Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 665-666

 ราชันเร้นลับ 665 : ด้ายวิญญาณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ท่ามกลางดวงอาทิตย์ที่ลอยสูงและน้ำทะเลสีทองอร่าม นอกจากสองสิ่งนี้ ทัศนวิสัยของไคลน์มองเห็นเพียงด้ายมายาสีดำจำนวนมหาศาล


ด้ายดำแผ่ออกจากนางเงือกที่อยู่ใกล้เคียง จากตัวไคลน์เอง จากทะเลใน เหยียดยาวออกอย่างหนาแน่นจากอวัยวะส่วนต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต บางส่วนยืดออกราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด ตรงเข้าไปในห้วงมิติลึกลับที่ผุดจากความว่างเปล่า


สำหรับไคลน์ ฉากอันแปลกตาเช่นนี้มิใช่สิ่งใหม่ ชายหนุ่มเคยหยิบยืมพลังของ ‘ดวงตาดำล้วน’ หลายครั้งหลายหน ส่วนใหญ่ใช่เพื่อสร้างตัวตนปลอมในชื่อ ‘เดอะเวิร์ล’


พลังพิเศษของนักเชิดหุ่น!


อาศัยความรู้ที่ได้รับจากโอสถ ด้ายมายาสีดำชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า ‘ด้ายวิญญาณ’ สามารถสร้างอิทธิพลต่อกายจิต วิญญาณดารา กายปัญญา กายอากาศ ของเป้าหมายได้โดยตรง จากนั้นก็ใช้กายอากาศเป็นสะพานในการเข้าควบคุมร่างกาย


ด้วยเหตุผลข้างต้น พลังพิเศษทั้งหมดของนักเชิดจึงขึ้นอยู่กับ ‘ด้ายวิญญาณ’ เป็นหลัก


สำหรับประโยชน์ข้อแรก เนื่องจากด้ายวิญญาณมีอยู่ในทุกสิ่งมีชีวิต การค้นหาเป้าหมายที่กำลังอำพรางตัวจึงเป็นเรื่องง่าย ถือเป็นของแสลงสำหรับศัตรูจำพวก ‘แม่มด’ และ ‘บาทหลวง’ ซึ่งเชี่ยวชาญการซ่อนตัว อย่างไรก็ตาม ไคลน์ยังไม่แน่ใจว่ามีวิธีปกปิดด้ายวิญญาณอย่างมิดชิดหรือไม่


ข้อที่สอง การควบคุมเป้าหมายเยี่ยงหุ่นเชิด ลดความเร็วของสมองลง บุกรุกเข้าควบคุมร่างกายโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม โอกาสตอบโต้แทบเป็นศูนย์ การจะต่อต้านนักเชิดหุ่นผู้เป็นถึงลำดับ 5 ให้สำเร็จ หนทางเดียวคือต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม นักเชิดหุ่นถึงไม่เกรงกลัวศัตรูหน้าไหนก็ตามที่มีลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพ


ข้อที่สาม หากควบคุมร่างกายเป้าหมายได้นานถึงกำหนด เหยื่อจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นหุ่นเชิดของผู้ใช้อย่างถาวร หากอยู่ภายในระยะควบคุม นักเชิดหุ่นสามารถซ่อนตัวอยู่หลังฉากและบงการหุ่นเชิดให้ต่อสู้แทนตัวเอง นี่คือวิถีที่แท้จริงของการเป็นนักเชิดหุ่น!


ช่างเป็นพลังที่ประหลาด ลึกลับ และอันตรายมาก… ช่วยให้คนคนหนึ่งสามารถบงการอยู่หลังฉากอย่างแยบยล เข้าใจแล้วว่าทำไม โรซาโก้ถึงกล่าวว่า ด้ายวิญญาณคือพลังที่รับมือได้ยากที่สุดในบรรดาผู้วิเศษระดับต่ำกว่าครึ่งเทพทั้งหมด…


แต่ ‘เวลา’ คือกุญแจสำคัญ การเข้าควบคุมร่างกายจะไม่สำเร็จอย่างปุบปับ ต้องค่อยๆ รุกเข้าไปทีละก้าวจนกระทั่งยึดครองร่างกายสำเร็จ สำหรับพลังในปัจจุบันของเรา การจะควบคุมร่างขั้นต้นต้องใช้เวลาราวยี่สิบวินาที แต่ยิ่งโอสถถูกย่อยมากขึ้น ระยะเวลาที่ใช้ก็ยิ่งลดลง และเมื่อไรก็ตามที่โอสถนักเชิดหุ่นถูกย่อยสมบูรณ์ เราอาจเข้าควบคุมขั้นต้นได้ภายในห้าวินาที ไม่เพียงเท่านั้น… ขณะพยายามควบคุมขั้นต้น เป้าหมายแทบไม่มีโอกาสรู้ตัว นอกเสียจากจะเป็นเส้นทางที่มีพลังหยั่งถึง…


เมื่อเหยื่อถูกด้ายวิญญาณควบคุมขั้นต้น สมองจะประมวลผลได้ช้าลง ร่างกายเฉื่อยชาและขยับเขยื้อนได้ลำบาก ค่อย ๆ กลายเป็นหุ่นกระบอกทีละนิด ในกรณีที่นักเชิดหุ่นมีพวกพ้อง ถ้าเหยื่อตกอยู่ในสภาพนี้เมื่อไร การปิดฉากก็ไม่ใช่เรื่องยาก หรือหากเหยื่อมีพลังวิญญาณไม่เข้มแข็ง และนักเชิดหุ่นยังมีพลังเหลือพอสมควร ก็สามารถปิดฉากได้เองด้วยปืนหรือสมบัติวิเศษ…


หากไม่มีพลังจากภายนอกเข้ามาขัดขวางการควบคุม ราวห้านาทีถัดมา เป้าหมายจะกลายเป็นหุ่นเชิดของเราอย่างสมบูรณ์ โดยนัยถือว่าเสียชีวิตไปแล้ว ไม่มีทางย้อนกลับผลลัพธ์ได้… หากเราย่อยโอสถนักเชิดหุ่นเสร็จสมบูรณ์ ระยะเวลาที่ใช้เปลี่ยนเป็นหุ่นเชิดก็จะลดลงอย่างมาก…


เราสามารถมีหุ่นเชิดได้สูงสุดหนึ่งตัว ถึงตอนนี้จะยังไม่มั่นใจ แต่ขีดจำกัดต้องเพิ่มขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน อาจสูงสุดได้ไม่เกินสามตัว…


นอกจากระยะเวลา ระยะทางก็ยังเป็นอีกหนึ่งข้อจำกัด เราจะมองเห็นด้ายวิญญาณภายในระยะหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น ส่วนการจะเข้าควบคุมร่าง เป้าหมายต้องอยู่ภายในระยะห้าเมตร…


หากจะควบคุมหุ่นเชิดที่มี ระยะห่างต้องไม่ไกลจากร่างหลักเกินหนึ่งร้อยเมตร แต่ในอนาคตคงเพิ่มขึ้น…


หึหึ นอกจากจะใช้พลังพิเศษของเป้าหมายได้ เรายังสามารถใช้สมบัติวิเศษและสมบัติปิดผนึกผ่านหุ่นเชิดได้ด้วย และฝ่ายที่สูญเสียพลังวิญญาณคือหุ่นเชิด ไม่ใช่เรา… แต่เดิมที การควบคุมหุ่นเชิดก็ต้องใช้พลังวิญญาณมากอยู่แล้ว…


นับว่าเหมาะกับเราทีเดียว ถ้ามีงานสืบส่วนเสี่ยงอันตราย ก็แค่ให้หุ่นเชิดทำแทน ถึงการสูญเสียหุ่นเชิดจะน่าเศร้า แต่ก็ดีกว่าเราตายเองแน่นอน…. หึหึ ก่อนที่นักเชิดหุ่น โรซาโก้ จะมาเก็บเรา มันคงเผชิญเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้สูญเสียหุ่นเชิด และคงยังย่อยโอสถไม่ถึงไหน ทำให้มิอาจควบคุมเราได้ในขณะที่ยืนหน้าประตู ต้องรอให้คุยกันซึ่งหน้าเสียก่อน…


สมกับที่เป็นพลังพิเศษของลำดับ 5! และเหนือสิ่งอื่นใด พลังพิเศษในลำดับก่อนหน้าทั้งหมด ถูกยกระดับขึ้นราวห้าสิบเปอร์เซ็นต์เห็นจะได้…


ยิ่งเห็นแบบนี้ก็ยิ่งคาดหวัง เดาไม่ถูกเลยว่า จะเกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายเพียงใด และพิสดารขนาดไหน หากเราได้เลื่อนเป็นลำดับ 4… ให้ตายสิ ตอนนี้ยังไม่รู้แม้แต่ชื่อ… ไคลน์เสร็จสิ้นการสำรวจตัวเอง ถอนหายใจด้วยอารมณ์เข้มข้น


อาศัยประสบการณ์ มันรีบกำหนดวิธีเปิดปิดแบบเดียวกับเนตรวิญญาณ เพื่อสลับความสามารถการมองเห็นด้ายวิญญาณ จะได้ไม่เผลอไปเห็นในสิ่งที่ไม่บังควร


กดหัวแม่มือซ้ายลงบนข้อแรกของนิ้วชี้ซ้ายสองครั้งเพื่อเปิด ทำอีกครั้งเพื่อปิด หรือจะใช้มือขวาก็ได้เหมือนกัน… ขณะไคลน์รวบรวมความคิด มันมองตรงไปและพบกับกลุ่มนางเงือกที่เริ่มหันหน้ากลับมา พวกหล่อนกำลังจ้องชายหนุ่มด้วยดวงตาสีฟ้าเปียกชุ่ม


ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า หากไม่มีเสียงร้องของพวกหล่อน เราคงคลุ้มคลั่งและกลายเป็นสมบัติวิเศษที่เหมือนกับ 2-049 ไปแล้ว… ไคลน์ยิ้มให้นางเงือกอย่างเป็นมิตร


นางเงือกที่ถูกผลของยันต์ครอบงำ เผยรอยยิ้มเขินอายกลับคืน


จนกระทั่งริมฝีปากสีแดงเข้มหรือม่วงของพวกหล่อนเริ่มอ้ากว้าง ไคลน์ได้เห็นซี่ฟันอย่างแจ่มชัด : ฟันคมราวกับหมาป่า สีขาวเงางาม เรียงชิดติดกัน ระหว่างซอกฟันมีของเหลวเหนียวข้นไหลซึม


ไคลน์พลันผงะ เมื่อเทียบกับสัตว์ประหลาดตัวจริง มันพบว่าสิ่งที่ตนกำลังเผชิญค่อนข้างทำใจยอมรับได้ยาก


ชายหนุ่มเตรียมใจมาแล้วหลายส่วน มองนางเงือกเป็นเพียงสัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง ดังนั้น ถึงอีกฝ่ายจะน่ากลัวและบ้าคลั่งสักเพียงใด มันเชื่อว่าตัวเองสามารถยอมรับได้ แต่สถานการณ์ปัจจุบันกลับผิดจากที่เคยคิดไปมาก นางเงือกปรากฏตัวในรูปโฉมของหญิงงามที่น่าดึงดูด แม้กระทั่งส่วนครึ่งล่างก็ยังมีสีสันสวยงาม เมื่อได้เห็นซี่ฟันที่น่ากลัวและน่ารังเกียจ ความขัดแย้งอย่างรุนแรงทำให้ไคลน์ไม่กล้าแม้แต่จะมองเข้าไปตรงๆ เกือบจะเบือนหน้าหนีในทันที


ชายหนุ่มรีบโบกมืออำลา พลางใช้ยันต์ขอบเขตเทพสมุทรสร้างพายุอีกครั้ง ส่งเรือเล็กแล่นกลับอนาคตกาล


ระหว่างทาง ไคลน์อดนึกถึงความรู้สึกในช่วงก่อนหน้าไม่ได้


กลายเป็นว่า เสียงเพลงของนางเงือกช่วยทำหน้าที่คืนสมดุล ไม่อย่างนั้น ผู้ไร้หน้าส่วนใหญ่คงมิอาจต้านทานการกัดกร่อนจากด้ายวิญญาณของโอสถนักเชิดหุ่นแน่ และชะตากรรมเดียวที่รออยู่คือการคลุ้มคลั่ง… หึหึ ต้องไม่นับกรณีที่โชคดีเป็นพิเศษอย่างคาเวทูว่า… แต่อาจเป็นเพราะมันไม่ได้ประกอบพิธีกรรมอย่างเหมาะสม ความแข็งแกร่งจึงน้อยผิดปรกติ…


ในทางทฤษฎี หากใช้เสียงที่มีผลลัพธ์คล้ายคลึงกัน นางเงือกก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่ถ้าไม่เคยผ่านประสบการณ์ด้วยตัวเองมาก่อน ก็คงอธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นเสียงแบบไหน ถึงจะเป็นผู้วิเศษลำดับสูงก็ตาม หากไม่ใช่เส้นทางนักทำนาย ก็คงมอบคำแนะนำที่ดีให้ไม่ได้แน่…


ขณะความคิดมากมายแล่นผ่าน เรือเล็กเริ่มขยับเข้าใกล้อนาคตกาล ไคลน์อาศัยเชือกดึงตัวเองกลับขึ้นเรืออย่างไม่ยากเย็น


แอนเดอร์สัน·ฮู้ดที่ยืนรอบนกราบเรือ หัวเราะคิกคักและกล่าว


“ที่แท้.. นายต้องการนางเงือกเพื่อพิธีกรรม มิใช่วัตถุดิบวิเศษ”


“ก็ควรจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้วนี่” ไคลน์ตอบห้วน


แอนเดอร์สันยักไหล่


“ไม่เลย ไม่ควรจะเป็นแบบนั้น คนปรกติต้องคาดเดาว่า นายคงต้องการวัตถุดิบวิเศษสักชนิดจากนางเงือก เพราะพิธีกรรมของพวกหล่อนไม่เหมาะสมกับการเลื่อนเป็นลำดับ 4 เลยสักนิด… แต่ใครจะไปคิดว่า นักผจญภัยเสียสติ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ผู้มีฝีมือทัดเทียมนายพลโจรสลัด ความจริงแล้วยังอยู่แค่ลำดับ 6 เท่านั้น”


‘แค่’ ลำดับ 6… ไคลน์พยายามหักห้ามใจไม่ควบคุมด้ายวิญญาณของแอนเดอร์สัน


โดยไม่แยแส ‘ออร่า’ ยั่วยุของนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด ชายหนุ่มเดินเข้าเขตห้องโดยสาร ตรงไปยังห้องพักส่วนตัว


ขณะเดินผ่านห้องกัปตัน เกิดเสียง ‘แอ๊ด’ พร้อมกับประตูที่เปิดออกต่อหน้าไคลน์


พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา ปรากฏตัวในสภาพไม่สวมแว่น ดวงตาสีม่วงเข้มจ้องเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยความแวววาว


“ขอแสดงความยินดีที่เลื่อนลำดับสำเร็จอย่างราบรื่น… ในความฝันก่อนหน้านี้ ฉันได้พูดอะไรออกไปบ้างไหม?”


“คุณรู้อยู่แก่ใจดี” ไคลน์ตอบหน้านิ่ง


แคทลียาเงียบงันสักพัก


“คุณถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับราชินีเงื่อนงำ?”


ขณะถาม เธออดไม่ได้ที่จะมองไปรอบตัว


หรือว่า… หลังจากได้ยินคำถามของเรา เธอเริ่มสงสัยว่าราชินีเงื่อนงำอาจซ่อนตัวอยู่บนอนาคตกาล? การคุยกับคนฉลาดต้องรอบคอบมากกว่านี้สินะ… ท่ามกลางทางเดินที่เงียบสงัด ไคลน์พยักหน้ารับ เดินผ่านอีกฝ่ายและตรงไปยังห้องพัก


จนกระทั่งมาถึงหน้าประตู ขณะกำลังก้าวขาเข้าห้อง เสียงของแคทลียาพลันดังมาจากห้องกัปตัน เป็นการใช้เวทมนตร์ขยายให้กระจายออกไปทั่วลำเรือ


“เดินทางกลับ”


ภายในห้อง ไคลน์รอหลายนาทีก่อนจะกลับเข้าห้องน้ำเพื่อประกอบพิธีกรรมอีกครั้ง เหตุเพราะแถวนี้ไม่มีอาหารที่เหมาะสม ยุบพองหิวโหยจึงต้องถูกโยนขึ้นไปบนมิติหมอก


จัดการเสร็จ ชายหนุ่มไม่รีบร้อนกลับลงไป เพียงตวัดมือหนึ่งครั้ง ถุงมืออินธน์ที่อยู่ในสภาพบิดเบี้ยวและกัดกร่อนลอยขึ้นมาตกลงตรงหน้า


สำรวจสักพัก ไคลน์ตัดสินใจนำถุงมืออินธน์ใส่กล่องโลหะสีดำ โยนเข้าไปในกองขยะ


แม้จะถุงมือราคาแพงจะใช้การไม่ได้แล้ว แต่ไคลน์เป็นคนที่เชื่อมาตลอดว่า ทุกสิ่งล้วนมีประโยชน์ในแบบของมัน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง


ตามด้วย ชายหนุ่มบรรจงถอดยุบพองหิวโหยอย่างไม่รีบร้อน โยนเข้าไปในกองขยะ


ฟู่ว… ไคลน์เงียบงันสองวินาที ก่อนจะเดินออกจากวังที่คล้ายกับถิ่นพำนักของคนยักษ์ ตรงเข้าไปในส่วนลึกของมิติหมอก


ครั้งที่สุดท้ายที่สำรวจ ชายหนุ่มได้พบ ‘ขั้นบันได’ แห่งแสงที่คล้ายกับจะนำทางไปสู่สวรรค์ โดยสงสัยว่าจำนวนขั้นบันไดอาจขึ้นอยู่กับลำดับพลังของตน จึงต้องทดสอบให้แน่ใจทันทีที่เลื่อนลำดับ


เดินไปสักพัก ขั้นบันไดที่ก่อตัวจากแสงปรากฏขึ้นตรงหน้าไคลน์ เทียบกับคราวก่อน หนนี้มีเพิ่มจากเดิมอีกหนึ่งขั้นในจุดที่เคยว่างเปล่า กลายเป็นห้าขั้น


อย่างที่คิด… ไคลน์ถอนหายใจ


จากนั้น ชายหนุ่มปีนบันไดที่ใหญ่ราวกับของคนยักษ์ ขึ้นไปยังชั้นสูงสุด


ถึงจุดนี้ กลุ่มหมอกสีเทาที่ลอยตัวกลางอากาศห่างออกไปแค่เอื้อมมือ คล้ายกับยังขาดอีกหนึ่งก้าวจึงจะปีนขึ้นไปสำเร็จ


ไคลน์เงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ และมองเห็นบางสิ่งอย่างเลือนราง


…………………………………..


ราชันเร้นลับ 666 : หมูบ้านยามบ่าย

โดย

Ink Stone_Fantasy

นั่นมัน… บางสิ่งที่ใสจนเกือบมองไม่เห็น ปรากฏอยู่ตรงหน้าไคลน์


ลักษณะคล้ายเปลือกห่อหุ้ม บางครั้งหดตัวเล็กน้อยและหายไปจากการมองเห็น บางครั้งพองตัวเล็กน้อยพร้อมกับเผยให้เห็นเค้าโครง


จากจุดดังกล่าว ไคลน์เงยหน้าขึ้น พบบางสิ่งที่มีสีเขียวเข้มจนเกือบดำ ลอยตัวอย่างเงียบงัน


สีคล้ายกับต้นไม้ในป่ามืด… ไคลน์พึมพำ จินตนาการไม่ออกว่า ‘สิ่งนั้น’ และ ‘สี’ ของมันหมายถึงสัญลักษณ์ใด เดาได้อย่างคร่าวๆ ว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการควบคุมมิติลึกลับเหนือสายหมอก


โดยไม่ฝืนทำเรื่องไร้สาระ ชายหนุ่มกระโดดลงจากขั้นบันไดที่คล้ายกับนำทางไปยังสรวงสวรรค์ เดินกลับมายังพระราชวังซึ่งเป็นจุดปรากฏตัว


เมื่อคำนึงถึงการมีอยู่ของราชินีเงื่อนงำ ไคลน์เก็บกวาดสิ่งของ ส่งตัวเองออกจากมิติหมอก กลับมายังห้องน้ำภายในห้องพักส่วนตัว


หลังจากจัดการกับหลักฐาน ชายหนุ่มเดินมายังกระเป๋าเดินทางอย่างใจเย็น หยิบเข็มกลัดสุริยันออกมาติดบนโค้ทยาวกระดุมสองแถว


หลังจากผ่านเรื่องราวมากมาย สมบัติวิเศษไคลน์ที่สามารถใช้ได้เหลือเท่ากับในสมัยเบ็คลันด์ อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มยังมีพลังของลำดับ 5 ซึ่งเป็นหนึ่งในความสามารถที่ทรงพลังที่สุดใต้ครึ่งเทพ ควรค่าแก่การถูกขนานนามให้เป็น ผู้วิเศษทรงพลัง


เราเคยคิดว่าตัวเองจะตื่นเต้นมากกว่านี้ แต่ความจริงกลับไม่ใช่ ไม่แม้แต่ในยามที่ได้พบนางเงือก… เพราะสำหรับเรา การแก้แค้นเพิ่งขยับไปเพียงก้าวเดียว ยังห่างไกลจากเป้าหมายที่แท้จริงมาก…


หลังจากนี้ เราต้องสรุปกฎการสวมบทบาท ย่อยโอสถนักเชิดหุ่น ตามหาสูตรผลิตและวัตถุดิบของโอสถลำดับ 4 อา… ไว้ออกจากทะเลแล้วค่อยเริ่มลงมือ ตั้งคำถามกับมิสเตอร์อะซิก วิล·อัสติน และกระจกวิเศษอาโรเดส…


หึหึ ช่วงนี้คงต้องผ่อนคลายร่างกายกับจิตใจไปก่อน ถ้าจิตตึงเกินไปอาจแตกหักได้ง่าย นั่นคือบ่อเกิดของภาวะคลุ้มคลั่ง… ไคลน์หมุนตัวส่องกระจกเงาภายในห้อง พบกับตัวเองที่สูง 1.8 เมตร ผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาล ใบหน้าเรียวคม สวมเชิ้ตขาว สูท และเนกไทหูกระต่าย ติดเข็มกลัดนกสุริยันสีทองเข้ม ใบหน้าสุขุม ดวงตาลุ่มลึก


ยืนจ้องอย่างเงียบงันสักพัก ชายหนุ่มยกมือขึ้น จัดระเบียบกระดุมข้อมือทั้งสองข้างให้เรียบร้อย ตบเบาๆ ลงบนโค้ทกระดุมสองแถวสีดำ



สายฟ้าพุ่งตัดผ่าอากาศ ช่วยมอบความสว่างแก่อาคารสีเทาที่ซ้อนทับกันด้านหน้า


นักล่าปีศาจ โคลิน·อีเลียด ในสภาพแบกดาบสองเล่ม ชี้นิ้วไปยังฝั่งตรงข้าม


“นั่นคือหมู่บ้านยามบ่าย”


เส้นผมสีเงินที่ปล่อยอิสระของมันกำลังปลิวไปตามแรงลม


เร็วมาก… เดอร์ริค ผู้กำลังถือขวานเฮอร์ริเคนในมือ ถอนหายใจอย่างเหนือความคาดหมาย


แต่จากนั้นก็โล่งอก เริ่มฉุกคิดไว้ว่าสิ่งนี้สมเหตุสมผลแล้ว เพราะวังราชาคนยักษ์ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเงินพิสุทธิ์ และหมู่บ้านยามบ่ายคือตัวกลางที่เชื่อมระหว่างทั้งสองฝั่ง


ท่ามกลางเส้นสายฟ้าที่มอบแสงสว่างยามค่ำคืน เด็กหนุ่มมองเห็นภาพรวมของหมู่บ้านยามบ่ายอย่างชัดเจน ถูกสร้างบนเชิงเขา จึงแบ่งออกเป็นชั้นบน ชั้นกลาง และชั้นล่าง ถึงจะถูกเรียกว่าหมู่บ้าน แต่ขนาดของมันไม่ด้อยไปกว่าซากปรักหักพังที่ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์เคยค้นพบ


ณ ที่นั่น บ้านหลายหลังถูกสร้างจากหินสีเทาก้อนใหญ่ ด้านในเจาะกลวง บางหลังสูงถึงสิบเมตร บางหลังเหมือนกับบ้านปัจจุบันของเดอร์ริค มีขนาดเล็กเสียจนมนุษย์สามารถแตะถึงหลังคา


อาคารถูกสร้างชิดกัน เรียงรายรอบทิศ บางหลังพังทลาย บางหลังยังแข็งแรง มีเพียงคราบและร่องรอยผุกร่อนตามกาลเวลา


แตกต่างจากที่อธิบายในหนังสือเรียนโดยสิ้นเชิง… เดอร์ริคหวนนึกถึงความรู้จากคาบเรียนประวัติศาสตร์


จากบันทึกของเมืองเงินพิสุทธิ์ หมู่บ้านยามบ่ายคือประตูกั้นระหว่างความจริงและตำนาน ชาวเมืองผสมผสานระหว่างมนุษย์และคนยักษ์ มีทั้งกลางวันกลางคืน แต่ถ้าเป็นยามกลางวัน ไม่ว่าสภาพอากาศจะเลวร้ายเพียงใด หมอกหนาหรือฝนฟ้าคะนอง น้ำแข็งหรือหิมะ ก็มิอาจยับยั้งแสงแดดอันร้อนแรงจากด้านบนได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกลับมีเพียงความมืดมิด แสงสว่างแห่งเดียวมาจากเส้นสายฟ้า ขาดแคลนชีวิตชีวาโดยสมบูรณ์


ในท่าจับขวานด้วยด้าม เดอร์ริค ผู้มีดวงอาทิตย์ย่อส่วนอยู่ในดวงตา ย่างกรายไปพร้อมทีมสำรวจ ตามหลัง ‘เจ้าเมือง’ โคลินทีละก้าวจนกระทั่งถึงหมู่บ้านยามบ่าย


สถานที่แห่งนี้ถูกเก็บกวาดไปแล้วครั้งหนึ่งโดยฝีมือทีมสำรวจชุดแรก ถนนจึงเต็มไปด้วยเนื้อเน่าและคราบน้ำหนองแห้งกรัง บรรยากาศเงียบสงบ ปราศจากสุ้มเสียง


“อย่าประมาทเด็ดขาด มีสัตว์ประหลาดแปลกๆ ซ่อนตัวอยู่ในความมืด” โคลิน·อีเลียด เจ้าของรอยแผลเป็นเก่าบนใบหน้า ไม่ลดความหวาดระแวงลง หนึ่งมือชักหนึ่งในดาบคู่ออกจากหลัง กลุ่มแสงสีเงินเริ่มเกาะตัวบนคมดาบ


ที่นี่คือประตูแห่งตำนาน? ในยามที่พระผู้สร้างทอดทิ้งแผ่นดิน กระทั่งตำนานก็ถูกทอดทิ้งไปด้วย? เดอร์ริคอดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงสิ่งที่หมู่บ้านยามบ่ายต้องเผชิญในช่วงมหาภัยพิบัติ คาดเดาโดยสัญชาตญาณว่า คงแตกต่างจากเมืองเงินพิสุทธิ์พอสมควร


ขณะเตรียมสำรวจสภาพแวดล้อมอย่างละเอียด เพื่อมองหาเบาะแสสำคัญ เสียงแหกปากของเพื่อนร่วมทีมพลันดังมาจากด้านข้าง


“มีอะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้น!”


เดอร์ริคมองข้าง เห็นใบหน้าโปร่งใสโผล่ออกจากผนังบ้านหลังใหญ่ที่สูงราวสิบเมตร


ใบหน้าดังกล่าวเต็มไปด้วยรอยแตก ขดรอบศูนย์กลางอย่างไม่เป็นระเบียบ หนึ่งจุดที่ไม่รู้ว่าปากหรือดวงตากำลังก่อตัวเป็นวังวนขนาดใหญ่


พายุเฮอร์ริเคนในวังวนเริ่มแจ่มชัด ส่งเสียงโหยหวนออกมาถึงด้านนอก จากนั้น แสงคล้ายยามสนธยาเริ่มควบแน่นเป็นหนึ่งเดียว ดูราวกับเป็นลูกศรแห่งแสงจำนวนมาก


ตึก! ตึก!


สมาชิกทีมสำรวจหลายคนถูกยิง แต่คล้ายกับยิงใส่กำแพง มีเพียงเสียงทื่อและแน่น ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางบรรยากาศที่หม่นหมอง


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ โคลิน·อีเลียด คุกเข่าลงทั้งสองข้าง แทงดาบเงินในมือลงไปบนพื้นหินสีเทาผุพัง


เขาช่วยปกป้องแนวหน้าด้วยพลังที่แข็งแกร่งที่สุด!


ขณะเดียวกัน สมาชิกทีมสำรวจที่เหลือเริ่มโจมตีตอบโต้ เป็นพายุแสงและไฟบอลสีแดงเข้มที่พุ่งปะทะสัตว์ประหลาดตนดังกล่าวก่อนใคร


ตามด้วย แสงศักดิ์สิทธิ์ของเดอร์ริคที่ตกลงบนวังวนตาเดียว


ท่ามกลางเสียงระเบิด หินก้อนใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยแตกเริ่มพังทลาย ใบหน้าโปร่งใสกรีดร้องและอันตรธานหายไปอย่างสมบูรณ์


แม้จะเป็นการต่อสู้ที่ง่าย แต่เดอร์ริคมิได้ยินดีมากนัก มันเคยได้ยิน ‘แฮงแมน’ และ ‘จัสติส’ แห่งชุมนุมทาโรต์แบ่งปันประสบการณ์การต่อสู้ระหว่างผู้วิเศษ ผนวกกับประสบการณ์ตรงของตัวเองที่เคยเผชิญสัตว์ประหลาดในเงามืดรอบเมืองเงินพิสุทธิ์ จึงกังวลมาตลอดว่า เมืองเงินพิสุทธิ์ขาดความหลากหลายในเส้นทางผู้วิเศษ ระดับใต้ครึ่งเทพที่ครอบครองล้วนมีประสิทธิภาพในการ ‘ตรึง’ ศัตรูค่อนข้างต่ำ และสถานการณ์ตรงหน้ากำลังยืนยันในเรื่องนั้น


แต่โชคยังดีที่สามารถเก็บเกี่ยวสมบัติวิเศษได้จากศพสัตว์ประหลาด… ขณะเดอร์ริคคิดในใจ เสียงคำสั่งจากเจ้าเมืองดังขึ้น


“ทำตามแผนที่ตกลงกันไว้ จับกลุ่มสามถึงสี่คน แยกย้ายค้นหาในแต่ละจุด”


“ขอรับ ท่านเจ้าเมือง!” สมาชิกทีมสำรวจส่วนใหญ่มีประสบการณ์โชกโชน ใช้เวลาไม่นานก็จัดกลุ่มเสร็จ


ทีมของเดอร์ริคมีสามคน นอกจากเด็กหนุ่ม ก็เป็นโจชัวและฮาอิมที่เคยร่วมงานกันในซากวิหารร้าง คนแรกอยู่ในลำดับ 7 ‘เจ้าศาสตรา’ มาพร้อมถุงมือเวทมนตร์ที่สามารถควบคุมเพลิง รายหลังเพิ่งเลื่อนเป็นลำดับ 6 ‘พาลาดินรุ่งอรุณ’ เจ้าของส่วนสูง 2.3 เมตร


เนื้องด้วยเส้นทางนักรบ หรืออีกชื่อหนึ่งคือเส้นทางคนยักษ์ เป็นเส้นทางหลักของเมืองเงินพิสุทธิ์ ส่วนสูงเฉลี่ยของชาวเมืองจึงมากถึง 1.8 เมตร (นับรวมเด็กอายุหกขวบ) ถึงแม้ตะกอนพลังจะยังไม่แสดงผลในเด็กเล็ก แต่พันธุกรรมได้ถ่ายทอดมายังรุ่นสู่รุ่น ส่งผลให้เดอร์ริคที่อายุยังน้อย มีส่วนสูงมากถึงเกือบ 1.8 เมตร และยังเหลือที่ว่างสำหรับการเจริญเติบโตอีกมาก


จากคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย เดอร์ริค โจชัว และฮาอิม เดินเข้าไปในตรอกซ้ายมือด้วยรูปขบวนสามเหลี่ยม สำรวจบ้านหลังที่ยังเข้าไปได้


อาจเป็นเพราะเคยถูกเก็บกวาดไปแล้วหนหนึ่ง พวกมันจึงไม่พบสัตว์ประหลาด สีหน้าเผยความโล่งใจโดยไม่รู้ตัว


“ฉันได้ยินมาว่า หกสภาอาวุโสต้องการตั้งค่ายถาวรที่นี่ เปลี่ยนหมู่บ้านยามบ่ายให้กลายเป็นป้อมปราการ” โจชัว ผู้สวมถุงมือสีแดงข้างซ้าย กล่าวหลังจากตรวจสอบห้องโถงของบ้านหลังหนึ่ง


ฮาอิมพยักหน้า มองลงไปหาพวกพ้องทั้งสอง


“เป้าหมายที่แท้จริงน่าจะเป็น…”


มันชี้นิ้วลงล่างในแนวทแยงมุม


“วังราชาคนยักษ์?” เดอร์ริคถามด้วยเสียงประหลาดใจ


ไม่ใช่ว่าเบื้องบนกำลังตามหา ‘ทะเล’ ที่แจ็คและคนอื่นเดินทางมาหรอกหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็ควรอ้อมวังราชาคนยักษ์มากกว่า… เดอร์ริคเต็มไปด้วยคำถาม


ฮาอิมส่ายหน้า


“ไม่แน่ใจ ก็แค่ได้ยินมา”


มันกวาดตาไปทางอื่น ชี้นิ้วไปยังประตูบานหนึ่ง


“รีบทำงานให้เสร็จกันเถอะ”


เดอร์ริค ‘อืม’ เป็นการตอบรับ อาศัยดวงตาที่มองเห็นตอนกลางคืนและพลังในการแผ่แสงสว่าง เด็กหนุ่มไม่หวาดกลัวต่อความมืด เดินตรงเข้าไปในห้องใต้ดินเป็นคนแรก โดยมีฮาอิมถือตะเกียงหนังสัตว์เดินตามเข้าไปพร้อมโจชัว


ห้องใต้ดินของบ้านหลังนี้ค่อนข้างกว้าง มีบ่อน้ำซึ่งเต็มไปด้วยคราบสีดำแห้งกรัง ไม่มีใครทราบว่าผ่านมาแล้วกี่ปี เพราะกลิ่นคาวเลือดยังคงเตะจมูกอย่างเจือจาง


เดอร์ริคกวาดตาไปรอบห้อง ตระหนักได้ว่าเคยมีพิธีกรรมถูกจัดขึ้นที่นี่


คงผ่านมานานแล้ว… เด็กหนุ่มเสริมในใจ ยิ่งได้พบโต๊ะหินที่คล้ายแท่นบูชา มันก็ยิ่งมั่นใจในสมมติฐาน


ในหมู่บ้านยามบ่าย… เหตุใดชาวเมืองถึงต้องซ่อนตัวประกอบพิธีกรรมในห้องใต้ดิน? ขณะราชาคนยักษ์กำลังเรืองอำนาจ ทุกคนย่อมต้องเป็นสาวกของราชาคนยักษ์ ความศรัทธาเป็นรองเพียงพระผู้สร้างต้นกำเนิด… เจ้าของบ้านหลังนี้แอบนับถือเทพองค์อื่น? คำถามแล้วคำถามเล่า เดอร์ริคเดินเข้าใกล้แท่นบูชา พบว่าโต๊ะหินดังกล่าวเคยมีข้อความสลักอยู่ แต่ถูกทำลายไปเกือบหมดจากปัจจัยที่เป็นและไม่เป็นธรรมชาติ


หลังจากวิเคราะห์อย่างละเอียด เดอร์ริคเอ่ยนามของสามชื่อที่เขียนไว้


“โอโรเลอุส… เมดีซี… ซาสเรีย…”


โอโรเลอุส? นั่นมันพระนามของ ‘เทวทูตโชคชะตา’ ไม่ใช่หรือ? อีกทั้งมิสเตอร์ฟูลยังเคยกล่าวไว้ว่า เมดีซีเองก็เป็นหนึ่งในราชาเทวทูต… หมายความว่าซาสเรียก็เช่นกัน? เดอร์ริคพลันตื่นเต้น เจือความหวาดกลัวเล็กน้อย เด็กหนุ่มรีบหันหลังกลับ หวังตะโกนเรียกเพื่อนมามุงดู


แต่สิ่งที่ได้เห็นกลับมีเพียง ห้องใต้ดินอันว่างเปล่าและมืดมิด ฮาอิมกับโจชัว สองเพื่อนร่วมทีมที่ควรยืนอยู่ข้างหลัง กลับหายตัวไปอย่างน่าฉงน!


……………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)