Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 667-674

 ราชันเร้นลับ 667 : บทสวด

โดย

Ink Stone_Fantasy

หายไปแล้ว?


ความมืด?


เมื่อเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดฝัน การตอบสนองแรกของเดอร์ริคมิใช่ตื่นกลัว หากแต่เป็นการประสานมือมาวางไว้ใต้คาง


แสงสว่างที่ค่อนข้างบริสุทธิ์เริ่มแผ่ออกจากร่างกายเด็กหนุ่ม ขับไล่ความมืดโดยรอบ มอบแสงสว่างแก่ทุกซอกทุกมุมของห้องใต้ดิน


ในสภาพแวดล้อมที่เดอร์ริคอาศัย ความมืดคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด เมื่อพวกเขาออกจากเมืองเงินพิสุทธิ์ ต้องรักษาแสงสว่างเอาไว้ตลอดเวลา จะละเลยแม้เพียงชั่วครู่ก็มิได้ ช่องว่างต้องไม่นานไปกว่าห้าวินาที


ครั้งแรกที่เดอร์ริคเข้าร่วมทีมสำรวจและยังขาดประสบการณ์ มันเคยเกือบทำผิดพลาดจนต้องจบชีวิตลง แต่โชคยังดีที่เจ้าเมืองยืนอยู่ไม่ห่าง


ท่ามกลางแสงกระเพื่อมแผ่วเบาและต่อเนื่อง เดอร์ริคยกแขนขวาที่ถือขวานเฮอร์ริเคน กวาดตาไปรอบตัว


เด็กหนุ่มพบว่านอกจากฮาอิมและโจชัว สองเพื่อนร่วมทีมที่ควรตามมาจากด้านหลังแต่กลับหายตัวไปจากห้องใต้ดิน บนกำแพงหินเองก็มีความผิดปรกติเกิดขึ้น คราบแห้งกรังสีดำขนาดใหญ่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด คล้ายกับเพิ่งถูกใครบางคนพ่นทับลงไป


ภาพตรงหน้าทำให้เดอร์ริค ผู้คุ้นชินกับภารกิจสำรวจ เริ่มใจเย็นลงพลางประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่โจชัวหรือฮาอิม แต่เป็นตัวเขาเอง!


ที่เราทำมีแค่การเดินเข้ามาใกล้แท่นบูชา… อ่านสามชื่อในใจ… ตามปรกติแล้ว ถึงจะเป็นระดับเทวทูต แต่ก็ต้องเอ่ยพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยการท่องหรือการเขียน อีกฝ่ายจึงจะได้ยิน ‘คำวิงวอน’ แถมยังมีระยะห่างที่จำกัด… แต่ไม่แน่ใจว่าราชาเทวทูตจะเหมือนกันไหม…


อา… หรือว่าหนึ่งในสามชื่อเหล่านี้คือกุญแจที่ปลดปล่อยพลังลับของแท่นบูชา? ตัวเราที่ใช้ภาษาคนยักษ์ซึ่งมีอิทธิพลต่อพลังธรรมชาติ ดันไปกระตุ้นให้ปัญหาบังเกิด? ไม่สิ… มีบางอย่างไม่ถูกต้อง อย่างน้อยก็ต้องท่องออกเสียงจึงจะสัมฤทธิผล ไม่เว้นแม้แต่พระนามของราชาเทวทูต เพราะเราไม่เคยประสบปัญหาในทำนองเดียวกันมาก่อน… เดอร์ริคหมุนตัวด้วยอารมณ์สับสนเจือกระวนกระวาย เดินย้อนกลับไปยังแท่นบูชา ย้อนกลับไปยังโต๊ะหิน


เด็กหนุ่มพลันผงะเมื่อพบว่า ถ้อยคำและสัญลักษณ์บนโต๊ะหินคมชัดและสมบูรณ์กว่าในตอนแรก ราวกับเจ้าของพิธีกรรมเพิ่งเสร็จสิ้นจิตรกรรมของตน


ถ้อยคำดังกล่าวแบ่งออกเป็นสามส่วน หนึ่งภาษาคนยักษ์ หนึ่งภาษามังกร และอีกหนึ่งที่เดอร์ริคไม่ทราบ แต่สงสัยว่าจะเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณที่มิสเตอร์แฮงแมนและมิสจัสติสพูดถึง เพราะขณะที่ชุมนุมทาโรต์แลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างอิสระ มันพอจะจับใจความได้บางคำ และคำเหล่านั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกับอักษรบนโต๊ะหิน


เนื้อหาของภาษาคนยักษ์และมังกรมีความสอดคล้องกัน เป็นการทวนสามชื่อพร้อมกับสมญานาม


“เทวทูตโชคชะตา” โอโรเลอุส


“เทวทูตสีชาด” เมดีซี


“เทวทูตมืด” ซาสเรีย


ถัดจากชื่อและสมญานามคือวลีที่เดอร์ริคคุ้นเคย


“กุหลาบไถ่บาป” !


ซาสเรียเป็นเทวทูตจริงด้วย… เทวทูตมืด… ทั้งตัวท่าน เทวทูตโชคชะตา และเทวทูตสีชาด คือผู้ก่อตั้งกุหลาบไถ่บาป? เราไม่แน่ใจว่ามิสเตอร์ฟูลรู้จักไหม… ท่านน่าจะพอมีข้อมูล… ภาษาเฮอร์มิสโบราณก็น่าจะมีความหมายในทำนองเดียวกัน… คิดมาถึงตรงนี้ เดอร์ริคพลันเย็นสันหลัง รู้สึกราวกับตนได้เข้าใกล้ความจริงเกี่ยวกับการทอดทิ้งดินแดนของพระผู้สร้าง


เด็กหนุ่มแหงนหน้าอีกครั้ง มองเห็นเลือดสีแดงเต็มผนังและพื้น ฮาอิมกับโจชัวยังคงไม่ปรากฏตัว


การทวนชื่อซ้ำไม่ได้ผล… นี่อาจไม่ใช่วิธีกระตุ้นตั้งแต่แรก… เดอร์ริคถอนหายใจ ถือขวานเฮอร์ริเคนเดินกลับไปยังทางเข้าห้องใต้ดินอย่างระมัดระวัง หวังจะได้พบต้นตอของปัญหาเพื่อนำมาวิเคราะห์ว่า ปัญหาเกิดจากสาเหตุใด


หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว เด็กหนุ่มที่ราวกับเป็นเทียนไขเล่มยักษ์ เดินกลับไปยังห้องโถงชั้นบน


เงามืดในห้องโถงเข้มข้นอย่างมาก บรรยากาศหม่นหมองและเงียบสงบ เก้าอี้ผุพังและโต๊ะหินวางอยู่ในจุดเดิมอย่างเงียบงัน ไม่แตกต่างจากในยามปรกติ


เดอร์ริคที่ยังคงไม่พบโจชัวและฮาอิม เดินไปทางหน้าต่างอย่างตึงเครียด หวังว่าจะได้พบสมาชิกทีมสำรวจคนอื่นด้านนอก


กึก กึก… ท่ามกลางเสียงย่างก้าวแผ่วเบา เด็กหนุ่มเข้าใกล้รูโหว่ที่เป็นกรอบกระจก เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ตั้งใจมองสำรวจด้านนอก


อาคารมืดทึบจำนวนมากเรียงรายในสภาพแออัด สูงสลับต่ำ มีขั้นบันไดกั้นกลาง


ท่ามกลางสายฟ้าความถี่ต่ำด้านบน แสงเทียนสีเหลืองนวลจำนวนมาก กำลังส่องออกมานอกหน้าต่างในลักษณะวูบวาบ คงทน และยาวนาน


นี่มัน… เดอร์ริคอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ด้านนอกคือหมู่บ้านยามบ่ายก่อนที่จะประสบเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ ชาวบ้านที่นี่ยังคงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข!



ฮาอิมที่ถือตะเกียงหนังสัตว์เดินผ่านทางเข้าห้องใต้ดินโดยไม่ต้องก้มตัว หันไปกล่าวติดตลกกับโจชัวด้านข้าง


“ทั้งที่บ้านหลังนี้เป็นของมนุษย์ แต่ต้นตระกูลน่าจะสืบเชื้อสายมาจากคนยักษ์ เพราะส่วนสูงไม่ต่างจากฉันสักเท่าไร หึหึ… ซากเมืองที่เราเคยเข้าไปสำรวจคราวก่อน กว่าจะเข้าบ้านแต่ละหลังได้ต้องก้มแล้วก้มอีก ทั้งที่เป็นประตูหลักหน้าบ้าน”


การสืบเชื้อสายคนยักษ์ไม่ได้แปลว่าต้องมีเลือดคนยักษ์ไหลเวียนในร่างกาย แต่เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่ส่งต่อจากบรรพบุรุษซึ่งดื่มโอสถเส้นทางคนยักษ์เข้าไป ความสูงก็ถือเป็นหนึ่งในลักษณะเด่นดังกล่าว


โจชัวแหงนหน้ามองฮาอิม พ่นลมหายใจ


“นั่นมันนาย ฉันไม่ต้องก้มสักหน่อย”


“แต่อีกเดี๋ยวนายก็ได้เลื่อนลำดับแล้ว ถึงตอนนั้นคงเตี้ยกว่าฉันไม่มาก” ฮาอิมยิ้มรับ พลางใช้หางตาชำเลืองเดอร์ริคที่กำลังเดินเข้าใกล้แท่นบูชา เจตนาคอยช่วยระวังหลัง


โจชัวครุ่นคิดสักพัก


“อันที่จริง ฉันแปลกใจในเรื่องหนึ่งมาสักพักแล้ว ท่านเจ้าเมืองที่เป็นถึงลำดับ 4 นักล่าปีศาจ ควรจะมีร่างกายเหมือนกับคนยักษ์ ต้องสูงสามถึงสี่เมตรไม่ใช่หรือ? แต่เหตุใดถึงได้ดูเหมือนมนุษย์ปรกติ สูงกว่าฉันแค่ครึ่งศีรษะเท่านั้น”


ฮาอิมมองไปรอบตัวตามความเคยชิน


“มีข่าวลือว่า ท่านเจ้าเมืองสามารถกลายร่างเป็นยักษ์ได้”


“กลายร่างเป็นยักษ์? หากใช้พลังดังกล่าว เสื้อผ้าจะขาดไหม?” โจชัวถามติดตลก


“ไม่น่าเหลือ… นอกจากเสื้อผ้าและกางเกงจะเป็นสมบัติวิเศษ” ฮาอิมและโจชัวหันมายิ้มให้กัน


ขณะเตรียมแบ่งปันมุกตลกกับเดอร์ริค เมื่อหันไปมอง ทั้งสองพบว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าได้หายตัวไปอย่างลึกลับ!


เดอร์ริคที่ควรยืนหน้าแท่นบูชา ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว!


สีหน้าของฮาอิมและโจชัวพลันดำมืด คนหนึ่งรีบชักดาบยาวเล่มใหญ่ อีกคนรีบเหยียดมือซ้ายที่สวมถุงมือสีแดง


พวกมันย่างกรายเข้าใกล้แท่นบูชาโดยไม่ประมาท ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน แต่ก็ไม่พบร่องรอยการหายตัวไป


ขณะโจชัวพยายามวิเคราะห์ถ้อยคำที่เขียนบนโต๊ะหิน ไหล่ของมันถูกบีบโดยฮาอิม


“ห้ามอ่าน… ถ้าจำไม่ผิด ก่อนที่เดอร์ริคจะหายตัวไป เขาอ่านสิ่งที่เขียนอยู่ด้านบน… พวกเรารีบไปตามท่านเจ้าเมืองมาที่นี่ดีกว่า”


“ตกลง” โจชัวพยักหน้า


ชายหนุ่มถอยห่างอย่างไม่แตกตื่น หลังจากมองไปรอบตัวหนึ่งหน โจชัวถูนิ้วกลาง จุดเทียนไขที่เหลืออยู่บนแท่นบูชา


มันทำไปเพื่อปกป้องเดอร์ริค มิให้อีกฝ่ายตกอยู่ในความมืดมิดโดยสมบูรณ์!


ทีมสำรวจเมืองเงินพิสุทธิ์เคยสัมผัสประสบการณ์อันขื่นขมในทำนองเดียวกันมาแล้ว เหตุเกิดในซากปรักหักพังของเมืองหนึ่ง คล้ายกับสมาชิกทีมสำรวจหายตัวไปอย่างกะทันหัน แต่ความจริงแล้วยังอยู่ในจุดเดิม เพียงถูกพลังบางอย่างอำพรางไว้ อย่างไรก็ตาม เพื่อนรวมทีมย่อมไม่ทราบ หลังจากเห็นว่าพวกพ้องหายตัว จึงกระวนกระวายและรีบออกไปขอความช่วยเหลือโดยนำตะเกียงติดตัวไปด้วย ส่งผลให้เหยื่อผู้น่าสงสารถูกความมืดมิดที่แท้จริงครอบงำ ไม่มีใครพบตัวอีกเลย หากไม่เพราะมีสมาชิกรายอื่นตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน แต่โชคดีถูกช่วยเหลือได้ทันการ ก็คงไม่มีใครทราบ ‘สาเหตุการตาย’ ของเหยื่อรายแรก


เทียนไขสว่างขึ้น แสงสีเหลืองอ่อนสาดส่องไปทั่วห้อง ฮาอิมและโจชัวรีบออกจากจุดเกิดเหตุทันที มุ่งหน้าไปยังตรอกด้านนอก เปิดใช้งาน ‘พลุวิญญาณ’ ที่ทุกคนพกติดตัว


โดยไม่ต้องรอนาน โคลิน·อีเลียดกระโดดจากหลังคาบ้านหลังหนึ่ง ร่อนลงพื้นอย่างนุ่มนวล


“เกิดอะไรขึ้น?” นักล่าปีศาจซักถามเสียงทุ้ม


ดาบเงินในมือถูกฉาบด้วยน้ำมันสีเทาอ่อน


ฮาอิมรีบเล่าอย่างคร่าว ปิดท้ายด้วย


“…พวกเราไม่พบร่องรอยการหายตัวไปของเดอร์ริค”


“เดอร์ริคสินะ…” โคลินพยักหน้าพลางครุ่นคิด เดินผ่านคนทั้งสอง นำหน้าเข้าไปในบ้านหลังที่เป็นปัญหา



ท่ามกลางแสงเทียนไขด้านนอก ที่ทั้งเหลืองนวลและอบอุ่น เดอร์ริครู้สึกคล้ายกับตนหลงเข้าไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง ความเย็นยะเยือกภายในใจกำลังผุดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน


เด็กหนุ่มกำขวานเฮอร์ริเคนในมือขวาแน่น ถอนสายตาออกจากวิวทิวทัศน์หมู่บ้าน หมุนตัวเดินกลับไปยังห้องใต้ดิน หยุดยืนตรงหน้าแท่นบูชาอีกครั้ง


เดอร์ริคมั่นใจแล้วว่า ปัญหาอยู่ที่ตน!


แต่ถึงอย่างนั้นก็หักห้ามใจไม่สำรวจหมู่บ้านยามบ่าย ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดประตู


เดอร์ริคไม่แตกตื่นมากนัก ใบหน้าไม่เผยความตระหนัก ไม่คิดว่าตนกำลังเผชิญปัญหาร้ายแรง


การที่เรายังไม่ตกอยู่ในอันตราย แปลว่านี่อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่… เดอร์ริคถอนหายใจเงียบ ก้มศีรษะลงพลางพึมพำในใจ


“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย… ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกสีเทา… ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”


ไคลน์ ผู้กำลังดื่มด่ำวิวทิวทัศน์ของซากสงครามแห่งเทพข้างหน้าต่าง มีเหตุให้กลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง ชายหนุ่มจัดแจงวัตถุสำหรับแทรกแซงการสอดส่อง เดินทวนเข็มสี่ก้าวส่งตัวเองเข้ามายังสายหมอกสีเทา


มันนั่งลงบนเก้าอี้พนักสูงสีดำในตำแหน่งหัวโต๊ะ เหยียดแขนขวา แผ่พลังวิญญาณสัมผัสดาวแดงที่เป็นสัญลักษณ์แทนเดอะซันน้อย


เพียงพริบตา เสียงสวดวิงวอนพลันแจ่มชัดจนผิดวิสัย ฉากหนึ่งฉายในการมองเห็นของไคลน์


ภาพแรกเป็นเดอะซันน้อยที่ค่อนข้างเลือนราง ก่อนจะพบว่า มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมรอบตัวอีกฝ่าย!


เดอะซันถูกห้อมล้อมด้วยกระแสความมืดที่ยากอธิบาย ท่ามกลางความมืดดังกล่าว ดวงตารูปทรงต่างๆ นานากำลังเฝ้ามองอย่างเงียบงัน


ดวงตาทั้งหมดเบียดเสียดแนบชิด คลุมเครือ ลุ่มลึกและยับยั้ง ทำตัวเป็นผู้ชมด้วยความสงบจนเดอะซันน้อยไม่ตระหนักถึง


หมู่บ้านยามบ่ายอันตรายถึงเพียงนี้เชียว? ไคลน์ย่อมทราบว่าเดอะซันกำลังทำภารกิจใดอยู่


หลังจากครุ่นคิดสักพัก สัญชาตญาณได้ตักเตือนไคลน์ว่า ความมืดชนิดนี้ค่อนข้างประหลาดและขาดความสมจริง จึงล้มเลิกความคิดที่จะตอบสนองเดอะซันน้อยด้วย ‘คทาเทพสมุทร’ เปลี่ยนไปเป็นการดึงอีกฝ่ายขึ้นมาบนมิติสายหมอกแทน


ไคลน์แผ่พลังวิญญาณ แต่รู้สึกราวกับดาวแดงเป็นหนองน้ำ ยากที่จะดึงใครสักคนขึ้นมา


เขาไปล่วงเกินราชาเทวทูตตนใดเข้าอีก? ไคลน์รวบรวมความคิด พลางบังคับสายหมอกเบื้องล่างให้กระเพื่อมและไหลเวียน


หลังจากกลายเป็นลำดับ 5 ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องพึ่งพาไพ่เย้ยเทพ ไม่ต้องพึ่งพาพิธีกรรม มันสามารถบงการพลังมิติแห่งนี้ได้ด้วยตัวเอง!


เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน จนกระทั่งไคลน์ดึงอีกฝ่ายขึ้นมาสำเร็จ ร่างของเดอร์ริค ‘เดอะซัน’ ปรากฏบนเก้าอี้พนักยาวตัวประจำ


ระหว่างนั้น ไคลน์พบว่าความมืดที่ไหลเวียนรอบตัวเดอะซันน้อยค่อยๆ แตกเป็นเสี่ยงๆ



นักล่าปีศาจเดินลงไปยังห้องใต้ดินด้วยความระมัดระวัง ด้านหลังเป็นฮาอิมและโจชัว


ก่อนจะได้เห็นแสงเทียนไข ร่างของเดอร์ริค·เบเกอร์ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในลักษณะการวาดภาพ เพียงไม่นานก็ถูกวาดจนเสร็จสมบูรณ์


………………………………………………


ราชันเร้นลับ 668 : มั่นใจเกินไปบางทีก็เป็นจุดอ่อน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เหนือมิติหมอก ณ บรมราชวังที่มีเสาหินค้ำจุน


เดอะซัน เดอร์ริค รีบแจ้งประสบการณ์ของตนให้มิสเตอร์ฟูลรับทราบ


เทวทูตมืด ซาสเรีย… ดูเหมือนว่า สมญานามของราชาเทวทูตเหล่านี้จะถูกกระแสแห่งกาลเวลากลบจนมิด แทบไม่มีใครเคยเอ่ยถึง หากไม่เพราะเดอะซันน้อยบังเอิญไปพบเข้า ก็คงไม่มีข่าวคราวหลุดออกมา หากไม่เพราะวิญญาณมารตนนั้นต้องสงสัยว่าจะเป็น ‘เทวทูตสีชาด’ เราคงไม่มีโอกาสได้รู้จักกับราชาเทวทูต และตระกูลอามุนด์ที่เราเคยรู้จักแค่ชื่อ ก็คงไม่ได้ทราบลึกไปถึงปูมหลังที่แท้จริงของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ … แล้วนี่ยังมี ‘เทวทูตมืด’ เพิ่มเข้ามาอีก? ยังมีชีวิตอยู่ไหม? เป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของ ‘กุหลาบไถ่บาป’ หรือ? ไคลน์ถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน


ด้วยเกรงว่าเดอะซันจะถามในสิ่งที่ตอบไม่ได้ ไคลน์หยุดความคิด เอนหลังอย่างผ่อนคลาย


“สถานการณ์ทางเจ้าคลี่คลายแล้ว อีกไม่นาน พวกพ้องจะมาพบตัว”


ขณะกล่าว ชายหนุ่มไม่เปิดโอกาสให้เดอะซันสาธยาย รีบตัดการเชื่อมต่อทันที


ส่วนคำอธิบายของเหตุการณ์ผิดปรกติที่เกิดขึ้น ไคลน์ไม่แม้แต่จะตักเตือนให้เดอร์ริคหาข้ออ้างเตรียมเผื่อไว้


หายตัวไปอย่างลึกลับ ปรากฏตัวอย่างลึกลับ สิ่งเหล่านี้คือเรื่องปรกติ ท่ามกลางสถานการณ์ไม่ปรกติอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?


ขณะเดียวกัน เดอร์ริคเองก็นึกขอบคุณมิสเตอร์ฟูลที่ไม่ถามอะไรมากมาย ด้วยกังวลว่าในยามที่ตนถูกส่งออกจากหมู่บ้านยามบ่าย จะถูกความมืดมิดเข้าครอบงำหรือถูกจ้องมองโดยสัตว์ประหลาดในซอกหลืบ เด็กหนุ่มจึงปรารถนาจะรีบกลับร่างเนื้อโดยเร็ว จะได้ตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที อย่างไรก็ตาม หากมิสเตอร์ฟูลตั้งคำถาม มันก็ยินดีจะอธิบายสถานการณ์อย่างใจเย็น


เมื่อจิตถูกส่งกลับร่างเนื้อ เดอร์ริคได้รับประสาทสัมผัสกลับมาทันที


เด็กหนุ่มลืมตาขึ้น พบเทียนไขที่ใกล้หมดตรงหน้าหนึ่งเล่ม เปลวไฟอันอ่อนระทวยกำลังโยกเอนไปตามแรงลม


ถัดมา มันพบว่าเจ้าเมืองกำลังยืนข้างตนได้สักพัก มีฮาอิมร่างยักษ์และโจชัวผู้สวมถุงมือแดงคอยเฝ้าระวังอยู่ด้านหลัง


พวกเขาจ้องเรามานานแค่ไหน… แม้เดอร์ริคจะนึกข้ออ้างดีๆ ได้ขณะอยู่บนมิติหมอก แต่พอถึงเวลาจริงกลับยังตึงเครียดเจือความสำนึกผิด


ใบหน้าที่มีแผลเป็นของโคลินยังคงไร้อารมณ์ มันจ้องหน้าเดอร์ริค·เบเกอร์ พลางซักถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง


“จนถึงเมื่อครู่ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบ้าง?”


เดอร์ริคยังไม่ตอบในทันที ไม่อย่างนั้นจะดูเหมือนว่าคิดข้ออ้างเตรียมไว้ เด็กหนุ่มทำตามเทคนิคที่แฮงแมนเคยสอน จงใจเว้นวรรคหลายวินาที จึงค่อยมอบคำตอบด้วยสีหน้าครุ่นคิด


“ผมเดินเข้ามาในห้องใต้ดิน… พบแท่นบูชา… สงสัยว่ามันอาจจะเป็นแท่นบูชา จึงพยายามวิเคราะห์ตัวหนังสือและสัญลักษณ์ด้านบน จนพบว่าเป็นชื่อของสามบุคคล หนึ่งในนั้นคือเทวทูตโชคชะตา โอโรเลอุส… แต่ทันใดนั้น แสงตะเกียงพลันมอดดับ เมื่อหันหลังกลับไปมอง ฮาอิมและโจชัวก็หายตัวไปแล้ว ผมจึงสร้างแสงสว่างขึ้น เดินสำรวจห้องใต้ดิน สำรวจโถงด้านนอกและพบว่ายังคงมีสภาพเหมือนเดิม จึงลองมองออกไปยังหมู่บ้านยามบ่ายด้านนอก พบว่ายังมีเค้าโครงแบบเดิม แต่กลับมีแสงเทียนสว่างจากหน้าต่างบ้านหลายหลัง เหมือนกับว่า… มีคนอาศัยอยู่… ผมไม่กล้าออกจากบ้าน จึงวกกลับมายังห้องใต้ดิน พยายามทำซ้ำในสิ่งที่เคยทำ… เอ่อ… แล้วก็ ท่านเจ้าเมือง ในหมู่บ้านยามบ่ายแห่งนั้น ตัวอักษรบนแท่นบูชาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แบ่งออกเป็นสามส่วน หนึ่งคือภาษาคนยักษ์ หนึ่งภาษามังกร และอีกหนึ่งคือภาษาที่ผมไม่รู้จัก แต่ความหมายของสองภาษาแรกตรงกัน เป็นพระนามและสมญานามของเทวทูตสามตน รวมถึงชื่อ ‘กุหลาบไถ่บาป’ … หลังจากนั้น ผมพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ที่นี่”


เด็กหนุ่มเล่าความจริงทั้งหมด แถมยังเกือบสมบูรณ์ เพียงปกปิดความลับที่ทำให้ตนกลับมา


เดอร์ริคไม่กล้าโกหกต่อหน้าเจ้าเมือง และหากอีกฝ่ายซักไซ้อย่างละเอียด ก็จะแสร้งตีมึน ทำเป็นไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น


การใช้วิธีนี้อาจทำให้เจ้าเมืองเกิดความสงสัย แต่มิสเตอร์แฮงแมนและมิสจัสติสจากเส้นทางผู้ชมเคยกล่าวไว้ว่า อีกฝ่ายจะไม่ซักไซ้เพิ่มเติม พฤติกรรมผิดปรกติของเราจะยิ่งทำให้หกสภาอาวุโสเห็นคุณค่าในตัวเรา เหมาะสำหรับใช้เป็นหมากในการคานอำนาจกับอาวุโสโลเฟียร์… โลกด้านนอกช่างซับซ้อนนัก เราเองก็เคยตามพวกเขาไม่ทัน… เดอร์ริคอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ


สำหรับเมืองเงินพิสุทธิ์ที่ต้องดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมอันเลวร้าย การสูญเสียกำลังรบแม้เพียงน้อยนิดย่อมหมายถึงอันตรายใหญ่หลวง เคยมีเหตุการณ์ในทำนองเดียวเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต แถมยังมีส่วนเกี่ยวพันกับหกสภาอาวุโส ภารกิจลาดตระเวนและสำรวจอย่างต่อเนื่องช่วยให้เหล่าผู้วิเศษของเมืองได้ตระหนักว่า ความร่วมมือคือสิ่งที่สำคัญมาก


โคลินพยักหน้ารับอย่างอ่อนโยน เดินตรงไปยังแท่นบูชา พยายามทำในสิ่งที่เดอร์ริคอธิบาย แต่ชายวัยกลางคนกลับไม่หายตัวไป ยังยืนนิ่งในจุดเดิม


“ดูเหมือนว่า พลังที่หลงเหลืออยู่จะทำหน้าที่ของมันเสร็จแล้ว” นักล่าปีศาจพึมพำ


ผมไม่ได้โกหกจริงๆ นะ… เดอร์ริครำพันอย่างอับอาย


โคลินไตร่ตรองสักพัก เหลือบมองมายังเดอร์ริคด้านข้าง


“เมดีซีกับซาสเรียมีสมญานามว่าอะไร”


“เทวทูตสีชาดและเทวทูตมืดครับ” เดอร์ริคไม่ปิดบัง


โคลินพยักหน้าพลางครุ่นคิด


“ในบันทึกโบราณ มีการเอ่ยถึง ‘เทวทูตสีชาด’ อยู่บ้าง แต่มิได้ระบุนามเอาไว้ ส่วน ‘เทวทูตมืด’ ซาสเรียนั้นเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์โดยสมบูรณ์”


ขณะเดอร์ริคเตรียมไหลตามน้ำ ซักถามเกี่ยวกับชื่อของราชาเทวทูตที่เหลือ สายตาบังเอิญเหลือบเห็นแสงเทียนไขตรงหน้าทางเข้าห้องใต้ดินสลัวลงอย่างกะทันหัน คล้ายกับเงามืดกำลังพรั่งพรูเข้ามาจากด้านนอก


“รีบออกจากที่นี่กันก่อน” นักล่าปีศาจ โคลิน เริ่มตระหนักได้เช่นกัน จึงกล่าวอย่างเสียงเรียบ


เดอร์ริคที่กำลังถือขวานเฮอร์ริเคน รีบขยับตัวเข้าใกล้ฮาอิมและโจชัว เตรียมตั้งรูปขบวนต่อสู้


ทว่า หลังจากเดินได้ก้าวเดียว เด็กหนุ่มพบว่าฮาอิมถอยหลังเฉียงข้างออกไปสองเมตร โจชัวยกมือซ้ายที่สวมถุงมือแดงขึ้น สีหน้าคนทั้งสองเผยความระแวงโดยไม่ปิดบัง ดวงตาจดจ้องอย่างไม่เกรงใจ


เดอร์ริคย่อมทราบว่าท่าทีเช่นนี้คือเรื่องปรกติ เพราะคาบเรียนภารกิจลาดตระเวนสอนไว้ว่า : หากพวกพ้องเพิ่งหลุดพ้นจากสถานการณ์ประหลาด จงตรวจสอบให้มาก ปฏิสัมพันธ์ให้น้อย!


แถมข้ออ้างในการออกจากหมู่บ้านยามบ่ายของเรายังคลุมเครือ… เดอร์ริคเตรียมอ้าปากอธิบาย แต่ภายหลังกลับตัดสินใจปิดปากเงียบ


เด็กหนุ่มที่รู้สึกละอายและรู้สึกผิด เม้มริมฝีปากแน่น ถือขวานเฮอร์ริเคนเดินตามเจ้าเมือง ออกจากห้องใต้ดินทีละก้าว


กลุ่มของสี่บุรุษมาถึงประตูภายในเวลาไม่นาน แต่ขณะเตรียมเดินออกไป ทุกคนมีอันต้องชะงักเมื่อพบว่าหมู่บ้านยามบ่ายด้านนอก ในจุดที่อาคารสีเทาเรียงรายแนบชิด มีบรรยากาศมืดลงจากปรกติเล็กน้อย


แทบจะในพริบตา หน้าต่างจำนวนมากของบ้านแต่ละหลัง พลันผุดแสงเทียนเล็ดลอดบานแล้วบานเล่า แผ่แสงสีเหลืองนวลที่บ้างก็เชื่อมติด บ้างก็อยู่ห่าง



ไคลน์ไม่แช่อยู่บนมิติหมอกนานนัก รีบส่งตัวเองกลับมายังห้องน้ำ เก็บกวาดวัตถุที่เกี่ยวข้อง


หวังว่าเดอะซันน้อยจะไม่เผชิญปัญหาเพิ่มเติม… ไม่อย่างนั้น การแวะเข้าห้องน้ำบ่อยๆ คงไม่ใช่เรื่องดี หากใครฉุกคิดได้ก็คงมองว่าเรามีความลับปกปิด แต่หากใครฉุกคิดไม่ได้คงเชื่อว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก!


แม้ว่าเราจะย่อยโอสถผู้ไร้หน้าเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ตะกอนพลังของนักเชิดหุ่นโรซาโก้คงยังมีพลังของผู้ไร้หน้าหลงเหลืออยู่… การใช้ตะกอนพลังมาเป็นวัตถุดิบหลัก มีค่าเท่ากับการดื่มโอสถผู้ไร้หน้า โอสถนักมายากล โอสถตัวตลก และโอสถนักทำนายเข้าไปใหม่… หรืออาจจะมากกว่านั้น…


เฮ่อ… คงต้องปฏิบัติตามกฎเก่าๆ อย่างเคร่งครัดไปอีกนาน จะได้รีบย่อยโอสถส่วนเกินให้หมด… ไคลน์สร้างน้ำสะอาดล้างหน้าตัวเอง จึงค่อยเดินออกจากห้องน้ำ


ขณะคิดว่าคงใกล้ถึงเวลาอาหารค่ำและเตรียมหยิบนาฬิกาพกสีทองออกมาเปิดฝาตรวจสอบ ทัศนียภาพพลันดำมืดกะทันหัน เกือบมองไม่เห็นห้านิ้วมือของตน


กลางคืนอีกแล้ว… ระยะห่างไม่แน่นอนสินะ… หากความมืดปกคลุมขณะกำลังต่อสู้กับสัตว์ประหลาด เราควรทำอย่างไร? สัตว์ประหลาดเองก็เป็นสิ่งมีชีวิต ต้องนอนเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงหายตัวไปในยามวิกาล… ฮะฮะ! ต่างฝ่ายต่างทิ้งตัวลงนอนระหว่างการต่อสู้ เข้าสู่ดินแดนความฝัน และตื่นมาซัดกันใหม่ในยกที่สอง… ทำไมถึงไม่เคยมีเรื่องแบบนี้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์? ไคลน์ที่ผ่อนคลายลงมากหลังจากเลื่อนลำดับ รำพันกับตัวเองพลางเดินไปที่เตียง


ขณะเตรียมทิ้งตัวลงนอน ชายหนุ่มผุดคำถามในใจ


ค่ำคืนของที่นี่อันตรายมาก หากสิ่งมีชีวิตไม่หลับ จะหายตัวไปอย่างสมบูรณ์สินะ…


และในดินแดนเทพทอดทิ้ง รวมไปถึงเมืองเงินพิสุทธิ์อันมืดมิดและเต็มไปด้วยอันตราย หากมนุษย์ไม่จุดไฟเพื่อขับไล่ความมืด ก็อาจหายตัวไปภายในห้าวินาที… หายไปอย่างสมบูรณ์…


คล้ายกันมาก… มีความเกี่ยวพันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง?


ไคลน์ส่ายหน้า อาศัยการเข้าฌานส่งตัวเองนอนหลับ


ภายในโลกความฝัน ชายหนุ่มตื่นขึ้นและพบว่าตำแหน่งของตนเปลี่ยนไป!


ครั้งสุดท้ายที่ออกจากความฝัน มันยืนอยู่บนก้อนหินในจุดที่พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา กำลังนั่งกอดเข่า แต่ปัจจุบันกำลังอยู่บนขั้นบันไดแห่งหนึ่ง


แสงยามเย็นส่องผ่านกระจกหลากสีสันด้านบน ฉากของบันไดสีดำวนที่เต็มไปด้วยงานแกะสลักนูนต่ำ ช่างดูงดงามตระการตา


ไคลน์มองไปยังด้านข้างตามสัญชาตญาณ และไม่ผิดคาด มันพบราชินีเงื่อนงำกำลังยืนบนขั้นบันไดด้านบน


สตรีเจ้าของเส้นผมสีเกาลัดมิได้สวมกระโปรงทับเหมือนคราวก่อน ร่างกายท่อนบนเป็นเชิ้ตขาวที่มีลูกไม้และริบบิ้นดอกไม้ประดับ สวมทับด้วยเสื้อโค้ทเรียบง่ายสีน้ำเงินเข้ม ร่างกายท่อนล่างยังคงเป็นกางเกงขายาวสีเบจและรองเท้าหนังสีดำ แต่ไคลน์เชื่อว่า ราชินีเงื่อนงำคงมีกางเกงและรองเท้าในทำนองเดียวกันอยู่เต็มราวแขวน หรือเต็มตู้เสื้อผ้า หรืออาจจะเต็มห้องเก็บเสื้อผ้า


“มีอะไรหรือ” ไคลน์ชิงถาม


ราชินีเงื่อนงำจับราวบันไดด้วยมือขวา เดินลงอย่างเชื่องช้า


“ในบางครั้ง ความมั่นใจก็เป็นจุดอ่อน… คุณไว้ใจนกหวีดทองแดงกับนกกระเรียนกระดาษมากเกินไป… สักวัน คุณอาจต้องเผชิญอันตรายด้วยนิสัยนี้”


ไคลน์พลันกระวนกระวาย เพียงแต่ไม่เผยทางสีหน้า


“ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด”


“การมั่นใจเกินไป บางทีก็เป็นจุดอ่อน” ราชินีเงื่อนงำทวนซ้ำ “แคทลียาไว้ใจสมบัติปิดผนึกที่เธอมอบให้ฮีธ·ดอยล์เกินไป หากฉันลงมือไม่ทัน นีน่าและแฟรงค์·ลีคงตายไปแล้ว แคทลียาเองก็ด้วย มีเพียงคุณที่รอดชีวิต”


“สมบัติปิดผนึกชิ้นดังกล่าวมิอาจปิดกั้นเสียงเพรียกของน่านน้ำแถบนี้ได้? นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ฮีธ·ดอยล์กลายร่าง?” ไคลน์วิเคราะห์ความนัยจากราชินีเงื่อนงำอย่างหลักแหลม


ราชินีเงื่อนงำผงกศีรษะ


“ในสถานการณ์ปรกติ มันสามารถผนึกเสียงเพรียกได้แทบทุกชนิด เพียงแต่คุณทราบหรือไม่ว่า… เสียงเพรียกในทะเลแถบนี้มาจากตัวตนใด?”


โดยไม่รอคำตอบจากไคลน์ หญิงสาวเฉลย


“พระผู้สร้างแท้จริง”


……………………………………………………..


ราชันเร้นลับ 669 : แลกเปลี่ยนข้อมูล

โดย

Ink Stone_Fantasy

พระผู้สร้างแท้จริง? เสียงเพรียกที่มาจากทะเลเป็นของพระผู้สร้างแท้จริง? ได้ยินคำตอบจากราชินีเงื่อนงำ ไคลน์พลันประหลาดใจแกมขอบคุณ


มันขอบคุณเพราะว่า หากราชินีเงื่อนงำไม่ลงมือ ถึงสมบัติปิดผนึกที่ช่วยปิดกั้นการได้ยินของฮีธ·ดอยล์จะได้ผลอยู่บ้าง แต่คงเป็นการยากที่จะไม่กลายร่าง


สำหรับผู้วิเศษลำดับกลางและต่ำในเส้นทางอื่น หากไม่ใช่การได้ยินเสียงเพรียกของพระผู้สร้างแท้จริงโดยตรง อย่างมากก็แค่ก็เกิดอาการซึมเศร้าหรือแตกตื่น อย่างดีก็ฝันร้าย ไม่เกิดอันตรายรุนแรงนัก แต่สำหรับ ‘บิชอปกุหลาบ’ ซึ่งมีลำดับ 0 ของเส้นทางเป็นพระผู้สร้างแท้จริง หากต้องเดินทางไปในเขตที่เต็มไปด้วยเสียงเพรียกของเทพมารดังกล่าว ถึงจะหูหนวก แต่ก็คงเกิดปัญหากับร่างกายไม่ช้าก็เร็ว


เมื่อฮีธ·ดอยล์เสียสติหรือคลุ้มคลั่ง ด้วยธรรมชาติของทะเลแถบนี้ คงเป็นการยากที่เหล่าสมาชิกบนเรือจะปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ไคลน์เชื่อว่า ตราบใดที่ตนไม่ถูกจู่โจมจนตายในทันที มีโอกาสได้สวดวิงวอนถึงเดอะฟูล ส่งตัวเองเข้าสายหมอกและใช้คทาเทพสมุทร ปัญหาก็ยังพอจะมีทางคลี่คลาย


แต่สิ่งที่ชายหนุ่มประหลาดใจมากที่สุดก็คือ เรื่องราวดังกล่าวขัดแย้งกับทฤษฎีก่อนหน้าของตนโดยสิ้นเชิง มันเคยเชื่อว่า ทะเลแถบนี้คือมรดกของสงครามระหว่างทวยเทพจากยุคสมัยที่สอง เป็นศึกช่วงชิงพลังซึ่งนำโดยพระผู้สร้างที่ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์เคารพนับถือ ต่อกรกับเหล่าแปดเทพบรรพกาลรวมไปถึงบรรดาเทพรับใช้ แต่ใครจะไปคิดว่า ตนอาจเข้าใจผิดทั้งหมดมาตั้งแต่แรก เพราะ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ คือบุคคลที่เพิ่งปรากฏตัวครั้งแรกหลังจากมหาภัยพิบัติแห่งยุคสมัยที่สาม!


แต่ยังมีความเป็นไปได้ว่า เสียงเพรียกเหล่านี้อาจเป็นของใหม่… ไคลน์ไม่ด่วนสรุป เฝ้ามองราชินีเงื่อนงำเดินผ่านหน้า ลูบคลำงานแกะสลักนูนต่ำบนราว พลางก้าวลงบันไดอย่างเชื่องช้า


แผ่นหลังที่สูงโปร่ง สัดส่วนไขมันสมบูรณ์แบบ โดยรวมแล้วหุ่นดี ผมยาวสีเกาลัดปล่อยตามธรรมชาติ…


ไคลน์เกิดความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด หลังจากลองใคร่ครวญเหตุการณ์ที่ตนเข้าไปพัวพันกับราชินีเงื่อนงำอย่างละเอียด ชายหนุ่มเริ่มพบสาเหตุของความคุ้นเคย


ขณะเยี่ยมชมนิทรรศการรำลึกโรซายล์เพื่อตามหาไพ่เย้ยเทพ มันเคยเห็นแผ่นหลังแบบเดียวกันมาก่อน ในเวลานั้น เจ้าของแผ่นหลังแต่งกายค่อนข้างแปลก ทั้งที่สวมเดรสสีเหลืองหลายชั้นเหมือนกับเด็กสาวทั่วไป แต่กลับสวมหมวกอ่อนสีดำซึ่งเคยนิยมในอดีต


คงเป็นราชินีเงื่อนงำ… เหมือนกับเรา เธอเข้าไปเยี่ยมชมนิทรรศการก่อน… สิ่งที่เธอกำลังจ้องในตอนนั้นคือหนังสือแบบเรียนที่จักรพรรดิโรซายล์พัฒนาขึ้นสำหรับลูกๆ ตัวเอง รวมถึงการประดิษฐ์หมากรุกและอิฐตัวต่อ… เธอคงมั่นใจว่าเราเป็นคนนำไพ่จักรพรรดิมืดไป…


บุตรสาวคนโตของจักรพรรดิ แบร์นาแดต ก่อตั้งแก่นรุ่งอรุณเพื่อคานอำนาจกับนิกายมอสส์ และถ้าอ้างอิงจากไดอารี สตรีผู้นี้ยอมรับในคติพจน์ ‘ทำตามที่ใจอยาก แต่ต้องไม่เดือดร้อนใคร’ ดังนั้น อ้างอิงจากสองปัจจัยข้างต้น มีโอกาสสูงมากที่เธอจะเป็นครึ่งเทพบนเส้นทาง ‘ผู้ส่องความลับ’ …


ลำดับ 4 ของเส้นทางผู้ส่องความลับคือ ‘ปราชญ์พิศวง’ … และเนื่องจากราชินีเงื่อนงำโด่งดังในทะเลมานานกว่าร้อยปี ลำดับของเธอก็น่าจะสูงกว่า 4 ไปแล้ว… หืม… หลังจากแคทลียาออกจากสังกัดของราชินีเงื่อนงำ เธอได้เข้าร่วมกับนิกายมอสส์…


ราชินีเงื่อนงำให้ความสำคัญกับการถอดเนื้อความไดอารีโรซายล์มาก…


กระแสข้อมูลเริ่มเรียงร้อยถักสาน จนกระทั่งไคลน์ผุดทฤษฎีหนึ่ง


บางที ราชินีเงื่อนงำอาจเป็นบุตรสาวคนโตของจักรพรรดิโรซายล์ แบร์นาแดต·กุสตาฟ!


ถ้าอย่างนั้นก็อธิบายได้ว่า ทำไมการแต่งกายของราชินีถึงประหลาดและคล้ายกับโลกเก่านัก… เธอได้รับอิทธิพลทางรสนิยมมาจากจักรพรรดิ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยสมัยนิยม จึงผสมผสานออกมาเป็นสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร ค่อนไปทางแปลกประหลาด… แต่จะดูดีหรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คนหน้าตาดี แค่สวมกระสอบก็ดูดี แถมยังถูกชมว่าเป็นผู้นำแฟชั่น… ไคลน์รำพันในใจ แต่ฉากนอกยยังคงเงียบขรึมขึงขัง เดินตามราชินีเงื่อนงำลงบันไดอย่างระมัดระวัง


ราชินีเงื่อนงำไม่หันหลังกลับมามอง กล่าวขณะเดิน


“ความฝันแห่งนี้มิได้กว้างขวาง มีเพียงสองส่วน ส่วนแรกเป็นการจำลองวังราชาคนยักษ์บนภูเขาฝั่งตรงข้าม ส่วนที่สองคืออารามสีดำที่นี่”


วังราชาคนยักษ์? ฉากของอาคารอันซับซ้อนและสง่างามท่ามกลางแสงแดดยามเย็น ผุดเข้ามาในใจไคลน์ทันที


นั่นคือแบบจำลองของวังราชาคนยักษ์!


และเดอะซันน้อยก็เพิ่งมาถึงทางเข้าวังราชาคนยักษ์ในโลกจริง หมู่บ้านยามบ่าย!


ราชินีเงื่อนงำกล่าวเสียงนุ่มนวลแต่ไร้อารมณ์


“นั่นเป็นเพียงการคาดเดาของฉัน เพราะรูปแบบอาคารคล้ายกับบรมมหาราชวังสนธยาของฟุซัคมาก… ผนวกกับข่าวลือในยุคสมัยที่สี่ซึ่งระบุว่า เทพสงครามคือคนยักษ์โบราณที่รอดชีวิตมาจากมหาภัยพิบัติ”


เส้นทางเทพสงครามคือเส้นทางคนยักษ์… ไคลน์เห็นด้วยกับทฤษฎีของราชินีเงื่อนงำ


ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มฉุกคิดเกี่ยวกับตำนานเทพบรรพกาลที่เดอะซันน้อยรวบรวมมาให้ คำอธิบายส่วนหนึ่งของ ‘วังราชาคนยักษ์’ ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ที่นั่นจะมี ‘แสงสนธยา’ ส่องค้างไว้ตลอดเวลา จุดนี้นับว่าสอดคล้องกันลักษณะพิเศษของภูเขาฝั่งตรงข้าม


จากพระผู้สร้างแท้จริงจนมาถึงวังราชาคนยักษ์ ราชินีเงื่อนงำยอมเปิดเผยสองข้อมูลที่สำคัญมากแก่เรา… เธอพยายามทำดีกับเรา… ไม่สิ พยายามทำดีกับบุคคลลึกลับเบื้องหลังเราต่างหาก… หึหึ และคนที่อยู่เบื้องหลังเราก็คือตัวเราเอง… ไคลน์ตอบกลับอย่างใจเย็น


“วังราชาคนยักษ์บนโลกความจริง… อยู่ในดินแดนเทพทอดทิ้ง”


ชายหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ เป็นการอวดโอ่ข้อมูลในมือ รวมไปถึงความยิ่งใหญ่ของบุคคลเบื้องหลัง


ราชินีเงื่อนงำชะงักฝีเท้า มือขวาวางลงบนราวที่มีงานแกะสลักนูนต่ำปกคลุม หมุนตัวครึ่งรอบกลับมาจ้องเกอร์มัน·สแปร์โรว์ กล่าวอย่างด้วยจังหวะนุ่มนวล


“มีข่าวลือว่า ทางเข้าของดินแดนเทพทอดทิ้งซ่อนอยู่บนภูเขาฝั่งตรงข้าม ที่ใดสักแห่งในแบบจำลองของวังราชาคนยักษ์”


นั่นคือเหตุผลที่เดอะซันน้อยสำรวจหมู่บ้านยามบ่าย? ไม่ใช่ว่าเจ้าหนูแจ็คปรากฏตัวจากชายหาดหรอกหรือ? บางที อาจจะมีสวิตช์ซ่อนอยู่ทั้งในแบบจำลองวังราชาคนยักษ์และวังราชาคนยักษ์ของจริง ต้องเปิดพร้อมกัน ทะเลทั้งสองจึงจะเชื่อมต่อ?


ทะเลแห่งนี้เต็มไปด้วยเสียงเพรียกของพระผู้สร้างแท้จริง แถมยังมีความลับของดินแดนเทพทอดทิ้งซ่อนอยู่ รวมไปถึงเศษเสี้ยวพลังของรัตติกาล สุริยัน วายุสลาตัน ธรณี และผู้ชม ไม่ว่าจะมองมุมใดก็สอดคล้องกับเหตุการณ์มหาภัยพิบัติมาก!


หรือว่า… หลังจากเกิดมหาภัยพิบัติ ดินแดนเทพทอดทิ้งถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ทั้งเทพธิดา สุริยันเจิดจรัส เทพวายุสลาตัน พระแม่ธรณี ต่างช่วยปกป้องโลกเอาไว้ ขณะเดียวกันก็เป็นเวลาที่พระผู้สร้างแท้จริงปรากฏตัว… มีเพียงเส้นทางผู้ชมที่ยังหาความเชื่อมโยงไม่ได้… ไคลน์สร้างสมมติฐานจากข้อมูลในมือ


ราชินีเงื่อนงำเริ่มเดินลงบันไดต่อ พลางหันมากล่าว


“อารามสีดำแห่งนี้อาจดูเหมือนไม่ใหญ่ แต่สิ่งก่อสร้างทั้งหมดในทุกชั้นจะเป็นตัวแทนของแต่ละจุดบนท้องทะเล ด้านหลังบานประตูอาจเป็นความฝันของเหล่าสัตว์ประหลาด”


แบบนี้นี่เอง… ไคลน์ชำเลืองราวบันได พบว่างานแกะสลักด้านบนส่วนมากเป็นรูปศีรษะมนุษย์ มองผิวเผินอาจดูงดงาม แต่จะมอบความรู้สึกขนลุกเมื่อเพ่งพินิจ ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มตัดสินใจถาม


“แล้วขั้นบันไดแห่งนี้เป็นความฝันของใคร”


“อมรณาคนหนึ่งแห่งนิกายวิญญาณ เขามาที่นี่เพื่อค้นหาร่องรอยของเทพมรณาโบราณ กล่าวกันว่าเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับสร้างมรณาเทียม อย่างไรก็ตาม เขาเกิดคลุ้มคลั่งเนื่องจากได้ยินเสียงเพรียก จึงต้องเร่ร่อนในซากปรักหักพังใต้น้ำไปตลอดกาล คอยเปลี่ยนนักผจญภัยที่ริอ่านเข้าใกล้ให้กลายเป็นซอมบี้” ราชินีเงื่อนงำอธิบายเสียงเรียบ


สนามรบแห่งนี้… แม้แต่เทพมรณาก็มีส่วนเกี่ยวข้อง? ไม่แปลกใจว่าทำไมพลเรือเอกขุมนรกถึงมักเข้ามาสำรวจทะเลแถบนี้บ่อยครั้ง… ไคลน์ชะงักเล็กน้อย


ในกรณีของมรณาเทียม มันมิได้แปลกใจนัก เพราะเคยได้ยินเรื่องราวจากปากแม่มดยุพนิรันด์ คาร์เทอริน่า·เปลเล่มาบ้าง และเหนือสิ่งอื่นใด นิกายวิญญาณยังห่างไกลความสำเร็จอยู่มาก


ขณะเดียวกัน ราชินีเงื่อนงำที่เดินถึงบันไดชั้นล่างสุด ชำเลืองกลับมามองชายหนุ่ม


ก่อนที่เธอจะหักเลี้ยวไปยังโถงทางเดิน มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวอาคาร


ไคลน์เดินตามพลางกวาดตามอง พบว่าไม่มีบันไดลงไปข้างล่าง หมายความว่าที่นี่คือชั้นล่างสุด


ราชินีเงื่อนงำหยุดลงตรงหน้าประตูไม้สีดำที่มีลวดลายประหลาด จับลูกบิดและกล่าว


“ฉันสงสัยมาตลอดว่า ความฝันด้านในอาจเป็นกุญแจสำคัญที่คอยค้ำจุนที่นี่ เศษเสี้ยวพลังของรัตติกาลเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนให้มันเกิดขึ้น”


ขณะกล่าว หญิงสาวบิดกลอนเปิดประตู


บานประตูถูกผลักเข้าไปอย่างเชื่องช้า ฉากตรงหน้ามิใช่ห้องอย่างที่ไคลน์จินตนาการ หากแต่เป็นท้องทะเล


ผิวทะเลส่องสว่างด้วยแสงแดดระยิบระยับ คล้ายกับมีทองคำจำนวนมากแฝงตัวอยู่ในเกลียวคลื่น


ระหว่างที่ประตูกำลังเปิด ไคลน์สัมผัสได้ว่า ออร่าอันทรงพลังเริ่มไหลซึมเข้ามาจากด้านนอก อาคารทั้งหลังพลันสั่นสะเทือนรุนแรง ฝุ่นควันคละคลุ้ง กำแพงอิฐล้มครืนทีละก้อนสองก้อน


สัญชาตญาณไคลน์ร้องเตือนทันที พร้อมกับได้รับนิมิตแจ้งว่าโลกความฝันกำลังพังทลาย


ในวินาทีดังกล่าว ราชินีเงื่อนงำชักมือขวากลับ ปิดประตูไม้สีดำจนสนิท เหตุการณ์รอบตัวกลับเป็นปรกติอีกครั้ง


“แม้แต่ฉันยังไม่กล้าเข้าไป” ผู้วิเศษที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลกกล่าว


“ความฝันของเทพที่ยังหลงเหลือสินะ” ไคลน์กล่าวเสียงเรียบ คล้ายกับไม่กังวลเพราะมีผู้ยิ่งใหญ่คอยหนุนหลัง ตั้งใจวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าอย่างใจเย็น


ราชินีเงื่อนงำหมุนตัวกลับ ดวงตาสีฟ้าครามจดจ้องใบหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“ในทะเลแห่งนี้ รวมถึงในอารามสีดำ มีความลับซ่อนอยู่นับไม่ถ้วน ฉันอาจล่วงรู้ไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ”


หญิงสาวไม่กล่าวต่อ เพียงจ้องหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์เงียบงัน คล้ายกับกำลังเฝ้ารอบางสิ่ง


แรงกดดันนี้มันอะไรกัน… ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ค่อยกล่าวหยั่งเชิง


“คุณทราบหรือไม่ว่า… คาถาปลดผนึกไพ่จักรพรรดิมืดคืออะไร”


ราชินีเงื่อนงำเงียบงันสองสามวินาที ตามด้วยส่ายหน้า


ไคลน์จ้องเข้าไปในดวงตาหล่อน


“แบร์นาแดต”


โถงทางเดินพลันเงียบงันจนไม่มีแม้แต่เสียงหายใจ ริมฝีปากราชินีเงื่อนงำขยับขึ้นลงเล็กน้อย ก่อนจะปิดกลับไปตามเดิม


ดวงตาสีฟ้าของเธอเหม่อลอยชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาคงความลุ่มลึกภายในเวลาไม่นาน


ราชินีเงื่อนงำหมุนตัวอย่างไม่รีบร้อน เดินตรงไปยังบันไดสีดำ กล่าวเสียงเรียบ


“ความฝันกำลังจะจบลง”


ไคลน์ยืนมองแผ่นหลังของเธอย่างกรายขึ้นบันไดไปทีละก้าว จนกระทั่งแสงสว่างอันท่วมท้นปกคลุมการมองเห็นโดยสมบูรณ์



หมู่บ้านยามบ่าย


ขณะแสงเทียนจากหน้าต่างของบ้านด้านนอกถูกจุดติดทีละหลัง หมู่บ้านที่เคยเงียบสงบพลันดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที เดอร์ริคและที่เหลือต่างรู้สึกราวกับกำลังฝันร้าย ความตึงเครียดก่อตัวในใจ


นักล่าปีศาจโคลิน ตรวจสอบสองสามหน กล่าวเสียงขรึม


“พวกเรากำลังอยู่ในโลกความจริง… พลังของแท่นบูชาหมดไปแล้ว”


………………………………………………..


ราชันเร้นลับ 670 : ผู้สารภาพบาป

โดย

Ink Stone_Fantasy

หมู่บ้านยามบ่ายพิสดารรุกล้ำหมู่บ้านยามบ่ายของจริง? เดอร์ริคเริ่มเข้าใจคำพูดของเจ้าเมือง และมีข้อสันนิษฐานอย่างคร่าวสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น


เด็กหนุ่มสงสัยว่า การที่มิสเตอร์ฟูลดึงตนออกจากหมู่บ้านยามบ่ายพิสดาร อาจส่งผลให้สมดุลระหว่างสองโลกเสียหาย พลังจากด้านในจึงในไหลซึมออกมา


และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้โคลิน·อีเลียด ไม่หายตัวไปแม้ว่าจะลองทำซ้ำวิธีเดียวกับเดอร์ริค


ขณะเดอร์ริคครุ่นคิดว่า จะมีเหตุการณ์เช่นไรตามอีกมาบ้าง ผู้นำแห่งหกสภาอาวุโส โคลิน หยิบผงระยิบระยับจากช่องลับตรงเข็มขัดออกมาหนึ่งกำมือ โปรยไปในอากาศ


เศษผงระเบิดในทันที แสงสว่างสีเงินพลันพวยพุ่ง โดดเด่นท่ามกลางบรรยากาศอันมืดมิด


เดอร์ริค โจชัว และฮาอิมพลันเข้าใจสัญญาณ : ห้ามวิ่งหนี ให้อยู่ประจำที่ คอยเฝ้าระวังศัตรูซึ่งอาจลอบโจมตีเข้ามา รอคอยความช่วยเหลืออย่างอดทน!


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฉากเมื่อครู่ต้องถูกเห็นโดยทีมสำรวจอื่นๆ ที่กระจายตัวรอบหมู่บ้านยามบ่าย!


นักล่าปีศาจโคลิน ปลดปล่อยสัญญาณสามครั้งติดต่อกันระหว่างที่สายฟ้ากำลังเว้นวรรค ก่อนจะหันมาทางเดอร์ริคและคนที่เหลือ


“เริ่มรวมกลุ่มจากใกล้ไปไกล… ระวังตามทางให้ดี”


“ครับ ท่านเจ้าเมือง!” เดอร์ริคลบความขุ่นมัวในใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่จนหมด ปัจจุบันมีเพียงความหวังที่จะช่วยเพื่อนร่วมทีมโดยเร็ว


ขณะโคลินออกคำสั่ง เดอร์ริคเดินไปอยู่ทางฝั่งซ้ายของทีม ด้านตรงข้ามเป็นโจชัวถุงมือแดงที่มาพร้อมดาบเหล็กดำ ส่วน ‘พาลาดินรุ่งอรุณ’ ฮาอิมที่ค่อนข้างแข็งแกร่งคอยระวังด้านหลัง อยู่ห่างจากนักล่าปีศาจตรงหน้าประมาณสามก้าว


เส้นสายฟ้าด้านบนเริ่มผ่าระรัว หมู่บ้านยามบ่ายที่เคยหม่นมองถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างสลับกับบรรยากาศสีเทาหม่น แสงเทียนไขจากหน้าต่างยังคงไหววูบ เงียบงันและสงบนิ่ง


เดอร์ริคมิใช่เด็กใหม่ แม้จะกังวลอยู่บ้าง แต่มือข้างที่ถือขวานเฮอร์ริเคนมิได้ชุ่มด้วยเหงื่อ ดวงตามองสลับไปมาอย่างชำนาญ คอยระวังสัตว์ประหลาดที่อาจกระโจนออกจากอาคารทั้งสองฝั่ง


เมื่อเส้นสายฟ้าหายไป โลกกลับสู่ความมืดมิดอีกครั้ง แสงเทียนภายในหมู่บ้านยามบ่ายพลันสว่างไสวและแจ่มชัด ราวกับกำลังรอให้นักท่องเที่ยวแวะเข้าไปค้างคืน


ตะเกียงหนังสัตว์ในมือฮาอิมยังคงแผ่แสงสีเหลืองนวลตามเดิม แต่กลับมอบความสว่างได้น้อยลง แม้กระทั่งเนตรมองกลางคืนของเดอร์ริคก็ยังถูกลดทอนประสิทธิภาพลง


คล้ายกับแสงสว่างเหลือเพียงหน้าที่เดียว : สลายความมืดรอบตัวในวงแคบๆ


ทันใดนั้น เดอร์ริครู้สึกเย็นตรงช่วงลำคอ ทั้งที่รอบตัวปราศจากสายลมเย็น!


เด็กหนุ่มมิได้หันหน้าไปมองในทันที เพียงก้าวขาทแยงมุม หมุนตัวครึ่งรอบ อาศัยการชำเลืองด้วยหางตา


เดอร์ริคมองเห็นฮาอิมเจ้าของส่วนสูงเกือบสองเมตร กำลังจ้องตนด้วยสีหน้าหมองหม่น ก่อนจะเหวี่ยงดาบยักษ์ในมือเข้าใส่!


ฟุ่บ!


เดอร์ริคม้วนตัวกลิ้ง หลบการโจมตีพ้นอย่างฉิวเฉียด เสียงลมปะทะยังคงดังกึกก้องข้างใบหู


เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ถามขึ้นทันที


“เกิดอะไรขึ้น?”


“ฮาอิมโจมตีผม!” เดอร์ริคที่กลิ้งไปหาโคลิน พยุงตัวลุกขึ้นยืน


“ฉัน?” ฮาอิมผู้ถือตะเกียงหนังสัตว์ในมือข้างหนึ่ง ดาบใหญ่ในมือข้างหนึ่ง ซักถามเสียงฉงน


โคลินชำเลืองเดอร์ริค


“ผมไม่พบพฤติกรรมผิดปรกติจากเขา”


ขณะกล่าว สัญลักษณ์สีเขียวเข้มปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งสองข้างของนักล่าปีศาจ


เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์มองไปรอบตัวและกล่าว


“เป็นไปได้ไหมว่า ผู้ลอบจู่โจมจะจำแลงกายเป็นฮาอิม?”


ยังไม่ทันกล่าวจบ ดาบเงินในมือขวาพลันแทงไปยังด้านหลังอย่างดุดัน!


เคร้ง!


ท่ามกลางเสียงปะทะแผ่วเบา ร่างหนึ่งปรากฏตัวจากบรรยากาศมืดสลัว เส้นผมสีเทายุ่งเหยิง ริ้วรอยบนใบหน้าคมชัด ดวงตาสีฟ้าครามลุ่มลึก แถมยังถือดาบยาวที่เคลือบน้ำมันสีเงินอ่อน รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับนักล่าปีศาจโคลินเกือบทุกประการ จุดแตกต่างเดียวก็คือ สีหน้าค่อนไปทางดำมืดและเหม่อลอย


เคร้ง! เคร้ง!


ดาบยาวสีเงินสองเล่มปะทะกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นประกายไฟเล็ก ๆ


ระหว่างนั้น โคลิน·อีเลียดตะโกนเสียงทุ้ม


“แสง!”


แสง? เดอร์ริคพลันยกมือขึ้นตามสัญชาตญาณ รีบนำมาประสานกันด้านหน้าปากและจมูก


เพียงพริบตา เด็กหนุ่มมองเห็นร่างของสามบุคคลพุ่งตรงออกจากความมืดโดยรอบ หนึ่งคือฮาอิมร่างใหญ่ที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง หนึ่งคือโจชัวเจ้าของถุงมือสีแดง และหนึ่งคือตัวเดอร์ริคเอง ผู้มีร่างกายค่อนข้างใหญ่และใบหน้าอ่อนเยาว์!


เดอร์ริคไม่แตกตื่น ทำตามคำสั่งเจ้าเมืองอย่างเคร่งครัด แผ่แสงสว่างอันเจิดจ้าออกจากร่างกาย


คล้ายกับร่างปริศนาทั้งสามหวาดกลัวต่อพลังชนิดนี้ ต่างคนต่างยกมือขึ้นมาบังหน้า ขณะเดียวกันก็พยายามหลบหนีไปด้านข้าง


ทว่า ไม่มีทางที่พวกมันจะเร็วกว่าแสง


แสงอันเจิดจ้ามอบความสว่างไสวแก่บริเวณโดยรอบ ทั้งสามร่างลึกลับถูกอาณาเขตแห่งแสงปกคลุมโดยสมบูรณ์


พวกมันอ้าปากกว้าง ส่งเสียงแผดร้องอย่างเงียบงัน เพียงไม่นานก็เลือนหายไป


แสงสว่างแผ่ออกไปครอบงำร่างสองนักล่าปีศาจที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือด ร่างหนึ่งสูญเสียความคล่องแคล่วอย่างเห็นได้ชัด สีกลายเป็นซีดเผือดและผสานเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด


ฟุ่บ!


ดาบเงินที่ฉาบด้วยน้ำมันสีเงินอ่อนทะลวงร่างสัตว์ประหลาด แต่คล้ายกับแทงโดนเพียงอากาศว่างเปล่า มิอาจสร้างความเสียหายอันใด


ทันใดนั้น ร่างสัตว์ประหลาดเงามืดพลันลุกไหม้ แตกตัวกระจัดกระจายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย สลายไปด้วยอำนาจแห่งแสงและเปลวเพลิง


นักล่าปีศาจโคลินเก็บดาบกลับ หันมาทางเดอร์ริคและคนที่เหลือ


“สัตว์ประหลาดในคราวนี้คือเงาของพวกเรา… จุดอ่อนคือแสงจ้า”


ขณะกล่าว ผู้นำแห่งหกสภาอาวุโสเริ่มสร้างแสงรุ่งอรุณ ฉาบถนนทั้งเส้นให้กลายเป็นยามเช้า


นี่คือพลังพิเศษของ ‘พาลาดินรุ่งอรุณ’ แห่งเส้นทางนักรบ สาเหตุที่นักล่าปีศาจโคลินไม่รีบใช้ในตอนแรก เพราะผลกระทบของมันกว้างเกินไป มิอาจคาดเดาได้ว่า จะนำพาเหตุไปสู่เหตุการณ์ไม่คาดฝันใดบ้าง แต่ในปัจจุบัน มันทราบแล้วว่าจุดอ่อนของสัตว์ประหลาดในหมู่บ้านยามบ่ายคือแสงจ้า


แสงรุ่งอรุณของเจ้าเมืองกว้างขวางระดับเขตแดน ฮาอิมเห็นดังนั้นจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะใช้พลังแบบเดียวกัน เพียงถือตะเกียงหนังสัตว์ เดินตามหลังโคลิน·อีเลียดพร้อมกับเดอร์ริคและโจชัว หักเลี้ยวไปยังถนนเส้นถัดไป


เพียงไม่นาน กลุ่มของสี่บุรุษเดินมาถึงซากวิหารแห่งหนึ่ง


วิหารเคยมีหอคอยสูง ฐานเป็นกำแพงอิฐก่อและมีเสาหินโค้งคอยค้ำจุน มอบบรรยากาศมั่นคงและอึมครึม


หลังจากผ่านประตูทางเข้าขนาดมหึมาที่แม้แต่คนยักษ์ยังรู้สึกว่าใหญ่ เดอร์ริคตามเจ้าเมืองไปยังโถงสวดมนต์ พบกับซากเทวรูปที่ถูกทำลาย และเทียนไขบนแท่นบูชาซึ่งถูกจุดโดยใครบางคน


ด้านหน้าแท่นบูชา ร่างหนึ่งที่สวมชุดคลุมสีขาวกำลังหมอบกราบ สวดวิงวอนเสียงแผ่วจนไม่ได้ยิน


“ไม่ใช่คนของเรา” ฮาอิมที่มีเนตรมองกลางคืน อาศัยส่วนสูงช่วยให้พบความผิดปรกติเป็นคนแรก


หรือก็คือ… ไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่จำแลงกายเป็นสมาชิกในทีม… เดอร์ริคช่วยสรุปในใจ


แต่ขณะเดียวกันก็ยังหมายความว่า อีกฝ่ายคือบุคคลลึกลับ และความลึกลับมักมาพร้อมอันตรายเสมอ!


“ปรกติต้องมีทีมสำรวจอยู่ในอาคารแห่งนี้” โคลินลดขอบเขตของแสงรุ่งอรุณลง จะได้ไม่ไปรบกวนร่างในชุดคลุมสีขาว


ฮาอิม โจชัว และเดอร์ริคต่างพากันเงียบ ไม่กล่าวคำใด ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ การหายตัวไปของทีมสำรวจย่อมหมายถึง พวกเขามีจุดจบที่ค่อยไม่ดีนัก


ขณะพวกมันเตรียมหันหลังกลับ ชายสองคนในชุดรัดรูปสีดำเดินออกจากประตูฝั่งขวาของโถงสวดมนต์ เป็นสองสมาชิกของทีมที่รับหน้าที่สำรวจวิหาร


“ท่านเจ้าเมือง เงานั่น… เงาพวกนั้นอันตราย! ลาโรย่าถูกเงาของตัวเองกลืนกิน!” หนึ่งในสมาชิกทีมสำรวจจ้องโคลินพลางอธิบาย น้ำเสียงแฝงความสั่นเครือและหวาดผวา


มีคนต้องสังเวยจนได้… เดอร์ริคพลันหม่นหมอง ก่อนจะเห็นแสงรุ่นอรุณแผ่ออกไปรอบทิศทาง ปกคลุมร่างกายสองสมาชิกทีมสำรวจ


สีหน้าของทั้งสองพลันบิดเบี้ยว ร่างกายซีดลงจนกลายเป็นสีดำ ราวสองวินาทีถัดมา พวกมันมีชะตากรรมเดียวกับเงาที่ถูกแสงขจัดปัดเป่า สลายหายไปอย่างสมบูรณ์


แปะ! แปะ! แปะ!


กระดูกและเลือดเนื้อร่วงหล่นจากร่างกาย กระทบพื้นจนเกิดเสียง


กลุ่มแสงจำนวนหนึ่งไหลซึมออกจากซากศพอย่างเชื่องช้า


โคลินหันไปมองด้านหลัง กล่าวอย่างไร้อารมณ์


“เดินเข้าไปใกล้กับนักบวช ฟังว่าเขากำลังวิงวอนถึงสิ่งใด”


เดอร์ริคและที่เหลือพยักหน้ารับ เดินทีละก้าวไปทางซากเทวรูป


ราวสิบก้าวถัดมา พวกมันมองเห็นบุคคลในชุดคลุมสีขาวได้ชัดเจนขึ้นจากมุมด้านข้าง และพบว่าชายวัยกลางคนรายนี้กำลังหลั่งน้ำตา


นักบวชที่ใบหน้าเกือบสัมผัสพื้น พึมพำกับตัวเอง


“ข้าแต่องค์มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและปรีชา ข้าขอสารภาพบาป… …เป็นคนล่อลวงซาสเรีย…. เหล่าราชาต่างรวมหัวสมคบคิดกันในวังแห่งสนธยาบ่อยครั้ง… ผู้คนในเมืองนี้เองก็เปลี่ยนไปมาก พวกเขาลักลอบตั้งแท่นบูชา ประกอบพิธีกรรมประหลาด กระทำในสิ่งที่ท่านไม่อนุญาต… ข้าค้นพบความจริงทั้งหมด แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว… ทั้งความฉิบหาย โลหิต ความมืด กัดกร่อน ฆ่าฟัน สิ่งโสมม และเงาดำกำลังจะปกคลุมแผ่นดิน… หายนะครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ณ ที่แห่งนี้!”


ถ้อยคำดังกล่าวถูกทวนซ้ำหนแล้วหนเล่า คล้ายกับนักพยากรณ์กำลังบอกเล่าเหตุการณ์ในอนาคตด้วยเสียงแผ่ว


หายนะครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้นที่นี่? บนดินแดนที่ถูกทอดทิ้งโดย ‘พระผู้สร้างสรรพสิ่ง’ แห่งนี้? และยิ่งไปกว่านั้น ใครเป็นคนล่อลวง ‘เทวทูตมืด’ ซาสเรีย? นักบวชรายนี้อาจจะพูดชื่อออกมา เพราะหลังจากประโยค ‘ข้าขอสารภาพบาป’ มีการเว้นวรรคไปช่วงหนึ่ง… หมายความว่า ตัวเขาเคยเอ่ยชื่อเอาไว้ แต่นามดังกล่าวกลับเลือนหายไปเอง? ใครเป็นคนลบ? นักบวชรายนี้น่าจะเป็นตัวตนในหมู่บ้านยามบ่ายพิสดาร แต่โผล่ที่นี่หลังจากสมดุลของทั้งสองฝั่งถูกทำลาย ไม่อย่างนั้นคงถูกพบตัวตั้งแต่ภารกิจสำรวจคราวก่อน… ในระยะเวลาสั้น ๆ เดอร์ริคครุ่นคิดหลากหลายประเด็น


ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มเห็นเจ้าเมืองกำลังย่างกราย ตรงไปทางนักบวชที่สวมชุดคลุมสีขาว



ไคลน์ตื่นจากความฝัน แสงแดดยามเที่ยงส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาปะทะกับดวงตา


มันพยุงตัวลุกออกจากเตียง เดินไปยังห้องอาหารโจรสลัดอย่างไม่รีบร้อน


แฟรงค์·ลีที่เห็นไคลน์ รีบกวักมือเรียก


“เกอร์มัน ฉันบังเอิญพบสิ่งที่น่าสนใจเข้า!”


เชี่ย… คราวนี้เป็นเรื่องปวดหัวแบบไหนอีก… หัวใจไคลน์พลันหล่นวูบ


“สิ่งประดิษฐ์ใหม่?”


“ไม่ใช่…” แฟรงค์ส่ายหน้าอย่างตื่นเต้น “เดิมที ฉันอยากศึกษาปลาในทะเลแถบนี้ คิดว่าพวกเขาก็น่าจะฝันเหมือนกับเรา! แต่ขณะพยายามตกขึ้นมา ฉันกลับจับอะไรแปลกๆ ขึ้นมาได้แทน”


……………………………………………


ราชันเร้นลับ 671 : ชื่อที่สี่

โดย

Ink Stone_Fantasy

บางอย่างแปลกๆ? ไคลน์เริ่มสัมผัสถึงลางร้าย แต่ภายนอกยังคงถามอย่างใจเย็น


“จับได้อะไร?”


“ปลาที่มีนิ้วอยู่ในท้อง!” โดยไม่ปล่อยให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ถามต่อ แฟรงค์รีบวิ่งออกไปนอกห้องอาหารและกลับมาในเวลาไม่นาน ในมือถือปลาประหลาดตัวสีน้ำเงินเข้ม


ความยามของปลาอยู่ในเกณฑ์ปรกติ ดวงตามีเปลือกตาครอบเหมือนมนุษย์ ช่องท้องถูกผ่าออกจนมองเห็นสามนิ้วชุ่มเลือดด้านใน


“ฉันไม่ได้เป็นคนใส่เข้าไป มันมีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว! พิจารณาจากปากของมัน นิ้วมือพวกนี้ไม่น่าจะเป็นอาหาร หมายความว่าต้องงอกขึ้นมาเองจากภายใน! แต่ฉันยังหาคำตอบไม่ได้ว่า นิ้วพวกนี้ส่งผลอย่างไรกับตัวปลาบ้าง” แฟรงค์รีบเล่าสมมติฐาน


ไคลน์ชำเลืองปลาด้วยหางตา กล่าวหลังจากใคร่ครวญ


“อาจถูกใครบางคนยัดเข้าไปก็ได้”


“ก็อาจจะใช่… ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็ไม่ใช่ปลาประหลาด…” แฟรงค์ผงะเล็กน้อย สีหน้าเผยความผิดหวังชัดเจน “นิ้วมือประกอบด้วยเลือดและเนื้อ… ฉันจะไปถามฮีธ เขาเชี่ยวชาญเรื่องนี้”


ขณะกล่าว แฟรงค์กวาดตามอง พบฮีธ·ดอยล์กำลังนั่งหลบมุมกินอาหาร


แฟรงค์รีบขยับเข้าไปใกล้ ปลาประหลาดสีน้ำเงินเข้มถูกวางบนลงหน้า ‘ผู้ไร้เลือด’


ฮีธ·ดอยล์เหยียดแขนออก วางมือลงบนตัวปลาพร้อมกับขยับใบหน้าเข้าไปใกล้


เห็นฉากตรงหน้า แฟรงค์พลันตระหนักว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง


มันรีบตอบสนอง ฉีกยิ้มกว้างละกล่าว


“อย่ากิน! นี่ไม่ใช่อาหารของนาย แล้วอีกอย่าง นายกินปลามากเกินไปแล้ว ถึงขั้นที่กลิ่นคาวปลาโชยหึ่งออกจากร่างกาย… สิ่งที่ฉันอยากถามก็คือ นิ้วในท้องปลาคืออะไร ใครเป็นเจ้าของพวกมัน?”


ฮีธ·ดอยล์หยุดการนำใบหน้าเข้าไปใกล้ มอบคำตอบหลังจากตรวจสอบเล็กน้อย


“เป็นของบิชอปกุหลาบ… อย่างน้อยก็ต้องระดับบิชอปกุหลาบ”


มันนำนิ้วทั้งสามออกมาวาง กองรวมกันในสภาพชุ่มเลือด


ผ่านไปสักพัก นิ้วทั้งสามเริ่มละลายคล้ายเทียนไข กลายเป็นบ่อเลือดเนื้อเหนียวข้น


เลือดเนื้อยุบพองสักพัก จนกระทั่งก่อตัวเป็นอักษรสีแดงสว่างบนโต๊ะอาหารใจความว่า :


“ช่วยด้วย!”


นิ้วของบิชอปกุหลาบ… ช่วยด้วย… เห็นภาพตรงหน้า ไคลน์ที่ยืนไม่ห่างเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว


มันหวนนึกถึง ‘นักบุญมืด’ เลโอมาสต์ในโลกความฝัน!


นักบุญแห่งชุมนุมแสงเหนือรายนี้ติดอยู่ในซากปรักหักพังสักแห่ง เนื่องจากถูกพลังที่หลงเหลือจากเทวทูตหรือเทพสักตนบนเส้นทางผู้ชม แบ่งจิตใต้สำนึกออกเป็นฝ่ายดีและชั่ว จึงถูกกักขังอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน


บุคลิกด้านดีและชั่วเกิดมาเพื่อขัดแย้ง มักกระทบกระทั่งกันภายในใจ และฝ่ายชั่วค่อยๆ กุมความได้เปรียบมากขึ้นทีละนิด ส่งผลให้ฝ่ายดีที่คอยหลบซ่อนอยู่ในใจ พยายามขอความช่วยเหลือ


หมายความว่า นิ้วทั้งสามคือการดิ้นรนจากจิตด้านดีของเลโอมาสต์? พิจารณาจากฐานะของ ‘นักบุญ’ แห่งชุมนุมแสงเหนือ เขาคงผ่านเส้นทางคนเลี้ยงแกะ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีพลังพิเศษของบิชอปกุหลาบ… ไคลน์พยักหน้าพลางครุ่นคิด เชื่อว่าทฤษฎีของตนใกล้เคียงกับข้อเท็จจริง


“ช่วยด้วย? ช่วยยังไง?” แฟรงค์·ลีจ้องเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยสีหน้างุนงง


นายต้องไปถามกัปตัน ไม่ใช่ฉัน… ไคลน์ส่ายหน้า


“อย่าไปใส่ใจ… ทะเลแถบนี้มีแต่เรื่องประหลาด”


ชายหนุ่มให้ความเห็นโดยอ้างอิงจากความฝันก่อนหน้า ด้านมืดของเลโอมาสต์ได้เปรียบเหนือด้านดีอย่างมาก หากหวังจะช่วยก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับครึ่งเทพ จริงอยู่ว่าอาจมีบุคลิกด้านดีคอยช่วยเหลือ แต่ก็คงลดทอนพลังของ ‘นักบุญมืด’ ได้ไม่มากนัก อีกฝ่ายยังคงแข็งแกร่งระดับครึ่งเทพ


จริงอยู่ ราชินีเงื่อนงำเองก็อยู่บนอนาคตกาล หากเธอยื่นมือช่วยก็ยังมีโอกาสสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ถ้าการช่วยบุคลิกด้านดีของเลโอมาสต์เป็นเรื่องง่ายเช่นนั้นจริง ไคลน์เชื่อว่า ‘ราชินี’ คงลงมือด้วยตัวเองไปนานแล้ว สาเหตุที่เธอเพิกเฉย คงเพราะมีอุปสรรคบางอย่างคอยกีดขวาง


ยกอย่างเช่น… จุดที่เลโอมาสต์ถูกขังอยู่ มีพลังซึ่งสามารถ ‘แยกบุคลิก’ ของสิ่งมีชีวิตในละแวกใกล้เคียง จนแม้แต่ราชินีเงื่อนงำก็ไม่กล้าเสี่ยง… กระทั่งในความฝันเลโอมาสต์ เรายังตึงมือจนเกือบตกที่นั่งลำบาก โชคดีที่นำคทาเทพสมุทรออกมาแก้ปัญหาได้… หากพบกันอีกครั้งบนโลกความจริง บุคลิกของเราคงถูกแบ่งแยก กลายเป็นหนึ่งในคนไข้โรงพยาบาลจิตเวช และต้องรักษาโดยการยืมเทียนไขจิตฝันร้ายจากหลวงพ่อยูทรอฟสกี้… ก็ยังมีทางรักษาสินะ… หึหึ อีกวิธีหนึ่งคือการให้มิสจัสติสช่วย แต่ตัวเธอในตอนนี้เธอยังแข็งแกร่งไม่พอ… ระหว่างใช้ความคิด ไคลน์รำพันติดตลก


“เข้าใจแล้ว” แฟรงค์·ลีเชื่อใจเกอร์มัน·สแปร์โรว์ “บางที คนที่ขอความช่วยเหลืออาจจะตายไปแล้วก็ได้”


กล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของมันพลันแวววาว จ้องไปทางฮีธดอยล์และกล่าว


“นายลบตราประทับทางจิตที่หลงเหลือในบ่อเลือดเนื้อนี่ได้ไหม?”


“ได้” ฮีธ·ดอยล์ตอบห้วน


แฟรงค์·ลีฉีกยิ้ม ท่าทางคล้ายกับเด็กอ้วนหนักสองร้อยปอนด์


“ฉันนึกสงสัยในส่วนประกอบเลือดเนื้อของบิชอปกุหลาบมาตลอด… อยากได้ตัวอย่างมาวิจัยทฤษฎีผสมข้ามสายพันธุ์นานแล้ว… ผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไงกันนะ”


แล้วสักวัน นายจะต้องตายเพราะการทดลองของตัวเอง… ช่างเถอะ อีกไม่นานเราก็จะออกจากเรือลำนี้… ไคลน์รู้สึกราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กซนที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเล่นในคลังแสง


ฮีธ เจ้าของใบหน้าเกือบโปร่งใส ผงะไปสองวินาที ก่อนจะกล่าวจากใจจริง


“ขอบคุณมาก”


“หือ? เรื่องอะไร?” แฟรงค์เกาศีรษะ เผยใบหน้าฉงน


น่าจะขอบคุณเรื่องที่นายพยายามเก็บงำความอยากรู้อยากเห็นมาตลอด ไม่สติแตกใช้พวกพ้องคนสำคัญเป็นตัวอย่างในการทดลอง… ไคลน์ยกมุมปากเล็กน้อยขณะถอดความนัย พลางคิดว่าระบบสมองของรองกัปตันและผู้ช่วยกัปตันแห่งอนาคตกาลค่อนข้างไม่ปรกติ



หมู่บ้านยามบ่าย ภายในซากปรักหักพังวิหาร


นักล่าปีศาจโคลินที่ยืนข้างนักบวชชุดคลุมสีขาว ซักถามเสียงแผ่ว


“เหล่าราชาคือใครบ้าง? อะไรคือหายนะร้ายแรง? ใครเป็นผู้ล่อลวงซาสเรีย?”


แต่คล้ายกับนักบวชไม่ได้ยิน ยังคงก้มต่ำในจุดเดิม สารภาพบาปหนแล้วหนเล่า ประหนึ่งเป็นเพียงภาพตกค้างที่ถูกฉายซ้ำ


ชายคนนี้เป็นวิญญาณอาฆาต ภูตผี หรือวิญญาณมารกันแน่? เดอร์ริคจ้องอย่างกังวล


เมื่อนักล่าปีศาจโคลินไม่เห็นการตอบสนองจากอีกฝ่าย มือขวาเริ่มเหยียดออก ปลายดาบสีเงินที่ฉาบด้วยน้ำมันสีเงินอ่อนขยับเข้าใกล้ทีละนิด


แต่แม้นปลายดาบจะจ่อติดท้ายทอย นักบวชยังคงก้มกราบสำนึกผิด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอากัปกิริยา


โคลิน·อีเลียดชักดาบเงินกลับ ดวงตาที่ส่องแสงสีเขียวเข้มกวาดไปรอบตัว


จากนั้น มันเดินตรงไปยังแท่นบูชาที่อยู่เยื้องในแนวเฉียง ดวงตาเพ่งมองเทียนไขที่กำลังส่องแสงเหลืองนวล


หลายวินาทีผ่านไปอย่างเงียบงัน จนกระทั่งเจ้าเมืองเหยียดแขนซ้าย ดับเปลวไฟของเทียนไข


ซากเทวรูปกึ่งกลางแท่นบูชาพลันหมองหม่น ชายสวมชุดคลุมสีขาวหยุดการสารภาพบาปทันที


มันเงยศีรษะขึ้นอย่างเชื่องช้า ใบหน้าดำมืด ดวงตาแฝงความอาฆาต


เดอร์ริค ฮาอิม และคนที่เหลือต่างตอบสนองไม่ทัน เนื่องจากนักบวชผู้มากศรัทธาที่หมอบกราบจนถึงเมื่อครู่ พลันพุ่งกระโจนด้วยความเร็วที่สามารถทำให้เกิดภาพตกค้าง


แต่ดูเหมือนนักล่าปีศาจโคลินจะเตรียมพร้อมตลอดเวลา ขยับเท้าขวาเฉียงไปด้านหน้าเล็กน้อย หมุนตัวกลับหลังครึ่งวงกลมพร้อมกับตวัดกวาดดาบเงินในมือ


ในจุดเหนือใบดาบ ประกายแสงพลันสว่างวาบ ก่อตัวเป็นวังวนพายุในพริบตา


พายุแสงบริสุทธิ์เริ่มดูดกลืนทุกสิ่งรอบตัว ส่งให้นักบวชลอยค้างกลางอากาศเล็กน้อย ก่อนจะกลืนกินเข้าไปอย่างสมบูรณ์


พายุสงบลงในเวลาไม่นาน นักล่าปีศาจโคลินยืนจ้องนักบวชที่ถูกแสงรุ่งอรุณซึมซาบเข้าไปในร่างกายอย่างท่วมท้น พลางทวนซ้ำคำถาม


“เหล่าราชาคือใครบ้าง? อะไรคือหายนะร้ายแรง? ใครเป็นผู้ล่อลวงซาสเรีย?”


นักบวชที่ร่างกายเริ่มพร่ามัว มอบคำตอบอย่างเหม่อลอย


“เหล่าราชาคือซาสเรีย โอโรเลอุส เมดีซี และ…”


ขณะกำลังจะเอ่ยชื่อที่สี่ เปลวไฟโปร่งใสพลันลุกท่วมร่างนักบวช!


เพลิงครอกทุกอวัยวะของร่างกาย แผดเผาจนกลายเป็นเพียงแก๊สสีดำ


ดูเหมือนว่า ‘ราชา’ ที่ว่าจะหมายถึงราชาเทวทูต… นามที่สี่เป็นใครกัน ทำไมถึงทำลายตัวเองเพียงเพราะพยายามเอ่ยออกมา? เป็นผู้ที่ล่อลวงซาสเรีย หรือเป็นคนอื่น? เดอร์ริคเต็มไปด้วยคำถาม


เมื่อนักบวชตายไป ถนนด้านนอกรวมถึงหมู่บ้านยามบ่าย พลันมีเสียงคล้ายสัตว์ป่าร้องระงม


เดอร์ริคจ้องไปทางหน้าต่างตามสัญชาตญาณ จนได้พบกับใบหน้าขนาดมหึมา


ณ จุดที่เคยเป็นกระจก นอกจากดวงตาหนึ่งดวง ยังมีขนสั้นดกดำบนใบหน้า


ตึง! ตึง! ตึง! สัตว์ประหลาดที่คล้ายกันพลันพรั่งพรูเข้ามาภายในวิหาร ส่วนสูงเท่ากับมนุษย์ปรกติ แต่ตามลำตัวปกคลุมไปด้วยขนสั้นสีดำคล้ายสัตว์ป่า


“หมู่บ้านที่ถูกกัดกร่อนโดยสมบูรณ์…” โคลินถอนหายใจพลางเผชิญหน้ากับเหล่าสัตว์ประหลาด


เดอร์ริค ฮาอิม และโจชัวรีบประจำตำแหน่งต่อสู้ พยายามหยุดยั้งสัตว์ประหลาดที่เหลือ



อนาคตกาลแล่นอย่างสงบสุข เพียงไม่นานก็มาถึงยามค่ำคืนอีกครั้ง


หลังจากตื่นขึ้นในความฝัน ไคลน์พบว่าตัวเองถูกส่งมายังจุดเดิมจากครั้งก่อนหน้า ใกล้กับพลเรือเอกดวงดาวแคทลียา


ขณะชายหนุ่มเตรียมหันไปมองทัศนียภาพของวังราชาคนยักษ์บนภูเขาฝั่งตรงข้าม โดยหวังจะได้พบเบาะแสที่สำคัญ ทันใดนั้น แคทลียาซึ่งกำลังนั่งกอดเข่า ซักถามเสียงล่องลอย


“คุณได้พบกับท่านแล้วหรือ?”


ไคลน์ ‘อืม’ สั้นๆ โดยไม่ปิดบัง


แคทลียาเม้มปาก


“ท่านอยู่บนเรือหรือ?”


“ใช่” ไคลน์หันศีรษะ จ้องพลเรือเอกดวงดาวและกล่าวอย่างเป็นกันเอง “คุณมีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเธอใช่ไหม”


แคทลียาผู้มิได้กำลังล่องลอยหรือเฉื่อยชา เม้มริมฝีปากแน่น หัวเราะกับตัวเอง


“ใช่… ฉันติดตามท่านตั้งแต่ยังไม่สามขวบ ฮะฮะ! ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ฉันแทบไม่มีความทรงจำในช่วงเวลาดังกล่าวเลย… ท่านคอยมอบความรู้ พาฉันออกผจญภัย เฝ้ามองฉันเติบโตทีละนิด ท่านเป็นทั้งกัปตัน อาจารย์ แล้วก็… เป็นเหมือนกับ… แม่…”


ขณะเล่า แคทลียาเงียบไปกะทันหัน


………………………………………..


ราชันเร้นลับ 672 : ผู้สังเกตการณ์

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อชำเลืองไปทางแคทลียาที่เงียบงัน ไคลน์พลันกระอักกระอ่วน


ชายหนุ่มไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงหันหลังกระโดดลงจากหินใหญ่ เดินเข้าไปในอารามสีดำผ่านประตูที่เปิดแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง


ท่ามกลางลานจัตุรัสที่รายล้อมด้วยหอคอยและอาคารบรรยากาศหม่นหมอง เศษเปลวไฟจากสงครามยังคงหลงเหลือไว้ให้เห็น รวมไปถึงลูกศรขนาดใหญ่ที่หัวปักลงดิน ปลายหางโยกเอนเล็กน้อยตามแรงลม


แฟรงค์·ลียังคงขุดและปลูกบางสิ่ง เพียงแต่สิ่งที่วางข้างปลายเท้ามิใช่อาหารเหมือนคราวก่อน หากแต่เป็นบ่อเลือดเนื้อเหนียวข้น


“นายคิดจะทดลองพวกมันแบบไหน?” ขณะเดินผ่าน ไคลน์อดไม่ได้ที่จะถาม


แฟรงค์ยิ้มอย่างตื่นเต้น


“หลายวิธีเลยล่ะ! ยกตัวอย่างเช่น วัวหนึ่งตัวสามารถเป็นอาหารให้กับคนได้ทั้งเรือ หลังจากเฉือนเนื้อบางส่วนออก เนื้อที่หายไปก็งอกกลับขึ้นมาใหม่!”


ทำไมถึงเป็นวัวอีกแล้ว? ไคลน์ถึงกับตอบสนองไม่ถูก ทำได้เพียงวาดจันทร์แดงในใจอย่างเงียบงัน


ต้นหนอ็อตโตลอฟนั่งอยู่บนพื้นพร้อมกับหนังสือ นีน่าทำท่าทางคล้ายกับมีกิจวัตรเป็นการเปลื้องผ้า และฮีธ·ดอยล์ที่คอยหลบในมุมมืดอย่างเงียบงัน ไคลน์เดินผ่านทั้งหมดจนมาถึงโถงที่เต็มไปด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง


บนเก้าอี้เอนหลังที่ไม่มีใครทราบว่ามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร แอนเดอร์สัน·ฮู้ดกำลังนอนแผ่หลาอย่างสบายใจ พลางชื่นชมภาพวาดอันศักดิ์สิทธิ์บนโดมหลังคา


“เฮ่อ… ในที่สุดก็จะได้ออกจากทะเลบัดซบนี่สักที คงไม่เกินอีกสักสองสามกลางวันกลางคืน!” เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์เดินเข้าใกล้ นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดถอนหายใจยาว “ขอเพียงออกจากที่นี่ได้อย่างราบรื่น ฉันก็ไม่ต้องกังวลปัญหาที่จะตามมา”


เดิมที ไคลน์อยากเดินเข้าไปหุบปากอีกฝ่ายให้เงียบสนิท แต่เมื่อพิจารณาว่าแอนเดอร์สันพูดสาปแช่งแค่ตัวเอง ไม่เกี่ยวกับทุกคนบนเรือ ชายหนุ่มจึงไม่อยากเปลืองแรงจัดการ เพียงตั้งถามหยั่งเชิง


“นายมาจากอินทิสใช่ไหม?”


“เกือบใช่ พ่อฉันเป็นคนอินทิส แม่เป็นคนเซกัล” แอนเดอร์สันตอบด้วยสีหน้าอยากชวนคุย


ไคลน์เดินต่อไปอีกสองสามก้าว


“ถ้าอย่างนั้น นายนับถือสุริยันเจิดจรัส เทพจักรกลไอน้ำ หรือเทพปัญญาความรู้?”


สีหน้าแอนเดอร์สันเปลี่ยนไปเล็กน้อย


“เดิมทีฉันนับถือเทพปัญญาความรู้ แต่นักบวชของที่นั่นมีแต่พวกน่ารังเกียจเพียงเพราะคะแนนสอบของฉันไม่ผ่านเกณฑ์ พวกมันกลับมองข้ามใบหน้าอันหล่อเหลา และเหยียดหยันราวกับฉันเป็นแค่ไอ้งั่งคนหนึ่ง เฮ่อะ! ฉันถนัดด้านอื่นต่างหาก! สติปัญญาของฉันไม่ได้ต่ำกว่าเกณฑ์สักหน่อย! คะแนนของฉันยอดเยี่ยมเสมอถ้าเป็นการวาดภาพและความรู้เชิงศิลป์! หึหึ ก่อนจะมาเป็นนักล่า ความฝันของฉันคือการเป็นจิตรกร… แน่นอน หลังจากออกทะเล ความศรัทธาของฉันถูกแบ่งมาให้เทพวายุสลาตันไม่มากก็น้อย”


ได้ยินคำอธิบายของแอนเดอร์สัน มุกตลกหนึ่งพลันผุดในหัวไคลน์ บางทีนักบวชของเทพปัญญาความรู้อาจกล่าวว่า : “สอบตก? เด็กคนนี้ไม่มีอนาคต เอาไปฝัง!”


ขณะชายหนุ่มเตรียมชักนำบทสนทนาไปยังช่วงชีวิตของแอนเดอร์สันหลังจากเป็นนักล่า เพราะเหนือสิ่งอื่นใด บนดินแดนความฝันแห่งนี้ นอกจากราชินีเงื่อนงำ แอนเดอร์สันเป็นเพียงบุคคลเดียวที่ไคลน์สามารถสนทนาได้ตามปรกติ แต่ทันใดนั้น เสียงเปิดประตูพลันดังขึ้นข้างหู


ณ ส่วนลึกของโถงจิตรกรรม มีเสียงเปิดประตูดังปัง!


เมื่อครู่แอนเดอร์สันเพิ่งพูดว่า ขอเพียงตนออกจากที่นี่ได้อย่างราบรื่น… ไคลน์เกิดอาการคันฟันอย่างเหนือคำบรรยาย สายตาชำเลืองไปยังตำแหน่งต้นเสียง


มันเห็นชายสวมชุดลินินสั้นวิ่งออกจากส่วนลึกของห้องโถงด้วยความเร็วสูง ตรงมาทางตน


ผมสีดำขลับ ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย คล้ายกับผ่านความทุกข์ยากมามากมาย


นักบุญมืด เลโอมาสต์! เลโอมาสต์ด้านดี! ขณะไคลน์จำหน้าอีกฝ่ายได้ ชายร่างใหญ่ก็โผล่ออกจากส่วนลึกของโถงจิตรกรรม


สวมเกราะหนักสีดำเข้มหัวจรดเท้า เบ้าตาทั้งสองข้างมีดวงไฟสีแดงสว่าง


ในมือถือดาบขนาดมหึมา ไล่กวดเลโอมาสต์อย่างบ้าคลั่ง


ตึง! ตึง! ตึง!


รองเท้าโลหะกระแทกพื้นหลายหน เกิดเสียงตึงตังอย่างเร่งร้อน


เลโอมาสต์ร่างจริง! จิตใต้สำนึกหลักของนักบุญมืด! ไคลน์ยืนจ้องร่างคนทั้งสองค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้ทีละนิด ก่อนจะรีบหมุนตัวไปด้านข้างตามสัญชาตญาณ เผ่นหนีด้วยความเร็วสูง


ชายหนุ่มกระโดดเกาะผนังด้านหนึ่งของโถงจิตรกรรม ขณะเดียวกันก็พบว่า แอนเดอร์สันที่ตนไม่ทราบว่ากระโดดออกจากเก้าอี้เอนหลังตั้งแต่เมื่อไร กำลังแนบตัวอยู่บนผนังห้องโถงอีกฝั่งเช่นกัน


เมื่อสัมผัสถึงสายตาของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ แอนเดอร์สันยกมุมปาก ตามด้วยการส่งรอยยิ้มแฝงความนัยกลับมาว่า ‘นายเองก็ได้ไม่ต่างจากฉันสักเท่าไร’


ฉันแตกต่างจากนาย! ฉันไม่ได้ทำแบบนี้เพราะขี้ขลาด หากไม่มีนาย ป่านนี้ก็คงหยิบคทาเทพสมุทรออกมาและดวลกับนักบุญมืดไปแล้วแปดร้อยยก! ฉันแค่กำลังคิดว่า หากช่วยเลโอมาสต์ด้านดีฆ่านักบุญมืดที่นี่ จะสร้างส่งผลกระทบต่อโลกความจริงได้บ้างหรือไม่…


อา… ด้านนอกห้องโถงมีลูกเรือคนสำคัญของอนาคตกาลหลายคน หากเลโอมาสต์อาละวาด ราชินีเงื่อนงำคงไม่ปล่อยผ่านไปแน่…


แต่บางที… สาเหตุที่ทั้งสองออกจากความฝันของตัวเองมาหาเราได้ อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ… เป็นเพราะตำแหน่งบนโลกความจริงใกล้กับพวกเรา? หรือมีใครบางคนนำทางเลโอมาสต์มาที่นี่? ราชินีเงื่อนงำ? กระแสความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์


หากเลโอมาสต์ที่สวมชุดลินินมองเห็นชายหนุ่มทั้งสอง คงไม่แคล้วแหกปากตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ แต่ไคลน์กับแอนเดอร์สันกลับหายตัวในพริบตา ส่งผลให้เลโอมาสต์มองไม่เห็น หรืออาจจะมองเห็น แต่ไม่อยากดึงให้เข้าไปยุ่งเกี่ยว


“…” เลโอมาสต์ชุดลินินวิ่งสุดกำลัง มุ่งหน้าออกจากโถงจิตรกรรม


เลโอมาสต์ในชุดเกราะอัศวินสีดำ เจ้าของดวงตาสีแดงเข้มยิ่งกว่าเก่า วิ่งกวดตามออกไปโดยไม่สนใจไคลน์กับแอนเดอร์สันที่แนบตัวอยู่กับผนังภาพวาดทั้งสองฝั่ง


รอจนกระทั่งทั้งสองออกจากโถง ไคลน์ที่มีสมมติฐานอยู่ในใจ ชิงลงมือโดยปราศจากความลังเล วิ่งพรวดตามออกไปประหนึ่งเสือชีตาห์


“…” แอนเดอร์สันทำได้เพียงยกมือขวาขึ้น คว้าลมสองหน ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเปล่งเสียงห้ามเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“ชายที่เยือกเย็นจนกระทั่งเมื่อครู่ เหตุใดถึงเกิดเป็นบ้าขึ้นมากะทันหัน? หมอนั่นบังเอิญรู้อะไรเข้า? น่าสงสัยชะมัด!” แอนเดอร์สันมองออกไปยังลานจัตุรัสด้านนอก ลังเลสักพัก สุดท้ายก็เลือกที่จะตามไคลน์ไป


การวิ่งไล่กวดยังดำเนินต่อไปจนสุดเขตอารามสีดำ ถึงจุดที่พลเรือเอกดวงดาวนั่งกอดเข่า ไคลน์พบว่าเลโอมาสต์ในเสื้อลินิกำลังวิ่งวนรอบหินก้อนใหญ่เพื่อหลบหนีร่างต้น ขณะเดียวกันก็ไม่ปล่อยให้โอกาสสำคัญหลุดมือ ชำเลืองสายตาไปทาง ‘บรมมหาราชวังราชาคนยักษ์’ บนภูเขาฝั่งตรงข้าม ท่องคาถาเสียงต่ำด้วยภาษาเฮอร์มิสโบราณ


“ข้าแต่พระองค์ผู้รังสรรค์ทุกสรรพสิ่ง… พระองค์ผู้ปราดเปรื่องและปรีชา…”


บทแล้วบทเล่า เลโอมาสต์ท่องต่อจนจบ


“พระองค์ผู้เป็นรากเหง้าของทุกความยิ่งใหญ่ เป็นผู้เริ่มต้น ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ปิดฉาก”


“พระองค์ผู้เป็นเทพเหนือเทพ พระองค์ผู้ปกครองดินแดนมหาดาราอันกว้างใหญ่!”


เมื่อสิ้นสุดพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ ทะเลเมฆาที่ขวางกั้นยอดเขาทั้งสองลูกพลันกระเพื่อมอย่างรุนแรง ค่อย ๆ แยกออกเป็นสองฝั่งซ้ายขวาทีละนิด เผยให้เห็นหุบเหวลึกที่มองไม่เห็นก้น


ทันใดนั้น วังราชาคนยักษ์แบบจำลองที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พลันดูดกลืนแสงสนธยาซึ่งสาดค้างจากท้องฟ้าในจุดห่างไกลเข้าไปจนหมด!


ทว่า เหตุการณ์จบลงเพียงเท่านี้


คล้ายกับไคลน์ฉุกคิดบางสิ่งได้ รีบหันศีรษะครึ่งรอบ จ้องไปทางอาคารหลังหนึ่งซึ่งใกล้กับประตูอารามสีดำ ชายหนุ่มพบหน้าต่างกระจ่างใส สูงจากพื้นจรดเพดาน และพบแบร์นาแดต ราชินีเงื่อนงำผู้เลอโฉมจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ กำลังเฝ้ามองเหตุการณ์ด้านล่างอย่างเงียบงัน


เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า เธอจงใจปล่อยให้เลโอมาสต์ด้านดีหลุดจากความฝัน ตรงมายังที่นี่… ในเมื่อแม้แต่ ‘ผู้สดับ’ ของชุมนุมแสงเหนือยังพาตัว ‘แจ็ค’ ไปที่ดินแดนเทพทอดทิ้งได้ ระดับนักบุญมืดเองก็น่าจะทำได้เช่นกัน! หากหนีมาถึงทางตันและเลโอมาสต์เห็นแบบจำลองวังราชาคนยักษ์เข้า ถึงจะเป็นบุคลิกด้านดี แต่จิตใต้สำนึกก็คงพยายามหลบหนีแน่ ส่งผลให้เขา ‘เผย’ วิธีเข้าสู่ดินแดนเทพทอดทิ้งต่อหน้าผู้สังเกตการณ์… ไคลน์ถอนสายตาออกอย่างมั่นใจ


ส่วนเหตุผลที่ทำให้เลโอมาสต์ด้านดีล้มเหลวก็คือ :


จุดประกอบพิธีกรรมยังไม่ถูกต้อง!


บนโลกจริง ต้องเข้าไปในทะเลที่ลึกกว่านี้ ค้นหาสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายและพิสดาร จากนั้นก็เอ่ยพระนามเต็มของพระผู้สร้างแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์ขณะอยู่ในดินแดนความฝัน เพื่อเปิดทางเดินลับที่นำไปสู่วังราชาคนยักษ์แบบจำลอง? จากนั้นก็อาศัยความพิเศษของยามค่ำคืน ขยับร่างกายนำเรือแล่นผ่านทะเลหมอกที่มีทั้งความจริงและภาพลวงตาผสมผสาน จนกระทั่งเข้าสู่เขตชายหาดของดินแดนเทพทอดทิ้ง? ไคลน์คาดเดา


สำหรับชายหนุ่ม วิธีการเข้าสู่ดินแดนเทพทอดทิ้งยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะถ้ากลายเป็นลำดับ 4 และครอบครองเศษเสี้ยวพลังแห่งเทพเมื่อไร แค่ให้เดอะซันน้อยประกอบพิธีกรรม ตนก็จะเข้าไปเหยียบแผ่นดินได้ทันที!


แต่ในทางกลับกัน หากถอดรหัสย้อนหลังและใช้วิธีดังกล่าวหลบหนีออกจากดินแดนเทพทอดทิ้ง ข้อมูลเมื่อครู่นับว่ามีมูลค่ามหาศาลต่อชาวเมืองเงินพิสุทธิ์มาก!


กล่าวอีกนัยนึ่ง กุญแจสำคัญสำหรับเดินทางออกจากดินแดนเทพทอดทิ้งคือวังราชาคนยักษ์ แต่จะเป็นอะไรนั้น ตอนนี้ยังไม่มีทางเดาได้… ขณะความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์ เถาวัลย์ด้านข้างพลันเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนลานโล่งนอกอารามสีดำให้กลายเป็นผืนป่าเขียวชอุ่ม และนั่งทำให้เลโอมาสต์ร่างดีถูกจับแยกออกจากนักบุญมืด


ทันใดนั้น ไคลน์มองผ่านรอยแยกของเถาวัลย์ เห็นพลเรือเอกดวงดาวกำลังยืนอยู่บนก้อนหิน มิได้นั่งกอดเข่าเหมือนกับทุกที



ฉ่า!


เดอร์ริคกลิ้งตัวเป็นอันดับแรก ก่อนจะกระโดดฟาดขวานใส่ท่อนขาขนาดมหึมาที่มีขนดกดำปกคลุม สายฟ้าสีเงินพรั่งพรูออกจากอากาศว่างเปล่า สัตว์ประหลาดตาเดียวพลันสั่นเทิ้มโดยมิอาจขยับเขยื้อน


เดอร์ริคไม่ปล่อยโอกาสหลุดลอย เหยียดแขนออกทันที


แสงศักดิ์สิทธิ์ที่สว่างไสวและบริสุทธิ์ผุดผ่องสาดทอลงมาจากด้านบน ปกคลุมร่างสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ขนาดยักษ์อย่างท่วมท้น


ท่ามกลางแสงสว่างแผดเผา ร่างของสัตว์ประหลาดทรุดลงพลางกรีดร้อง หมอกสีดำเริ่มผุดขึ้นตามลำตัว


หลังจากผ่านการต่อสู้มาพักใหญ่ เดอร์ริคพบว่าสัตว์ประหลาดที่บุกรุกหมู่บ้านยามบ่ายพิสดารล้วนหวาดกลัวต่อแสง ไม่แบ่งแยกว่าจะเป็นสายพันธุ์ใด


ข้อมูลดังกล่าวช่วยให้มันหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บ และยังทำให้เพื่อนร่วมทีมรอดชีวิต


ผ่านไปไม่นาน เมื่อนักล่าปีศาจโคลินปราบสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งที่สุดลงได้ หมู่บ้านยามบ่ายพลันกลับสู่ความเงียบสงัด เทียนไขที่ถูกจุดล้วนดับมอด


ผู้นำแห่งหกสภาอาวุโสกวาดตามอง ถอนหายใจยาว


“พักกันก่อน… หลังจากนั้นค่อยตั้งค่าย”


ปัจจุบัน ทีมสำรวจที่รวมกลุ่มกัน สูญเสียสมาชิกไปมากจนเหลือเพียงหนึ่งในสาม


เหลือแค่หกคนเท่านั้น!


เป้าหมายที่แท้จริงของโคลิน·อีเลียดคือวังราชาคนยักษ์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านยามบ่ายทำให้มันไม่กล้าบุ่มบ่าม เหตุเพราะวังราชาคนยักษ์อาจซุกซ่อนความลับของเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ และเต็มไปด้วยอันตรายเหนือจินตนาการ อาจต้องใช้เวลาสำรวจยืนยันให้แน่ใจราวครึ่งปี หนึ่งปี หรือแม้กระทั่งสองปี ก่อนจะเริ่มลงมือตรวจสอบด้านในวังราชาคนยักษ์


……………………………………..


ราชันเร้นลับ 673 : อักษรเลือด

โดย

Ink Stone_Fantasy

ต้นเถาวัลย์ที่ดูคล้ายกับบันไดพาไปสู่สรวงสวรรค์ ค่อยๆ ทิ้งตัวล้มลงทีละชั้นสองชั้น จนกระทั่งทั้งหมดหดกลับไปยังใต้ดิน


ไม่ว่าจะนักบุญมืดที่เป็นจิตหลัก หรือเลโอมาสต์ที่เป็นด้านดี ทั้งหมดหายตัวไปอย่างน่าฉงน เหลือเพียงพลเรือเอกดวงดาว แคทลียา ที่ยังยืนอยู่บนหินใหญ่ กวาดตาไปรอบตัวอย่างเหม่อลอย


ราชินีเงื่อนงำน่าจะดึงเลโอมาสต์จิตหลักและจิตด้านดีกลับความฝันตัวเองไปแล้ว… หรืออาจจะนำตัวไปที่อื่น เพื่อทดลองหาทางเข้าที่แท้จริงของดินแดนเทพทอดทิ้ง?


ดูเหมือนว่าทั้งสองบุคลิกจะมิอาจแยกกันอยู่คนละความฝัน ไม่อย่างนั้น ราชินีเงื่อนงำคงหาโอกาสสนทนากับเลโอมาสต์ด้านดีตัวต่อตัว หาทางช่วยอีกฝ่ายโค่นล้มปีศาจเพื่อแลกกับข้อมูลสำคัญ ไม่จำเป็นต้องดึงออกมาทั้งคู่ให้ยุ่งยาก…


มีโอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างมาก ว่าถ้าต้องการกำจัดนักบุญมืด อาจต้องบุกรุกเข้าไปในซากปรักหักพังสักแห่งบนโลกความจริง… กระทั่งราชินีเงื่อนงำก็ยังไม่กล้าเสี่ยงในเรื่องนี้ เพราะมีโอกาสที่ราชินีเงื่อนงำด้านชั่วร้ายซึ่งยึดถือคติพจน์ ‘ทำตามใจอยาก และยิ่งต้องเดือดร้อนคนอื่นให้มากที่สุด’ จะถือกำเนิดขึ้น… ไคลน์เบือนสายตากลับพลางครุ่นคิด พยายามเพ่งไปทางอาคารใกล้กับประตูอารามสีดำ ที่นั่นมีหน้าต่างใสสูงจากพื้นจรดเพดาน แต่แบร์นาแดตไม่อยู่อีกแล้ว


ไคลน์ไม่เสียเวลามองหาอีกฝ่าย ไม่พยายามสืบสาวว่า ราชินีเงื่อนงำได้ข้อมูลใดจากเลโอมาสต์ด้านดีไปบ้าง เพราะชายหนุ่มยังไม่ลืมฐานะที่แท้จริงของเกอร์มัน·สแปร์โรว์


ข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล!


นอกจากนั้น พลเรือเอกดวงดาวก็ทราบเป็นอย่างดีเช่นกัน ว่า ‘เดอะซัน’ แห่งชุมนุมทาโรต์อาศัยอยู่บนดินแดนเทพทอดทิ้ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่มิสเตอร์ฟูลจะไม่ทราบวิธีเข้าถึงดินแดนดังกล่าว


ดังนั้น ข้ารับใช้มิสเตอร์ฟูลอย่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ต้องไม่มีแรงจูงใจในการสืบสาวเรื่องนี้!


แต่ละบุคลิกล้วนมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน… สามารถช่วยให้เราทำงานง่ายขึ้นในบางเรื่อง แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้บางเรื่องยากขึ้น นี่คือข้อเสียของผู้ไร้หน้า… ไคลน์เบือนหน้ากลับ มองไปทางภาพจำลองวังราชาคนยักษ์บนภูเขาฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง พบว่าแสงสนธยาที่เคยสาดค้าง ค่อยๆ ถูกคายกลับไปยังตำแหน่งเดิม


บนยอดเขาในละแวกใกล้เคียงกัน เหนือหินก้อนใหญ่เด่นตระหง่าน พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา บรรจงกลับไปอยู่ในท่านั่งอีกครั้ง กอดเขาของตัวเองอย่างแนบแน่น



กลางวันกลางคืนยังสลับกันอีกสามหน โดยที่เวลาจริงบนโลกภายนอกผ่านไปเพียงหนึ่งวัน


อนาคตกาลแล่นผ่านเกาะและซากปรักหักพังอันตรายหลายแห่ง หลีกเลี่ยงปัญหาซ่อนเร้นตามร่องน้ำปลอดภัยได้อย่างหมดจด จนในที่สุดก็กลับมายังบริเวณทางเข้าอีกครั้ง


ไคลน์และคนที่เหลือมองเห็นซากปรักหักพังแรกสุดซึ่งส่วนใหญ่จมอยู่ใต้น้ำ มองเห็นหินสีเทาก้อนใหญ่และเสาหินที่เรียงซ้อนกัน รวมไปถึงหลังคาทรงโดมด้านบนสุด


ย้อนไปในคราวก่อน ณ ที่นี่ ทุกคนได้ยินเสียงหายใจหอบดังกึกก้อง และผู้ไร้เลือดซึ่งเผชิญความเจ็บปวดมากกว่าใคร แจ้งว่ามีศพใครบางคนอยู่ในซากปรักหักพัง!


และศพนั้นเป็นเจ้าของลมหายใจเสียงดัง!


แต่สำหรับปัจจุบัน ซากปรักหักพังแสนอันตรายดังกล่าว มิได้ทำให้ทุกคนบนอนาคตกาลเกิดความหวาดหวั่น ตรงกันข้าม การมองเห็นมันย่อมหมายความว่า พวกตนกำลังจะได้ออกจากน่านน้ำแสนอันตรายและน่ากลัวแห่งนี้เสียที!


“หือ… ตรงนั้นมีเรือ!” นีน่าที่ปืนขึ้นหอสังเกตการณ์บนเสากระโดง จ้องไปทางซากปรักหักพังพร้อมกับตะโกนเสียงดัง


เรือ? ไคลน์เดินผ่านแอนเดอร์สัน·ฮู้ดไปยังหัวเรือ เพ่งมองอย่างตั้งใจ


ไม่ผิดจากที่ได้ยิน ด้านหลังต้นเสาและหินก้อนใหญ่ มีเรือใบเรียบง่ายสามเสากระโดงกำลังจอดแน่นิ่ง สืบเนื่องจากมีอุปสรรคกีดขวางการมองเห็น หากไม่เพ่งสายตาอย่างตั้งใจหรือมองจากมุมสูง คนบนอนาคตกาลก็คงยากจะหาพบ


เรือใบจอดนิ่งโดยปราศจากลูกเรือบนดาดฟ้า บรรยากาศอันเงียบงันดูลึกลับและน่ากลัวอย่างมิอาจหาคำมาบรรยาย


“ยังกับถูกซากปรักหักพังกินเข้าไป…” แอนเดอร์สันโน้มตัวไปข้างหน้า ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ “บนน่านน้ำอันตราย หากไม่ใช่เกาะหรือซากปรักหักพังที่คุ้นเคย ห้ามเข้าใกล้โดยเด็ดขาด”


คนที่ทำมือร่างภาพจิตรกรรมของเทวทูตโชคชะตาในอากาศสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนาย ไม่มีสิทธิ์กล่าวคำนั้นออกมา… กลุ่มนักล่าสมบัติมากประสบการณ์ที่แสนทระนงตน สุดท้ายก็เหลือนายแค่คนเดียวไม่ใช่รึไง… ไคลน์มิได้หันหน้าไปมอง เพียงพึมพำในใจไม่กี่คำ


ขณะเดียวกัน พลเรือเอกดวงดาว แคทลียาที่เดินเข้ามาใกล้ มองไปยังเรือใบข้างซากปรักหักพัง


ตั้งแต่เริ่มจนจบ หญิงสาวมิได้ชายตามองเกอร์มัน·สแปร์โรว์แม้แต่น้อย คล้ายกับอีกฝ่ายไม่มีตัวตน


ความเงียบงันเข้าปกคลุมครู่หนึ่ง ก่อนที่แคทลียาจะยกมือถอดแว่นตาหนาเตอะออกจากดั้ง ดวงตาสีม่วงเริ่มมีการไหลเวียนอย่างเชื่องช้า คล้ายกับกำลังวาดสัญลักษณ์ซับซ้อนทีละอัน


ทันใดนั้น เหนือเรือใบที่ปราศจากมนุษย์ ดวงตายักษ์คู่หนึ่งพลันปรากฏกาย เป็นดวงตามายาสีม่วงเข้มกึ่งโปร่งแสง!


ดวงตากลอกไปมาอย่างเชื่องช้ารอบดาดฟ้า ก่อนจะมองเข้าไปในห้องโดยสาร


เป็นพลังพิเศษที่มีประโยชน์มาก… จะว่าไป พลังที่พลเรือเอกดวงดาวและราชินีเงื่อนงำแสดงให้เห็น ดูคล้ายกับเวทมนตร์สุดมหัศจรรย์ในเทพนิยายมากทีเดียว… ฟู่ว… อย่าบอกนะว่า ราชินีเงื่อนงำสามารถเสกมนุษย์ให้เป็นกบได้? นอกจากนั้น คำว่า ‘ส่องความลับ’ ในชื่อโอสถผู้ส่องความลับ มีแก่นแท้เป็น ‘ดวงตา’ เองหรือ? อา… ดวงตาของพลเรือเอกดวงดาวนับว่าค่อนข้างพิเศษ หลังจากนี้ เราคงต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิม… ไคลน์ตั้งสมมติฐานในใจ รอผลลัพธ์เพิ่มเติมจากการสำรวจทางไกลของแคทลียา


ผ่านไปสักพัก ดวงตาสีม่วงของแคทลียาเริ่มอับแสง


หญิงสาวลูบหัวคิ้ว สวมแว่นกลับ หันไปพูดกับแอนเดอร์สัน·ฮู้ดและแฟรงค์·ลี


“บนเรือมีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล”


ขณะกล่าว หญิงสาวหยิบผงหลากสีจากกระเป๋าลับเสื้อคลุมทรงโบราณหนึ่งกำมือ ตามด้วยการโปรยไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว


เศษผงกระจายเต็มพื้น ก่อนจะขยับเขยื้อนเรียงตัวกลายเป็น ‘ภาพสี’


ฉากหลังคือห้องกัปตัน บนโต๊ะทำงานมีภาพถ่ายของชายคนหนึ่ง และบนผนังก็มีภาพวาดของชายคนเดียวกัน รูปลักษณ์เป็นดังนี้


ไหล่กว้าง ผมสีเหลืองอ่อน ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเหมือนกับชาวฟุซัค!


นี่มัน… ไคลน์รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา ก่อนจะจำได้ทันทีว่าเคยพบที่ไหน


ย้อนกลับไปขณะอยู่ในเมืองนาสบนเกาะการ์กัส นักผจญภัยรายหนึ่งถูก ‘จิลเซียส’ ผู้ช่วยกัปตันของ ‘ราชาอมตะ’ วิ่งไล่เข้าไปในผับ ‘ลาร์ดาล’ เหยื่อพยายามร้องขอความช่วยเหลือจากคนของสหภาพนักผจญภัย โดยในตอนนั้น ท่ามกลางกลุ่มคนที่ยืนขึ้นเพื่อเสนอตัวช่วยเหลือ มีชายชาวฟุซัคคนหนึ่งดูเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ ร่างกายกำยำบึกบึน สูงเกินกว่าสองเมตร ไคลน์ประเมินว่าอีกฝ่ายคงฝีมือไม่ธรรมดา และกะเกณฑ์ว่าอาจมีลำดับ 6 เป็นอย่างน้อย!


เหตุใดเรือของเขาถึงแล่นเข้ามาในทะเลแถบนี้อย่างกะทันหัน แถมยังสำรวจซากปรักหักพังอันตรายโดยไม่ระวังตัว? ไคลน์ที่เกิดความสงสัย เพ่งมอง ‘ภาพวาด’ บนดาดฟ้าอย่างตั้งใจมากขึ้น


ในหนนี้ ชายหนุ่มมองเห็นบ่อเลือดเจิ่งนองบนพื้นห้อง ข้างบ่อมีอักษรเลือดภาษาฟุซัคเขียนไว้


“น้ำพุไม่แก่เฒ่า…”


หางของตัวอักษรสุดท้ายลากยาวมาก เชื่อมไปจนถึงบานประตู


ไคลน์พอจะคาดเดาเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุได้ ผู้วิเศษลำดับ 6 ชาวฟุซัคถูกโจมตีโดยไม่ระวังและล้มลงไปนอนกับพื้นในสภาพปางตาย แต่ขณะพยายามเขียนอธิบายสาเหตุการตาย เขาถูกใครบางคนจับศีรษะหรือไม่ก็ขา ลากตัวออกไปทันที!


เมื่อพิจารณาว่าอักษรเลือดเหล่านี้ยังไม่ถูกลบออก ไคลน์สงสัยว่า ผู้ที่ลากตัวนักผจญภัยออกไปอาจไม่ใช่มนุษย์


คงเป็นศพในซากปรักหักพังกระมัง… ชายหนุ่มครุ่นคิดด้วยความรู้สึกคันฟัน


“น้ำพุไม่แก่เฒ่า? พวกเขามาที่นี่เพื่อตามหาน้ำพุไม่แก่เฒ่าหรือ?” แอนเดอร์สัน·ฮู้ดกล่าวด้วยเสียงตื่นเต้น


“น่าจะใช่… แต่พวกเขาคงหาไม่พบ” แฟรงค์·ลีส่ายศีรษะอย่างผิดหวัง


ตัวแฟรงค์เองก็ปรารถนาน้ำพุไม่แก่เฒ่าอย่างมาก เนื่องจากของเหลวดังกล่าวคือวัตถุดิบในอุดมคติสำหรับการวิจัย


น้ำพุไม่แก่เฒ่า… ในตอนนั้น นักผจญภัยหนุ่มถูกไล่ล่าโดย ‘จอมเชือด’ จิลเซียส ผู้ช่วยกัปตันของราชาอมตะ… มีข่าวลือว่าราชาอมตะเคยดื่มน้ำจากน้ำพุไม่แก่เฒ่า… จิลเซียสมาเตือนเรา… เตือนเกอร์มัน·สแปร์โรว์ว่า อย่าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของนักผจญภัยหนุ่มเด็ดขาด อ้างว่าเป็นความประสงค์ของราชอมตะ… ไคลน์ประกอบข้อมูลเข้าด้วยกันอย่างหงุดหงิด


นักผจญภัยหนุ่มคงขโมยหรือได้ฟังความลับของ ‘น้ำพุไม่แก่เฒ่า’ มาจากคนใกล้ตัว ‘ราชาอมตะ’ จึงถูกตามล่าตัว แต่ภายใต้ความคุ้มครองของกลุ่มผู้วิเศษที่ค่อนข้างมีฝีมือจากสหภาพนักผจญภัย นักผจญภัยหนุ่มจึงรอดพ้นจาก ‘จอมเชือด’ จิลเซียสอย่างหวุดหวิด หลังจากนั้น เจตนาหนึ่งต้องการหลบหนีจากราชาอมตะ อีกเจตนาหนึ่งคือการตามหาน้ำพุไม่แก่เฒ่า สุดท้ายจึงเลือกเดินทางเข้ามาในน่านน้ำอันตรายและถูกซากปรักหักพังกลืนกิน…


หรือว่าน้ำพุไม่แก่เฒ่าจะอยู่ในส่วนลึกของซากปรักหักพังนี้? ไคลน์จ้องต้นเสาและก้อนหินสีเทาที่เรียงรายซ้อนกันเป็นยอดสูง ตั้งสมมติฐานในใจอย่างคลุมเครือ


เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะยืนยันทฤษฎี เพราะไม่ทราบว่าศพในซากปรักหักพังเป็นใคร ไคลน์จึงไม่อยากเข้าไปสำรวจและเพิ่มความเสี่ยง ทำเพียงถอนสายตากลับตามสัญชาตญาณ


เราสามารถถามวิล·อัสตินและ ‘กระจกวิเศษ’ อาโรเดสได้ในภายหลัง… อา… บางที สิ่งที่ถูกเรียกว่า ‘น้ำพุไม่แก่เฒ่า’ อาจเป็นบ่อหนองสกปรกซึ่งเกิดจากซากศพเน่าเปื่อย… ไคลน์ลองเดาในแง่ร้าย


ขณะเดียวกัน พลเรือเอกดวงดาว แคทลียาที่ได้ยินคำพูดของแอนเดอร์สันและแฟรงค์ ครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าว


“หากเขากำลังจะตายขณะตามหาน้ำพุไม่แก่เฒ่าจริง… ฉันไม่คิดว่าเจ้าของภาพถ่ายและภาพวาดคนนั้น จะยังมีกะจิตกะใจทิ้งเบาะแสให้คนที่ผ่านมาพบศพเห็น เพราะในสถานการณ์เช่นนี้ คนแรกที่มาถึงศพย่อมไม่ใช่ญาติมิตรหรือครอบครัว”


สมเหตุสมผล… หากเปลี่ยนเป็นเรา… ถ้าต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดระหว่างตามหาสมบัติและใกล้ตายเต็มที ความคิดแรกคงไม่ใช่การทิ้งเบาะแสให้คนข้างหลังแน่… ไคลน์ส่ายหน้าเล็กน้อย พยายามมองหาเหตุผลอื่นมารองรับ แต่สุดท้ายก็ไม่พบ


แคทลียาชำเลืองไปทางแอนเดอร์สันและแฟรงค์ที่กำลังเผยสีหน้าคาดหวัง


“หากต้องการสำรวจอย่างมีประสิทธิภาพ เราต้องเตรียมความพร้อมและรวบรวมข้อมูลให้ครบถ้วนเสียก่อน ตอนนี้จึงไม่ใช่โอกาสที่เหมาะสม”


เสียงของหญิงสาวดังกังวานไปทั่วทุกมุมเรือ


“แล่นเรือต่อ… ออกจากทะเลแห่งนี้!”


“รับทราบ กัปตัน!” นีน่าที่กำลังยืนบนหอสังเกตการณ์เสากระโดง ตะโกนพร้อมจิบเหล้าเข้าปาก


ไม่กี่นาทีถัดมา ฉากการร่วงหล่นและการลอยตัวอันเหนือสามัญสำนึกได้เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่อนาคตกาลมิได้อยู่ในสภาพน่าสมเพชเหมือนหนแรก การร่อนลงจากหน้าผาสูงกลายเป็นเรื่องง่ายดายและราบรื่น


เพียงพริบตา อนาคตกาลกระแทกลงบนผิวน้ำทะเลสีคราม ไกลออกไปมีพายุลูกใหญ่กำลังปกคลุมท้องฟ้าในแถบนั้น


ไม่ห่างออกไปนัก เรือใบลำหนึ่งกำลังลอยตัวอย่างเงียบเชียบ ลำเรือยาวเกือบสองร้อยเมตร หัวเรือและท้ายเรือโก้งโค้งขึ้นคล้ายพระจันทร์เสี้ยว


เมื่อพบว่าใบเรือของอีกฝ่ายเป็นสัญลักษณ์หลุมศพสีดำ ถ้อยคำหนึ่งพลันผุดขึ้นในใจไคลน์


“ผู้แจ้งความตาย!”


เรือธงของ ‘ราชาอมตะ’ อาการิธ!


ในวินาทีนี้ จิตใจชายหนุ่มปราศจากความตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวทั้งปวง มีเพียงความตื่นเต้นที่มาพร้อมกับการสูบฉีดอันร้อนแรงของเลือด!


ราชินีเงื่อนงำอยู่บนเรือ และเธอไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีก… นอกจากนั้นยังมีเรา พลเรือเอกดวงดาว แอนเดอร์สัน·ฮู้ด และลูกเรืออนาคตกาลอีกมาก โอกาสจมเรือธงของราชาอมตะมาถึงแล้ว! ขณะเดียวกันเป็นแหล่งอาหารของยุบพองหิวโหย! รวมไปถึงการเฟ้นหาหุ่นเชิดตัวแรกของเรา!


แต่ทันใดนั้น ‘แจ้งมรณะ’ พลันหันหัวกลับ ก่อนจะแล่นจากไปด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง


น…หนี? ไคลน์ยื่นเหม่อสักพัก


เพียงพริบตา แจ้งมรณะแล่นหายไปจากการมองเห็นของชายหนุ่มโดยสมบูรณ์


………………………………………….


ราชันเร้นลับ 674 : ลงจากเรือ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไม่เร็วไปหน่อยหรือ? เราแค่เพิ่งคิด… ไคลน์เหม่อมองผิวทะเลที่เป็นคลื่นน้ำ มิอาจทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าได้สักพัก


ท่ามกลางกระแสความคิด ชายหนุ่มคาดเดาอย่างเลื่อนลอย


‘จอมเชือด’ จิลเซียสที่เป็นผู้ช่วยกัปตันของราชาอมตะ อาการิธ ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้วิเศษบนเส้นทางปีศาจ อาจมีลำดับสูงถึง ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ แล้วด้วยซ้ำ… มีโอกาสที่มันจะหยั่งถึงอันตรายล่วงหน้า ย่อมต้องตระหนักถึงแหล่งอันตรายได้อย่างแม่นยำ… และไม่แน่ว่า ตัวราชาอมตะเองก็อาจเป็นลำดับ 4 ของเส้นทางปีศาจ!


เมื่อสัมผัสว่าคนบนอนาคตกาลสามารถทำอันตรายกับตัวเองได้และเตรียมลงมือ มันพบความจริงที่ว่าสถานการณ์ฝั่งตัวเองตกเป็นรอง และอาจพบไปถึงตัวจริงของราชินีเงื่อนงำ จึงเผ่นหนีทันทีโดยปราศจากความลังเล?


หืม… บางที ราชินีเงื่อนงำอาจกำลังคิดแบบเดียวกับเรา เตรียมลงมือจัดการ… ไม่อย่างนั้น ลำพังความคิดของเราคงไม่มากพอจะทำให้ราชาอมตะหวาดกลัว ตรงกันข้าม มันคงพ่นลมหายใจเหยียดหยันสองสามหนและตอบโต้อย่างบ้าบิ่น…


เฮ่อ… พลังพิเศษของเส้นทางปีศาจช่างสะดวกสบาย ดูเหมือนว่าการลงมือกับรองกัปตัน ผู้ช่วยกัปตัน และผู้ช่วยรองกัปตันจะไม่มีโอกาสสำเร็จ… ไคลน์ที่ถอนหายใจด้วยอารมณ์ซับซ้อน ชำเลืองไปทางแอนเดอร์สัน·ฮู้ดด้านข้าง


สีหน้าของนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดยังคงเจืออาการหวาดผวา คล้ายกับกำลังสิ้นหวังในความดวงซวยของตนที่มิได้ลดลงแม้แต่น้อย แต่เพียงไม่นานก็แทนที่ด้วยความประหลาดใจเมื่อพบว่า ‘แจ้งมรณะ’ แล่นหนีหางจุกก้นอย่างเหนือความคาดหมาย


ดวงตาของแอนเดอร์สันเบิกโพลงเล็กน้อย เหลียวซ้ายแลขวาด้วยความสงสัย คล้ายกับกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่ง


น่าเสียดายที่ความดวงซวยของแอนเดอร์สันยังไม่รุนแรงมากพอ ไม่อย่างนั้น พวกเราอาจจับตัวราชาอมตะได้โดยการสังเวยนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด… หึหึ นี่คือลักษณะเด่นของ ‘นักยั่วยุ’ อยู่แล้วนี่… ไคลน์หมุนตัวเดินเข้าไปยังทางเดินห้องโดยสาร ตรงกับห้องพัก


เพียงเปิดประตูไม้เข้าไป ชายหนุ่มมองเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยยืนอยู่ริมหน้าต่าง เป็นร่างกายที่มีสัดส่วนสมบูรณ์แบบ แต่งตัวค่อนข้างประหลาด ไม่ใช่ใครนอกจากราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดต


มาดาม… พ่อไม่ได้สอนเลยหรือ ว่าอย่าเข้าห้องคนอื่นซี้ซั้ว? โดยเฉพาะห้องของบุรุษแปลกหน้า… ในฐานะสุภาพสตรีมารยาทงามจากตระกูลใหญ่และได้รับการศึกษาสูง คุณควรยืนรออยู่ที่หน้าประตูและถามอย่างจริงใจว่า ดิฉันขอเข้าไปในห้องได้ไหม… จักรพรรดิ ผมจำได้ว่าคุณเขียนหนังสือสอนเกี่ยวกับมารยาทไม่ใช่หรือ… ไคลน์พึมพำในใจเล็กน้อย ตามด้วยการปิดประตู


โดยไม่รอให้ชายหนุ่มเอ่ยปาก ราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดต กล่าวขณะหันหลังให้


“จากเหตุการณ์เมื่อครู่ ฉันสามารถยืนยันทฤษฎีหนึ่งได้”


“ทฤษฎี?” ไคลน์ไม่เผยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น เพียงซักถามเสียงเรียบ


แบร์นาแดตยังคงไม่หันหน้ากลับ ดวงตาจ้องลงไปยังคลื่นทะเลนอกหน้าต่าง


“ตำนานน้ำพุไม่แก่เฒ่าของอาการิธเป็นเพียงเรื่องลวงโลก… หากจะน้ำพุไม่แก่เฒ่ามีอยู่จริง มันจะต้องเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักของ ‘แม่มดยุพนิรันดร์’ หรือเป็นสิ่งที่เกิดจากศพหลังจากเสียชีวิต สิ่งนี้สามารถสรุปได้ว่า หาก ‘ผู้ชาย’ คนใดอ้างว่าดื่มน้ำพุไม่แก่เฒ่าเข้าไป คนคนนั้นกำลังโกหก”


เธอมิได้อธิบายว่าแม่มดยุพนิรันดร์คืออะไร คล้ายกับมั่นใจว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ทราบดีอยู่แล้ว หรือต่อให้ไม่ทราบ ก็คงมีวิธีค้นคว้าข้อมูลด้วยตัวเองในภายหลัง…


น้ำพุไม่แก่เฒ่า… แม่มดยุพนิรันดร์… ค่อนข้างสอดคล้อง… ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า อักษรเลือดในห้องกัปตันก็มีเพื่อบอกให้ทุกคนทราบว่า น้ำพุไม่แก่เฒ่าเป็นเพียงตำนานลวง? ราชาอมตะ อาการิธพยายามปล่อยข่าวเกี่ยวกับน้ำพุไม่แก่เฒ่าหนแล้วหนเปล่า เพื่อล่อลวงให้นักล่าสมบัติเข้าสู่น้ำน่านอันตรายและขุดหลุมฝังศพตัวเอง หรือไม่ก็ฉวยโอกาสเข่นฆ่า? นิสัยสมกับเป็นพวกปีศาจ… เข้าใจแล้วว่าทำไม ‘จอมเชือด’ จิลเซียสถึงเตือนให้เราไม่เข้าไปยุ่ง… ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะกล่าวหลังจากไตร่ตรอง


“เรื่องโกหกสินะ…”


ราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดตพยักหน้ารับ กล่าวเสียงแผ่ว


“นี่อาจเป็นเงื่อนไขในพิธีกรรมเลื่อนลำดับ 4 ของอาการิธ ขณะเดียวกันก็เป็นวิธีที่ช่วยเร่งความเร็วในการย่อยโอสถลำดับ 4”


หญิงสาวเว้นวรรคเล็กน้อย กล่าวหลังจากถอนหายใจกับตัวเอง


“ลำดับ 4 ของเส้นทางพวกมันมีชื่อว่า… ซาตาน”


ซาตาน? ฟังดูเจ้าเล่ห์ไม่เบา… สร้างตำนานสมบัติปลอมเพื่อล่อลวงให้มนุษย์ไปฆ่าตามแบบฉบับของซาตาน… ไคลน์ผงะเล็กน้อย


ขณะเดียวกัน ราชินีเงื่อนงำหันหลังกลับ ดวงตาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังตาข่ายสีดำกำลังจดจ้องเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างไม่กะพริบ


ถึงตาเราให้ข้อมูลบ้าง? ไคลน์ใคร่ครวญสักพัก


“จากการวิเคราะห์เนื้อหาในไดอารีที่มีอยู่อย่างจำกัด จักรพรรดิโรซายล์ได้เผชิญวิกฤติร้ายแรงในช่วงบั้นปลายชีวิต สิ่งนี้ได้บีบบังคับให้เขาตัดสินใจทดลองทำเรื่องที่บ้าบิ่น”


ประโยคเมื่อครู่ ไคลน์มิได้โกหกหรือบิดเบือนแม้แต่คำเดียว เพราะไดอารีเท่าที่ตนครอบครอง มิได้เปิดเผยว่าจักรพรรดิโรซายล์ต้องการทำอะไรในช่วงบั้นปลายชีวิต เผชิญวิกฤติแบบใด และคิดจะทดลองเรื่องบ้าบิ่นแบบใด


และการทำเช่นนี้จะส่งผลให้แบร์นาแดตต้องการค้นหาความจริง จากนั้นก็จะมอบไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์ในช่วงเวลาดังกล่าวให้ตน ผ่านพลเรือเอกดวงดาวแคทลียา


ราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดตเงียบงันสักพัก ไม่กล่าวสิ่งใด


เมฆสูงเริ่มเคลื่อนคล้อย ส่งผลให้แสงแดดจากด้านนอกเริ่มส่องเข้ามา ร่างของราชินีแห่งห้าห้วงสมุทรเริ่มแยกออกจากกันในลักษณะคล้ายฟองสบู่ ก่อนจะอันตรายหายไป


แสงสะท้อนจากฟองสบู่มีหลากหลายสี ช่วยเติมเต็มห้องพักด้วยฉากที่ดูราวกับอยู่ในเทพนิยาย


หากไม่มีปราชญ์เร้นลับ เส้นทางผู้ส่องความลับนับว่าน่าสนใจมาก… ไคลน์ถอนหายใจพลางใช้หัวแม่โป้งซ้าย บีบลงบนข้อนิ้วชี้แรกสุด


ชายหนุ่มเปิดเนตรด้ายวิญญาณ แต่ไม่พบด้ายสีดำของใครภายในห้อง


นั่นหมายความว่า ราชินีเงื่อนงำ แบร์นาแดต ได้ออกจากห้องไปอย่างสมบูรณ์แล้ว!


ฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว รีบปิดเนตรด้ายวิญญาณ


ขณะเตรียมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงเพื่อพักผ่อน มันได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้


ก็อก ก็อก ก็อก ใครบางคนเคาะประตูห้อง


“ใคร?” ไคลน์ลุกนั่ง


“ฉันเอง” เป็นเสียงของพลเรือเอกดวงดาว แคทลียา


ไคลน์เดินเข้าไปใกล้ด้วยความฉงน เปิดประตูต้อนรับ


มันมิได้ถามว่าเธอมาเพื่อสิ่งใด เพียงจ้องหญิงสาวด้วยสายตาเย็นชาที่คล้ายกับกำลังถามแทน


แคทลียาดันแว่นบนดั้งจมูก


“เมื่อออกจากน่านน้ำพิเศษ พวกเรามิได้โผล่ในจุดที่เข้าไป แต่อยู่ห่างจากเกาะทอสคาร์เตอร์ราวหนึ่งร้อยไมล์ทะเล ใช้เวลาสามวันในการแล่นเรือไปเมืองนาส คุณอยากให้ไปส่งที่ไหน?”


ทางเข้ากับทางออกเป็นคนละจุด? ไคลน์ประหลาดใจเล็กน้อย ซักถามเพื่อให้แน่ใจ


“แล้วจากตรงนี้ กลับเข้าไปในน่านน้ำพิเศษได้ไหม?”


“ไม่ได้ พวกเราจะตกลงไปในเหวที่มองไม่เห็นก้น จากผลการทำนาย คนที่เคยทำแบบนั้นล้วนตายไปหมดแล้ว เป็นความตายโดยแท้จริง” แคทลียาอธิบายกระชับ


งั้นหรอกหรือ… ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก


“ส่งที่เกาะทอสคาร์เตอร์”


เหตุผลที่ไม่เลือกนาส เป็นเพราะเวลาของชุมนุมทาโรต์กระชั้นเข้ามาทุกที จึงไม่ต้องการเสียเวลาบนอนาคตกาลมากนัก


นอกจากนั้น เกาะทอสคาร์เตอร์ยังเป็นสุดเขตอาณานิคมฝั่งตะวันออกของอาณาจักรโลเอ็น ใช้เงินสกุลเพนนี ซูล และทองปอนด์ ทำให้ไคลน์ไม่ต้องกังวลเรื่องการแลกเงิน


“ตกลง” แคทลียาไม่แสดงท่าทีคัดค้าน


ขณะเฝ้ามองหญิงสาวหันหลังเดินกลับไปยังห้องกัปตัน ไคลน์ส่ายหน้าพลางรำพัน


ถ้าเธอมาเร็วกว่านี้… คงได้พบราชินีเงื่อนงำไปแล้ว…



ในช่วงเย็น อนาคตกาลแล่นมาถึงท่าเรือทอสคาร์เตอร์ แต่ฝืนจอดด้วยการทอดสมอ


ไคลน์แต่งกายในชุดสุภาพบุรุษโลเอ็น หิ้วกระเป๋าเดินทางหนัง เดินมาบนดาดฟ้าและล้วงหยิบจ้างส่วนสุดท้ายที่พกมาในกระเป๋าเสื้อทั้งสองข้าง ยื่นให้พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา


หักจากตะกอนพลังของ ‘กลาดิเอเตอร์’ ที่มีราคาเจ็ดร้อยปอนด์ จะเหลือค่าจ้างติดค้างทั้งสิ้นหนึ่งพันสามร้อยปอนด์


และนั่นทำให้ไคลน์เหลือเงินสดในมือ 8,436 ปอนด์ กับอีกห้าเหรียญทอง


แคทลียารับไว้อย่างเงียบงัน ขยับปากคล้ายกับอยากพูดบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็มิได้เอ่ยออกมา


“นายจะลงที่นี่ หรือให้ไปส่งที่อื่น?” หญิงสาวหันไปทางแอนเดอร์สัน·ฮู้ด


เมื่อพิจารณาว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังจะลงจากเรือ และเมื่อพิจารณาว่าอนาคตกาลเต็มไปด้วยโจรสลัด แอนเดอร์สันยิ้มแห้ง


“ลงที่นี่”


“จ่ายค่าโดยสารด้วย” แคทลียาไม่ปล่อยแอนเดอร์สันไปโดยง่าย เพราะอีกฝ่ายถึงขั้นยืมเสื้อผ้าของโจรสลัดใส่


“เข้าใจแล้ว” แอนเดอร์สันไม่ปิดบังสีหน้าเจ็บปวด มือข้างหนึ่งเลื่อนลงไปกระชากกระดุมเสื้อแสนธรรมดาที่อยู่กึ่งกลางหน้าอก


ชายหนุ่มยื่นให้อีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจ พลางกล่าว


“นี่เป็นสิ่งเดียวที่ฉันได้มาจากทะเลแห่งนั้น เอามาจากศพของทหารกองทัพโลเอ็น… ไม่ทราบชื่อที่แท้จริงของมัน ฉันเรียกมันตามพลังพิเศษของโอสถลำดับ 6 ที่เกี่ยวข้อง… ผู้พิพากษา… ผลข้างเคียงมิได้ร้ายแรงเป็นพิเศษ แค่ทำให้ผู้สวมใส่ถูกเกลียดขี้หน้าโดยมนุษย์หรือสัตว์ประหลาดได้ง่าย ในบางครั้งก็ตกเป็นเป้าของครึ่งเทพโดยบังเอิญ”


นั่นเรียกว่าไม่ได้ร้ายแรงเป็นพิเศษ? ถ้าเราเป็นพลเรือเอกดวงดาว คงเลือกเอากริชของหมอนั่นเป็นค่าตอบแทน… ไคลน์รำพันในใจ พลางยืนมองแคทลียารับค่าโดยสารจากแอนเดอร์สัน·ฮู้ด


ชายหนุ่มมิได้ใส่ใจเรื่องของคนอื่นมากนัก รีบหิ้วกระเป๋าเดินทาง ลงจากอนาคตกาลไปยังท่าเรือทอสคาร์เตอร์


กึก!


แอนเดอร์สัน·ฮู้ดกระโดดจากดาดฟ้า ตกลงข้างชายหนุ่ม


“ดื่มอะไรกันก่อนไหม? ฉลองที่พวกเรารอดมาจากทะเลบัดซบนั่นได้อย่างปลอดภัย!” นักล่าเผยสีหน้าตื่นเต้นพลางเชื้อเชิญอย่างเป็นกันเอง


ไคลน์ชำเลืองมองพลางปฏิเสธอีกฝ่ายด้วยสายตา แสดงออกชัดเจนว่าต้องการอยู่ให้ห่างชายอับโชคเจ้าของออร่ายั่วยุบาทา


“ก็ได้” แอนเดอร์สันกวาดตามองรอบตัว กระแอมล้างคอ “ขอยืมเงินก่อนได้ไหม? ก็อย่างที่นายทราบ ทรัพย์สินของฉันจมลงไปในทะเลนั่นแล้ว”


กล่าวจบ มันหัวเราะ


“ไม่ต้องห่วง ฉันจะรีบคืนให้พรุ่งนี้เช้า ภายในผับและซ่องของทอสคาร์เตอร์เต็มไปด้วยโจรสลัด ฉันจะแวะไปขอเงินสนับสนุนจากพวกมันสักหน่อย”


ไถเงินจากเหยื่อที่ไม่มีค่าหัว ส่วนใครที่มีก็จับไปขึ้นค่าหัวกับทางการ? ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ส่งธนบัตรห้าซูลให้แอนเดอร์สัน


“น้อยจัง?” แอนเดอร์สันอ้าปากค้าง


“เพียงพอสำหรับกินดื่มและพักค้างคืนในโรงแรม” ไคลน์ตอบเสียงขรึม “นอกจากนี้ ธนบัตรใบนี้ยังมีมูลค่าเท่ากับหนึ่งปอนด์”


“หนึ่งปอนด์?” แอนเดอร์สันขยี้ตาตามสัญชาตญาณ ก่อนจะยิ้มแห้ง “เข้าใจแล้ว หนึ่งปอนด์ก็ได้… ฉันจะคืนหนึ่งปอนด์ให้นายพรุ่งนี้เช้า”


…………………………………………..


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)