Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 689-690
ราชันเร้นลับ 689 : ดีหรือร้าย
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากคนตีระฆังคาโน่ได้ยินชื่อแฟรงค์·ลี สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน
“อา… เขาเป็นคนใจดีและใสซื่อ แต่บางครั้งก็ใสซื่อจนทำให้คนกลัว”
เห็นด้วย… ไคลน์เดินลงบันได ตามหลังคนตีระฆังพลางชวนคุยเรื่อยเปื่อย
“สนิทกับเขาไหม”
คาโน่เดินต่อไปสักพักโดยไม่ตอบ จนกระทั่งหันมากล่าว
“ฉันเป็นผลผลิตที่ล้มเหลว เต็มไปด้วยปัญหา มีแต่คนหัวเราะเยาะ แฟรงค์เป็นเพียงไม่กี่คนที่มองว่าฉันปรกติ ปฏิบัติต่อฉันด้วยจิตใจอันงดงาม”
“แล้วเขาออกจากโบสถ์พระแม่ธรณีทำไม” ในสภาพถือกระเป๋าเดินทาง ไคลน์ซักถามทั้งที่ทราบคำตอบอยู่แล้ว
คาโน่เดินออกจากหอนาฬิกา มองหาเส้นทางสักพักก่อนจะเดินต่อ
“ฉันเองก็ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด… แฟรงค์เป็นเด็กกำพร้า เติบโตในวิหาร รักทุกคนเหมือนครอบครัว มองว่าพระแม่คือมารดาของตน… เขาเป็นคนที่มีความคิดไม่เหมือนใคร ในตอนแรก แฟรงค์มีสิทธิ์ได้รับตำแหน่งบิชอปของมุขมณฑล แต่สุดท้ายเกือบถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหานอกรีต”
แฟรงค์เคยเล่าเรื่องนี้… เขาถูกขับไล่เพราะพยายามผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างกระทิง วัว และข้าวสาลี… ว่ากันตามตรง ถึงจะเป็นเราก็คงส่งแฟรงค์ขึ้นศาลเหมือนกัน… เหตุผลเดียวที่เขายังไม่สร้างความฉิบหายใด เพราะลำดับพลังยังค่อนข้างต่ำอยู่ มีข้อจำกัดในหลายด้าน… ไคลน์พึมพำเงียบงัน เดินตามคนตีระฆังคาโน่ไปตามถนน เลี้ยวเข้าตรอกด้านหลังโบสถ์นักบุญเดรโก้
คาโน่เดินเข้าไปในบ้านธรรมดาหลังหนึ่ง สั่นกระดิ่งทุกสองวินาที รวมทั้งหมดสามครั้ง
ผ่านไปสักพัก เสียง ‘กึกกึก’ ดังใกล้เข้ามา ประตูเปิดพร้อมเสียงเสียดสี
ไคลน์มองเห็นคนผู้หนึ่งสวมโค้ทสั้นสีดำ ชายชราที่มาพร้อมไม้ค้ำแข็งแรง
ผิวพรรณชายชราขาวเนียนราวกับหิมะ ใบหน้าปราศจากริ้วรอยเด่นชัด สวมผ้าคาดตาสีดำปกปิดดวงตามิดชิด
“ท่านสมาชิกสภา มิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์มีธุระจะคุยด้วย”
สมาชิกสภาริคคาร์ด? นี่คือสมาชิกสภาริคคาร์ด? ตาบอดหรือ? ไคลน์เพียงเคยได้ยินเสียง แต่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
ริคคาร์ดขยับใบหูเล็กน้อย บรรจงหันศีรษะมาทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เผยรอยยิ้มและกล่าว
“ขอโทษที่ต้องออกมาพบในสภาพนี้… หลังจากตื่นนอนเมื่อเช้า ผมมีลางสังหรณ์ว่าไม่ควรเปิดตามองสิ่งใดในวันนี้ เพื่อมิให้เกิดอุบัติเหตุจึงต้องสวมผ้าปิดตาตลอดเวลา”
ตอบแบบนี้ก็ได้หรือ… ยังกับนักต้มตุ๋นมืออาชีพ… ไคลน์ทั้งขบขันและประหลาดใจในเวลาเดียวกัน
แต่เพียงไม่นาน ชายหนุ่มเริ่มแปลความหมาย ‘ลางสังหรณ์’ ของอีกฝ่ายออก บางทีอุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นหากริคคาร์ดมองมาทางตน!
ไคลน์ยังจำได้แม่น อสรพิษปรอท วิล·อัสตินเคยกล่าวไว้ว่า ผู้วิเศษเส้นทางสัตว์ประหลาดสามารถมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นมิอาจ ไม่เว้นแม้แต่ ‘ความพิเศษ’ ภายในตัวไคลน์ แม้กระทั่งเด็กชายอาเดมิทอร์ในเมืองทิงเก็น เพียงได้มองมาทางชายหนุ่ม โลหิตพลันทะลักออกจากดวงตา ล้มลงไปดิ้นทุรนทุรายบนพื้นอย่างน่าเวทนา
สมาชิกสภาริคคาร์ดสามารถคาดเดาอนาคตล่วงหน้า จึงสวมผ้าปิดตาเตรียมไว้… ไคลน์ที่ไม่มีงานอดิเรกชอบเห็นคนอื่นเจ็บตัว สลัดความคิดฟุ้งซ่านและซักถามเปลี่ยนประเด็น
“มีเบาะแสเกี่ยวกับสมบัติวิเศษที่ผมต้องการหรือยัง”
“ยัง” สมาชิกสภาริคคาร์ดกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลังจากฟื้นฟูร่างกาย ผมเดินทางไปบายัมและบังเอิญได้พบกับสมาชิกระดับสูงของกองทัพเรือ รอยคิงจึงถูกช่วยเหลือออกมาสำเร็จ แต่นั่นทำให้เสียเวลาไปมากทีเดียว”
ไคลน์ที่พอจะเดาได้ ไม่เผยสีหน้าประหลาดใจ
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอเปลี่ยนเป็นความช่วยเหลือทางอื่น… ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่เผลอสัมผัสกับจิตรกรรมฝาผนังของ ‘เทวทูตโชคชะตา’ จนถูกสาปให้โชคร้าย อยากให้คุณช่วยปัดเป่า”
สมาชิกสภาริคคาร์ดครุ่นคิดสักพัก
“ไม่มีปัญหา คุณนำทางผมไป ห้ามพาเขาออกมา ไม่อย่างนั้นอาจเกิดอุบัติเหตุ”
ไคลน์พยักหน้ารับ ระหว่างเดินเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่งพลางถือกระเป๋าเดินทาง ชายหนุ่มถือวิสาสะถาม
“มิสเตอร์ริคคาร์ด รู้อะไรเกี่ยวกับมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายบ้าง”
จากมุมมองของไคลน์ โรงเรียนกุหลาบและโรงเรียนชีวิตที่มีความขัดแย้งระหว่างกันอย่างรุนแรง ย่อมทราบข้อมูลของกันและกันในเชิงลึก
ริคคาร์ดถือไม้ค้ำเดินตามมาจากด้านข้าง แม้จะไม่มีใครช่วยพยุงหรือคอยนำทาง แต่สมาชิกสภาก็เดินได้อย่างชำนาญประหนึ่งมิได้สวมผ้าปิดตา
ริคคาร์ดหัวเราะในลำคอ
“กล่าวกันว่า มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายเป็นร่างอวตารของ ‘เทพผู้ถูกล่าม’ แห่งโรงเรียนกุหลาบ แต่ผมกลับคิดตรงกันข้าม เทพผู้ถูกล่ามต่างหากที่เป็นร่างอวตารของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย เหตุผลของผมก็คือ ‘แสงแดง’ ไอร์·โมเรียเคยกล่าวว่า ลำดับ 0 ของเส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์ยังคงว่างอยู่ ฮะฮะ… คุณรู้จักลำดับ 0 ใช่ไหม?”
“รู้จัก” ไคลน์ตอบกระชับ ไม่พล่ามจนเกินพอดี มิได้กล่าวออกไปว่าตนเองก็รู้จัก ‘ภารดรภาพแสงพิสุทธิ์’
ริคคาร์ด ‘อืม’ ในลำคอก่อนจะกล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครทราบตัวตนที่แท้จริงของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย ไม่ทราบเส้นทางที่แน่ชัดของท่าน หรือบางทีนั่นอาจเป็นตัวตนที่แท้จริงแล้ว… นอกจากนั้น ผมมีข้อมูลที่สอดคล้องกันจะเล่าให้ฟัง… มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายและดวงจันทร์บรรพกาลเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน คล้ายกับมีบางสิ่งขัดแย้งจนไม่สามารถกลมเกลียวกันได้ เป็นเหตุให้โรงเรียนกุหลาบมักทำตัวเป็นศัตรูกับพวกเราเสมอ… แต่ในบางครั้ง ความสัมพันธ์ระหว่างมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายและดวงจันทร์บรรพกาลก็ซับซ้อนจนยากทำความเข้าใจ คุณอาจคิดไม่ถึงว่า บนทวีปใต้มี ‘ราชาหมอผี’ ที่นับถือดวงจันทร์บรรพกาลแต่เข้าร่วมกับโรงเรียนกุหลาบอยู่ด้วย… เจ็ดโบสถ์หลักอาจเกลียดชังเทพมารอย่างพระผู้สร้างแท้จริง แม่มดบรรพกาล และด้านมืดเอกภพ แต่พวกเขาเกลียดชังดวงจันทร์บรรพกาลและมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายยิ่งกว่า… เช่นเดียวกันกับที่ชุมนุมแสงเหนือ นิกายแม่มด และนิกายมอสส์ไม่ชอบหน้าโรงเรียนกุหลาบสักเท่าไร”
เป็นข้อมูลที่น่าสนใจมาก… มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายคือหนึ่งในสองเทพที่ถูกกีดกันมากที่สุด? ไคลน์ครุ่นคิดพลางโบกรถม้า ยืนมองคนตีระฆังคาโน่และสมาชิกสภาริคคาร์ดขึ้นไปก่อน
หลังจากตัวเองขึ้นตามมา คนขับรถม้าถูกกำชับให้ขับไปยังโรงแรมไม่ไกล
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ รถม้าแล่นถึงปลายทาง ขณะไคลน์กำลังลงจากรถ เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวจนทำให้ถนนทั้งเส้นสั่นสะเทือน เศษกระจกหน้าต่างจำนวนมากร่วงกราวลงบนพื้น
บ้าน่า… ความซวยของแอนเดอร์สันทำงานอีกแล้ว? สัมผัสวิญญาณแจ้งกับไคลน์แบบนั้น และดันเป็นความจริงเสียด้วย โชคดีที่นักล่าเจ้าของดวงซวยยังคงมีชีวิตอยู่
ชายหนุ่มมองออกไปนอกรถม้า เห็นกำแพงใหญ่พังถล่มลงมาจากชั้นสองของโรงแรม เปลวเพลิงและควันดำยังคงหลงเหลือ
ทันใดนั้น ชายผมทองยุ่งเหยิง ปรากฏกายด้วยสภาพที่ไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วสักเท่าไร บ่นพึมพำในลำคอ
“เจ้าพวกนั้นบ้าบิ่นชะมัด… กล้าซื้อขายอาวุธกันในโรงแรม แถมยังเป็นระเบิดรุ่นใหม่ เกือบทำให้เราตายโดยไม่รู้ตัว… โธ่… กระเป๋าเดินทาง…”
ไคลน์ก้มมองกระเป๋าเดินทางในมือตน ภายในใจกำลังคิดว่า โชคดีที่ตนไม่ประมาทและหยิบติดมือไปด้วย
ชายหนุ่มหันกลับมา ช่วยพยุงริคคาร์ดลงจากรถม้า
แอนเดอร์สันสัมผัสบางสิ่งได้ หันมาเผยรอยยิ้มขื่นขมและกล่าว
“พวกพ่อค้าอาวุธสมัยนี้ไม่มีความเป็นมืออาชีพเอาเสียเลย โชคดีที่เป็นเวลากลางวัน แขกในโรงแรมมีไม่มากนัก… เจ้าของโรงแรมน่าสงสารมาก งานนี้คงเสียหายยับเยิน แต่ด้วยทองคำที่พวกพ่อค้าพกติดตัวมา คงพอจะช่วยชดเชยความเสียหายได้อยู่”
แต่ฉันกลับคิดว่า สิ่งที่ควรโทษมากที่สุดคือความซวยของนาย… ไคลน์พยักหน้า หันไปกล่าวกับสมาชิกสภาริคคาร์ด
“เป็นเขา”
ริคคาร์ดมองแอนเดอร์สันในสภาพปิดตามิดชิด
สมาชิกสภาเว้นวรรคสองสามวินาที ตามด้วยเผยรอยยิ้ม
“ส่งเหรียญทองมาหน่อย”
“หือ?” แอนเดอร์สันหยิบเหรียญทองโลเอ็นจากกระเป๋าเสื้อด้วยสีหน้าประหลาดใจ หันไปยิ้มให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์เล็กน้อย “ตามธรรมเนียมของบ้านเกิดฉัน พวกเราจะเย็บกระเป๋าลับขนาดเล็กติดกับเสื้อผ้าตัวในสุด ใส่เหรียญเข้าไปสองสามเหรียญ… ตอนแรกไม่เชื่อ ก็เลยไม่ได้ทำ แต่พักหลังมามีแต่ความซวย…”
ขณะเล่า มันโยนเหรียญให้ริคคาร์ด
ริคคาร์ดรับไว้อย่างไม่ยากเย็น หุบนิ้วทั้งห้า ชักมือกลับ
จากนั้นก็ยิ้มให้
“เอาล่ะ ความโชคร้ายของคุณหายไปแล้ว”
“หือ…?” แอนเดอร์สันหันไปมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้านข้างด้วยสีหน้าตกตะลึง คล้ายกับกำลังพูดว่า ‘นายไม่ได้พาพวกต้มตุ๋นมาหลอกฉันใช่ไหม’
ไคลน์เองก็ประหลาดใจพอสมควร แต่ก็เลือกจะเชื่อในตัวริคคาร์ด ชายคนนี้เป็นถึงสมาชิกสภาแห่งชะตา
ริคคาร์ดเก็บเหรียญทอง หัวเราะในลำคอและพูด
“คำสาปอับโชคที่คุณได้รับในคราวนี้ไม่ใช่อะไรรุนแรง ถ้าไม่เชื่อผม ลองแวะบ่อนพนันและเสี่ยงโชคดูก็ได้”
“เข้าท่า!” แอนเดอร์สันตบมือหนึ่งฉาด เดินไปทักชาวเมืองใกล้เคียงเพื่อถามหาบ่อนพนันที่ใกล้ที่สุด
ผ่านไปไม่นาน มันกลับมาพร้อมกับเสื้อแจ็คเก็ตสะอาดเอี่ยม ดวงตามองไปทางริคคาร์ดที่ยืนรอบนถนน เตรียมอ้าปากกล่าวบางสิ่ง
แต่ทันใดนั้นก็ชะงัก ปิดปากสนิทไปพักหนึ่ง อมยิ้มพลางขอบคุณ
รอจนกระทั่งครึ่งเทพถูกส่งกลับขึ้นรถม้า แอนเดอร์สันเดินเข้ามาหาเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างอารมณ์ดี
“เมื่อครู่ฉันกำลังจะพูดว่า คนตาบอดอย่างคุณไม่น่าจะมองเห็นโชคชะตาของคนอื่นได้เลย… แต่บังเอิญนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นครึ่งเทพ…”
ถ้าพูดออกไป นายคงเป็นนักล่าที่มีจุดจบน่าสมเพชที่สุด เสียชีวิตทันทีหลังจากโชคร้ายถูกปัดเป่า… ไคลน์ไม่สานต่อบทสนทนา เพียงหันไปถาม
“เบาะแสของปืนลูกโม่?”
เนื่องจากยุบพองหิวโหยมีข้อจำกัดพอสมควร ชายหนุ่มจึงอยากได้สมบัติวิเศษที่โจมตีได้หนักหน่วงมาทดแทน
แอนเดอร์สันปรับแต่งทรงผม หัวเราะในลำคอและพูด
“อยู่ที่บายัม… คนขายคือเพื่อนของฉันเอง เมื่อก่อนเคยเป็นนักผจญภัยที่แข็งแกร่งมาก แต่เกิดเบื่อชีวิตที่เต็มไปด้วยอันตรายและไม่แน่นอน จึงใช้เงินเก็บซื้อไร่เครื่องเทศสองสามแห่ง แต่งงานกับผู้หญิงดีๆ และออกจากวงการถาวร… เมื่อไม่นานมานี้ หลังจากมีลูก เขาเกิดความคิดใหม่ อยากให้ลูกเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดี ได้รับการศึกษาคุณภาพสูง มีชีวิตที่มั่นคงและปล่อยภัย จึงวางแผนย้ายไปเบ็คลันด์ ที่นั่นมีทั้งโรงเรียนทางวิชาการและโรงเรียนรัฐคุณภาพสูง… แต่เขาไม่อยากเช่าบ้าน และไม่อยากขายคฤหาสน์ในบายัมที่ยังคงสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง ผนวกกับการที่สมบัติวิเศษเริ่มกลายเป็นส่วนเกินของชีวิต เขาจึงตัดสินใจขายปืนลูกโม่… ในช่วงที่ผ่านมา ฉันมัวแต่ติดตามคณะล่าสมบัติเข้าไปในเขตน่านน้ำพิเศษ จึงไม่ทราบว่าเขาขายออกไปแล้วหรือยัง แต่เชื่อว่าสินค้าราคาเกือบหมื่นปอนด์คงหาคนซื้อไม่ง่ายนัก”
“ตกลง พาฉันไปหาเขา” ไคลน์ตอบเสียงเรียบ
…
บนฝันทองคำ เดนิสกำลังประสบปัญหาที่ชวนให้ตื่นตระหนก
กัปตันของมันหายตัวไปสามวันแล้ว!
ราชันเร้นลับ 690 : มาดามผู้ส่งสาร
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท่ามกลางแสงแดด ฝันทองคำกำลังส่องประกายสีทองระยิบระยับ ไม่ต่างอะไรกับสมบัติเคลื่อนที่ขนาดมหึมา
เดนิสที่อยู่ในห้องกัปตัน เดินวนเวียนอย่างกระสับกระส่าย พยายามจดจำรายละเอียดที่เกิดขึ้น ค้นหาเบาะแสเพื่อสืบสวน
สามวันก่อน กัปตันของมัน พลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า บอกว่าทุกคนบนเรือว่า เธอมีแผนจะค้นคว้าบางสิ่ง อาจไม่ปรากฏตัวนานถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ยกเลิกคาบเรียนทุกชนิดเป็นการชั่วคราว สำหรับเหตุการณ์ทำนองนี้ เดนิสและคนที่เหลือไม่แปลกใจสักเท่าไร เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
ทุกคนต่างดีใจที่ไม่ต้องเข้าเรียน พากันร้องรำทำเพลงและฉลองบนเรืออย่างสนุกสนาน แม้จะเกือบเผาเรือจนวอด แต่ก็ยังเต็มไปด้วยช่วงเวลาแห่งความสุข
จนกระทั่งเวลาผ่านไป ทุกคนรวมถึงเดนิสเริ่มเกิดความเบื่อหน่าย ลึก ๆ ในใจสัมผัสถึงความไม่ปรกติ กัปตันที่ควรจะกลับมาภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง ยังคงไม่ปรากฏตัวในวันถัดมา ไม่แม้แต่จะสั่งให้ลูกเรือเข้าไปส่งอาหาร เบียร์เย็น หรือกระทั่งน้ำเปล่า
หลังจากอดทนรออย่างใจเย็น ลูกเรือของพลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า รวบรวมความกล้าเพื่อเคาะประตูห้อง และสิ่งที่ทุกคนกลัวก็เป็นจริงขึ้นมา ไม่มีใครตอบสนองต่อเสียงเคาะ
ภายใต้การนำของรองกัปตัน บลู·โวลส์ เหล่าโจรสลัดตัดสินใจเปิดห้องกัปตันจนพบว่าด้านในไม่มีใคร!
ทุกคนแยกย้ายกันค้นหาตามห้องเก็บของและห้องอื่นๆ แต่ก็ไม่พบพลเรือโทรธารน้ำแข็ง
พิจารณาจากเหตุการณ์ในอดีต ทุกคนเชื่อว่ากัปตันคงฉุกคิดบางสิ่งได้กะทันหัน จึงใช้พลังพิเศษหรือพลังที่เลียนแบบจากคนอื่น รีบร้อนออกไปจากฝันทองคำโดยไม่ทันได้บอกกล่าวกับใคร
วันถัดมา เดนิสและคนที่เหลือพยายามใช้พิธีกรรมวิญญาณสถิต รวมไปถึงเทคนิคอื่นๆ เพื่อติดต่อกับพลเรือโทธารน้ำแข็ง แต่ก็ไม่มีใครได้รับการตอบสนอง ทุกคนจึงทำได้เพียงค้นหาเบาะแสภายในห้องกัปตันและบริเวณใกล้เคียง อดทนรออย่างใจเย็น
ผ่านไปสามวัน เมื่อพลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า ยังไม่ปรากฏตัว ไม่ตอบสนองต่อสิ่งใดเลย ลูกเรือทุกคนเริ่มกระวนกระวาย
“แม่เย็*! พลังทำนายของนายไม่คืบหน้าเลยรึไง? ไหนบอกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้!” เดนิสหันไปสบถใส่ ‘หูกระต่ายบุปผา’ โจเดอร์สัน
โจเดอร์สันเจ้าของผมสีดำแต่ย้อมทอง ลูบหน้าผากพลางตอบเสียงทุ้ม
“ทั้งหมดล้มเหลว… การทำนายเพื่อแกะรอยทุกช่องทางล้วนไม่มีสิ่งใดตอบสนองกลับมา… แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็มั่นใจว่า กัปตันยังมีชีวิตอยู่ แม้จะระบุตำแหน่งไม่ได้ก็ตาม”
บลู·โวลส์ รองกัปตันผมสั้นหยักศกสีเทา ขยับแว่นตาขาเดียว
“เราต้องรีบขอความช่วยเหลือจากภายนอก… ไม่มีของสะสมชิ้นใดของกัปตันหายไป แม้แต่สมบัติวิเศษที่พกติดตัวเป็นประจำก็ยังอยู่ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสถานการณ์ที่แม้แต่ตัวเธอเองก็คาดไม่ถึง”
“พวกเราขอความช่วยเหลือจากใครได้บ้าง” ลูกเรืออีกคนหนึ่ง ‘ถังน้ำ’ แดเนี่ยลถามด้วยสีหน้ากังวล
บลู·โวลส์ยกมีดเงินที่มีลวดลายสลักขึ้น จ่อปลายจมูกงุ้มของตน
“คงต้องกลับไปที่ชายฝั่งตะวันตกกันก่อน”
ความนัยแฝงก็คือ ต้องเดินทางกลับไปรายงานกับโบสถ์เทพปัญญาความรู้ องค์กรซึ่งอยู่เบื้องหลังพลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า
“เปล่าประโยชน์… การเดินเรือจากแดนสวรรค์ของโจรสลัดไปยังชายฝั่งตะวันตก พวกเราต้องผ่านทะเลโซเนีย ผ่านทะเลเหนือหรือไม่ก็ทะเลคลั่ง จากนั้นก็ล่องเรือบนทะเลหมอกอีกพักใหญ่ กัปตันรอนานขนาดนั้นไม่ได้แน่! อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นตอนไหนก็ได้!” หูกระต่ายบุปผา โจเดอร์สันคัดค้าน “พวกเราต้องขอความช่วยเหลือจากคนที่พร้อมลงมือทันที!”
เดนิสเตรียมสบถคำว่า ‘แม่เย็*!’ แต่ทันใดนั้น ภายในใจพลันฉุกคิดบางสิ่งได้กะทันหัน
บุคคลเดียวที่มันสามารถติดต่อได้ทันทีก็คือ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ และนักผจญภัยเสียสติคนนี้มักโอ้อวดพลังทำนายให้เห็นบ่อยครั้ง แถมยังมีองค์กรลึกลับคอยหนุนหลัง!
บางที… ชายเสียสติคนนั้นอาจหากัปตันพบ เขามักสร้างปาฏิหาริย์ได้เสมอ… เดนิสขยับมือจัดปกเสื้อ ความกังวลใจบรรเทาลงเล็กน้อย
มันยืดอกพอง มองไปรอบตัวพลางกระแอมในลำคอ
“ฉันมีอยู่หนึ่งคน… สามารถติดต่อได้ทันที เชี่ยวชาญการทำนาย…”
ยังไม่ทันกล่าวจบ ‘นักชิม’ บลู·โวลส์ ‘หูกระต่ายบุปผา’ โจเดอร์สัน รวมถึง ‘กายาเหล็ก’ และ ‘ถังน้ำ’ ต่างหันมาจ้องเดนิสด้วยดวงตาแดงก่ำ ทุกคนแหกปากตะโกนโดยมิได้นัดหมาย
“ก็รีบทำเข้าสิวะ!!”
“…” เดนิสเดินออกจากห้องกัปตันอย่างเงียบงัน กลับไปยังห้องตัวเอง
มันคลี่กระดาษ หยิบปากกาและลงมือเขียนจดหมายตามที่กัปตันเคยสอน ขึ้นต้นด้วยคำทักทายตามมารยาทเล็กน้อย
ทันใดนั้น เดนิสชะงักมือชั่วคราว พบว่าบทสนทนาของตนเวิ่นเว้อเกินไป ไม่เหมาะสำหรับจดหมายขอความช่วยเหลือ
“แม่เย็*!” เดนิสสบถกับตัวเอง ฉีกกระดาษออก
จากนั้นก็เริ่มเขียนแผ่นใหม่
“ช่วยด้วย! กัปตันหายตัวไป!”
อึก… ถึงเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะเก่งกาจเหนือจินตนาการสักเพียงใด แต่ก็คงไม่มีทางเข้าใจจดหมายไร้เนื้อหาแบบนี้… แม่เย็*! เดนิสสบถใส่ตัวเองอีกครั้งพลางฉีกกระดาษแผ่นที่สอง
รอจนจิตใจสงบ ครุ่นคิดสองสามวินาที เดนิสจับปากกาและลงมือเขียนเป็นหนที่สาม
คราวนี้เป็นการเกริ่นสั้นๆ เล่าถึงสภาพแวดล้อมก่อนและหลังการหายตัวไปของกัปตัน ระบุตำแหน่งปัจจุบันของฝันทองคำ ปิดท้ายด้วยการซักถามอย่างไพเราะว่า มิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์ คุณยินดีให้ความช่วยเหลือผู้สมรู้ร่วมคิดหรือไม่
จริงสิ… พลังทำนายต้องใช้วัตถุสื่อกลาง… ขณะพับจดหมายและเก็บปากกา เดนิสฉุกคิดได้ว่าจดหมายของตนยังขาดบางสิ่ง จึงรีบกลับไปยังห้องกัปตัน ควานหาจนพบต่างหูไข่มุกคู่หนึ่งซึ่งเอ็ดวิน่าสวมใส่เป็นประจำ
จัดการทั้งหมดเสร็จ เดนิสหยิบสมุดที่ตนจดบันทึกความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับออกมาเปิดอ่าน ผนวกกับประสบการณ์เก่าที่เคยลองทำ ลงมือประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสาร
หลังจากวางเหรียญลงบนแท่นบูชา เดนิสถอยหลังสองก้าว ท่องคาถาเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“ตัวข้า! ขออัญเชิญในนามของข้า! วิญญาณผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและพร้อมรับคำสั่ง ผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แต่เพียงผู้เดียว”
สายลมหวีดแหลมเริ่มส่งเสียงโหยหวน เปลวเทียนไขบนแท่นบูชาซึ่งกำลังลุกโชนเริ่มเปลี่ยนเป็นสีซีด
ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ปรากฏกายอย่างเชื่องช้า หญิงสาวยังสวมเดรสสีดำรุ่มร่ามตัวเดิม มือสองข้างหิ้วศีรษะสี่เศียรที่มีใบหน้างดงามและเหมือนกันทุกประการ
เดนิสคิดว่าผู้ส่งสารจะทำแบบคราวก่อน เพียงกัดเหรียญทองบนแท่นบูชาและคาบจดหมายที่บรรจุต่างหูกลับไป จึงคาดไม่ถึงว่า ศีรษะทั้งสี่ในมือไรเน็ตต์จะขยับเหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นก็มองตรงไปทางห้องกัปตันโดยพร้อมเพรียง
ไม่กี่อึดใจถัดมา หนึ่งเศียรของไรเน็ตต์กัดเหรียญทอง อีกหนึ่งเศียรกัดซองจดหมาย
รอจนกระทั่งผู้ส่งสารประหลาดหายตัวไป เดนิสถอนหายใจยาว ปาดเหงื่อบนหน้าผากพลางผ่อนคลายจากแรงกดดัน
…
ณ เกาะโอลาวี ภายในห้องพักของโรงแรมใหม่
ขณะไคลน์เตรียมบอกให้แอนเดอร์สัน·ฮู้ดผู้ร่ำรวยจากการพนัน ออกไปซื้อตั๋วเรือโดยสารสำหรับเดินทางไป ‘เมืองแห่งการให้’ บายัม สัมผัสวิญญาณของชายหนุ่มพลันร้องเตือนถึงบางสิ่ง
ไคลน์รีบเปิดเนตรวิญญาณ มองเห็นไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ที่ไม่ทราบว่าอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร ในมือกำลังถือศีรษะอันงดงามทั้งสี่
ไม่เหมือนกับผู้ส่งสารโครงกระดูกที่เรารู้ตัวได้เร็ว… กว่าสัมผัสวิญญาณจะเตือนถึงการมาเยือนของมาดามไรเน็ตต์ เธอก็เข้าสู่โลกแห่งความจริงเต็มตัวแล้ว… ไคลน์หยิบจดหมายจากไรเน็ตต์พลางครุ่นคิด
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มพบว่าสัมผัสวิญญาณของแอนเดอร์สันก็มิได้ย่อหย่อนไปกว่าตน อีกฝ่ายเริ่มออกอาการทันที
“นี่คือ… ผู้ส่งสาร?” แอนเดอร์สันซักถามด้วยสีหน้าคลางแคลง คล้ายกับเคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็น
ไคลน์พยักหน้ารับเฉยเมย เปิดซองจดหมายอย่างไม่พิถีพิถัน
หืม… ต่างหูไข่มุก? ไคลน์คลี่กระดาษจดหมายด้วยความฉงน
แอนเดอร์สันด้านข้างโน้มตัวเข้าใกล้ สีหน้าเผยความอยากรู้อยากเห็นเสียเต็มประดา ดวงตาจ้องสำรวจไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์หัวจรดเท้า ก่อนที่จะส่ายหน้าเล็กน้อยและกล่าว
“งดงามจนมิอาจหาคำใดมาพรรณนา…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง แอนเดอร์สันยกมือขึ้นบีบคอตัวเอง ลิ้นแลบยาว มุมปากผุดฟองสีขาวข้น ทางด้านไรเน็ตต์ซึ่งมีเพียงลำคอ เพียงยืนนิ่งในจุดเดิมด้วยท่าทางปรกติ แทบมิได้เผยอาการใด
ไคลน์หันหน้ามามองแอนเดอร์สัน สำรวจสักพักจนแน่ใจ จึงมองไปทางผู้ส่งสารของตนพลางพึมพำ
พลังเหมือนกับมาดามชารอน… มาดามผู้ส่งสารเองก็อยู่บนเส้นทาง ‘นักโทษ’ ด้วยหรือ… ไม่สิ อย่าเพิ่งด่วนสรุป เธอเป็นสิ่งมีชีวิตวิญญาณ ไม่แปลกที่จะเชี่ยวชาญพลังแบบนี้…
เมื่อเห็นแอนเดอร์สันใกล้ขาดใจตาย ไคลน์เอ่ยเสียงเรียบ
“พอก่อน เขายังต้องนำทางให้ผม”
ไรเน็ตต์ขยับมือ หันศีรษะไปทางแอนเดอร์สันด้วยดวงตาแดงก่ำ
แต่ละปากจากแต่ละหัวเริ่มกล่าวอย่างสอดประสาน
“ซอมบี้…” “ก็สามารถ…” “นำทาง…” “ได้เหมือนกัน…”
จบประโยค แอนเดอร์สันปล่อยมือจากลำคอตัวเอง เผยให้เห็นรอยนิ้วที่กดเข้าไปลึกมาก
แค่ก… แค่ก… นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดอ้าปากหายใจหอบ งอตัวเป็นกุ้ง
ไคลน์รีบกวาดตาอ่านจดหมาย พบว่าผู้ส่งคือ ‘โจรสลัดคนดัง’ เดนิส เนื้อความกล่าวว่า พลเรือโทธารน้ำแข็งหายตัวไปอย่างลึกลับ ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
เบือนสายตาออกจากกระดาษจดหมาย ไคลน์ตกใจเมื่อพบว่าไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ยังยืนอยู่ที่เดิม
ตามหลักศาสตร์เร้นลับ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง… ผู้ส่งสารควรจะหายตัวไปหลังจากส่งจดหมายเสร็จไม่ใช่หรือ… โดยจะปรากฏตัวอีกครั้งก็ต่อเมื่อถูกอัญเชิญ… ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ตัดสินใจถามเถรตรง
“คุณรออะไร”
“รอ…” “เจ้า…” “ตอบ…” “จดหมาย…” ศีรษะทั้งสี่ของไรเน็ตต์เปล่งเสียงเป็นจังหวะต่อเนื่อง
“รู้ได้ยังไงว่าเป็นจดหมายที่ต้องตอบ?” ไคลน์ชำเลืองไปทางแอนเดอร์สันที่ยังนอนหมดสติ พบว่านักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่น่าจะได้ยินคำพูดซึ่งไม่สอดคล้องกับบุคลิกภาพของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
ศีรษะด้านหน้าไรเน็ตต์กล่าวอีกครั้ง
“การหายตัว…” “ของเธอ…” “ไม่ชอบมา…” “พากล…”
“คุณรู้ได้ยังไง?” มีแวบหนึ่งที่ไคลน์คิดว่า มาดามผู้ส่งสารแอบอ่านจดหมายของเดนิส
ศีรษะซึ่งมีผมสีทองยาวสลวย บรรจงพูดเรียงต่อกันเป็นประโยค
“ข้า…” “ตรวจสอบ…” “สถานการณ์…” “บนเรือ…”
หืม… ผู้ส่งสารของเรามีงานพาร์ตไทม์เป็นสายลับหรือไง… ถ้าอย่างนั้น มาดามไรเน็ตต์จะรับงานกระทืบคนด้วยไหม… ต้องจ่ายเพิ่มเท่าไร? ไคลน์รำพันเงียบ
“เอาไว้ก่อน ผมยังไม่ตอบตอนนี้”
ชายหนุ่มเตรียมส่งตัวเองเข้าไปในมิติเหนือสายหมอก ตรวจสอบต่างหูไข่มุกของพลเรือโทเอ็ดวิน่าให้เรียบร้อยเสียก่อน
ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ไม่กล่าวสิ่งใด หายตัวไปอย่างไร้สุ้มเสียง
“แฮ่ม…” ในที่สุดแอนเดอร์สันก็พยุงร่างยืน สายตาชำเลืองไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยสีหน้าตกตะลึง “ผู้ส่งสารของนาย… เป็นครึ่งเทพ?”
…………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น