Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 661-664

 ราชันเร้นลับ 661 : เข้าใกล้

โดย

Ink Stone_Fantasy

แฟรงค์·ลีมิได้สังเกตเห็นความผิดปรกติของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ จึงยิ้มและพูดต่อ


“อันที่จริง ฉันมีแผนจะช่วยนายโดยการโยนเมล็ดพันธุ์ข้ามไป แต่น่าเสียดายที่ไม่มีแรงขว้างได้ไกลขนาดนั้น”


โยนเมล็ดพันธุ์ไปยังทิวลิปดำเนี่ยนะ? น่านน้ำแถบนี้ยังมีเศษเสี้ยวออร่าพระแม่ธรณีหลงเหลืออยู่ หากมีการกระตุ้นพลังในขอบเขตธรณี พลังจะกลายพันธุ์และอาละวาดไม่เลือกมิตรศัตรู… ดังนั้น ตัวฉันที่อยู่บนทิวลิปดำก็จะ… โชคดีมากที่นายไม่ได้ขว้างไป… ไคลน์พลันนึกถึงโศกนาฏกรรมสุดโกลาหลบนอนาคตกาลเมื่อไม่กี่นาทีก่อน รวมไปถึงเหตุการณ์ที่โจรสลัดคนหนึ่งบีบแตงโมที่งอกขึ้นจากศีรษะของตนและเสียชีวิต


ขณะเตรียมคิดคำตอบให้สอดคล้องกับบุคลิกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ไคลน์บังเอิญเหลือบเห็นฮีธ·ดอยล์ที่อยู่ในเงามืดไม่ห่างออกไป โน้มตัวมาด้านหน้าพร้อมกับอาเจียน


‘ผู้ไร้เลือด’ สำรอกหนึ่งคำพลางคุกเข่าลงบนดาดฟ้า


โอ้ก! โอ้ก!


มันพ่นของเหลวสีเขียวแกมเหลืองออกจากปาก หนึ่งในนั้นเป็นเศษชิ้นเนื้อสีเทาดำซึ่งกำลังดีดดิ้นแผ่วเบาไปบนพื้น


แค่ก! โอ้ก! อ่อก!


ฮีธ·ดอยล์ยังคงพ่นในสิ่งที่คล้ายเดิมออกมาไม่หยุด


ได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์มิได้นึกรังเกียจ แต่รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที เพราะเคยกังวลว่า ‘บิชอปกุหลาบ’ ฮีธ·ดอยล์ จะถูกกัดกร่อนหลังจาก ‘กิน’ หลายสิ่งเข้าไปอย่างส่งเดช แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเก็บของเสียแยกไว้ต่างหากโดยไม่ได้ย่อยและดูดซึมเข้าร่างกาย


สมกับเป็นบิชอปกุหลาบผู้ยังครองสติไว้ได้… ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว


ขณะเตรียมเบือนหน้าออกจากกองอ้วก ชายหนุ่มพลันฉุกคิดถึงบางสิ่ง


ในเมื่อตนกระตุ้นยุบพองหิวโหยขึ้นมาแล้ว ก็ต้องรีบ ‘ป้อนอาหาร’ ภายในหนึ่งวัน แต่ปัจจุบันกลับไม่มีคนชั่วในละแวกใกล้เคียงเลย… โจรสลัดที่เพิ่งตายไปคงใช้การไม่ได้… มิใช่เพราะพรรคพวกหวงแหนศพ แต่สิ่งที่ยุบพองหิวโหย ‘กิน’ คือดวงวิญญาณ…


ถ้าอย่างนั้น เศษเนื้อสีเทาดำเหล่านี้จะใช้เป็น ‘อาหาร’ ได้ไหม? อย่างน้อยก็เป็นซากศพจากสัตว์ประหลาดที่มีระดับพลังชีวิตมหาศาล เป็นผลพวงจากเศษเสี้ยวออร่าของพระแม่ธรณี…


คิดได้เช่นนั้น ไคลน์ก้าวไปข้างหน้าและหยุดใกล้กับฮีธ·ดอยล์


มันไม่ฝืนจ้องมองกองอ้วกโดยตรง สายตาเบือนไปยังอีกฝั่งตามสัญชาตญาณ พยายามจ้องทะเลที่งดงามพร้อมกับแสงอาทิตย์ยามเที่ยงเฉิดฉาย


จากนั้น ชายหนุ่มยื่นมือซ้ายไปยังตำแหน่งของเศษเนื้อสีเทาดำ


ยุบพองหิวโหยไม่ตอบสนอง มิได้อ้าปากกึ่งกลางถุงมือออกเช่นทุกที


ดูท่าจะไม่อยากกิน… ช่วยไม่ได้ หลังจากนี้คงนำออกมาใช้ในเหตุจำเป็นเท่านั้น และถ้าหาอาหารมาป้อนไม่ได้ภายในหนึ่งวัน ก็คงต้องจับมันโยนเข้าไปในมิติหมอกเทา… ไคลน์ดึงมือกลับอย่างไม่เต็มใจ พลางแหงนหน้ามองไปยังห้องกัปตัน


เข็มกลัดสีทองที่ติดบนเสื้อคลุมแคทลียาส่องสว่างขึ้นอีกหน ‘วิญญาณอาฆาตสุริยัน’ ถือกำเนิดขึ้นและลงมือแผดเผาเศษเนื้อสีเทาดำที่ฮีธ·ดอยล์อาเจียนออกมา


สีหน้าแววตาของพลเรือโจรสลัดมิได้เปลี่ยนไปมากนัก เพียงแฝงความเอ่อนเพลียเล็กน้อย รวมไปถึงแสงสีม่วงในดวงตาที่คมชัดยิ่งขึ้น


เมื่อเห็นเรือเริ่มแล่น ไคลน์ไม่ยืนอยู่นาน เตรียมกลับห้องพักเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกปอน


แอนเดอร์สันชำเลืองตาม ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้และเตรียมซักถาม


“หุบปาก!” ไคลน์ชิงตัดบท


ความโกลาหลเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มสูญเสียกระดุมข้อมือเมอร์ล็อค จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ‘บุรุษผู้ถูกสาปด้วยโชคร้าย’ ถึงกลายเป็นสิ่งขวางหูขวางตา ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ถูกนำไปป้อนเป็นอาหารให้ยุบพองหิวโหย


“…ตกลง” แอนเดอร์สันยกมือขึ้น “ฉันจะดื่มเงียบๆ ก็ได้”


ไคลน์มิได้แยแส เพียงเดินกลับเข้าเขตโดยสารและตรงไปยังห้องพักส่วนตัว


ในห้องน้ำ ชายหนุ่มหยิบ ‘ยันต์สร้างน้ำ’ พร้อมกับสวดคาถาเฮอร์มิสโบราณ เมื่อได้อ่างอาบน้ำตามที่ต้องการ จึงถอดเสื้อผ้าออกและทิ้งตัวลงไปนอนแช่


ความเย็นของน้ำและความอบอุ่นจากแสงแดดยามเที่ยงทำให้ไคลน์รู้สึกผ่อนคลาย มันถือกระดาษและปากกาที่นำมาจากโต๊ะด้านนอก พลางเขียนประโยคทำนายลงไป


“ตำแหน่งของกระดุมข้อมือเมอร์ล็อค”


หลังจากพึมพำเงียบงันครบเจ็ดครั้ง ไคลน์นอนแผ่ลงบนอ่างโดยใช้ขอบแทนหมอน จากนั้นก็สะกดจิตตัวเองให้นอนหลับ


ท่ามกลางโลกมายาสีเทาที่ไม่ปะติดปะต่อ ชายหนุ่มมองเห็นดาดฟ้าเรือและซอมบี้ร่างกายเน่าเปื่อยเดินเตร็ดเตร่ และเห็นกระดุมข้อมือเมอร์ล็อคฝังอยู่ในเอวข้างซ้ายของซอมบี้ตนหนึ่ง


นอกจากความเป็นดาดฟ้า มันไม่ทราบตำแหน่งที่ชัดเจนกว่านั้นเนื่องจากบรรยากาศมืดเกินไป


อยู่บนทิวลิปดำจริงด้วย… ไคลน์ลืมตาขึ้นและสรุปผล


หวังว่าพลเรือเอกขุมนรกจะไม่พบมันเข้าเสียก่อน… หากเป็นเช่นนั้นได้ เราสามารถใช้กระดุมข้อมือเม็ดนี้ช่วยระบุตำแหน่งทิวลิปดำในอนาคต…


ไม่สนว่าลูเธอร์ไวล์จะหาพบหรือไม่ ขอเพียงไม่โยนลงจากเรือและไม่ทิ้งช่วงนานเกินไป เราก็จะทำนายหาพิกัดของทิวลิปดำได้ตลอดเวลา… แต่ต้องทำบนมิติหมอกเท่านั้น…


นอกจากนั้น เรายังต้องต่อต้านการทำนายถึงตัว เพื่อป้องกันมิให้พลเรือเอกขุมนรกใช้กระดุมข้อมือระบุตำแหน่งหรือใช้พลังสาปแช่งกลับมา…


แหวนของหมอนั่นเหมือนกับมรดกจากเทพมรณาบรรพกาล… ดีละ เราจะเขียนจดหมายแจ้งเรื่องนี้ให้มิสเตอร์อะซิกทราบ ไคลน์รีบชำระร่างกายและลุกออกจากอ่าง


หลังจากล้างมือจนสะอาด ชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสุภาพบุรุษชาวโลเอ็น จัดแจงซักทำความสะอาดคราบเปื้อนบนชุดเก่า จึงค่อยหยิบกระดาษออกมาคลี่ และนำนกหวีดทองแดงออกมาวาง


ขณะยืนข้างโต๊ะอ่านหนังสือ ไคลน์จ้องวัตถุบนโต๊ะพลางเหยียดแขนขวาออก แต่ทันใดนั้นพลันต้องชะงัก


มันกะพริบตาราวสองสามหน ก่อนจะหยิบนกหวีดทองแดงอะซิกเก็บกลับเข้าไปในกล่องเหล็กและใช้กำแพงวิญญาณผนึกออร่าไว้


จนกว่าจะออกจากน่านน้ำแห่งนี้ จนกว่าจะออกจากอนาคตกาล ไคลน์จะไม่เป่านกหวีดเรียกผู้ส่งสารออกมาอย่างเด็ดขาด!


จากศึกครั้งล่าสุด เราสูญเสียไปไม่น้อย แต่โชคยังดีที่สามารถย่อยโอสถผู้ไร้หน้าได้สมบูรณ์ เหลือแค่การเฝ้ารอให้นางเงือกปรากฏตัว…


แล้วก็… สถานการณ์บนน่านน้ำแห่งนี้ผิดไปจากที่คิดพอสมควร มีแม้กระทั่งเศษเสี้ยวออร่าของพระแม่ธรณี…


ออร่าในแถบนี้ไม่น่าจะเป็นของใหม่ เพราะหากไม่แล้ว ตัวตนระดับเทพย่อมต้องควบคุมออร่าของตัวเองได้อย่างอิสระ…


จากบรรดาแปดเทพบรรพกาล ไม่มีตนใดอยู่ในขอบเขตอำนาจธรณีเลย…


ถ้าพิจารณาจาก ‘เทพรับใช้’ ยังพอมีตัวตนที่เข้าข่ายอยู่บ้าง เช่นราชินีคนยักษ์ ‘เทพธิดาแห่งการเก็บเกี่ยว’ โอมีเบล่า หรือ ‘เทพธิดาแห่งชีวิต’ ที่เป็นเทพรับใช้ของต้นตระกูลแวมไพร์ ลิลิธ…


แต่ได้นึกสงสัยว่า นี่คือสงครามแห่งเทพที่มีเทพรับใช้เข้ามาเกี่ยวข้อง หรือความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องราวจากยุคสมัยที่สองกันแน่… ไคลน์ไม่มีข้อมูลของมหาศึกแห่งเทพมากนัก ทำได้เพียงคาดเดาและจินตนาการ


ชายหนุ่มรวบรวมสมาธิ ตัดกระดาษรูปคนและวาดสัญลักษณ์ของ ‘เดอะฟูล’ ที่หมายถึงความลับและการเปลี่ยนแปลงลงไป


ฟุ่บ!


ไคลน์ยกกระดาษรูปคนขึ้นมาสะบัด


เปลวไฟลุกไหม้จากความว่างเปล่า แผดเผากระดาษให้กลายเป็นขี้เถ้า


เพียงเท่านี้ก็ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ แต่ถ้าหวังผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม ไคลน์ต้องเข้าไปในมิติหมอกเทาและทำการตอบสนองด้วยตัวเอง จากนั้นก็ใช้ไพ่จักรพรรดิมืดกระตุ้นพลังของมิติสายหมอก พร้อมกับใช้ ‘เทวทูตกระดาษ’ เพื่อมอบพรคุ้มกาย


อาศัยอำนาจของนกหวีดทองแดงอะซิกและนกกระเรียนกระดาษของวิล·อัสตินช่วยแทรกแซงการ ‘สอดส่อง’ จากบุคคลภายนอก ไคลน์กลับเข้าห้องน้ำอีกครั้ง จัดการขั้นตอนที่เหลือให้เสร็จสรรพ


เมื่อเก็บกวาดห้องเสร็จ ชายหนุ่มสวม ‘ยุบพองหิวโหย’ กับ ‘อินธน์’ และเดินออกมายังเขตดาดฟ้าเรือ เตรียมสำรวจสภาพแวดล้อมอย่างรอบคอบ จะได้ไม่พลาดเบาะแสของนางเงือก


ขณะออกจากห้องโดยสาร มันพบแอนเดอร์สัน·ฮู้ดกำลังนั่งพิงถังเหล้าอยู่บนพื้น สีหน้าสุขุม ลมหายใจแผ่วเบา คล้ายกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่งที่ละเอียดอ่อน


เขารักษาสัญญาและดื่มอย่างสงบมาตลอดเลยหรือ? ไคลน์พึมพำพร้อมกับเดินผ่านแอนเดอร์สัน


แอนเดอร์สันเงยหน้ามองตาม ซักถามเสียงล่องลอย


“เหล้าที่นี่… นายว่ามันแปลกๆ ไหม?”


ไคลน์ชะงักเล็กน้อย ตอบกลับเสียงขรึม


“ใช่”


“…” แอนเดอร์สันพลันหมดคำจะกล่าว


หมอนี่ซวยชะมัด… ถึงขั้นที่พลังพิเศษมิอาจจำแนกสิ่งแปลกปลอมในเหล้าแล้วหรือ… ไคลน์เดินต่อไปพลางยกมุมปาก


ณ ดาดฟ้าหัวเรือ โจรสลัดจำนวนหนึ่งกำลังยืนรวมตัว เฝ้ามองนีน่ารับหน้าที่ ‘นักบวชวายุสลาตัน’ เพื่อจัดงานศพเล็กๆ ให้กับโจรสลัดที่เสียชีวิต


หลังจากจบบทสวดอย่างง่าย นีน่ากวาดตามองและกล่าว


“ความปรารถนาสุดท้ายของเรเวียร์ก็คือ ถูกฝังบนเนินเขาในเมืองท่าบ้านเกิด ที่นั่นมีฉากพระอาทิตย์ตกดินที่งดงามที่สุด… เขาปรารถนาจะถูกฌาปนกิจ จะได้ไม่ต้องถูกใครรบกวนหลังจากที่ตายไปแล้ว…”


“ข้าแต่องค์วายุสลาตัน ได้โปรดประทานการหลับใหลอันสุขสงบแก่เขาด้วย” โจรสลัดส่วนใหญ่นับถือเทพวายุสลาตัน จึงใช้กำปั้นขวาทุนหน้าอกข้างซ้าย


ได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์ไม่กล้าเข้าใกล้ เพียงยืนมองจากจุดห่างไกลอย่างเงียบเชียบ


จนกระทั่งงานศพจบลง ด้วยพลังของม้วนคาถา ร่างของโจรสลัดนามเรเวียร์ถูกเผาจนกลายเป็นกองขี้เถ้า ไคลน์ถอนหายใจยาวพร้อมกับวาดจันทร์แดงอยู่ภายใน


ครึ่งวันถัดมา ดวงอาทิตย์ยังคงเจิดจ้าไม่แปรเปลี่ยน ท้องฟ้ามีเพียงแสงแดดยามเที่ยง อนาคตกาลแล่นผ่านซากปรักหักพังมากมาย ลึกเข้าไปในน่านน้ำพิเศษ


แอนเดอร์สันที่ไม่มีใครทราบว่ากลับเป็นปรกติตอนไหน เดินเข้ามาหาไคลน์


มันชำเลืองเล็กน้อย ก่อนจะชี้นิ้วไปทางอาคารจมน้ำด้านหน้าและกล่าว


“จากซากปรักหักพังตรงนี้ เลี้ยวซ้ายแล้วแล่นเรือไปประมาณสิบไมล์ทะเล ถ้าโชคดีนายอาจได้พบนางเงือก”


ในที่สุด… ขณะไคลน์เตรียมตอบสนอง ทัศนียภาพพลันดำมืดกะทันหัน แสงอาทิตย์ยามเที่ยงเลือนหายในพริบตา


ค่ำคืนมาเยือนอีกครั้ง


โดยไม่กล่าวคำใด ไคลน์รีบกลับห้องพักและทิ้งตัวลงนอน


เพียงไม่นานก็ลืมตาตื่นในความฝัน ตรงหน้าคือหน้าต่างฝรั่งเศสบานใส โต๊ะอ่านหนังสือที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ และชั้นหนังสือที่มีหนังสืออยู่เต็ม


ในหนนี้ มันถูกส่งกลับมายังจุดที่ตนออกไปในคราวก่อน – หอสมุดแห่งหนึ่ง


แสงยามพลบค่ำสาดเข้ามาจากด้านนอกจนทุกสิ่งถูกเคลือบด้วยแสงสีทองอร่าม ไคลน์ขยับตัวโดยปราศจากความลังเล ตรงไปยังชั้นหนังสือล่าสุดที่ตนเคยสำรวจ


ไม่ผิดไปจากที่คาด มันได้พบหนังสือแห่งยันต์และหนังสือศาสตร์เร้นลับเล่มอื่น


ขณะเตรียมหยิบหนังสือออกมาและรีบเปิดอ่าน สายตาไคลน์บังเอิญเหลือบผ่านแนวชั้นหนังสือ จนไปสะดุดตากับหนังสือปกดำเล่มหนึ่งเข้า


“บันทึกเล่มที่สามของโรซายล์!”


ไดอารีของจักรพรรดิ? ไดอารีทั้งเล่ม? ไคลน์เหยียดแขนออกไปตามสัญชาตญาณ


ทันใดนั้น นิมิตลางสังหรณ์พลันผุดขึ้นในใจ เป็นภาพของดวงตาคู่หนึ่งที่เคยเพ่งมองตนบนดาดฟ้าเรืออนาคตกาล รวมไปถึงฉากในอดีตของบุคคลที่เปิดประตูโถงจิตรกรรมส่วนลึกซึ่งแอนเดอร์สัน·ฮู้ดเคยเล่าให้ฟัง และสุดท้าย ฉากในอดีตที่ตนลืมตาตื่นขึ้นในจุดที่แตกต่างกันบนโลกความฝัน


ไคลน์พลันเบือนสายตากลับและหันไปดึงหนังสือแห่งยันต์ออกมา


ชายหนุ่มเดินมายังโต๊ะอ่านหนังสือ นั่งลงและเริ่มพลิกหน้ากระดาษอย่างรวดเร็ว


ทันใดนั้น มันได้ยินเสียง กึก กึก กึก คล้ายฝีเท้าของใครสักคนที่กำลังใกล้เข้ามา


สติไคลน์พลันตึงเครียด มันค่อยๆ เงยหน้ามองอย่างเชื่องช้า


สิ่งแรกที่ได้พบก็คือ รองเท้าบูตหนังสีดำคู่หนึ่ง


…………………………………


ราชันเร้นลับ 662 : ออร่าที่ทรงพลัง

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อเลื่อนดวงตาขึ้น ไคลน์เริ่มสำรวจเรือนร่างเจ้าของเสียงฝีเท้า


เป็นสตรี สวมกางเกงสีเบจที่ดูกระฉับกระเฉง สวมรองเท้าบูตหนังยาวสีดำ แต่กระนั้นก็ยังสวมกระโปรงสีน้ำตาลอ่อนยาวถึงหัวเข่าทับ กระโปรงทำมุมลาดเอียงเล็กน้อย เผยให้เห็นถึงความโก้เก๋ที่ไม่อยู่ในกรอบ


การแต่งตัวลักษณะนี้ทำให้ไคลน์รู้สึกราวกับตนกำลังฝันถึงโลกเก่า เพราะไม่ว่าโลเอ็น อินทิส หรืออาณาจักรอื่นเช่นฟุซัค เฟเนพ็อต ลุนเบิร์ก มาซิน ไบลัมตะวันออกและตก หรือชาติอื่น ต่างก็ไม่มีลักษณะการแต่งกายเช่นนี้!


ไคลน์เงยศีรษะเร็วขึ้น จนกระทั่งมองเห็นใบหน้าของหญิงสาว


ผมสีเกาลัดปล่อยอิสระ คิ้วยาวโก่งเป็นทรงสมบูรณ์แบบ ดวงตาสีฟ้าลุ่มลึกราวกับมหาสมุทรกำลังควบแน่นอยู่ภายใน


ใบหน้าของเธองดงามโดดเด่น อย่างไรก็ตาม นั่นยังมิใช่จุดที่สะดุดตาที่สุด หากแต่เป็นความน่าเกรงขามของบุคลิกและบรรยากาศรอบตัว ทั้งหมดดูเป็นธรรมชาติราวกับเคยดำรงตำแหน่งใหญ่โตมานาน นี่คือความประทับใจแรกของไคลน์ สัญชาตญาณกำลังบอกให้เบือนหน้าหนี


รูปร่างสูง เกือบเท่า ‘โหมด’ ไคลน์·โมเร็ตติ… ชายหนุ่มเสริมในใจ


หลังจากย่อยโอสถผู้ไร้หน้าเสร็จสมบูรณ์ ไคลน์เพิ่มการตระหนักรู้ในรายละเอียดของแต่ละตัวตนที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะด้านบุคลิก ประสบการณ์ ความรู้ ความสัมพันธ์ระหว่างคนรอบข้าง รูปลักษณ์ และขนาดร่างกาย ทำให้สามารถสับเปลี่ยนเป็นตัวตนใดก็ได้ในพริบตา ดังนั้น หากตระหนักรู้อย่างชัดเจนว่าตัวเองเป็นใคร ก็สามารถใช้คำว่า ‘โหมด’ มาเรียกแทนตัวตนดังกล่าวได้อย่างเต็มปากโดยไม่เคอะเขิน และเหนือสิ่งอื่นใด ทุกการเปลี่ยน ‘โหมด’ จะคงสภาพรูปลักษณ์ใหม่ไว้ถาวร ไม่จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณเพื่อหล่อเลี้ยง หรือกล่าวได้ว่า ถึงตอนนี้ไคลน์จะสูญเสียพลังของผู้ไร้หน้า แต่มันจะยังอยู่ในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ต่อไป


หากต้องการ มันยังสามารถทำให้โหมดไคลน์·โมเร็ตติสูงขึ้นได้ทุกเมื่อ


กึก กึก กึก หญิงสาวที่แผ่บรรยากาศกดดันเดินผ่านหน้าไคลน์ ดึงเก้าอี้และนั่งลง


“เจอกันอีกแล้วนะ” หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลแต่ไร้อารมณ์


ทั้งน้ำเสียงและวิธีการพูด ทำไมเราถึงได้คุ้นเคยนัก… ภาพหนึ่งวาบขึ้นในใจไคลน์ ช่วยให้มันทราบถึงต้นตอความคุ้นเคยอย่างเลือนราง


ฉากที่อีกฝ่ายค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ ย้อนกลับมาฉายภายในใจอีกครั้ง จนกระทั่งภาพหยุดลงที่รองเท้าบูตหนังสีดำ!


นี่มัน… เป็นเธอนี่เอง! ไคลน์พลันฉุกคิดถึงฉากที่คล้ายคลึงกัน


มันเคยลอบเข้าไปในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติด้วยร่างวิญญาณ และบังเอิญได้พบกับครึ่งเทพตนหนึ่งขณะพยายามขโมยไพ่จักรพรรดิมืด อีกฝ่ายกำลังนั่งบนชั้นบนสุดของบันไดระหว่างชั้นหนังสือ ขาทั้งสองข้างที่สวมรองเท้าบูตหนังสีดำห้อยลงมา ลอยอยู่กลางอากาศ!


ตอนนั้นยังเป็นเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ หลังจากถูกไล่ล่าโดยสุนัขปีศาจและตะโกนโหวกเหวกขอความช่วยเหลือ ระหว่างทางได้พบเถาวัลย์สีเขียวที่ถักสานกลายเป็นถนน บีบบังคับให้รถม้าของตนต้องแล่นขึ้นไปในอากาศ โดยที่ด้านนอกหน้าต่าง ไคลน์เห็นเปลญวนซึ่งถักจากเถาวัลย์และรองเท้าบูตหนังสีดำ!


เป็นเธอนี่เอง! ทำไมถึงอยู่ในโลกความฝันเดียวกับเรา… ตัวจริงก็อยู่ไม่ไกล? แล้วก็… แล้วก็… เธอพูดออกมาว่า ‘พบกันอีกแล้วนะ’ ทั้งที่ตอนนี้เราคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์! สมองไคลน์ประมวลผลอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตอบหน้านิ่ง


“พวกเราไม่เคยพบกันมาก่อน”


ครึ่งเทพแล้วยังไง? ตราบใดที่ไม่ใช่ระดับเทวทูต ถ้าเป็นบนโลกความฝันแห่งนี้ เราสามารถใช้คทาเทพสมุทรสู้กับครึ่งเทพสักสองคนก็ยังไหว! ไคลน์พยายามปลุกใจเงียบๆ


สตรีขนคิ้วยาวนั่งลงฝั่งตรงข้าม เชิดคางขึ้นเล็กน้อย จ้องหน้าไคลน์สองวินาที


“แน่หรือ… มิสเตอร์จอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด”


เปรี้ยง! จิตใจไคลน์ราวกับถูกอสนีบาตฟาดผ่า จากนั้นก็ระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ยุ่งเหยิงและผสมปนเป มิอาจรวบรวมสมาธิกลับมา


ธ…เธอรู้จักจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด?


สามารถระบุได้ว่า… เราคือวิญญาณที่ขโมยไพ่เย้ยเทพออกจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ?


เรื่องแบบนี้… มันเป็นไปได้ยังไง!


เดี๋ยวก่อน… เธอเรียกเราว่าจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด หากเปลี่ยนเป็น ‘เชอร์ล็อก·โมเรียตี้’ เราคงตกตะลึงยิ่งกว่านี้และมิอาจเก็บซ่อนสีหน้าที่แท้จริงได้


ความคิดมากมายแล่นผ่าน ไคลน์ควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าตามสัญชาตญาณ กล่าวอย่างเยือกเย็น


“ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร”


หญิงสาวผู้มิได้แต่งกายตามสมัยนิยม ไม่ทวนคำซ้ำ ไม่อธิบายเพิ่มเติม เพียงกล่าวเสียงเรียบ


“บัตรประชาชนของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่คุณใช้… ฉันเป็นคนหามาเอง”


หนังศีรษะไคลน์พลันเย็นวาบ รู้สึกราวกับตนมิอาจปิดบังความลับใดต่อหน้าสตรีผู้นี้ได้


ตัวตนปลอมของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ถูกนำมาจากเครือข่ายข้อมูลมาดามชารอน… สตรีครึ่งเทพผู้นี้คือหนึ่งในเครือข่ายดังกล่าว?


ไม่เพียงเท่านั้น มาดามชารอนยังเคยกล่าวว่า ใครบางคนในชุมนุมลับของเธอกำลังสืบสวนหาตัวจริงของจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด โดยรับปากว่าจะให้ค่าตอบแทนที่สูงมาก เลือกวัตถุดิบวิเศษใดก็ได้ที่ต่ำกว่าครึ่งเทพ…


จากคำอธิบายของมาดามชารอน ผู้ว่าจ้างสูงราว 1.7 เมตร รูปร่างสมส่วนค่อนไปทางแข็งแรง ผมยาวสีเกาลัด ชอบสวมรองเท้าบูตหนัง ให้ตายสิ… หล่อนก็อยู่ตรงหน้าไม่ใช่รึไง… เราเคยสงสัยว่าคนที่ชารอนกล่าวถึง น่าจะเป็นครึ่งเทพที่พบเราในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ เพราะรู้ว่าเราเป็นคนขโมยไพ่จักรพรรดิมืดไป…


ความคิดมากมายแล่นผ่าน ไคลน์หมดคำจะกล่าวเป็นเวลานาน ทำอะไรไม่ได้นอกจากเงียบ


สตรีคางแหลมมิได้วกกลับเข้าสู่ประเด็นเก่า ที่ว่าใครเป็นเจ้าของตัวตนเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เพียงมองออกไปยังแสงแดดพลบค่ำด้านนอกและกล่าว


“ขณะที่คุณอยู่บนเกาะรอสต์ เรือ ‘จักรพรรดิมืด’ ของนาสต์·โซโลมอนเองก็ปรากฏตัวแถวนั้นเหมือนกัน… คงเข้าใจสิ่งที่ฉันหมายถึงใช่ไหม คุณจอมโจร”


ไม่เพียงอีกฝ่ายจะเปิดโปงตัวตน แต่ยังแสดงหลักฐานมัดตัวแน่นหนา ได้ยินเช่นนั้น ไคลน์ทำได้เพียงยกมุมปากและตอบกลับ


“กฎการดึงดูดของพลังพิเศษน่ะ”


สีหน้าของสตรีฝั่งตรงข้ามผ่อนคลายลงทันที คล้ายกับกำลังยิ้มเล็กๆ


“นายคือจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดจริงด้วย”


ไม่ได้มั่นใจอยู่แล้วหรอกหรือ… แต่เมื่อครู่ เธอเพิ่งแจกแจงเบาะแสอย่างละเอียดยิบพร้อมกับแสดงสีหน้ามั่นใจเสียเต็มประดา… แล้วทำไมถึงได้มั่นใจจากคำตอบล่าสุด? ยังมีหลักฐานอื่นที่ไม่ได้แสดงให้ดู? ไคลน์หงุดหงิดเล็กน้อย เจือความสับสน


สตรีผู้คล้ายกับอยู่ในอำนาจมานาน ไม่กล่าวสิ่งใดมากนัก เพียงมองไปทางชั้นหนังสือ


“คุณทราบว่าแผ่นคั่นหนังสือคือไพ่จักรพรรดิมืด เพราะอ่านพบจากไดอารีของเขาใช่ไหม”


ไดอารี… สตรีผู้นี้ทราบว่าบันทึกของโรซายล์คือไดอารี… ไคลน์พลันผงะ ยังไม่ตอบคำถาม


“ที่คุณไม่หยิบสมุดบันทึกเล่มนั้นออกมา เพราะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง?” สตรีลึกลับถามอีกครั้ง


นี่มัน… ไคลน์พลันฉุกคิดบางสิ่ง เลือกจะไม่ตอบคำถาม เพราะไม่ต้องการตกเป็นเบี้ยล่างในการสนทนาและปล่อยให้หล่อนจูงจมูกอยู่ฝ่ายเดียว


ชายหนุ่มจ้องเข้าไปในดวงตาสีฟ้าเข้มของสตรีตรงหน้า ซักถามอย่างเปิดเผย


“คุณคือบุคคลลึกลับที่คอยจับตามองบนอนาคตกาลใช่ไหม”


หญิงงามผู้มีบรรยากาศสูงสง่าจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ตอบกลับอย่างใจเย็น


“ถูกต้อง กระทั่งแคทลียาก็ยังไม่ทราบฉันอยู่บนอนาคตกาล แต่คุณกลับตรวจพบ… สัญชาตญาณของตัวตลกหรือ?”


หลังจากสำรวจมาสักพัก ผนวกกับข้อมูลในอดีต เธอสามารถยืนยันได้ว่าเราคือผู้ไร้หน้า… นักมายากล… พิจารณาจากวิธีการพูดเมื่อครู่ เธอคงคุ้นเคยกับพลเรือเอกดวงดาวเป็นอย่างดี… เป็นสมาชิกระดับสูงของนิกายมอสส์ หรือ ‘ราชินีเงื่อนงำ’ คนนั้นกัน? ไคลน์พยักหน้าและกล่าวต่อ


“ถูกต้อง”


หญิงสาวเชิดคางอีกครั้ง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย


“ตัวตลกธรรมดาไม่มีทางหยั่งถึงได้แน่ ต่อให้เป็นลำดับ 5 ก็ตาม”


เธอค้นพบความผิดปรกติอีกครั้ง… ดูเหมือนว่า… จะรู้จักเส้นทางนักทำนายเป็นอย่างดี… ที่เธอพูดมาก็ไม่ผิด เราได้รับความช่วยเหลือจากพลังของมิติหมอก ทำให้มองเห็นนิมิตลางสังหรณ์แม้จะไม่ใช่ภัยคุกคาม… ไคลน์ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูด ชิงกล่าว


“แอนเดอร์สัน·ฮู้ดได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านในโถงจิตรกรรม เป็นคุณใช่ไหม”


“คุณหมายถึงนักล่าผู้โชคร้าย?” สตรีฝั่งตรงข้ามถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด


“ใช่” ไคลน์พยักหน้า


“เป็นฉันเอง” สตรีฝั่งตรงข้ามเว้นวรรค “ฝากคำพยากรณ์ไปเตือนนักล่าคนนั้นด้วยว่า อันตรายที่ร้ายแรงที่สุดมักซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวันแสนธรรมดา”


หมายความว่ายังไง… ไคลน์ยังคงไม่มีความคิดที่จะอธิบายนิมิตลางสังหรณ์ของตน ครุ่นคิดสักพักก่อนถามในเรื่องใหม่


“คุณทำให้ผมปรากฏตัวในความฝันของนักบุญมืดใช่ไหม”


สตรีฝั่งตรงข้ามรวบผมสีเกาลัด น้ำเสียงอ่อนนุ่มแต่ไร้อารมณ์


“เดาได้ไม่ยากกระมัง… จากความฝันดังกล่าว ฉันสามารถยืนยันได้ว่า คุณคือคนที่นำสมบัติของงูทะเลคาเวทูว่ากลับไป… เฉกเช่นคราวก่อน คุณปรากฏตัวด้วยร่างวิญญาณ ชิงสมบัติต่อหน้าแยนน์·ค็อตแมนและหายตัวไปในพริบตา… จริงสิ ตอนนั้นคุณพกไพ่จักรพรรดิมืดมาด้วย”


ไคลน์ไม่ตอบ เพียงหันไปถาม


“คุณคือราชินีเงื่อนงำใช่ไหม”


“หลายคนเรียกแบบนั้น” หญิงสาวตอบหน้านิ่ง


เป็นเธอจริงๆ ด้วย… สตรีผู้มีค่าหัวหกแสนห้าหมื่นปอนด์ และนั่นเฉพาะโลเอ็น! ไคลน์ถอนหายใจเงียบพลางกล่าว


“มาดาม คุณมีธุระอะไรกับผม”


ด้วยดวงตาสีฟ้า ราชินีเงื่อนงำจ้องชายหนุ่มสองสามวินาที ตามด้วยกล่าว


“อยากให้ช่วยแบ่งปันวิธีถอดรหัสข้อความที่โรซายล์มหาราชประดิษฐ์ขึ้น แลกกับอะไรก็ได้ ฉันคิดว่าสามารถหาได้เกือบทุกสิ่งที่คุณต้องการ”


ไคลน์ไม่ยอมรับ ไม่ปฏิเสธ เพียงยิ้มและกล่าว


“รวมถึงสูตรโอสถของลำดับสูงด้วยหรือ”


ราชินีเงื่อนงำเพ่งมองชายหนุ่มด้วยอารมณ์ยับยั้ง แต่ก็ไม่สั่นคลอน


“ชะตากรรมของคุณอยู่บนยอดเขาโฮนาซิส”


นี่มัน… ไคลน์ตะลึงจนพูดไม่ออก


ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีเล็กน้อย ระหว่างนั้น ราชินีเงื่อนงำลุกขึ้น


“ในอนาคต หากคุณต้องการความช่วยเหลือหรือเบาะแสของไพ่เย้ยเทพ ถึงตอนนั้นค่อยตอบคำถามของฉัน”


หญิงสาวหันหลังกลับ เดินเข้าไปในหอสมุดที่กว้างใหญ่และสะอาดสะอ้าน หนึ่งก้าว สองก้าว ร่างกายเล็กลงทีละนิดจนกระทั่งลับสายตา


หอสมุดทั้งหลังเริ่มพังครืน หลังจากสติเลือนรางไปพักหนึ่ง ไคลน์พบว่าตัวเองกำลังอยู่ท่ามกลางห้องโถงที่เต็มไปด้วยจิตรกรรมฝาผนัง


แอนเดอร์สันจ้องชายหนุ่มด้วยสีหน้าตกตะลึง ก่อนจะโพล่ง


“นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”


………………………………….


ราชันเร้นลับ 663 : แตกตื่นไปเอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ได้ยินคำถามจากแอนเดอร์สัน ไคลน์คิดคำตอบไม่ทันไปชั่วขณะ คงจะบอกอีกฝ่ายไปตามตรงไม่ได้ว่า ตนเพิ่งออกมาจากความฝันของ ‘ราชินีเงื่อนงำ’


ชายหนุ่มชำเลือง ‘นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด’ ด้วยสายตาเฉยเมย ยกมือขึ้นและชี้ไปด้านบน


“แบบนี้นี่เอง…” แอนเดอร์สันพยักหน้าคล้ายกับเข้าใจบางสิ่ง


เข้าใจว่าอะไร? แม้แต่เรายังไม่รู้… ไคลน์ยกมุมปาก ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นเพราะนึกบางสิ่งออก


“ฉันไปเจอใครบางคนมา”


“ฉันรู้จักไหม? ใช่สมาชิกของอนาคตกาลรึเปล่า? หรือจะเป็นคนที่เปิดประตูส่วนลึกของโถงจิตรกรรมเมื่อคราวก่อน?” แอนเดอร์สันพลันตื่นเต้น


หมอนี่… ไม่มีมาดของ ‘นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด’ เลยสักนิด เหมือนกับพวกนักข่าวไฟแรงมากกว่า… ไคลน์รำพัน ไม่ตอบคำถามโดยตรง เพียงกล่าวต่อไป


“เธอบอกให้ฉันนำคำพยากรณ์มาเตือนนาย”


“เธอ… คำพยากรณ์อะไร?” แอนเดอร์สันเผยสีหน้าประหลาดใจ


หากเราอยู่ในร่างไคลน์·โมเร็ตติ คงตอบกลับไปว่า ‘ขอโทษด้วย แต่ฉันลืมไปแล้ว เธอพูดแค่ครั้งเดียวโดยไม่ได้ทวน’ … ไคลน์จินตนาการมุกตลกที่ตนไม่มีโอกาสได้เล่น ก่อนจะพูดเสียงเบา


“อันตรายที่ร้ายแรงที่สุด มักซ่อนอยู่ในชีวิตประจำวันแสนธรรมดา”


แอนเดอร์สันตั้งใจฟังสักพัก จากนั้นก็ซี้ดปาก


“ถูกเผง! ฉันเผลอดื่มเหล้าที่เกือบทำให้ตัวเองกลายเป็นคนปัญญาอ่อน ใครจะไปคิดว่า ลูกเรือจำนวนมากของอนาคตกาลกำลังดื่มเหล้าที่ไม่ปรกติ!”


แอนเดอร์สันครุ่นคิดสองสามวินาที ซักถามด้วยสีหน้าลังเล


“แค่นี้? นายตกหล่นรายละเอียดหรือคำสำคัญไปรึเปล่า?”


กำลังกวนส้นเท้ากันหรือไง… ไคลน์เลิกสนใจแอนเดอร์สัน·ฮู้ด เดินตรงไปยังประตูทางเข้าโถงจิตรกรรมและเหลือบมองแฟรงค์·ลี นีน่า และคนอื่น ๆ


ย้อนกลับไปขณะที่อยู่ในหอสมุดเมื่อครู่ เราถูกราชินีเงื่อนงำกล่าวหาว่าเป็นคนเดียวกับจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดอย่างกะทันหัน จึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงหลังจากนั้นจะพยายามทำลายจังหวะการสนทนาของอีกฝ่ายเพื่อมิให้ถูกจูงจมูก แต่นั่นกลับทำให้สมองตึงเครียดเกินไป ต้องคอยคิดคำตอบโต้ให้ทัน โดยไม่มีเวลาพอจะวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดอย่างใจเย็น บางสิ่งจึงตกหล่นไปในห้วงความคิดที่บกพร่อง แต่ตอนนี้ เรามีเวลาแล้ว…


ประการแรก หนึ่งในคำถามสำคัญที่ต้องรีบหาคำตอบโดยเร็วก็คือ ราชินีเงื่อนงำมีข้อมูลเกี่ยวกับเราและไดอารีจักรพรรดิโรซายล์มากแค่ไหน?


อา… เธอเพียงเชื่อว่าเราสามารถถอดรหัสข้อความที่โรซายล์มหาราชประดิษฐ์ขึ้น แต่มิได้ระบุว่าข้อความเหล่านั้นคือภาษาใด จริงอยู่ ความหมายของสองสิ่งนี้อาจไม่แตกต่างกันนัก แต่ก็ช่วยพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า ตัวตน ‘นักเดินทางข้ามโลก’ ของเราและโรซายล์ ยังไม่ใช่สิ่งที่ราชินีเงื่อนงำสามารถจินตนาการถึง…


มาดามชารอนไม่ใช่หน้าใหม่ในวงการผู้วิเศษ และมิได้อ่อนต่อโลกขนาดนั้น หากจ้างให้ใครสักคนช่วยสร้างตัวตนปลอมขึ้นมา คงไม่แพร่งพรายข้อมูลของผู้ว่าจ้างที่แท้จริงออกไปแน่ และเหนือสิ่งอื่นใด รูปภาพที่เราแนบไปด้วยคือใบหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์…


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ราชินีเงื่อนงำไม่มีเบาะแสเพียงพอที่จะยืนยันว่า เชอร์ล็อก·โมเรียตี้คือคนคนเดียวกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์… ต้องใช่แน่ เพราะหากเธอมั่นใจ คงเรียกเราว่าเชอร์ล็อก·โมเรียตี้มากกว่าจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด… ผลกระทบทางจิตใจจะรุนแรงกว่าเดิมราวสามถึงห้าเท่า…


จากข้อสรุปดังกล่าว เธอพบข้อมูลสำคัญท่ามกลางเบาะแสที่กระจัดกระจายเช่นนี้ได้อย่างไร…


เธออาจทราบก่อนอยู่แล้วว่า แผ่นคั่นหนังสือคือไพ่จักรพรรดิมืด ราชินีเงื่อนงำจึงอนุมานได้ว่า จอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด เป็นคนเดียวกับวิญญาณที่ขโมยแผ่นคั่นหนังสือในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไป โดยหลังจากนั้น เมื่อราชาแห่งห้าห้วงสมุทร นาสต์ ปรากฏตัวบนน่านน้ำหมู่เกาะรอสต์ กฎการดึงดูดระหว่างพลังพิเศษทำให้เธอเริ่มสงสัยว่า จอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดเองก็น่าจะอยู่แถวบายัมหรือหมู่เกาะใกล้เคียงเช่นกัน…


หลังจากตรวจสอบหมู่เกาะรอสต์ได้สักพัก ราชินีเงื่อนงำเริ่มผิดสังเกตในตัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ผนวกกับการที่อีกฝ่ายมีเส้นทางการเคลื่อนไหวคล้ายคลึงกับจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืด เธอจึงผุดสมมติฐานขึ้นและต้องการตรวจสอบ จึงลอบขึ้นเรืออนาคตกาล เฝ้าจับตาเราอย่างใกล้ชิด…


สมเหตุสมผล… แต่ยังมีบางจุดที่บังเอิญเกินไป เช่น นาสต์ ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร สามารถปรากฏกายที่ใดก็ได้ตามใจชอบ บางที เขาอาจแค่คิดถึงนางโลมสักคนในโรงละครแดง จึงนำเรือแล่นผ่านโลกวิญญาณมาโผล่น่านน้ำหมู่เกาะรอสต์ หรือในบายัมอาจมีวัตถุดิบลำดับสูงของเส้นทางจักรพรรดิมืดปรากฏออกมา ส่งผลให้เกิดแรงดึงดูด… ประเด็นนี้ยากจะผูกโยงกับจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดได้โดยตรง…


อย่างไรก็ตาม การที่ราชินีเงื่อนงำนำมาเชื่อมโยงกันก็ไม่ใช่เรื่องผิด บางที เธออาจมีนิสัยชอบลองเสี่ยงดีกว่าปล่อยให้โอกาสหลุดมือและเสียใจในภายหลัง… หึหึ รสนิยมแบบนี้ก็ไม่แย่ แต่คุณจะเหนื่อยหน่อยนะ…


และบางที เธออาจไม่ได้เพ่งเล็งเกอร์มัน·สแปร์โรว์ หากแต่เป็นทั่วทั้งน่านน้ำเกาะรอสต์ ไม่ว่าจะบายัมหรือหมู่เกาะใกล้เคียง แต่บังเอิญชื่อเสียงของนักผจญภัยเสียสติ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ โด่งดังมากเป็นพิเศษในช่วงดังกล่าว จึงเริ่มมาตรวจสอบและพบความคล้ายคลึง จนผุดสมมติฐานขึ้นมา…


เฮ่อ… ถ้าเราทำตัวไม่เด่นดังคงดีกว่านี้… น่าเสียดาย การสวมบทบาทกำลังจะสิ้นสุดลง เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะไม่ปรากฏตัวที่ไหนอีกแล้ว! ไคลน์พยายามวิเคราะห์ทุกสิ่งอย่างละเอียด จนกระทั่งเริ่มตระหนักถึงปัญหาและช่องโหว่


ทว่า มันยังมีอีกหนึ่งแนวคิด อีกหนึ่งสมมติฐาน!


ในวินาทีที่พลเรือเอกดวงดาวรับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ขึ้นเรือ เธอเล่นใหญ่อย่างโฉ่งฉ่าง ออกนอกหน้าเสียจนสามารถรับประกันได้ว่า ข่าวลือที่เธอร่วมมือกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะต้องแพร่กระจายออกไปแน่นอน!


บางที นั่นอาจเป็นคำบอกใบ้ และทำให้ราชินีเงื่อนงำตัดสินใจขึ้นเรือ… หลังจากสำรวจพฤติกรรมของเรามากพอ เธอจึงมั่นใจในสมมติฐาน… แปลว่านั่นไม่ใช่คำถามหยั่งเชิง แต่มาจากความมั่นใจเสียเต็มประดา! ไคลน์สอดมือล้วงกระเป๋าข้างหนึ่ง เดินออกจากโถงจิตรกรรม เป้าหมายคือแคทลียา พลเรือเอกดวงดาวด้านนอกอารามสีดำ มันจะฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายสะลึมสะลือในความฝัน ซักถามทุกเรื่องอย่างเถรตรง


มาถึงจุดนี้ มันเริ่มผ่อนคลายลงมาก เพราะราชินีเงื่อนงำทราบแต่เพียงว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นคนเดียวกับจอมโจรวีรบุรุษจักรพรรดิมืดและคอยรับใช้บุคคลระดับสูงนิรนามสักคนหนึ่ง มิได้ล่วงรู้ไปถึงความลับที่น่ากังวล


ถึงเธอจะนำไปเชื่อมโยงกับเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ ยอดนักสืบผู้ปรากฏตัวใกล้กับพิพิธภัณฑ์แห่งชาติในคืนที่ไพ่จักรพรรดิมืดถูกขโมย ปัญหาที่ตามมาก็มิได้ร้ายแรงอะไรนัก…


แต่ไหนแต่ไร เรามีเจตนาจะให้ทุกคนเชื่อว่า เชอร์ล็อก·โมเรียตี้คือคนเดียวกับ ‘เดอะเวิร์ล’ ผู้เป็นข้ารับใช้ของเดอะฟูล และเกอร์มัน·สแปร์โรว์คือภาคเสริมของตัวตนดังกล่าวอีกที… หึหึ นี่คือสิ่งที่เราวางแผนไว้ตั้งแต่ต้น มิได้คิดว่าทุกคนเป็นไอ้งั่ง ตราบใดที่ยังมีตัวตนในสังคม ทั้งความสัมพันธ์ส่วนตัว พฤติกรรม และร่องรอย จะยังคงอยู่ให้สืบสาวถึง ดังนั้น เราต้องสร้างตัวละครให้มีมิติซับซ้อนสำหรับรับมือคนฉลาด โดยชีวิตประจำวันก็ต้องสอดคล้องกับแผนดังกล่าวอย่างเคร่งครัด…


และคงไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากอะไรนัก หากข้ารับใช้ของตัวตนที่ยิ่งใหญ่จะอ่านไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ออก โลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่า ‘พร’ แห่งเทพอยู่…


หึหึ เธอต้องคาดไม่ถึงแน่ ว่าภายใต้หน้ากาก ยังมีหน้ากากซ่อนอยู่อีกหนึ่งใบ!


ท่ามกลางกระแสความคิดมากมาย ไคลน์รู้สึกว่าทั้งพลังของมิติหมอกและความไม่ประมาทของตน คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ความลับยังไม่แตก หากไม่เพราะตนมองเห็นนิมิตดวงตาลึกลับ หากไม่เพราะเชื่อในสัญชาตญาณ ป่านนี้มันคงอัญเชิญผู้ส่งสารออกมาต่อหน้าราชินีเงื่อนงำแล้ว


จริงอยู่ ตัวผู้ส่งสารคงไม่ทำให้ความลับแตก แต่ราชินีเงื่อนงำอาจมีวิธีสะกดรอยมัน จนสืบสาวไปถึงมิสเตอร์อะซิก ขยายผลไปถึงจุดที่เขาเคยอาศัยในอดีต และพบว่าเราคือไคลน์·โมเร็ตติ… ไคลน์เดินผ่านจัตุรัสที่เต็มไปด้วยลูกศรยักษ์จำนวนมาก ผ่านประตูอารามสีดำ จนกระทั่งเห็นพลเรือเอกดวงดาว แคทลียา กำลังนั่งชันเข่า เฝ้ามองทัศนียภาพอันงดงามของยามพลบค่ำ


ไคลน์กระโดดขึ้นหินก้อนใหญ่ เดินมายืนข้างต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาจนเหลือง ท่ามกลางฉากอันงดงามของสิ่งก่อสร้างฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มซักถามเสียงเรียบ


“ที่เมืองนาส คุณสร้างสะพานดวงดาวเพื่อรับผมขึ้นเรือ… เพราะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงใช่ไหม”


แคทลียาเอียงคอเล็กน้อย


“ฉันไม่บอก!”


“…” ไคลน์หมดคำพูด


มันเคยคิดว่า ภายในความฝัน พลเรือเอกดวงดาวจะต้องซื่อตรงต่อความรู้สึก จึงมิได้เตรียมรับมือกับท่าทีตอบสนองเช่นนี้ จริงอยู่ คำตอบเมื่อครู่ก็ถือเป็นความซื่อตรงรูปแบบหนึ่ง แต่นั่นมาจากจิตใต้สำนึกมากเกินไป


หลังจากเงียบงันสองสามวินาที ไคลน์ถามหยั่งเชิง


“คุณใช้โอกาสดังกล่าวเพื่อบอกใบ้ให้ใครบางคนจับตามองผมใช่ไหม”


แคทลียาสูดลมหายใจยาว ไม่มีการเปลี่ยนอิริยาบถของท่านั่งกอดเข่า


“ก็ใช่ แต่ไม่ทั้งหมด จุดประสงค์หลักคือการให้ทุกคนเป็นสักขีพยาน หากมีความผิดปรกติเกิดขึ้นกับตัวฉัน คุณคือเบาะแสสำคัญ”


เป็นอย่างที่คิด… ไคลน์ถอนหายใจภายใน


พฤติกรรมปกป้องตัวเองของแคทลียาคือสิ่งที่เข้าใจได้ แต่หากมองในมุมเดอะฟูล การกระทำเช่นนี้สมควรต้องถูกลงโทษ


ในส่วนของข้อเสนอจากราชินีเงื่อนงำ มันมิได้แยแสเลยสักนิด


ไดอารีของโรซายล์มหาราชเขียนเกี่ยวกับการเดินทางข้ามโลกเอาไว้ คงไม่ฉลาดนักหากสอนให้ราชินีเงื่อนงำถอดความหมาย เพราะถ้าเธอได้ทราบข้อมูลดังกล่าว อาจคาดเดาไปถึงความลับของเราได้อย่างลึกซึ้ง!


สำหรับปัจจุบัน ราชินีเงื่อนงำน่าจะเกรงใจตัวตนระดับสูงที่ให้เรายืมคทาเทพสมุทรอยู่พอสมควร คงไม่กล้าใช้วิธีรุนแรงสักเท่าไร… ถ้าเราต้องพึ่งพาความช่วยเหลือของเธอในอนาคต หรือเธอมีข้อมูลสำคัญที่เราอยากทราบ ก็อาจแลกเปลี่ยนด้วยการช่วยแปลไดอารีหน้าสำคัญให้ แต่จะไม่สอนภาษาจีนกลางโดยเด็ดขาด อา… และถึงจะแปลให้ แต่ก็คงผสมน้ำเข้าไปด้วย หรือไม่ก็เลี่ยงบาลี ใช้คำที่คล้ายคลึงกัน รักษาไว้เพียงประเด็นสำคัญ ด้วยวิธีนี้ เธอก็จะใช้การถอดรหัสย้อนหลังไม่ได้… ไคลน์เบือนสายตากลับ พลางซักถามแคทลียา


“มีข่าวลือว่าคุณกับราชินีเงื่อนงำแตกหักกัน แต่จากที่ผมเห็น ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น”


แคทลียาเผยสีหน้าสับสนอย่างชัดเจน ถึงกับเม้มริมฝีปาก


“ฉันไม่มีสิทธิ์ไปแตกหักกับท่านสักหน่อย… ถูกขับไล่ออกมาต่างหาก”


ถูกขับไล่… ขณะไคลน์เตรียมถามเพิ่ม แสงสว่างของดวงอาทิตย์พลันท่วมท้นทัศนียภาพ ส่งผลให้ต้องตื่นตามธรรมชาติอย่างมิอาจเลี่ยง


แหงนมองท้องฟ้าสุกสว่างด้านนอก ชายหนุ่มเช็ดหน้าผาก พึมพำกับตัวเองเงียบงัน


“เป็นฝันที่น่ากลัวชะมัด”


หลังจากสลัดอารมณ์ทิ้ง ไคลน์กลิ้งตัวออกจากเตียง เดินไปยังดาดฟ้าเรือ กวาดตามองรอบ ๆ โดยหวังว่าจะได้พบนางเงือก


ราวหนึ่งชั่วโมงถัดมา ในที่สุดมันก็ได้ยินเสียงเพลงอันแผ่วเบาและพร่ามัว ดังมาจากจุดห่างไกล


……………………………………


ราชันเร้นลับ 664 : แข่งกับเวลา

โดย

Ink Stone_Fantasy

นางเงือก?


ไคลน์พลันปลาบปลื้ม ความตื่นเต้นที่เคยห่างหายไปนาน กลับมาเกิดขึ้นในใจอีกครั้ง


นับตั้งแต่เริ่มเดินทางออกจากกรุงเบ็คลันด์ก่อนต้นเดือนเมษายน มันผ่านอะไรมากมาย จนในที่สุดก็มาถึงจุดหมายของการเดินทาง ได้พบกับเงื่อนไขสุดท้ายของการเลื่อนเป็นลำดับ 5 นักเชิดหุ่น!


ยิ่งเดินทางบนทะเลเนิ่นนาน ความร้อนรนและกระวนกระวายก็ยิ่งทวีคูณ ทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นบนอนาคตกาลนั้นน่าเหลือเชื่อ แค่คิดย้อนกลับไปยังชวนให้ขนหัวลุก แถมยังมีอันตรายที่มองไม่เห็นจากสามช่วงเวลาอันประกอบด้วยกลางวัน กลางคืน และโลกความฝันของสนามรบแห่งเทพ ทุกสิ่งบีบคั้นจนชายหนุ่มตึงเครียด ทุกนาทีผ่านไปอย่างทุกข์ทรมาน


แล้วตอนนี้ล่ะ? ทั้งอารมณ์และความกดดันที่สั่งสม ในที่สุดก็มีโอกาสได้ปลดปล่อย


ฟู่ว… ไคลน์หายใจเชื่องช้า กลับเข้าไปในห้องโดยสาร ตรงไปยังห้องพักของตน


โดยไม่ตื่นตระหนักหรือหลงลืม มันดำเนินการตามแผนที่วางไว้ นำนกหวีดทองแดงของอะซิกและนกกระเรียนกระดาษออกมาวาง ใช้เป็นเครื่องมือขัดขวางการสอดส่องของราชินีเงื่อนงำที่อาจเกิดขึ้น


ชายหนุ่มหยิบพลังวิญญาณตกค้างของวิญญาณอาฆาต ดวงตาการ์กอยล์หกปีกหนึ่งคู่ เปลือกต้นมังกร และขวดโลหะที่บรรจุน้ำพุทองคำบนเกาะโซเนียออกจากกระเป๋าเดินทาง วางเรียงรายบนโต๊ะอ่านหนังสือ เข้าห้องน้ำ ล็อกประตู และประกอบพิธีกรรมรับมอบอย่างชำนาญ


หลังจากเตรียมพิธีกรรมเสร็จ มันไม่รีบเข้ามิติเหนือหมอกไปตอบสนอง แต่ลงมือประกอบพิธีกรรมอื่นซ้อนทับ – พิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง!


เดินถอยหลังสี่ก้าว ท่องคาถาเสียงต่ำ ไคลน์ส่งตัวเองเข้ามิติหมอก ตอบสนองต่อพิธีกรรมอัญเชิญและส่งร่างวิญญาณออกมายังโลกจริง เพื่อนำถุงมือ ‘อินธน์’ กลับสู่มิติหมอกเทา


ไคลน์มิได้ผ่อนคลายเมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนแรก รีบนำตัวเองมายังที่นั่งเดอะฟูล เสกกระดาษและปากกา เขียนประโยคทำนายอย่างรวดเร็ว


“เพลงที่ได้ยินมาจากนางเงือก”


ถอดจี้บุษราคัม ยืนยันสถานการณ์ด้วยพลังทำนาย


เป็นนางเงือกที่กำลังร้องเพลงด้านหน้าอนาคตกาล!


ไคลน์พยายามสงบสติอารมณ์ กวักมือเสกให้กล่องบุหรี่โลหะลอยออกจากกองขยะ หล่นลงบนโต๊ะทองแดงยาวที่มีร่องรอยความเก่าแก่


กริ๊ก ฝากล่องเปิดออก ‘ดวงตาดำล้วน’ ที่ปราศจากรูม่านตากำลังนอนแน่นิ่งอย่างสงบ สัมผัสได้ถึงความอันตรายและบ้าคลั่งอย่างเจือจาง แต่อยู่ในสภาพหลับใหล


จ้องมองเงียบงันราวสองวินาที ไคลน์หยิบอินธน์ขึ้นมาสวมที่มือขวา


เมื่อเตรียมตัวเสร็จ ชายหนุ่มไม่ลังเลอีกต่อไป เหยียดมือขวาไปข้างหน้า กางนิ้วทั้งห้าออกจากกัน


ทัศนียภาพพลันถูกย้อมด้วยกลุ่มแสงสีสันฉูดฉาด ทั้งสีเทา เขียวทองแดง แดงเข้ม และสีดำ ทั้งหมดคือสีพื้นหลักของมิติลึกลับแห่งสายหมอก


เมื่อมองเข้าไปในดวงตาดำล้วน สีดำเหล็กกำลังวูบวาบและโอบกอดสีที่เหลือทั้งหมด


ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสัมผัสวิญญาณ อาศัยเพียงข้อมูลของศาสตร์เร้นลับที่เคยศึกษามา ไคลน์ทราบได้ทันทีว่า แสงสีดำเหล็กหมายถึงการกัดกร่อนทางจิตของ ‘พระผู้สร้างที่แท้จริง’!


ท่ามกลางความตื่นตัว มันงอนิ้วจับเป้าหมาย ตามด้วยบิดข้อมือ


แสงสีดำเหล็กถูกดึงออกในคราวเดียว ผสานเป็นหนึ่งกับถุงมืออินธน์ และเพียงพริบตา ไคลน์ได้ยินเสียงเพรียกซึ่งอัดแน่นด้วยความชั่วร้าย น่ากลัว และอธิบายไม่ได้ ที่มันคุ้นเคยเป็นอย่างดี


เสียงดังกล่าวทำลายสตินึกคิดชายหนุ่มโดยสมบูรณ์ ลบเลือนจิตใจ นำพาความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ราวกับศีรษะจะระเบิด แต่ก็ถูกพลังของมิติหมอกเทาสยบไว้ในทันที


ไคลน์ไม่มัวครุ่นคิดให้เสียเวลา รีบทำตามแผนที่เคยซักซ้อมมาหลายหน ใช้มือซ้ายกระชากถุงมืออินธน์ออกจากมือขวา โยนลงบนพื้นหินของราชวังอันโอ่อ่า


เมื่อเสียงเพรียกเลือนหาย ไคลน์รีบคว้าดวงตาดำล้วนที่ปลอดพิษภัย ตอบสนองต่อพิธีกรรมรับมอบ ส่งตะกอนพลังที่จำเป็นสำหรับ ‘นักเชิดหุ่น’ ผ่านประตูมายาลงไปยังแท่นบูชาภายในห้องน้ำ


ชายหนุ่มไม่คิดผลาญเวลา เพียงชำเลืองสายตาไปมองถุงมืออินธน์ที่กำลังแผ่กลิ่นอายความชั่วร้าย ถูกย้อมด้วยสีเหล็กดำ นิ้วทั้งห้าบิดเบี้ยว และกึ่งกลางฝ่ามือฉีกขาด จากนั้นก็รีบส่งจิตดำดิ่งกลับไปยังโลกแห่งความจริง


ถ้าเราปล่อยให้ยุบพองหิวโหยเห็นสภาพของอินธน์เมื่อครู่ น่าสนใจว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร… ไคลน์ที่ลืมตาขึ้น หยิบดวงตาดำล้วนจากแท่นบูชา แต่ขณะกำลังจะเดินออกไป ชายหนุ่มฉุกคิดบางสิ่งได้กะทันหัน


มันเดินไปหยุดหน้าโต๊ะอ่านหนังสือ หยิบหม้อนมเหล็กที่นำมาจากครัวของอนาคตกาลขึ้นมาวาง เทน้ำพุทองคำจากเกาะโซเนียลงไปแปดสิบมิลลิลิตร


ของเหลวสีทองอ่อนยุบพองอย่างเชื่องช้า โปร่งใสและกระจ่างชัด ใครก็ตามที่ได้เห็นเป็นต้องอยากยกซดเพื่อดับกระหาย


ทั้งเปลือกต้นมังกร ดวงตาคู่หนึ่งของการ์กอยล์หกปีก และพลังวิญญาณตกค้างของวิญญาณอาฆาตโบราณ ล้วนถูกไคลน์จับโยนลงหม้อ ก่อให้เกิดการตอบสนองที่แตกต่าง จนกระทั่งสีหลักของเนื้อโอสถกลายเป็นทองเข้ม แต่กลับดูบางเบา ปราศจากน้ำหนัก


ท่ามกลางช่วงเวลาสำคัญ ไคลน์ที่เยือกเย็นจนน่าเหลือเชื่อ หยิบดวงตาดำล้วนซึ่งปราศจากรูม่านตาด้วยความไม่ประหม่า วางลงบนเนื้อโอสถเหลวในหม้อ


เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า การกัดกร่อนทางจิตของพระผู้สร้างแท้จริง มิอาจทะลุทะลวงมิติหมอกกลับมายังดวงตาดำล้วนได้!


นี่คือสิ่งที่มันหวังให้เป็นมาตลอด!


เมื่อดวงตาดำล้วนจมลงไปในของเหลวสีทองเข้ม ฟองอากาศเริ่มลอยขึ้นมาบนผิว


ทุกฟองแตกออกจนเนื้อโอสถเริ่มกลายเป็นสีดำ จนกระทั่งผ่านไปราวสิบวินาที การเปลี่ยนแปลงทุกชนิดได้หยุดลง


ภายในหม้อนม โอสถสีดำล้วนเริ่มจับตัวกัน ดูคล้ายกับหนอนแมลงตัวเล็ก ๆ ที่ยากจะเห็นด้วยตาเปล่าจำนวนมาก กำลังยุบพองอยู่ภายใน


ไคลน์นำเหรียญทองออกมา รีบดีดทำนายยืนยันผลลัพธ์


เมื่อคำตอบออกมาในเชิงบวก มันถอนหายใจพลางเทโอสถ ‘นักเชิดหุ่น’ ลงในขวดโลหะที่เตรียมไว้ล่วงหน้า ก่อนจะสอดไว้ในกระเป๋าเสื้อ


ชายหนุ่มไม่รีบร้อน ไม่กระวนกระวาย ทำตามขั้นตอนอย่างใจเย็น รีบเก็บกวาดแท่นบูชาภายในห้องน้ำ รวมไปถึงนกหวีดทองแดงของอะซิกและนกกระเรียนกระดาษของวิล·อัสติน


จากนั้น ไคลน์ออกจากห้องพัก ตรงไปทางดาดฟ้าเรือ


ในวินาทีนี้ อักขระเวทมนตร์และลวดลายประหลาดบนผิวเรืออนาคตกาลกำลังส่องแสงจนเด่นชัด ก่อให้เกิดท้องทะเลดวงดาวพราวพราย เสียงขับขานของนางเงือกถูกบรรเทาลงหลายส่วน


มีข่าวลืออย่างหนาหูว่า เสียงเพลงของนางเงือกจะทำให้มนุษย์สิ้นสติ กลายเป็นคนบ้าและกระโดดลงจากเรือ ตกเป็นอาหารแสนโอชะของพวกหล่อน


ไคลน์เงยหน้าขึ้นตามจิตใต้สำนึก มองไปทางหน้าต่างห้องกัปตัน


พลเรือเอกดวงดาวกำลังยืนรออยู่ รอบตัวรายล้อมด้วยมวลหมู่ดารา จ้องมาทางชายหนุ่มด้วยอารมณ์ซับซ้อน


หรือว่าจะเธอจะจำบทสนทนาในความฝันได้? ไคลน์รำพันพลางกล่าวเสียงเรียบ


“ขอเรือเล็กหนึ่งลำ”


“พร้อมแล้ว” แคทลียาจ้องไปทางเรือเล็กด้านข้างโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


ย้อนกลับไปในตอนที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ว่าจ้างอนาคตกาล มันเน้นย้ำจุดประสงค์อย่างชัดเจนว่า ตนต้องการตามหานางเงือก!


โดยไม่รีรอ ไคลน์ออกจากอนาคตกาล หลุดพ้นจากขอบเขตการปกป้องของดวงดาวพราวพรายและเหยียบลงบนเรือเล็กในทะเล


เสียงร้องอันพร่ามัวดังมาตามสายลม คล้ายกับพยายามทะลวงเข้าสู่ดวงวิญญาณโดยตรง สติชายหนุ่มพลันชาชินและไร้ความรู้สึก เริ่มอยากได้ยินได้ฟังมากกว่านี้


ระยะห่างแค่นี้ยังไม่ใกล้พอ…ไคลน์รับรู้ได้จากสัมผัสวิญญาณ ตนต้องเข้าไปใกล้และฟังเสียงเพลงให้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม จึงจะผ่านเงื่อนไขของพิธีกรรม


“พายุ!”


ไคลน์หยิบเครื่องรางที่ทำจากดีบุกสีขาว เรียกสายลมอันรุนแรงเผื่อผลักเรือเล็กให้แล่นไปข้างหน้า


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ เสียงเพลงของนางเงือกดังขึ้นอย่างกะทันหัน ดังเสียจนไคลน์นึกว่าพวกหล่อนกำลังขับขานอยู่ข้างหู ทุกตัวโน้ตคล้ายกับกำลังทิ่มแทงร่างวิญญาณ ทุกท่วงทำนองเปี่ยมด้วยความมัวเมาและโหยหา


ไคลน์เริ่มสะลึมสะลือ เกือบกระโดดลงทะเลและว่ายไปตามเสียงร้องอันไพเราะ


มันพยายามดึงสติ ด้านหน้ามีแนวปะการังเรียงรายไม่ห่างออกไป ร่างหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนขอบปะการังพลางร้องเพลงขับขานแผ่วเบา


สิ่งมีชีวิตดังกล่าวมีศีรษะเป็นมนุษย์ คิ้วและดวงตางดงาม หน้าอกใหญ่แต่ปกคลุมด้วยเกล็ดสีแดงเข้ม ร่างกายท่อนล่างเป็นหางปลาขนาดใหญ่ ปลายหางกระทบปะการังเป็นจังหวะ


นางเงือกแต่ละตัวจะมีรูปโฉมที่แตกต่าง รวมไปถึงสีของเกล็ดและหาง ในสายตามนุษย์ ภาพเช่นนี้นับว่างดงามและแปลกตา


ไคลน์ปล่อยมือจากเรือเล็ก ยกแขนขวาล้วงกระเป๋า จับขวดโอสถ


ขณะเดียวกัน บรรดานางเงือกที่ตระหนักถึงผู้มาเยือน ต่างหันมามองเป็นตาเดียว


จากนั้น เหล่าสิ่งมีชีวิตที่มีชื่อเรียกว่า ‘ไซเรน’ เริ่มหยุดร้องด้วยความตกใจ จ๋อม จ๋อม จ๋อม พากันกระโดดลงไปในน้ำ


อย่าไป… ไคลน์ใช้อุ้งมือขวาคว้าอากาศเบาๆ สองหน


ไหนบอกว่าพวกหล่อนร้องเพลงเพื่อหลอกล่อมนุษย์ไปกิน? แล้วทำไมพอมนุษย์มาหา ถึงได้พากันว่ายน้ำหนี? ฉันไม่ใช่คนเลว แค่จะมาฟังเพลงเฉยๆ … ภายในใจไคลน์กำลังเต็มไปด้วยคำถาม


แต่เพียงไม่นานก็พบว่า เสียงร้องของนางเงือกยังไม่เลือนหายไปอย่างสมบูรณ์ ยังดังแผ่วเบามาจากแนวด้านนอกปะการัง ตรงจุดดังกล่าวยังมีนางเงือกอีกสองสามตัวหันหลังให้ มองไม่เห็นการหลบหนีของเหล่าพวกพ้อง ยังคงร้องเพลงอย่างกล้าหาญท่ามกลางสายลมรุนแรง


ไคลน์เริ่มใจชื้น ครุ่นคิดสักพักจึงหยิบยันต์ออกมาแผ่นหนึ่ง


เป็นยันต์ในขอบเขตเทพสมุทร ที่จะทำให้สัตว์ทะเลเป็นมิตรกับผู้ใช้!


“พายุ!”


ท่ามกลางเสียงคาถา เปลวไฟสีน้ำเงินลุกไหม้แผ่นดีบุกสีขาว สลายไปจากโลกความจริงและเหลือเพียงอากาศอันว่างเปล่า


เมื่อพบว่านางเงือกยังไม่หนีไปแม้จะเห็นตนแล้ว ไคลน์รีบหยิบขวดโลหะที่บรรจุโอสถนักเชิดหุ่นออกมา คลายเกลียวฝา


มันไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างสูญเปล่า เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันใดขึ้นบ้าง!


อึก อึก อึก ยาขมนิดๆ ถูกเทเข้าไปในปากไคลน์พร้อมกับกลิ่นเหม็นอับ ผ่านหลอดอาหารตรงเข้าไปยังกระเพาะอาหาร


เพียงพริบตา ไคลน์พบว่าร่างกายของตนเริ่มแข็งทื่อ ประหนึ่งย้อนกลับไปสมัยอยู่เมืองทิงเก็นและถูกหุ่นกระบอก ‘2-049’ ทำให้ตกอยู่ในอาการเฉื่อยชา


ชายหนุ่มพยายามขยับข้อต่อที่คล้ายกับเต็มไปด้วยตะกั่วเหลว


ขณะเดียวกัน มันรู้สึกเหมือนมีหนอนแมลงตัวเล็กๆ แทรกซึมเข้าไปในทุกอณูเซลล์ ไหลซึมเข้าสู่ร่างวิญญาณ


สมองเริ่มคิดได้เชื่องช้า สติสัมปชัญญะค่อยๆ เสื่อมความชัดเจน


เสียงร้องอันไพเราะของนางเงือกช่วยกระตุ้นความปรารถนาจากก้นบึ้ง กระตุ้นความคลั่งไคล้และหลงใหล ช่วยรั้งห้วงอารมณ์สุดท้ายของไคลน์เอาไว้อย่างเหนียวแน่น ส่งผลให้สถานะความเฉื่อยชาเริ่มบรรเทาลง


หมอกสีเทาเจือจางพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าชายหนุ่มพร้อมกับเสียงเพรียกมายา ‘โฮนาซิส… เฟรเกีย… โฮนาซิส… เฟรเกีย…’ แต่หากเทียบกับเมื่อครั้งเลื่อนลำดับเป็น ‘นักทำนาย’ ‘ตัวตลก’ และ ‘นักมายากล’ เสียงเพรียกหนนี้ขาดห้วงอย่างเห็นได้ชัด คล้ายกับถูกบางสิ่งแทรกแซง


แตกต่างจากตอนที่เราเลื่อนลำดับเป็นผู้ไร้หน้า… เสียงเพรียกชัดเจนขึ้นจากเดิม… คล้ายกับกำแพงกั้นระหว่างหมอกสีเทาและโลกความจริงเสื่อมพลังลง… สติสัมปชัญญะของเรากลับมาแล้ว! ไคลน์ที่กำลังมีความสุข พยายามยกแขนขึ้น


ความเฉื่อยชาระหว่างข้อต่อยังไม่หายไป แต่เสื่อมฤทธิ์ลงหลายส่วน!


ขณะเดียวกัน ไคลน์ ‘เห็น’ ว่ารูปลักษณ์ปัจจุบันของตนเป็นเช่นไร


ผิวสีแทน คล้ายกับตุ๊กตาที่ห่อด้วยผ้าพันแผลเก่าและถูกฝังทั้งเป็นนานหลายปี


ตุ่มเนื้อแต่ละเม็ดซ่อนอยู่ใต้ผิวหนัง ยุบพอง แยกตัว และกลับมารวมตัว


ไคลน์รีบจินตนาการถึงลูกบอลแสงในใจ อาศัยการเข้าฌานเพื่อให้สภาวะดังกล่าวหยุดลง


ระหว่างนี้ เสียงเพลงของนางเงือกยังคงดังก้องกังวานในโสตประสาท ช่วยถอนความเฉื่อยชาระหว่างข้อต่อและกล้ามเนื้อออก อาการตึงเกร็งตามร่างกายค่อยๆ เลือนหายไป


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ไคลน์ลืมตาขึ้นพร้อมกับร่างกายที่กลับเป็นปรกติ


ชายหนุ่มสูดลมหายใจ พึมพำอย่างเงียบงันด้วยอารมณ์เต็มเปี่ยม


“ในที่สุด… ในที่สุดก็ลำดับ 5!”


“ในที่สุดก็ได้เป็นนักเชิดหุ่น!”


……………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)