Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 653-660
ราชันเร้นลับ 653 : หน้าดำมือดำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
พื้นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย เงารางสูงกว่าสามเมตรปรากฏตัวขึ้นชายขอบผืนป่าบนเกาะร้าง
ร่างกายทุกส่วนของมันถูกฉาบด้วยสีเทาอมขาวคล้ายก้อนหิน ใบหน้าตะปุ่มตะป่ำ ไม่มีดวงตา จมูก ปาก และใบหูที่ชัดเจน
“ยักษ์ศิลา…” พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา พึมพำประเภทของสัตว์วิเศษ
ทั้งไคลน์และแอนเดอร์สันต่างไม่มีข้อมูล
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครหันไปมองแคทลียาด้วยสีหน้าฉงน ทั้งคู่ยังคงจดจ้องสัตว์ประหลาดอย่างไม่ละสายตา อากัปกิริยาสมกับเป็นมืออาชีพ
แคทลียาหมุนตัวไปทางอนาคตกาลที่จอดเทียบท่าอยู่ด้านข้าง ตามด้วยการยกมือขวาขึ้นพร้อมกับเปล่งเสียงที่ถูกขยาย
“เล็ง!”
เหล่าโจรสลัดที่ประจำการเตรียมพร้อม รีบปรับทิศของปืนใหญ่หลายสิบกระบอกบนเรือให้เล็งไปยังยักษ์ศิลาตัวหนาที่กำลังย่างกรายเข้าใกล้
ตูม! ตูม! ตูม!
กระสุนปืนใหญ่พุ่งออกไปและตกลงใกล้กับยักษ์ศิลา ฝุ่นควันลอยตลบอบอวลปกคลุมอาณาเขตกว้างขวาง
ท่ามกลางการสั่นสะเทือนของพื้นดิน เปลวไฟลุกโชนขึ้นหลายจุด เศษเล็กเศษน้อยกระจัดกระจายไปทุกทิศราวกับทุกสิ่งถูกทำลายจนราบคาบ
ตึง! ตึง! ตึง!
ร่างสูงใหญ่สีเทาอมขาวเดินทะลุผ่านม่านควันในสภาพห่างไกลจากปางตาย มีเพียงแตกรอยร้าวเล็กน้อยตามพื้นผิว
พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“มันไม่ใช่คนยักษ์ แต่เป็นประเภทสัตว์ศิลา แก่นสามารถใช้เป็นวัตถุดิบหลักของโอสถการ์เดี้ยนแห่งเส้นทางเทพสงคราม ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พลังป้องกันของมันจะสูงสักเพียงไหน”
ท่ามกลางเสียงปืนใหญ่ระดมยิง ไคลน์เริ่มสงสัยว่าตนอาจหูฝาด
ในเมื่อตระหนักถึงจุดแข็งของสัตว์ศิลา แล้วทำไมถึงยังสั่งให้ยิงปืนใหญ่? นั่นจะไม่สิ้นเปลืองกระสุนโดยเปล่าประโยชน์เอาหรือ? ชายหนุ่มกึ่งฉงนกึ่งรำพัน
คล้ายกับได้ยินเสียงนึกคิดของไคลน์ แคทลียากล่าวพลางจ้องไปทางยักษ์ศิลาที่กำลังเข้าใกล้
“ฉันไม่เคยเผชิญหน้ากับสัตว์วิเศษประเภทนี้มาก่อน จึงต้องการทดสอบให้แน่ใจ”
สมเหตุสมผล… ไคลน์เงียบงัน
ขณะเดียวกัน แอนเดอร์สัน·ฮู้ดที่สำรวจยักษ์ศิลามาสักพัก ยกมือขึ้นและพูด
“ในหมู่พวกนาย ใครมีพลังพิเศษสายน้ำแข็งบ้าง”
“ฉัน” พลเรือเอกดวงดาวตอบเสียงสุขุม
เมื่อได้ยินคำตอบของเฮอร์มิท ไคลน์กลืนคำพูดที่ตนเตรียมจะเปล่ง
สำหรับชายหนุ่ม หากไม่ใช่เรื่องสำคัญ มันก็ไม่ต้องการพึ่งพาพลัง ‘ยุบพองหิวโหย’ สักเท่าไร แม้ว่าซอมบี้จะมีพลังอยู่ในขอบเขตของน้ำแข็งก็ตาม
บนเกาะร้างแห่งนี้ ไคลน์เชื่อว่าตนคงมิอาจอาหารที่เหมาะสมมาป้อนมันได้แน่!
แคทลียาหยิบม้วนคาถาสีเทาดำออกจากช่องกระเป๋าลับของเสื้อคลุมแม่มด ตามด้วยการพึมพำภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“เยือกแข็ง!”
ท่ามกลางความเงียบ ม้วนคาถาถูกเพลิงสีฟ้าเย็นปกคลุม บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยแสงประกายแวววาวและใสกระจ่างราวกับแก้ว
พวกมันโปรยปรายลงบนร่างยักษ์ศิลาและเริ่มแช่แข็งเป้าหมายจนมีน้ำแข็งเกาะหลายจุด
เสียงน้ำแข็งกัดดังระงม ขณะยักษ์ศิลาย่างกรายออกจากขอบเขตเวทมนตร์ ก้อนน้ำแข็งเริ่มแตกออกทีละหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าผิวกายภายนอกสีเทาขาวของมันหมองลงเล็กน้อย การเคลื่อนไหวเชื่องช้าแตกต่างจากก่อนหน้า
ทันใดนั้น แอนเดอร์สันยกมือขึ้นประหนึ่งพิธีกรที่พยายามเรียกร้องให้ผู้ชมปรบมือ
ณ ฝ่าเท้าของยักษ์ศิลา เปลวเพลิงสีส้มอ่อนจนเกือบขาว ลุกโชนราวกับมันเหยียบลงบนกับดัก
ผิวกายภายนอกเริ่มผุดไอน้ำจำนวนมาก ก่อนจะแตกร้าวจนเกิดรอยแยกขนาดใหญ่
แอนเดอร์สันชักแขนขวากลับ หอกเพลิงสีขาวก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือ
เปลวไฟปลายหอกเริ่มควบแน่นกลายเป็นจุดแสงขนาดเล็กที่ส่องสว่าง
คมหอกพุ่งแหวกอากาศ กระแทกใส่รอยแยกบนร่างกายยักษ์ศิลาอย่างแม่นยำ รูโหว่ดังกล่าวถูกเติมเต็มด้วยเปลวไฟแผดเผาในพริบตา
แอนเดอร์สัน·ฮู้ดที่เคยยืนอยู่ริมหาด คล้ายกับร่างของมันหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับหอกแสงเล่มเมื่อครู่ นักผจญภัยที่แข็งแกร่งที่สุดโผล่ไปปรากฏตัวด้านหลังยักษ์ศิลาได้อย่างน่าตะลึงงัน
มันกำหมัดซ้ายแน่น ท่อนแขนโป่งพอง ก่อนจะชกผ่านรูโหว่ตรงเข้าไปยังหัวใจของยักษ์ศิลา
การโจมตีอันเรียบง่ายดังกล่าวสร้างผลลัพธ์เหนือจินตนาการ ยักษ์ศิลาพลันแน่นิ่ง ร่างกายแตกร้าวจากด้านใน ก่อนจะสลายตัวกลายเป็นเศษดินหินในพริบตา
โจมตีจุดอ่อน… ไคลน์หรี่ตาลง
พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา ที่ยังยืนในจุดเดิม กล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ลำดับ 5 แห่งเส้นทางนักล่า ยมทูต… พวกเขาเชี่ยวชาญการหาจุดอ่อนของเหยื่อ”
ยมทูต… ผู้เก็บเกี่ยวชีวิต? งั้นก็ไม่น่าแปลกใจ… ไคลน์พยักหน้ารับเล็กน้อย
ในเวลาเดียวกัน แอนเดอร์สันกำลังนั่งยองลง มือควานหาบางสิ่งจากซากยักษ์ศิลา
จากนั้นก็หันหน้ามาด้วยรอยยิ้มจืดชืด
“สัตว์วิเศษปลอม”
หรืออีกนัยหนึ่ง ไม่มีของมีค่าให้เก็บเกี่ยว!
สิ้นเสียงแอนเดอร์สันอธิบาย เศษหินเลือนหายไปด้วยความเร็วที่มองทันด้วยตาเปล่า
“…”
ผู้ที่ถูกสาปให้อับโชคอย่างนาย ไม่ควรอาสาเปิดกล่องสมบัติหรือค้นหาของมีค่าจากศพ! ไคลน์อดไม่ได้ที่จะรำพัน
แอนเดอร์สันเดินกลับมาโดยยังไม่หยุดบ่น
“ปัญหาใหญ่ที่สุดของทะเลแห่งนี้ก็คือ ไม่ใช่สัตว์วิเศษทุกตัวที่จะมอบสมบัติ!”
คงเพราะสัตว์ประหลาดมายาตัวนี้เกิดจากฝีมือสัตว์วิเศษทรงพลัง หรือไม่ก็เกิดจากเศษเสี้ยวพลังและออร่าตกค้าง… ไคลน์มีทฤษฎีในใจ
ตลอดทางที่ล่องเรือผ่านมา มันพบเศษเสี้ยวพลังพิเศษของเส้นทางสุริยัน รัตติกาล วายุสลาตัน และผู้ชม โดยยิ่งสำรวจก็ยิ่งพบหลักฐานสนับสนุนแนวคิดของตน
เดิมที มันเชื่อว่าท้องทะเลแห่งนี้เคยเป็นสนามรบของเทพบรรพกาลจากยุคสมัยที่สองประกอบด้วยเส้นทาง ‘วายุสลาตัน’ ซึ่งเป็นของราชาเอลฟ์ ซอนญาธริม เส้นทาง ‘ผู้ชม’ เป็นของมหาราชามังกร แอนเคอร์เวล และเส้นทาง ‘รัตติกาล’ เป็นของหมาป่าแห่งการทำลายล้าง เฟรเกีย – หลังจากอ่านบันทึกเทพบรรพกาลที่เดอะซันน้อยคัดลอกมาให้ ไคลน์เริ่มคาดเดาพลังพิเศษและเส้นทางของเทพบรรพกาลแห่งยุคสมัยที่สอง
ทว่า ด้วยสภาพแวดล้อมที่ส่วนใหญ่เป็นกลางวันยามเที่ยง รวมไปถึง ‘ราชรถแห่งสุริยัน’ ที่เป็นทองคำล้วน ทฤษฎีดั้งเดิมของไคลน์จึงเริ่มสั่นคลอน เนื่องจากไม่มีเทพบรรพกาลตนใดจากทั้งแปดที่ครอบครองอำนาจบนเส้นทางสุริยัน
แต่เพียงไม่นาน ไคลน์เริ่มนึกถึงบิดาของอาดัมและอามุนด์ผู้มีสมญานามว่า ‘เทพสุริยันบรรพกาล’
หลังจากพระผู้สร้างองค์ดังกล่าวลืมตาตื่น และหลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือด ท่านทำการทวงคืนพลังของเทพบรรพกาลกลับคืนมาเป็นของตน!
หมายความว่า นั่นคือที่มาของเศษซากสมรภูมิเทพแห่งนี้? ทันใดนั้น ภาพจิตรกรรมฝาผนังบางส่วนภายในซากปรักหักพังโบราณเอลฟ์ พลันผุดขึ้นในความคิดชายหนุ่ม
ซอนญาธริม ราชาเอลฟ์ และพระผู้สร้างของเมืองเงินพิสุทธิ์ หรือที่รู้จักในนามเทพสุริยันบรรพกาล กำลังเผชิญหน้ากันอย่างดุเดือด!
ขณะสมองไคลน์กำลังประมวลผล แอนเดอร์สันยิ้มอีกครั้ง พลางมองมาทางไคลน์และกล่าว
“ฉันต้องเรียกนายว่าอะไร”
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์” ไคลน์แนะนำตัวเสียงห้วน
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์?” แอนเดอร์สันผงะเล็กน้อย จึงค่อยกลับมาเป็นปรกติ “ฉันเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน นักผจญภัยที่เกือบล่าพลเรือโทโรคภัยสำเร็จ เจ้าของฉายานักผจญภัยที่บ้าคลั่งที่สุด! ย้อนกลับไปเมื่อเดือนก่อน ขณะเรือที่ฉันโดยสารแล่นผ่านเกาะรอสต์และโอลาวี ฉันนึกอยากจะนัดพบนายและดื่มทำความรู้จัก แต่ไม่รู้ว่าจะตามตัวได้ที่ไหน”
เมื่อเดือนก่อน? ฉันทำงานเป็นอาสาสมัครอยู่ที่โรงพยาบาล… ไคลน์พยักหน้าและตอบ
“รู้จักชื่อแล้วสินะ… หลังจากนี้ก็ไม่ต้องพยายามชวนคุย”
“…” แอนเดอร์สันยิ้มแห้ง “นั่นสินะ ความโชคร้ายจะทำให้คำพูดของฉันฟังดูแย่ลงเสมอ เลิกมองด้วยสายตาแบบนั้นสักที ฉันสัญญาว่าจะไม่พูดอะไรอีก ช่วยเก็บยันต์ในมือนายกลับเข้าไปก่อน”
สืบเนื่องจากยักษ์ศิลาปรากฏกาย ระยะเวลาสำหรับพักผ่อนหย่อนใจของเหล่าโจรสลัดจึงสั้นลง อนาคตกาลออกแล่นอีกครั้ง ตรงไปยังส่วนลึกของท้องทะเล
ตลอดทาง ไคลน์มักยืนบนดาดฟ้าในท่าพิงกราบเรือ คอยสังเกตการณ์ภาพรวมโดยรอบ ขณะที่แอนเดอร์สันเดินวกวนไปมาบนเรือเพื่อตีสนิทโจรสลัดอย่างเป็นมิตร
ไม่เลว… ด้วยวิธีนี้ เขาจะรับรู้สถานการณ์ปัจจุบันของอนาคตกาลได้เร็ว… ไคลน์ชำเลืองแอนเดอร์สันที่กำลังเมามายไปพร้อมโจรสลัดกลุ่มเล็กในมุมหนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อน
แน่นอน… ‘โจรสลัดที่แข็งแกร่งที่สุด’ ผู้นี้คงไม่ทราบว่า ในถังเหล้าเบียร์มียากล่อมประสาทที่ไม่รู้ว่าผลิตจากอะไรบ้างผสมอยู่… ไคลน์ฝืนกลั้นยิ้มขณะคิดถึงเรื่องตลก
อาศัยความช่วยเหลือจากแอนเดอร์สัน อนาคตกาลแล่นผ่านกระแสน้ำวนสองจุดที่หลบอยู่ในมุมอับสายตา รวมไปถึงซากปรักหักพังและราชวังลอยตัวอย่างราบรื่น มุ่งหน้าต่อไปบนน่านน้ำปลอดภัย
จากนั้นประมาณสามชั่วโมง ช่วงเวลากลางคืนมาเยือนอีกครั้ง
บนโลกความฝัน ไคลน์คืนสติกลับมาอย่างรวดเร็ว จึงลืมตาตื่นและมองไปรอบตัว
ทัศนียภาพของมันมีเพียงความมืดมิด มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น
“…”
คงไม่ได้ตาบอดใช่ไหม… ไคลน์สงสัยตามสัญชาตญาณ ก่อนจะนำมือขวาล้วงกระเป๋าและหยิบกล่องไม้ขีด
สำหรับนักมายากล นี่สิ่งสำคัญสำหรับแทบทุกกลอุบาย
หลังจากหยิบก้านไม้ขีดและขูดขอบกล่องอย่างชำนาญ เปลวไฟสีจางปรากฏขึ้นตรงหน้าไคลน์
เมื่อเปลวไฟเริ่มขยายขนาด ฉากรอบข้างปรากฏขึ้นในลักษณะพร่ามัว
ที่นี่คือห้องขัง ห้องขังที่มีกรงเหล็ก!
เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง… ไม่ใกล้กับพลเรือเอกดวงดาวหรือห้องโถงภาพวาดที่มีแอนเดอร์สันอยู่… หมายความว่า เป็นการสุ่มจุดเริ่มต้นภายในขอบเขต? ขณะสมองกำลังประมวลผล ไคลน์สะบัดมือและดับก้านไม้ขีดที่กำลังจะไหม้นิ้ว
มือซ้ายชายหนุ่มพลันฉาบด้วยแสงแดดสุกสว่างและบริสุทธิ์ ดวงตาทั้งสองข้างคล้ายกับมีพระอาทิตย์ขนาดย่อส่วนฝังอยู่ด้านใน
อาศัยดวงวิญญาณ ‘นักบวชแสง’ ชายหนุ่มสามารถมองเห็นในที่มืดได้ด้วยพลัง ‘แสงศักดิ์สิทธิ์’
ขณะกวาดตาสำรวจ ไคลน์พบว่าห้องขังของตนมีขนาดไม่คับแคบจนเกินไป แต่พื้นห้องสกปรกและเต็มไปด้วยรอยเท้าที่ไม่รู้ว่าเป็นของใครบ้าง
เกือบทั้งหมดเป็นรอยเท้ามนุษย์ มีเพียงส่วนน้อยที่ใหญ่กว่าปรกติ อาจเป็นของคนยักษ์… ตรงมุมห้องมีเตียงเดี่ยวสภาพชำรุด กุญแจตกอยู่ข้างประตู มีใครบางคนหนีออกไปได้? ไคลน์เดินมายืนข้างกรงเหล็กและมองออกไปอย่างระมัดระวัง
ด้านนอกห้องขัง ความมืดมิดปกคลุมทางเดินที่ทำจากหิน ฝั่งตรงข้ามเป็นกำแพงเย็นที่ดูมั่นคงแข็งแรง ซ้ายและขวามือเป็นทางเดินยาวสุดสายตา คล้ายกับยังมีห้องขังแบบเดียวกันอยู่อีก
ไคลน์ดึงสายตากลับ หยิบกุญแจบนพื้นเพื่อไขปิดกรงเหล็กให้แน่นกว่าเดิม
มันมิได้พยายามเปิดประตูออกไปสำรวจ ตัดสินใจหมกตัวอยู่ในห้องขัง
ชายหนุ่มยังคงจดจำคำเตือนของวิล·อัสติน ‘อสรพิษแห่งชะตา’ ที่ห้ามสำรวจโลกความฝันได้อย่างแม่นยำ ด้วยเหตุนี้ แผนเดียวของไคลน์จึงเป็นการรอจนกว่าจะถึงช่วงเวลากลางวันอีกครั้ง!
ในเมื่อถูกส่งมาอยู่ในห้องขัง เราก็จะไม่ออกไปไหน… ไคลน์ทิ้งตัวลงตรงมุมห้องเพื่อนั่งบนเตียงสภาพชำรุด เพียงไม่นานก็กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดรอบตัว
ท่ามกลางความเงียบสงัด ไคลน์พลันเอียงศีรษะเนื่องจากได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบา
เสียงเท้าดังจากจุดห่างไกลอย่างเชื่องช้า และค่อย ๆ ขยับใกล้เข้ามาทีละนิด
……………………………………
ราชันเร้นลับ 654 : นักโทษและผู้คุม
โดย
Ink Stone_Fantasy
บ้าน่า… เรายังไม่ทันได้ไปไหนเลย… ความซวยมีขาแล้วเดินมาหาถึงที่ได้รึไง? ไคลน์เผยรอยยิ้มซึ่งไม่เข้ากับมาดเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ขณะเดียวกันก็เกือบหลุดหายใจออกมาเสียงดัง
สิ่งที่คอยยับยั้งมิให้มันทำเช่นนั้นก็คือ หากตนเคลื่อนไหวมากเกินไป อาจทำให้ ‘ความซวย’ ค้นหาที่ซ่อนพบ!
เนื่องจากมิใช่เหยี่ยวราตรีอ่อนประสบการณ์เฉกเช่นอดีต ชายหนุ่มตัดสินใจกลั้นลมหายใจและลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ย่างกรายไปทางกรงเหล็กด้วยความเงียบเชียบ สายตาเหลืองมองทิศต้นทางของเสียงฝีเท้า
มันเชื่อว่าการซ่อนตัวอย่างเดียวคงไม่ใช่เรื่องดี จำเป็นต้องตรวจสอบแหล่งอันตรายควบคู่ไปด้วย จากนั้นค่อยคิดหาทางออกที่ดีที่สุด!
ด้วยพระอาทิตย์ขนาดย่อส่วนในดวงตา ไคลน์หยุดรอหลายสิบวินาที ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าทวีความหนักและแจ่มชัด มาพร้อมเสียงประตูเหล็กที่ถูกผลักออกไปชนผนัง
เพียงไม่นาน มันเห็นเงารางสูงใหญ่จากฝั่งขวามือของทางเดิน
ร่างดังกล่าวสูงเกือบสองเมตรครึ่ง สวมชุดเกราะสีดำสนิทปกปิดทุกส่วน มอบความรู้สึกเย็นยะเยือกคล้ายกับอัศวินคนยักษ์
อัศวินลึกลับอำพรางตัวตนอย่างมิดชิด เงียบงันประหนึ่งท้องทะเลลึก แผ่แสงสีแดงเข้มสองจุดในตำแหน่งของดวงตา ในมือถือดาบยาวใหญ่สีดำสนิท
เคร้ง!
อัศวินผลักประตูเหล็กห้องขังและเดินเข้าไป ตามด้วยการหมุนตัวค้นหาบางสิ่ง
ฟู่ว… กำลังมองหานักโทษหรือไง? อีกไม่นานคงเจอตัวเราแน่… ไคลน์เริ่มลังเลระหว่าง อาศัยตอนที่อีกฝ่ายยังอยู่ห่าง รีบหนีออกจากห้องขังอย่างเงียบเชียบไปอีกทาง หรือเปิดฉากโจมตีก่อนอย่างหนักหน่วงเพื่อกำจัดอีกฝ่ายโดยเร็ว จากนั้นค่อยกลับมานั่งรอที่เดิมจนกระทั่งความฝันจบลง
เมื่อประเมินว่าตนยังเหลือเวลาตัดสินใจอีกสักพัก ไคลน์ปลดจี้บุษราคัมจากข้อมือซ้ายและเริ่มทำนายด้วยเสียงแผ่วเบาซึ่งมีเพียงตัวเองได้ยิน
“อัศวินตนนี้แข็งแกร่งมาก”
หลังจากทวนครบเจ็ดครั้งภายในเวลาอันสั้น ไคลน์ลืมตาขึ้นและเห็นจี้บุษราคัมหมุนในทิศทางตามเข็มนาฬิกา รัศมีการหมุนค่อนข้างกว้างและมีความเร็วสูงมาก
หรือก็คือ อีกฝ่ายคือตัวตนที่อันตรายยิ่งยวด!
โดยปราศจากความลังเล หรืออาจเรียกว่าไม่เหลือเวลาให้ลังเล ไคลน์เปิดใช้งานพลังพิเศษของ ‘ตัวตลก’ เพื่อควบคุมมัดกล้ามเนื้อเพื่อเปิดประตูเหล็กโดยไม่ให้มีการเคลื่อนไหวส่วนเกิน
ถัดมา ชายหนุ่มฉวยโอกาสในจังหวะที่อัศวินเกราะดำเข้าไปในห้องขังอื่น ลอบย่างกรายออกมาตามทางเดินด้วยเสียงแผ่ว ส่งตัวเองไปทางซ้ายมือด้วยความเร็วสูง
ท่ามกลางความมืด ขณะโสตประสาทกำลังดักฟังความเคลื่อนไหวจากด้านหลัง มันพยายามรักษาสมดุลระหว่างความเร็วและความเงียบ ก่อนจะหักเลี้ยวและตรงไปถึงหน้าประตูเหล็กบานหนึ่งซึ่งสงสัยว่าจะเป็นทางออก
หลังจากทดสอบผลักและดึงเล็กน้อย ไคลน์พบว่าบานประตูมีน้ำหนักค่อนข้างเบา เพียงแต่ถูกลงกลอนไว้โดยใครบางคน
ผ่านไปสองวินาที มันหยิบกุญแจที่เก็บได้ในห้องแรก เสียบเข้าไปในรูกุญแจและบิดหมุนโดยไม่คาดหวังมากนัก
เกิดเสียง ‘กริ๊ก’ แผ่วเบา กลอนประตูถูกไขออกทันที
สำเร็จด้วยหรือ… แม้จะเป็นเพียงความฝัน แต่คงไม่ใช่กุญแจทุกดอกที่ไขได้ เราบังเอิญหยิบของสำคัญติดมือมาด้วย… เดิมที เรามีแผนจะสอดกระดาษเข้าไปในช่องระหว่างประตู จากนั้นก็บรรจงตวัดทีละนิดเพื่อคลายกลอนออก… ไคลน์ที่รำพันกึ่งสับสน ตามด้วยการผลักประตูเหล็กออกอย่างเชื่องช้า
แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะด้านหลังบานประตูเหล็กมิใช่ทางออก หากแต่เป็นห้องโถงที่เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้จำนวนมาก
หลังจากผ่านเข้าไปและปิดประตูลงกลอนปิดตามเดิม ไคลน์เดินข้ามกองสิ่งของที่วางระเกะระกะพลางมองหาประตูหรือทางออก
ถัดมาไม่กี่วินาที มันพบประตูไม้สีดำที่กลมกลืนไปกับมุมห้อง จึงเดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวังและวางมือลงบนด้ามจับ
เฉกเช่นทุกครั้ง ฉากด้านหลังประตูผุดขึ้นในนิมิตลางสังหรณ์ ด้านในเป็นห้องเก็บของ ฝั่งซ้ายมีกระจกเงาเต็มบาน ส่วนฝั่งขวามีเงารางของใครบางคนในเสื้อคลุมลินิน
มีใครบางคนอยู่ข้างใน? นักโทษที่หลบหนีสำเร็จ? หลังจากถูกบีบให้ต้องออกจากเขตปลอดภัย ไคลน์ตระหนักว่าตนเหลือทางเลือกไม่มากนัก จึงบรรจงบิดกลอนและผลักประตูไม้สีดำเข้าไป
มันต้องการทราบสถานการณ์ปัจจุบันให้แน่ชัด จะได้ตัดสินใจถูกว่าควรหลบหนีหรือเปิดหน้าสู้ในจังหวะสำคัญ
“ใครกัน?” บุคคลในชุดคลุมลินินเอ่ยปากถามอย่างร้อนรนแต่แผ่วเบา น้ำเสียงแฝงความสิ้นหวังเจือเจ็บปวด
“นักผจญภัย” ไคลน์ตอบห้วน
อาศัยดวงตาที่สามารถมองเห็นในความมืด ไคลน์รีบสำรวจอย่างละเอียด
ใบหน้าของอีกฝ่ายเหี่ยวย่นราวกับถูกลมฝนกัดกร่อน มีริ้วรอยร่องลึกบนหน้าผาก ข้างขอบตา และข้างริมฝีปาก แต่เส้นผมกลับยังสีดำเงางามปราศจากหงอกขาว
เสื้อคลุมลินินเป็นแบบเรียบง่าย สีหน้ากำลังบิดเบี้ยวคล้ายเจ็บปวด ภายในดวงตาสีดำสนิทซึ่งหาพบได้ยาก กำลังแฝงความประหลาดใจเจือฉงนโดยไม่ปิดบัง
“นักผจญภัย? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ไคลน์ยังคงรักษาระยะห่างจากบุคคลที่ตนไม่ทราบว่าอ่อนหรือแก่กว่า เพียงยืนอยู่หน้าประตูและประสานสายตา
“ตามมารยาทแล้ว ก่อนจะถามสิ่งใดเพิ่ม ควรแนะนำตัวเองก่อนไม่ใช่หรือ”
ในฐานะผู้ไร้หน้า เพียงมองอย่างผิวเผินก็พบจุดเด่นบนใบหน้าอีกฝ่ายได้ชัดเจน นอกเหนือจากริ้วรอยและสีผมที่ขัดแย้งกัน บนแก้มยังมีรอยแผลเป็นที่เก่าและน่าหวาดเสียว
ชายลึกลับผงะเล็กน้อย สายตาชำเลืองไปยังห้องโถงอย่างเป็นกังวล
“รีบปิดประตูก่อน พวกเราจะถูกเจ้าปีศาจนั่นพบตัวไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้น…”
กล้ามเนื้อใบหน้าของมันพลันกระตุกสองหนจนเห็นได้ชัด คล้ายกับฉุกคิดถึงเหตุการณ์เลวร้าย
“ปีศาจ?” ไคลน์โพล่งเสียงแผ่วพลางเลื่อนมือปิดประตูไม้สีดำ
บุรุษลึกลับเผยสีหน้าโล่งใจพร้อมกับยิ้มขื่นขม
“ต้องขอโทษด้วย เมื่อครู่เสียมารยาทไปนิด… ข้าชื่อเลโอมาสต์ เป็นนักบวชจากองค์กรทางศาสนาแห่งหนึ่ง”
“องค์กรทางศาสนา? จากที่ได้ยิน คงไม่ใช่สาวกของหนึ่งในเจ็ดโบสถ์หลักสินะ” ไคลน์พบความผิดปรกติของการเลือกใช้ถ้อยคำ
หากอีกฝ่ายเป็นนักบวชของหนึ่งในเจ็ดเทพจารีต คงไม่เขินอายที่จะเปิดเผยตัวตนอย่างตรงไปตรงมา เพราะถึงแม้จะเป็นโบสถ์ที่มีข้อพิพาทรุนแรงต่อกันอย่างสุริยันและวายุสลาตัน ก็คงไม่คิดซัดหน้ากันทันทีท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้
เลโอมาสต์หัวเราะแห้ง
“ถูกต้อง ข้านับถือพระผู้สร้างต้นกำเนิด พระองค์คือมหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง พระองค์คือต้นกำเนิดของความยิ่งใหญ่ทั้งมวล พระองค์คือจุดเริ่มต้น ขณะเดียวกันก็เป็นจุดจบ พระองค์คือมหาเทพแห่งเหล่าทวยเทพทั้งปวง”
อย่าบอกนะว่า… หลังจากได้ยินอีกฝ่ายเผยตัวว่าเป็นสาวกของพระผู้สร้างต้นกำเนิด ชื่อแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวไคลน์ก็คือ ‘สภานักสิทธิ์สนธยา’
ไม่แน่เสมอไป… บนทวีปเหนือและใต้ยังมีนิกายเล็กอีกหลายแห่งที่นับถือพระผู้สร้างต้นกำเนิด จำนวนสาวกรวมกันนับว่ามีไม่น้อย… ไคลน์ใคร่ครวญสักพักก่อนถาม
“องค์กรชื่ออะไร… แล้วนายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
เลโอมาสต์ลังเลสักพัก
“พระองค์ท่านที่ข้านับถือ กำลังหลับใหล ณ สุดเขตตะวันออกของทะเลโซเนีย ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งบนดินแดนดังกล่าว ข้าเดินทางมาที่นี่พร้อมกับคณะจาริกแสวงบุญ โดยหวังจะได้สัมผัสปาฏิหาริย์และไถ่บาปให้ตัวเอง… บางที นี่อาจเป็นบททดสอบที่มิอาจหลีกเลี่ยง พวกเราถูกเจ้าปีศาจนั่นพบตัวและตายไปทีละคนสองคน… ในภายหลัง ข้าฉวยโอกาสหนีออกจากห้องขังและซ่อนตัวอยู่ที่นี่ รอจนกว่าปีศาจจะจากไป”
ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก
“ปีศาจตนนั้นมีชื่อว่าอะไร ลักษณะเด่นของมันเป็นยังไง”
“เจ้านั่นน่ะหรือ…” เลโอมาสต์ส่ายหัวและกล่าวด้วยสีหน้าเจือความสับสน “ข้าไม่รู้จักชื่อ แต่กลุ่มคณะแสวงบุญหลายคนเรียกมันว่า ‘นักบุญมืด’ ”
นักบุญมืด? ครึ่งเทพ? ที่นี่คือความฝันของเลโอมาสต์หรือครึ่งเทพกันแน่? เมื่อประเมินจากผลการทำนาย โอกาสเป็นอย่างหลังมีสูงกว่า ไม่อย่างนั้น จี้บุษราคัมคงไม่เตือนว่าอีกฝ่ายคือบุคคลอันตรายอย่างยิ่งยวด… ขณะไคลน์เตรียมถามเลโอมาสต์ว่าเขาสังกัดองค์กรใด รวมถึงถามเกี่ยวกับพลังพิเศษของ ‘นักบุญมืด’ มันบังเอิญเหลือบไปเห็นกระจกเงาเต็มบานฝั่งตรงข้ามนักบวช
ในเชิงศาสตร์เร้นลับ กระจกเงาคืออีกหนึ่งอุโมงค์เชื่อมต่อกับโลกเหนือธรรมชาติ มีหลายครั้งที่นำมาซึ่งอันตรายร้ายแรง ไคลน์ผู้ตระหนักว่าตนอยู่ในความฝันอันน่ากลัว รีบเดินไปยังทิศทางดังกล่าวอย่างระมัดระวังและเตรียมใช้พลัง ‘นักบวชแสง’ เพื่อทำลายวัตถุชิ้นนี้
“ย…หยุดนะ!” คล้ายกับเลโอมาสต์อ่านความคิดไคลน์ออก มันรีบคำรามต่ำด้วยสีหน้าแววตาหวาดกลัว “ถ้าไม่มีมัน ข้าจะ… ข้าจะตายทันที!”
หือ? ไคลน์หันไปจ้องกระจกเงาอีกครั้งด้วยสีหน้าฉงน
แม้บรรยากาศจะมืดมาก แต่ก็พอจะเห็นสองบุคคลที่ถูกสะท้อนบนผิวกระจก หนึ่งคือเลโอมาสต์ผู้มีผมสีดำขลับและเต็มไปด้วยริ้วรอย ส่วนอีกหนึ่งคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เจ้าของใบหน้าผอมเพรียว ผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล และสวมหมวกแก๊ป
ทันใดนั้น ขณะไคลน์มิได้ขยับเขยื้อนร่างกาย เกอร์มัน·สแปร์โรว์ในกระจกกลับค่อย ๆ หันศีรษะมาหาพร้อมกับเผยรอยยิ้มดำมืด!
ในวินาทีนี้ ผิวกระจกเกิดการกระเพื่อม มือข้างหนึ่งสอดยื่นออกมา
เพียงไคลน์กะพริบตา เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่ดูเหมือนตนราวกับแกะ เริ่มคืบคลานออกจากกระจกเงา ใบหน้าซึ่งกำลังฉาบด้วยอารมณ์มืดมน สามารถมองเห็นได้อย่างแจ่มชัดแม้นบรรยากาศโดยรอบจะมืดสนิท
น่ากลัวฉิบ… แต่โชคดีที่เราตัวจริงไม่เหมือนกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์สักเท่าไร ของแค่นี้จึงไม่มากพอจะทำให้กลัว… หากเป็นโจวหมิงรุ่ยโผล่ออกมา เกรงว่าคงได้สะดุ้งจนตื่น… ไคลน์จ้องอีกฝ่ายด้วยมาดองอาจสุขุม มือซ้ายยกขึ้นพร้อมกับส่องแสง
เกอร์มัน·สแปร์โรว์ฝั่งตรงข้ามเองก็ยิ้มและยกมือซ้ายเช่นเดียวกัน แต่แสงที่แผ่ออกมานั้นเจือกลิ่นอายชั่วร้ายท่ามกลางความมืด
นี่คือลักษณะเด่นของพลัง ‘บารอนแห่งการเน่าเปื่อย’
หืม… ร่างโคลน? ไคลน์ขบคิดครู่หนึ่ง ตามด้วยการยกแขนขวาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
ทันใดนั้น มือของมันพลันถือคทาสั้นสีขาวน้ำนมที่ไม่มีใครทราบว่าโผล่จากไหน หัวคทาเลี่ยมด้วย ‘อัญมณี’ สีน้ำเงินแวววาว
คทาเทพสมุทร!
แม้นว่าพฤติกรรมในความฝันจะต้องสอดคล้องกับหลักเหตุและผลจึงจะประสบความสำเร็จ แต่ไคลน์เชื่อว่าโลกความฝันมายาแห่งนี้มิอาจกีดขวางพลังของห้วงมิติเหนือหมอกเทาได้ จึงลองลัดขั้นตอนด้วยการหลอกตัวเองว่า คทาเทพสมุทรถูกเก็บไว้สักแห่งภายในโลกวิญญาณ และตนสามารถนำออกมาใช้งานได้ทุกเมื่อ
ไคลน์โล่งใจเมื่อได้เห็นการทดลองสำเร็จลุล่วง เป็นไปตามที่มันคิดทุกประการ โลกความฝันแห่งนี้มิอาจจำแนกข้อแตกต่างระหว่างมิติโลกวิญญาณและมิติเหนือสายหมอกเทา มันจึงอาศัยความเป็นเจ้าของคทาเทพสมุทรเพื่อ ‘หยิบ’ สมบัติวิเศษระดับครึ่งเทพออกมาใช้งาน!
ได้ผล… ถ้าไม่แล้ว นี่คงเป็นการต่อสู้ที่ตึงมือเอาเรื่อง… ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลาย
มันยังเชื่อด้วยว่า กระจกเงาบานนี้ไม่มีทางคัดลอกพลังของมิติเหนือหมอกเทาได้
เกอร์มัน·สแปร์โรว์ร่างมืดจ้องมายังฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อย จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นตามสัญชาตญาณ แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า
ทันใดนั้น เกอร์มัน·สแปร์โรว์ตัวปลอมมองเห็นเส้นอสนีบาตสีเงินจำนวนมากถูกยิงออก จึงรีบฉาบร่างกายด้วยพลัง ‘กระดาษคนตัวแทน’ ชั้นแล้วชั้นเล่า แต่ก็มิอาจนำพาตัวเองออกจากจุดดังกล่าวได้
เปรี้ยง! บอลสายฟ้าขนาดมหึมาสว่างวาบภายในห้องที่คับแคบจนมิอาจหลบพ้น ก่อนจะอันตรธานหายไปพร้อมกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่ออกมาจากกระจก
ด้วยเหตุผลบางประการ ไคลน์รู้สึกสุขสงบเหนือคำบรรยาย ราวกับสติของตนกำลังเข้าสู่ช่วงเวลานักปราชญ์
ชายหนุ่มหันไปทางเลโอมาสต์อีกครั้ง กล่าวถาม
“ตกลงแล้ว… นายสังกัดองค์กรไหน?”
เลโอมาสต์ตอบสั้นกระชับ
“ชุมนุมแสงเหนือ…”
ชุมนุมแสงเหนือ? ไคลน์พลันตะลึง อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ทันใดนั้น เสียงโลหะกระทบดังเล็ดลอดจากด้านนอก คล้ายกับบานประตูเหล็กถูกเปิดออก
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงฝีเท้าอันหนักแน่นที่ดังระรัวราวกลองศึก กำลังมุ่งหน้าตรงมายังมุมห้องโถง คล้ายกับทราบว่าไคลน์และเลโอมาสต์กำลังซ่อนตัวอยู่
ชายหนุ่มประเมินว่า พายุสายฟ้าเมื่อครู่คงทำให้ ‘นักบุญมืด’ ตระหนักถึงที่นี่!
ไม่มีกำบังให้หลบซ่อน… ไคลน์กำคทาเทพสมุทรในมือแน่น ตามด้วยการถีบประตูไม้สีดำของห้องเก็บของเพื่อเผชิญหน้ากับนักบุญมืดโดยตรง!
ในวินาทีที่บานประตูล้มลง มันมองเห็นรูปลักษณ์ของเป้าหมายอย่างแจ่มชัด
อัศวินในชุดเกราะสีดำเต็มอัตราศึก กะบังหน้าถูกเปิดขึ้นจนเผยให้เห็นใบหน้าเปี่ยมริ้วรอย เส้นผมสีดำขลับเงางามปราศจากหงอกขาว รอยแผลเป็นที่เก่าและฉกรรจ์ตรงแก้ม
ใบหน้าของมันเหมือนเลโอมาสต์ราวกับแกะ แม้แต่รอยตำหนิเล็กน้อยก็ยังตรงกันทุกจุด!
ข้อแตกต่างเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ดวงตาของอัศวินกำลังส่องแสงสีแดงเข้ม
……………………………………………..
ราชันเร้นลับ 655 : วิเคราะห์ดินแดนความฝัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไคลน์พลันผงะ ก่อนจะหมุนตัวครึ่งรอบเนื่องจากไม่ต้องการหันหลังให้เลโอมาสต์ ผู้กำลังยืนสั่นระริกด้วยความกลัวภายในห้องเก็บของ
มันไม่มั่นใจอีกต่อไปว่า ‘นักโทษ’ ที่สวมเสื้อคลุมลินินผู้นี้เป็นเพียงมนุษย์ปรกติ!
ขณะเดียวกัน อัศวินตาแดงที่สวมชุดเกราะเต็มอัตราศึกและมีใบหน้าเหมือนกับเลโอมาสต์ทุกประการ ยกแขนง้างดาบใหญ่ยาวไปด้านหลัง
ตึง!
มันก้าวเท้ามาด้านหน้าและเหวี่ยงดาบอย่างรวดเร็วจนไคลน์มองตามไม่ทัน
ไคลน์ที่กำลังหันหน้าให้อีกฝ่าย รีบยกคทาเทพสมุทรขึ้นตามสัญชาตญาณพร้อมกับทำให้อัญมณีสีน้ำเงินเปล่งแสง
ฟ้าว!
พายุเฮอร์ริเคนพลันก่อตัวจากความว่างเปล่ารอบไคลน์ ช่วยปกป้องตัวมันที่กำลังยืนอยู่ ณ ใจกลางตาพายุ
ฟุ่บ! ลำแสงสีดำตัดผ่าอากาศ วังวนสายลมเริ่มสลายตัวทีละชั้นพร้อมกับกระจัดกระจายออกไปทุกทิศ ส่งผลให้ห้องโถงด้านนอกสั่นสะเทือนหนักหน่วง
บึ้ม!
ด้วยอำนาจของดาบใหญ่สีดำ พายุเฮอร์ริเคนส่งเสียงระเบิดคำราม ณ ใจกลางและแปรสภาพกลายเป็นคลื่นอัดอากาศแผ่ไปรอบตัว เศษข้าวของเครื่องใช้ปลิวลอยกระจัดกระจาย
การปะทะอย่างดุเดือดส่งผลให้โลกความฝันถูกสั่นคลอน สติไคลน์เริ่มหลุดลอย ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลิ้งตัวหลบสองตลบ
ตุ้บ!
มันตกจากเตียงนอนลงมายังพื้นห้องโดยสาร จากนั้นก็ลืมตา
นักบุญมืดเก่งกาจสมชื่อ… หรือควรพูดใหม่ว่า เป็นเพราะเราไม่เคยใช้คทาเทพสมุทรบนโลกความจริงมาก่อน จึงจินตนาการพลังของมันไม่ออก ส่งผลให้ดึงประสิทธิภาพออกมาไม่ได้เต็มที่ในความฝัน… เดี๋ยวนะ… นี่ยังกลางคืนอยู่! ไคลน์เพิ่งตระหนักถึงปัญหา
แสงแดดยามเที่ยงยังไม่สาดเข้ามาจากหน้าต่าง!
มันตื่นขึ้นเพราะถูกกระทบกระเทือนอย่างหนักในความฝัน มิใช่การตื่นตามธรรมชาติ!
หรือก็คือ ไคลน์ต้องรีบทำให้ตัวเองหลับ ไม่อย่างนั้นอาจได้อันตรธานหายไปในค่ำคืนอันมืดมิดโดยที่ไม่มีใครพบตัวอีกเลย!
หลังจากความคิดข้างต้นเล่นผ่าน ไคลน์ตัดสินใจดันมือขวาลงบนพื้น ดีดตัวขึ้น ลอยกลับมาอยู่บนเตียงในท่านอน
มันรีบจินตนาการภาพวัตถุทรงกลมซ้อนทับหลายชั้น ส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงความฝันอย่างรวดเร็ว
ระหว่างนั้น ไคลน์เหลือบมองไปนอกหน้าต่างและพบกับบรรยากาศยามค่ำคืนอันมืดมิด หนาวเหน็บ และเงียบสงัด ปราศจากกลิ่นอายความชั่วร้าย
ในเวลาเดียวกัน มันมองเห็นอย่างเลือนรางว่า บนท้องทะเลในจุดห่างไกลจากเรือ มีกลุ่มหมอกจับตัวลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ใจกลางทะเลหมอกมียอดวิหารแหลมสภาพเก่าแก่ สีดำล้วน ปราศจากหอระฆัง ด้านบนมีอีกาดำลอยอยู่ คล้ายกับกำลังประกอบพิธีกรรมรำลึกถึงบางสิ่ง หรือไม่ก็ไว้ทุกข์ให้กับบางสิ่ง
รอบวิหารยังมีอาคารอีกหลายแห่ง ทั้งบ้านสองชั้นทั่วไป บ้านไม้เรียบง่าย ร้านขนมปังที่มาพร้อมป้ายแขวน รวมถึงโรงสีข้าวสีขาวอมเทาขับเคลื่อนด้วยพลังกังหันน้ำ… ผู้คนเดินผ่านไปมาตามท้องถนน เงารางลึกลับ ยากจะทราบถึงสถานการณ์ที่แน่ชัด
ภาพลวงตา? นั่นคือต้นตอของอันตรายในยามกลางคืน? ผู้สูญหายทั้งหมดถูกพาตัวไปยังที่ใดสักแห่งโดยปราศจากสติ? เมื่อไคลน์ตื่นขึ้นอีกครั้งในโลกความฝัน คำถามที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้า ล้วนถูกส่งต่อมาถึงปัจจุบันผ่านจิตใต้สำนึก
ชายหนุ่มรวบรวมสติ อัญเชิญคทาเทพสมุทรออกจาก ‘เขตพิเศษภายในโลกวิญญาณ’ !
มันยังไม่ลืมว่า ในนโลกความฝันคราวก่อน ตนกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับนักบุญมืด!
จากนั้น แสงสว่างสีทองสลัวเริ่มปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งสองของไคลน์ ทัศนวิสัยชายหนุ่มพลันกลับมาสว่างไสวและชัดแจ้ง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เห็นตรงหน้ามิใช่อัศวินร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำ มิใช่เลโอมาสต์ในเสื้อคลุมลินิน หากแต่เป็นกระจกหน้าต่างฝรั่งเศสเต็มบานสูงจากพื้นจรดเพดาน ด้านนอกมีแสงอาทิตย์ยามพลบค่ำ
หน้าต่างใสสะอาดหมดจด ช่วยให้เห็นแสงแดดอันบริสุทธิ์ผุดผ่องที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูด
ใกล้กันกับหน้าต่างคือโต๊ะยาวลายไม้และเก้าอี้สีน้ำตาล รวมไปถึงชั้นหนังสือหลายแถวที่เต็มไปด้วยหนังสือจำนวนมาก
ห้องสมุด? หรือหอสมุด? ทุกครั้งที่เราเข้าสู่ความฝันจะถูกสุ่มจุดเริ่มต้น? ไคลน์สำรวจรอบตัวอย่างไม่ประมาท จนกระทั่งยืนยันได้ว่าปลอดภัย ปราศจากนักบุญมืดหรือสัตว์ประหลาดอันตราย
ชายหนุ่มถือคทาเทพสมุทรเดินมาทางหน้าต่างฝรั่งเศส กวาดตาตรวจสอบโดยรอบ
สิ่งที่เตะตาที่สุดคือทิวแถวอาคารหรูหราฝั่งตรงข้ามซึ่งมีอาณาเขตปกคลุมยอดเขาทั้งลูก ไม่ว่าจะพระราชวังขนาดมหึมา หอคอยยอดแหลม หรือกำแพงเมืองเด่นสง่า ล้วนอยู่ในสภาพหยุดนิ่งคล้ายกับกระแสเวลาถูกแช่แข็ง งดงามจนมิอาจบรรยายให้เห็นภาพชัด
ถึงจะเคยเห็นมาก่อนแล้ว แต่ไคลน์ก็อดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ สายตาดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพอันน่าหลงใหลอย่างเงียบงันนานหลายวินาที
จากนั้น มันเบือนหน้าไปทางผาชันและได้พบกับกำแพงสูงของอารามสีดำ มองเห็นต้นไม้เหี่ยวเฉาข้างหินก้อนใหญ่ แต่เนื่องจากมีอุปสรรคบดบัง จึงยืนยันไม่ได้ว่าพลเรือเอกดวงดาว แคทลียา ยังอยู่ในจุดเดิมหรือไม่
ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า ตัวเราจะถูกสุ่มจุดเริ่มต้นจากขอบเขตที่กำหนด นอกเหนือจากนั้นไม่ได้… เรากำลังอยู่ที่ใดสักแห่งลึกเข้าไปในอารามสีดำ? ไคลน์ถอนสายตาพลางครุ่นคิด จากนั้นก็ย่างกรายไปทางชั้นหนังสือ
มันยังไม่ว่างวิเคราะห์เหตุการณ์เกี่ยวกับนักบุญมืดและเลโอมาสต์ เนื่องจากต้องตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันให้แน่ชัดเสียก่อน
เมื่อเข้าใกล้ชั้นหนังสือ ไคลน์พบว่าหนังสือแต่ละเล่มล้วนมีชื่อเขียนไว้อย่างเด่นชัด ไม่เหมือนกับภาพความฝันตามปรกติที่มักคลุมเครือ
‘จิตวิญญาณแห่งชีวิต’ ‘หนังสือแห่งยันต์’ ‘บุปผาแห่งจิต’ ‘ทุกซอกมุมจักรวาลและผืนนภาพราวพรายที่แท้จริง’ … ทั้งหมดคือหนังสือศาสตร์เร้นลับ… ไคลน์เหยียดแขนออกไปหยิบด้วยความระมัดระวัง โดยเจาะจงเลือกดึง ‘หนังสือแห่งยันต์’ ออกมา
มันกวาดตาอ่านด้วยความเร็วสูงและพบว่า เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ตนทราบดีอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็มีบางจุดที่ไม่เคยได้ทราบมาก่อน
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า นี่ไม่ใช่ความฝันของเรา… ของมาดามเฮอร์มิท? มวลความรู้ที่เธอไล่ล่ามาตลอดชีวิตถูกฝังอยู่ในหอสมุดของอารามสีดำ? ไคลน์ผู้ไม่ต้องการออกไปสำรวจด้านนอก นำหนังสือแห่งยันต์ติดมือเดินไปยังริมหน้าต่างฝรั่งเศส นั่งลงและอ่านอย่างละเอียดท่ามกลางแสงแดดสนธยา
แม้กระทั่งในความฝัน มนุษย์ก็ไม่หยุดที่จะเรียนรู้! ชายหนุ่มหยิบปากกากับกระดาษพลางพึมพำ ก่อนจะลงมือขีดเขียน
ขณะสมาธิกำลังดำดิ่ง แสงสว่างพลันปกคลุมทัศนวิสัยโดยสมบูรณ์
ไคลน์ลืมตาตื่นขึ้นตามธรรมชาติ ผิวหนังสัมผัสถึงแสงแดดอบอุ่นจากภายนอก
“เพิ่งอ่านไปได้ไม่กี่หน้า… เรากำลังจะเร่งความเร็วแล้วค่อยใช้พลังทำนายฝันย้อนศึกษาข้อมูลในภายหลังอยู่พอดี…” ไคลน์ลุกขึ้นนั่งอย่างไม่สบอารมณ์ คล้ายกับตนปล่อยให้ข้อมูลสำคัญหลุดมือไปต่อหน้าต่อตา ไม่มีทางทราบได้เลยว่า ความฝันครั้งหน้าจะถูกสุ่มให้เริ่มต้นภายในหอสมุดของอารามสีดำอีกหรือไม่
ชายหนุ่มลูบผมเล็กน้อย สวมหมวก เดินตรงไปยังดาดฟ้าเรือและกวาดสายตาพลางครุ่นคิดถึงความฝันก่อนหน้า
คุกนั่นจะอยู่ภายในอารามสีดำ… ไม่ผิดแน่.. คงเป็นใต้ดิน… หรือสามารถอนุมานได้ว่า นักบุญมืดกับเลโอมาสต์คงอยู่ในซากปรักหักพังสักแห่งซึ่งไม่ไกลจากที่นี่…
เข้าใจแล้วว่าทำไมอสรพิษปรอท วิล·อัสติน ถึงกำชับว่าห้ามเดินสำรวจ ดินแดนภายในโลกความฝันช่างเต็มไปด้วยภัยอันตราย!
แต่น่าแปลกแปลก เหตุใดนักบุญมืดถึงมีหน้าตาเหมือนเลโอมาสต์ยังกับแกะ? ไม่เพียงเท่านั้น กระจกเงาเต็มบานยังแฝงไปด้วยความชั่วร้ายและลึกลับ ถึงขนาดจำลองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ออกมาได้อย่างสมจริง…
คิดมาถึงตรงนี้ ไคลน์เริ่มนำไปเทียบกับประสบการณ์ในอดีต อาศัยจุดที่แตกต่างเพื่อนำไปวิเคราะห์หาความจริง
สิ่งนี้เรียกว่า การนำประสบการณ์มาใช้อย่างชาญฉลาด
เพียงไม่นาน มันฉุกคิดถึงบางเหตุการณ์ในกรุงเบ็คลันด์ นั่นคือการใช้งาน ‘เทียนไขจิตฝันร้าย’ เพื่อช่วยหลวงพ่อยูทรอฟสกี้กำจัดตัวตนในอดีต—อีกหนึ่งบุคลิกในใจ!
หรือแท้จริงแล้ว เลโอมาสต์จะเป็นนักบุญมืดแห่งชุมนุมแสงเหนือ?
และด้วยเหตุผลบางประการ บุคลิกของมันถูกแยกออกเป็นดีกับชั่ว? คุกมืดปิดตายนั่นคือความฝันของมัน?
ไม่ผิดแน่… ต้องเป็นเพราะกระจกเงาบานนั้น! เลโอมาสต์กล่าวว่า หากกระจกเงาถูกทำลาย ตัวมันก็จะหายไป และเมื่อเราจ้องกระจก บุคลิกด้านชั่วร้ายของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ได้ถือกำเนิด…
เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใด หลังจากเราฆ่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ในกระจก ถึงได้เกิดความรู้สึกเหมือนช่วงเวลานักปราชญ์ชั่วขณะ เพราะจิตชั่วร้ายในตัวเราได้ถูกขจัดออก…
หืม… กระจกบานนั้นอาจไม่มีตัวตนบนโลกความจริงก็ได้… เห็นได้ชัดว่าท้องทะเลแถบนี้เศษเสี้ยวของพลัง ‘นักสร้างฝัน’ หลงเหลืออย่างเจือจาง และนั่นคือต้นเหตุของสัตว์วิเศษปลอมจำนวนมากที่เข่นฆ่ามนุษย์ไปนับไม่ถ้วน… ถ้าเป็นเส้นทางผู้ชม ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีพลังในการแยกแยะบุคลิกด้านร้ายและดีออกจากกัน…
ฮะฮะ! ยังต้องสงสัยอะไรอีก นักบุญมืดเลโอมาสต์คือสมาชิกระดับสูงของชุมนุมแสงเหนือ มันต้องไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว! หลังจากซากปรักหักพังหรือสมบัติวิเศษสักชนิดดึงอุปนิสัยด้านตรงข้ามออกมา บุคลิกด้านดีและชั่วจึงแยกออกจากกัน ส่งผลให้เลโอมาสต์ถูกกักขังไว้ที่ใดสักแห่งตลอดกาล… ไคลน์ตระหนักว่าตนบังเอิญได้ทราบข้อเท็จจริงที่น่าทึ่ง แต่นั่นก็ทำให้มันนึกเสียดาย
น่าเสียดายที่กลับไปความฝันเดินไม่ได้… ไม่อย่างนั้น เราจะช่วยพาเลโอมาสต์ด้านดีไปจำกัดเลโอมาสต์ชั่วร้าย—นักบุญมืด ด้วยคทาเทพสมุทร และความเสียหายที่เกิดขึ้นในความฝัน ย่อมต้องส่งกระทบไปถึงโลกความจริง…
หากลงเอยเช่นนั้น ‘นักบุญ’ ผู้มีจิตใจขาวสะอาดและรู้จักชุมนุมแสงเหนือทุกซอกทุกมุมจะถือกำเนิดขึ้น เป็นก้าวแรกสู่ความล่มสลายขององค์กรลับชั่วร้ายอันโด่งดัง… ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว ตามด้วยการหมุนตัวครึ่งรอบไปมองแอนเดอร์สัน·ฮู้ดที่เพิ่งเดินออกจากเขตห้องโดยสาร
“นายอยู่ตรงไหนของโลกความฝัน? ฉันไม่เห็นนายเลย” นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดซักถามอย่างเป็นกันเอง
ไคลน์ขมวดคิ้วและถามกลับ
“แล้วทำไมนายต้องเห็น?”
แอนเดอร์สันพลันผงะ
“ไม่ใช่ว่าความฝันของพวกเราจะเริ่มต้นที่จุดเดิมเมื่อเข้าไปหรอกหรือ?”
“…”
แต่ฉันสุ่มจุดเริ่มต้น… ยังมีปัจจัยอื่นอีกหรือ? เป็นเพราะความพิเศษของเรา? ไคลน์เริ่มพบว่าเรื่องราวมิได้ราบเรียบดังที่ตาเห็น
มันตอบกลับหลังจากใคร่ครวญ
“ฉันไปโผล่จุดอื่น”
“แปลกมาก…” แอนเดอร์สันขมวดคิ้ว สีหน้าค่อนไปทางสับสน
โดยไม่รอให้ไคลน์พูด มันกล่าวหลังจากไตร่ตรอง
“และไม่ใช่แค่เรื่องนี้ที่แปลก”
“อะไรอีก?” ไคลน์ถามอย่างใคร่รู้
แอนเดอร์สันมองไปรอบตัวและพูด
“ในความฝันล่าสุด ขณะกำลังแสร้งทำเป็นต่อเรือบด ฉันได้ยินเสียงเปิดประตูถึงเสียงฝีเท้าใครบางคนดังมาจากส่วนลึกของอาราม แต่เมื่อลองมองเข้าไปกลับไม่พบสิ่งใด… ฉันเคยคิดว่าคงเป็นใครสักคนบนเรือ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น”
…………………………………………..
ราชันเร้นลับ 656 : การกลายพันธุ์อันบ้าคลั่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
มีใครบางคนเปิดประตูที่อยู่ลึกเข้าไปในห้องโถงจิตรกรรมฝาผนังและเดินออกมา? ผู้คลุ้มคลั่งหรือสัตว์วิเศษในละแวกใกล้เคียง? แถมยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระภายในความฝัน? หลังจากฟังเรื่องราวของแอนเดอร์สัน·ฮู้ด ไคลน์พยายามวิเคราะห์หาต้นตอ
ท่ามกลางกระแสความคิด ชายหนุ่มผุดทฤษฎีใหม่
อาจเป็นเจ้าของดวงตาลึกลับที่เคยจ้องเราบนดาดฟ้าเรือ…
เป็นไปได้… หากบุคคลลึกลับดังกล่าวซ่อนตัวอยู่บนเรือเพื่อตามเราเข้ามาในท้องทะเลพิเศษแห่งนี้ ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนอนในยามกลางคืนและโผล่ตัวบนโลกความฝัน… มาดามเฮอร์มิทมิอาจตระหนักถึงการมีอยู่ของอีกฝ่าย หรือรู้แต่ยังอนุญาตให้ทำ? หรือนี่คือหนึ่งในไพ่ตายของเธอ และเป็นเหตุผลที่เธอกล้ารับงานโดยไม่เกรงกลัวอันตราย? ไม่สิ อย่าเพิ่งด่วนสรุป อย่างน้อยก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า บุคคลที่เปิดประตูในส่วนลึกของโถงจิตรกรรม เป็นคนเดียวกับเจ้าของดวงตาลึกลับบนอนาคตกาล… ไคลน์จ้องแอนเดอร์สันด้วยสายตาซับซ้อน ต่อด้วยซักถาม
“แล้วทำไมถึงคิดว่าไม่ใช่คนบนเรือ”
จากคำบอกเล่าของแอนเดอร์สัน·ฮู้ด มันเคยเชื่อว่านั่นคงเป็นเสียงฝีเท้าของใครสักคนบนอนาคตกาล แต่ภายหลังเกิดเปลี่ยนใจ
แอนเดอร์สันตอบพลางยิ้ม
“บนโลกความฝัน ฉันแวะไปหาทุกคนบนเรือและยืนยันจนแน่ใจว่า ไม่มีใครสามารถขยับตัวได้อย่างอิสระ ยกเว้นนายคนเดียว”
“เสียใจด้วย แต่ตอนนั้นฉันกำลังผลักประตูออกไปข้างนอก” ไคลน์ตอบเยือกเย็น
แอนเดอร์สันยักไหล่
“ฉันรู้ และมิได้สงสัยว่าเป็นนาย ท้องทะเลแห่งนี้เต็มไปด้วยอันตรายอยู่แล้ว มีสัตว์ประหลาดเหนือจินตนาการซ่อนอยู่มากมาย บางที คนที่เปิดประตูอาจเป็นเจ้ายักษ์ศิลานั่น หรือไม่ก็มังกรเน่าเปื่อยสักตนที่กำลังฝันถึงกองสมบัติมหาศาล”
กล่าวถึงตรงนี้ แอนเดอร์สันเอนตัวพิงกราบเรือและมองออกไปยังท้องทะเลด้านนอกที่กำลังถูกฉาบด้วยแสงสีทองเรืองรอง มันเผยรอยยิ้ม
“ฉันค้นพบว่า หลังจากรอดชีวิตจากเหตุการณ์เรืออับปางเพราะพายุ ความโชคร้ายก็เริ่มลดลงทีละนิด ฮะฮะ! อย่างน้อยก็ทำให้ได้รู้ว่า ฉันจะไม่ซวยบัดซบไปตลอดชีวิต… เห็นได้ชัดจากการที่ฉันว่ายน้ำขึ้นไปบนเกาะสำเร็จ ถึงจะประสบโชคร้ายหลังจากนั้นอีกเล็กน้อย แต่ก็ยังเอาชีวิตรอดมาจนกระทั่งพบนายได้… ถึงจะดึงดูดให้สัตว์ร้ายเข้ามาหา เช่นยักษ์ศิลาตัวนั้น แต่พวกเราก็ร่วมมือกันจัดการได้ในพริบตา… และเหนือสิ่งอื่นใด ฉันอยู่บนเรือลำนี้มาหลายชั่วโมงแล้ว แต่กลับยังไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น จึงน่าจะอนุมานได้ว่า…”
ก่อนที่แอนเดอร์สันจะกล่าวจบ ไคลน์พูดแทรกเสียงเข้ม
“หุบปาก!”
ถ้าไม่ถูกชกสักหมัด หมอนี่จะไม่พูดให้น้อยลงหรือไง? ลองดูสักทีดีไหม? หากไม่ใช่เพราะเราเคยทำนายยืนยันบนมิติหมอกแล้วว่า แอนเดอร์สันไม่มีพิษภัยหรือถูกสิ่งใดครอบงำ ป่านนี้คงจับมันโยนก้นทะเลไปนานแล้ว… นั่นสินะ ลำดับ 8 แห่งเส้นทาง ‘นักล่า’ คือ ‘นักยั่วยุ’ ด้วยสันดานของหมอนี่ การย่อยโอสถในพริบตาคงไม่ใช่เรื่องยาก… ด้วยความสัตย์จริง ไคลน์มองว่าระดับการ ‘ยั่วยุ’ ของแอนเดอร์สันเหนือกว่าเดนิสหลายเท่า
“ตกลง… ตกลง… ฉันจะเงียบแล้ว” แอนเดอร์สันยกสองมือขึ้นพลางเผยรอยยิ้มขื่นขมโดยมิได้แสดงความขุ่นเคือง
เมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเสียงเปิดประตูและฝีเท้าในโลกความฝัน ไคลน์ยืนครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าห้องโดยสาร
ในวินาทีนี้ มันเพิ่งตระหนักได้ว่า ตนมองข้ามสิ่งสำคัญไปหนึ่งเรื่อง!
เมื่อแอนเดอร์สันผู้ถูกสาปให้โชคร้ายโดยสารมากับเรือ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงว่า อนาคตกาลอาจถูกโจมตีหรือเผชิญภัยพิบัติเหนือธรรมชาติได้ทุกเมื่อ! การเตรียมตัวรับมือจึงเป็นสิ่งสำคัญ!
กลับถึงห้อง ไคลน์หยิบนกหวีดทองแดงของอะซิกออกมาพร้อมกับนกกระเรียนกระดาษของวิล·อัสติน เดินเข้าห้องน้ำ ประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเองเพื่อนำถุงมือ ‘อินธน์’ เข็มกลัดสุริยันและตะกอนพลัง ‘ฝันร้าย’ ออกจากมิติหมอกเทามายังโลกความจริง
มันมิได้สวมใส่อุปกรณ์เหล่านั้นทันที เพียงเก็บไว้ในกระเป๋าเดินทางร่วมกับขวดพิษชีวภาพ
ด้วยการเตรียมพร้อมระดับนี้ ถึงจะมีอันตรายเกิดขึ้นกะทันหัน แต่ก็ยังพอมีเวลาปรับแต่ง ‘ชุดศึก’ ให้เหมาะสมสถานการณ์
หลังจากจัดการเสร็จ ไคลน์ที่เริ่มบรรเทาความตึงเครียด เก็บข้าวของและเดินออกไปยังดาดฟ้าเรืออีกครั้ง ด้วยความกังวลว่าตนอาจพลาดเบาะแสสำคัญของนางเงือกไป
ในวินาทีที่ก้าวขาออกจากห้องโดยสาร ชายหนุ่มเห็นแฟรงค์·ลีนั่งยองอยู่ด้านข้าง สีหน้าเจือความตกตะลึงและเสียขวัญ
“เกิดอะไรขึ้น” หัวใจไคลน์แทบหยุดเต้น
มันเริ่มกังวลว่า การทดลองข้ามสายพันธุ์สุดพิสดารของแฟรค์อาจล้มเหลวและกำลังจะสร้างความฉิบหายขึ้นบนเรือ ส่งผลให้สมาชิกอนาคตกาลทุกคนต้องอาศัยอยู่ท่ามกลางหายนะทางระบบนิเวศ
แฟรงค์ส่ายหน้าอย่างเหม่อลอย
“ฉันเคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ให้นายฟังแล้วใช่ไหม… พวกเด็ก ๆ ต้องนอนหลับสักพักถึงจะเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ได้… และในตอนนี้…”
“ในตอนนี้ทำไม?” ใบหน้าไคลน์เริ่มดำมืด
บทสนทนาดังกล่าวทำให้นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด แอนเดอร์สัน·ฮู้ด ผู้กำลังโอ้อวดกับลูกเรือคนอื่นว่าตนเคยล่าโจรสลัดไปมากเพียงใด พลันเปลี่ยนสีหน้า ก่อนจะปลีกตัวเดินตรงมาทางไคลน์และแฟรงค์ด้วยความใคร่รู้
แฟรงค์ที่กำลังนั่งยอง เงยหน้าขึ้นและเล่าต่อ
“พวกเด็ก ๆ เพิ่งประสบความสำเร็จในการแพร่พันธุ์จำนวนมาก ปัจจุบันกำลังเข้าสู่ขั้นตอนการปรับแต่งพันธุ์กรรมเป้าหมาย… น… นี่มันเหตุการณ์ระดับปาฏิหาริย์!”
“แล้วไงต่อ? พวกมันไปไหน? หรือยังอยู่ในท้องทดลองของนาย?” ไคลน์เริ่มสัมผัสถึงลางร้าย
แฟรงค์ใช้เวลาราวสองวินาทีเพื่อตกผลึกคำตอบ ก่อนจะพับแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นกระจุกขนดกหนาบนท่อนแขน
มันใช้มือเคาะพื้นดาดฟ้าตรงหน้า พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้มแฝงเลศนัย
“พวกเด็ก ๆ ฝังตัวเองเข้าไปในนี้และพยายามปรับแต่งโครงสร้างของอนาคตกาลเสียใหม่…”
ท่ามกลางเสียงเคาะทื่อ ๆ หยดน้ำนมพลันพุ่งออกจากแผ่นไม้ดาดฟ้าเรือ สาดกระเซ็นจนเต็มใบหน้าแฟรงค์·ลี
มันเลียของเหลวข้างริมฝีปาก พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเจืออารมณ์ตื่นเต้น
“อนาคตกาล… อนาคตกาลผลิตน้ำนมได้แล้ว!”
ขณะเดียวกัน โจรสลัดที่กราบเรือต่างชี้ลงไปยังตำแหน่งของปืนใหญ่ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ปากกระบอก… ปากกระบอกปืนใหญ่พ่นน้ำนมได้!”
นี่มัน… ไม่สอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์เลยสักนิด… ไคลน์เกือบหลุดกระตุกมุมปาก
นับตั้งแต่เริ่มโดยสารอนาคตกาล นับตั้งแต่เรือแล่นมาถึงหุบเหวและเผชิญการร่วงหล่นอย่างรุนแรง หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นโดยไม่สอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์ หรือแม้กระทั่งศาสตร์เร้นลับในขอบเขตที่ตนเคยศึกษา!
แอนเดอร์สันเฝ้ามองเหตุการณ์ด้วยสีหน้าตกตะลึง ถึงขั้นลืมซักถามความเป็นไป ทำเพียงกระทืบเท้าตามสัญชาตญาณเมื่อเห็นน้ำพุนมพวยพุ่งขึ้นมาจากบริเวณอื่น
กระแสความคิดมากมายแล่นเข้ามาในสมองไคลน์ ช่วยให้มันเริ่มเข้าใจถึงปัญหา
ชายหนุ่มมองไปทางแฟรงค์ ถามเสียงทุ้มลึก
“หลังจากสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ของนายฝังตัวลงในอนาคตกาล พวกมันสามารถแพร่ไปสู่คนได้ไหม”
ขณะตั้งคำถาม ไคลน์สอดมือขวาเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หลังจากประเมินสถานการณ์ตรงหน้า มันเลือกหยิบ ‘ยันต์ลอยตัว’ เพื่อเตรียมบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เหตุเพราะไม่ต้องการอยู่ในเขตแพร่เชื้อ
แฟรงค์ไตร่ตรองด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ในทางทฤษฎีก็ใช่…”
ยังไม่ทันกล่าวจบ คนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับตะบันแข้งใส่แฟรงค์จนตีลังกาหลายตลบและนอนแผ่ลงบนแอ่งน้ำนม
ผู้มาเยือนสวมเชิ้ตผ้าลินิน ไม่ใช่ใครนอกจากนีน่าในแจ็คเก็ตสีน้ำเงินเข้ม
หญิงสาวจ้องแฟรงค์·ลีที่กำลังนอนแผ่บนดาดฟ้า ปากตะโกนด่าทอโดยไม่รักษาน้ำใจ
“แล้วทำไมถึงไม่รีบจัดการกับพวกเด็กเวรตะไลของนายสักที! ตอนสร้างขึ้นมา นายแอบคิดว่าหน้าอกของฉันยังใหญ่ไม่พอใช่ไหม!”
“ข…เข้าใจแล้ว” แฟรงค์·ลีลูบก้นพลางกล่าวอย่างไม่เต็มใจ
ขณะเดียวกัน ไคลน์ที่ดึงยันต์ออกมาแล้ว ทำการเปล่งเสียง
“วายุ!”
มันเชื่อว่า ตนไม่ควรล้อเล่นกับฝีมือในการก่อหายนะของแฟรงค์·ลี อันตรายที่จะเกิดตามมาคงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันแน่ จึงตัดสินใจลอยขึ้นฟ้าเพื่อตัดขาดจากปัญหา
เปลวเพลิงสีฟ้าลุกท่วมยันต์ดีบุกสีขาว ก่อเกิดเป็นสายลมกระโชกรุนแรง หมุนวนรอบฝ่าเท้าไคลน์พร้อมกับส่งร่างกายชายหนุ่มลอยขึ้นจากพื้นดาดฟ้า และหยุดค้างกลางอากาศในระยะสี่ถึงห้าเมตร
แอนเดอร์สันสะดุ้งเล็กน้อยในตอนแรก ก่อนจะรีบเหยียดแขนโดยหวังคว้าขาไคลน์ แต่การตอบสนองอันเชื่องช้าทำให้ความพยายามล้มเหลว จึงทำได้เพียงแหงนมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ลอยขึ้นไป ขณะที่ตัวเองยังอยู่ในจุดเดิม
นักล่าผู้มีหน้าตาค่อนข้างหล่อเหลา ส่ายศีรษะด้วยความผิดหวัง ภายในใจนึกตลกขบขัน แต่อีกใจก็หนึ่งอยากฉีกร่างของ ‘รองกัปตัน’ อนาคตกาลให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ขณะเดียวกัน แฟรงค์เปิดผาขวดแก้วที่บรรจุผงสีเขียวเข้ม หยิบผงออกมาราวหนึ่งกำมือ และท่องคาถาพลางโปรยลงพื้น
ในวินาทีที่ผงเขียวสัมผัสดาดฟ้า เถาวัลย์เขียวขุ่นพลันเจริญเติบโตด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง เพียงพริบตาก็สามารถดูดซับน้ำนมและ ‘สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ’ เข้าไปในราก จากนั้นก็กระจายตัวออกไปปกคลุมดาดฟ้าและห้องโดยสารจนทั่ว
ผ่านไปราวสิบวินาที อนาคตกาลแปรสภาพกลายเป็นผืนป่าเถาวัลย์เขียว
“ฟู่ว… แก้ไขเรียบร้อยแล้ว” แฟรงค์หันไปยิ้มให้นีน่าเล็กน้อย ก่อนจะเผยความตกตะลึงสุดขีด “เดี๋ยว! พ…พวกเขากลายพันธุ์!”
ทันใดนั้นเอง โจรสลัดคนหนึ่งเดินตรงมาอย่างโซซัดโซเซและตะโกนด้วยความหวาดกลัว
“ต…แตงโม! มีแตงโมงอกบนหัวฉัน!”
ไคลน์มองตามต้นเสียงและเห็นเส้นผมของโจรสลัดเริ่มแปรสภาพกลายเป็นเถาวัลย์ โดยเส้นหนึ่งมีผลแตงโมกำลังเบ่งบานคล้ายใกล้สุกเต็มที
“นี่น่ะหรือการกลายพันธุ์… สยองสิ้นดี!” แอนเดอร์สันโพล่งขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ
ทันใดนั้น มันเบือนสายตาออกและกล่าวเสียงขรึม
“มีบางอย่างผิดปรกติบนทะเลแถบนี้!”
ไคลน์บนท้องฟ้าเองก็กำลังคิดในสิ่งเดียวกัน
หากไม่ถูกรบกวนจากอิทธิพลภายนอก ลำพังวัตถุดิบทดลองและพลังของแฟรงค์·ลี ยังไม่มากพอจะทำให้เกิดการกลายพันธุ์ระดับนี้ได้!
แคว่ก!
เถาวัลย์ต้นหนึ่งถูกฉีกขาด หน้าต่างห้องกัปตันเปิดออก
พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา โผล่หน้าพร้อมกับเปล่งเสียงที่ขยายด้วยเวทมนตร์
“แฟรงค์! หยุดการกระทำของนายทั้งหมด! ทะเลแถบนี้อาจมีเศษเสี้ยวออร่าของพระแม่ธรณีหลงเหลืออยู่”
พระแม่ธรณี? ไคลน์หันไปจ้องมาดามเฮอร์มิทด้วยสีหน้าฉงน ภายในใจกำลังคิดว่า ทฤษฎีเกี่ยวกับท้องทะเลที่ตนเคยวิเคราะห์ไว้ อาจพลิกผันจากหน้าเป็นหลังมือ!
“ส… สรรเสริญองค์พระมารดาผู้โอบอ้อม!” แฟรงค์กอดอก ทำท่าทางคล้ายกับอุ้มทารก
จากนั้น มันโน้มตัวลงไปจุมพิตเถาวัลย์สีเขียวขุ่นอย่างนอบน้อม
พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา เฝ้ามองฉากตรงหน้าอย่างเงียบงัน รอบกายเริ่มผุดดวงดาวพราวพรายจนอนาคตกาลทั้งลำสว่างไสวยิ่งกว่าเดิม
หญิงสาวตวัดนิ้วแผ่วเบา ปล่อยบอลแสงสีใสตกลงบนเถาวัลย์ข้างหน้าต่างห้องกัปตัน
เถาวัลย์พลันลุกโชนด้วยเปลวเพลิง แปรสภาพกลายเป็นขี้เถ้าอย่างเงียบงัน
เปลวไฟไร้สีเริ่มลุกลามโดยปราศจากสุ้มเสียง กระจายตัวแผดเผาเป็นวงกว้าง แต่มิได้ทำอันตรายต่อลูกเรือ และไม่มีจุดใดบนอนาคตกาลได้รับความเสียหาย เนื่องจากแสงสว่างของดวงดาวช่วยปกป้องมิให้ถูกเผาไหม้
ถัดมาไม่นาน ป่าเถาวัลย์ถูกขจัดโดยสมบูรณ์ เหลือเพียงผลแตงโมที่เคยงอกเหนือศีรษะโจรสลัดตกอยู่บนพื้น ส่วนเถาวัลย์ที่เคยเชื่อมติดกันได้มอดไหม้ไปจนหมด
“ฟู่ว… นี่มันเหมือนกับ… วันสิ้นโลก!” โจรสลัดคนเดิมก้าวไปด้านหน้าเล็กน้อย ก้มหยิบผลแตงโมที่เคยงอกบนศีรษะของตน
“อย่าบีบ!” ขณะคำเตือนของพลเรือเอกดวงดาวดังกึกก้อง โจรสลัดออกแรงบีบผลแตงโมโดยมิได้ตระหนักถึงอันตราย ส่วนหนึ่งทำไปเพราะโมโห อีกส่วนหนึ่งเพราะความอยากรู้อยากเห็น
แตงโมถูกบีบจนแบ่งครึ่งซีก ด้านในมี ‘เนื้อสมอง’ สีขาวขุ่นและเมือกเหลว ผสมผสานกับเลือดสีแดงสดจำนวนมาก
ผลุบ! โจรสลัดคนดังกล่าวเสียชีวิตคาที่ ไม่เหลือที่ว่างสำหรับการยื้อชีวิต ตะกอนพลังในร่างกายเริ่มควบแน่นกลายเป็นของแข็งด้วยความเร็วสูง
ทั้งบ้าคลั่งและน่าสยดสยอง… ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว เตรียมร่อนกลับลงไปบนดาดฟ้าเรือ
ทันใดนั้น มันเหลือบเห็นฝ่ามือขนาดมหึมาโผล่ออกจากผิวทะเลด้านข้างอนาคตกาล
นิ้วทั้งห้าของฝ่ามือเหยียดยาวผิดปรกติ ราวครึ่งเมตรเห็นจะได้ ทุกส่วนของฝ่ามือมีสีเทาดำคล้ายกับทุ่งกว้างอันรกร้างแห้งแล้ง
ไคลน์พึมพำในใจและอดไม่ได้ที่จะจ้องไปทางแอนเดอร์สัน·ฮู้ด
หมอนี่เพิ่งพูดออกมาว่า… ยังไม่เคยมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นนับตั้งแต่มันโดยสารมากับเรือ!
………………………………………
ราชันเร้นลับ 657 : พลังชีวิตอันน่าพรั่นพรึง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฝ่ามือสีเทาดำยื่นมาจับกราบเรือและกดลง ขอบเรือที่เคยจมน้ำถูกเผยให้เห็นทีละนิด
ผ่านผิวน้ำสีฟ้าคราม ไคลน์มองเห็นร่างกายสีเทาดำขนาดมหึมาด้านล่าง และไม่นานหลังจากนั้น ภาพก้อนเนื้อยุบพองเริ่มใหญ่ขึ้นทีละนิดจนเต็มทัศนวิสัยของชายหนุ่ม
คล้ายกับสัตว์ประหลาดตัวนี้ถูกประกอบจากซากศพสีดำและเทาจำนวนมหาศาล ท่อนแขนที่เชื่อมติดกับฝ่ามือทั้งสองข้างมีลักษณะเหี่ยวเฉาประหนึ่งท่อนไม้แห้ง ฝ่ามือสีเทาที่เห็นในตอนแรกดูคล้ายกับมือจากศพคนยักษ์ ดวงตาข้างเดียวขนาดมหึมากำลังปิดสนิท ใกล้กับบริเวณลำคอยักษ์มีศีรษะจากศพอื่นประกบติดสองด้าน ถัดลงไปคือร่างกายขนาดใหญ่อันเกิดจากการรวมกันของซากปลามีเกล็ด ศพกิ้งก่า ศพมนุษย์เละเทะ ชิ้นแล้วชิ้นเล่าประกอบกันกลายเป็นเกาะขนาดย่อม
ท่ามกลางซากศพอันหลากหลาย แก๊สสีเขียวอมเหลืองระเบิดออกมาตามรอยเย็บของแต่ละศพ ฟุ้งกระจายปกคลุมน่านน้ำบริเวณดังกล่าวอย่างทั่วถึง
แค่ก! แค่กแค่ก!
เพียงได้กลิ่นเจือจาง ลูกเรือจำนวนมากบนดาดฟ้าพลันไอกระแอมรุนแรงจนมิอาจตั้งตัวยืนตรง
ได้เห็นฉากตรงหน้า แฟรงค์·ลีไม่ลังเลที่จะหยิบบางสิ่งออกจากช่องลับในเข็มขัดและเตรียมใช้พลังที่สอดคล้องกันทันที แต่ใครจะไปคิดว่า แคทลียาจะส่งเสียงเสริมเวทมนตร์ออกมาห้ามไว้
“แฟรงค์! หยุด! ไปช่วยนีน่าออกคำสั่งให้ลูกเรือปรับใบเรือเร็วเข้า!”
“ทำไม…?” แฟรงค์·ลีถามตามสัญชาตญาณ
“ในทะเลแถบนี้ พลังพิเศษขอบเขตอำนาจพระแม่ธรณีจะเกิดการกลายพันธุ์ พลังของนายก็ไม่มีข้อยกเว้น!” แคทลียาออกคำสั่งพลางวางฝ่ามือลงบนจุดหนึ่งของโต๊ะทำงาน
เพียงพริบตา สัญลักษณ์และอักขระเวทมนตร์ที่สลักบนผิวอนาคตกาลพลันสว่างไสว เปลี่ยนเรือทั้งลำให้กลายเป็นทะเลดวงดาวพราวพราย เฉกเช่นแสงสว่างรอบตัวแคทลียา
ขณะละอองแก๊สสีเขียวเหลืองที่กำลังฟุ้งกระจายเริ่มถูกแสงดาวกีดขวาง ไคลน์ตัดสินใจลอยตัวเลียบกราบเรือ ตรงไปยังหน้าต่างห้องพักของตน
เมื่ออาการไอกระแอมของเหล่าโจรสลัดบรรเทาลง สรั่งเรือนีน่า รองกัปตันแฟรงค์·ลี และต้นหนอ็อตโตลอฟ รีบกำชับให้ลูกเรือกระจายตัวไปปรับใบเรือ หวังนำพาอนาคตกาลแล่นออกจากเขตอันตรายโดยเร็ว จะได้หลุดจากอำนาจของพระแม่ธรณีและการกลายพันธุ์อันบ้าคลั่งเสียที
ทว่า สัตว์ประหลาดสีเทาดำขนาดมหึมาเริ่มรัดรึงหัวเรือไว้แน่น แม้จะไม่ทราบว่าร่างกายใต้น้ำยึดเหนี่ยวกับสิ่งใด แต่สิ่งที่แน่ชัดก็คือ ตัวเรือมิอาจแล่นไปด้านหน้าได้ตามใจปรารถนา
ขณะเดียวกัน คล้ายกับรอบทิศถูกบดบังด้วยภูเขาล่องหน ลมทะเลอันควรจะมี กลับมิอาจพัดปะทะใบเรือของอนาคตกาล
ในสถานการณ์แบบนี้ ต้นหนต้องสั่งให้เดินเครื่องยนต์สำรอง… แต่น่าเสียดายที่อนาคตกาลไม่มีของแบบนั้น…
จริงอยู่… เรือลำนี้อาจมีท่า ‘กระโจน’ ฉุกเฉินด้วยพลังแห่งดวงดาว แต่ขอเดาว่ามาดามเฮอร์มิทต้องจ่ายบางสิ่งที่ราคาแพงเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน อีกทั้งยังกำหนดทิศและระยะทางไม่ได้ การกระโจนส่งเดชท่ามกลางทะเลพิสดารเช่นนี้ หากโชคไม่เข้าข้างก็คงไม่แคล้วตกอยู่ท่ามกลางอันตราย โดยเฉพาะการมีแอนเดอร์สันโดยสารอยู่บนเรือ… ไคลน์ที่กำลังลอยตัวข้างหน้าต่าง สำรวจสถานการณ์รอบเรืออย่างละเอียด
มันไม่วิตกกังวลมากนัก เพราะไม่ว่าจะพลเรือเอกดวงดาวหรือนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด ต่างก็ยังมิได้แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา
แน่นอน… รวมถึงเราด้วย… ไคลน์เสริมเงียบ
มันเตรียมกลับเข้าไปในห้องพักและหยิบ ‘อินธน์’ ออกมาสวม ในสภาวะที่ปราศจาก ‘อาหาร’ ของยุบพองหิวโหย การเลือกใช้อินธน์คงเหมาะสมกว่า ค่อยงัดยุบพองหิวโหยออกมาใช้ในสถานการณ์ที่ยุ่งยากซับซ้อน จากนั้นก็โยนเข้ามิติหมอกเทาเพื่อผนึกไว้ชั่วคราว
สำหรับผลข้างเคียงที่มีโอกาสทำให้ของติดตัวสูญหาย ไคลน์มีแผนรับมือไว้อยู่แล้ว หลังจากเปลี่ยน ‘ชุดศึก’ เสร็จ มันจะนำกระเป๋าสตางค์ นกหวีดทองแดงอะซิก หีบเพลงปากของนักผจญภัย และสิ่งของมีค่าชนิดอื่นเก็บไว้ในกระเป๋าเดินทาง พกติดตัวเพียงยุบพองหิวโหย กระดุมข้อมือเมอร์ล็อค และยันต์ในขอบเขตอำนาจเทพสมุทร โดยจะคอยระวังสองชิ้นแรกมากเป็นพิเศษ
หากพิจารณาในแง่ความน่าจะเป็น สิ่งที่มีโอกาสหายไปเพราะผลข้างเคียงของถุงมือ ‘อินธน์’ มากที่สุดคงหนีไม่พ้นยันต์โลหะ เนื่องจากมีจำนวนมากที่สุด
ไคลน์มิได้กังวลมากนัก เหตุเพราะมันสร้างยันต์ทำนองเดียวกันไว้เป็นจำนวนมาก โดยหน้าที่ของยันต์คือการถูกใช้งานและหายไปอยู่แล้ว
เหนือสิ่งอื่นใด โลหะในขอบเขตอำนาจ ‘พายุ’ คือดีบุก ซึ่งมีราคาต่ำมากจนไม่ต้องเก็บมาคิดเล็กคิดน้อย ส่วนพลังพิเศษก็เกิดจากคทาเทพสมุทร ไม่มีต้นทุนใดทั้งนั้น… ไคลน์พึมพำพลางเหยียดแขนออกไปเปิดหน้าต่างห้องพัก
ขณะเดียวกัน สัตว์ประหลาดสีเทาดำร่างใหญ่ที่เกิดจากการรวมตัวของเศษเนื้อ เริ่มพยายามปีนกลับขึ้นมาบนเรือ โดยเมื่อมันเฉียดใกล้ เส้นผมของเหล่าลูกเรือบนดาดฟ้าต่างพากันงอกยาวอย่างบ้าคลั่งจนกระทั่งถึงเอว
นั่นมิใช่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ เส้นผมพวกมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างกะทันหันและแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว พวกมันเริ่มงอกยาว พันธนาการซ้ายขวาและรัดรึงร่างของผู้เป็นนายจนแน่นกระชับ
กระจุกผมของคนอื่น ๆ ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในทำนองเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าอำนาจดวงดาวของอนาคตกาลมิอาจขัดขวางผลข้างเคียงได้ทั้งหมด
สำหรับโจรสลัดบางคนที่โกนหัว ความพิเศษนี้ไม่ช่วยให้รอดพ้นจากอันตราย ขนจมูกของพวกมันขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็วจนมองทันด้วยตาเปล่า เพียงไม่นานก็อุดตันช่องทางสำหรับหายใจเข้าออก
ณ หน้าต่างห้องกัปตัน พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา ยกแขนขึ้นโดยในมือกำลังถือม้วนคาถาที่ทำจากหนังปลาเรียบ
“อัมพาต!”
ท่ามกลางเสียงสวดภาษาเฮอร์มิสโบราณก้องกังวาน ม้วนคาถาลุกไหม้อย่างเงียบงัน แสงสีเขียวอ่อนส่องประกายจากใจกลางกระดาษหนังปลา พุ่งกระแทกใส่ฝ่ามือขนาดใหญ่ของสัตว์ประหลาดตรงกราบเรือ
อย่างไรก็ตาม ชิ้นเนื้อที่ยุบพองของซากศพมิได้หยุดขยับเขยื้อน ฝ่ามือข้างหนึ่งทุบใส่ทะเลดวงดาวพราวพรายจนกระจัดกระจายและทำให้เรือสั่น
ได้เห็นเช่นนั้น แสงสีม่วงในดวงตาแคทลียาทวีความเข้มข้น หญิงสาวผลักฝ่ามือตรงไปข้างหน้าโดยมิได้หยิบกระดาษคาถาม้วนใหม่
“จองจำ!”
ในวินาทีที่คาถาลึกลับถูกพ่นจากปากนายพลโจรสลัด ดวงดาวพราวแสงรอบตัวเธอ ทยอยพุ่งลงไปบนร่างกายขนาดมหึมาของสัตว์ประหลาดสีเทาดำทีละดวงสองดวง
แสงดาวเริ่มควบแน่นกลายเป็นแท่งอำพันใสขนาดใหญ่ ห่อหุ้มซากศพยุบพองไว้ทุกส่วน เหนี่ยวรั้งพวกมันมิให้ขยับเขยื้อนไปไหน
ขณะเดียวกัน ในมือขวาของนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด แอนเดอร์สัน·ฮู้ด ปรากฏกริชคมกริบเล่มหนึ่ง ผิวกริชมีลวดลายน่ากลัวซ้อนทับหลายชิ้น แต่ทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา
อาศัยจังหวะที่สัตว์ประหลาดถูก ‘กรงแสงดาว’ พันธนาการ ร่างกายแอนเดอร์สันพลันปรากฏเปลวเพลิงสีขาวลุกท่วมอย่างโชติช่วง
เปลวไฟพุ่งตรงไปด้านหน้า กระโดดออกจากกราบเรือและตกลงบนเศษเนื้อสีเทาดำของซากศพจำนวนมาก
จากนั้น แสงสีขาวเริ่มตวัดฉวัดเฉวียนอย่างว่องไวไปบนผิวซากศพยุบพอง ประหนึ่งกำลังสร้างสรรค์ภาพวาดอันงดงาม
ถัดมาเป็นเสียงระเบิดกึกก้อง ตามด้วยฉากเปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นฟ้าราวกับดอกไม้ไฟ แอนเดอร์สันกระโดดกลับขึ้นมาบนเรือพร้อมกับกริชสีดำสนิท
สัตว์ประหลาดขนาดมหึมายังคงแน่นิ่งในจุดเดิม ราวกับไม่หลงเหลือพลังชีวิตอีกต่อไป
ปึด! ปึด! ปึด! ภายในไม่กี่วินาที บาดแผลลึกจำนวนมากปริแตกบนร่างเศษเนื้อยุบพอง
พลังทำลายของ ‘ยมทูต’ น่ากลัวคำร่ำลือ… ไคลน์ที่เพิ่งปรับแต่งชุดศึกเสร็จ บังเอิญเห็นฉากตรงหน้าพอดีขณะเดินตรงมายังหน้าต่าง
ทันใดนั้น ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย
การเปลี่ยนที่ไม่มีใครคาดคิดพลันบังเกิด เศษเนื้อระเบิดกระจัดกระจายพร้อมกับส่ง ‘มือและเท้า’ ขึ้นไปยังดาดฟ้าเรือ ราวกับอสุรกายเปิดฉากกระหน่ำยิงใส่อนาคตกาลก็มิปาน
คล้ายกับผู้บุกรุกขนาดมหึมาสีเทาดำตนนี้ไม่มีวันตาย เพราะไม่ว่าจะถูกแบ่งสับจนละเอียดสักเพียงใด แต่ก็จะแตกตัวกลายเป็นสัตว์ประหลาดตัวเล็กตัวน้อย!
ท่ามกลางความเงียบ เนื้อสีเทาดำจำนวนมากที่ตกลงบนดาดฟ้าใกล้กับห้องกัปตัน พลันพุ่งไปหาพลเรือเอกดวงดาวโดยหวังพันธนาการศีรษะหญิงสาว
บุคคลผู้หนึ่งปรากฏกายจากความมืดเพื่อเป็นกำบังให้แคทลียา ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘ผู้ไร้เลือด’ ฮีธ·ดอยล์
ปากของมันอ้ากว้างจากหูซ้ายถึงหูขวา จากจมูกลงไปถึงหน้าอก เพียงพริบตา ‘วังวน’ เลือดเนื้อเริ่มก่อตัวหมุนวนอย่างเชื่องช้า
‘วังวน’ ดูดกลืนเศษเนื้อสีเทาดำเข้าไปอย่างรวดเร็ว กักเก็บเอาไว้ในร่างกาย
ฮีธ·ดอยล์ตกลงบนพื้นดาดฟ้าในลักษณะคล้ายเงา ร่างกายสั่นเทาสองสามหนก่อนจะกลับมาเป็นปรกติ ในส่วนของเศษเนื้อสีเทาดำซึ่งถูกยิงออกจากร่างกายสัตว์ประหลาด ยามนี้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
สิ่งที่น่ากลัวของสัตว์ประหลาดตนนี้คือระดับพลังชีวิตอันผิดธรรมชาติ จะดีมากถ้าเราสามารถขโมย ‘ความพิเศษ’ ดังกล่าวมาได้… ไคลน์ที่กำลังลอยตัวด้วยผลของยันต์ เหาะออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับเหยียดแขนขวาที่สวมถุงมือดำไปข้างหน้า จากนั้นก็แบมือออก
การกระทำดังกล่าวส่งผลให้การมองเห็นของชายหนุ่มเปลี่ยนไป กลายเป็นภาพของกลุ่มออร่าหลากสีเป็นตัวแทนของผู้คนและวัตถุ
สีสันฉูดฉาดสับเปลี่ยนตลอดเวลาพร้อมกับกะพริบด้วยความถี่สูง จึงเป็นเรื่องยากที่จะจับหลักการได้ในเวลาอันสั้น
ด้วยมุมมองดังกล่าว ไคลน์พบว่าชิ้นเนื้อสีเทาดำที่ส่องแสงแวววาว อาจดูคล้ายกับแยกออกเป็นหลายส่วน แต่ความจริงแล้วกลมเกลียวเป็นหนึ่ง
ชายหนุ่มกำหมัดขวาด้วยสีหน้าเยือกเย็น ทำท่าคว้าหนึ่งในก้อนแสงและบิดข้อมือไปทางขวา
ทันใดนั้น ไคลน์เห็นแสงนวลสีเขียวเหลืองถูกดึงออก ลอยมารวมอยู่กับมือขวาของตน
นี่คือพลังพิเศษ ‘หมอกพิษ’
มันขโมยหมอกพิษของสัตว์ประหลาดสีเทาดำสำเร็จ!
นี่คือพลังของถุงมือ ‘อินธน์’ !
ขณะเดียวกัน ไคลน์ตระหนักได้ทันทีว่า พลังพิเศษของนักมายากล ‘โอนถ่ายความเสียหาย’ ของตนได้หายไปและไม่สามารถใช้การได้!
ภายในสิบสองชั่วโมง หนึ่งเป้าหมายจะถูกขโมยพลังได้ครั้งเดียว… เมื่อยืนยันสถานการณ์ ไคลน์กวาดตามองไปรอบอนาคตกาล จนพบว่าหมอกสีเขียวเหลืองที่เคยปกคลุมอนาคตกาลและคอยกัดกร่อนทะเลดวงดาว เริ่มเจือจางลงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน เศษเนื้อจากซากศพที่กระจายเต็มดาดฟ้าเรือก็เริ่มแห้งกรังและมีสีเข้ม
เหล่าโจรสลัดเริ่มได้พักหายใจหายคอ ทางด้านแคทลียา เธอนำเข็มกลัดสีทองออกมาติดด้านหน้าชุดคลุมยาวทรงโบราณ
ตัวเข็มกลัดคล้ายผลิตจากทองคำ รูปทรงเป็นนกที่มีขนแพนหางยาว
แต่ทันใดนั้น บรรยากาศรอบลำเรือพลันเงียบสงบ ความโกลาหลที่เคยเกิดขึ้นอันตรธานหายไปอย่างน่าฉงน แม้แต่ไคลน์ก็ถูกอิทธิพลดังกล่าวเข้าครอบงำ รู้สึกราวกับตัวเองกลายเป็นซากศพปราศจากอารมณ์
ในวินาทีแห่งความเป็นความตาย เรือลำหนึ่งแล่นเข้ามาใกล้
เป็นเรือใบขนาดมหึมาไม่แพ้อนาคตกาล สีหลักเป็นสีดำ แซมด้วยสีเขียวหม่นเล็กน้อย
ใบเรือหลักมีสีขาวซีด กึ่งกลางคือภาพดอกทิวลิปสีดำสนิทกำลังบานสะพรั่ง
เรือธงของ ‘พลเรือเอกขุมนรก’ ลูเธอร์ไวล์ ‘ทิวลิปดำ’ !
เรือที่ถูกกล่าวขานว่า มักแล่นอยู่ในทะเลแถบนี้เป็นประจำ!
……………………………………
ราชันเร้นลับ 658 : ห้าหมื่นห้าพันปอนด์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทิวลิปดำ… พลเรือเอกขุมนรก ลูเธอร์ไวล์… หนีเสือปะจระเข้ชัดๆ … ไม่โชคร้ายไปหน่อยหรือ? ไคลน์ผู้กำลังลอยตัวกลางอากาศ มองเห็นเรือใบที่แล่นเข้ามาเป็นคนแรก มันอดไม่ได้ที่จะก้มมองแอนเดอร์สันผู้กำลังถือกริชสีดำสนิทพลางตรวจสอบอาการสัตว์ประหลาด
แอนเดอร์สันรีบแหงนมองตอบด้วยความสงสัย ขณะเดียวกันคอยระวังอันตรายจากก้อนเนื้อสีเทาดำที่อาจพุ่งโจมตีได้ทุกเมื่อ
“มองฉันด้วยสายตาแบบนี้… เกิดอะไรขึ้นอีก?”
ยังไม่ทันกล่าวจบ มันรีบหุบปากตามสัญชาตญาณเนื่องจากเหลือบไปเห็นบางสิ่ง ตามด้วยการกระโดดม้วนตัวอย่างคล่องแคล่ว หลบหลีกเศษเนื้อสีเทาดำที่แยกออกจากสัตว์ประหลาดซึ่งกำลังทำให้เล็บมือของตนงอกยาว เพียงไม่นานก็พาตัวเองไปถึงกราบเรืออีกฝั่ง
ขณะยืนยืดเส้นยืดสาย แอนเดอร์สันพลันผงะ
“พลเรือเอกขุมนรก…”
อีกฝ่ายมิใช่บุรุษจิตใจโอบอ้อมอารี หากแต่เป็นนายพลโจรสลัดเลือดเย็นที่ชื่นชอบการฆ่าฟัน ย่อมไม่มีความลังเลที่จะฉกฉวยผลประโยชน์ในยามที่ผู้อื่นกำลังเผชิญวิกฤติ!
หากประเมินแล้วว่า ตัวเองสามารถใช้สัตว์ประหลาดดุร้ายเป็นเครื่องมือในการสังหารพลเรือเอกดวงดาวและลูกเรือทุกคนของอนาคตกาล อีกทั้งยังจะได้กอบโกยสมบัติมหาศาล ลูเธอร์ไวล์ไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ไปแน่นอน!
ความซวยของเรามิได้ลดลงเลยสักนิด… เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบเป็นการฝากประจำและถอนเงินก้อนใหญ่ในคราวเดียว! แอนเดอร์สันหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก
ขณะเดียวกัน ข้อมูลหนึ่งแล่นผ่านความคิดไคลน์
พลเรือเอกขุมนรก ลูเธอร์ไวล์ เฉพาะค่าหัวในโลเอ็นก็มากถึงห้าหมื่นห้าพันปอนด์!
ผู้สื่อวิญญาณสุดทรงพลัง เจ้าของค่าหัวอันดับหนึ่งจากบรรดาเจ็ดนายพลโจรสลัด!
บนทิวลิปดำ เรือธงของมัน มีโจรสลัดอยู่ไม่มากนัก งานพื้นฐานส่วนใหญ่ถูกจัดการโดยสิ่งมีชีวิตประเภทอันเดดและวิญญาณที่มันบงการ
ลูเธอร์ไวล์มักเอาชีวิตคนโดยปราศจากความปรานี แต่ใช่เพราะหลงใหลการฆ่า หากแต่เป็นความตั้งใจที่จะส่งดวงวิญญาณไปสู่ปรโลกเสียมากกว่า
มันมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับนิกายวิญญาณ โดยกล่าวกันว่า ลูเธอร์ไวล์ครอบครองแหวนที่เป็นมรดกตกทอดของ ‘เทพมรณา’ บรรพกาล!
ขณะไคลน์และแอนเดอร์สันจ้องไปยังทิวลิปดำ เข็มกลัดสีทองคำบนเสื้อคลุมแคทลียาเริ่มเปล่งแสงแดดอันบริสุทธิ์และเจิดจ้า
ณ ห้องกัปตัน ร่างอันพร่ามัวร่างตนหนึ่งเริ่มขยายขนาด
ร่างดังกล่าวแฝงกลิ่นอายความตายและความเงียบสงบอันน่าขนลุก แต่บรรยากาศรอบตัวกลับอบอุ่นคล้ายแสงแดด
นี่คือตัวตนอันผิดแผก วิญญาณอาฆาตที่เกิดจาก ‘น้ำมนต์สุริยันศักดิ์สิทธิ์’ !
มีทั้งความศักดิ์สิทธิ์และชั่วร้ายในตนเดียว!
‘วิญญาณอาฆาตสุริยัน’ เริ่มกางแขนบินด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง โอบกอดเศษเนื้อสีเทาดำ
เกิดเสียงไขมันละลายดัง ‘ฉ่า’ วิญญาณอาฆาตสุริยันและเศษเนื้อสีเทาดำเริ่มหักล้างกันและกันจนไม่มีร่องรอยใดหลงเหลืออยู่
ยิ่งสีม่วงในดวงตาของพลเรือเอกดวงดาวทวีความเข้มข้น เข็มกลัดสีทองก็ยิ่งสาดแสง เกิดเป็นวิญญาณอาฆาตสุริยันตนใหม่อย่างรวดเร็ว พุ่งตรงเข้าไปจัดการกับเศษเนื้อสีดำเทาที่พยายามบุกรุกอนาคตกาล
ขณะเดียวกัน ผู้ไร้เลือด ฮีธ·ดอลย์ ทำการปกป้องแฟรงค์ นีน่า และลูกเรือคนอื่นด้วยเทคนิคการ ‘เขมือบย่อย’ มันพยายามต่อกรกับสัตว์ประหลาดที่มีพลังชีวิตในระดับน่าทึ่งอย่างสุดฝีมือ
ทิวลิปดำมีความเร็วสูงกว่าที่ไคลน์คำนวณ เพียงไม่กี่วินาที เรือลำใหญ่ได้แล่นเข้าสู่ระยะอันตรายสำหรับอนาคตกาล
เรือใบสีดำที่มีแสงสีเขียวแซม เริ่มแล่นช้าลงและหยุดนิ่งที่ด้านข้าง คล้ายกับต้องการตรวจสอบสถานการณ์ให้แน่ชัด
ทันใดนั้น ไคลน์เหลือบเห็นดวงตาเกือบโปร่งใสปรากฏขึ้น ณ กึ่งกลางท้องฟ้าเหนืออนาคตกาล ด้วยรูม่านตาซีดเผือด ‘เนตร’ ดังกล่าวกำลังก้มมองลงมาโดยไม่กะพริบตา
นี่มัน… กล้องส่องทางไกลฉบับผู้สื่อวิญญาณ? แทบจะในพริบตา ไคลน์ชักปืนพกด้วยมือขวา ปากกระบอกเล็งไปยังดวงตาของสิ่งมีชีวิตจากโลกวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มเริ่มเกิดความลังเล หากประเมินว่าตนคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ นักผจญภัยผู้บ้าบิ่นและอำมหิต การยิงดวงตาทิ้งคือทางเลือกที่สอดคล้องกับบุคลิกที่สุด แต่ในปัจจุบัน พลเรือเอกขุมนรก ลูเธอร์ไวล์ ยังไม่แสดงท่าทีเป็นศัตรู บางที องค์กรลับเบื้องหลังแคทลียาอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้มันลังเล ด้วยเหตุผลข้างตน หากไคลน์ทำลาย ‘กล้องส่องทางไกล’ ส่งเดช สถานการณ์จะดำเนินไปถึงจุดที่มิอาจย้อนกลับ เป็นจุดที่วุ่นวายและเต็มไปด้วยอันตราย!
ท่ามกลางความลังเลเพียงไม่กี่วินาที ดวงตามายาโปร่งใสพลันเลือนลับ ทิวลิปดำที่เคยอยู่ห่างออกไปไกล เริ่มขยับเข้าใกล้มากขึ้นทีละนิด
ด้านบนสุดมีโครงกระดูกสีขาวที่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าหรือเสื้อหนัง กำลังก้มหน้าตั้งใจปรับใบเรืออย่างขยันขันแข็ง ส่วนด้านล่างเป็นกลุ่มซอมบี้ที่กำลังเดินลาดตระเวนพร้อมดาบยาวในมือ พวกมันกวาดตาซ้ายขวาด้วยเนตรเปลวไฟสีเขียว เงารางของภูตผีและสิ่งมีชีวิตพิสดารจำนวนมากบินโฉบไปมาเป็นระยะ บ้างบินเข้าไปในตัวเรือจนทำให้มีใบหน้าและคิ้วอันเลือนรางปรากฏอยู่ตามผนัง
จากที่ไคลน์เห็น มีเพียงบุคคลเดียวที่อาศัยอยู่บนทิวลิปดำ นั่นคือกัปตันเรือผู้กำลังยืนอยู่บนดาดฟ้าและจ้องมายังอนาคตกาลอย่างเงียบงัน การแต่งกายดูคล้ายกับเพศชาย
กัปตันสวมหมวกทรงสามเหลี่ยมใบใหญ่ที่มีกะโหลกและขนนกสีขาวประดับ สวมเชิ้ตขาวลายลูกไม้และสวมโค้ทสีน้ำตาลทับ ดาบเรเพียร์เล่มบางห้อยลงจากเข็มขัดหนังวัวที่กำลังรัดติดเสื้อขาว
เค้าโครงใบหน้าถูกซ่อนอยู่หลังหน้ากากสีเงิน บริเวณช่องว่างตำแหน่งดวงตา จมูก และปาก มีเส้นลึกลับช่วยเน้นให้ดูน่าสะพรึงกลัว
ตรงตามภาพจำของพลเรือเอกขุมนรก ลูเธอร์ไวล์ ทุกประการ!
แล้วรองกัปตัน ผู้ช่วยกัปตัน ผู้ช่วยรองกัปตันไปไหน? ไคลน์ประหลาดใจเมื่อพบว่ามีเพียงบุคคลเดียวที่อยู่บนทิวลิปดำ แต่หลังจากนั้นก็คลายความกังวล
เฉกเช่นที่อนาคตกาลส่งผู้ช่วยรองกัปตัน ผู้บังคับการปืนใหญ่ และลูกเรือจำนวนมากไปประจำการยังเรือลำอื่นภายในกองเรือ เหลือไว้เพียงจำนวนต่ำสุดสำหรับการล่องน่านน้ำอันตราย พลเรือเอกขุมนรกก็คงไม่ปล่อยให้ลูกน้องแสน ‘เปราะบาง’ ของตนตามมาเช่นกัน เพราะเหนือสิ่งอื่นใด มันสามารถขับเคลื่อนเรือได้ด้วยกองทัพอันเดดและวิญญาณอยู่แล้ว
ในวินาทีนี้ ทิวลิปดำเริ่มหันกราบเรือฝั่งขวาใส่พร้อมกับเล็งปืนใหญ่หลายสิบกระบอก
เมื่อพลเรือเอกขุมนรก ลูเธอร์ไวล์ เลื่อนมือขึ้นมาจับหน้ากากเงิน เสียงระดมยิงสุดสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นในพริบตา
กระสุนปืนใหญ่นัดแล้วนัดเล่า บ้างยิงไม่ถึง ลอยตกทะเลตรงหน้าจนเกิดเป็นคลื่นน้ำ บ้างพุ่งเลยออกไปไกลและตกลงที่ด้านหลัง
นี่คือการ ‘ยิงปรับเป้า’ !
เพียงไม่นาน ทิวลิปดำเริ่มกระหน่ำยิงระลอกที่สอง
ขณะไคลน์เตรียมกระตุ้นยุบพองหิวโหยและใช้พลัง ‘บิดเบือน’ ของบารอนแห่งการเน่าเปื่อยเพื่อเบี่ยงเบนให้กระสุนพลาดเป้า ชายหนุ่มบังเอิญเหลือบเห็นแอนเดอร์สัน·ฮู้ดยกมือขวาผลักไปข้างหน้า
อีกาเพลิงสีส้มแสดก่อตัวขึ้นจากความว่างเปล่า ก่อนจะพุ่งออกไปทำลายกระสุนปืนใหญ่ทุกนัดอย่างแม่นยำ!
บึ้ม! บึ้ม! บึ้ม!
เปลวเพลิงลุกโชนเต็มน่านฟ้า เศษโลหะกระจัดกระจายคล้ายกับพลุดอกไม้ไฟหลายสิบนัด
คงต้องยอมรับว่า พลังของ ‘นักวางเพลิง’ มีประโยชน์อย่างมากในทะเล ไม่ต่างอะไรกับระบบต่อต้านขีปนาวุธแบบฉบับผู้วิเศษ… แต่ทั้งนี้ เป็นเพราะแอนเดอร์สัน นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด อยู่บนลำดับ 5 ของเส้นทาง หากเปลี่ยนเป็นเดนิส คงไม่มีทางทำลายกระสุนทุกนัดทิ้งในคราวเดียวแน่ ได้สักครึ่งหนึ่งก็นับว่าเก่งมากแล้ว… เฮ่อ… พลัง ‘ควบคุมไฟ’ ของเราจัดการได้แค่ทีละเป้าหมายเท่านั้น… ขณะไคลน์ถอนหายใจ ทิวลิปดำหยุดการระดมยิงพร้อมกับเร่งความเร็ว ย่นระยะเข้าหาอนาคตกาลอย่างรวดเร็ว
เมื่อขยับเข้าใกล้ แสงแดดสีทองบนผิวน้ำพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท มิได้ดำเช่นหมึก หากแต่คล้ายกับค่ำคืนอันมืดมิดที่ปราศจากแสงดาวและดวงจันทร์
ท่ามกลางผิวน้ำสีดำตรงหน้า สิ่งมีชีวิตอันน่าสะพรึงซึ่งมีร่างกายโปร่งแสงกึ่งมายาค่อย ๆ ทยอยคืบคลานออกมา รวมไปถึงซากศพสีซีดที่พยายามเหยียดท่อนแขนเน่าเปื่อย และเปลวเพลิงสีแดงเข้มหรือไม่ก็เย็นยะเยือก ที่ก่อตัวกันเป็นดวงตาเปลวเพลิง
ทันใดนั้น ราวกับผืนทะเลดังกล่าวแปรเปลี่ยนเป็นประตูนรก ฝูงอันเดดจำนวนมหาศาลตะเกียกตะกายขึ้นจากผิวทะเล เช่นเดียวกันกับน้ำทะเลที่พุ่งกระเซ็นอย่างเกรี้ยวกราด
แอนเดอร์สันมองกลับไปยัง ‘วิญญาณอาฆาตสุริยัน’ ที่กำลังสลายตัวเพราะเศษเนื้อสีเทาดำ เมื่อพบว่าพลเรือเอกดวงดาวกำลังประสบความยากลำบากในการรับมือสัตว์ประหลาดทรงพลัง นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดพลันซี้ดปาก เงยหน้ายิ้มขื่นขมให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่กำลังลอยตัวกลางอากาศ
ขณะเตรียมวางมือลงบนกราบเรือเพื่อยิงเปลวไฟสีแดงเข้มออกไป หมายสกัดกั้นการรุกรานของกองทัพอันเดด แอนเดอร์สันพลันตะลึงเมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์หันหลังกลับและรีบเหาะไปยังห้องพักส่วนตัว
คิดจะหนีหรือไง…? บ้าน่า… สีหน้าแอนเดอร์สันเริ่มหม่นหมอง
ก่อนจะกลับมายิ้มแห้งและโน้มตัวไปข้างหน้า วางมือกดลงบนกราบเรือ
โดยแทบไม่มีเสียง เปลวไฟสีแดงเข้มปรากฏขึ้นจากอากาศอันว่างเปล่าและเริ่มกระจายตัวออกไปทางด้านหน้า
ทันใดนั้น ยันต์โลหะแผ่นหนึ่งตกลงตรงหน้าแอนเดอร์สัน พร้อมกับเสียงคาถาเฮอร์มิสโบราณดังแว่ว
“พายุ!”
หือ…? แอนเดอร์สันแหงนหน้ามองตามสัญชาตญาณ ได้เห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ผู้สวมเสื้อเชิ้ตคอกลมและแจ็คเก็ตน้ำตาล ถูกสายลมพัดพาลอยไปยัง ‘ทิวลิปดำ’ อย่างรวดเร็ว
ม…หมอนั่นคิดจะฆ่าตัวตายรึไง! เราไม่เข้าใจความบ้าบิ่นระดับนี้เลยสักนิด… แอนเดอร์สันอ้าปากค้างครึ่งหนึ่ง สีหน้าเผยความสับสนชัดเจน
ฟ้าว!
อาศัยพลังจากยันต์ ไคลน์ถูกแรงลมส่งลอยไปถึงทิวลิปดำ
พลเรือเอกขุมนรก ลูเธอร์ไวล์เงยหน้ามอง เปลวเพลิงสีซีดสองดวงกำลังลุกโชนอย่างเงียบงันภายใต้หน้ากากเงิน
เหล่าภูตผี เงาดำ และวิญญาณบนทิวลิปดำที่อยู่ในขอบเขตอำนาจเส้นทางมรณา ต่างกรูเข้ามารุมโจมตีใส่ศัตรูแปลกหน้าทันที
บ้างอ้าปากส่งเสียงหวีดร้องแผ่วเบา บ้างแลบลิ้นเรียวยาวที่มีใบหน้าเล็กๆ ฝังอยู่ ดูคล้ายกับกำลังตื่นเต้นยินดี
ไคลน์จ้องพวกมันด้วยสีหน้าเรียบเฉย มือซ้ายซุกกระเป๋าเพื่อปลด ‘กำแพงวิญญาณ’ ที่ห่อหุ้มรอบกล่องเหล็กสี่เหลี่ยม
จากนั้น มันโยนนกหวีดทองแดงอะซิกที่ผูกกับไม้ขีดไฟสามก้าน ลงไปยังดาดฟ้าด้านหลังทิวลิปดำ
เพียงพริบตา เหล่าเงาดำและวิญญาณซึ่งมีร่างกายโปร่งใสและเย็นยะเยือก พากันชะงักงันคล้ายกับหนอนแมลงที่ถูกแช่แข็ง
ทันใดนั้น พวกมันหันหลังกลับโดยปราศจากความลังเล รีบพุ่งตัวไปยังดาดฟ้าท้ายเรือทิวลิปดำด้วยความเร็วสูงสุด สัตว์วิญญาณลึกลับชนิดอื่นต่างก็พุ่งตามไปไม่ห่าง
ไม่ถึงหนึ่งวินาทีถัดมา แม้กระทั่งโครงกระดูกและซอมบี้ที่คอยควบคุมเรือและเล็งปืนใหญ่ ต่างก็ทอดทิ้งพลเรือเอกขุมนรกและปรี่ไปยังดาดฟ้าท้ายเรือ ส่งผลให้ดาดฟ้าหัวเรือว่างเปล่า เหลือเพียงลูเธอร์ไวล์ยืนอยู่ตามลำพัง
กึก!
ไคลน์ร่อนลงบนดาดฟ้าในท่ากดหมวก เผชิญหน้ากับลูเธอร์ไวล์
ชายหนุ่มโน้มตัวไปหน้าเล็กน้อยพลางปล่อยมือขวาข้างที่กดหมวก ประสานสายตากับพลเรือเอกขุมนรกผู้กำลังสวมหน้ากากสีเงิน
…………………………………………..
ราชันเร้นลับ 659 : พลังพิเศษที่แข็งแกร่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
บนอนาคตกาล แอนเดอร์สัน·ฮู้ดที่กำลังวางมือลงบนกราบเรือ มองเห็นกองทัพอันเดดบนผิวน้ำที่มืดมิดเริ่มล่าถอยกลับไปยังทิวลิปดำ และมองเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังร่อนลงบนดาดฟ้าทิวลิปดำพร้อมกับกดหมวกด้วยมือขวา เผชิญหน้ากับพลเรือเอกขุมนรก ลูเธอร์ไวล์ โดยไม่เผยอาการสั่นคลอนแม้แต่น้อย
ฉากดังกล่าวเกินขึ้นท่ามกลางแสงสีแดงเข้มสลับเขียวหม่น ด้านหลังเป็นกองทัพเงาดำ ภูตผี และสัตว์วิญญาณจำนวนมาก ผสมผสานจนเกิดเป็นความงดงามเหนือพรรณนา
เท่ฉิบ! พฤติกรรมสมกับฉายานักผจญภัยที่เสียสติที่สุด… แอนเดอร์สันกล่าวชมเชยจากใจ พลางฉุกคิดถึงอีกหนึ่งเรื่อง
ก่อนที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะเหาะข้ามไป เขาโยนยันต์แผ่นหนึ่งลงตรงหน้าเรา จากนั้นก็แสดงวิธีการใช้งานให้ดู!
หรือเขากำลังจะสื่อว่า… แอนเดอร์สันก้มหน้ามอง พบแผ่นยันต์ดีบุกสีขาวที่ปลายเท้า
บนทิวลิปดำ ขณะโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ไคลน์ผู้กำลังยืนเผชิญหน้ากับศัตรู มิได้เยือกเย็นเหมือนกับที่เห็นภายนอก
แอนเดอร์สัน รีบใช้ยันต์เหาะตามมาเร็วเข้า! ฉันรับมือมันตามลำพังไม่ไหว ไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิด… ขณะยืนประจันหน้ากับบุรุษสวมหน้ากากเงินผู้มีเปลวไฟสีซีดบริเวณช่องดวงตา ไคลน์สวดภาวนาอย่างเงียบงัน
สืบเนื่องจากเจ้าของดวงตาที่ซ่อนตัวบนอนาคตกาล รวมไปถึงเรื่องเล่าที่มีใครบางคนเปิดประตูโถงจิตรกรรมภายในโลกความฝัน ไคลน์ตัดสินใจไม่ส่งตัวเองเข้ามิติหมอกเทาและพึ่งพาพลังของคทาเทพสมุทร อีกทั้งยังคอยย้ำเตือนตัวเองว่า หากไม่ต้องการตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง อย่าริอ่านทำเช่นนั้นโดยเด็ดขาด
ชายหนุ่มเชื่อว่า ลำพังยุบพองหิวโหย ถุงมืออินธน์ พลังนักมายากล และยันต์ขอบเขตอำนาจเทพสมุทร มีความหลากหลายมากพอจะช่วยให้ตนรับมือพลเรือเอกขุมนรกไหว อีกทั้งยังมีนกหวีดทองแดงอะซิกที่จะส่งอิทธิพลต่อซอมบี้และสิ่งมีชีวิตในเส้นทางมรณา ซึ่งนั่นหมายถึงการตัดกำลัง ‘ผู้สื่อวิญญาณ’ ได้เป็นอย่างดี – สำหรับลำดับ 5 แห่งเส้นทางมรณา หากศัตรูมีจำนวนไม่มากเกินไป มันสามารถรับมือกลุ่มผู้วิเศษลำดับกลางได้ด้วยจำนวนที่เหนือกว่า!
อย่างไรก็ตาม ไคลน์ไม่มั่นใจว่าตนจะเอาชนลูเธอร์ไวล์ได้ในการดวล ไม่ต้องพูดเรื่องการฆ่า เหตุผลแรกคือสนามรบ อ้างอิงจากการที่พลเรือเอกดวงดาวสามารถหยิบยืมพลังจากอนาคตกาล คนที่มีสมองสักนิดก็คงคิดได้ว่า การดวลกับลูเธอร์ไวล์บนทิวลิปดำย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ประการที่สอง พลเรือเอกขุมนรก ลูเธอร์ไวล์ ถือเป็นพลเรือโจรสลัดที่มีอิทธิพลสูงที่สุด เหตุเพราะมันได้รับการหนุนหลังจากสององค์กรใหญ่คือ ‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ นาสต์ และ ‘นิกายวิญญาณ’ สมบัติวิเศษที่มันพกติดตัวจึงไม่น่าจะด้อยกว่าไคลน์ อาจเหนือกว่าด้วยซ้ำ และเหนือสิ่งอื่นใด ข่าวลือมากมายยังระบุตรงกันว่า ลูเธอร์ไวล์ครอบครองแหวนที่เป็นมรดกตกทอดของเทพมรณาบรรพกาล!
ประกอบกับการที่ตัวเองมีลำดับต่ำกว่าพลเรือเอกขุมนรก นอกจากไคลน์จะไม่คาดหวังว่าตนจะได้รับชัยชนะ ภายใต้หน้ากากนักผจญภัยเสียสติ อารมณ์ของชายหนุ่มยังค่อนไปทางประหม่าและกังวล ได้แต่สวดภาวนาให้นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด ผู้ถูกสาปด้วยโชคร้าย รีบเหาะตามมาช่วยโดยเร็ว
หากผู้วิเศษที่แข็งแกร่งสองคนผนึกกำลังกัน ก็ยังพอมีความหวังที่จะเอาชนะหรือรับมือกับลูเธอร์ไวล์ที่สูญเสียกองทัพอันเดดไหว ช่วยยื้อเวลาให้พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา และกลุ่มโจรสลัดของเธอสามารถกำจัดสัตว์ประหลาดที่ถูกประกอบจากซากศพเย็บติดกัน!
เมื่อความคิดดังกล่าวแล่นผ่าน ไคลน์ลงมือโจมตีโดยปราศจากความลังเล ปลดปล่อย ‘หมอกพิษ’ ที่ถุงมืออินธน์ขโมยมา ให้กระจายตัวออกไป
ไม่มีใครมองเห็นความกังวลและกระสับกระส่ายในใจชายหนุ่ม
ลูเธอร์ไวล์ผู้สวมหมวกสามเหลี่ยมใบใหญ่และหน้ากากเงิน ยกหมัดซ้ายที่กำแน่นขึ้น กางนิ้วทั้งห้าออกและชี้ปลายมือมาทางไคลน์
ขณะดาดฟ้าหัวเรือเริ่มถูกปกคลุมด้วยหมอกสีเขียวเหลืองอันน่าพรั่นพรึง แสงมายาพลันระเบิดขึ้นตรงหน้าลูเธอร์ไวล์ เกิดเป็นวังวนห้วงมิติที่ดูดกลืนเข้าหาจุดศูนย์กลาง และค่อยๆ ก่อรูปร่างเป็นบานประตูทองแดงพร่ามัว
ผิวประตูทองแดงปกคลุมด้วยลวดลายพิศวง แฝงความอึมครึมและกลิ่นอายความตายในปริมาณเหนือพรรณนา
แอ๊ด~ บานประตูสั่นเทาก่อนจะเปิดแง้มออก
ด้านหลังให้เห็นความมืดมิดไร้ก้นบึ้ง คล้ายกับท้องฟ้ายามราตรีที่ดำดิ่ง
ดวงตาซึ่งยากจะอธิบายรายละเอียดกำลังซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความมืด พวกมันมีจำนวนมหาศาลและเรียงชิดกันในสภาพเบียดเสียดจนเต็มพื้นที่
ท่อนแขนชุ่มเลือดไร้เนื้อหนังเริ่มยื่นยาวออกจากประตู เฉกเช่นเถาวัลย์สีเขียวเข้มที่มีใบหน้าของทารก นอกเหนือจากนั้น ฝ่ามือที่มีรอยแยกคล้ายปากและซี่ฟันเรียงราย พยายามจับคว้าทุกสิ่งด้านนอกประตูพลางส่งเสียงหัวเราะ ร่ำไห้ และโหวกเหวก
ทั้งหมดมาพร้อมแรงดูดมหาศาล รวมไปถึงลมพายุกระโชกที่หนาวเหน็บจนสามารถกัดกร่อนกระดูกมนุษย์ ผุดขึ้นจากอากาศว่างเปล่ารอบประตู พยายามผลักทุกสิ่งให้เข้าไปในห้วงมิติพิสดาร พยายามดึงทุกคนเข้าไปในช่องว่างด้านหลังประตูทองแดง!
หมอกพิษสีเขียวเหลืองถูกสลายในพริบตา ร่างกายไคลน์โน้มเอนไปด้านหน้าอย่างไม่เต็มใจ เลี่ยงไม่ได้ที่จะเสียหลักโซเซ
ถุงมือข้างซ้ายพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท แฝงกลิ่นอายความชั่วร้ายของยามราตรีและความน่าเกรงขามของดวงดาว
ดวงตาสีน้ำตาลของไคลน์ทวีความเข้มและลุ่มลึก แขนซ้ายกางออกไปด้านข้าง เกิดเป็นท่าทาง ‘ขอร้อง’ อย่างสุภาพ
แรงดึงดูดอันทรงพลังบนดาดฟ้าหัวเรือเริ่มเปลี่ยนทิศ พยายาม ‘จับคว้า’ เหล่าโครงกระดูกและซอมบี้เน่าเปื่อยที่กำลังวิ่งไปยังดาดฟ้าท้ายเรือทีละตนสองตน พวกมันถูกดูดกลืนเข้าไปในบานประตูทองแดง ถูกพันธนาการโดยเถาวัลย์เขียวเข้มที่มีใบหน้าทารก ถูกท่อนแขนโชกเลือดรัดรึง และถูกกระชากเข้าไปยังจุดที่มีดวงตาจำนวนมหาศาลด้านหลังประตู
“บิดเบือน!”
พลัง ‘บิดเบือน’ ของ ‘บารอนแห่งการเน่าเปื่อย’ !
ไคลน์บิดเบือนเป้าหมายของประตูพิศวง เปลี่ยนตำแหน่งผู้เคราะห์ร้ายจากตัวเองให้กลายเป็นกลุ่มโครงกระดูกและซอมบี้ของทิวลิปดำ
แต่กระนั้น มันมิได้รอดพ้นจากแรงดึงดูดมหาศาลโดยสมบูรณ์ ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นทำให้แม้แต่การก้าวขาก็ยังเป็นเรื่องยาก มิอาจอาศัยความคล่องแคล่วที่เป็นจุดเด่นได้ถนัดนัก
หมวกแก๊ปที่มันสวมถูกลมพายุพัดปลิวไปในอากาศ ใกล้ตามรอยกลุ่มอันเดดที่ถูกบานประตูทองแดงถูกเข้าไป
ขณะเดียวกัน พลเรือเอกขุมนรก ลูเธอร์ไวล์ ผู้สวมหมวกสามเหลี่ยมใบใหญ่ ยกแขนขวาขึ้นพร้อมกับเหยียดฝ่ามือออกมาด้านหน้า
ร่างกายท่อนบนครึ่งซีกขวาของมันพลันแปรเปลี่ยนเป็นร่างโปร่งใส คล้ายกับกลายเป็นอวัยวะของภูตผีหรือวิญญาณอาฆาต จากนั้น ท่อนแขนของมันยืดยาวออกจนผิดธรรมชาติ หมายจับคว้าลำคอศัตรูให้แน่นกระชับ
ฟ้าว!
เสียงลมพายุเลือนหายไปจากการได้ยินของไคลน์อย่างกะทันหัน แทนที่ด้วยเสียงสะอื้นแผ่วเบาดังแว่วข้างหู ร่างกายเริ่มเกิดอาการชา คล้ายกับเลือดทุกหยดในร่างกำลังแข็งตัว
เมื่อฝ่ามือสีซีดใสขยับเข้าใกล้ คล้ายกับชายหนุ่มถูกวิญญาณอาฆาตหรือวิญญาณมารสิงสู่ ร่างกายไม่ตอบสนองตามใจนึกคิด ทำได้เพียงเฝ้ามองความตายคืบคลานเข้าใกล้ ภายในใจเกิดความสิ้นหวังเมื่อตระหนักว่าพลังชีวิตของตนกำลังหดหายอย่างรวดเร็ว
โดยไม่มีการต่อต้านขัดขืน มือขวาสีขาวซีดของลูเธอร์ไวล์เหยียดมาคว้าลำคอไคลน์ ก่อนที่ชายหนุ่มจะแปรสภาพกลายเป็นกระดาษ
กระดาษคนตัวแทนซึ่งถูกกัดกร่อนจนกลายเป็นสีเขียวเข้ม สลายหายไปท่ามกลางลมพายุอันเกรี้ยวกราดและไม่มีทีท่าจะสงบลง
ณ ด้านข้างบานประตูทองแดง ไคลน์ปรากฏกายอีกครั้งพร้อมกับถุงมือข้างซ้ายที่ถูกย้อมด้วยแสงแดดอันเจิดจ้า
ชายหนุ่มเหยียดตัวยืนตรง กางแขนออกกว้าง
ลำแสงศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีเกลียวเปลวเพลิงบริสุทธิ์รายล้อม สาดส่องลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบนโดยมีเป้าหมายเป็นประตูทองแดงลวดลายพิสดาร!
แสงอาทิตย์สว่างจ้าแผ่ปกคลุมบรรยากาศจนไคลน์แทบลืมตาไม่ขึ้น ในส่วนของประตูลึกลับที่พลเรือเอกขุมนรก ‘สร้าง’ ไม่เพียงจะสั่นสะเทือนหนักหน่วง แต่แรงดึงดูดอันทรงพลังก่อนหน้าก็เริ่มบรรเทาอิทธิฤทธิ์ลง เถาวัลย์สีเขียวเข้มและท่อนแขนโชกเลือดที่มีใบหน้าทารกจำนวนมากเริ่มระเหย
อย่างไรก็ตาม นั่นยิ่งทำให้ท่อนแขนประหลาดและสิ่งมีชีวิตลึกลับจำนวนมากจากด้านในประตูทองแดง พยายามเบียดเสียดแย่งกันออกมา
ขณะไคลน์เตรียมใช้ ‘แสงศักดิ์สิทธิ์’ ของ ‘นักบวชแสง’ เพื่อชำระล้างประตูทองแดง ฝ่ามือซีดใสของพลเรือเอกขุมนรกพุ่งตะปบเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
ชายหนุ่มรีบกลิ้งตัวไปด้านข้างเพื่อหลบหนีจากอิทธิพลของลมพายุและ ‘ฝ่ามือกลืนวิญญาณ’
หนึ่งตลบ สองตลบ สามตลบ ร่างกายไคลน์กระโดดเฉียงขึ้นในแนวทแยงมุม ยุบพองหิวโหยเปลี่ยนเป็นสีทองเมื่อไรไม่มีใครทราบ
ผิวกระจกตาไคลน์สะท้อนภาพหน้ากากสีเงินของพลเรือเอกขุมนรกเป็นสิ่งแรก รวมไปถึงเปลวไฟสีซีดจางในดวงตาทั้งสองข้าง ทันใดนั้น สายฟ้าสองเส้นพลันสว่างวาบขึ้นมาจากส่วนลึกของดวงตา
‘ทะลวงจิต’ ของ ‘นักสอบสวน’ !
ในวินาทีดังกล่าว แหวนสีดำทรงเหลี่ยมบนนิ้วชี้ซ้ายลูเธอร์ไวล์พลันส่องแสงอ่อนโยน
ฉากหนึ่งปรากฏขึ้นในการมองเห็นไคลน์
เป็นภาพของบัลลังก์ยักษ์ที่ประกอบขึ้นจากเศษศีรษะเน่าเปื่อยของมนุษย์ เอลฟ์ คนยักษ์ มังกร หมาป่าอสูร สัตว์ทะเล แวมไพร์ และสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นอีกมาก ยังรวมไปถึงใบหน้าโปร่งใสของภูตผี เงาดำ วิญญาณมาร วิญญาณอาฆาต สีหน้าพวกมันแฝงความเกลียดชังและคับแค้นใจ
เพียงพริบตา ไคลน์รู้สึกราวกับศีรษะของตนถูกจามด้วยขวาน ความเจ็บปวดแสนสาหัสแทรกซึมเข้ามาในจิตใจอย่างฉับพลัน
‘ทะลวงจิต’ ไม่เพียงจะล้มเหลว แต่ยังย้อนกลับมาเล่นงานผู้ใช้อย่างรุนแรง!
หากไม่เคยชินกับความเจ็บปวดระดับนี้มาก่อน ไคลน์คงล้มไปนอนเกลือกกลิ้งกับพื้นและส่งเสียงคร่ำครวญอย่างทรมาน แต่กระนั้น มันสูญเสียความสามารถในการปกป้องตัวเองไปชั่วขณะ ร่างกายโก้งโค้งไปด้านหลังด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
ฉวยโอกาสดังกล่าว ช่องว่างบริเวณหน้ากากสีเงินของลูเธอร์ไวล์เริ่มพ่นภาษาที่สิ่งมีชีวิตปรกติมิอาจทำความเข้าใจ ทีละคำสองคำอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งบรรยากาศรอบข้างเริ่มมืดมิดและพร่ามัว
นี่คือภาษามรณาของนรกและโลกแห่งความตาย!
ขณะไคลน์ได้สติกลับมาเล็กน้อย มันพบว่าร่างวิญญาณของตนเริ่มไหลออกจากร่างเนื้อทีละนิดอย่างมิอาจควบคุม
และต้องไม่ลืมว่า แรงดึงดูดจากประตูทองแดงคือสิ่งที่วิญญาณมิอาจต้านทาน!
ไม่… แบบนี้ไม่ดีแน่! ขณะร่างวิญญาณยังหลุดออกจากร่างเนื้อไม่สมบูรณ์ ไคลน์ฝืนยกแขนขวาอย่างยากลำบาก กางห้านิ้วข้างที่สวมอินธน์ออก
แสงออร่าหลากสีเริ่มซ้อนทับกันตรงหน้า สลับสับเปลี่ยนความฉูดฉาดด้วยจังหวะกะพริบอันถี่ยิบตลอดเวลา
โดยปราศจากความลังเล ไคลน์คว้าหนึ่งในก้อนแสงสีเขียวซีด บิดข้อมือขวาและกระชากกลับ
ในการต่อสู้ปัจจุบัน สิ่งที่ชายหนุ่มต้องการขโมยมากที่สุดคือพลังประตูทองแดง แต่โอกาสสำเร็จคงมีไม่มากนัก ได้แต่ภาวนาให้องค์เทพธิดาช่วยเหลือ
กลุ่มก้อนออร่าลอยออกมาผสานกับถุงมืออินธน์
ถึงจะไม่ใช่พลังพิเศษที่ไคลน์ปรารถนามากที่สุด แต่ก็ไม่เลวร้ายนัก
ริมฝีปากลูเธอร์ไวล์หลังหน้ากากเงินพลันพะงาบ มิอาจพ่นภาษาที่ตีความได้ลำบากนั่นอีกแล้ว
ขณะเดียวกัน ไคลน์เป็นฝ่ายเปิดปากบ้าง
…………………………………….
ราชันเร้นลับ 660 : ใต้หน้ากาก
โดย
Ink Stone_Fantasy
คำแล้วคำเล่า ภาษาอันโหยหวนและยากจะทำความเข้าใจ ถูกพ่นออกจากปากไคลน์อย่างเชื่องช้า ส่งผลให้ลมพายุกระโชกที่สร้างจากแรงดึงดูดของประตูทองแดง เริ่มบรรเทาความเกรี้ยวกราดลงจนบรรยากาศที่แต่เดิมหม่นหมองอยู่แล้ว ทวีความเงียบงันยิ่งกว่าเก่า
ชายหนุ่มเพิ่งได้ทราบว่า ชื่อของพลังพิเศษที่พลเรือเอกขุมนรก ลูเธอร์ไวล์ เพิ่งใช้ออกมาก็คือ ‘วาจาแห่งความตาย’ เป็นพลังที่สามารถทะลวงผ่านร่างเนื้อ ตรงเข้าไปเล่นงานร่างวิญญาณได้ทันที
นับเป็นพลังขั้นสูงของ ‘ผู้สื่อวิญญาณ’ ช่วยให้สื่อสารกับวิญญาณได้โดยตรง ไม่ว่าจะออกคำสั่งหรือเปลี่ยนให้กลายเป็นทาส
ถ้อยคำที่สิ่งมีชีวิตทั่วไปมิอาจทำความเข้าใจ กำลังก้องกังวานทั่วดาดฟ้าส่วนหัวเรือ ร่างกายลูเธอร์ไวล์พลันแข็งทื่ออย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ร่างมายาโปร่งใสเริ่มปรากฏบนลำตัวของกัปตันโจรสลัด
วิญญาณของมันกำลังถูกพลังที่มองไม่เห็นดึงออกมา!
ทันใดนั้น แหวนสีดำทรงเหลี่ยมบนนิ้วชี้ซ้ายลูเธอร์ไวล์ เริ่มส่องแสงแผ่วเบา
ร่างวิญญาณที่ถูกกระชากออกจากร่างเล็กน้อย ย้อนกลับคืนร่างเนื้อในทันที ผสานเป็นหนึ่งเดียวอย่างกลมกลืน
ฉึบ!
ลูเธอร์ไวล์ใช้มือขวาดึงเรเพียร์เล่มบางที่ห้อยตรงเอว
ผิวคล้ายเหล็กดำ ปลายดาบดูดกลืนแสงโดยรอบจนมีสีทึบ
พลเรือเอกขุมนรกย่างกรายเข้าใส่อย่างดุดัน อาศัยแรงลมกระโชก ระยะห่างจากมันและไคลน์ลดลงอย่างมากในพริบตา เรเพียร์ในมือทิ่มแทงด้วยความรวดเร็วราวกับอสนีบาต
ประตูทองแดงสลักลวดลายลึกลับยังคงตั้งตรงในตำแหน่งเดิม มิได้หายไปเพียงเพราะลูเธอร์ไวล์ปล่อยมือข้างซ้ายออก ตรงจุดนี้แตกต่างจากเมื่อครั้งที่ไคลน์เคยเห็นมาดามชารอนใช้สมบัติวิเศษ
ฟุ่บ!
เรเพียร์สีดำทะลวงร่างไคลน์ในวิถีที่มิอาจหลบพ้น
ร่างกายชายหนุ่มพลันแห้งกรังกลายเป็นแผ่นกระดาษบางที่ถูกย้อมด้วยสีเหลืองแก่ คล้ายกับตากแดดตากลมมานานนับพันปี
แผ่นกระดาษถูกพายุกระโชกจากประตูทองแดงฉีกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
บนท้องฟ้า ไคลน์กระโดดออกจากมุมมืด ในมือถือแผ่นยันต์เทพสมุทรจำนวนมาก
“พายุ!”
หลังจากเสียงคาถาเฮอร์มิสโบราณก้องกังวาน เศษดีบุกขาวจำนวนมากถูกเผาอย่างพร้อมเพรียง เป็นการสังเวยตัวเองแด่เทพสมุทร หรือกล่าวได้ว่า หากไคลน์ปรารถนา มันสามารถนำวัสดุทำยันต์เกือบทั้งหมดกลับมาใช้ใหม่ได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่าดีบุกขาวจะมิอาจบรรจุพลังวิญญาณได้อีก
ฟ้าว!
คมมีดสายลมสีฟ้าพลันพวยพุ่ง น้ำทะเลรอบข้างยกตัวสูงขึ้นจนเท่าห้องโดยสาร เนื่องจากไคลน์ไม่มีเวลาจำแนกชนิดของยันต์ และยันต์ทุกชนิดก็ใช้คาถากระตุ้นแบบเดียวกัน การโจมตีหลากหลายประเภทจึงถาโถมใส่ลูเธอร์ไวล์อย่างพร้อมเพรียง ขณะเดียวกันก็เป็นการมอบผลลัพธ์เชิงบวกให้กับพลเรือเอกขุมนรก ไม่ว่าจะพรหายใจใต้น้ำ พรว่ายน้ำอิสระ พรการเหาะ พรการต่อต้านแรงลม และอีกมาก แต่ทั้งหมดคือสิ่งไร้ค่าในสถานการณ์ปัจจุบัน
ลูเธอร์ไวล์เปิดปากพร้อมกับกรีดร้องโดยแทบไม่มีเสียงเล็ดลอด ทันใดนั้น คลื่นทะเลรอบข้างและใบมีดลมเฉือนจำนวนมาก ต่างพากันชะงักค้างกลางอากาศ
วินาทีถัดมา พลเรือเอกขุมนรกยกมือซ้าย แหวนสีดำทรงเหลี่ยมบนนิ้วชี้เริ่มส่องแสงแฝงความชั่วร้ายและดำมืด
ฟ้าว!
ประตูทองแดงที่อัดแน่นด้วยความรู้สึกยากอธิบาย พลันขยายขนาดขึ้นเป็นสองเท่า
ท่ามกลางเสียง ‘แอ๊ด’ บานประตูเริ่มเปิดกว้าง แรงดึงดูดที่มากมายอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งทวีความรุนแรงจนเหนือจินตนาการ
ไม่ว่าจะใบมีดลมเฉือนสีฟ้า คลื่นยักษ์สีดำ หรือไคลน์ที่กำลังลอยกลางอากาศ ทั้งหมดถูกดูดเข้าหาบานประตูทองแดงอย่างพร้อมเพรียง โดยมีเถาวัลย์ประหลาดและท่อนแขนโชกเลือดกำลังอ้าแขนรอรับ
ขณะไคลน์เตรียมกระตุ้นดวงวิญญาณนักบวชแสงและใช้ ‘แสงศักดิ์สิทธิ์’ โจมตีใส่ประตูเพื่อสร้างจังหวะหลบหนี มันบังเอิญเหลือบไปเห็น ‘ครึ่งลูกไฟครึ่งคน’ กำลังเหาะมาจากอีกทิศทางหนึ่ง
ลูกไฟพุ่งด้วยความเร็วสูงกว่าปรกติเนื่องจากถูกอิทธิพลของประตูทองแดงดูดเข้าหา เพียงไม่นานก็โฉบผ่านไคลน์ กระแทกใส่ช่องว่างระหว่างบานประตู
บึ้ม!
เปลวไฟสาดกระเซ็นโปรยปรายคล้ายเม็ดฝน แต่ก็ทำได้เพียงโยกคลอนประตูทองแดงอย่างแผ่วเบา รวมไปถึงสีที่หม่นหมองลงเล็กน้อย
ไคลน์ไม่พลาดโอกาสทอง มันรีบดีดนิ้ว
ก้านไม้ขีดไฟที่พกมาในกระเป๋าเสื้อเริ่มลุกไหม้ เปลวเพลิงสีแดงเข้มคลอกร่างภายในเวลาอันสั้นและอันตรธานหายไป
กองไฟจุดใหม่ปรากฏขึ้นข้างประตูทองแดงโดยมีไคลน์กระโจนออกมา
ชายหนุ่มมองเห็นแอนเดอร์สัน·ฮู้ดกำลังลอยตัวกลางอากาศด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ในมือกำลังถือหอกเพลิงเล่มยาวสุกสว่างลุกโชน
ในที่สุด นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดก็มาช่วย แต่ดูเหมือนหมอนี่จะไม่ถนัดการเหาะสักเท่าไร…
เมื่อพลเรือเอกขุมนรก ลูเธอร์ไวล์ เงยหน้าขึ้นและพบฉากตรงหน้า เปลวไฟสีซีดบริเวณช่องดวงตาใต้หน้ากากเงินพลันวูบวาบอย่างเห็นได้ชัด
ไม่แปลกที่มันจะตกใจ เพราะคงไม่มีใครคาดคิดว่า บนอนาคตกาลจะมีบุคคลที่แข็งแกร่งระดับนายพลโจรสลัดอีกถึงสองคนนอกเหนือจากแคทลียา และทั้งหมดล้วนพกสมบัติวิเศษทรงพลังติดตัว
ในวินาทีนี้ ลูเธอร์ไวล์เลื่อนมือขึ้น กดลงบนใบหน้าและถอดหน้ากากเงินออกอย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน
แสงสีซีดปริมาณเข้มข้นพลันพวยพุ่งจากใต้หน้ากาก แหวนสีดำทรงเหลี่ยมบนนิ้วชี้ซ้ายของลูเธอร์ไวล์เริ่มปกคลุมด้วยบรรยากาศเงียบงัน
ความเงียบดังกล่าวเริ่มหลั่งไหลไปทางบานประตูทองแดง ผลักจนประตูกระเด็นออกจากดาดฟ้าเรือและลอยไปในอากาศ
ประตูลวดลายลึกลับผสานเป็นหนึ่งกับความเงียบงันไร้ก้นบึ้ง ขนาดของมันขยายขึ้นอย่างรวดเร็วจนมีความสูงไม่ต่ำกว่าสามสิบเมตร
บานประตูขนาดมหึมาตั้งเด่นตระหง่านเหนือผิวทะเล คล้ายกับอีกฝั่งเชื่อมต่อกับมิติลึกลับที่แตกต่างกับโลกปัจจุบัน
แอ๊ด~
บานประตูทองแดงเปิดออกอีกครั้ง ความมืดมิดอันยากจะบรรยาย พวยพุ่งออกมาจนท่วมดาดฟ้าหัวเรือทิวลิปดำ
ได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์ไม่คิดผลีผลามโจมตีเข้าไป เพียงเลือกหยิบยันต์อย่างเยือกเย็นและใช้กับตัวเอง
สายลมรุนแรงพัดพาร่างชายหนุ่มออกจากน่านฟ้าเหนือหัวเรือทิวลิปดำ
คล้ายกับถูกความมืดมิดชักลาก เรือใบลำใหญ่เริ่มหันหัวไปยังทิศทางของบานประตูสูงหลายสิบเมตร ประหนึ่งเตรียมแล่นเข้าไปและโผล่ที่โลกอื่น
พลเรือเอกขุมนรก ลูเธอร์ไวล์ ที่กำลังยืนบนหัวเรือ แหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้า ใบหน้าถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างสีซีดจางจนมิอาจเห็นเค้าโครงชัดเจน
สายตาของมันจดจ้องมาทางไคลน์เป็นคนแรก ก่อนจะเบือนไปทางแอนเดอร์สัน·ฮู้ด คล้ายกับพยายามจดจำใบหน้าของสองนักล่าให้ขึ้นใจ แต่มิได้พยายามโจมตีใส่ ราวกับถูกความมืดมิดโดยรอบยับยั้ง
แอนเดอร์สันผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะขว้างหอกเพลิงในมือโดยปราศจากความลังเล
หอกไฟตรงดิ่งไปยังลูเธอร์ไวล์ทันที แต่เมื่อพุ่งเข้าสู่ขอบเขตความเงียบสงัด หอกทั้งเล่มกลับอันตรธานหายไปอย่างเงียบงัน
ลูเธอร์ไวล์คิดหนี? คิดเร็วทำเร็วมาก… ไคลน์ผงะเล็กน้อย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านกหวีดทองแดงของอะซิกยังอยู่บนดาดฟ้าท้ายเรือทิวลิปดำ
เมื่อเห็นเรือใบขนาดมหึมาแล่นผ่านประตูทองแดงไปแล้วเกือบครึ่งลำ ใกล้เดินทางไปยังอีกโลกหนึ่งสำเร็จ แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะยับยั้งได้ ไคลน์ตัดสินใจโยนไม้ไฟขีดขึ้นฟ้าพร้อมกับดีดนิ้ว
ณ ดาดฟ้าท้ายเรือที่ห่างออกไปราวห้าสิบเมตร นกหวีดทองแดงของอะซิกซึ่งเปลี่ยนมืออย่างต่อเนื่องเพราะถูกซอมบี้และโครงกระดูกยื้อยุดแย่งชิง พลันลุกไหม้ด้วยเปลวไฟสีแดงเข้มจากก้านไม้ขีดที่ผูกติดอยู่
ท่ามกลางเปลวเพลิง ไคลน์ปรากฏกายพร้อมกับใช้มือคว้านกหวีดทองแดง
นี่คือแผนการทวงคืนนกหวีดที่ถูกวางไว้ตั้งแต่ต้น!
ไม่เพียงเท่านั้น เพื่อป้องกันมิให้ไม้ขีดไฟหลุดออกโดยฝีมือเหล่าอันเดด มันยังเคลือบผิวของนกหวีดทองแดงไว้ด้วยน้ำมันสกัดจากสุริยัน!
ไคลน์ที่ถูกรายล้อมด้วยภูตผีและอันเดดจำนวนมาก ไม่มีเวลาแม้แต่จะเก็บนกหวีดทองแดงกลับเข้ากระเป๋า ต้องรีบดีดนิ้วทั้งอย่างนั้น
ทันใดนั้น ฝ่ามือโปร่งใส เน่าเปื่อย ขาวซีด กึ่งมายา พลันเหยียดออกมาจับคว้าชายหนุ่มไว้แน่น!
ขณะเดียวกัน ก้านไม้ขีดไฟที่ไคลน์โยนเตรียมไว้ก่อนจะมาโผล่ท้ายเรือ เริ่มลุกไหม้กลางอากาศ
ร่างกายชายหนุ่มโผล่ออกจากกองไฟดังกล่าวอย่างรวดเร็ว แต่ใบหน้าเริ่มกลายเป็นสีม่วงคล้ำ ริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด
ไคลน์ที่ถูกสัมผัสโดยเงามืด วิญญาณอาฆาต และสัตว์วิญญาณอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก รู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงก้นบึ้งดวงวิญญาณ มิอาจควบคุมร่างกายได้ถนัด จนเสียหลักตกลงสู่ผืนทะเลสีทองอร่าม
เนื่องจากทิวลิปดำใกล้ผ่านประตูทองแดงเข้าไปเต็มลำ ผิวทะเลที่เคยเป็นดั่งปากประตูนรกจึงกลับสู่สภาวะปรกติ
หลังจากจมลงไปได้ไม่กี่เมตร ไคลน์เริ่มสำลักน้ำขมฝาดและได้สติกลับคืนมา
แค่ก… อย่างน้อยก็เตรียมตัวมาดี… ขณะความคิดแล่นผ่าน ชายหนุ่มพลันฉุกคิดถึงบางสิ่ง
ในเมื่อตนกำลังติดกระดุมข้อมือเมอร์ล็อค ก็ควรหายใจใต้น้ำได้อย่างอิสระไม่ต่ำกว่าสิบนาทีไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดถึงสำลักน้ำ?
ไคลน์รีบก้มมองข้อมือ และพบว่ากระดุมข้อมือสีน้ำเงินหลุดหายไปโดยที่ตนไม่รู้ตัว
หายไปแล้ว… เป็นฝีมือของถุงมืออินธน์… เราอยู่บนทิวลิปดำตลอดเวลา… ไคลน์ตีแขนสองสามครั้งจนลอยตัวขึ้นมาบนผิวน้ำ ภาพแรกที่เห็นคือ เรือใบลำใหญ่กำลังแล่นหายเข้าไปในความมืดมิด บานประตูทองแดงขนาดมหึมากำลังปิดตัวลงอย่างเชื่องช้า
ด้วยสัญชาตญาณ ชายหนุ่มว่ายน้ำไปข้างหน้าสองสามเมตร ก่อนจะหยุดลงและหยิบยันต์สำหรับหายใจใต้น้ำออกมาใช้กับตัวเอง
แอนเดอร์สันที่กำลังลอยตัวกลางอากาศ รีบส่ายหน้าเมื่อได้เห็นฉากดังกล่าว
“บ้าบิ่นชะมัด… คิดจะไล่ล่าไปถึงไหนกัน!”
ทันใดนั้น มวลหมู่ดวงดาวจากอนาคตกาลเริ่มรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ ก่อนจะเรียงรายกลายเป็นสะพานดวงดาวยื่นยาวออกมายังสองหนุ่ม
ในที่สุด พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา ก็กำจัดสัตว์ประหลาดที่ทนทายาดตัวนั้นสำเร็จ!
น่าเสียดาย ถ้าพลเรือเอกขุมนรกมีความลังเลสักนิดและไม่รีบเผ่นหนีไปก่อนล่ะก็… แอนเดอร์สันถอนหายใจแผ่วพลางร่อนลงบนสะพานดวงดาวอย่างมั่นคง
ขณะเตรียมกล่าวคำชมเชยพอเป็นพิธีกับเกอร์มันสแปร์โรว์ที่กำลังเหาะตรงมา มันบังเอิญเหลือบเห็นแววตาอันเย็นชาและไร้อารมณ์ของอีกฝ่าย
แอนเดอร์สันล้มเลิกความคิด เพียงหัวเราะแห้งสองหน ปล่อยให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์เดินผ่านไป
เมื่อกลับมาถึงอนาคตกาลด้วยสะพานดวงดาว ไคลน์ฝืนเก็บงำอารมณ์ทั้งหมด ขณะเดียวกันก็หันไปเห็นแฟรงค์·ลีเดินเข้ามาทักทายพร้อมกับยกนิ้วให้
“ในชีวิตนี้ ฉันไม่เคยเห็นใครบ้าบิ่นเท่านายมาก่อน! กล้าขึ้นไปเหยียบทิวลิปดำและดวลกับพลเรือเอกขุมนรกตัวต่อตัว! แถมยังรอดชีวิตกลับมาได้!”
ขอโทษด้วยสหาย… แต่ถ้าจะวัดกันเรื่องความบ้าบิ่น ฉันยังแพ้นายหลายขุม… ไคลน์ตอบในใจ
ขณะเดียวกัน โจรสลัดหลายคนที่มีเส้นผมยืดยาวหรือใบหน้ารกรุงรัง ต่างมองมาทางชายหนุ่มด้วยสีหน้าทึ่งแกมชื่นชม
ท่ามกลางบรรยากาศตรงหน้า ไคลน์หลับตาลงพร้อมกับตระหนักได้ว่า โอสถ ‘ผู้ไร้หน้า’ ถูกย่อยเสร็จสมบูรณ์ในวินาทีนี้แล้ว
……………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น