Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 683-688
ราชันเร้นลับ 683 : แกก็อยู่ที่นี่ด้วยสินะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
‘ด้ายวิญญาณ’ สีดำที่งอกยาวออกจากแต่ละร่างกาย เริ่มปรากฏในการมองเห็นของไคลน์อย่างเด่นชัด แต่ชายหนุ่มยังไม่คิดจะแผ่พลังวิญญาณออกไปครอบงำพวกมันทันที
หลังจากจำแนกและยืนยันว่าด้ายวิญญาณกลุ่มใดเป็นของโมโซน่า ไคลน์จิบเบียร์มอลต์พลางชมการชกมวยบนสังเวียนอย่างไม่ละสายตา ท่าทีเหมือนกับคนทั่วไปที่เข้ามาหาความสุข
นักมวยสองคนซึ่งร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า ปราศจากอุปกรณ์ป้องกันทุกชนิด กำลังกระหน่ำหมัดใส่กันอย่างเอาเป็นเอาตาย กำปั้นกระแทกใส่เนื้อหมัดแล้วหมัดเล่า เพียงไม่นานสถานการณ์ก็เริ่มดุเดือด
ได้เห็นเช่นนั้น สิงห์พนันขี้เมาหลายคนต่างเลือดลมสูบฉีด ตะโกนเรียกชื่อนักมวยฝั่งที่ตนลงเดิมพันอย่างไม่ขาดปาก สลับกับการตะโกนว่า
“ฆ่ามัน!”
“ซัดไอ้ลูกโสเภณีให้หมอบ!”
บนชั้นสอง โมโซน่าจดจ่ออยู่กับสังเวียนจนลืมซิการ์ในมือขวา ส่วนมือซ้ายเริ่มกำหมัดแน่น
จากบรรดาคนรอบตัวทั้งหมด นอกเหนือจากกลุ่มที่หันหลังหรือหันข้างให้เพื่อคอยระวังอันตราย คนส่วนใหญ่อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางสังเวียนด้านล่างซึ่งสองนักชกกำลังชุ่มโชกไปด้วยเลือด
ไคลน์ยกแขนขึ้น จิบเบียร์เย็น คล้ายกับหายใจลำบากขึ้นเล็กน้อยจากบรรยากาศที่คุกรุ่น
ทันใดนั้น พลังวิญญาณของชายหนุ่มเริ่มแผ่ออกจากร่างกายอย่างเงียบงัน สัมผัสเข้ากับกลุ่มด้ายมายาสีดำที่เป็นของโมโซน่า
หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที
ขณะโมโซน่าจมูกแดงเตรียมขยับกำปั้นประหนึ่งลงไปชกในสังเวียนเสียเอง สมองของมันพลันวิงเวียนกะทันหัน
โมโซน่ารู้สึกว่าฉากรอบตัวเริ่มเปลี่ยนไป คล้ายกับมีกระจกหนาหลายชั้นวางซ้อนทับ
ความคิดความอ่านของมันช้าลงอย่างชัดเจน ราวกับทุกส่วนในสมองกำลังขึ้นสนิม
เนื่องจากเหยื่อเป็นเพียงคนธรรมดา ความแข็งแกร่งของร่างวิญญาณจึงต่ำกว่าผู้วิเศษมาก ไคลน์สามารถควบคุมขั้นต้นได้ภายในไม่ถึงยี่สิบวินาที
เจ็ดวินาที!
แค่เจ็ดวินาทีเท่านั้น!
แย่ล่ะสิ… มีบางอย่างเกิดขึ้นกับเรา… ดูเหมือนกับ… ผู้วิเศษ… ที่มีพลังประหลาด… โมโซน่าซึ่งมีสายสัมพันธ์อันดีกับโจรสลัด ย่อมไม่ใช่คนแปลกหน้าในโลกผู้วิเศษ และเป็นเหตุผลที่มันยอมทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อจ้างผู้วิเศษมาคุ้มกัน หากไม่ใช่เพราะสุขภาพถูกทำลายด้วยเหล้าเบียร์จนร่างกายอ่อนแอลงมาก เพิ่มความเสี่ยงในการคลุ้มคลั่งจากการดื่มโอสถ โมโซน่าคงเลือกจะครอบครองพลังวิเศษเอาไว้กับตัวสักหนึ่งชนิด
เป็นเพราะยังขาดประสบการณ์และสมองทำงานได้ช้าลง กว่าโมโซน่าจะรู้ตัวว่าถูกเล่นงานก็ปาเข้าไปสิบกว่าวินาที เมื่อเริ่มฉุกคิดได้ มันเตรียมเหยียดแขนพร้อมกับอ้าปากตะโกนขอความช่วยเหลือ
ทว่า การเคลื่อนไหวของร่างกายกลับเป็นไปอย่างเชื่องช้า เสียงพูดเล็ดลอดจากลำคออย่างแผ่วเบา สืบเนื่องจากคนรอบตัวส่วนใหญ่กำลังสนใจเพียงเวทีมวยอันดุเดือด ผนวกกับเสียงตะโกนอึกทึกครึกโครมภายในผับ และคนคุ้มกันส่วนมากจะคอยระวังอันตรายจากด้านนอก จึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปรกติที่เกิดขึ้นกับโมโซน่า
เมื่อถึงช่วงที่บรรยากาศการชกผ่อนปรนลงชั่วคราว บอดี้การ์ดและลูกน้องบางคนหันกลับมามองเจ้านายเล็กน้อย แต่ก็จะพบเพียงว่า ดวงตาของโมโซน่าหมองลงจากปรกติไม่มาก ตำแหน่งของมือไม้ผิดธรรมชาติเล็กน้อย คล้ายกับกำลังหมกมุ่นอยู่กับสังเวียนมวย รอคอยผลลัพธ์ด้วยใจจดจ่อ
น้ำตาเริ่มเอ่อล้นตรงขอบตา มันพยายามคลายนิ้วออกเพื่อปล่อยให้ซิการ์ตกพื้น จะได้ดึงดูดความสนใจของลูกน้องรอบตัว
แต่ยิ่งดิ้นรนก็ยิ่งพบความสิ้นหวัง สมองของมันช้าลงเรื่อย ๆ การเคลื่อนไหวร่างกายเพียงเล็กน้อยต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งนาทีจึงจะสำเร็จ และเหนือสิ่งอื่นใด ปลายนิ้วของตัวเองเริ่มไม่ฟังคำสั่ง!
แปะ!
ซิการ์ที่ถูกจุดค้างไว้สักพัก ตกลงบนพื้นชั้นสองของผับ น้ำตาของโมโซน่าไหลอาบใบหน้า ลามลงไปจนถึงลำคอ
เมื่อบรรดาคนคุ้มกันหันมาเห็นและเตรียมถามว่า เจ้านายตื่นเต้นจนน้ำตาไหลเลยหรือ โมโซน่าพลันงอตัวกะทันหัน เช็ดหน้าเล็กน้อยและก้มหยิบซิการ์บนพื้น
“เป็นการชกที่ดีมาก! เพิ่มเงินค่าจ้างให้ฝั่งที่ชนะ!” โมโซน่าสะบัดซิการ์ จัดปกเสื้อ ยกมุมปากขึ้นอย่างมีความสุข
มันมิได้เจาะจงว่าต้องเพิ่มเท่าไร เพราะไคลน์ยังไร้เดียงสาในธุรกิจประเภทนี้ ทำได้เพียงกล่าวส่งเดชอย่างคลุมเครือ
ถูกต้อง ในปัจจุบัน โมโซน่าแห่งพรรคโลเอ็นใหม่ กลายเป็นหุ่นเชิดของไคลน์อย่างสมบูรณ์!
เนื่องจากหัวหน้าแก๊งอันธพาลรายนี้เป็นเพียงคนธรรมดา แถมร่างวิญญาณยังอ่อนออกว่ามนุษย์ปรกติที่สุขภาพดี ชายหนุ่มจึงใช้เวลาเพียงสองนาทีกับสิบห้าวินาทีในการเข้าควบคุมอย่างสมบูรณ์
หากต้องใช้เวลานานกว่านี้ ไคลน์อาจต้องหาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คน หรือไม่ก็ใช้พลังมายาสร้างภาพหลอน เหล่าบอดี้การ์ดจะได้สนใจแค่ภัยคุกคามจากภายนอก ไม่พบความผิดปรกติบนตัวโมโซน่า
“ฆ่ามัน!”
“ฆ่ามัน!”
…
เสียงตะโกนของผู้ชมเริ่มดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง เหตุเพราะการชกมวยบนสังเวียนใกล้จะสิ้นสุดลงเต็มที โดยโมโซน่ายังคงส่งสัญญาณบอกให้คนคุ้มกันดูเกมต่อไป
จนกระทั่งนักมวยคนหนึ่งล้มลงอย่างไม่ได้สติ โมโซน่าหยิบซิการ์และพูดขึ้น
“กลับห้องกันเถอะ ฉันอยากพักผ่อนแล้ว”
“ขอรับ นายท่าน” บอดี้การ์ดกับลูกน้องรีบเข้ามาล้อมกรอบและช่วยอารักขาไปตามทางเดินทาง จากนั้นก็เปิดประตูห้องพัก
หลังจากสั่งให้ทุกคนไปประจำจุดสำคัญและกำชับว่าห้ามรบกวน โมโซน่าเดินมาเปิดตู้นิรภัย ด้านในมีเอกสารเกี่ยวกับยาเสพติดชนิดใหม่จำนวนหนึ่ง จึงหยิบสิ่งที่คิดว่าน่าจะสำคัญออกมาตรวจสอบ
ถัดมาไม่นาน ชายหนุ่มเก็บรวบรวมเอกสารและที่อยู่ซึ่งตัดมาจากหนังสือพิมพ์ บรรจุลงในกระเป๋าเอกสารพร้อมกับเงินสดเจ็ดร้อยห้าสิบแปดปอนด์
กริ๊ก! โมโซน่าเปิดประตูห้องพัก ตะโกนบอกลูกสมุน
“โยนกระเป๋าใบนี้ไว้ใต้เสาโคมไฟต้นที่สามของมุมตรอก”
“ครับบอส” คนของมันมิได้เอ่ยถามถึงจุดประสงค์
นี่เป็นกฎเหล็ก!
ปิดประตูห้องกลับไปใหม่ โมโซน่าควานหาเทียนไขสามเล่มและวัตถุแฝงพลังวิญญาณ จากนั้นก็ใช้ปากกาและกระดาษขาวเขียนสัญลักษณ์ที่สอดคล้องกับ ‘เดอะฟูล’ อย่างระมัดระวัง ครึ่งหนึ่งของสัญลักษณ์เป็นภาพ ‘เนตรไร้รูม่านตา’ ซึ่งหมายถึงความลับ และอีกครึ่งหนึ่งคือ ‘เส้นเกลียวบิด’ ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลง
จากนั้น หัวหน้าแก๊งอันธพาลที่กลายเป็นหุ่นเชิดโดยสมบูรณ์ จุดเทียนไข ใช้น้ำหอมแทนน้ำมันสกัดและน้ำค้างบริสุทธิ์ สวดวิงวอนด้วยท่าทางเคร่งขรึม
โมโซน่าพึมพำนามของ ‘เดอะฟูล’ แผ่วเบา ปากขยับท่องคาถาภาษาเฮอร์มิสโบราณที่มันไม่เคยรู้จักมาก่อน ตามด้วยการหยิบวัตถุแฝงพลังวิญญาณขึ้นมา ปลดปล่อยพลังให้หลอมรวมกับสายลมรอบตัว เกิดเป็นบานประตูมายาบนแสงเทียนไขที่เริ่มเปลี่ยนรูปร่าง – หากปราศจากวัตถุแฝงพลังวิญญาณ ไคลน์เตรียมใช้เลือดของโมโซน่าแทน เพราะเลือดมนุษย์เองก็เป็นวัตถุวิญญาณชนิดหนึ่ง!
ณ ห้องน้ำชั้นหนึ่ง ไคลน์ร่างต้นเดินถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสู้มิติสายหมอกเทา
ชายหนุ่มมิได้นำไพ่จักรพรรดิมืดออกมาใช้ เพียงเคลื่อนย้ายกระแสของมิติแห่งนี้ด้วยพลังตัวเองและเชื่อมต่อเข้ากับกระดาษรูปคน จนบานประตูแห่งการสังเวยและรับมอบเริ่มสั่นสะเทือน
กระดาษรูปคนเริ่มเปลี่ยนรูปร่างเป็นเทวทูต ด้านหลังมีปีกสิบสองคู่สยายออก เทวทูตกระดาษบินเข้าไปในประตูมายาและลึกลับ ผ่านห้วงความว่างเปล่าที่มืดมิดไร้ก้นบึ้ง ตรงมายังโมโซน่าซึ่งอยู่ภายในห้องพักส่วนตัว
ไคลน์ทำเช่นนี้เพื่อ รบกวนพลังทำนายจากภายนอกและพลังพิเศษแกะรอยทุกชนิด!
จากนั้น ชายหนุ่มหยิบยุบพองหิวโหยโยนออกจากประตูมายาตามมาด้วยกัน!
ยุบพองหิวโหยถูกส่งมายังโลกความจริงผ่านพิธีกรรมรับมอบ ถุงมือหนังมนุษย์ข้างนี้กำลังออกอาการหิวกระหายชัดเจนเนื่องจากไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว!
ในวินาทีนี้ ไคลน์ส่งจิตตัวเองออกจากมิติหมอก กลับมายังห้องน้ำชั้นหนึ่ง เพ่งจิตควบคุมหุ่นเชิดอยู่ห่างกันหลายสิบเมตรอีกครั้ง ทันใดนั้น โมโซน่าที่ตัวแข็งทื่อมาสักพัก เริ่มปิดปากสนิทพร้อมกับหยิบถุงมือขึ้นมาจากแท่นบูชา
กึ่งกลางฝ่ามือเริ่มแยกออกจากกัน เผยให้เห็นซี่ฟันมายาสีขาวเรียงรายสองแถว!
สัมผัสการ ‘เชิดหุ่น’ ของไคลน์เริ่มจางลงอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มตัดสินใจตัดการควบคุมหุ่นเชิดด้วยตัวเอง
ผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานก็กลับสู่ภาวะปรกติ
จากนั้น ไคลน์ทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินออกจากห้องน้ำไปยังเคาน์เตอร์ นั่งดื่มเบียร์มอลต์ที่ยังเหลืออยู่
ขณะเดียวกัน อาศัยเนตรด้ายวิญญาณ ชายหนุ่มพบหนูตัวหนึ่งบนชั้นสอง จึงแผ่พลังวิญญาณออกไปควบคุมและประสบความสำเร็จภายในไม่ถึงสองนาที
หนูเริ่มขยับตัวอย่างเงอะงะคล้ายกับไม่ชำนาญ พยายามสำรวจทางเดินและรูตามผนัง ใช้เวลาสักพักก่อนจะพบทางลับจากห้องอ่านหนังสือ ตรงเข้าไปในห้องพักของโมโซน่า
ภาพที่เห็นคือ ถุงมือแผ่นบางซึ่งทำจากหนังมนุษย์ กำลังวางแผ่อยู่บนพื้นอย่างสงบนิ่ง ส่วนโมโซน่าไม่เหลือแม้แต่เสื้อผ้าสักหนึ่งชิ้น
หนูตัวดังกล่าวปีนขึ้นโต๊ะอ่านหนังสือ คาบกระดาษซึ่งมีสัญลักษณ์ของเดอะฟูลและนำไปจ่อเปลวไฟเทียนไข
กระดาษลุกไหม้อย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็กลายเป็นซากขี้เถ้า
หลังจากดับเทียนทั้งสามเล่มและเก็บสิ่งของกลับที่เก่า หนูหุ่นเชิดวิ่งกลับมาหายุบพองหิวโหยและคาบขึ้นมา
จากนั้น มันย้อนกลับทางเก่า ออกจากห้องพักของโมโซน่า
หนูหุ่นเชิดวิ่งออกไปทางระเบียงชั้นสองอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะค่อยๆ ปีนลงด้วยความระมัดระวัง
ณ ชั้นหนึ่ง ตรงเคาน์เตอร์
ไคลน์กระดกเบียร์อึกสุดท้าย วางแก้วลงพร้อมกับลุกขึ้นยืน
ชายหนุ่มจัดระเบียบหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง สอดมือสองข้างเข้าไปในกระเป๋าของโค้ทกระดุมสองแถวสีดำ เดินผ่านสิงห์พนันขี้เมาอย่างไม่รีบร้อน ออกไปยังถนนด้านนอกร้าน
อาศัยเสาโคมไฟนำทาง ชายหนุ่มตรงมายังมุมตรอกแห่งหนึ่งด้วยความเร็วปรกติ นำกระดาษรูปคนออกมาจุดไฟและสะบัด ก้มหยิบกระเป๋าเอกสารใต้เสาโคมไฟต้นที่สาม
ทันใดนั้น หนูสีเทาที่คาบถุงมือหนังมนุษย์แผ่นบาง กระโจนออกจากเงามืดด้านข้าง
ไคลน์โน้มตัวลงอีกครั้งด้วยสีหน้าเรียบเฉย หยิบยุบพองหิวโหยขึ้นจากปากหนู
ถัดมา หนูสีเทาเดินจากไป ปืนลงถังขยะใบหนึ่งและนอนแน่นิ่ง เพียงไม่นานก็หยุดหายใจ
ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด ภายใต้แสงไฟจากเสาตะเกียงแก๊ส ไคลน์ยืนกางนิ้วทั้งห้าอย่างเยือกเย็น สวมยุบพองหิวโหยเข้าที่มือซ้าย
หลังจากขยับข้อนิ้วเพื่อปรับให้ถุงมือกระชับ ชายหนุ่มถือกระเป๋าเอกสาร เดินผ่านผับต้นโอ๊กที่ยังคงครึกครื้น หายตัวไปโดยสมบูรณ์เมื่อถึงสี่แยก
…
หลังจากนำเศษกระดาษเขียนที่อยู่และตราไปรษณียากรออกจากกระเป๋าเอกสาร ไคลน์แปะพวกมันลงบนจดหมายและหย่อนลงตู้ไปรษณีย์ เปลี่ยนรูปโฉมกลับเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ขึ้นรถม้าเช่าตรงไปยังเขตอื่นของท่าเรือ
ปลายทางคือผับที่เต็มไปด้วยโจรสลัดซึ่งแอนเดอร์สันเป็นคนแนะนำ!
หลังจากเข้าไปในผับ ไคลน์กวาดตาสำรวจด้านในอย่างคร่าว
ทันใดนั้น มันได้พบหนึ่งบุคคลที่คุ้นเคย
รูปร่างสันทัด ริมฝีปากสีม่วง ดวงตาสีน้ำตาลแฝงจิตสังหารและความดุดัน ไม่ใช่ใครนอกจากผู้ช่วยกัปตันของ ‘ราชาอมตะ’ อาการิธ ‘จอมเชือด’ จิลเซียส เจ้าของค่าหัวเก้าพันห้าร้อยปอนด์!
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า หลังออกจากเขตน่านน้ำอันตราย ‘แจ้งมรณะ’ ได้ตรงมายังเกาะทอสคาร์เตอร์เพื่อเติมเสบียง!
แกเองก็อยู่ที่นี่ด้วยสินะ… ไคลน์เม้มปากเล็กน้อย ภายในใจฉุกคิดได้ว่า ไม่มีโอกาสใดเหมาะจะล่า ‘ปีศาจ’ ไปกว่าการได้พบกันโดยบังเอิญอีกแล้ว!
ในวินาทีที่ชายหนุ่มผุดเจตนาร้าย จิลเซียสตระหนักถึงและมองมายังประตูทางเข้าทันที
ไคลน์คว้าเบียร์จากโต๊ะใกล้เคียงและโยนใส่อีกฝ่ายโดยไม่ลังเล
จากนั้น ชายหนุ่มชักลูกโม่ออกมาและเล็งใส่อย่างเย็นชา
ปัง!
ราชันเร้นลับ 684 : เผชิญหน้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
เพล้ง!
ขณะจิลเซียสหันได้เพียงครึ่งตัว แก้วเบียร์ตกลงบนโต๊ะกลมด้านข้างพร้อมกับแตกละเอียด
แม้จะได้ยินเสียงปืน แต่มันก็มิได้คิดหลบ คล้ายกับรับรู้โดยสัญชาตญาณว่านั่นคือภาพลวงตา ท่ามกลางบรรยากาศวุ่นวายที่มีสิงห์พนันขี้เมาหมอบลงหรือไม่ก็วิ่งหนีตายอลหม่าน จิลเซียสดีดตัวขึ้นประหนึ่งสปริง สายตาจ้องเขม็งไปทางนักผจญภัยที่สวมหมวกและโค้ทสำหรับสุภาพบุรุษ ณ ทางเข้าผับ
เกอร์มัน·สแปร์โรว์… จิลเซียสพลันหดรูม่านตา อ้าปากกว้างพร้อมกับพึมพำ ‘ภาษากัดกร่อน’ จากนรก
ทันใดนั้น ไคลน์เหนี่ยวไกปืนของจริง ส่งกระสุนสีทองซีดที่คล้ายกับเพิ่งออกจากหม้อต้มพุ่งตรงมาทาง ‘จอมเชือด’ เจ้าของค่าหัวเก้าพันห้าร้อยปอนด์
ทว่า จิลเซียสเพียงยกมือขวาขึ้นเล็กน้อย กางห้านิ้วออกพร้อมกับจุดไฟสีฟ้าอ่อนบนฝ่ามือ ใช้สิ่งนี้หยุดกระสุนให้แน่นิ่งอย่างน่าเหลือเชื่อ
ในวินาทีที่เปลวไฟสีฟ้าแข็งตัว กระสุนถูก ‘จองจำ’ กลางอากาศ เกิดแสงสีทองสว่างวาบออกจากตัวกระสุน สลายไปจนเหลือเพียงความว่างเปล่า
ด้านข้างจิลเซียส สองบุคคลลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียง คนหนึ่งเป็นสตรีผมสั้นถือปืนสั้นสองกระบอก อีกคนหนึ่งเป็นบุรุษกำยำสวมนวมชกมวย
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พวกมันแวะท่าเรือทอสคาร์เตอร์เพื่อเติมเสบียง จิลเซียสจึงไปไหนมาไหนเป็นกลุ่ม หรือไม่ก็ เป็นคนรู้จักของมันที่บังเอิญอยู่ในร้านพอดี!
ผู้วิเศษสามคน… จิลเซียสน่าจะอยู่ลำดับ 5… ในวินาทีนี้ ไคลน์นึกอยากโพล่งออกไปว่า ‘ขอโทษที่เข้ามารบกวน’
การจะโจมตี ‘ปีศาจ’ ไม่สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ ต้องอาศัยความบังเอิญโดยแท้จริง แถมยังต้องปราศจากความลังเล ไม่อย่างนั้น ศัตรูจะรับรู้ถึงจิตสังหารและภัยคุกคาม
ส่งผลให้ ฝ่ายที่เปิดก่อนจึงไม่ได้ถือครองความได้เปรียบเสมอไป!
ไคลน์หันรีบหมุนตัว ในสภาพถือลูกโม่ด้วยมือข้างหนึ่ง ชายหนุ่มแหวกผ่านกลุ่มคนจำนวนมากของผับ ผ่านศีรษะสิงห์พนันขี้เมาที่กำลังนั่งยอง วิ่งตรงไปยังบันไดซึ่งนำไปสู่ชั้นสองของผับด้วยความเร็วสูง
ขณะกำลังเร่งฝีเท้าเพื่อเข้าใกล้เป้าหมาย ลูกไฟสีฟ้าอ่อนพุ่งกระแทกราวบันไดพร้อมกับขยายตัวและระเบิดออก
บึ้ม!
ส่วนล่างของบันไดยุบหายไปครึ่งหนึ่ง อาคารผับสั่นสะเทือนหนักหน่วงไปทั้งหลัง กลิ่นกำมะถันลอยฟุ้งเข้มข้น
จิลเซียสและพรรคพวกทั้งสองกระโจนขึ้นมายังบันไดสองขั้นแรกอย่างคล่องแคล่ว ไล่ล่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์สุดชีวิต
ตึก! ตึก! ตึก!
ไคลน์รีบเผ่นหนีขึ้นชั้นสอง ระหว่างทางเปิดเนตรด้ายวิญญาณด้วยความชำนาญ
อาศัยพลังดังกล่าว ชายหนุ่มสามารถระบุได้ทันทีว่าห้องไหนไม่มีคนพักอาศัย ไคลน์เลือกพังประตูห้องหนึ่งพร้อมกับบิดเอวเล็กน้อย ทำท่าเตรียมกระโดดออกจากหน้าต่างเพื่อหนีออกจากผับ
ขณะเดียวกัน จิลเซียสและพวกพ้องที่ไล่ตามมาถึงชั้นสอง เมื่อเห็นฉากดังกล่าวเข้า พวกมันรีบกระจายตัวอย่างชำนาญ รายแรกไล่ตามไคลน์เข้าไปในห้อง ส่วนอีกสองคนแยกไปเข้าห้องด้านข้างที่อยู่ฝั่งเดียวกัน เตรียมกระโดดตามลงไปเพื่อไล่ล่าต่อ
และนี่คือสิ่งที่ไคลน์รอคอย!
ในเสี้ยววินาที ชายหนุ่มหมุนตัวกลับครึ่งรอบ ฝ่ามือข้างซ้ายที่สวมถุงมือดำ ทำท่าบีบอากาศอันว่างเปล่าพร้อมกับบิดข้อมือ
หญิงสาวผู้ใช้ปืนคู่ และชายกำยำสวมนวมชกมวย ยังคงทำตามแผนเดิมโดยไม่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงจากห้องด้านข้าง พวกมันรีบกระโดดออกจากหน้าต่าง จากนั้นก็หายตัวไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะกลับมา
จุดประสงค์เดิมของพวกมัน ‘แยกกันไปขัดขวางศัตรู’ ได้ถูกไคลน์ใช้พลังบารอนแห่งการเน่าเปื่อย ‘บิดเบือน’ ให้เป็น ‘แยกกันทำงาน’ !
ถึงแม้จะแสดงผลไม่นาน แต่ก็มากพอจะเปิดโอกาสให้ไคลน์ได้ดวลตัวต่อตัวกับจิลเซียส!
ตุ้บ! หลังจากบิดเบือนเสร็จ ชายหนุ่มโน้มตัวลง กลิ้งไปบนพื้นห้องเพื่อหลบกลุ่มลูกไฟสีฟ้าอ่อนที่จิลเซียสกระหน่ำยิงใส่
เกิดเสียงระเบิดดังอึกทึกเป็นระยะ อาคารผับสั่นคลอนหนักหน่วงราวกับมีแผ่นดินไหวในละแวกใกล้เคียง
ถัดมา จิลเซียสพุ่งไปด้านหน้า ตรงเข้าห้องพักที่ค่อนข้างใหญ่
ได้เห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์กระโดดกลิ้งไปมาอย่างชำนาญ ไม่ชอบเผชิญหน้ากับตนโดยตรง ‘จอมเชือด’ ควบคุมสติพร้อมกับขยับปาก เปล่งถ้อยคำชั่วร้ายออกมาเป็นภาษาปีศาจ
“เชื่องช้า!”
คล้ายกับทุกสิ่งภายในห้องหยุดนิ่งกะทันหัน การกลิ้งตัวของไคลน์เชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ขาดความต่อเนื่องและราบรื่น
จิลเซียสยังคงพุ่งเป้ามายังคู่ต่อสู้อย่างแน่วแน่ เปล่งภาษากัดกร่อนเพิ่มเติมอีกหนึ่งคำ
“ตาย!”
ร่างกายไคลน์พลันแข็งทื่อ ชะงักค้างในตำแหน่งเดิม แต่ไม่นานก็เริ่มหดตัวในลักษณะแบนราบ กลายเป็นกระดาษรูปคนที่ปกคลุมด้วยคราบสนิมสีแดง
แทบจะในเวลาเดียวกัน บุรุษสวมโค้ทกระดุมสองแถวและหมวกผ้าไหมตรงกึ่งสูง ปรากฏกายที่ข้างประตูห้อง มือซ้ายซึ่งสวมถุงมือดำสนิทจับลูกบิดแน่น ดึงซากประตูกลับเข้ามาปิดห้องและลงกลอน
ปึง!
เสียงรบกวนจากภายนอกพลันอันตรธานหาย คล้ายกับมิติภายในถูกตัดขาดจากโลกด้านนอกโดยสมบูรณ์ ประหนึ่งกรงปิดตายที่แข็งแกร่ง
ได้เห็นเช่นนั้น ร่างกายจิลเซียสเริ่มพองโต เสื้อผ้าเกิดการปริแตก
เพียงไม่นาน มันกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาสูงกว่าสามเมตร ผิวพรรณดูหม่นหมอง ทั้งคล้ำและมอบความรู้สึกชั่วร้าย เขาแพะสองกิ่งที่งอกกึ่งกลางหน้าผาก เต็มไปด้วยลวดลายลึกลับนับไม่ถ้วน แผ่นหลังมีปีกค้างคาวสยายออกกว้าง รายล้อมด้วยเปลวไฟสีฟ้าอ่อนที่แผ่กลิ่นกำมะถันคละคลุ้ง
ซู่ว! ซู่ว! ซู่ว!
ลูกไฟสีฟ้าอ่อนเริ่มกระหน่ำยิงพร้อมเพรียง พุ่งถล่มบริเวณประตูห้องอย่างไร้ความปรานี ขณะเดียวกัน ดวงตาสีแดงของจิลเซียสพลันส่องแสง ปากขยับกล่าวถ้อยคำกัดกร่อน
“กัดกร่อน!”
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งการโจมตีระยะไกล!
ไคลน์กำหมัดซ้ายแน่นพร้อมกับดวงตาที่เปลี่ยนเป็นสีฟ้าอ่อน ตามด้วยการบิดข้อมือครึ่งรอบ
กลุ่มลูกไฟสีฟ้าพลันสูญเสียวิถี ประสบความปั่นป่วนและไร้ทิศทางประหนึ่งอนุภาคโมเลกุล
บ้างกระแทกเพดาน บ้างชนประตู บ้างกระทบพื้นห้อง บ้างลอยกลับไปหาศีรษะของจิลเซียส ภายในห้องเกิดเสียงระเบิดโครมครามอย่างต่อเนื่อง ‘ผนึก’ ที่ไคลน์ใช้พลังบิดเบือนสร้างขึ้นเริ่มสั่นสะเทือนหนักหน่วง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีร่องรอยความเสียหาย
เปลวไฟสีฟ้าพลันสว่างวาบและลอยสูงขึ้นด้านบน เมื่อบรรยากาศเริ่มปกคลุมด้วยกลิ่นกำมะถันเข้มข้น ร่างกายไคลน์เริ่มทรุดตัว ผิวหนังถูกปกคลุมด้วยของเหลวสีดำเหนียวหนืด
บึ้ม!
ร่างของชายหนุ่มเกิดการระเบิด เศษกระดาษกระจัดกระจายท่ามกลางกลุ่มหมอกสีดำสนิท
ขณะเดียวกัน ไคลน์โผล่จากอีกด้านหนึ่งของห้อง ผิวหนังหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด เสื้อผ้าเสียหายจากแรงระเบิดและเปลวไฟจากนรก ปรากฏรูโหว่ชำรุดหลายแห่ง
ว่ากันตามตรง พลัง ‘กัดกร่อน’ ซึ่งโจมตีเป็นวงกว้าง สามารถแก้ทางพลัง ‘กระดาษคนตัวแทน’ ของไคลน์ได้ชะงักงัน ไม่มีทางหลบหลีกความเสียหายพ้นทั้งหมด และสะเก็ดความเสียหายก็มากเกินกว่าจะมองข้าม หรือกล่าวได้ว่า พลังชนิดนี้สามารถทำให้ไคลน์ตกที่นั่งลำบาก
อย่างไรก็ตาม ในการปะทะกันหนแรก ชายหนุ่มได้ ‘มอบ’ แก้วเบียร์ให้จิลเซียสเพื่อทำการ ‘ติดสินบน’ ส่งผลให้พลังทำลายและผลข้างเคียงของ ‘กัดกร่อน’ ลดลงจากปรกติมาก!
แต่จิลเซียสย่อมคาดไม่ถึงในเรื่องนั้น ชะล่าใจคิดว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์คงกำลังบาดเจ็บหนักจากพลังกัดกร่อน จึงทำการดึงดาบยาวที่สร้างจากเปลวเพลิงอย่างใจเย็น แต่ขณะเตรียมโจมตีซ้ำด้วยความดุดันและแข็งกร้าว หางตาจิลเซียสเหลือบไปเห็นถุงมือซ้ายของศัตรูส่องแสงสีทอง
เพียงพริบตา สายฟ้าสองเส้นพุ่งออกจากดวงตาไคลน์!
ทะลวงจิต!
“อั่ก!”
จิลเซียสส่งเสียงครวญคราง คล้ายกับถูกน้ำมนต์ร้อยขวดสาดใส่
อาศัยประสบการณ์ต่อสู้อันโชกโชน มันรู้ตัวทันทีว่าถูกเล่นงานด้วยทะลวงจิต และทราบว่าจะถูกโจมตีตามติดอีกหลายชุด สัญชาตญาณปีศาจจึงสั่งให้ร่างกายแปรสภาพเป็นของเหลวสีดำ ไหลซึมไปตามพื้นห้องและกระจายตัว
ของเหลวซึ่งดูราวกับสั่งสมแรงกระหายอันท่วมท้นในใจมนุษย์เอาไว้ ไหลไปตามพื้นห้องโดยมีเป้าหมายเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ด้วยบรรยากาศคุกคามดุจดังพร้อมจะกัดกร่อนทุกสรรพสิ่ง
สภาพแบบนี้… รับมือได้ยากมาก… หากศัตรูของ ‘ปีศาจ’ ไม่เตรียมความพร้อมหรือมีข้อมูลล่วงหน้า คงได้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแน่… โชคดีที่เราคอยเตือนตัวเองเสมอว่า อีกฝ่ายมีพลังของผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย จึงระงับอารมณ์มิให้พลุ่งพล่านจนเกินพอดี… ไคลน์ไม่คิดหลบหลีก ถุงมือซ้ายพลันถูกย้อมด้วยแสงอาทิตย์บริสุทธิ์และสว่างจ้า
แขนสองข้างกางออก สร้างลำแสงศักดิ์สิทธิ์ที่อาบด้วยเพลิงสีทองอร่าม พุ่งลงมาจากความว่างเปล่าเบื้องบน มอบความสว่างไปยังทุกซอกทุกมุมของห้อง ไม่มีเงาใดหลงเหลือเล็ดลอด!
ลำแสงพุ่งกระทบของเหลวในจุดที่มืดที่สุด ก่อนจะแผ่ออกไปยังบริเวณข้างเคียงในลักษณะคลื่นกระเพื่อม
ท่ามกลางแสงสว่างศักดิ์สิทธิ์ ของเหลวสีเข้มส่วนใหญ่ระเหยไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังเหลือส่วนน้อยที่ขจัดไม่หมด
จิลเซียสรีบคืนสภาพเดิม ก่อตัวเป็นร่างกายใกล้กับหน้าต่าง
ยังคงเป็นรูปลักษณ์ของปีศาจสูงเกือบสามเมตร ท่าทางสุขุมเยือกเย็น แต่ความกระหายเลือดและจิตสังหารอันเข้มข้น เริ่มเอ่อล้นจนยากจะปกปิดให้มิดชิด
สภาพปัจจุบันของมันค่อนข้างอ่อนแอ จึงไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม รอให้อารมณ์ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เกิดความแปรปรวนไปเอง จะได้เล่นงานด้วยการควบคุมแรงกระหาย เขาแพะสองกิ่งบนหน้าผากจิลเซียสเริ่มลุกไหม้ เตรียมโจมตีใส่จิตใจของศัตรูโดยตรง หวังให้อารมณ์บางชนิดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถูกกระตุ้น
และเมื่อเกิดแรงปรารถนา ความกระหายดังกล่าวจะถูก ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ ใช้เป็นจุดอ่อนเล่นงาน!
ทว่า สติจิลเซียสกลับเริ่มวิงเวียนหนักหน่วง รุนแรงชนิดที่ว่า แผนการที่วางไว้เมื่อครู่เกือบเลือนหายไป!
นับตั้งแต่ที่ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันไม่เกินห้าเมตร ไคลน์ไม่ขยับตัวมากนัก พยายามใช้พลังกระดาษคนตัวแทนและพลัง ‘บารอนแห่งการเน่าเปื่อย’ ประคองสถานการณ์ ถ่วงเวลาให้ยืดออกไป นั่นเพราะชายหนุ่มกำลังเบี่ยงความสนใจเพื่อใช้ ‘ด้ายวิญญาณ’ ควบคุมร่างกายจิลเซียส!
ตามปรกติแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของร่างวิญญาณผู้วิเศษลำดับ 5 การใช้ด้ายวิญญาณเข้าควบคุมขั้นต้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เนื่องจากจิลเซียสถูก ‘ติดสินบน’ ด้วยเบียร์หนึ่งแก้ว ระดับการป้องกันจึงลดลงจากปรกติ และหลังจากนั้น ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายยังถูก ‘ทะลวงจิต’ และ ‘แสงศักดิ์สิทธิ์’ เล่นงานต่อเนื่อง จึงไม่แปลกที่ร่างวิญญาณจะอ่อนแอลง
ดังนั้น แม้ไคลน์ต้องแบ่งสมาธิไปใช้พลังอื่น แต่ก็ยังสามารถควบคุมร่างจิลเซียสในระดับขั้นต้นได้ภายในเวลาสิบห้าวินาที
การต่อสู้อันดุเดือดสงบลงในพริบตา อย่างไรก็ตาม ถึงสติของจิลเซียสจะเริ่มเฉื่อยชาลงไปบ้าง แต่ก็ยังกระทำบางสิ่งได้อยู่ อย่างเช่นการพยายามดิ้นรนขัดขืน ‘พลังควบคุม’ ซึ่งมีต้นตอมาจากก้นบึ้งจิตใจ
ดวงตาสีแดงสุขุมของมันกำลังสะท้อนร่างของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เขาแพะทรงโค้งกึ่งกลางหน้าผากเริ่มลุกไหม้อย่างเกรี้ยวกราด มวลอารมณ์มหาศาลจำพวกความเกลียดชัง ความโลภ ตัณหา ความโกรธ และอีกมาก กำลังแผ่ขยาย
ไคลน์กำลังอยู่ในภาวะกึ่งเข้าฌาน เพ่งสมาธิกับการ ‘ควบคุม’ ศัตรูอย่างใจเย็น พยายามทำให้จิลเซียสหมดสิทธิ์ขัดขืนโดยเร็ว
ราชันเร้นลับ 685 : จากเฉื่อยชาสู่หยุดนิ่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท่ามกลางซากห้องพักที่พังยับเยิน หมวกทรงสูงตกลงบนพื้นด้านข้าง ไคลน์ในสภาพเสื้อผ้าฉีกขาด กำลังยืนเผชิญหน้ากับปีศาจร่างยักษ์ที่กำลังสยายปีกค้างคาว จิลเซียส โดยทิ้งระยะห่างไว้ประมาณสี่เมตร สถานการณ์ดำเนินไปอย่างเงียบงันประหนึ่งงานแสดงหุ่นกระบอก
ในความเป็นจริง ชายหนุ่มยังมีพลังเหลือเฟือ
ย้อนกลับไปในอดีต ตอนนั้น ‘นักเชิดหุ่น’ โรซาโก้เคยพยายามควบคุมไคลน์และชารอนพร้อมกัน มันสามารถขัดขืนการสิงร่างของ ‘วิญญาณอาฆาต’ ได้อย่างง่ายดาย แถมยังใช้พลังควบคุมไฟทำลายเงาของชารอน หากโรซาโก้ไม่ตัดสินใจผิดพลาด เลือกฆ่าลำดับ 5 วิญญาณอาฆาตก่อน ไคลน์คงตายไปนานแล้ว หมดโอกาสใช้ ‘ยันต์กัดกร่อน’ เพื่อพลิกสถานการณ์ เมื่อเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ว่าไคลน์จะยังไม่แข็งแกร่งเท่าโรซาโก้ แต่ศัตรูตรงหน้ามีเพียงหนึ่ง!
แต่ถึงอย่างนั้น การเคลื่อนไหวของไคลน์ก็มีขีดจำกัดขณะเพ่งสมาธิควบคุมจิลเซียส ขยับตัวได้เพียงเล็กน้อย ต้องไม่เร็วจนเกินไป ยังสามารถใช้พลังพิเศษที่ไม่สิ้นเปลืองพลังวิญญาณ แต่ไม่ถึงขั้นใช้สมบัติวิเศษหรือชักปืนออกมายิง ซึ่งเป็นสิ่งที่สิ้นเปลืองพลังงานเป็นอย่างมาก
และก่อนที่เป้าหมายจะถูกควบคุมขั้นต้น การโจมตีส่งเดชอาจไปกระตุ้นให้เหยื่อได้สติกลับมา จากนั้นก็ดิ้นรนขัดขืน ‘ด้ายจิต’ จนหลุดพ้นจากการควบคุม
ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ไคลน์ทำได้จึงมีเพียงการรอเวลา
ขณะกำลังครุ่นคิด หัวใจชายหนุ่มพลันเต้นผิดธรรมชาติสองครั้ง ความกังวลและความตึงเครียดเริ่มกัดกินจิตใจอย่างมิอาจควบคุม
ไคลน์อดกังวลไม่ได้ว่า ณ ปัจจุบัน พวกพ้องทั้งสองคนของจิลเซียสที่เคยถูกพลัง ‘บิดเบือน’ เล่นงาน อาจกำลังย้อนกลับมาช่วยเหลือ!
แย่ล่ะสิ… อารมณ์ของเรากำลังแปรปรวน! ไคลน์ผงะเล็กน้อย ก่อนจะรีบใช้เทคนิคเข้าฌานเพื่อสงบใจ พยายามลดความผันผวนของอารมณ์
ฮะฮะ… อารมณ์ของมัน… เริ่มแปรปรวนแล้ว… โอกาสมาถึง… จิลเซียสเริ่มมองเห็นชัยชนะ ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองอันเชื่องช้า
จากนั้น อาศัยพลังพิเศษของตน มันพายาม ‘ขยาย’ ความกังวลและตึงเครียดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ให้กว้างออก ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งอารมณ์ลงไปถึงราก
หากทำสำเร็จ ขอเพียง ‘จุดระเบิด’ อารมณ์ได้ การต่อสู้ครั้งนี้ก็จะจบลงทันที เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะอยู่ในภาวะไร้การป้องกันตัว หมดสิทธิ์ควบคุมร่างกายโดยสิ้นเชิง!
บ้าน่า… อารมณ์แปรปรวน… ของมัน… หายไปแล้ว… ดวงตาแดงก่ำของจิลเซียสเริ่มหรี่ลง ค่อยๆ เผยอารมณ์หลากหลาย จำพวกประหลาดใจและโมโห
ไคลน์ที่เคยกังวลว่าตนจะถูก ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ ตอบโต้ หลังจากรีบสงบจิตใจ มันพบว่ายังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับร่างกาย และเมื่อมองไปยังเขาแพะของจิลเซียสที่กำลังลุกไหม้ร้อนแรง ไคลน์พบว่าอีกฝ่ายกลับไม่ฉวยโอกาสในจังหวะที่อารมณ์ของตนแปรปรวนเพื่อโจมตีกลับเข้ามา
หลังจากครุ่นคิดสักพัก ไคลน์เริ่มเข้าใจสถานการณ์
ไม่ใช่ว่าจิลเซียสไม่คิดกระตุ้นอารมณ์ของตน เพียงแต่ทำแล้วล้มเหลว!
ในวินาทีที่สัมผัสถึงอารมณ์แปรปรวน จิลเซียสต้องใช้เวลาหลายวินาทีในการวิเคราะห์เหตุการณ์ อีกสองสามวินาทีเพื่อตัดสินใจ ส่งผลให้เสียเวลานานก่อนจะใช้พลังออกมาได้ กว่าจะตอบสนองก็ผ่านไปแล้วไม่ต่ำกว่าสิบวินาที
ส่วนทางด้านไคลน์ เมื่อพบว่าอารมณ์ของตนมีปัญหา ชายหนุ่มใช้เวลาเพียงสามถึงสี่วินาทีในการทำให้สงบ
ลงเอยด้วย พลังกระตุ้นอารมณ์ของจิลเซียสใช้ไม่ได้ผลกับเป้าหมายที่มีภาวะจิตใจปรกติ
สรุปโดยสั้น สมองของมันกำลังเชื่องช้าอย่างมาก! มิอาจต่อสู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์ที่ทุกวินาทีมีค่าเช่นนี้… ไคลน์พึมพำเงียบ อารมณ์เริ่มกลับเป็นปรกติ ดำเนินการควบคุมเหยื่อต่อไป
ราวสิบวินาทีถัดมา คล้ายกับจิลเซียสเริ่มเข้าใจศัตรูมากขึ้น ไม่หวังพึ่งพาพลังกระตุ้นอารมณ์อีก อาศัยกายเนื้อและกายวิญญาณที่แข็งแกร่งของปีศาจ พยายามดิ้นรนขัดขืนให้หลุดจากการควบคุมของ ‘ด้ายวิญญาณ’ พลางกระพือปีกด้วยท่าทีเชื่องช้าและติดขัด บรรจงควบแน่นเปลวไฟสีฟ้าอ่อนที่ลอยอยู่รอบตัว ค่อยๆ กลั่นตัวกลายเป็นลูกบอลไฟ
ไคลน์พอจะเดาได้ว่า อีกฝ่ายเตรียมระดมยิงลูกไฟระลอกใหญ่ในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า! ทราบเช่นนั้น ชายหนุ่มรีบแบ่งพลังวิญญาณ ขยับนิ้วกลางและนิ้วชี้เพื่อดีดจนเกิดเสียง
เป๊าะ!
ยังไม่ทันจะก่อตัวเป็นรูปร่างบอลไฟ กลุ่มก้อนเปลวเพลิงสีฟ้าอ่อนพลันพวยพุ่งขึ้นฟ้าและอันตรธานไป คล้ายกับดอกไม้ไฟขนาดมหึมากำลังเบ่งบานด้านหลังจิลเซียส
พลังควบคุมไฟของนักมายากล!
จิลเซียสยังคงพยายามดิ้นรน แต่การเคลื่อนไหวของมันเชื่องช้าลงทุกขณะ เข้าใกล้ความเป็นหุ่นกระบอกขึ้นสนิมไปทุกที แม้มันจะดันทุรังเปล่งถ้อยคำกัดกร่อนออกมาสำเร็จอย่างเต็มกลืน แต่ไคลน์ก็หลบหลีกได้ง่ายดาย
สามวินาที สองวินาที หนึ่งวินาที… ไคลน์ชะงักร่างกาย สายตาจดจ้องไปยังศีรษะของจิลเซียสที่สูญเสียเขาแพะโค้งงอ
ถึงตรงนี้ หากต้องการเข้าควบคุมร่างผู้ปลดปล่อยแรงกระหายอย่างสมบูรณ์ เปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิดของตน ไคลน์ต้องใช้เวลาอีกราวสองนาทีครึ่ง แต่มันไม่มีแผนจะทำแบบนั้น ไม่เคยอยู่ในหัวมาตั้งแต่แรก!
นั่นคงเป็นการเสียเวลามากเกินไป พรรคพวกของจิลเซียสอาจกลับมาช่วยเหลือได้ทันเวลา!
ไคลน์มีแผนเดียวมาตั้งแต่แรก ขอเพียงเข้าควบคุมร่างกายเหยื่อสำเร็จในขั้นต้น การโจมตีใดๆ ก็จะไม่กระตุ้นให้อีกฝ่ายได้สติกลับมา!
ขณะที่ดวงตาสีแดง ใบหน้าดุร้าย และเขี้ยวคมซึ่งมีน้ำลายเหนียวกำลังสะท้อนบนดวงตาไคลน์ ชายหนุ่มเปิดปากพลางทำเสียง
“ปัง!”
กระสุนอัดอากาศ! เมื่อถูกใช้โดยลำดับ 5 มันคือระเบิดอัดอากาศ!
ความรุนแรงเทียบเท่ากระสุนที่ยิงออกจากปืนไรเฟิลพลังไอน้ำ!
โผละ!
กระสุนอัดอากาศพุ่งทะลวงหน้าผากจิลเซียสอย่างแม่นยำจนมันหน้าหงายขึ้นฟ้า กระชากด้ายวิญญาณกลับไปด้านหลังเล็กน้อย
กึ่งกลางหน้าผากจิลเซียสเกิดรูโหว่ที่ไม่ลึกมากนัก หรือกล่าวได้ว่า นี่ยังไม่ใช่การโจมตีที่ทำให้ถึงตาย
ไม่ว่าจะเป็น ‘ปีศาจ’ หรือ ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ ผู้วิเศษในลำดับนี้จะเหมือนกับสวมเกราะหนาตลอดเวลา แถมยังมีชั้นเนื้อที่ยืดหยุ่นและทนทานเป็นพิเศษ
ปัง! ปัง! ปัง!
ไคลน์ยังคงอ้าปากส่งเสียง สร้างกระสุนอัดอากาศอย่างต่อเนื่อง เน้นกระแทกใส่หน้าผากจิลเซียสทีละนัด ขณะเดียวกันก็คอยควบคุมด้ายวิญญาณอย่างสุขุม ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายดิ้นรนจนหลุดพ้นการควบคุม
จิลเซียสครางในลำคออย่างติดขัด ขาขยับก้าวมาข้างหน้า สองมือพยายามโจมตีโต้กลับ แต่แน่นอน ไคลน์เคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่ามาก
ยิ่งการตอบโต้ล้มเหลว โอกาสดิ้นหลุดจากด้ายวิญญาณก็ยิ่งริบหรี่ลง
ปัง!
กระสุนอัดอากาศถูกยิงออกไปอีกหนึ่งนัด เนื้อบนหน้าผากจิลเซียสแหลกละเอียดเหวอะหวะ หัวกระสุนทะลวงเข้าไปในกะโหลกศีรษะ
ปัง! ปัง! ปัง! กลุ่มกระสุนนัดถัดๆ ไปตามกระหน่ำใส่ไม่ยั้ง
ปัง!
กะโหลกศีรษะของจิลเซียสเปิดออก เผยให้เห็นเนื้อสมองสีดำที่ถูกทะลวงเป็นทางยาว ลักษณะค่อนข้างเละเทะยุ่งเหยิง
ออร่าของ ‘จอมเชือด’ ผู้มีค่าหัวเก้าพันห้าร้อยปอนด์เริ่มเลือนหาย อย่างไรก็ตาม มันมิได้ตายตาหลับ เพราะไม่มีตาให้หลับ
จิลเซียสค่อยๆ ทิ้งตัวลงบนพื้น ไคลน์ย่างกรายเข้าใกล้ทีละก้าวพลางเหยียดมือซ้ายและกางออก
ณ ใจกลางถุงมือ ดวงตาสีแดงสดปรากฏขึ้นพร้อมกับรอยแยก
สายลมเย็นยะเยือกเจือหม่นหมองพลันพวยพุ่งออกจาก ‘ปาก’ ถัดจากนั้นนาน ร่างวิญญาณของ ‘จอมเชือด’ จิลเซียสและตะกอนพลังสีหมอกทึบของมัน เริ่มส่งเสียงครางพลางพุ่งเข้ามาในยุบพองหิวโหย ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับนิ้วบนถุงมือที่ยังว่างอยู่
โดยไม่ต้องรอนาน ถุงมือเปลี่ยนกลับเป็นสีดำสนิทอีกหน แต่คราวนี้ทั้งลุ่มลึกและบริสุทธิ์ คล้ายกับก่อตัวจากจุดเล็ก ๆ จำนวนมากที่ฉาบซ้อนทับกันหลายชั้น
ราวสองวินาทีถัดมา ไคลน์พบความเปลี่ยนแปลง จึงเดินไปยังบานหน้าต่างที่กระจกแตกด้วยสีหน้าผิดหวังเจือความสุข
ขณะกำลัง ‘เขมือบ’ จิลเซียส ชายหนุ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับพลังพิเศษที่ต้องการและไม่ต้องการ คำตอบออกมาเป็น มันไม่อยากได้ ‘ลางสังหรณ์รับรู้อันตราย’ ของปีศาจ เพราะหากต้องการใช้ประโยชน์จากพลังชนิดนี้ ไคลน์ต้องเปิดใช้งานยุบพองหิวโหยตลอดเวลาด้วยดวงวิญญาณของจิลเซียส หรือกล่าวได้ว่า ชายหนุ่มต้องคอยหาอาหารมาป้อนยุบพองหิวโหยทุกวัน ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ไม่สะดวกอย่างมาก แล้วอีกอย่าง พลังดังกล่าวค่อนข้างซ้ำซ้อนกับ ‘นิมิตลางสังหรณ์’ ของตัวตลก
ในส่วนของคำถามที่ว่า การมีหุ่นเชิดซึ่งครอบครอง ‘ลางสังหรณ์แจ้งอันตราย’ จะเป็นประโยชน์ต่อไคลน์หรือไม่ หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มเดาว่าคงมีผลเฉพาะตัวหุ่นเชิด ไม่ส่งผลมาถึงเจ้าของ
พลังที่ไคลน์หวังมากที่สุดคือ ‘กระตุ้นอารมณ์’ ซึ่งเป็นของผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย หรือไม่ก็หนึ่งใน ‘ภาษากัดกร่อน’ ถ้าเลือกได้ขอเป็นคำว่า ‘ตาย’ หรือ ‘กัดกร่อน’
ในวินาทีนี้ ไคลน์ค่อนข้างโชคดีเพราะได้รับพลังใหม่มากถึงสามชนิด หนึ่งในนั้นคือ ‘ภาษากัดกร่อน’ น่าเสียดายที่ไม่ใช่ ‘ตาย’ หรือ ‘กัดกร่อน’ หากแต่เป็น ‘เชื่องช้า’ สามารถทำให้เป้าหมายทั้งหมดในรัศมีเจ็ดถึงแปดเมตรรอบตัวตกอยู่ในอาการชะงัก หรืออาจรุนแรงถึงขั้นหยุดนิ่ง แต่ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้ประมาณสองวินาที
พลังพิเศษที่สองคือ ‘ดาบแม็กม่า’ สามารถสร้างดาบเพลิงขนาดใหญ่ที่มีพลังทำลายล้างสูง แม้แต่เสาหินหนาก็ยังถูกฟันขาดในครั้งเดียว เหลือไว้เพียงรอยตัดที่ดูคล้ายกันหินละลาย จิลเซียสมักใช้สิ่งนี้ในยามต้องการอาละวาดอย่างบ้าบิ่น
พลังชนิดที่สามคือ ‘ลูกไฟกำมะถัน’ นอกจากจะสร้างแรงระเบิดที่หวังผลได้ระดับหนึ่ง ยังทำให้ผู้ที่สัมผัสกับเปลวไฟถูกปนเปื้อนด้วยพิษ หากผู้ใช้อยู่ในร่างปีศาจจะยิงลูกไฟได้สูงสุดราวยี่สิบดวงพร้อมกัน แต่ถ้าไม่ จะสร้างลูกไฟได้มากสุดแค่สามดวง
ไม่เลว… ถ้าเป้าหมายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่อันเดดและชั่วร้าย ดาบแม็กม่าจะมีพลังโจมตีสูงกว่า ‘แสงศักดิ์สิทธิ์’ ของนักบวชแสงพอสมควร… ไคลน์ที่เดินมาถึงหน้าต่าง มองเห็นแผ่นหลังของพวกพ้องจิลเซียสกำลังวิ่งหนีห่างไปไกล
ยังไม่หลุดพ้นจากอำนาจบิดเบือน? ไม่สิ พิจารณาจากระยะเวลา พวกมันต้องสลัดหลุดและย้อนกลับมาถึงบริเวณใกล้เคียงได้แล้ว ไม่ใช่การเผ่นหนีไปเช่นนี้… ไคลน์หันหลังกลับ เห็นศพของจิลเซียสยังอยู่ในร่างปีศาจ แม้จะตายไปก็มิได้คืนกลับเป็นมนุษย์
ชายหนุ่มยืนจ้องราวสามวินาที ภายในใจสันนิษฐานอย่างคร่าว
“พลังแปลงกายเป็นปีศาจจะทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะเฉียดคลุ้มคลั่ง เพียงแต่ยังครองสติไว้ได้ และสามารถเปลี่ยนกลับได้ตามใจนึก… แต่ถ้าไม่เปลี่ยนกลับ ตอนตายก็จะคงสภาพเดิม”
ไคลน์ไม่รีรอ รีบพลิกศพปีศาจ พบว่าเสื้อผ้าและกางเกงล้วนฉีกขาดโดยสมบูรณ์ กระเป๋าสตางค์และธนบัตรกระจัดกระจายเต็มพื้น เดาว่าคงเป็นผลพวงของการแปลงร่าง และหลังจากนั้นก็ถูกทำลายซ้ำด้วยการถล่มของลูกไฟกำมะถัน
“…” ขณะไคลน์เตรียมมองออกไปด้านนอก หางตาเหลือบเห็นบางสิ่งกำลังส่องแสงจากบริเวณหน้าอกปีศาจร่างยักษ์
เป็นผลึกแผ่นบาง ค่อนข้างยาว ก่อตัวจากก้อนเลือด แผ่กลิ่นกำมะถันเจือจางไปทั่วห้อง
“หมายความว่ายังไง…” ไคลน์ขมวดคิ้ว มิอาจขบคิดหาคำตอบ
ตะกอนพลังของจิลเซียสได้เข้าไปอยู่ในยุบพองหิวโหยเรียบร้อยแล้ว เหตุใดร่างกายถึงยังสร้างวัตถุแปลกปลอม? คำถามผุดขึ้นในใจไคลน์
นอกจากนั้น ทั้งที่เป็นผู้ช่วยกัปตันของ ‘ราชาอมตะ’ จิลเซียสกลับมิได้พกพาสมบัติวิเศษหรือสมบัติปิดผนึกติดตัวแม้แต่ชิ้นเดียว ไคลน์ค่อนข้างประหลาดใจกับเรื่องนี้พอสมควร
ราชันเร้นลับ 686 : พิธีกรรมที่สำเร็จได้ยาก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ที่หาคำตอบไม่ได้ พบว่านิมิตลางสังหรณ์ของตนมิได้แจ้งเตือนอันตรายจากวัตถุดังกล่าว จึงตัดสินใจเก็บผลึกโลหิตเข้ากระเป๋า ตามด้วยการก้มตรวจสอบจิลเซียสในร่างปีศาจที่ศีรษะหายไปครึ่งหนึ่ง
สภาพแบบนี้จะแลกค่าหัวได้หรือ และถ้าได้ จะได้เท่าไร? เราไม่รู้ว่าใครเป็นนายหน้าให้กับทางการที่นี่… ส่งโทรเลขไปหาออส·เคนท์? กว่าข้อความจะไปถึงและกลับมา กว่าอีกฝ่ายจะสะสางงานทางไกลเสร็จ คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสี่วัน แต่เราต้องออกเดินทางพรุ่งนี้… เหนือสิ่งอื่นใด แบบนั้นเราต้องเสียค่านายหน้าหลายทอด… ชายหนุ่มพึมพำเงียบ เดินไปด้านข้าง ก้มหยิบหมวกผ้าไหมตรงกึ่งสูงที่มีรอยไหม้ขึ้นมาสวม
จากนั้นก็ลากศพปีศาจร่างใหญ่ที่มีน้ำหนักมาก เดินไปทางประตูห้อง เหยียดแขนผลักประตูเปิด
สายลมโหยหวนพลันพัดผ่าน ทำลายความเงียบงันภายในตัวอาคาร
ไคลน์กดข้อนิ้วเพื่อปิดเนตรด้ายวิญญาณ ดำเนินการลากศพปีศาจที่น่าขนลุกและขยะแขยงผ่านทางเดิน ผ่านบันได ลงไปถึงชั้นล่าง
ในเวลานี้ ไม่มีใครหลงเหลืออยู่ในผับ โต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด เศษสิ่งของหล่นเต็มพื้น เต็มไปด้วยสภาพความยุ่งเหยิง
ไคลน์ผ่านบันไดที่พังยับเยิน เดินเข้าไปในห้องโถงหลัก กวาดตามองรอบตัวสักพักจนพบเจ้าของร้านที่ซ่อนตัวอยู่หลังเคาน์เตอร์ ใบหน้าค่อนไปทางเศร้าเสียใจ มีบอดี้การ์ดสองสามคนกระจายตัวอยู่ไม่ห่าง
กึก กึก กึก… ชายหนุ่มย่างสามขุม ศพปีศาจด้านหลังกระแทกโต๊ะและเก้าอี้จนเกิดเสียง
“ค…คิดจะทำอะไร?” เจ้าของร้านผงะถอยหลัง ถามเสียงสั่นเครือ
เหล่าบอดี้การ์ดรีบเดินมารายล้อมด้วยท่าทีสั่นระริก ดวงตาแยกชำเลืองไปคนละทิศละทาง คล้ายกับหากเกิดอะไรขึ้น ทุกคนพร้อมเผ่นหนีด้วยความเร็วสูงสุด
ไคลน์หยุดฝีเท้า โยนร่างจิลเซียสลงด้านหน้า
ตามด้วยกล่าวเสียงทุ้มลึก
“ขึ้นค่าหัวได้ไหม”
เจ้าของโรงแรมนิ่งไปสักพัก ก้มมองตามสัญชาตญาณ พบศพปีศาจร่างใหญ่ที่ยังมีละอองเปลวเพลิงสีฟ้าหลงเหลือ
มันและบอดี้การ์ดสูดลมหายใจเข้าพร้อมกัน รู้สึกราวกับตนกำลังอยู่ในโลกมายามากกว่าความเป็นจริง
ไม่ผิดแน่ นี่คือปีศาจ!
ขาดเพียงเขาแพะทรงโค้ง ที่เหลือล้วนตรงตามคำอธิบายของปีศาจในตำนานและพระคัมภีร์ของศาสนจักรทุกประการ!
สำหรับมนุษย์ธรรมดาที่อาศัยอยู่ในแดนสวรรค์แห่งโจรสลัด การได้เห็นพลังเหนือธรรมชาติไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ สำหรับคนที่นี่ ความรู้ในเชิงศาสตร์เร้นลับของพวกมันสูงกว่าชาวอาณานิคมโอลาวีและชาวเมืองชนเผ่าดั้งเดิมพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งเจ้าของและบอดี้การ์ดต่างก็ไม่เคยเห็นปีศาจตัวจริงมาก่อน ถึงขั้นเคยสงสัยว่า วลี ‘ปีศาจ’ ของศาสนจักรอาจถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อตราหน้าผู้วิเศษนอกรีต
เจ้าของร้านชักสายตากลับด้วยสีหน้าหนักใจ จ้องไปทางนักผจญภัยหนุ่มในสภาพเสื้อผ้าขาดวิ่นและสีหน้าเย็นชา
“ขึ้นเงินได้… พ…พวกเขาคงมีวิธีตรวจสอบว่านี่คือจิลเซียส… เป็นจิลเซียสใช่ไหม?”
ไคลน์พยักหน้ารับพลางแอบโล่งใจ
เจ้าของร้านยังคงครุ่นคิดต่ออีกสองสามวินาที เผยรอยยิ้มเจือความกลัว
“แต่ไม่มีทางขึ้นเงินได้เต็มจำนวน นายคงทราบดีอยู่แล้ว… ค่าดำเนินการราวสามสิบเปอร์เซ็นต์ ไม่อย่างนั้นต้องรอนานมาก เงินเก้าพันห้าร้อยปอนด์ไม่ใช่จำนวนที่น้อย แม้จะเป็นท่าเรือทอสคาร์เตอร์ก็ยังใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งสัปดาห์… หากเปลี่ยนเป็นโอลาวีหรือเมืองอาณานิคมอื่น การขึ้นค่าหัวจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองสัปดาห์ด้วยซ้ำ แต่เพราะที่นี่มีโจรสลัดชุกชุม นักผจญภัยจึงมาขึ้นค่าหัวบ่อย เงินสดสำรองที่เตรียมไว้จึงมากกว่า”
แน่นอน เก้าพันห้าร้อยปอนด์ไม่ใช่เงินก้อนเล็ก ไคลน์ยังไม่ลืมว่า สมัยเคยทำงานอยู่ที่เมืองทิงเก็น งบประมาณของเหยี่ยวราตรีจะตกเพียงเดือนละหนึ่งพันปอนด์ แถมยังหารกันจ่ายโดยศาสนจักรและกรมตำรวจ
ชายหนุ่มครุ่นคิดสักพัก ส่งเสียงถามเจ้าของผับ
“รู้จักฉันไหม”
“ร…รู้” เจ้าของผับรีบพยักหน้าลนลาน
ไคลน์เหลือบมองทุกคน ซักถามต่อไป
“รู้ใช่ไหมว่าฉันพักอยู่ที่ไหน”
“ร…รู้” เจ้าของผับไม่กล้าโกหก
ไคลน์ ‘อืม’ ในลำคอและกล่าวขึงขัง
“พรุ่งนี้ก่อนเที่ยง นำเงินหกพันปอนด์ไปส่งให้ถึงมือ”
หกพันปอนด์? น้อยกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เสียอีก… มีส่วนต่างราวหกร้อยปอนด์… เจ้าของผับผงะเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่านักผจญภัยเสียสติจะเป็นฝ่ายยอมลดราคาให้
“ทำได้ไหม” ไคลน์ถามย้ำ
สำหรับไคลน์ ส่วนที่เกินมาหกร้อยห้าสิบปอนด์คือค่าซ่อมแซมผับ ต้องไม่ลืมว่า ผับเกิดความวุ่นวายและเละเทะเช่นนี้เพราะฝีมือตน แต่ในฐานะนักผจญภัยเสียสติ คำพูดเช่นนั้นมิอาจกล่าวออกไป และไคลน์เชื่อว่าเจ้าของผับไม่ใช่พ่อพระใจบุญ คงจะไม่แบ่งเงินก้อนนี้กับคนอื่น
หลังจากครุ่นคิดเคร่งเครียด เจ้าของผับตอบขึงขัง
“ไม่มีปัญหา!”
แม้ระเบียบราชการจะกินเวลานาน แต่มันก็มิได้กังวล เจ้าของผับเตรียมกู้เงินส่วนหนึ่ง รวมกับเงินออมของตัวเองอีกส่วนหนึ่ง จ่ายค่าหัวในจำนวนที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ต้องการไปก่อน
สำหรับยุคสมัยปัจจุบัน ธุรกิจที่ทำกำไรได้หลายร้อยปอนด์มีไม่มากนัก หากได้โอกาสก็ต้องรีบคว้าไว้!
ไคลน์พยักหน้าไม่กล่าวคำใด หันหลังเดินไปทางประตูผับ
ขณะเข้าใกล้ประตู ชายหนุ่มหยิบเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งออกจากกระเป๋าและโยนลงบนโต๊ะกลมขนาดเล็กด้านข้าง
สิ้นเสียงกริ๊ง เหรียญที่กลิ้งเริ่มสงบ รวมทั้งหมดแปดเพนนี
ระหว่างที่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ไคลน์ในเสื้อโค้ทยาวสีดำยังคงไม่หยุดเดินหรือชะลอฝีเท้า ไม่นานก็หายตัวไปจากหน้าประตู
“ข… เขาทำไปเพื่ออะไร?” เจ้าของผับกล่าวด้วยสีหน้าฉงน
บอดี้การ์ดส่วนใหญ่ส่ายหน้า เป็นนัยว่าไม่ทราบถึงจุดประสงค์ที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์โยนเหรียญ
บอดี้การ์ดคนหนึ่งซึ่งเคยเฝ้าประตูขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด ลองคาดเดา
“ตอนที่เข้ามาในผับครั้งแรก เขาขว้างเบียร์ของใครบางคนใส่จิลเซียส… หรือจะเป็นค่าเบียร์แก้วนั้น?”
ทั้งผับเกิดความเงียบงัน แม้เจ้าของผับและบอดี้การ์ดจะยังไม่ปักใจเชื่อคำอธิบายดังกล่าว แต่ภายในใจลึกๆ กลับรู้สึกว่า พฤติกรรมเช่นนี้ช่างสอดคล้องกับความเสียสติของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
…
ชุดพังอีกแล้ว ค่าเสียหายเกือบเก้าปอนด์… แต่โชคยังดีที่การลงมือคราวนี้ทำเงินได้มาก… พรุ่งนี้ต้องรีบหาชุดใหม่มาเปลี่ยน… หลังจากหักเลี้ยวเปลี่ยนเส้นถนน ไคลน์หยุดเพื่อตรวจสอบสถานภาพปัจจุบัน
ชายหนุ่มไม่รีบกลับโรงแรม อันดับแรก มันมุ่งหน้าสืบสวนตามข้อมูลที่ได้รับมาจากโมโซน่า หัวหน้าพรรคโลเอ็นใหม่ จนกระทั่งพบกับตำรวจคนที่ถูกติดสินบนด้วยยาเสพติดและช่วยแก๊งอันธพาลทำเรื่องต่ำช้ามากมาย รวมไปถึงการวางแผนฆ่าพยานรู้เห็น หลังจากสื่อวิญญาณเพื่อยืนยันความผิดของอีกฝ่ายจนมั่นใจ ชายหนุ่มปล่อยให้ยุบพองหิวโหยเพลิดเพลินไปกับอาหารสำหรับวันนี้อย่างอิ่มเอม
จัดการเสร็จ ไคลน์นั่งรถม้ากลับโรงแรม กลับเข้าห้องพัก
เตรียมแท่นบูชาเสร็จ ชายหนุ่มประกอบพิธีกรรมเพื่อนำยุบพองหิวโหยและผลึกเลือดเรียวบางเข้าสู่มิติหมอก
ขณะนั่งบนเก้าอี้หัวโต๊ะทองแดงยาว ไคลน์หยิบถุงมือขึ้นมาและปลดปล่อยดวงวิญญาณ ‘นักบวชแสง’ โดยไม่ลังเล
ผู้วิเศษลำดับ 5 รายนี้มีใบหน้าเรียวผอม บุคลิกสง่างาม ท่าทางคล้ายกับคนแก่ใจดี สวมชุดนักบวชสีขาวเรียบง่าย สิ่งแรกที่ดวงวิญญาณทำคือการแสดงความขอบคุณต่อสิ่งมีชีวิตลึกลับผู้ปกครองมิติเหนือสายหมอก
ไคลน์พยักหน้าตอบสนอง จากนั้นก็นำปากกาและกระดาษออกมาเขียนประโยคทำนาย
“สูตรโอสถเส้นทางสุริยันตั้งแต่ลำดับ 7 ขึ้นไป”
เอนหลังพิงพนัก ชายหนุ่มเริ่มใช้เทคนิคทำนายฝันเพื่อสื่อวิญญาณ
โลกสีเทาพลันแปรเปลี่ยน ไคลน์เห็นนักบวชแสงกำลังคลี่ม้วนกระดาษหนังในห้องอ่านหนังสือที่มีแสงแดดส่องถึง บนกระดาษมีสูตรโอสถซึ่งเขียนด้วยภาษาฟุซัคโบราณ :
“ลำดับ 6 ผู้รับรอง”
“วัตถุดิบหลัก :”
“ผลึกรากของต้นคนชราหนึ่งก้อน”
“ขนแพนหางของนกพันธสัญญาวิญญาณห้าเส้น”
“วัตถุดิบเสริม :”
“ยางไม้ของต้นพันธสัญญาวิญญาณหนึ่งร้อยมิลลิลิตร”
“ทานตะวันขอบทองหนึ่งดอก”
“ทานตะวันขอบขาวหนึ่งดอก”
“น้ำสกัดใบเฟิร์นห้าหยด”
หลังจากฉากดังกล่าวหยุดค้างประมาณสองสามวินาที คลื่นน้ำสั่นกระเพื่อมพร้อมกับเปลี่ยนเป็นฉากห้องโถงโอ่อ่าซึ่งมีรูปปั้นทองคำเรียงราย
ภายในโถงใหญ่ บุรุษซึ่งรายล้อมด้วยแสงสว่างเจิดจ้าจนไม่มีใครกล้าสบตา ก้มมองชายสูงอายุพลางกล่าว
“นี่คือสูตรโอสถนักบวชแสง… จงจำให้ขึ้นใจ… ขับไล่ความมืดมิด สรรเสริญดวงสุริยัน”
ชายชรารับไปด้วยสีหน้าตื่นเต้น บรรจงคลี่ม้วนกระดาษในมือ
“ลำดับ 5 นักบวชแสง”
“วัตถุดิบหลัก :”
“หงอนสีแดงของราชาระการุ่งอรุณ”
“ศิลาเจิดจรัสบริสุทธิ์หนึ่งก้อน”
“วัตถุดิบเสริม :”
“โรสแมรี่ห้ากรัม”
“น้ำส้มมือสีทองเจ็ดหยด”
“น้ำศิลาสิบมิลลิลิตร”
“เลือดของราชาระการุ่งอรุณหกสิบมิลลิลิตร”
“พิธีกรรม : ท่ามกลางความมืดมิดโดยสมบูรณ์ ฝังร่างตัวเองลงในก้อนน้ำแข็งที่ไม่ละลายตามปรกติ จากนั้นก็ดื่มโอสถ”
ฉากฝันเลือนหายอย่างรวดเร็ว เนื้อหาทั้งหมดจบลงเท่านี้
ไคลน์ไม่ประหลาดใจสักเท่าไร มันทราบดี หากเป็นโอสถระดับตั้งแต่ครึ่งเทพขึ้นไป เจ็ดโบสถ์หลักมักเตรียมโอสถและพิธีกรรมให้เสร็จสรรพโดยไม่แจ้งสูตรเป็นลายลักษณ์อักษร
ในปัจจุบัน ร่างวิญญาณของนักบวชแสงเริ่มเลือนรางหลังจากจิตถูกฝืนสื่อวิญญาณ
สีหน้าที่เคยเจ็บปวดบรรเทาลงหลายส่วน ศีรษะเงยขึ้น กางแขนออกด้วยท่าทางที่คล้ายกำลังโอบกอดดวงอาทิตย์
“สุริยันจงเจริญ!” นักบวชแสงหลับตาลง กล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมศรัทธา
นั่นคือประโยคสั่งลา ร่างวิญญาณของมันเริ่มกระจัดกระจายปะปนกับสายหมอก จนกระทั่งเลือนหายโดยสมบูรณ์
ผู้ศรัทธาเคร่งครัด… ไคลน์ถอนหายใจพลางพึมพำ นำสิ่งที่เห็นในความฝันมาจดเป็นสูตรลงบนกระดาษหนัง
หนึ่งในวัตถุดิบหลักของผู้รับรองคือผลึกรากของต้นคนชรา… ถ้าจำไม่ผิด นักจิตบำบัดของมิสจัสติสก็ใช้ผลของต้นคนชรา… บางทีเส้นทาง ‘ผู้ชม’ และ ‘สุริยัน’ อาจสลับกันได้ในลำดับสูง… พิธีกรรมของนักบวชแสงค่อนข้างยุ่งยากสำหรับคนธรรมดา การหาน้ำแข็งที่ไม่ละลายไม่ใช่เรื่องง่าย แต่สำหรับเดอะซันน้อย ความยุ่งยากจะเป็นประเด็นอื่นมากกว่า… ชาวดินแดนเทพทอดทิ้งอาจหายตัวไปหากอยู่ใน ‘ความมืด’ เป็นเวลานาน… เราคงต้องค่อยๆ คิดหาวิธีแก้ไขปัญหาอย่างใจเย็น… อา… แก่นของเทคนิคสวมบทบาทคือการ ‘ขจัดความมืด สรรเสริญสุริยัน’ สินะ… หลังจากใคร่ครวญ ไคลน์หยิบผลึกเลือดเรียวยาวที่เกิดจากศพจิลเซียสขึ้นมาถือ
ชายหนุ่มครุ่นคิดหลายวินาที เขียนประโยคทำนายอย่างรัดกุม
“ที่มาของสิ่งนี้”
ในสภาพถือผลึกและกระดาษ ไคลน์พึมพำประโยคทำนายเสียงแผ่วหนแล้วหนเล่าจนกระทั่งเข้าสู่ความฝัน
ท่ามกลางโลกสีเทา ชายหนุ่มเห็น ‘แจ้งมรณะ’ เรือใบลำใหญ่ที่ปลายหัวท้ายยกสูง และเห็นจิลเซียสกำลังปืนบันไดขึ้นไปบนดาดฟ้า
ในวินาทีที่ผู้ปลดปล่อยแรงกระหายวางเท้าลง หมอกดำพลันพวยพุ่งจากช่องว่างของพื้นดาดฟ้าเรือ กลิ่นความชั่วร้ายคละคลุ้งเข้มข้น โอบกอดร่างจิลเซียสไว้อย่างสมบูรณ์ มลพิษดังกล่าวกัดกร่อนทุกสิ่งที่ส่องแสงบนตัวจิลเซียส รวมถึงร่างกายของมันด้วย
หมอกดำเริ่มหดตัวอย่างรวดเร็ว ควบแน่นลอยเข้าไปในหน้าอกของจิลเซียสพร้อมกับค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงประหนึ่งคราบเลือด
จนกระทั่งสถานการณ์กลับเป็นปรกติ จิลเซียสคุกเข่าลงหนึ่งข้าง หันหน้าไปทางดาดฟ้าเรือและกล่าว
“เจตจำนงของท่านคือเจตจำนงของข้า ท่านมหาแจ้งมรณะ!”
ความฝันแตกสลาย ไคลน์ลืมตาตื่น
ชายหนุ่มนั่งตัวตรง เพ่งไปยังผลึกโลหิตพลางพึมพำด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“แจ้งมรณะมีชีวิต? สมบัติปิดผนึกที่มีสัญญาณชีพ? ผลึกก้อนนี้ใช้สำหรับควบคุมเหล่าลูกเรือ เต็มไปด้วยมลพิษร้ายแรง ส่งผลให้สมบัติวิเศษระดับต่ำล้วนถูกกัดกร่อนจนเสียหาย?”
ราชันเร้นลับ 687 : ผู้ละเมอ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากหยิบผลึกโลหิตเรียวบางและสูดดมกลิ่นกำมะถันเจือจางเข้าไป ไคลน์มิอาจสัมผัสถึงพลังการกัดกร่อนที่ซ่อนอยู่ภายใน
“กล่าวกันว่า นรกคือสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยพลังกัดกร่อน แม้แต่เทวทูตก็ยังมีสิทธิ์คลุ้มคลั่ง ผู้เฝ้านรกมีชะตากรรมต้องถูกนรกกลืนกิน… ลักษณะพิเศษของ ‘แจ้งมรณะ’ นับว่าสอดคล้องกับประเด็นนี้… เป็นพลังของผู้ปลดปล่อยแรงกระหายในขั้นที่ลึกกว่า? ไคลน์ปล่อยความคิดล่องลอย
เพียงไม่นาน ชายหนุ่มพบรายละเอียดสำคัญ นั่นคือเรื่องที่จิลเซียสกล่าวคำสวามิภักดิ์กับ ‘แจ้งมรณะ’ มิใช่ ‘ราชาอมตะ’ อาการิธ!
กำลังจะบอกว่า ราชาอมตะตัวจริงคือแจ้งมรณะ? อาการิธเป็นเพียงกระบอกเสียงหรือไม่ก็ผู้ควบคุมเหยื่อที่ถูกกัดกร่อน? อา… ดูเหมือนข่าวลือที่ว่าอาการิธไม่ใช่ครึ่งเทพ แต่สามารถขึ้นมาเป็นราชาโจรสลัดได้เพราะแจ้งมรณะ จะเป็นความจริง… ถ้าอย่างนั้น สถานการณ์ของมันอาจเลวร้ายกว่าที่เราคิด ไม่มีอิสระใดๆ แม้แต่น้อย…
แน่นอน อย่าเพิ่งตัดความเป็นไปได้ที่มันจะอยู่ในลำดับ 4 ส่วนแจ้งมรณะเป็นหนึ่งในผู้ช่วย… พวกปีศาจมักมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ชอบทำให้คนอื่นเข้าใจผิดอยู่เสมอ…
ไคลน์ครุ่นคิดเล็กน้อย พยายามทำนายเพิ่มเติม เผื่อจะทราบถึงประโยชน์การใช้งานของผลึกโลหิต
มันไม่กังวลว่าจะเกิดปัญหาใหญ่ ไม่สิ กล่าวให้ชัดคือชายหนุ่มเตรียมพร้อมรับแรงกระแทก ต่อให้การทำนายเชื่อมต่อไปถึงราชาปีศาจแห่งนรก อย่างมากก็มีผลข้างเคียงระดับเดียวกับพระผู้สร้างแท้จริงหรือสุริยันเจิดจรัส ไคลน์เชื่อว่าหมอกสีเทาสามารถกีดขวางและสยบอิทธิพลเหล่านั้นได้
นี่เป็นครั้งแรก… เรายังไม่ถูกระบุตำแหน่งแน่… คงไม่เกิดปัญหา… นอกจากนั้นเรายังทำนายถึงต้นกำเนิดไปแล้วสองหนโดยไม่เกิดอันตราย และแจ้งมรณะไม่มีทางเป็นปีศาจลำดับ 0 แน่นอน… ไม่มีทาง เพราะถ้ามันคือปีศาจลำดับ 0 หรือสมบัติวิเศษระดับเดียวกับ ‘ราชาเทวทูต’ อามุนด์ แจ้งมรณะไม่จำเป็นต้องเลี่ยงการปะทะกับกลุ่มศัตรูที่ประกอบด้วยเรา ราชินีเงื่อนงำ พลเรือเอกดวงดาว และแอนเดอร์สัน… ไคลน์ตระหนักว่าตัวเองเริ่มสร้างความกังวลโดยไม่จำเป็น สมาธิกลับมาจดจ่ออยู่กับการทำนายอีกครั้ง
ท่ามกลางโลกสีเทา ชายหนุ่มมองเห็นเพียงหมอกสีดำเหนียวข้น
สัตว์ประหลาดขนาดมหึมาที่ก่อตัวจากก้อนเนื้อสีเข้ม กำลังคืบคลานเข้าใกล้ทุกขณะ เสียงคำรามอย่างเดือดดาลดังเล็ดลอดจากโพรงช่องว่าง
“ผู้ละเมอ!”
ฉากตรงหน้าพลันแปรเปลี่ยน กลายเป็นแท่นบูชาโบราณที่เต็มไปด้วยเลือด สลักถ้อยคำและสัญลักษณ์กัดกร่อน ราวกับกำลังตะโกนบางสิ่ง
โลกมายาสีเทาแตกละเอียด ไคลน์บรรจงลืมตา ลุกยืนตัวตรง
ชายหนุ่มเคาะนิ้วลงบนขอบโต๊ะทองแดงยาว พึมพำกับตัวเอง
ยังไม่เข้าใจ… ก่อนที่จะกลายเป็นสมบัติปิดผนึก ‘แจ้งมรณะ’ เคยเป็นผู้ละเมอแห่งเส้นทางนรกมาก่อน? หรือเป็นสัตว์ประหลาดก้อนเนื้อสีดำขนาดยักษ์ที่ถูกผู้ละเมอฆ่าและเปลี่ยนให้กลายเป็นสมบัติปิดผนึก?
หึหึ… แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน ปลายทางคือเรือลำนั้นเหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่กลายมาเป็นสมบัติปิดผนึกดังเช่นทุกวันนี้…
อา… พิจารณาจากเสียงหัวเราะที่สามารถทำให้ผู้คนคลุ้มคลั่ง ดูเหมือน ‘แจ้งมรณะ’ น่าจะเกี่ยวข้องกับ ‘ผู้ละเมอ’ มากกว่า… หนึ่งสิ่งที่แน่ชัดก็คือ แจ้งมรณะไม่ใช่สมบัติปิดผนึกลำดับ 0 ไม่อย่างนั้นราชาอมตะควรแข็งแกร่งเป็นอันดับหนึ่งจากบรรดาสี่ราชา… ราวลำดับ 3 กระมัง? และเมื่อผนวกเข้ากับอาการิธที่ดูเหมือนจะไม่เหมาะสมกันเท่าไร พลังโดยรวมน่าจะอยู่ราวลำดับ 4 ไม่มากไปกว่านั้น…
ในส่วนของแทนบูชาชั่วร้ายที่คล้ายกับกำลังตะโกนภาษากัดกร่อนตลอดเวลา สิ่งนี้กำลังบอกเป็นนัยว่า สามารถใช้ ‘ผลึกเลือด’ อัญเชิญปีศาจลำดับสูงออกมาได้? ตัวอย่างเช่น… ผู้ละเมอ?
เนื่องจากไม่มีความรู้ด้านการอัญเชิญปีศาจระดับสูง และไม่คิดจะทำเรื่องดังกล่าว ไคลน์โยนผลึกเลือดเรียวยาวและหินวิบวับซึ่งเกิดจาก ‘นักบวชแสง’ ไปยังกองขยะส่วนตัว ภายในใจตั้งชื่อให้วัตถุชนิดแรกเสร็จสรรพ :
ออร่าของผู้ละเมอ!
จัดการเสร็จ ไคลน์ทำนายประเด็นอื่นเพิ่มเติมอย่างผ่อนคลาย เป็นการตรวจสอบอันตรายเกี่ยวกับค่ำคืนที่กำลังจะมาถึง ชายหนุ่มอยากทราบว่า ราชาอมตะ อาการิธ จะลงมือกับตนหรือไม่
ภายในใจมีคำตอบอยู่แล้ว นั่นก็คือ ‘ราชาอมตะ’ อาการิธคงไม่ยกพลขึ้นบกบนเกาะทอสคาร์เตอร์!
ประการแรก เกาะนี้มีครึ่งเทพซ่อนตัวอยู่ ผู้วิเศษทั่วไปอาจไม่ทราบ แต่เหล่าสี่ราชาย่อมต้องมีข้อมูลในมือ และจากประวัติ อาการิธแทบไม่เคยเผชิญหน้ากับครึ่งเทพตนอื่น การบุกเข้าถิ่นของศัตรูไม่ใช่วิสัยของมัน
ประการที่สอง จากข้อสันนิษฐานก่อนหน้า ไคลน์สามารถสรุปได้หนึ่งประเด็น : อาการิธไม่กล้าออกจากแจ้งมรณะ และแจ้งมรณะไม่สามารถแล่นบนบกได้!
อย่างที่คิด… ไคลน์ได้รับผลการทำนายยืนยันความปลอดภัย
หรือก็คือ ตนไม่ต้องเปลี่ยนรูปลักษณ์และย้ายโรงแรมพัก
…
เก้าโมงเช้าวันถัดมา ไคลน์เดินลงมายังร้านอาหารบนชั้นหนึ่งของโรงแรม หลังจากมองหาโต๊ะนั่ง ชายหนุ่มเห็นแอนเดอร์สัน·ฮู้ดโผล่จากที่ไหนไม่มีใครทราบ นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดใช้นิ้วสางเส้นผมสีทอง จัดแจงให้เป็นอัตราส่วนสามต่อเจ็ด จ้องหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์พลางยิ้ม
“น่าประทับใจมาก… แม้จะถูกรุมสามต่อหนึ่ง แต่นายก็สามารถเชือดเจ้าจิลเซียสนั่นสำเร็จ… ฉากการลากศพลงมาตามบันได กำลังถูกพูดถึงอย่างมากบนเกาะทอสคาร์เตอร์… ฮะฮะ… กล่าวกันว่า โจรสลัดทุกคนที่มีค่าหัวติดตัวล้วนพยายามหลบหน้านาย ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ในรัศมีห้ากิโลเมตร!”
ไคลน์ ผู้เลิกดื่มนมตลอดชีวิตเพราะแฟรงค์·ลี ยกมือขึ้นและสั่งกาแฟหนึ่งถ้วย ขนมปังขาวหนึ่งแถว ขนมปังปิ้งสองแผ่น ไส้กรอกหมูย่างและเนยหนึ่งจานเล็ก จากนั้นก็หันไปตอบสนองเสียงเรียบ
“ข่าวไวดีนี่”
แอนเดอร์สันยิ้ม
“เป็นธรรมดาของยอดนักล่า หึหึ… ตอนนี้บรรดานักผจญภัยในทอสคาร์เตอร์ต่างกำลังถกเถียงกันว่า ใครคือนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดกันแน่”
เมื่อเห็นสายตาเย็นชาและไม่ทราบความนัยจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์ แอนเดอร์สันยิ้มและเล่าต่อ
“ทุกคนเลือกนาย… ฮะฮะ… คงเพราะที่นี่คือทะเลโซเนียล่ะนะ… ไม่ใช่ทะเลหมอก”
ประโยคหลังสุดจำเป็นต้องพูดด้วยหรือ? ชอบถูกชกปากนักรึไง? ไคลน์ถามเสียงเรียบจนดูเหมือนไม่แยแส
“มีข่าวเดียวหรือ”
“หือ?” แอนเดอร์สันเริ่มตามสถานการณ์ไม่ทัน
“ยังมีข่าวอื่นอีกไหม” ไคลน์ถามซ้ำ
“เรื่องนั้น…” แอนเดอร์สันส่งสายตาเล็กน้อย “โมโซน่าแห่งพรรคโลเอ็นใหม่หายตัวไปอย่างเป็นปริศนาเมื่อคืน ทั้งที่มีบอดี้การ์ดคอยคุ้มกันเป็นจำนวนมาก มันกลับหายตัวไปจากห้องพักอย่างไร้ร่องรอย! ทางการเขียนสำนวนว่าตายไปแล้ว สาเหตุอาจเกิดจากการบูชาเทพมารหรือไม่ก็พยายามอัญเชิญปีศาจ แน่นอน ไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้ เพราะทางโบสถ์วายุสลาตันได้รับจดหมายจากบุคคลนิรนาม เนื้อความเขียนเกี่ยวกับอาชญากรรมของโมโซน่าและหลักฐานอย่างละเอียด”
แอนเดอร์สันจ้องเกอร์มัน รอให้นักผจญภัยเสียสติเล่าเสริม
มันยังจำได้แม่น เมื่อวานเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถามตนว่า ใครสมควรตายมากที่สุดบนเกาะทอสคาร์เตอร์ และตนบอกชื่อของโมโซน่าแห่งพรรคโลเอ็นใหม่กลับไป
ไคลน์ ‘อืม’ ในลำคอ ไม่กล่าวคำใดเพิ่ม
ขณะเดียวกัน บุคคลหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาในโรงแรม มองไปรอบตัวก่อนจะเดินมาหาไคลน์ด้วยสีหน้ายินดี
ไม่ใช่ใครนอกจากเจ้าของผับ
“มิสเตอร์สแปร์โรว์” เจ้าของผับถอดหมวกนุ่มที่กึ่งกลางยุบลง โค้งคำนับอย่างสุภาพ “ทางการยืนยันแล้ว แต่ต้องใช้เวลาดำเนินการราวสองวันเพราะเป็นเงินก้อนใหญ่ ฮะฮะ… ผมทราบว่าคุณจะออกจากเกาะวันนี้ เพื่อให้ไม่เป็นการเสียเวลา ผมตัดสินใจจ่ายค่าหัวให้คุณล่วงหน้า ส่วนหนึ่งมาจากเงินหมุนเวียนของผับ อีกส่วนหนึ่งกู้มาจากเพื่อนสนิทสองสามคน… เชิญนับ”
มันจงใจลงลึกรายละเอียด นอกจากธุรกิจคราวนี้จะทำกำไรหลายร้อยปอนด์ เจ้าของผับยังหวังผูกมิตรกับนักผจญภัยเสียสติ เกอร์มัน·สแปร์โรว์
ส่วนเรื่องที่ราชาอมตะจะตามมาล้างแค้นตน เจ้าของผับมิได้กังวลนัก จิลเซียสเองก็เคยมาขึ้นค่าหัวและปล่อยของที่ผับของตนบ่อยครั้ง ได้เงินไปมากมาย ทุกฝ่ายต่างได้ประโยชน์ นี่คือกฎแห่งท้องทะเล
หลังจากนับธนบัตรปึกหนามูลค่ารวมหกพันปอนด์ ไคลน์แบ่งออกเป็นหลายปึก สอดไว้ในกระเป๋าเสื้อหลายช่อง ปิดท้ายด้วยพยักหน้า
“ทำได้ไม่เลว”
เจ้าของผับโล่งใจ มองไปรอบตัวอย่างระมัดระวังและกล่าวเสียงแผ่ว
“หลังจากนี้ก็ระวังตัวด้วย ราชาอมตะเป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้น เรือโดยสารของคุณอาจถูกจู่โจมกลางทะเล”
มันไม่กล้าเล่าว่า ตนสามารถหาคนช่วยพาขึ้นเรือโดยสารอย่างเป็นความลับได้ เพราะเกรงว่าถ้าราชาอมตะรู้เข้า ฝ่ายที่โดนแก้แค้นอาจเป็นตัวเอง
“ฉันรู้” ไคลน์ตอบเสียงเรียบ
เจ้าของผับไม่กล่าวต่อ โค้งศีรษะอีกครั้ง เดินออกไปจากโรงแรม
“นายมีวิธีออกจากเกาะหรือยัง?” แอนเดอร์สันจ้องเกอร์มันด้วยความสงสัย
“ลองเดาดูสิ” ไคลน์ยิ้มอ่อน
มุมปากแอนเดอร์สันพลันกระตุก
“เห็นนายมั่นใจ ฉันก็สบายใจ… ขอยืนยันเวลาอีกครั้ง จากที่เขียนไว้บนหน้าตั๋ว เรือโดยสารจะออกเดินทางตอนบ่ายโมงครึ่ง… เฮ่อ ฉันเคยคิดว่าการทำเงินหนึ่งพันหกร้อยปอนด์ในคืนเดียวเป็นเรื่องที่สุดยอดมากแล้ว… ใครจะไปคิด…”
ไคลน์ไม่ตอบ เริ่มจัดการอาหารเช้าของตัวเอง
จากนั้นก็ออกไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ตัดปัญหาที่เสื้อผ้าอาจไม่เพียงพอสำหรับการหมุนเวียน
จากวินาทีเป็นนาที จนกระทั่งถึงเวลาต้องขึ้นเรือ แอนเดอร์สันถือกระเป๋าเดินทางใบใหม่ที่เพิ่งซื้อ ชำเลืองไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้านข้าง ซักถามด้วยสีหน้าเจือความกังวล
“จะขึ้นไปทั้งแบบนี้เลยหรือ… แจ้งมรณะน่าจะรออยู่ด้านนอก ส่วนอนาคตกาลออกไปตั้งแต่เมื่อวานหลังจากเติมเสบียงเสร็จ”
มันรู้สึกว่า การเดินทางด้วยเรือขณะที่โทสะของราชาอมตะกำลังคุกรุ่น ไม่ใช่เรื่องฉลาดสักเท่าไร
แต่คนอย่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่น่าจะเสียสติถึงขั้นเอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับความตาย… นอกเสียจาก… เขาวางกับดักไว้แล้ว… แอนเดอร์สันครุ่นคิดพลางผุดข้อสันนิษฐานใหม่
ไคลน์ไม่หันไปมอง ถือกระเป๋าเดินทางเดินขึ้นเรือทั้งอย่างนั้น
ความคิดชายหนุ่มไม่ซับซ้อน มันเชื่อว่าแจ้งมรณะคงสัมผัสได้ถึงความผิดปรกติของ ‘ออร่า’ ด้วยอุปนิสัยของราชาอมตะ โอกาสเปิดฉากโจมตีซึ่งหน้าจึงต่ำมาก แต่ถ้าสมมติฐานของตนผิด ในวินาทีที่เห็นแจ้งมรณะแล่นผ่านเส้นขอบฟ้าเข้ามา ไคลน์จะรีบกลับเข้าห้อง สวดวิงวอนถึงตัวเอง เข้าสู้มิติหมอกและตอบสนองด้วยคทาเทพสมุทร แล้วมาดูกันว่าในสมรภูมิกลางทะเล ‘เทพสมุทร’ หรือ ‘ผู้ละเมอ’ จะแข็งแกร่งกว่ากัน!
แผนในตอนแรกของไคลน์ไม่ใช่แบบนี้ ชายหนุ่มคิดจะใช้คทาเทพสมุทรออกคำสั่งกับสัตว์ทะเลแถบชายฝั่ง ให้พวกมันช่วย ‘ลำเลียง’ ตนและแอนเดอร์สันผ่านพิสัยทำการของแจ้งมรณะ จากนั้นค่อยแอบขึ้นเรือโดยสารที่ตนมีตั๋วในเมืองท่าแห่งอื่น
ทว่าเมื่อลองพิจารณาอย่างถี่ถ้วน การหายตัวไปอย่างกะทันหันของตนอาจทำให้ราชาอมตะนำความโกรธไปลงกับผู้บริสุทธิ์ ฆ่าคนไม่เลือกหน้า เพราะโจรสลัดไม่จำเป็นต้องทำตามกฎหมายหรือศีลธรรมอยู่แล้ว หลังจากทำนายตรวจสอบบนมิติเหนือสายหมอก ไคลน์เลือกที่จะขึ้นเรืออย่างเปิดเผยแทน
ราชันเร้นลับ 688 : รอคอยจนถึงที่สุด
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากเดินผ่านดาดฟ้าเรือ เข้าไปในเขตห้องโดยสาร มองหาห้องพักของตน ไคลน์เตรียมกล่าวบางสิ่งแต่ถูกแอนเดอร์สันพูดตัดหน้า
“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง… หากฉันเป็นผู้โดยสารของเรือลำนี้และเห็นนักผจญภัยที่เพิ่งทำให้ราชาอมตะขุ่นเคืองใจร่วมทางมาด้วย คงกำลังกระวนกระวายจนไม่เป็นอันทำอะไร หรือไม่ก็เดินไปบอกให้เจ้าหน้าที่ช่วยโน้มน้าวให้นายเปลี่ยนเรือ… หรือไม่ก็เปลี่ยนเรือเสียเอง… ผิดคาดมากที่ทุกคนใจเย็นขนาดนี้”
หลักแหลมมาก ไม่ละเลยรายละเอียดเล็กน้อย… หรือจะเป็นคุณสมบัติของ ‘นักวางแผน’ ? ภายนอกทำเป็นยิงมุกตลกโปกฮาและแกว่งปากหาเสี้ยน แต่ในใจกลับเยือกเย็น สำรวจสภาพแวดล้อมและเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์… ไคลน์ไขกุญแจเปิดประตู ภายในใจไตร่ตรองว่าเรือลำนี้ผิดปรกติจริงหรือไม่
ทันใดนั้น แอนเดอร์สันยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองหนึ่งฉาด
“เข้าใจแล้ว! เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้น ข่าวยังแพร่กระจายเฉพาะในหมู่นักผจญภัยและโจรสลัด ผู้โดยสารและลูกเรือที่เป็นคนธรรมดาจึงยังไม่ทราบข่าว เหนือสิ่งอื่นใด คนที่จะรู้จักใบหน้าของนายต้องมีข้อมูลในมือพอสมควร ไม่ใช่กับคนธรรมดา”
ถามเองตอบเองเสร็จสรรพ… รู้เหมือนกันหรือว่าเวลาเป็นเงินเป็นทอง? ไคลน์รำพันพลางเดินเข้าไปในห้องพักชั้นเฟิร์สคลาส
ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มต้องการความสะดวกสบาย แต่พิจารณาจากการต้องคอยจับตามองแอนเดอร์สัน·ฮู้ด มิให้ ‘ตัวซวย’ ก่อความวุ่นวายกับผู้โดยสารคนอื่น ห้องพักชั้นเฟิร์สคลาสคือสิ่งจำเป็น
ในสภาพถือกระเป๋าเดินทาง ไคลน์เดินเข้าห้องนอนใหญ่พลางชี้นิ้วไปทางห้องนอนแขกและคนรับใช้ กล่าวกับแอนเดอร์สัน
“เลือกเอาตามใจชอบ”
แอนเดอร์สันผงะเล็กน้อย เปล่งเสียงโดยอ้าปากค้างไว้ครึ่งหนึ่ง
“ช่ำชองจังนะ…”
แน่นอน ฉันรู้ว่าต้องปฏิบัติกับพวกนักล่ายังไง หากเดนิสอยู่ที่นี่ด้วย เจ้านั่นจะถูกกำหนดให้พักในห้องคนรับใช้… ไคลน์ไม่กล่าวคำใด เพียงเดินเข้าไปในห้องนอนใหญ่
บ่ายสามโมงครึ่ง เรือโดยสารแล่นออกจากท่าตรงตามเวลา
แขวนเสื้อโค้ทเสร็จ ไคลน์สวมกางเกงขายาว เสื้อเชิ้ตและเสื้อกั๊ก เดินออกจากห้องนอนใหญ่มาทางห้องนั่งเล่น มองออกไปยังเส้นขอบฟ้าด้านนอกหน้าต่าง
คลื่นทะเลสีฟ้าครามกำลังซัดสาด ระลอกคลื่นแผ่ออกจากเกาะทอสคาร์เตอร์จนสุดเส้นขอบฟ้า ยุบตัวขึ้นลงเป็นระยะตามแรงลม
“เฝ้าจากตรงนี้คงไม่เกิดประโยชน์” แอนเดอร์สันเอนตัวพิงกำแพง เผยรอยยิ้มและกล่าว “นายจะได้เห็นแค่มุมเดียว แต่แจ้งมรณะสามารถโผล่มาจากทิศอื่นได้ ไม่ว่าจะทางด้านหน้าหรือด้านข้างอีกฝั่ง วิธีที่ดีที่สุดคือการปืนขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์ แต่ที่นั่นมีลูกเรือประจำการอยู่… หึหึ หากเป็นนักล่าหรือโจรสลัดที่ช่ำชอง มีกว่าร้อยวิธีในการลอบขึ้นไปโดยไม่ให้พวกเขารู้ตัว”
ไคลน์หมุนร่างกายครึ่งรอบ มองแอนเดอร์สันอย่างไร้อารมณ์
“ถูกต้อง… ฝากจัดการด้วยนะ”
“หือ?” แอนเดอร์สันเผยสีหน้างุนงง
ก่อนจะได้สติกลับมาและซักถามเสียงฉงน
“นายไม่มีวิธีจับตามองแบบอื่นแล้ว?”
ถ้าตรวจสอบไม่ได้ว่าราชาอมตะจะโผล่ออกมาตอนไหน แล้วชายคนนี้วางกับดักล่อราชาอมตะได้ยังไง?
“ไม่มี” ไคลน์พยักหน้าเยือกเย็น “ชะตากรรมของพวกเราขึ้นอยู่กับนายแล้วนะ”
“…” แล้วทำไมเอ็งถึงกล้าขึ้นเรืออย่างเปิดเผยฟะ! แอนเดอร์สันหมดคำจะกล่าวเป็นเวลานาน
มันพึมพำในใจ ‘ฉันจะโดดลงจากเรือ อย่ามาห้ามนะ!’ ก่อนจะเดินออกจากเขตห้องโดยสาร ตรงไปยังด้านล่างหอสังเกตการณ์
ในทางทฤษฎี ‘ราชาอมตะ’ อาการิธ หรือที่ควรเรียกว่า ‘แจ้งมรณะ’ น่าจะสัมผัสถึงจิตมุ่งร้ายของเราได้นานแล้ว… จะไม่โจมตีเข้ามาจริงหรือ? พิจารณาจากพลังในปัจจุบันของเรา รวมถึงการพรรคพวกคอยสนับสนุน ราชาอมตะไม่น่าจะปล่อยให้เหยื่อหลุดมือ… หรือมันกังวลว่า มีตัวตนลึกลับคอยกีดขวางสัญชาตญาณเตือนภัยของปีศาจ? ไคลน์ถอนสายตาจากประตู มองไปยังท้องทะเลด้านนอก
ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มเริ่มสัมผัสถึงบางสิ่ง จึงเปิดเนตรวิญญาณและมองไปทางด้านข้าง
ผู้ส่งสารโครงกระดูกร่างยักษ์โผล่ขึ้นจากพื้น เปลวไฟสีดำที่ลุกไหม้ในเบ้าตากำลังสั่นวูบวาบ
เนื่องจากโผล่ขึ้นมาแค่ท่อนบน ส่วนสูงจึงไม่มากไปกว่าไคลน์นัก หลังจากสองสายตาประสานกันสักพัก โครงกระดูกยื่นจดหมายมาให้ชายหนุ่ม
ครั้งนี้มิสเตอร์อะซิกตอบไวมาก… ไคลน์พยักหน้าสุภาพ ใช้มือรับจดหมายที่ถูกพับมาอย่างดี
รอจนกระทั่งผู้ส่งสารหายไป ไคลน์เปิดจดหมายอ่านท่ามกลางแสงแดดด้านนอก
“…ขอแสดงความยินดีที่คุณเลื่อนลำดับสำเร็จ การเดินทางของคุณน่าสนใจกว่าที่ผมคิดไว้มาก”
“เขตน่านน้ำพิเศษอันตรายสมคำร่ำลือ ผมจำได้เลือนรางว่า ที่นั่นเกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ ส่วนเหตุผลที่มีออร่าของเทพมรณาโบราณหลงเหลืออยู่ ผมไม่มั่นใจสักเท่าไร”
“คำเตือนของคุณ ผมจะจำใส่ใจเอาไว้ หากความทรงจำไม่ฟื้นคืนกลับมาอย่างสมบูรณ์ ผมจะไม่ไปเยือนทะเลแห่งนั้นเด็ดขาด เสียงเพรียกของพระผู้สร้างแท้จริงไม่ใช่สิ่งที่น่าอภิรมย์สักเท่าไร”
“ผมสนใจแหวนในมือของพลเรือเอกขุมนรก แต่ตอนนี้กำลังพัวพันอยู่กับการค้นหาอดีต คงใช้เวลาสะสางสักพักกว่าจะมีเวลาแวะไปเยี่ยมเขา”
อ่านถึงตรงนี้ ไคลน์อดยิ้มไม่ได้
หากมีโอกาสเขียนจดหมายถึงมิสเตอร์อะซิกครั้งหน้า จะบอกกับเขาว่าเรามีวิธีระบุพิกัด ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ เมื่อใดที่ต้องการแวะไปเยี่ยม อย่าลืมชวนเราไปด้วย… จริงสิ เราไม่ได้ตรวจสอบตำแหน่งของกระดุมข้อมือเมอร์ล็อคมาสักพักแล้ว ไม่แน่ใจว่าถูกลูเธอร์ไวล์พบเข้าและโยนทิ้งทะเลไปหรือยัง… คงต้องรอยืนยันความปลอดภัยจาก ‘แจ้งมรณะ’ เสียก่อน จึงค่อยขึ้นมิติเหนือสายหมอกไปทำนายถึงตำแหน่งปัจจุบัน…
กลอกตาเล็กน้อย ไคลน์เริ่มอ่านต่อ
“เอกสารโบราณจากคาร์เทอริน่าเขียนอธิบายเกี่ยวกับโครงการมรณาเทียมไว้จริง เล่าโดยย่อ อดีตราชวงศ์ไบลัมกลายมาเป็นสมาชิกระดับสูงของนิกายวิญญาณในปัจจุบัน พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ที่ ‘ปราชญ์เร้นลับ’ กลายมาเป็นสิ่งมีชีวิต จึงหวังให้สิ่งเดียวกันเกิดกับเทพมรณาซึ่งกลายเป็นเพียงนามธรรมไปแล้ว”
“ในทางทฤษฎี หากอ้างอิงจากกฎความถาวรของพลังพิเศษ โครงการนี้มีโอกาสประสบความสำเร็จ การร่วงหล่นของเทพมรณามิได้แปลว่าตะกอนพลังและอำนาจจะสูญหายโดยสมบูรณ์ สิ่งเหล่านั้นยังคงอยู่ เพียงแต่แปรสภาพกลายเป็นนามธรรม ตรงนี้สอดคล้องกับสถานภาพในช่วงแรกของปราชญ์เร้นลับ”
“จากเอกสารดังกล่าว การวิจัยยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่นั่นเป็นข้อมูลจากสมัยหนึ่งร้อยปีก่อน”
“ลำดับ 4 ของเส้นทางนักทำนายมีชื่อว่า ‘จอมเวทพิสดาร’ กลุ่มยอดฝีมือของตระกูลอันทีโกนัสและซาราธเคยมอบความทรงจำที่ตัวผมยากจะลืมเลือน แม้ตอนนี้อาจจะยังคืนความทรงจำกลับมาไม่หมด แต่เพียงได้ยินชื่อก็มากพอจะทำให้เกิดอาการหวาดหวั่นเล็ก ๆ”
“ส่วนจะไปหาสูตรโอสถและวัตถุดิบได้จากที่ไหน ผมเองก็ไม่ทราบ บางทีคุณควรพิจารณาเรื่องการเปลี่ยนไปยังเส้นทางใกล้เคียง… ลำดับ 4 ของเส้นทางใกล้เคียงประกอบด้วย ‘จอมเวทลึกลับ’ แห่งเส้นทางผู้ฝึกหัด และ ‘ปรสิต’ แห่งเส้นทางนักจารกรรม แต่ผมจดจำได้เลือนรางว่า กลุ่มเส้นทางเหล่านี้จะสลับกันได้ในลำดับ 3”
เป็นอย่างที่คิด… ดูเหมือนว่าความหวังสุดท้ายของเราคือ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดส… ไคลน์ฝืนยิ้มแห้ง
อ่านจดหมายจบ ชายหนุ่มหยิบปากกาและกระดาษ จดบันทึกแนวคิดเมื่อครู่ลงไป รวมถึงกำชับว่า อย่าลืมถามถึงนิยามของ ‘สัตว์ในตำนาน’
ไคลน์ไม่รีบร้อนอัญเชิญผู้ส่งสาร เพียงวางปากกาและกระดาษลง เตรียมเผชิญหน้ากับแจ้งมรณะที่อาจโผล่ออกมาได้ทุกเมื่อ ถึงตอนนั้นค่อยเริ่มเขียนขอความช่วยเหลือลงในจดหมายและส่งกลับไปหามิสเตอร์อะซิกก็ยังไม่สาย ตามด้วยการใช้คทาเทพสมุทรคอยสนับสนุนตัวเอง ยื้อเวลาให้มิสเตอร์อะซิกเดินทางข้ามโลกวิญญาณมาช่วย หากมีอีกฝ่ายคอยสนับสนุน ‘แจ้งมรณะ’ ก็มีสิทธิ์อับปางได้เหมือนกัน
ที่ไม่รีบเขียนเตรียมไว้ก่อนเพราะ ‘ปีศาจ’ อาจสัมผัสถึงอันตราย และนั่นจะทำให้แจ้งมรณะไม่วกกลับมา ส่วนคำถามที่ว่า ลำพังแผนการในปัจจุบันก็มากพอจะทำให้อีกฝ่ายหยั่งถึงอันตรายแล้วไม่ใช่หรือ สำหรับเรื่องนี้ ไคลน์เองก็ไม่มีคำตอบ
หลังจากรอคอยอย่างอดทนนานหลายชั่วโมง ไคลน์ได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง เมื่อมองกลับไปก็พบแอนเดอร์สันกำลังใช้มือลูบแก้ม เดินเข้ามาด้วยสีหน้าซับซ้อน
“แจ้งมรณะไม่โผล่ออกมา… พวกเราออกจากน่านน้ำทอสคาร์เตอร์เรียบร้อยแล้ว…”
ราชาอมตะไม่ลงมือแก้แค้น… ดูเหมือนว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะรับมือได้ยากกว่าที่เราคิดไว้มาก! แอนเดอร์สันถอนหายใจยาว
ไคลน์พยักหน้ารับอย่างเสียดาย เดินไปทางราวแขวนผ้า สวมโค้ทและหมวก เตรียมตัวไปห้องอาหาร
…
ณ ห้องลับแห่งหนึ่ง หน่วยถุงมือแดงกำลังถกเถียงเกี่ยวกับคดีล่าสุดที่พวกตนตามสืบ
‘นักปลอบวิญญาณ’ โซสต์ ถือชอล์กพลางชี้ไปทางกระดานดำ
“คดีฆาตกรรมของปีศาจในคราวนี้มีบางสิ่งเกี่ยวพันกับคดีลอบสังหารดยุคนีแกนในกรุงเบ็คลันด์… ประการแรก เศษหนังมนุษย์เต็มไปด้วยออร่าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในคดีเกี่ยวกับปีศาจ… ประการที่สอง มีปีศาจมากกว่าหนึ่งตน พวกมันสวมหนังมนุษย์และดำรงชีวิตตามกิจวัตรประจำวัน คอยกลบเกลื่อนพฤติกรรมชั่วร้ายของพวกพ้อง… ประการสุดท้าย พวกมันต้องสงสัยว่าจะเป็นสมาชิกของตระกูลบีเลียล…”
เลียวนาร์ดตรงมุมห้องทำท่าทางคล้ายกำลังนั่งฟังอย่างตั้งใจ แต่ในความเป็นจริง เมื่อได้ยินหัวหน้าเอ่ยถึงกรุงเบ็คลันด์ สมองของมันมัวแต่นึกถึงเรื่องอื่นในอดีต
หลังจากเห็นซากปรักหักพังใต้ดินถูกทำลายโดยสมบูรณ์ เลียวนาร์ดคิดจะใช้เวลาว่างไปกับการแกะรอยนักสืบลึกลับ ‘เชอร์ล็อก·โมเรียตี้’ ขณะใกล้จะสาวถึงอดีตเจ้าของบ้านเช่า หน่วยถุงมือแดงกลับได้รับภารกิจเร่งด่วน จึงต้องเดินทางออกจากเบ็คลันด์เพื่อสืบคดีฆาตกรรมต่อเนื่องครั้งใหม่
“เลียวนาร์ด มีความคิดเห็นยังไงบ้าง” หลังจากเล่าจบ โซสต์เรียกชื่อเลียวนาร์ดเพื่อขอความเห็น
เลียวนาร์ดเอียงคอเล็กน้อยด้วยสมองขาวโพลน สายตาเหลือบไปมองเนื้อหาบนกระดานดำเล็กน้อย รีบเรียบเรียงคำพูด
“ตามความเห็นของผม พฤติกรรมของพวกมันน่าจะไม่ใช่แค่การเบี่ยงเบนความสนใจให้พวกพ้อง แต่อาจเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมบางชนิด หัวหน้าโซสต์ คุณเองก็คงทราบดี พวกมีปีศาจมีพิธีกรรมนอกรีตและชั่วร้ายมากมาย”
“สมเหตุสมผล” โซสต์เลือกคนต่อไปออกมาพูด
ฟู่ว… โชคดีที่ตาแก่เพิ่งสอนเราเกี่ยวกับวิชาปีศาจศึกษา… เลียวนาร์ดโล่งใจ เริ่มกลับมามีสมาธิกับประเด็นสนทนาของพวกพ้อง
…
หลังจากแล่นเรือนานสองวัน ผู้โดยสารถูกส่งมาถือท่าเรือโอลาวีโดยสวัสดิภาพ
จองห้องพักเสร็จ ไคลน์กล่าวกับแอนเดอร์สัน·ฮู้ด
“รอฉันที่นี่ ครึ่งเทพตนนั้นไม่ต้องการเจอคนแปลกหน้าโดยไม่ได้นัดหมาย”
ไคลน์ไม่อยากเปิดเผยช่องทางการติดต่อกับคนของโรงเรียนชีวิต
“ขอให้ฉันมีชีวิตรอดจนถึงตอนนั้นก็แล้วกัน…” แอนเดอร์สันยิ้มขื่นขมพลางอวยพรตัวเอง
มุมปากไคลน์กระตุกเล็กน้อย กลืนคำพูดในใจลงคอ ก่อนที่จะนั่งรถม้าเช่าตรงมายังวิหารนักบุญเดรโก้ซึ่งเป็นของโบสถ์วายุสลาตัน
เพียงไม่นาน ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องเล็ก ๆ ของหอนาฬิกาโอ่อ่าและได้พบกับคาโน่ คนตีระฆังอัปลักษณ์รูปร่างสูงใหญ่ ชายผู้ไม่มีอวัยวะใดบนร่างกายสมมาตรแม้แต่ส่วนเดียว
ฟังเจตนาของเกอร์มัน·สแปร์โรว์จบ คาโน่หลังค่อมพยักหน้า
“เดี๋ยวจะนำทางไปหามิสเตอร์ริคคาร์ด ท่านฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้พอสมควรแล้ว ไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอยู่ในจุดเดิม”
“ตกลง” กล่าวจบ ไคลน์นึกขึ้นได้ว่า คาโน่คือผลผลิตจากโครงการมนุษย์ดัดแปลงของโบสถ์พระแม่ธรณี จึงถามออกไปว่า “รู้จักแฟรงค์·ลีไหม?”
………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น