้านข้างและหายตัวไปอย่างกะทันหันเมื่อเลือดของตนบังเอิญหยดใส่ปก!


ฉากความฝันแตกละเอียด ไคลน์ลืมตาขึ้นพลางมองไปบนโต๊ะทองแดงยาวซึ่งมีร่องรอยเก่าแก่ ขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับเริ่มถอดรหัสความฝัน


หากต้องการเข้าไปใน ‘การเดินทางของกรอซาย’ จำเป็นต้องสัมผัสกับหนังสือเป็นเวลานาน หรือไม่ก็หยดเลือดของตัวเองลงบนปก?


แบบนี้ไม่ง่ายไปหน่อยหรือ… ไม่สิ มันคงไม่ซับซ้อนอะไรนัก ทหารโลเอ็นในเรื่องเคยเป็นแค่คนธรรมดามาก่อน ไม่เคยมีความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับ แต่ด้วยความช่วยเหลือจากพวกพ้อง เขาค่อย ๆ พัฒนาตัวเองจนกระทั่งกลายเป็น ‘อัศวินวินัย’ … หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง วิธีการเข้าไปในหนังสือต้องไม่ซับซ้อน เพราะแม้แต่คนธรรมดาก็ยังทำได้…


สำหรับกลุ่มคนที่พยายามค้นคว้าก่อนหน้านี้ รวมถึงพลเรือโทธารน้ำแข็ง พวกเขาล้วนมีความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับกว้างขวาง ย่อมตระหนักว่ามิอาจใช้เลือดของตนทดสอบส่งเดช เพราะนั่นไม่ต่างกับการรนหาที่ตาย เฉกเช่นพิธีกรรมทำนายด้วยกระจกวิเศษซึ่งจะไปกระตุ้นความสนใจของตัวตนลึกลับและทรงพลังเข้า… เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงไม่เกิดความผิดปรกติกับกลุ่มคนที่พยายามตรวจสอบมัน…


นอกจากนั้น ในกรณีของเอ็ดวิน่า เธอเก็บรักษา ‘การเดินทางของกรอซาย’ ไว้ในห้องของสะสมตลอดเวลา สัมผัสโดยตรงไม่บ่อยครั้ง… จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันก่อน เธอตัดสินใจนำมันออกมาค้นคว้าบางสิ่ง จึงเกิดการสัมผัสอย่างยาวนานจนเข้าเงื่อนไขของหนังสือ?


ไม่ผิดแน่… แม้กระทั่งกระจกวิเศษอาโรเดสก็ยังมองว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ธรรมดา อดีตเจ้าของหายสาบสูญเป็นจำนวนมาก แถมยังสงสัยว่าจะเกี่ยวพันกับตระกูลมังกรและ ‘เลฟซิด’ เมืองแห่งปาฏิหาริย์… เมื่อหนังสือเล่มนี้ถูกกระตุ้นให้ทำงาน มันสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ในระดับหนึ่ง ลบร่องรอยที่เกี่ยวข้องทิ้งไปจนหมด ส่งผลให้เจ้าของคนก่อน ๆ ไม่พบความผิดปรกติในตัวหนังสือ จึงไม่เกิดความคิดที่จะตรวจสอบ…


อดีตเจ้าของที่หายสาบสูญอาจมีจำนวนมากกว่าตัวละครภายในเรื่อง แต่เกิดเสียชีวิตระหว่างทางจากอุปสรรค จึงมิอาจสลักชื่อไว้ในการเดินทาง…


ไคลน์สลัดความคิดปัจจุบันทิ้ง ลงมือทำนายเพื่อค้นหาวิธีออกจาก ‘การเดินทางของกรอซาย’


ในคราวนี้ ท่ามกลางโลกมายาสีเทา ชายหนุ่มมองเห็นพายุหิมะเกรี้ยวกราดและร่างหนึ่งซึ่งกำลังยืนบนยอดภูเขาน้ำแข็ง


ร่างดังกล่าวคือมังกรตัวใส สูงเกือบห้าเมตรในท่ายืนสี่ขา รูปร่างใกล้เคียงกิ้งก่า ใบหน้าอัปลักษณ์ ดวงตาสีฟ้าซีด หางหนาและใหญ่ แผ่นหลังมีปีกขนาดมหึมาคู่หนึ่งที่ราวกับจะปกคลุมท้องฟ้าหากสยายออกจนสุด


เกล็ดตามลำตัวคล้ายกับทำจากน้ำแข็ง ส่องแสงระยิบระยับ เป็นส่วนที่งดงามที่สุดบนร่างกาย


ทันใดนั้น มังกรที่ดูเหมือนกับก้อนน้ำแข็งยักษ์ชูคอพร้อมกับยกตัวขึ้น แผดเสียงคำรามดังทะลุผ่านพายุหิมะหนาแน่น


ในสภาพยืนสองขา มังกรตัวใสมีส่วนสูงกว่าสิบสองเมตร


ราชาแห่งแดนเหนือ… มังกรน้ำแข็ง… ไคลน์ออกจากความฝัน ใช้ปลายนิ้วเคาะที่วางแขน


ฉากในความฝันชวนให้ตีความได้ว่า :


กุญแจสำคัญในการออกจาก ‘การเดินทางของกรอซาย’ อยู่ที่ราชาแห่งแดนเหนือ!


สมมติฐานแรกของไคลน์ มังกรน้ำแข็งตัวดังกล่าวต้องถูกโค่น เป้าหมายของตัวเอกนามว่า ‘กรอซาย’ จึงจะลุล่วง และเมื่อเนื้อเรื่อง ‘จบบริบูรณ์’ ตัวละครทั้งหมดก็จะถูกส่งออกจากหนังสือ


ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่เป็นไปได้… พลังของเราก็อาจทำลาย ‘กำแพง’ ซึ่งกีดขวางระหว่างโลกในหนังสือและโลกความจริง… อาศัยประสบการณ์อันโชกโชน ไคลน์ผุดไอเดียหนึ่งสำหรับการทดลอง


ก่อนอื่น ชายหนุ่มหยิบไพ่จักรพรรดิมืดทางขวามือขึ้น ผสานเข้ากับร่างวิญญาณของตัวเอง


เพียงพริบตา ร่างกายไคลน์ถูกปกคลุมด้วยชุดเกราะสีดำ เหนือศีรษะสวมมงกุฎหนัก บรรยากาศรอบตัวสง่างามน่าเกรงขาม มอบความรู้สึกยิ่งใหญ่จนคนทั่วไปไม่กล้าสบตา


ถัดมา ชายหนุ่มกระตุ้นพลังภายในมิติลึกลับเหนือสายหมอกเทาจนถึงขีดสุด ควบคุมพวกมันให้เคลื่อนไหวตามใจนึก


เมื่อเห็นฉากตรงหน้า ไคลน์ไม่ลังเลที่จะกวักมือเรียก ‘คทาเทพสมุทร’ จากกองขยะ แผ่พลังวิญญาณเข้าไป


อัญมณีสีน้ำเงินบนหัวคทากระดูกค่อย ๆ สว่างขึ้นทีละเม็ด ส่องแสงพราวพรายระยิบระยับ


สายฟ้าสีเงินจำนวนมากผุดขึ้นจากความว่างเปล่า ปกคลุมพระราชวังเหนือสายหมอกอันโอ่อ่าและสง่างาม ประหนึ่งท้องทะเลแห่งสายฟ้าคำราม


ท้ายที่สุด ไคลน์อาศัยคุณลักษณะในเชิง ‘สะกด’ และ ‘สมดุล’ ของพลังจักรพรรดิมืด ควบคุมมวลพลังของมิติหมอกซึ่งกำลังไหลเวียน ถ่ายเทพวกมันเข้าไปในพายุสายฟ้า


ครืน!


กลุ่มสายฟ้าเส้นหนาเริ่มมารวมตัวเหนือสายหมอก ก่อนที่แต่ละเส้นจะพุ่งผ่าลงมายัง ‘การเดินทางของกรอซาย’ ในรูปแบบหลากหลาย บ้างโจมตีพร้อมเพรียง บ้างเรียงรายตามติด


แสงสว่างอันเจิดจ้าปกคลุมพระราชวังสง่างามจนชวนให้แสบตา กินเวลานานไม่ต่ำกว่ายี่สิบวินาที


รอจนกระทั่งเหตุการณ์สงบ ไคลน์มองไปทางเป้าหมาย พบร่องรอยความเสียหายบนโต๊ะทองแดงยาวหลายจุด แต่หนังสือ ‘การเดินทางของกรอซาย’ กลับปราศจากรอยขีดข่วน มีเพียงรอยยับตรงมุมเล็กน้อย


ทรงพลังกว่าที่คิด… นั่นสินะ วัตถุที่สามารถสร้างโลกอีกใบย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว… การลงทุนซื้อเจ้านี่ในราคาแปดพันปอนด์ไม่ใช่เรื่องขาดทุนเลยสักนิด เราสามารถใช้เป็นโล่สำหรับป้องกันการโจมตีจากตัวตนระดับ ‘นักบุญ’ ได้เป็นอย่างน้อย ข้อเสียเดียวก็คือ ขนาดของมันเล็กเกินไป มิอาจปกปิดร่างกายได้มิดชิด… ขณะกระแสความคิดแล่นผ่านสมองไคลน์ โต๊ะทองแดงยาวกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว


ในเมื่อมิอาจฝืนใช้พลังทำลาย ‘กำแพง’ ที่ขวางกั้นระหว่างโลกในหนังสือและโลกความจริง ทางเลือกเดียวของไคลน์คือการเข้าไปด้วยวิธีการปรกติ


คงต้องกรีดเลือดออกมาจำนวนหนึ่ง นำขึ้นมาที่นี่และป้ายลงบนปก จากนั้นก็เข้าไปด้วยร่างวิญญาณพร้อมกับ ‘ไพ่จักรพรรดิมืด’ และ ‘คทาเทพสมุทร’ … คราวนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกนาสต์ ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร ตรวจพบพลังจักรพรรดิมืด หมอนั่นคงมิอาจหยั่งถึงสิ่งที่อยู่ภายในโลกของหนังสือได้ และไม่น่าจะบุกเข้าไปได้เช่นกัน… แต่ปัญหาคือ หากช่วยชีวิตพลเรือโทธารน้ำแข็งสำเร็จ เธอจะทราบทันทีว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์คือจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด…


ไม่สิ ยังมีปัญหาที่สำคัญกว่านั้น… หากเข้าไปด้วยร่างวิญญาณ ร่างเนื้อของเราจะยังค้างอยู่ในห้องกัปตันของฝันทองคำ… เรายังไม่รู้ว่าเวลาในโลกหนังสือเดินไปเร็วแค่ไหน หลายวันอาจผ่านไปโดยไม่รู้ตัว หากเป็นเช่นนั้นจริง อาจเกิดอันตรายกับร่างเนื้อได้ทุกเมื่อ… คงตลกไม่น้อยถ้าเราช่วยเอ็ดวิน่าสำเร็จ แต่ร่างจริงของตัวเองกลับหายไปแทน… ไคลน์ปัดตกแนวคิดที่จะนำร่างวิญญาณเข้าไป


ชายหนุ่มยังไม่ไว้ใจลูกเรือฝันทองคำขนาดนั้น เช่นเดียวกันกับแอนเดอร์สัน นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด


หลังจากลองทำนายถึงโอกาสสำเร็จหากเข้าไปช่วยเอ็ดวิน่า ไคลน์พบว่าพลังทำนายของตนล้มเหลว จึงนั่งครุ่นคิดสักพักก่อนจะส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง นำ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ตามออกมาด้วยขั้นตอนไม่ซับซ้อน ลบร่องรอยพิธีกรรมทิ้งอย่างหมดจด


มองออกไปยังท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง ไคลน์เดินไปทางประตูห้องกัปตัน ปลดกลอนและเปิดประตู


‘นักชิม’ บลู·โวลส์ ‘นักร้อง’ ออร์ฟิอุส และคนที่เหลือต่างกำลังยืนรอด้วยสีหน้าคาดหวัง ไม่ขาดใครไปแม้แต่คนเดียว กระทั่งลูกเรือธรรมดาก็ยังแอบชะโงกหน้ามองจากบันได


“ได้เบาะแสบ้างไหม” บลู·โวลส์โพล่งถาม แต่มันไม่ได้ยินเสียงตัวเอง เพราะทุกคนด้านนอกต่างถามในสิ่งเดียวกัน


ไคลน์ชำเลืองสายตา พยักหน้ารับเล็กน้อย


เพียงพริบตา ชายหนุ่มได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังมาจากทุกจุด บรรยากาศเป็นไปอย่างตื่นเต้นและชื่นมื่น


ถ้าวันหนึ่งเราหายตัวไป จะมีคนคอยเป็นห่วงแบบนี้บ้างไหม… ไคลน์เรียบเรียงคำพูดและหันไปกล่าวกับเดนิส


“ฉันต้องการผู้ช่วย”


กล่าวจบ ชายหนุ่มเดินกลับเข้าห้อง ตรงไปทางโต๊ะอ่านหนังสือ


“ตกลง!” เดนิสรีบเดินตาม ลงกลอนประตูอย่างชำนาญ


“ให้ฉันทำอะไรบ้าง” เพลิงพิโรธถามด้วยสีหน้ากระตือรือร้น ราวกับกำลังจินตนาการถึงฉากที่ตนช่วยชีวิตกัปตันสำเร็จ


ไคลน์ที่ยืนข้างโต๊ะอ่านหนังสือ กล่าวเสียงขึงขัง


“หลังจากนี้จะมีแต่อันตราย… อันตรายอย่างมาก”


“อันตรายอย่างมาก…” เดนิสเคี้ยวคำ


“นายอาจหายไปตลอดกาล หรือไม่ก็ตายโดยไม่รู้ตัว” ไคลน์เล่าผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น


ได้เห็นชายเสียสติอย่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ทำหน้าจริงจัง เดนิสเข้าใจถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ทันที จิตใจพลันดำดิ่งและสับสน


“อันตรายที่ว่า… เกี่ยวกับความปลอดภัยของกัปตันไหม?”


“เกี่ยวข้องโดยตรง” ไคลน์ตอบกระชับ


เดนิสเงียบงันสักพัก สีหน้าค่อนข้างซับซ้อน


“ถ้าไม่ทำ… จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”


“กัปตันของนายอาจติดอยู่ที่นั่นตลอดไป หรือไม่ก็ตายในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า” ไคลน์เล่าความจริงทั้งหมด


เดนิสพะงาบปากขึ้นลง แต่มิได้กล่าวคำใด


สายตาเพลิงพิโรธเหม่อลอยราวสองสามวินาที ก่อนจะหันกลับมาทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์และกัดฟันพูด


“มาเริ่มกันเลย… แม่เย็*!” เดนิสสบถกับตัวเองเสียงค่อย


ไคลน์หยิบกระดาษและปากกาบนโต๊ะ เขียนโน้ตบางอย่างลงไปและพับกระดาษเป็นสี่เหลี่ยม ยื่นให้เดนิส


“เก็บสิ่งนี้ไว้ในกระเป๋า ค่อยเปิดอ่านหลังจากเข้าไป”


“เข้าไป?” เดนิสถามด้วยน้ำเสียงฉงน


ขณะซักถาม มันใช้มือรับกระดาษโน้ตตามจิตใต้สำนึก สอดเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง


ไคลน์ไม่ตอบ เพียงชี้ไปทาง ‘การเดินทางของกรอซาย’ บนโต๊ะอ่านหนังสือและกล่าว


“นำเลือดของตัวเองป้ายลงบนปก”


นี่มัน… เดนิสซึ่งเริ่มคาดเดาบางสิ่งได้ เอื้อมมือไปหยิบกริชทองแดงด้านข้างพร้อมกับพยักหน้า


“ตกลง!”


ราชันเร้นลับ 694 : อ่านจบให้รีบเผาทิ้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในท่าถือกริชทองแดงด้วยมือขวา เดนิสขยับคมมีดมาวางบนหลังมือซ้ายอย่างระมัดระวัง แต่สุดท้ายกลับค้างไว้เช่นนั้นด้วยสีหน้าลังเล


เพลิงพิโรธเงยหน้า ฝืนยิ้มและกล่าว


“ถึงจะเคยบาดเจ็บมาหลายครั้ง แต่ฉันก็ยังกลัวเจ็บอยู่ดี”


“อยากจะพูดอะไร” ไคลน์ตอบเสียงเย็น


เดนิสหัวเราะแห้ง


“ฮะฮะ… ฉันก็แค่กลัวเจ็บนิดหน่อย”


เมื่อกล่าวจบ เดนิสออกแรงกดมือขวา เฉือนหลังมือซ้ายด้วยกริชทองแดง คล้ายกับใช้ประโยคเมื่อครู่ในการเบี่ยงเบนความสนใจ ช่วยให้ลืมความกลัวไปชั่วขณะ


เลือดสีแดงเริ่มไหลซึม เดนิสรีบวางมีดลงพร้อมกับใช้นิ้วมือขวาป้ายเลือดละเลงบนปกหนังสัตว์สีน้ำตาลของ ‘การเดินทางของกรอซาย’


เดนิสกลั้นหายใจสักพัก รอการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น


ทันใดนั้น เกล็ดหิมะขนาดเท่าขนห่านพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าพร้อมกับเสียงลมหวีดดังแว่วข้างหู ตามด้วยสายลมอันหนาวเหน็บที่พยายามแทรกซึมเข้ามาในร่างกาย


แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เดนิสกลับยังตื่นตระหนกนานหลายวินาที จนกระทั่งได้สติกลับมาจึงรีบสำรวจรอบตัว พยายามยืนยันที่อยู่ปัจจุบันของตน


มันถูกย้ายตำแหน่งจากห้องกัปตันของฝันทองคำ มายังดินแดนอันเย็นยะเยือกซึ่งมีพายุหิมะปกคลุมหนาแน่นโดยไม่รู้ตัว สภาพอากาศเลวร้ายเสียจนมองไม่เห็นทางเดินข้างหน้า มิอาจบอกได้กระทั่งว่าตนอยู่บนภูเขาหรือทุ่งกว้างกันแน่


เราถูกส่งเข้ามาในโลกแบบไหน? กัปตันเองก็อยู่ที่นี่ด้วย? เดนิสรีบยกมือปิดหน้า กลัวว่าจะตาบอดเพราะแรงลมและหิมะ


หลังจากเริ่มใจเย็น เดนิสหวนนึกถึงสิ่งที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์เคยกำชับ จึงรีบหยิบกระดาษพับออกจากกระเป๋ากางเกง คลี่ออกอย่างระมัดระวัง


ระหว่างกำลังลงมือ มันกังวลว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันทำให้กระดาษแผ่นนี้ขาดหรือปลิวไปตามแรงลม นั่นจะทำให้ความหวังในการรอดชีวิตจบสิ้นทันที แต่โชคดีที่เรื่องแบบนั้นไม่เกิดขึ้น เดนิสตั้งใจอ่านข้อความจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างละเอียด


“จงท่องพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของท่านผู้นี้ด้วยภาษาเฮอร์มิส จะดีที่สุดหากใช้ภาษาเฮอร์มิสโบราณ”


“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย”


“ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา”


“ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”


“อ่านจบให้รีบเผาทิ้ง”


นี่มัน…! ตัวตนลึกลับระดับทวยเทพ? เนื่องจากคาบเรียนของพลเรือโทธารน้ำแข็งเข้มงวดอย่างมาก เดนิสจึงพอจะมีความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับอยู่บ้าง โดยเฉพาะหลักการขั้นพื้นฐาน


ขณะยืนจ้องกระดาษโน้ตบนมือ เดนิสเผลอสูดไอความเย็นและเกล็ดหิมะเข้าไปโดยไม่รู้ตัวจนเกิดอาการคันคอและไอกระแอมรุนแรง สีหน้าบิดเบี้ยวชัดเจน


อย่างไรก็ตาม มันสามารถยืนยันข้อสันนิษฐานเก่าได้หนึ่งเรื่อง


เกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นสมาชิกขององค์กรลึกลับทรงพลัง และพวกเขานับถือเทพผู้มีนามว่า ‘เดอะฟูล’ !


กะแล้วเชียว… บุคคลที่แข็งแกร่งและเสียสติแบบนั้นไม่มีทางเกิดจากอากาศ ต้องมีคนคอยสนับสนุนเบื้องหลัง… เดนิสขยับปกเสื้อและจัดระเบียบเครื่องแต่งกาย สายตาก้มมองกระดาษโน้ตในมือซึ่งกำลังพัดกระพือตามแรงลม สีหน้าเผยความลังเลชัดเจน


มันตระหนักดีว่า การเอ่ยนามพระเต็มของตัวตนลึกลับมีความเสี่ยงสูงเพียงใด หากโชคร้าย จุดจบอาจต้องทุกข์ทรมานยิ่งกว่าความตาย!


แต่กัปตันถูกขังอยู่ที่นี่… และเหนือสิ่งอื่นใด เราไม่รู้วิธีกลับ… เดนิสกำหมัดแน่นพลางเม้มริมฝีปาก


จากนั้น มันประสานมือพร้อมกับท่องพระนามเต็มของเดอะฟูลด้วยภาษาเฮอร์มิสโบราณ



ภายในห้องกัปตันของฝันทองคำ


ไคลน์ซึ่งเห็นเดนิสกลายเป็นภาพมายาและหายตัวไปอย่างไร้เหตุผล หมดข้อสงสัยในวิธีการเข้าสู่ ‘การเดินทางของกรอซาย’


อดทนรอสักพักจนกระทั่งเสียงสวดวิงวอนดังแว่ว ไคลน์ยืนยันว่าเป็นเสียงของผู้ชาย


ฟู่ว… ดูเหมือนว่า ‘การเดินทางของกรอซาย’ จะไม่สามารถปิดกั้นพลังของมิติเหนือสายหมอก โลกภายในหนังสือจึงยังเชื่อมต่อกับมิติลึกลับ… ถ้าเป็นแบบนี้ ตัวเราที่ตามเข้าไปช่วยก็ยังเหลือไพ่เด็ดสำหรับพลิกสถานการณ์… ไคลน์โล่งใจไปหลายส่วน


เพื่อยืนยันให้แน่ชัด ชายหนุ่มเดินถอยหลังสี่ก้าว พึมพำคาถาเพื่อส่งตัวเองเข้าไปในมิติเหนือสายหมอก จนกระทั่งมองเห็นแสงสว่างตัวแทนเดนิสกำลังยุบพองในจุดใกล้กับเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล


ร่างเนื้อและร่างวิญญาณถูกส่งเข้าไปพร้อมกัน… พิจารณาจากความแข็งแรงของโลกภายในหนังสือ ลำพังการดึงร่างวิญญาณออกมาคงไม่เพียงพอที่จะตัดขาด… นอกจากนั้น หากสามารถใช้วิธีดังกล่าวได้จริง การทำนายครั้งก่อนของเราก็ควรได้ผลลัพธ์… คงอันตรายเกินไปที่จะใช้คทาเทพสมุทรเพื่อมอบพรให้เดนิส นั่นอาจเป็นการเร่งให้เขาตายเร็วขึ้น… ไคลน์หรี่ตาลง หลังจากแผ่พลังวิญญาณเข้าไปตรวจสอบ ชายหนุ่มได้ข้อสรุปมากมาย


โดยไม่รีรอ ไคลน์ส่งตัวเองกลับโลกความจริง หยิบกริชทองแดงและใช้กระดาษเช็ดเลือดเดนิสออก


พับกระดาษแผ่นดังกล่าวเก็บใส่กระเป๋า ชายหนุ่มครุ่นคิดวางแผน


ดูเหมือนว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการป้ายเลือดลงบนปกโดยตรง จะได้ไม่ต้องคอยพะวงอันตรายซึ่งอาจเกิดขึ้นกับร่างเนื้อ… และเหนือสิ่งอื่นใด ตัวเราสามารถสะสางปัญหาได้รวดเร็ว


แต่นั่นก็ยังไม่ปลอดภัยเสียทีเดียว เราต้องคอยระวังภัยคุกคามทุกชนิดที่อาจเกิดขึ้นบนเรือ ยกตัวอย่างเช่น… ใครสักคนซึ่งเป็นตัวปัญหา แอบเข้ามาในห้องกัปตันและสังเวย ‘การเดินทางของกรอซาย’ ให้กับพระผู้สร้างแท้จริง แม่มดบรรพกาล หรือปราชญ์เร้นลับ นั่นคงเป็นนรกที่แย่ยิ่งกว่าความตาย…


จากการประเมินของเรา ลูกเรือทุกคนล้วนชื่นชอบพลเรือโทธารน้ำแข็ง ยืนยันได้จากการที่แอนเดอร์สันสามารถเบนเป้าความเกลียดชังมาหาเราสำเร็จด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค… ดังนั้น เราควรบอกกับพวกเขาว่า ชีวิตของพลเรือโทธารน้ำแข็งกำลังตกอยู่ในอันตราย ห้ามให้ใครเข้ามาในห้องกัปตันโดยเด็ดขาด ทุกคนจะได้ช่วยกันสอดส่องและระแวงกันเอง… ต้องได้ผลแน่…


ยังแอนเดอร์สันที่เป็นปัญหา… หมอนั่นคือนักล่าอันดับหนึ่ง แข็งแกร่งกว่าผู้วิเศษคนใดบนเรืออย่างชัดเจน แถมยังเชี่ยวชาญการซุ่มโจมตีและอำพรางตัว สามารถหลบเลี่ยงสายตาคนอื่นเข้ามาในห้องกัปตันได้ไม่ยากเย็น… ชายคนนั้นมีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน เราไม่ควรวางใจเต็มร้อย…


ไม่มีทางเลือก… คงต้องโน้มน้าวให้แอนเดอร์สันเข้ามาใน ‘การเดินทางของกรอซาย’ พร้อมกับเรา…


ท่ามกลางกระแสความคิดหลากหลาย ไคลน์พลิกอ่านหนังสือเล่มเล็กซึ่งปกทำจากกระดาษหนังสัตว์สีน้ำตาลอ่อน หลังจากตรวจสอบสักพัก ชายหนุ่มยังไม่พบเรื่องราวใหม่ของเดนิสปรากฏขึ้น


หรือว่า หากต้องการกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวและถูกบันทึกลงบนหน้ากระดาษ ผู้ที่หลงเข้าไปต้องรักษาชีวิตให้รอดจนกระทั่งได้พบกับกลุ่มของตัวเอก? ไคลน์ซึ่งพยายามคาดเดาเบื้องต้น เดินไปทางประตูห้องพร้อมกับบิดเปิดออก


“สำเร็จไหม?” ‘หูกระต่ายบุปผา’ โจเดอร์สันและคนที่เหลือโพล่งถามอย่างพร้อมเพรียง


ไคลน์ส่ายหน้า กล่าวเสียงขรึม


“ถัดไปจะเป็นพิธีกรรมอันยาวนาน… ห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามารบกวนโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ดอาจสาบสูญไปตลอดกาล หรือไม่ก็เสียชีวิตทันที”


หลังจากอธิบายใจความสำคัญ ชายหนุ่มกวาดตามอง


“ฉันสงสัยว่าหนึ่งในพวกนายอาจเป็นตัวปัญหา ดังนั้น ทุกคนต้องช่วยจับตามองพฤติกรรมของกันและกัน”


ขณะ ‘นักชิม’ บลู·โวลส์เตรียมโต้แย้งตามสัญชาตญาณ มันเพิ่งตระหนักว่าเดนิสซึ่งควรจะอยู่ในห้องกัปตันได้หายตัวไป


เมื่อคำนึงถึงเรื่องที่กัปตันหายตัวไปในลักษณะเดียวกัน บลู·โวลส์เชื่อว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์คงพบต้นตอของปัญหาและต้องการช่วยกัปตันจากใจจริง จึงทำเพียงพยักหน้ารับและกล่าว


“ฉันจะคอยจับตาให้เอง… และทุกคนก็จะคอยจับตาฉันเหมือนกัน”


ไคลน์ไม่สานต่อบทสนทนา หันไปมองแอนเดอร์สันผู้กำลังยืนพิงกำแพงฝั่งตรงข้าม


“นายมากับฉัน”


แอนเดอร์สันยกมุมปาก ส่ายหน้าเล็กน้อย


“ทำแบบนี้คนก็เข้าใจผิดกันหมดว่าฉันเป็นลูกน้องของนาย… ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อนคงคิดว่าดื่มโอสถนักยั่วยุเข้าไป”


แม้จะบ่นอุบอิบ แต่แอนเดอร์สันก็เหยียดตัวตรงและเดินตามเข้ามาในห้องกัปตันอย่างไม่คัดค้าน


หลังจากปิดประตูลงกลอน ไคลน์หันไปจ้องแอนเดอร์สัน


“อยากเป็นส่วนหนึ่งของการผจญภัยอันแสนหายากไหม? นายอาจได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่ล่ามังกรสำเร็จ”


จากการเฝ้าสังเกตตลอดหลายวัน ไคลน์พบว่าแอนเดอร์สัน·ฮู้ดเป็นนักล่าที่เปี่ยมด้วยความอยากรู้อยากเห็นและหลงใหลการผจญภัย อีกฝ่ายจะมีความสุขทุกครั้งเมื่อได้สัมผัสกับความตื่นเต้นแปลกใหม่


แอนเดอร์สันจ้องหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ สำรวจอย่างตั้งใจราวสองสามวินาทีก่อนจะยิ้ม


“ฉันไม่สน”


มันส่ายหัวหนักแน่น


จากนั้น แอนเดอร์สันหัวเราะในลำคอและชิงพูดตัดหน้าไคลน์


“ฉันได้กลิ่นอายความอันตราย… นักผจญภัยเสียสติผู้โด่งดังกำลังชวนฉันไปเสี่ยงอันตรายด้วยกัน สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่านี่คือการผจญภัยที่เต็มไปด้วยอันตรายยังไงล่ะ!”


นึกว่าจะสนใจเสียอีก… ไม่ยอมปล่อยใจไปตามสัญชาตญาณ แต่รู้จักถอยในจังหวะควรถอย… เข้าใจแล้ว สงสัยต้องลองใช้วิธีข่มขู่ หากยังไม่ได้ผลอีก คงต้องโยนหมอนี่ออกจากเรือและบอกให้ฝันทองคำแล่นออกไปกลางทะเล ค่อยกลับมารับหลังจากเสร็จภารกิจ… ในฐานะนักล่าอันดับหนึ่ง การเอาชีวิตรอดบนเกาะร้างคงไม่ใช่เรื่องยาก… ไคลน์วางแผนเสร็จสรรพ สายตาเปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะจ้องหน้าแอนเดอร์สัน


“ฉันจะไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องเผชิญความเสี่ยง”


แอนเดอร์สันนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะยิ้มและตอบ


“ฮะฮะ! ล้อเล่นน่ะ ที่จริงแล้วฉันสนใจการล่ามังกรมาก!”


“…” เปลี่ยนท่าทีเร็วชะมัด… หึหึ ถ้านายยังดึงดันจะปฏิเสธก็เตรียมหาอะไรกินบนเกาะร้างได้เลย… ไคลน์พยักหน้ารับ เดินทางยังโต๊ะอ่านหนังสือและกล่าวกับแอนเดอร์สัน·ฮู้ดด้านหลัง


“ป้ายเลือดลงบนปกหนังสือ แค่นิดเดียวก็พอ”


“ป้ายเลือด?” แอนเดอร์สันจ้อง ‘การเดินทางของกรอซาย’ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น กวาดตามองไปรอบตัว “การหายตัวไปของเอ็ดวิน่าเกี่ยวข้องกับหนังสือเล่มนี้? เจ้านักล่าไม่ได้ความนั่นก็ด้วย? จริงสินะ รู้สึกหมอนั่นจะชื่อว่าเดนิส เกือบจำไม่ได้แล้ว โชคดีว่าค่าหัวเพิ่มขึ้นจากเดิมนิดหน่อยในตอนหลัง”


มุมปากไคลน์กระตุกเบา ๆ พลางตอบกลับอย่างสุขุม


“ถูกต้อง”


“น่าสนใจดีนี่” แอนเดอร์สันเหลือบมองไปทางโต๊ะอ่านหนังสือ หยิบกริชทองแดงขึ้นมากรีดแขนเป็นแผลเล็ก ๆ แค่พอให้เลือดออก


จากนั้น มันวางมีดลงอย่างระมัดระวังและป้ายเลือดลงบนปกของ ‘การเดินทางของกรอซาย’


หลังจากเฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงสักพัก ขณะแอนเดอร์สันเตรียมเช็ดเลือดออกจากกริชทองแดง ทัศนียภาพของมันพลันถูกปกคลุมด้วยพายุหิมะโหมกระหน่ำ


เมื่อเห็นแอนเดอร์สันหายตัวไปในลักษณะเดียวกันเดนิส ไคลน์หยิบกระดาษแผ่นใหม่ออกมาเช็ดเลือดจากกริชทองแดงและพับเก็บใส่กระเป๋า


ไคลน์ไม่มั่นใจว่าทั้งสามคนจะโผล่ในจุดเดียวกันหรือไม่ จึงเตรียมสื่อกลางสำหรับใช้เทคนิค ‘ตามหาคนด้วยแท่งวิญญาณ’ ไว้ล่วงหน้า!


จัดการเสร็จ ไคลน์นำคมกริชเงินวางบนหลังมือตัวเอง


กล้ามเนื้อใบหน้าขยับเล็กน้อย สายตามองต่ำเฉียงไปทางด้านข้าง สูดลมหายใจเข้าสักพักก่อนจะออกแรงกรีด


ร่างกายกระตุกแผ่วเบา ศีรษะเบือนไปด้านข้างพร้อมกับอ้าปากเล็กน้อย


รอจนกระทั่งเลือดไหล ไคลน์ซึ่งยังคงถือกริชทองแดง รีบคว้าไม้ค้ำคู่กายและป้ายเลือดลงบนปกหนังสือ


เพียงพริบตา ชายหนุ่มพบว่าตนถูกส่งมายังโลกแห่งหิมะสีขาวโพลน


ราชันเร้นลับ 695 : แตกต่างอย่างชัดเจน

โดย

Ink Stone_Fantasy

สายลมรุนแรงพัดปะทะใบหน้าไคลน์พร้อมกับเศษหิมะและเกล็ดหิมะขนาดเท่าขนห่าน ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบตัวด้วยร่างกายที่สั่นเทาอย่างมิอาจหักห้าม ลำตัวเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย


“หนาวฉิบ…” ไคลน์ที่เกือบหลุดสบถ ผ่านไปสักพักเริ่มยืนยันได้ว่า ตนกำลังอยู่ท่ามกลางทุ่งหิมะซึ่งมีทัศนวิสัยค่อนข้างย่ำแย่


เดิมที ชายหนุ่มเคยเชื่อว่าฤดูหนาวในกรุงเบ็คลันด์นั้นเลวร้ายที่สุดชนิดหาใครมาเทียบ แต่ปัจจุบันกำลังตระหนักว่า อากาศเย็นจัดและสายลมอันแหลมคมคล้ายใบมีดคือส่วนผสมที่สามารถฆ่ามนุษย์ให้ตาย แม้ว่าไคลน์จะสวมชุดกันหนาวเตรียมไว้ก่อนเข้ามา แถมยังสวมเสื้อคลุมหนาตัวยาวทับอีกชั้น แต่กระนั้นก็เกือบทนความหนาวไม่ไหว


ชายหนุ่มมิได้สวมเข็มกลัดสุริยันเนื่องจากผลลัพธ์ของมันสร้างเพียงความร้อน ‘ทางจิตใจ’ สมบัติวิเศษชนิดนี้อาจช่วยให้ฝ่าฟันความหนาวเหน็บที่บั่นทอนสตินึกคิดได้ในช่วงแรก แต่หากสวมไว้ท่ามกลางพายุหิมะและสายลมแหลมคมเป็นเวลานาน นั่นจะไม่ต่างอะไรกับฆ่าตัวตาย ความร้อนจากเข็มกลัดสุริยันจะทำให้ร่างกายรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางฤดูร้อน ผู้ใช้งานอาจตัดสินใจทำเรื่องโง่ ๆ อย่างการถอดเสื้อผ้าออกจนเผชิญความหนาวเย็นและแข็งตาย


เป็นเหตุผลว่าทำไมไคลน์ถึงโยนมันไว้บนมิติหมอก เตรียมใช้เฉพาะในช่วงเวลาสำคัญ เพียงแค่ส่งตัวเองขึ้นไปเอาลงมา


ท่ามกลางสภาพอากาศอันเลวร้าย ชายหนุ่มไม่กล้าแช่อยู่นานนัก หลังจากยืนยันสภาพแวดล้อมจนแน่ใจ ไคลน์เผาเลือดบนกริชทองแดงในมือและยัดเก็บใส่กระเป๋า จากนั้นก็ล้วงหยิบ ‘ฮาร์โมนิก้า’ ออกมาเป่า


ท่ามกลางเสียงลมโหยหวน หลังจากลองเปิดเนตรวิญญาณตรวจสอบสักพัก ไคลน์ไม่พบผู้ส่งสารไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์


เป็นอย่างที่คิด… ที่นี่ไม่ได้เชื่อมต่อกับโลกวิญญาณ หรืออาจมีโลกวิญญาณแยกเป็นของตัวเอง… ถ้าเป็นแบบนี้ เกรงว่าแม้แต่การสวดวิงวอนถึงเทพสมุทรก็คงไม่ได้ผล ต้องเป็นการสวดวิงวอนถึงมิติเหนือสายหมอกสีเทาเท่านั้น…


แต่นั่นก็ยิ่งแปลก… ในฐานะผู้ศรัทธาของเทพปัญญาความรู้ เอ็ดวิน่าย่อมต้องเป็นสมาชิกคนสำคัญของโบสถ์ แล้วเหตุใดเธอถึงไม่พยายามสวดวิงวอนให้พระองค์ช่วยเหลือ? หรือพยายามแล้วแต่ไม่สัมฤทธิผล?


นั่นสินะ… ไม่ใช่ว่าเทพทุกตนจะตอบสนองคำสวดวิงวอนเป็นการส่วนตัวสักหน่อย ในหลายกรณี ดูเหมือนว่าจะต้องผ่านเงื่อนไขหลายประการพวก ‘ท่าน’ จึงจะยอมตอบสนอง ตัวตนลึกลับที่คอยตอบสนองทุกคำภาวนาคงไม่มีใครนอกจากเรากระมัง… ไคลน์หัวเราะพลางวิเคราะห์


ชายหนุ่มเก็บฮาร์โมนิก้า หยิบกระดาษเปื้อนเลือดของเดนิสออกมาพันรอบไม้ค้ำ


“ตำแหน่งของเดนิส”


ไคลน์กระซิบเสียงแผ่วพร้อมกับใช้เทคนิค ‘ค้นหาด้วยแท่งวิญญาณ’


ถัดมาเป็นการเดินไปบนชั้นหิมะหนา ทิศทางการเดินจะขึ้นอยู่กับผลลัพธ์จากไม้ค้ำ ไคลน์เร่งฝีเท้าผ่านท่องฟ้าอันหมองหม่นและสายลมโหมกระหน่ำ ชายหนุ่มเชื่อว่า เดนิสคงไม่หยุดรอในตำแหน่งเดิมนานนัก ไม่อย่างนั้นมันคงได้แข็งตาย


ราวสิบนาทีต่อมา ไคลน์พบเปลวไฟสีแดง


ฟู่ว… ชายหนุ่มถอนหายใจ เดินต่อไปสองสามก้าวจนกระทั่งเห็นเป้าหมายอย่างแจ่มชัด


เป็นเดนิสไม่ผิดแน่ โจรสลัดคนดังแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าค่อนข้างบาง กำลังเดินตัวสั่นพลางจับแขนด้วยสีหน้าเหม่อลอย


แต่ดูเหมือน ‘เพลิงพิโรธ’ จะมิได้เผชิญความหนาวมากนัก รอบตัวรายล้อมด้วยอีกาเพลิงสีแดง คอยละลายหิมะและปิดกั้นสายลม คงจะอบอุ่นคล้ายกับฤดูใบไม้ผลิ


ได้เห็นเช่นนั้น ไคลน์เกิดความอิจฉา ‘นักวางเพลิง’ ขึ้นมาทันที แม้ว่านักมายากลก็สามารถอัญเชิญไฟเช่นกัน แต่ไฟของตนมีประสิทธิภาพในเชิงโจมตีและมิอาจคงสภาพไว้ได้นานนัก เป็นพลังเพียงชั่วพริบตา หากต้องการสร้างความอบอุ่นแก่ร่างกายก็ต้องหมั่นใช้งานถี่ ๆ ส่วนเวทมนตร์ ‘ควบคุมไฟ’ ต้องใช้ ‘ฟืน’ หรือวัสดุติดไฟง่ายเป็นสื่อกลาง ซึ่งนั่นหาได้ไม่ง่ายนักท่ามกลางทุ่งหิมะแห่งนี้


ไคลน์เร่งความเร็วเดินตามอีกาเพลิงจนกระทั่งเข้าใกล้


เมื่อตระหนักว่ามีใครบางคนกำลังตรงเข้ามา เดนิสเผยความตื่นตระหนักพร้อมกับรีบตรวจสอบ เมื่อเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดเจน โจรสลัดคนดังถอนหายใจพลางเผยรอยยิ้มแฝงเลศนัย


“ฮะฮะ! ฉันมองไม่เห็นดาวแม้แต่ดวงเดียว ไม่แปลกที่จะหลง”


ไคลน์เมินเฉยคำพูดอีกฝ่าย ซักถามเข้าประเด็น


“เผาทิ้งหรือยัง”


“เผาแล้ว!” เดนิสรีบพยักหน้า ร่างกายทุกส่วนเผยความสั่นกลัวที่มิอาจพรรณนาเป็นคำพูด


หลังจากจ้องเดนิสสักพักเพื่อยืนยันจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก ไคลน์เผยรอยยิ้มผู้ดีตามแบบฉบับเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“จงจำนามนั้นให้ขึ้นใจ… การเอ่ยนามเต็มของพระองค์จะทำให้นายได้เป็นสาวกเต็มตัว”


“…” สีหน้าเดนิสพลันบิดเบี้ยว ฝืนยิ้มแห้งที่ไม่ต่างจากร้องไห้


ฉันไม่อยากเปลี่ยนศาสนา! ไม่อยากศรัทธาในตัวตนลึกลับและไม่ทราบที่มาที่ไป! เพลิงพิโรธแหกปากเสียงดังในใจ แต่มิได้กล่าวคำใดออกมา


มันเชื่อว่า หากตอบปฏิเสธทันที เกอร์มัน·สแปร์โรว์คงฝังตนไว้ใต้หิมะ!


ไคลน์เผยรอยยิ้มคล้ายคนเสียสติ เพิ่มระดับเสียง


“และอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องจำเอาไว้… จงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ หากมันรั่วไหลออกไป ทั้งนายและกัปตันจะไม่มีใครรอด”


“เกี่ยวอะไรกับกัปตัน?” เดนิสโพล่ง


ไคลน์รักษาสีหน้าเดิม จ้องเดนิสพลางยิ้ม


“ลองเดาดูสิ”


เดนิสพะงาบปาก มันพอจะเข้าใจเหตุผล จึงหัวเราะในลำคอและกล่าว


“ฉันดูเหมือนคนเก็บความลับไม่เก่งขนาดนั้นเชียว?”


ไคลน์พยักหน้าพลางหยิบกระดาษที่เปื้อนเลือดแอนเดอร์สัน หัวเราะเล็กน้อยและหันไปพูดกับเดนิส


“จงเชื่อในพระองค์ จงซื่อสัตย์ต่อท่าน แล้วสักวัน นายอาจได้เป็นข้ารับใช้เหมือนกับฉัน… เมื่อถึงตอนนั้น ชื่อเสียงของนายจะดังกระฉ่อนไปทั่วห้าห้วงสมุทร ไม่ด้อยไปกว่าเหล่าพลเรือโจรสลัด”


ขณะกล่าว ไคลน์คิดจะทำสัญลักษณ์มือของสาวกเดอะฟูล แต่เพิ่งนึกได้ว่าของแบบนั้นไม่มีอยู่จริง จึงรำพันในใจแผ่วเบา


องค์กรลับจำเป็นต้องปกปิดตัวตน พฤติกรรมไร้สาระเช่นนี้ไม่ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา… มิสเตอร์แฮงแมงกล่าวถูกต้องแล้ว…


ไม่ด้อยไปกว่าพลเรือโจรสลัด… ดวงตาเดนิสพลันลุกวาว


ในเมื่อเราเคยเอ่ยนามเต็มของท่านผู้นั้นไปแล้ว ตามหลักการของศาสตร์เร้นลับ เราถลำตัวเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์แล้วแน่นอน ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส… เดนิสครุ่นคิดหลายสิ่งภายในเวลาแสนสั้น คิดไปกระทั่งการตั้งชื่อให้ลูก


หึหึ… ถ้าไม่ติดว่าเราต้องรักษาภาพพจน์ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ คงพูดออกไปแล้วว่า หากเวลานั้นมาถึง นายจะแข็งแกร่งจนคู่ควรกับพลเรือโทธารน้ำแข็งเลยทีเดียว… แน่นอน หล่อนจะชอบนายหรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่อง แต่จากสิ่งที่เห็น นายไม่มีหวังเลยสักนิด… เอ็ดวิน่าต้องการคู่ครองที่สามารถศึกษาหาความรู้และปรับปรุงข้อบกพร่องไปด้วยกัน ต้องมีความรู้เชิงลึกในศาสตร์ทุกแขนง… ไคลน์พึมพำพลางใช้ ‘ค้นหาด้วยแท่งวิญญาณ’ อีกครั้ง


“ตำแหน่งของแอนเดอร์สัน·ฮู้ด”


“หมอนั่นก็เข้ามาด้วย?” เดนิสผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเจือความประหลาดใจ


เมื่อท่องประโยคทำนายจบ ไคลน์ปล่อยมือจากไม้ค้ำพลางพยักหน้ารับ


“ถ้าปล่อยไว้ข้างนอก ฉันค่อนข้างกังวล”


นายเองก็ระแวงแอนเดอร์สันเหมือนกันสินะ… เดนิสหันมายิ้มให้


“ใช่แล้ว! ต่อหน้าเจ้านั่นอาจยิ้มให้ แต่ถ้าหันหลังเมื่อไรรับรองว่าถูกมีดเสียบมิดด้ามแน่! ชื่อเสียงของแอนเดอร์สันแย่มากในทะเลหมอก ไม่มีโจรสลัดคนไหนชอบหน้ามัน! เมื่อครู่ แอนเดอร์สันพยายามใส่ร้ายนาย บอกให้พวกเราคอยระวังนายไว้!”


ถ้าโจรสลัดชอบหน้าหมอนั่นสิแปลก และฉายานักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดก็ควรถูกตั้งคำถาม… การโยนความผิดของแอนเดอร์สัน เราเองก็ได้ยิน… ไคลน์เงียบงัน หยิบไม้ค้ำพร้อมกับเดินฝ่าพายุหิมะไปข้างหน้า


เดนิสเดินตามติด คอยละลายหิมะด้วยอีกาไฟเพื่อปิดกั้นความหนาว พวกตนจะได้ไม่แข็งตายไปเสียก่อน


ไม่เลว มีสติใช้ได้… ไคลน์ตระหนักถึงประโยชน์ของการมีคนรับใช้คอยกางร่มในวันที่ฝนตก ใช่แล้ว การมีเบ๊คอยละลายน้ำแข็งท่ามกลางพายุหิมะถือเป็นเรื่องวิเศษ!


บนโลกอันกว้างใหญ่ คนทั้งสองเป็นราวกับจุดดำเล็ก ๆ กลางภาพวาดสีขาวโพลน เสียงย่ำหิมะดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีจึงเดินมาถึงปลายทางที่ไม้ค้ำชี้นำ


“แถวนี้ไม่มีอะไรเลย…” เดนิสกวาดตามอง ไม่พบเบาะแสของแอนเดอร์สัน·ฮู้ดแม้แต่สิ่งเดียว


มันมิได้เคลือบแคลงในความแม่นยำของเทคนิค ‘ค้นหาด้วยแท่งวิญญาณ’ ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เพราะตนก็ถูกหาพบด้วยวิธีนี้


ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เปิดเนตรวิญญาณเพื่อยกระดับสัมผัสวิญญาณ


มันตรวจพบบางสิ่งในทันที จึงใช้ไม้ค้ำกระแทกหิมะด้านหน้าจนพื้นหิมะถล่มลง


จุดที่หิมะถล่มลงไปเผยให้เห็นโพรงลึกคล้ายถ้ำ ก้อนหินสีดำด้านในกำลังสะท้อนกับแสงไฟจากเปลวเพลิง


ไคลน์ย่อตัวลง ก้มหน้ามอง พบทางเดินคับแคบภายในหลุม สุดทางเดินมีก้อนหินสีแดง และยังเห็นพืชใต้ดินประหลาดชิดหนึ่งถูกเผาต่างฟืน แอนเดอร์สันที่นั่งข้าง ๆ กำลังยิ้มอย่างสบายใจพลางย่างสิ่งที่ดูเหมือนกระต่าย กลิ่นไขมันปะทะความร้อนซึ่งมอบบรรยากาศอบอุ่น เริ่มแทรกเข้ามาในโพรงจมูกของไคลน์และเดนิส


“ถึงแล้วหรือ? ลองชิมเจ้านี่ไหม กระต่ายประหลาดที่สามารถรอดชีวิตท่ามกลางหิมะและน้ำแข็ง” แอนเดอร์สันโน้มตัวมาข้างหน้า พยายามมองมายังนอกปากถ้ำพร้อมกับทักทายเพื่อนฝูงด้วยท่าทีราวกับมาปิกนิก


ทั้งที่ไม่ได้พูดจายั่วยุออกมา แต่เรากลับอยากซัดหน้าหมอนั่นสักหมัด… ไคลน์กระโดดลงหลุมโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า เดินไปทางกองไฟ สัมผัสกับสีสันงดงามที่ห่างหายไปพักใหญ่


เดนิสตามหลังไม่ห่าง หลังจากจ้องเปลวไฟที่ใช้ย่างกระต่าย มันรีบสลายอีกาเพลิงของตนอย่างเงียบเชียบ


“นายหาถ้ำนี้พบได้ยังไง?” เดนิสถามด้วยสีหน้าไม่ยอมรับ แต่ร่างกายกลับเดินเข้าใกล้กองไฟอย่างซื่อตรงต่อความรู้สึก


แอนเดอร์สันพลิกกระต่ายที่ถูกมีดสีดำเสียบ หมุนคอมาทางเดนิส


“บทเรียนแรกของนักล่า จงตรวจสอบสภาพแวดล้อมอย่างละเอียด ทำความคุ้นเคยกับมัน และอาศัยพวกมันให้เกิดประโยชน์”


เดนิสชะงักสีหน้า


แอนเดอร์สันมองไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ หัวเราะในลำคอ


“หลุมที่ฉันระเบิดเองกับมือเป็นยังไงบ้าง เจ๋งไปเลยใช่ไหม? เป็นการควบคุมความรุนแรงได้อย่างสมบูรณ์แบบ”


กล่าวจบ มันสูดกลิ่นบรรยากาศรอบตัว


“หอมมาก น่าจะย่างได้ที่แล้ว อยากชิมสักคำไหม? แม้ว่าฉันจะไม่ได้พกเครื่องปรุงติดตัว แต่ที่นี่พอจะมีเกลือผลึกอยู่ รสชาติค่อนข้างฝาด”


“แน่ใจได้ยังไงว่าเจ้านี่กินได้? ถ้าเป็นสัตว์วิเศษ นายได้คลุ้มคลั่งแน่” เดนิสกล่าวพลางส่ายหน้าปฏิเสธ


แอนเดอร์สันชำเลืองด้วยหางตา


“บทเรียนนักล่าที่สอง จงจำแนกว่าสิ่งไหนกินได้และกินไม่ได้”


กล่าวจบ มันบรรจงเหยียดแขน ดึงขากระต่ายลงและยัดใส่ปาก เคี้ยวอย่างออกรสชาติ


ขณะเตรียมกล่าวบางสิ่ง ไคลน์สัมผัสถึงออร่าที่รุนแรงกำลังพุ่งตรงมาจากระยะไกล แรงกดดันของสิ่งมีชีวิตระดับสูงย่อมไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ร่างกายเดนิสพลันสั่นระริกอย่างมิอาจหักห้าม


ออร่าดังกล่าวบินผ่านท้องฟ้าด้านบนไปโดยไม่พบความผิดปรกติของหลุมถ้ำเบื้องล่าง ก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว


ราชาแห่งแดนเหนือ… นามหนึ่งผุดขึ้นในใจไคลน์


ราชันเร้นลับ 696 : คนยักษ์ผู้พิทักษ์

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อสัมผัสได้ว่ามีแรงกดดันมหาศาลบินผ่าน การเคี้ยวของแอนเดอร์สันพลันหยุดชะงัก รอจนกระทั่งอีกฝ่ายบินหายไป จึงค่อยกลืนเนื้อกระต่ายที่เหลือและหันไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“นั่นคือมังกรที่นายหมายถึง?”


ไคลน์พยักหน้ารับ บอกเป็นนัยว่าข้อสันนิษฐานของอีกฝ่ายถูกต้อง


มุมปากแอนเดอร์สันยกขึ้นเล็กน้อย ดูไม่ออกว่ากำลังหัวเราะหรือร้องไห้


“ฉันคิดว่านายหมายถึงมังกรเด็กหรือวัยรุ่น… ไอ้ตัวที่เพิ่งบินผ่านไปมันออกจะ… เฮ่อ ฉันคงเป็นนักล่ามังกรไม่ได้แล้ว อย่างมากก็เป็นได้แค่อุจจาระมังกร… ล่ะนะ”


พลังข่มขวัญของราชาแห่งแดนเหนือรุนแรงมาก… ไม่ด้อยไปกว่าสัตว์ประหลาดเศษเนื้อเย็บติดกันซึ่งมีพลังกระตุ้นให้เส้นขนงอกยาว ที่เราได้พบบนอนาคตกาลเลยสักนิด… บางทีอาจเป็นลำดับ 4… ระดับครึ่งเทพ… ไคลน์วิเคราะห์อย่างเยือกเย็น ไม่เผยความตื่นตระหนักหรือหวาดกลัว


ชายหนุ่มยังคงไม่ลืม จากเรื่องราวที่หนังสือ ‘การเดินทางของกรอซาย’ บันทึกไว้ แม้โจรสลัดหญิงจะถูกราชาแห่งแดนเหนือจู่โจม แต่สุดท้ายเธอก็หนีรอดไปได้อย่างหวุดหวิด จนพบกับคณะเดินทางของตัวเอกที่นำโดยคนยักษ์กรอซาย


เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ดไม่ใช่ครึ่งเทพอย่างแน่นอน เธอคือลำดับ 5 ของเส้นทางนักอ่าน แถมยังถูกดูดเข้าไปในหนังสืออย่างกะทันหัน สมบัติวิเศษหรือสมบัติปิดผนึกส่วนใหญ่ยังอยู่ในห้องกัปตัน พกติดตัวไว้เพียงไม่กี่ชิ้นที่ใช้งานบ่อย…


ด้วยสภาพดังกล่าว เธอกลับยังรอดชีวิตจากการจู่โจมของราชาแห่งแดนเหนือ ไคลน์จึงเชื่อว่า ลำพังการหนีเอาตัวรอดคงไม่ยากเกินความสามารถของตนที่เพิ่งเลื่อนลำดับและปรับเปลี่ยนพลังในถุงมือ แถมยังมีอีกหนึ่งตัวช่วยอย่างการสวดภาวนาถึงห้วงมิติเหนือสายหมอกและยืมพลังคทาเทพสมุทร


นี่คือเหตุผลที่ทำให้ไคลน์กล้าตามเข้ามาในหนังสือ ชายหนุ่มยืนยันแล้วว่าเดนิสสามารถสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลได้ตามปรกติ


อา… ราชาแห่งแดนเหนือไม่น่าจะเป็นสัตว์วิเศษบนเส้นทางทั่วไป อ้างอิงจากคำบอกเล่าของพลเรือโทธารน้ำแข็ง มันน่าจะเป็นสัตว์ประหลาดคลุ้มคลั่งที่ดูดซับตะกอนพลังเกี่ยวกับน้ำแข็งหลากหลายชนิดเข้าไป พลังจึงใกล้เคียงกับครึ่งเทพในบางเส้นทาง แต่ขณะเดียวกันก็มีจุดอ่อนในด้านอื่น… ถ้ามีเรา เอ็ดวิน่า แอนเดอร์สัน รวมถึงทีมผู้วิเศษของคณะเดินทางตัวเอก โอกาสเอาชนะก็ไม่ริบหรี่เสียทีเดียว! หรือต่อให้หมดสิ้นหนทาง เราก็ยังมีคทาเทพสมุทร หนังสือเล่มนี้ไม่มีทางกีดขวางพลังจากมิติหมอกได้แน่ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริง เราคงพบความผิดปรกติได้นานแล้ว… ไคลน์ที่ยืนข้างกองไฟ หันไปทางแอนเดอร์สันพลางยิ้ม


“กลัวหรือ?”


แอนเดอร์สันชะงักเล็กน้อย ยิ้มตอบและกล่าว


“ไม่เลยสักนิด… แต่นายดูมั่นใจมากเลยนะ”


กล่าวจบ มันส่ายหน้าเล็กน้อยพลางมองไปทางเดนิสที่ยังคงเผยอาการสั่นกลัวให้เห็น แม้จะพยายามข่มแล้วก็ตาม


“ตามความคิดของนาย สิ่งใดสำคัญที่สุดสำหรับลูกผู้ชาย”


เดนิสที่กำลังสูดลมหายใจเข้าลึก สะดุ้งเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำถามไม่คาดฝัน ไม่กี่อึดใจถัดมา มันเหยียดนิ้วชี้และนิ้วกลางออก ชี้ลงไปที่เป้ากางเกงตัวเอง


แอนเดอร์สันกะพริบตาหนึ่งครั้ง ระเบิดเสียงหัวเราะ


“สัปดนจริง… พวกโจรสลัดนี่หยาบคายชะมัด… ฮะฮะ! ฉันเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ประโยคเมื่อครู่ของนายดันทำให้ลืมไปหมด…”


“…”


“อ๊ะ! นึกออกแล้ว ที่ฉันอยากจะบอกคือความกล้าหาญ สิ่งสำคัญที่สุดของลูกผู้ชายคือความกล้าหาญ! ลองดูตัวนายในตอนนี้สิ ยังไม่ทันที่มังกรนั่นจะโจมตี ก็เอาแต่สั่นกลัวจนแทบจะใช้มือกุมหัวร้องขอชีวิตอยู่แล้ว!”


ใบหน้าเดนิสพลันแดงก่ำ หันไปถลึงตาใส่อีกฝ่าย


หมอนี่ไม่เคยทำตัวแบบนี้บนเกาะทอสคาร์เตอร์… ไคลน์พึมพำ


ขณะเดนิสเตรียมโต้เถียงว่านั่นเป็นอิทธิพลจากแรงกดดันของมังกร โจรสลัดคนดังพลันฉุกคิดบางสิ่งได้ สีหน้าจึงเริ่มกลับเป็นปรกติ ตอบโต้อย่างเยือกเย็น


“ก็ยังดีกว่าคนที่เปรียบตัวเองเป็นอุจจาระมังกรล่ะนะ”


รอยยิ้มแอนเดอร์สันพลันเลือนหาย มันกระแอมแห้งหนึ่งหน ฉีกขากระต่ายออกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยื่นไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“นายไม่กินหรือ”


ไคลน์เงียบงันหนึ่งอึดใจ ส่ายหน้าเชื่องช้า


“โลกใบนี้เต็มไปด้วยความพิสดาร หากยังยืนยันไม่ได้ว่าปลอดภัย พวกเราก็ไม่ควรกินอะไรส่งเดช… ถึงจะเป็นแค่เนื้อกระต่าย แต่มันอาจทำให้นายต้องติดอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล”


“…” แอนเดอร์สันยกขากระต่ายมาจ่อดมจมูกเล็กน้อย ก่อนจะวางลงด้วยสีหน้ามืดหม่น “แล้วทำไมนายไม่บอกให้เร็วกว่านี้”


ไคลน์ตอบเย็นชา


“ฉันเพิ่งคิดได้”


ใบหน้าแอนเดอร์สันบิดเบี้ยวเล็กน้อย ก่อนจะก้มศีรษะลงและรีบกัดน่องกระต่ายย่างคำใหญ่


“นี่นาย…! ไม่กลัวเลยรึไง?” พฤติกรรมของนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดทำให้เดนิสเผยสีหน้าตกตะลึง


แอนเดอร์สันยิ้มอย่างจนปัญญา


“ฉันกินไปแล้วขาหนึ่ง ป่านนี้คงย่อยเรียบร้อยแล้ว… ในเมื่อเปลี่ยนแปลงชะตากรรมตัวเองไม่ได้ ขอมีความสุขจนถึงที่สุดก็แล้วกัน”


ไคลน์และเดนิสหมดคำจะกล่าวไปพักใหญ่


หลังจากกินขากระต่ายเสร็จ แอนเดอร์สันตั้งคำถาม


“พวกนายจะไม่กินจริง ๆ หรือ? พวกเราไม่มีทางรู้เลยว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนบนโลกใบนี้ ถ้าปล่อยให้ท้องหิว จะเหลือเรี่ยวแรงไปสู้กับสัตว์ประหลาดอย่างมังกรได้ยังไง”


ไคลน์ไม่ตอบทันที เพียงหยิบนาฬิกาพกสีทองออกมาเปิดฝา


“ตอนนี้เวลาข้างนอกคือ… หกโมงเย็นกับอีกสิบนาที… ถัดจากนี้อีกราวสี่ถึงหกชั่วโมง ถ้าไม่มีความผิดปรกติเกิดขึ้นกับนาย พวกเราจะลองหามื้อเบา ๆ กิน”


“…” แอนเดอร์สันทำได้เพียงอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก


ไคลน์เมินอีกฝ่าย หันไปทางเดนิสและกล่าว


“พักสิบห้านาที จากนั้นจะออกตามหากัปตันของนาย”


ขณะพูด ชายหนุ่มล้วงหยิบต่างหูไข่มุกของพลเรือโทธารน้ำแข็ง


“ตกลง!” เลือดลมในตัวเดนิสพลันสูบฉีด ความหนาวเหน็บในใจพลันสลายเป็นปลิดทิ้ง


ผ่านไปเจ็ดแปดวินาที เดนิสกลับไปผิงกองไฟอีกครั้ง



หนึ่งทุ่มตรงตามเวลาโลกภายนอก ไคลน์ในสภาพถือหมวกและไม้ค้ำ อาศัยผลการทำนายคอยนำทาง เดินฝ่าฟันอุปสรรคมากมายจนกระทั่งถึงยอดเขาแห่งหนึ่งพร้อมกับเดนิสและแอนเดอร์สัน


หลังจากเดินวนรอบหินก้อนใหญ่ที่มีน้ำแข็งจับตัวหนา ทั้งสามมองเห็นปากถ้ำมืดมิดขนาดใหญ่ หน้าทางเข้ามีสตรีคนหนึ่งกำลังยืนเฝ้ายามด้วยคันศรแบบโบราณ


เส้นผมของเธอดำขลับ นุ่มสลวย มัดหางม้าเรียบง่าย ใบหน้าอ่อนนุ่มกระจ่างใส แตกต่างจากชาวทวีปเหนือชัดเจน


ในสภาพสวมเสื้อโค้ทและกางเกงล่าสัตว์สีน้ำตาลทรงโบราณ หญิงสาวหันมาจ้องบุรุษทั้งสามคล้ายกับมีอะไรดลใจ


เมื่อเห็นปลายหูที่ค่อนข้างแหลมของเธอ ผนวกกับเรื่องราวที่เคยอ่านจาก ‘การเดินทางของกรอซาย’ ไคลน์เดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร


สตรีผู้นี้คือเอลฟ์สาวที่เป็นเพื่อนร่วมทางคนแรกของคนยักษ์กรอซาย ในเนื้อหามิได้ระบุชื่อสกุลเอาไว้


หากเปรียบกับโลกเก่า ชาวทวีปเหนือจะเหมือนกับชาวตะวันตก ส่วนเอลฟ์หญิงคนนี้มีเสน่ห์คล้ายคลึงชาวตะวันออก… ไคลน์สรุปความประทับใจแรกที่มีต่ออีกฝ่าย


“เอลฟ์! เธอเหมือนกับเอลฟ์ในจิตรกรรมฝาผนังของโบสถ์!” แอนเดอร์สันโพล่งขึ้นอย่างตื่นเต้น “ฉันอยากเจรจากับเธอ อยากได้เธอมาเป็นนางแบบในวาดภาพ!”


เดนิสด้านข้างพ่นลมหายใจ กล่าวเย้ยหยัน


“สัปดนจริง!”


เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ชายคนนี้ยังไม่ลืมทุกคำเสียดสีของแอนเดอร์สัน


“นายรู้จักแต่ภาพวาดแบบนั้นรึไง?” แอนเดอร์สันชำเลืองด้วยหางตา ก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไปหาเอลฟ์สาว


เพียงเริ่มขยับตัว อีกฝ่ายโก่งคันศรโดยปราศจากความลังเล ลูกธนูสีเงินแวววาวถูกบรรจุเสร็จสรรพ


“ห…หยุดก่อน!” แอนเดอร์สันรีบยกสองมือขึ้นระดับอก


เปล่าประโยชน์… เอลฟ์ส่วนมากมักอยู่บนเส้นทางวายุสลาตัน เป็นพวกฉุนเฉียวและใจร้อน… ไคลน์แอบเปิดเนตรด้ายวิญญาณ เตรียมเข้าควบคุมขั้นต้นเพื่อเจรจากับอีกฝ่าย


ทันใดนั้น เบื้องหน้าแอนเดอร์สันพลันปรากฏ ‘ท่อนขา’ ขนาดมหึมาจำนวนสองท่อน สีเทาอมฟ้า กล้ามแน่นทุกมัด รวมไปถึงดาบเล่มใหญ่ที่ส่วนปลายจมลงในหิมะ!


“…” แอนเดอร์สันพูดไม่ออกเมื่อพบว่า ตนสูงเลยหัวเข่าของท่อนขาตรงหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สายตาของนักล่าอันดับหนึ่งค่อย ๆ มองไล่จากปลายดาบขึ้นไปตามสัญชาตญาณ


จนกระทั่งแหงนคอเกือบสุด มันได้พบกับคนยักษ์สูงเกือบสี่เมตร!


ผิวพรรณของยักษ์ตนนี้มีสีฟ้าอมเทา รอบสะโพก หน้าอก และหน้าท้องมีขนสัตว์หนาปกปิด แต่ส่วนอื่นล้วนเปลือยเปล่า ไม่เว้นแม้กระทั่งฝ่าเท้าและท่อนขา


ในสภาพถือดาบเล่มมหึมาที่กว้างยิ่งกว่าบานประตูของมนุษย์ คนยักษ์ก้มมองไคลน์และแอนเดอร์สันด้วยดวงตาแนวตั้งหนึ่งดวงอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์


“พวกเจ้าเป็นใคร… มาทำอะไรในค่ายของกรอซาย”


ขณะไคลน์เตรียมมอบคำตอบ บุคคลที่คุ้นเคยได้เดินออกจากปากถ้ำสีดำขนาดใหญ่ ภาพดังกล่าวทำให้ดวงตาของเดนิสลุกวาว


ในสภาพสวมเสื้อเชิ้ตสีเข้มและกางเกงขายาวสีน้ำตาล ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่ากวาดตามองผู้มาเยือนทั้งสาม ทันใดนั้น สีหน้าอันเย็นชาที่หญิงสาวสวมไว้ตลอดเวลา พลันเผยความตกตะลึงหลังจากเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์และแอนเดอร์สัน·ฮู้ดเต็มสองตา


แต่เพียงไม่นานก็กลับสู่ปรกติ เธอเงยหน้าขึ้นและกล่าวกับคนยักษ์


“กรอซาย พวกเขาเป็นเพื่อนของฉัน”


กรอซายเผยรอยยิ้ม ซักถามด้วยน้ำเสียงเจือความยินดี


“พวกเจ้าก็มาช่วยข้าจัดการกับยูลิเซี่ยนเหมือนกันหรือ?”


ยูลิเซี่ยน? ไคลน์ตอบสนองไม่ถูกไปสักพัก


ทันใดนั้น ชายหนุ่มเห็นเอ็ดวิน่าที่ยืนใต้เงาคนยักษ์ขยิบตาให้ตน เป็นนัยบอกใบ้ให้ตอบว่าใช่


“ใช่”


“ฮะฮะ! ถ้าอย่างนั้น พวกเราคือสหาย!” กรอซายก้มมองมนุษย์ทั้งสาม ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข


ขณะอีกฝ่ายกำลังพูด แอนเดอร์สันแอบชำเลืองเกอร์มัน·สแปร์โรว์พลางกระซิบเสียงแผ่ว


“ฉันเพิ่งเคยเห็นคนยักษ์ตัวเป็น ๆ ก็คราวนี้… ไม่มีทางโจมตีใส่จุดอ่อนได้เลย หมอนี่สูงเกินไป!”


โจมตีเล็บเท้าไปก่อนก็แล้วกัน… ไคลน์พึมพำ ตอบกลับเสียงห้วน


“ยิ่งตัวใหญ่ก็ยิ่งพลาดเป้ายาก”


“…นั่นสินะ” แอนเดอร์สันเห็นพ้อง


ขณะเดียวกัน เอ็ดวิน่าเดินเข้ามาใกล้คนทั้งสามพร้อมกับกล่าวแนะนำ


“นี่คือหัวหน้าค่าย กรอซาย คนยักษ์ผู้พิทักษ์”


“ทางนี้คือผู้ขับขานแห่งเอลฟ์ เซียธาส”


ผู้ขับขานแห่งเอลฟ์? หมายถึงผู้ขับขานสมุทร? ไคลน์เริ่มพบความหวังในการหาสูตรโอสถให้มิสเตอร์แฮงแมน


เอ็ดวิน่าหมุนตัวครึ่งรอบ กล่าวกับกรอซายและเอลฟ์หญิงเซียธาส


“พวกเขาเป็นเพื่อนของฉันเอง… นักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุด เกอร์มัน·สแปร์โรว์ นักล่าสมบัติ แอนเดอร์สัน·ฮู้ด และกะลาสีคนดัง เดนิส”


“…” เราเคยคิดว่าพลเรือโทธารน้ำแข็งจะเป็นพวกจริงจังและเกลียดการโกหกเสียอีก… กะลาสีคนดัง… หึหึ อย่างน้อยก็มีส่วนจริงล่ะนะ… ไคลน์ถอดหมวกคำนับอย่างนอบน้อม ส่วนแอนเดอร์สันทำตามลวก ๆ


เดนิสโล่งใจเมื่อได้ยินได้กัปตันแนะนำตนในฐานะมิตรสหาย มิใช่ลูกน้อง แต่หลังจากผ่านไปสักพัก มันเริ่มพบความผิดปรกติในคำพูด


กรอซายหัวเราะในลำคอ


“เข้าไปในค่ายเถอะ พวกเรากำลังจะทำศึกกับยูลิเซี่ยน!”


เป็นกันเองและมีชีวิตชีวามาก… น่าแปลก ไม่ว่าจะในบันทึกของโบสถ์หรือตำนานของเมืองเงินพิสุทธิ์ คนยักษ์จะถูกนิยามว่าเป็นพวกใจร้อนเสมอ นอกจากนั้นยังเกรี้ยวกราด จ้องแต่จะทำลาย… นั่นสินะ ในหนังสือจะเขียนอะไรขึ้นมาก็ได้ ขอให้สอดคล้องกันเป็นพอ… ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย ตามกรอซายเข้าไปในปากถ้ำกว้าง


เห็นดังนั้น เอ็ดวิน่ารีบขยับเข้าไปใกล้คนทั้งสาม ทำทีว่ากำลังเดินนำทาง แต่ความจริงแล้วแอบกระซิบสองสามประโยค


“ประวัติศาสตร์ที่พวกเขาเล่าให้ฟังค่อนข้างแปลก… ภาษาก็ด้วย ไม่ว่าใครจะพูดภาษาไหน ทุกคนล้วนเข้าใจตรงกัน”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)