Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 691-692
ราชันเร้นลับ 691 : พบหน้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่ต้องรอให้นายบอก ฉันก็พอจะเดาได้จากเหตุการณ์เมื่อครู่… เมื่อได้ยินคำถามของแอนเดอร์สัน ไคลน์สวมสีหน้าเคร่งขรึม
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งได้พบไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ในโลกวิญญาณ ขณะได้เห็นร่างจริงขนาดมหึมาและปราสาทเก่าแก่สไตล์โกธิก ไคลน์เชื่อว่าอีกฝ่ายต้องไม่ใช่ตัวตนธรรมดา ดังนั้น การได้เห็นมาดามผู้ส่งสารเกือบจะเชือดนักล่าอันดับหนึ่งทิ้งอย่างง่ายดาย ไคลน์ไม่เคลือบแคลงอีกต่อไปว่าหล่อนคือครึ่งเทพผู้มีลำดับไม่ต่ำกว่า 4!
ครึ่งเทพยอมส่งจดหมายให้เราเพื่อแลกกับหนึ่งเหรียญทอง? ต่อให้คิดด้วยนิ้วเท้าก็ยังรู้ว่าไม่ปรกติ มาดามผู้ส่งสารคงมีความต้องการอย่างอื่นแอบแฝง… จริงอยู่ที่เรามักพบเจอเหตุการณ์ประหลาดบ่อยครั้ง แต่ในกรณีของมาดามผู้ส่งสาร เธออาจสนใจบางอย่างใจตัวเราและกำลังว่างอยู่พอดี…
สถานการณ์คล้ายกับท่าทีอันเป็นมิตรของ ‘กระจกวิเศษอาโรเดส’ และ ‘อสรพิษปรอท’ วิล·อัสติน… แต่ถึงอย่างนั้นก็ห้ามประมาท ไม่ควรลดการป้องกันตัวลง… ดังนั้น หากยังไม่มีการตกลงให้แน่ชัด เราห้ามเป่าฮาร์โมนิก้าส่งเดชเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอาจถูกมาดามผู้ส่งสารฉีกร่างเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย… ไคลน์ขบคิดหลายสิ่งในเวลาอันสั้นด้วยสีหน้าภายนอกเรียบเฉย ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้แอนเดอร์สันผู้กำลังตื่นตระหนก
“ไม่เกี่ยวกับนาย”
“…” หมอนี่ลึกลับชะมัด! มีผู้ส่งสารเป็นถึงสัตว์วิญญาณระดับครึ่งเทพ! แถมยังรู้จักครึ่งเทพของโรงเรียนชีวิต… ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมราชาอมตะถึงไม่กล้าโจมตีทั้งที่คนสนิทถูกฆ่าตาย… ไม่แม้แต่จะโผล่หัว! หลังจากฉุกคิดบางสิ่ง แอนเดอร์สันแอบชำเลืองไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์
“หืม…?” ไคลน์มองตอบอย่างไร้อารมณ์
แอนเดอร์สันรีบกลอกตาหนี หัวเราะแห้งสองสามหน
“ฉันแค่คิดว่า… นายเหมาะกับการเป็นนายแบบภาพวาด… ภาพประเภทพื้นหลังมืดมน ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เข้ากับบุคลิกของนาย… คิดว่ายังไงบ้าง อยากได้สักรูปไหม? ฉันยินดีวาดให้ เชื่อเมื่อเถอะน่า! ถ้าเป็นของแบบนี้ ฉันถนัดมาก!”
ไคลน์ไม่แยแสถ้อยคำไร้สาระ หยิบนาฬิกาพกเรือนทองขึ้นมาเปิดฝา
“กลับไปที่ห้องของนาย อีกห้านาทีฉันจะไปหา”
“ตกลง” แอนเดอร์สันตอบพลางยิ้ม
รอจนกระทั่งนักล่าอันดับหนึ่งกลับไป ไคลน์หยิบนกหวีดทองแดงอะซิกและนกกระเรียนกระดาษของวิล·อัสติน กลับตัวเดินเข้าห้องน้ำ ลงมือประกอบแท่นบูชา
เมื่อนำต่างหูไข่มุกของพลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า เข้าไปในมิติเหนือสายหมอกเทาสำเร็จ ไคลน์นั่งลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะทองแดงยาว เสกปากกาและกระดาษ เขียนประโยคทำนายเรียบง่าย
“เบาะแสของเอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ด”
ในสภาพถือกระดาษและต่างหู ไคลน์เอนหลังพิงพนัก พำพึมประโยคทำนายเสียงแผ่วพร้อมกับเข้าฌานให้หลับ
ในตอนแรก ภาพการมองเห็นของชายหนุ่มมีเพียงโลกมายาสีเทา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นทุ่งหิมะสีขาวโพลน
เสียงโหยหวนของพายุหิมะดังกลบทุกสิ่ง รอบตัวมีเพียงหมอกหนาทึบรายล้อม มองยังไงก็ไม่เหมือนกับโลกแห่งความจริง
เพียงไม่นาน ไคลน์เห็นเอ็ดวิน่า หญิงสาวเจ้าของผมสีน้ำตาลมัดรวบ กำลังผจญภัยท่ามกลางพายุหิมะอันเกรี้ยวกราด
หญิงสาวสวมเชิ้ตเอวลอยสีขาว ปกเสื้อและปลายแขนเต็มไปด้วยลวดลายซับซ้อน กางเกงขายาวสีเข้ม ท่ามกลางสภาพแวดล้อมตรงหน้า มองยังไงก็ไม่เข้ากันเลยสักนิด
เอ็ดวิน่าสวมรองเท้าบูตหนังเดินไปบนหิมะอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นรอยเท้าทางยาวหนึ่งแถว อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางพายุหิมะโหมกระหน่ำ รอยเท้าจางหายไปในเวลาไม่นาน
ทัศนียภาพของชายหนุ่มค่อย ๆ แตกกระจัดกระจาย ไคลน์ลืมตาขึ้นพร้อมกับตระหนักว่า จากความฝันเมื่อครู่ ตนไม่สามารถตีความตำแหน่งปัจจุบันของพลเรือโทธารน้ำแข็ง
“ขั้วโลก? ทุ่งรัตติกาลนิรันดร์? ไม่มีทางยืนยันได้ว่าเป็นที่ไหน… นอกจากพายุหิมะก็มองไม่เห็นอะไรอีก…” ไคลน์นั่งหลังตรง วางต่างหูไข่มุกและกระดาษเขียนประโยคทำนายลง
หลังจากใคร่ครวญสองสามวินาที ชายหนุ่มเพียงยืนยันได้ว่า เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ดหายตัวไปจาก ‘ฝันทองคำ’ อย่างแน่นอน หรือก็คือ จดหมายจากเดนิสไม่ใช่กับดัก
ไคลน์ทำนายยืนยันอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ และพบว่าบนฝันทองคำไม่มีกับดักรอตนอยู่
ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ออกจากห้วงมิติเหนือหมอกเทา นำต่างหูไข่มุกกลับไปยังโลกจริงด้วยขั้นตอนซับซ้อน
นั่งจินตนาการแผนที่ท้องทะเลแถบเกาะโอลาวีสักพัก ผนวกเข้ากับตำแหน่งปัจจุบันของฝันทองคำ ไคลน์เลือกจุดนัดพบเป็นเกาะร้างแห่งหนึ่งซึ่งชาวประมงมักแวะหลบฝน โดยเขียนลงไปในจดหมายว่า ให้เดนิสนำฝันทองคำไปจอดใกล้กับเกาะดังกล่าว
เก็บกระดาษและปากกา เป่าฮาร์โมนิก้า พบกับผู้ส่งสารสี่หัวอีกครั้ง
ขณะยื่นจดหมาย ไคลน์กระแอมเล็กน้อยพลางซักถาม
“ยังระบุตำแหน่งของเดนิสได้ใช่ไหม”
หนึ่งในศีรษะของไรเน็ตต์พยักหน้า ส่วนที่เหลือขยับปากพูด
“ได้…” “ขอแค่…” “ยังอยู่ในระยะ…”
หลังจากรอสักพักและพบว่ามาดามผู้ส่งสารยังลอยตัวอยู่ ไม่มีทีท่าว่าจะกลับเข้าโลกวิญญาณ ไคลน์ยืนมองพลางกล่าว
“เดนิสจะเป็นคนจ่ายเหรียญทอง”
“ตกลง…” ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์หายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจยาว เริ่มลงมือเตรียมการขั้นสุดท้ายอย่างรอบคอบและเก็บกวาดแท่นบูชาให้เรียบร้อย เก็บของใส่กระเป๋า เดินออกจากห้องตัวเองไปเคาะประตูห้องแอนเดอร์สัน
“พวกเรามีที่ที่ต้องแวะก่อนไปบายัม” ไคลน์เล่าการตัดสินใจของตนให้นักล่าอันดับหนึ่งฟังอย่างใจเย็น “นายมีสองทางเลือก ไปรอฉันที่บายัม หรือไปด้วยกัน”
แอนเดอร์สันเผยรอยยิ้ม
“เลือดนักผจญภัยของฉันกำลังเดือดพล่าน! เคยสงสัยมาตลอดว่าผู้ส่งสารครึ่งเทพตนนั้นนำข่าวแบบไหนมาแจ้ง… คิดไม่ถึงว่านายจะเป็นฝ่ายออกปากชวนด้วยตัวเอง!”
ฉันเปล่าชวน ก็แค่บอกให้เลือก… ไคลน์เบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา เดินไปทางบันไดโรงแรม แอนเดอร์สันเห็นดังนั้นจึงรีบหยิบกระเป๋าเดินทางใบใหม่ที่เพิ่งซื้อ รีบสืบเท้าตามหลังไปอย่างรวดเร็ว
ออกจากโรงแรม ไคลน์นั่งรถม้าเช่าออกจากเขตท่าเรือ ต่อด้วยการเดินเท้าไปยังริมหน้าผาร้างแห่งหนึ่งบนภูเขานักบุญเดรโก้
ขณะยืนจ้องคลื่นกระทบภูเขาด้านล่าง แอนเดอร์สันเผยสีหน้าประหลาดใจ
“ที่นี่คือจุดหมาย?”
ไคลน์ไม่สนใจคำถาม หยิบเครื่องรางดีบุกพร้อมกับกระซิบว่า “พายุ”
ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป ชายหนุ่มแบ่งพลังในยันต์ออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งให้ตัวเอง อีกครึ่งหนึ่งให้แอนเดอร์สัน จากนั้นก็โยนยันต์ลงไปใต้หน้าผา
“หายใจใต้น้ำ… เยื่อเคลือบร่างกายสำหรับทะเลลึก…” เมื่อทราบว่าพลังพิเศษที่ปกคลุมร่างตนคืออะไร แอนเดอร์สันประหลาดใจเล็กน้อย
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังมาจากใต้หน้าผา เป็นสัตว์รูปร่างคล้ายวาฬตัวใหญ่โผล่ขึ้นจากผิวน้ำ
ร่างกายสีน้ำเงินเข้มทุกส่วน ปากอ้ากว้าง เผยให้เห็นฟันซี่ขาวซึ่งมีเศษเนื้อและคราบเลือดติดอยู่
ไคลน์เดินไปริมผาและกระโดด อาศัยพลังเวทร่อนลงอย่างนุ่มนวล เข้าไปในปากของสัตว์ทะเลขนาดมหึมา
แอนเดอร์สันยืนมองด้วยสมองขาวโพลนไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบกระโดดตามลงไปอย่างประหม่า ลงจอดด้านข้างไคลน์
สัตว์ทะเลปิดปากจนทัศนียภาพของทั้งคู่มืดสนิท
จากนั้น มันดำลงใต้น้ำ ว่ายไปยังจุดหมายปลายทาง
ภายในปากสัตว์ทะเล ดวงตาไคลน์กำลังส่องแสงคล้ายสายฟ้า สอดส่องมองหาในความมืดสักพัก พบฟันซี่หนึ่งซึ่งเหมาะแก่การเอนตัวพิง
เนื่องจากมี ‘เยื่อเคลือบทะเลลึก’ ชายหนุ่มไม่กังวลความสกปรก
“ฟู่ว… เจ๋งชะมัด…” แอนเดอร์สันมองไปรอบตัว ซักถามด้วยน้ำเสียงเจือความฉงน “นายคิดวิธีนี้ได้ยังไง? แล้วทำได้ยังไง?”
ไม่เห็นยาก ก็แค่สวดวิงวอนถึงตัวเองและใช้คทาเทพสมุทรเรียกสัตว์ทะเลที่เหมาะสมเข้ามาใกล้… ไคลน์ไม่ตอบคำถาม หรี่ตาลงครึ่งหนึ่งคล้ายกับต้องการพักผ่อน
“อึดอัดแฮะ…” แอนเดอร์สันหยิบซองบุหรี่และก้านไม้ขีดออกจากกระเป๋าเสื้อ “สูบได้ไหม?”
“ลองถามมันดูสิ” ไคลน์ตอบโดยไม่ลืมตา
แอนเดอร์สันหัวเราะแห้ง เก็บไม้ขีดและบุหรี่กลับ
“เจ้านี่ไม่น่าจะชอบกลิ่นบุหรี่”
ท่ามกลางท้องทะเลอันมืดมิดและเงียบสงบ สิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาเคลื่อนตัวใต้น้ำอย่างรวดเร็ว มีการใช้อวัยวะพิเศษเป็นครั้งคราวเพื่อดึงออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ สัตว์ทะเลโผล่ขึ้นเหนือน้ำโดยมีด้านหน้าเป็นเกาะร้าง
หลังจากใช้ยันต์ร่อนลงบนเกาะ ไคลน์หันกลับมามองสิ่งมีชีวิตร่างใหญ่พลางถอดหมวก โค้งศีรษะให้เล็กน้อย
“สุภาพจังนะ…” แอนเดอร์สันผู้เห็นฉากดังกล่าว พูดติดตลก
“ฉันไม่เคยไม่สุภาพ กระทั่งในยามเผชิญหน้ากับเหยื่อ” ไคลน์ชำเลืองไปทางอีกฝ่าย คล้ายกับกำลังบอกเป็นนัยว่า ‘นายก็หนึ่งในนั้น’
แอนเดอร์สันหัวเราะแห้ง ชี้ไปทางฟากหนึ่งของเกาะร้าง
“ตรงนั้นมีเรือ… หือ… ฝันทองคำ!”
พร้อมกันนั้น ไคลน์มองเห็นเรือลำใหญ่ซึ่งมีความยาวหลายสิบเมตร รอบลำเรือสะอาดสะอ้าน ปืนใหญ่กระบอกหลักซึ่งดูไม่เข้ากับขนาดเรือยังคงมีลวดลายซับซ้อนและแสงสว่างหมุนวนอยู่เช่นเคย
ชายหนุ่มถือกระเป๋าเดินทาง ย่างกรายไปยังเรือลำดังกล่าว ใช้เวลาไม่นานก็เข้าประชิดฝันทองคำซึ่งกำลังทอดสมอ
จากนั้น ไคลน์เห็นเดนิสกระโดดลงจากดาดฟ้า รีบวิ่งข้ามน้ำตรงมา
เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เดนิสพยายามเรียบเรียงคำพูด แต่บังเอิญหันไปเห็นอีกหนึ่งบุคคลที่คุ้นเคยเสียก่อน
“แอนเดอร์สัน·ฮู้ด!” เดนิสชี้หน้านักล่าอันดับหนึ่ง ตะโกนเสียงดัง
แอนเดอร์สันหัวเราะในลำคอ
“คาดไม่ถึงสินะ?”
แม้จะยังไม่ทราบว่าทำไมฝันทองคำถึงจอดที่นี่ แต่นั่นก็มิได้ทำให้แอนเดอร์สันเลิกคิดเรื่องการใช้กำลังเข้ายึดเรือ
พวกนายรู้จักกันมาก่อน? ไคลน์ชำเลืองเดนิสด้วยสีหน้าเฉยเมย
เดนิสสะดุ้งจากจิตใต้สำนึก ยิ้มแห้งและกล่าว
“หมอนี่ไม่ใช่คนดี! มันชอบไล่ล่ากลุ่มโจรสลัดบนทะเลหมอก! หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ถูกเปลี่ยนเป็นเงินค่าหัว! เกอร์มัน นายอาจไม่ทราบ ชายคนนี้เคยเติบโตมากับโบสถ์ปัญญาความรู้ แต่หลังจากสอบตกหนแล้วหนเล่าก็ถูกไล่ออก! นี่คือสิ่งที่กัปตันเล่าให้ฟัง ทั้งสองคนเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาก่อน!”
สีหน้าเดนิสบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังดูแคลนสติปัญญาของแอนเดอร์สัน เช่นเดียวกับ ‘หูกระต่ายบุปผา’ โจเดอร์สันและคนอื่น ๆ บนเรือ
แอนเดอร์สันกวาดตามอง จ้องหน้าทุกคนพลางส่ายหัว
“นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักสักหน่อย… สาเหตุที่แท้จริงก็คือ เป็นเพราะฉันไปกระชากผมกัปตันของพวกนายต่างหาก!”
บรรยากาศเงียบสงัดโดยพลัน สีหน้าเดนิสบิดเบี้ยวอย่างมิอาจควบคุม
ราชันเร้นลับ 692 : ข้อสันนิษฐาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเห็นลูกเรือฝันทองคำกำลังพุ่งเป้ามาทางแอนเดอร์สัน ไคลน์เดินหน้าพลางกล่าวกับเดนิสในสภาพหันข้าง
“พาฉันไปที่ห้องกัปตัน”
“ต…ตกลง” เดนิสหันไปจ้องแอนเดอร์สัน
สำหรับตอนนี้ การช่วยกัปตันคือความสำคัญอันดับหนึ่ง… เดนิสพยายามเตือนสติตัวเอง
อันดับแรก ฝันทองคำปล่อยเรือลำเล็กลงมารับ ต่อด้วยการหย่อนบันไดสำหรับเดินขึ้น ฝ่าเท้าไคลน์จึงสัมผัสกับดาดฟ้าเรือโดยไม่ต้องใช้ยันต์ช่วย
แอนเดอร์สันซึ่งตามหลังมาไม่ห่าง เดินยิ้มมุมปากพลางเมินเฉยสายตาอาฆาตจากลูกเรือฝันทองคำ นักล่าอันดับหนึ่งกวาดตาไปรอบตัวราวกับได้กลับมายังบ้านเกิดที่ห่างหายไปนาน
จิตใจเข้มแข็งมาก… นั่นสินะ หลังจากทำให้ครึ่งเทพขุ่นเคืองใจ หมอนี่ถูกบังคับให้ขอโทษต่อหน้าทุกคนและต้องรับทำงานให้อีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นกลับทำเป็นเพียงเรื่องตลก กินข้าวได้ตามปรกติ… ไคลน์ถอนหายใจยาว เดินไปทางผู้ช่วยรองกัปตัน ‘โจเดอร์สัน’ และคนที่เหลือ
“สวัสดี มิสเตอร์สแปร์โรว์ ฉันคือบลู·โวลส์ รองกัปตันของเรือลำนี้” ชายสวมแว่นตาขาเดียว สูงราว 1.8 เมตร ทักทายไคลน์อย่างสุภาพ
‘นักชิม’ ค่าหัวหกพันสองร้อยปอนด์… ค่าหัวของกลุ่มโจรสลัดพลเรือโทธารน้ำแข็ง เฉลี่ยแล้วต่ำกว่าค่าหัวของกลุ่มโจรสลัดพลเรือเอกดวงดาวอย่างมีนัยสำคัญ… คงเป็นเพราะพวกเขาล่าสมบัติเป็นงานอดิเรก… ไคลน์สวมมาดสุภาพของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
“สวัสดีเช่นกัน ฉันเคยได้ยินเรื่องของนายมาบ้าง”
“ฮะฮะ! นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง… ฉันแค่อยากเป็นช่างฝีมือและนักล่าสมบัติที่เก่งกาจ แต่สุดท้ายกลับต้องเดินบนเส้นทางนักชิม” บลู·โวลส์จิกกัดตัวเองพลางชี้นิ้วไปทางบุรุษด้านข้าง “ผู้ช่วยกัปตันเรือ ‘นักร้อง’ ออร์ฟิอุส”
ค่าหัวห้าพันห้าร้อยปอนด์… ฉายาของลูกเรือฝันทองคำแต่ละคนประหลาดฉิบ… หากไม่รู้มาก่อนว่าเป็นกลุ่มโจรสลัดระดับพลเรือโท คงคิดว่าเป็นกรุปทัวร์ทางทะเลที่ชอบกินดื่มรอบกองไฟพลางตามหาขุมทรัพย์ในตำนานปรัมปรา… เป็นวิถีชีวิตที่ไม่เลว… ไคลน์ชำเลืองไปทางออร์ฟิอุส พยักหน้ารับเล็กน้อย
‘นักร้อง’ ออร์ฟิอุสผู้มีโครงหน้าชัดลึกคล้ายรูปปั้นแกะสลัก ผมสีทองส่องประกาย กล่าวด้วยรอยยิ้มเจือความโศก
“แต่ไหนแต่ไร ฉันสรรเสริญเพียงดวงอาทิตย์ แต่ในตอนนี้ ดวงอาทิตย์ของฉันได้หายตัวไป”
“…” เส้นขนทั่วร่างไคลน์เกือบลุกเต้น
“สมกับเป็นชาวอินทิส สามารถพูดประโยคธรรมดาให้ดูเหมือนกับการร้องเพลงได้… ทำไมตัวฉันที่เติบโตในเซกัลและลุนเบิร์ก ถึงไม่มีความสามารถแบบนี้ติดมาบ้างนะ” แอนเดอร์สันหัวเราะในลำคอ มิได้พยายามข่มเหงอีกฝ่ายหรือโอ้อวดตัวเอง เหนือสิ่งอื่นใด มันมีเลือดอินทิสอยู่ครึ่งหนึ่ง
เกิดที่เซกัล พอโตมาก็ไปเรียนที่ลุนเบิร์ก… เข้าใจแล้ว คงเป็นโรงเรียนของโบสถ์ปัญญาความรู้ ถึงได้เป็นเพื่อนร่วมชั้นของพลเรือโทธารน้ำแข็ง… สำหรับมิสเตอร์ออร์ฟิอุส เขาน่าจะครอบครองเส้นทางสุริยัน แต่มีความเป็นไปได้มากว่าจะไม่ใช่คนของโบสถ์สุริยันเจิดจรัส… พิจารณาจากค่าหัว คงอยู่ในลำดับ 6 ‘ผู้รับรอง’ … เกือบลืมไปว่า เราต้องแจ้งให้เดอะซันน้อยทราบเรื่องที่เรามีสูตรโอสถผู้รับรองในมือ อยากรู้เหมือนกันว่าคราวนี้จะนำสิ่งใดมาแลกเปลี่ยน… โดยไม่รอให้บลู·โวลส์แนะนำใครต่อ ไคลน์หันไปทาง ‘หูกระต่ายบุปผา’ โจเดอร์สัน ‘ถังไม้’ แดเนี่ยล และคนอื่น ๆ พร้อมกับกล่าว
“ฉันรู้จักพวกเขาแล้ว อย่ามัวเสียเวลาเลย”
“ตกลง” บลู·โวลส์ถอนหายใจผ่อนคลาย ลูบเคราสั้นเล็กน้อยก่อนจะเดินนำเข้าไปในเขตห้องโดยสาร
หากไม่ใช่เพราะเกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นคนดังบนเรือลำนี้ บลู·โวลส์เองก็ไม่อยากทำตัวสุภาพด้วยสักเท่าไร
ขณะเดียวกัน แอนเดอร์สันจงใจลดความเร็วเพื่อเดินเคียงข้างเดนิส ออร์ฟิอุส และคนที่เหลือ
นักล่าอันดับหนึ่งมองสลับซ้ายขวา เผชิญหน้ากับสายตาอาฆาตของโจรสลัดรอบตัวพลางส่ายหัวยิ้ม
“คนที่พวกนายควรกังวล… ไม่ใช่ฉันหรอกนะ”
“ผิดแล้ว พวกเราไม่ได้กังวลอะไรนาย เพียงแค่อยากจะจับยัดลงไปในนั้น! ในปากกระบอกปืนใหญ่นั่น!” เดนิสไม่เผยความกลัวต่อนักล่าอันดับหนึ่ง เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ที่นี่คือฝันทองคำซึ่งเต็มไปด้วยโจรสลัดลำดับ 7 และ 6
แอนเดอร์สันยกมุมปาก
“ฉันไม่ใช่คนที่พวกนายต้องระวัง ลองคิดดูให้ดี กัปตันของพวกนายเกลียดขี้หน้าฉันมาก ไม่เคยพูดด้วยสักคำ นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกนายต้องการอยู่แล้วหรือ?”
“…” เดนิสขยับปาก แต่มิได้กล่าวคำใด เนื่องจากมองว่าถ้อยคำเหลวไหลของอีกฝ่ายค่อนข้างสมเหตุสมผล
ออร์ฟิอุส โจเดอร์สัน และคนที่เหลือเริ่มมองแอนเดอร์สันด้วยสายตาเป็นมิตรมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
แอนเดอร์สันหัวเราในลำคอ มองตรงไปข้างหน้าพลางกล่าวเสียงแผ่ว
“คนที่พวกนายควรระวังคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์”
“ทำไม?” เดนิสโพล่งถาม
แม้อีกฝ่ายจะเป็นชายเสียสติที่ควรเฝ้าจับตามองเป็นพิเศษ แต่ตอนนี้เขาคือพวกเดียวกัน… เดนิสพึมพำเงียบ
แอนเดอร์สันยกมุมปากพูด
“นึกภาพตามให้ดี สมมตินะ หากเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตามหาตัวกัปตันของพวกนายจนพบและช่วยชีวิตเธอสำเร็จ คิดว่ากัปตันของพวกนายจะไม่ประทับใจในตัวเขาหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น หมอนั่นเองก็ดูดี มีความสง่างามของสุภาพบุรุษเยือกเย็น แข็งแกร่งระดับนายพลโจรสลัด มีเบื้องหลังลึกลับและยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะมองมุมใดก็เหมาะสมกันมาก…”
จะเป็น… แบบนั้น… ไปได้ยังไง… จิตใต้สำนึกของเดนิสต้องการปฏิเสธ แต่มิอาจหาเหตุผลไปหักล้าง ยิ่งคิดก็ยิ่งสอดคล้องกับคำพูดแอนเดอร์สัน
สีหน้าของออร์ฟิอุสและคนที่เหลือเริ่มมืดมน ดวงตาจ้องเขม็งไปทางแผ่นหลังเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยท่าทีหวาดระแวง
สำเร็จ! เบี่ยงเบนความสนใจได้แล้ว… แอนเดอร์สันอมยิ้ม เดินตามเข้าไปในเขตห้องโดยสาร
หลังจากเข้าไปในห้องกัปตัน ภาพแรกในการมองเห็นของไคลน์คือชั้นหนังสือซึ่งเรียงรายจนเกือบเป็นวงกลม บนชั้นเต็มไปด้วยหนังสือ
ตามปรกติแล้ว ห้องกัปตันมักมีแต่ตู้เก็บเหล้า… ชายหนุ่มพึมพำพลางเดินไปทางโต๊ะอ่านหนังสือริมหน้าต่าง
จากคำบอกเล่าของเดนิส พลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า หายตัวไประหว่างการค้นคว้าวิจัยบางสิ่ง เป้าหมายของไคลน์คือการค้นหาเบาะแสของงานวิจัยนั้น รวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด การทำนายบนมิติหมอกเทาจะได้ประสบความสำเร็จ
ณ ปัจจุบัน บนโต๊ะอ่านหนังสือเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง มีทั้งแผ่นกระดาษสีขาว ปากกาหมึกซึมทรงป้อม ขวดหมึกก้นใหญ่ กริชทองแดง และหนังสือสองสามเล่มวางซ้อนระเกะระกะ
กึ่งกลางโต๊ะมีหนังสือเล่มหนึ่งถูกหุ้มด้วยกระดาษหนัง บนผิวสีน้ำตาลอ่อนเขียนเอาไว้ว่า ‘การเดินทางของกรอซาย’ เป็นภาษาฟุซัคโบราณ
นี่มัน… หนึ่งในของสะสมของพลเรือโทธารน้ำแข็ง… ยังไม่ทราบที่มาแน่ชัด สงสัยว่าจะเกี่ยวพันกับตระกูลมังกรและ ‘เลฟซิด’ เมืองแห่งปาฏิหาริย์… เอ็ดวิน่าศึกษาเรื่องนี้ก่อนหายตัวไป? ไคลน์จ้องหนังสือพลางคาดเดาตามสัญชาตญาณ
เห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์จ้องหนังสือโบราณ เดนิสฝืนยิ้ม
“หนังสือเล่มนี้ไม่มีความผิดปรกติ พวกเราตรวจสอบแล้ว”
จะใช่แน่หรือ… ฉันไม่ไว้ใจความรอบคอบของพวกนายสักเท่าไร… เมื่อทราบว่ามีหลายคนตรวจสอบและไม่พบความผิดปรกติที่เด่นชัด ไคลน์ลองใช้สัมผัสวิญญาณตรวจสอบจนพบว่าเดนิสมิได้โกหก จึงเหยียดแขนออกไปสัมผัสพลางซักถาม
“พวกนายเคยอ่าน ‘การเดินทางของกรอซาย’ กันไหม?”
เดนิสส่ายหน้า บลู·โวลส์ ออร์ฟิอุส โจเดอร์สัน และที่เหลือต่างก็ส่ายหน้า
สีหน้าทุกคนคล้ายกับกำลังพูดว่า : พวกฉันเรียนหนักกันทุกว่า ใครจะไปอยากอ่านหนังสือในเวลาว่าง!
เลื่อนปลายนิ้วลงไปสัมผัสบนปกกระดาษหนังสีน้ำตาลอ่อน ไคลน์พลิกเปิดทีละหน้าอย่างตั้งใจ
เพียงไม่นาน ชายหนุ่มเปิดไปถึงหน้าที่แผ่นกระดาษเกาะติดกัน จึงลดสายตาเพื่ออ่านเนื้อหา
หือ… บ้าน่า! ดวงตาไคลน์พลันหรี่ลง รีบพลิกย้อนกลับมาสองหน้า
มันยังจำได้ชัดเจน คราวก่อนที่เคยอ่าน เนื้อหาสิ้นสุดถึงเพียงว่า คนยักษ์กรอซายและพรรคพวกวางแผนล่ามังกรน้ำแข็ง ‘ราชาแห่งแดนเหนือ’ แต่ปัจจุบันกลับมีข้อความเพิ่มจากเดิมอีกสองหน้า!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง จำนวนหน้ากระดาษที่ติดกันลดลง เปลี่ยนไปเป็นหน้ากระดาษปรกติสองหน้า!
บันทึกการเดินทางซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงนานนับพันปี กลับมีความคืบหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหัน… นี่คือผลการค้นคว้าวิจัยของพลเรือโทธารน้ำแข็ง? เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอหายตัวไป? ไคลน์ใคร่ครวญพลางขมวดคิ้ว ตั้งใจอ่านเนื้อหาส่วนใหม่
ทั้งสองหน้าเล่าถึงโจรสลัดหญิงหลงทางคนหนึ่ง ท่ามกลางพายุหิมะหนาแน่น เธอบังเอิญพบกับราชาแห่งแดนเหนือจนเกือบถูกฆ่า แต่หลบหนีได้อย่างหวุดหวิดจนไปพบกับคณะเดินทางของตัวเอกในเรื่องซึ่งกำลังเตรียมตัวล่ามังกรน้ำแข็ง
มีโจรสลัดหญิงเพิ่มเข้ามา… โจรสลัดหญิง… ไคลน์เคี้ยวคำเดิมซ้ำไปมา สมมติฐานหนึ่งพลันแล่นเข้ามาในใจ
หรือนั่นจะเป็นพลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า?
เธอหลงเข้าไปในหนังสือและกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว?
อาศัยข้อสันนิษฐานดังกล่าว ไคลน์ขบคิดจนพบปัญหา
กระจกวิเศษอาโรเดสเคยเล่าว่า เจ้าของคนก่อน ๆ ของหนังสือ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ล้วนหายสาบสูญ… แถมยังเกิดขึ้นหลายครั้ง…
เนื้อหาใน ‘การเดินทางของกรอซาย’ กล่าวถึงคนยักษ์จากยุคมืด เอลฟ์จากยุคสมัยที่สอง นักบวชจากยุคสมัยสี่สาม ขุนนางจากจักรวรรดิโซโลมอน และทหารของอาณาจักรโลเอ็นจากยุคสมัยที่ห้า เป็นความหลากหลายในเชิงยุคสมัยที่ไม่สอดคล้องกันอย่างมาก!
แต่ถ้าทุกคนคืออดีตเจ้าของหนังสือผู้หายสาบสูญ… ความผิดปรกติทั้งหมดก็จะลงล็อก… แม้จะมาจากต่างยุคสมัย แต่ทั้งหมดล้วนถูกดูดเข้าไปในหนังสือเล่มเดียวกันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว! ยิ่งครุ่นคิด ไคลน์ยิ่งยากจะทำใจเชื่อลง แต่ก็ไม่มีทฤษฎีใดสมเหตุสมผลกว่านี้แล้ว
ในโลกของศาสตร์เร้นลับ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้!
ต้องพิสูจน์… นอกจากนั้น เอ็ดวิน่าและเจ้าของคนก่อน ๆ ทำอย่างไรถึงถูกหนังสือ ‘กลืน’ เข้าไป… และต้องทำอย่างไรจึงจะปลดปล่อยพวกเขาออกมาได้… ไคลน์เบือนหน้ากลับ เงียบงันหลายวินาที
ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มเงยหน้า จ้องเดนิสและคนที่เหลือ
“เตรียมเทียนไขและสิ่งของจำเป็นให้พร้อม ฉันต้องถามท่านผู้นั้น”
และท่านผู้นั้นคือตัวเราเอง… ไคลน์หัวเราะในใจ
เป็นชายเสียสติที่มืออาชีพมาก… ‘นักชิม’ บลู·โวลส์และคนที่เหลือไม่ซักถามให้มากความ รีบจัดแจงสิ่งของจำเป็นและเดินออกจากห้องกัปตัน
ไม่มีใครกล้าเป็นประจักษ์พยานในพิธีกรรมแสนอันตราย เว้นเสียแต่เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะสั่ง
ภายในห้องกัปตัน ไคลน์ลงกลอนประตูมิดชิด ปิดหน้าต่าง รีบประกอบพิธีกรรมอย่างเร่งด่วน ส่ง ‘การเดินทางของกรอซาย’ เข้าไปในมิติเหนือหมอกเทา
วางหนังสือโบราณไว้บนโต๊ะทองแดงยาว ชายหนุ่มนั่งลง เสกปากกาและกระดาษ ขีดเขียนประโยคทำนาย :
“เอ็ดวิน่าเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น