Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 651-652

 ราชันเร้นลับ 651 : พบกันอีกครั้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อได้เห็นคำเตือนของวิล·อัสติน ไคลน์รู้สึกราวกับตนถูกพรแห่งโชคโอบกอด


โชคดีที่เราตัดสินใจไม่สำรวจต่อ… ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย


แม้จะได้พบจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับโอโรเลอุสผู้กลืนหาง และได้พบแอนเดอร์สัน ชายผู้มิอาจทราบได้ว่าเผชิญชะตากรรมแบบใดมาบ้าง เหตุใดจึงกลายเป็นสัตว์ประหลาด แต่อย่างน้อย ตนก็ยังรอดพ้นจากอันตรายที่อาจถึงแก่ชีวิตมาได้


ไม่มีทางเดาได้เลยว่า คราวหน้าที่ปรากฏตัวในโลกความฝัน เราจะสุ่มตำแหน่งเริ่มต้นใหม่ หรือสานต่อจากประสบการณ์ครั้งเก่า… ถ้าเป็นอย่างหลัง เราจะไม่สนทนากับแอนเดอร์สันเด็ดขาด ทำเพียงเดินกลับออกจากอารามสีดำในทางเดิม… ไคลน์เบือนสายตาเพื่ออ่านข้อความต่อ


“นอกจากโลกแห่งความฝัน อันตรายในแง่อื่นไม่ร้ายแรงถึงชีวิต ขอเพียงไม่เข้าใกล้ซากปรักหักพัง ไม่จ้องมองสิ่งที่โบยบินบนท้องฟ้าในยามกลางวัน ไม่เสี่ยงกับพายุที่อันตราย เท่านี้ก็จะไม่มีปัญหาตลอดกาลเดินทาง แค่แล่นเรือไปตามเส้นทางปลอดภัยที่มีคนเคยสำรวจไว้ก็พอ”


“ในส่วนของนางเงือก เพียงล่องเรือไปเรื่อยๆ ก็จะได้พบพวกมันในที่สุด เพราะด้วยระดับพลังของนางเงือก การจะเอาตัวรอดบนทะเลแห่งนี้จำเป็นต้องอาศัยอยู่ในเขตปลอดภัยเท่านั้น และบริเวณดังกล่าวก็มีไม่มากนัก”


“สุดท้ายนี้ ข้าขออวยพรให้ทุกสิ่งผ่านไปอย่างราบรื่น”


“ด้วยความจริงใจ จากสหายผู้มักหลับลึกบ่อยครั้งเนื่องจากอยู่ระหว่างขั้นตอนการเติบโต, วิล·อัสติน”


ประโยคสุดท้ายทั้งยืดยาวและฟังดูกระอักกระอ่วน แต่ไคลน์เข้าใจความนัยแฝงได้ทันที


ก่อนที่ข้าจะคลอด ห้ามรบกวนด้วยเรื่องไม่สำคัญเด็ดขาด!


จะพยายามก็แล้วกัน… ไคลน์ตอบในใจ ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะได้ยินหรือไม่


หากตนเลื่อนลำดับสำเร็จ การสอบถามสูตรโอสถลำดับ 4 จากวิล·อัสตินก็คงไม่ใช่เรื่องยาก


ไคลน์ที่เริ่มมั่นใจว่าตนจะได้พบนางเงือก ส่งตัวเองออกจากความฝัน สวมหมวก และตรงไปยังห้องอาหารโจรสลัด


เนื่องจากเสียเวลาไปกับดินแดนความฝันพอสมควร อาหารส่วนใหญ่จึงเริ่มเย็นชืด แต่เหล่าโจรสลัดต่างอยู่ในอารมณ์ชื่นมื่น เนื่องจากไม่มีคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ล่าสุด


เมื่อไม่มีคนตาย ผู้รอดชีวิตจึงเริ่มโอ้อวดในเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่ตนได้พานพบ


“นมสักแก้วไหม” แฟรงค์·ลีที่กำลังถือถาด นั่งลงฝั่งตรงข้ามไคลน์และซักถามอย่างเป็นกันเอง


หลังจากชายหนุ่มหวนนึกถึงบทสนทนาในความฝัน ไคลน์ส่ายศีรษะพลางสวมสีหน้าอึมครึม


มันกำลังหวาดระแวงว่า นมสดทุกหยดบนเรืออาจเป็นผลผลิตจากการทดลองสุดพิสดารของแฟรงค์!


แฟรงค์·ลีกระดกนมโดยไม่แยแส


“ฉันจำได้ว่า ภายในใจความฝัน ฉันเล่าบางสิ่งให้นายฟัง”


“อา…” ไคลน์หั่นเนื้อปลากระดูกมังกรและยัดใส่ปาก


ปลาชนิดนี้ขึ้นชื่อด้านมีก้างน้อย บางตัวแทบไม่มีเลย ภายในกรุงเบ็คลันด์ หากคุณภาพของเนื้อปลาสูงสักนิด พวกมันจะกลายเป็นอาหารของเหล่าขุนนาง แต่สำหรับแถบชายฝั่งตะวันออกของเกาะโอลาวี ปลากระดูกมังกรเป็นเพียงอาหารพื้นเมืองที่ง่ายกินได้ง่าย


แฟรงค์หัวเราะพลางกล่าว


“ในตอนนั้น คำพูดบางส่วนของฉันไม่ตรงตามความเป็นจริงนัก ฉันหมายถึง เป้าหมายของการวิจัยคือการให้ทุกสิ่งมีชีวิตสามารถผลิตน้ำนมได้อย่างเท่าเทียมโดยไม่แบ่งแยกเพศ สัตว์ทุกชนิดที่กินแบคทีเรียเข้าไปจะสามารถผลิตน้ำนมได้ทั้งหมด และกลับไปเป็นปรกติเมื่อหยุดกิน ด้วยวิทยาการนี้ วัวนมจะไม่ถูกทรมานอีกต่อไป เพราะโลกมีปริมาณน้ำนมให้ดื่มอย่างเพียงพอ ชายกับหญิงก็จะเท่าเทียมกันในด้านเลี้ยงลูก ผู้ชายสามารถเป็นพ่อนมได้ ขณะที่ฝ่ายหญิงออกไปทำงานแทน…”


เดี๋ยวก่อน… หมอนี่กำลังพูดเรื่องอะไร? ไคลน์เกือบกลั้นมาดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เอาไว้ไม่อยู่


ในวินาทีนี้ มันเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงอีกแล้วว่า ฉายา ‘โจรสลัดเสียสติ’ ไม่ควรเป็นของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ หากแต่ต้องเป็นของแฟรงค์·ลี


น่าสนใจ… เขาสนับสนุนความเท่าเทียมระหว่างชายหญิง… นั่นถือเป็นเรื่องที่ดี แต่วิธีการออกจะสุดโต่งไปสักนิด… โบสถ์พระแม่ธรณีคงมีลักษณะคล้ายคลึงกับโบสถ์รัตติกาล พวกเขาเชื่อว่าสตรีควรมีสิทธิทางสังคมเทียบเท่าบุรุษ แต่จะเน้นความสำคัญไปในด้านการแพร่พันธุ์โดยมองว่านั่นคือความศักดิ์สิทธิ์…


จากบรรดาเจ็ดโบสถ์หลัก ศาสนจักรวายุสลาตันและเทพสงครามคือสองโบสถ์ที่ให้ความสำคัญกับเพศชายอย่างมาก ตามด้วยโบสถ์สุริยัน ส่วนโบสถ์ปัญญาความรู้มีคำสอนที่ผิดแผกไปจากโบสถ์อื่น พวกเขาเทิดทูนสติปัญญาเหนือเพศสภาพ ทางด้านโบสถ์จักรกลไอน้ำค่อนข้างเป็นกลาง สนใจเพียงแรงงานในอุตสาหกรรม แต่ก็ร่วมมือกับโบสถ์รัตติกาลเพื่อสนับสนุนให้สตรีเข้าไปทำงานในโรงงานมากขึ้น…


ชายหนุ่มเงยหน้ามองแฟรงค์·ลีอย่างเป็นมิตร ราวกับคำพูดของอีกฝ่ายมิใช่สิ่งแปลกใหม่


ท่าทีตอบสนองเช่นนี้ทำให้แฟรงค์รู้สึกอิ่มเอมใจเหนือคำบรรยาย จึงอดไม่ได้ที่จะยกแก้วนมขึ้นมากระดกเพิ่มเติม


หลังจากโจรสลัดกินอาหารกลางวันเสร็จ ‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียา เปิดหน้าต่างห้องกัปตันพร้อมกับเปล่งเสียงกังวานที่ถูกขยายด้วยเวทมนตร์


“พวกเราจะถึงเกาะข้างหน้าในอีก 1.5 ไมล์ทะเล จากนั้นจะทำการเทียบท่าที่นั่นเพื่อรอให้พายุสงบ… สำหรับน่านน้ำแห่งนี้ เมื่อกลางวันสลับกับกลางคืน มีโอกาสพอสมควรที่จะเกิดพายุโหมกระหน่ำ ซึ่งแม้แต่ฉันก็ระบุไม่ได้ว่าตอนไหน จึงเป็นการดีกว่าหากจะรอให้พายุสงบก่อนจึงค่อยแล่นเรือต่อ”


สาเหตุเธออธิบายลงลึกถึงรายละเอียด เพราะปัจจุบันมิใช่สถานการณ์ฉุกเฉิน ยังมีเวลาเตรียมตัวอีกเหลือเฟือ


หากพูดถึงท้องทะเล หนึ่งในสิ่งมนุษย์มักหวาดกลัวก็คือพายุ จึงไม่มีโจรสลัดคนใดกังขาในคำสั่งของแคทลียา ภายใต้การนำของต้นหนอ็อตโตลอฟและสรั่งเรือนีน่า กลุ่มโจรสลัดเริ่มเตรียมตัวเทียบท่าอย่างกระฉับกระเฉง


เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ไคลน์สามารถยืนยันหนึ่งในคำเตือนของวิล·อัสติน


ห้ามเสี่ยงกับพายุเด็ดขาด!


เพียงไม่นาน เกาะที่ปกคลุมด้วยต้นไม้ขนาดมหึมา ปรากฏขึ้นตรงหน้าอนาคตกาล


เรือใบลำยาวกว่าร้อยเมตรปรับเปลี่ยนเส้นทางและเทียบท่าในฝั่งอับลม


ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ท้องฟ้าเริ่มมืดลงพร้อมกับการก่อตัวของเมฆสีเทาตะกั่ว


หมูเมฆเริ่มซ้อนทับจนหนาแน่น ดูคล้ายกับกำลังโอบล้อมทะเลไว้ทุกทิศ


ท่ามกลางเสียงคำรามและแสงอสนีบาต ลมพายุได้ม้วนเป็นเกลียวสูง ณ จุดห่างไกล


เกลียวพายุคือตัวกลางที่เชื่อมระหว่างเมฆสีเทาด้านบนและทะเลสีครามด้านล่าง บรรยากาศน่าพรั่นพรึงยิ่งกว่าอสรพิษยักษ์ตามตำนานปรัมปราใดทั้งหมด ดูคล้ายกับงูใหญ่ที่ขดเป็นเกลียวและเตรียมทำลายโลก


พายุดังกล่าวมาพร้อมกับคลื่นยักษ์ขนาดเท่าภูเขา แสงอสนีบาตยังคงไม่เลือนหายไปเพียงเพราะเกลียวพายุปรากฏตัว แต่กลับยิ่งทวีความเกรี้ยวกราดในการฟาดผ่าลงมาด้านล่าง ประกายไฟสีเหลืองทองส่องกะพริบวิบวับทุกครั้งที่สายฟ้ากระทบกับผิวทะเล


ฝนเม็ดใหญ่ตกกระแทกใส่ดาดฟ้าอนาคตกาล ส่งผลให้โจรสลัดที่หลบอยู่ในห้องโดยสารหรือกำบังชั่วคราวต่างรู้สึกราวกับว่า นี่คือภัยพิบัติที่กำลังจะทำลายโลกในอีกไม่ช้า


พายุเกิดขึ้นและสงบลงภายในเวลาไม่นาน เพียงสิบห้านาที คลื่นยักษ์ขนาดเท่าภูเขาเลือนหายไปจากการมองเห็น แสงตะวันยามเที่ยงกลับมาเฉิดฉายปกคลุมท้องฟ้าอีกครั้ง


“พวกนายจะลงไปสำรวจเกาะก็ได้ ฉันไม่ห้าม แต่อย่าเข้าไปลึกเกินกว่าระยะยิงของปืนใหญ่” แคทลียาปล่อยให้โจรสลัดพักผ่อนตามอัธยาศัย


ไคลน์หวนนึกถึงคำเตือนของ ‘อสรพิษปรอท’ วิล·อัสติน จึงตัดสินใจไม่สำรวจเกาะ เมื่อลงจากอนาคตกาล ชายหนุ่มเพียงเดินริมหาดเพื่อสัมผัสความรู้สึก ‘เหยียบพื้นดิน’


หาดทราย แสงแดด ต้นไม้… นี่มันลาพักร้อน… ไคลน์ที่กำลังรำพันติดตลก พลันเหลือบเห็นจุดสีดำพุ่งผ่านมุมสายตาด้วยความเร็วสูง


ทิศทางการพุ่งมาจากหน้าผา!


จุดดำขยายขนาดขึ้นทีละนิดจนเริ่มดูคล้ายกับรูปร่างมนุษย์!


ไม่ห่างจากไคลน์นัก พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา ที่ฝ่าเท้าเพิ่งได้สัมผัสกับทราย เริ่มตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากล จึงรีบถอดแว่นและหันไปมอง


ร่างดังกล่าวขยับเข้าใกล้ทีละนิด เป็นร่างของชายสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีดำ และกางเกงขายาวสีดำ รูปร่างสันทัด ดวงตาสีฟ้า เส้นผมสีทองหวีแสกด้วยอัตราส่วนเจ็ดต่อสาม


แอนเดอร์สัน!


แอนเดอร์สันผู้โชคร้าย!


ไคลน์จดจำอีกฝ่ายได้ในพริบตา


ผู้มาเยือนลึกลับไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นแอนเดอร์สันที่น่าขนลุกในโลกความฝัน!


แอนเดอร์สันผู้บอกกับไคลน์ว่า พรรคพวกของมันตั้งทีมสำรวจอารามและไม่เคยได้กลับออกมาอีกเลย โดยหลังจากนั้นก็ประกาศตัวว่า มันคือหนึ่งในทีมที่เข้าไปสำรวจอาราม!


ในวินาทีนี้ แอนเดอร์สันยกมือขวาขึ้น


โดยปราศจากความลังเล ไคลน์ในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ หยิบยันต์โลหะออกมาพร้อมกับเปล่งเสียงเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ


“พายุ!”


ยันต์โลหะที่สร้างจากดีบุกสีขาว แปรสภาพกลายเป็นวัตถุคมกริบแผ่นบางคล้ายใบมีด


อาศัยการถ่ายเทพลังวิญญาณ เกิดลมพายุกระโชกหมุนวนเป็นทรงเกลียว


ไคลน์โยนยันต์โลหะไปทางแอนเดอร์สันด้วยสีหน้าเยือกเย็น


ฟ้าว! ฟ้าว!


กลุ่มสายลมควบแน่นกลายเป็นใบมีดแผ่นบางสีฟ้า รัวพุ่งตรงเข้าหาเป้าหมายอย่างเป็นระเบียบแบบแผน


แอนเดอร์สันที่กำลังยกมือขวาค้างพลางฉีกยิ้มคล้ายกับเตรียมกล่าวบางสิ่ง พลันได้ยินเสียงสวดคาถาตามด้วยเสียงสายลมกรีดเฉือนอากาศ


ด้วยดวงตาแตกตื่น มันส่งตัวเองไปด้านข้างพร้อมกับกลิ้งหลบอย่างทุลักทุเลราวกับเบื้องหน้ามีแผ่นเหล็กสีแดงร้อนฉ่าขวางไว้


ฉึก! ฉึก! ฉึก!


ใบมีดลมคมกริบปะทะกับผืนทรายจนเกิดช่องว่างแหว่งโหว่ แต่ไม่มีเล่มใดพุ่งเข้าเป้า


“หยุด! หยุดก่อน!” แอนเดอร์สันแหกปากตะโกนขณะกลิ้งล้มลุกคลุกคลาน “ฉันไม่ใช่ศัตรู! ฉันมาดี!”


“แอนเดอร์สัน·ฮู้ด…” พลเรือเอกดวงดาวพึมพำพร้อมกับยกมือปรามเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่หยิบยันต์โลหะออกมาเพิ่ม


เธอรู้จักแอนเดอร์สัน…? ไคลน์ไม่รีบร้อนเปล่งคาถาจู่โจม เพียงกล่าวด้วยเสียงขรึม


“เขาไม่ใช่มนุษย์อีกแล้ว… ผมได้พบเขาในความฝัน”


ชายหนุ่มไม่แปลกใจนักที่ตนได้พบกันแอนเดอร์สันอีก เพราะการถูกดึงเข้าไปในโลกความฝัน ย่อมหมายถึงอีกฝ่ายอยู่ในละแวกใกล้เคียงอนาคตกาล


“ไม่! นายกำลังเข้าใจผิด!” แอนเดอร์สันลุกพรวดด้วยสีหน้ายิ้มไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก สองมือชูขึ้นฟ้าอย่างจำนน “ฉันจำนายได้ คนที่ตั้งถามมากมายในความฝัน! ตอนนั้นฉันพูดติดตลกเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ! นายไม่คิดบ้างหรือ ว่าการที่เรื่องราวแปรเปลี่ยนเป็นความสยองขวัญในตอนสุดท้าย ถือเป็นประสบการณ์อันแสนวิเศษและหาได้ยากยิ่ง! น…แน่นอน ฉันไม่ได้หมายถึงตัวเอง แต่เป็นคู่สนทนา… ถ้าฉันอยู่ในทีมสำรวจ แล้วจะมาปรากฏตัวต่อหน้านายได้ยังไง?”


นั่นล่ะคือปัญหา… ไคลน์ยังไม่เชื่อคำอธิบายทันที


แอนเดอร์สันยักไหล่


“อันที่จริง ฉันคิดจะเฉลยว่าเป็นเพียงมุกตลกและขอความช่วยเหลือจากนาย หวังให้นายช่วยแล่นเรือมายังเกาะแห่งนี้และนำตัวฉันกลับออกไป แต่ความฝันดันจบลงเสียก่อน… ให้ตายสิ! จะโชคร้ายอะไรขนาดนี้!”


สมเหตุสมผล สอดคล้องกับคำสาปโชคร้าย… ไคลน์พึมพำ


ขณะชายหนุ่มเตรียมดีดเหรียญทำนายยืนยันต่อหน้าอีกฝ่าย เสียงของพลเรือเอกดวงดาว แคทลียา ดังแทรกขึ้น


“ฉันคิดว่าเราควรฟังคำอธิบายของเขาก่อน… ชายคนนี้มีชื่อเสียงโด่งดังในทะเลหมอก ฉายาของเขาคือ ‘นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด’”


…………………………….


ราชันเร้นลับ 652 : เบาะแสของนางเงือก

โดย

Ink Stone_Fantasy

นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด… ไคลน์พลันผงะกับฉายาของอีกฝ่าย แต่หลังจากครุ่นคิดสักพักก็ไม่พบว่าแอนเดอร์สันมีค่าหัว


หมายความว่า สิ่งที่แอนเดอร์สัน·ฮู้ดเล่าในความฝันคือเรื่องจริง มันสนใจการล่าสมบัติมากกว่า!


น่าเสียดายที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ยังไม่เคยสังหารนายพลโจรสลัด ไม่อย่างนั้น ฉายานักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดคงไม่หนีไปไหน… ไคลน์ไม่ประมาท เพียงจ้องไปทางอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา


หากแอนเดอร์สัน·ฮู้ดเล่นตุกติกแม้เพียงเล็กน้อย ชายหนุ่มจะโยนแผ่นยันต์โลหะในมือเข้าใส่ทันที คาถากระตุ้นของยันต์ทุกใบล้วนเหมือนกันหมด และด้วยลำดับในปัจจุบัน ไคลน์สามารถท่องคาถาไปพร้อมกับโอนถ่ายพลังวิญญาณได้


เมื่อได้ยินคำบรรยายของพลเรือเอกดวงดาว แอนเดอร์สันส่ายหน้าหนักแน่น


“ผิดแล้ว ฉันไม่ใช่นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด”


หืม… อย่างน้อยก็ยังรู้จักถ่อมตัว… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ


แอนเดอร์สันหัวเราะในลำคอพร้อมกับแสยะยิ้ม


“พลเรือเอกดวงดาว เธอควรเพิ่มคำขยายเข้าไปด้วย… ในระดับต่ำกว่าครึ่งเทพ! ใช่แล้ว! นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับต่ำกว่าครึ่งเทพ!”


“…”


ขอถอนคำพูด… มุมปากไคลน์กระตุกเล็กน้อย


เมื่อเห็นพลเรือเอกดวงดาวไม่ตอบโต้ แอนเดอร์สันลดมือลงอย่างเป็นธรรมชาติ


“แม้ทะเลในแถบนี้จะเต็มไปด้วยอันตราย แต่ก็มีสมบัติมากมายซุกซ่อนเช่นกัน ฉันเชื่อว่าพวกนายคงทราบดีอยู่แล้ว… ในอดีต เคยมีนักผจญภัยจำนวนมาก ไม่สิ ต้องเรียกว่านักล่าสมบัติ พวกมันพยายามเข้ามาแสวงหาโชคลาภ แต่เกือบทั้งหมดมักไม่รอดชีวิตกลับไป… หึหึ ฉันกำลังพูดถึงคนส่วนใหญ่ แต่ก็มีส่วนน้อยที่โชคดีและกอบโกยได้อย่างมหาศาล… หนึ่งในนั้นคือกลุ่มนักล่าสมบัติที่มีผู้นำเป็นยอดฝีมือจำนวนสองคน พวกเขาอ้างตัวว่าเชี่ยวชาญเกี่ยวกับทะเลแถบนี้มาก รู้ว่าซากปรักหักพังใดไม่ควรสำรวจ รู้ว่าซากปรักหักพังใดสามารถสำรวจได้ รู้ว่าเส้นทางปลอดภัยเป็นเช่นไร รู้จักวิธีล่าสัตว์ประหลาดหลายชนิด และรู้ว่าควรหลีกเลี่ยงสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่คลุ้มคลั่งด้วยวิธีใด… ฉันนึกสงสัยมาตลอดว่าเก่งสมคำร่ำลือหรือไม่ จนในที่สุดก็ชักชวนมาทำงานด้วยกันสำเร็จ”


“แล้วไงต่อ?” กระจกตาสีม่วงของพลเรือเอกดวงดาว แคทลียา กำลังสะท้อนภาพใบหน้าอีกฝ่าย


แอนเดอร์สันถอนหายใจ


“พวกเราเริ่มต้นอย่างราบรื่น สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายและเก็บเกี่ยวสิ่งของมีค่าที่นักล่าสมบัติรุ่นก่อนเหลือทิ้งไว้ได้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังออกล่าสัตว์ประหลาดและรวบรวมวัตถุดิบโอสถได้หลายชนิด… แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อพวกเราพบวิหารประหลาดบนเกาะน้ำท่วมแห่งหนึ่ง ด้านในมีจิตรกรรมฝาผนังสภาพดี เป็นภาพเดียวกับที่สุภาพบุรุษท่านนี้เห็นในความฝัน”


มันใช้ปลายคางชี้มาทางไคลน์


“เข้าเรื่องสักที” ชายหนุ่มตอบสุขุม


แอนเดอร์สันส่ายหน้าพลางยิ้มขื่นขม


“จิตรกรรมฝาผนังดังกล่าวเต็มไปด้วยความพิสดาร เป็นภาพวาดเกี่ยวกับการเดินทางข้ามทะเลที่ถูกแยกออกเป็นสองซีก… ผู้นำคณะเดินทางถูกวาดให้มีลักษณะคล้ายคลึงเทวทูต เส้นผมสีเงินยาวถึงแผ่นหลัง ใบหน้าอ่อนโยนนุ่มนวล… ฉันคือคนแรกที่ไปถึงจิตรกรรมฝาผนังดังกล่าว และสิ่งที่ทำมีเพียงการเหยียดแขนขวาออกไปวาดอากาศตามความเคยชิน ฉันพูดความจริง มิได้สัมผัสกับผิวภาพแม้แต่น้อย ระยะห่างเกินกว่าห้าเซนติเมตรอย่างแน่นอน แต่เรื่องน่าตกตะลึงได้เกิดขึ้น ดวงตาของเทวทูตลืมขึ้นอย่างกะทันหัน”


“…”


ฉายานักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดคงได้มาเพราะนิสัยชอบหาเรื่องใส่ตัว… ไคลน์ยิ้มเย็น ๆ โดยปราศจากความเห็นใจ


“เทวทูตผมสีเงิน?” แคทลียาย้อนถาม


“ถูกต้อง แต่ฉันไม่รู้ว่าเป็นเทวทูตตนใด อย่างน้อยก็ไม่เคยเห็นในจิตรกรรมฝาผนังของเจ็ดโบสถ์หลักมาก่อน หรืออีกหนึ่งความเป็นไปได้ก็คือ จิตรกรอาจวาดขึ้นมาเองจากจินตนาการโดยมิได้อ้างอิงจากความเป็นจริง” แอนเดอร์สันยกมือลูบไล้เส้นผม พลางพบว่าสุภาพบุรุษผู้สวมเสื้อคอกลม แจ็คเก็ตสีน้ำตาล กางเกงขาบาน และหมวกแก็ป กำลังจ้องมาทางตนด้วยสายตาเย็นชา คล้ายกับพร้อมโจมตีทุกเมื่อหากพบความไม่ชอบมาพากลแม้เพียงเล็กน้อย


ขณะเดียวกัน ไคลน์กำลังสนใจประเด็นอื่น


เขาเชี่ยวชาญภาพจิตรกรรมมาก อย่างน้อยก็เหนือกว่าคนคนส่วนใหญ่ ที่มิอาจแปลความหมายของจิตรกรรมฝาผนังทางศาสนาได้แตกฉาน…


แคทลียาผู้คิดไม่ตก หันไปจ้องไคลน์ด้วยดวงตาแฝงความสงสัย


เมื่อครู่แอนเดอร์สัน·ฮู้ดระบุว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็ได้เห็นภาพดังกล่าวเช่นกัน


บางที หากเป็นสมาชิกคนสำคัญที่ได้รับพรจากท่าน เขาอาจทราบว่าเป็นภาพของเทวทูตตนใด… พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา แอบเชื่อว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์มีคำตอบในใจแล้ว


สำหรับไคลน์ เมื่อมันพิจารณาว่า ถึงจะยังไม่บอกคำตอบเธอในตอนนี้ แต่มาดามเฮอร์มิทคงหาโอกาสถามตนในชุมนุมทาโรต์อยู่ดี จึงตัดสินใจไม่ปิดบังเป็นความลับ เพียงมอบคำตอบอย่างเรียบง่าย


“ผู้กลืนหาง โอโรเลอุส”


ผู้กลืนหาง โอโรเลอุส? เทวทูตโชคชะตา? ราชาเทวทูต? แคทลียาเม้มริมฝีปากแน่น แสงสีม่วงในดวงตาทวีความเข้มข้นโดยไม่รู้ตัว


ต้องขอบคุณคำแนะนำจากมิสจัสติส เธอได้ยินชื่อดังกล่าวครั้งล่าสุดจากชุมนุมทาโรต์


และนั่นยังเป็นหนแรกที่แคทลียาตระหนักถึงการมีอยู่ของราชาเทวทูต โดยหลังจากผ่านมาเพียงไม่กี่เดือน เธอก็มีโอกาสได้พบเบาะแสบนโลกความจริง!


“ผู้กลืนหาง โอโรเลอุส?” แอนเดอร์สันเคี้ยวคำด้วยสีหน้าเหม่อลอย


ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ คล้ายกับไม่ต้องการเปลืองแรงอธิบาย


เมื่อเห็นพลเรือเอกดวงดาวเงียบงัน แอนเดอร์สันไม่ถามซักไซ้ เพียงหัวเราะและเล่าต่อ


“ในตอนนั้น ฉันคิดว่าตัวเองคงตาฝาดไป เพราะนอกเหนือจากการลืมตา ภาพจิตรกรรมฝาผนังก็ไม่มีความผิดปรกติอื่นใดอีก… หลังจากนั้น ทีมสำรวจของเราแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ส่วนใหญ่ตกใจมากกับเรื่องที่ฉันเล่า จึงตัดสินใจไม่สำรวจวิหารต่อ ส่วนอีกฝ่ายซึ่งมีจำนวนราวหนึ่งในสาม ต้องการสำรวจลึกเข้าไปในวิหาร ทางกลุ่มใหญ่จึงตัดสินใจรอในจุดเดิมตลอดทั้งวัน แต่แม้จะผ่านไปแล้วสามวันคืนเต็ม พวกเขาก็ยังไม่กลับออกมา… เราทุกคนต่างเป็นนักล่าสมบัติมากฝีมือ ย่อมตระหนักได้ว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น หลังจากรออีกสักพักจนแน่ใจ ไม่มีใครกล้าสำรวจหรือรออยู่ในวิหารต่อ ทุกคนรีบเผ่นหนีและแล่นเรือย้อนกลับทางเดิม เมื่อพิจารณาว่าแต่ละคนสามารถกอบโกยสมบัติได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ จึงไม่มีใครคิดเอาตัวเองกลับไปเสี่ยงอันตรายอีก”


เดี๋ยวนะ… นายไม่มีแผนจะช่วยพวกพ้องออกมาเลยหรือ? หืม… นี่คงเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มที่รวมตัวกันเฉพาะกิจ อย่างมากก็คงเป็นห่วงเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คน… จากประสบการณ์ของเรา ป่านนี้พวกพ้องที่หายเข้าไปในวิหาร คงกำลังกินนิ้วของศพเพื่อประทังชีวิต… ไคลน์ครุ่นคิดเงียบงันโดยมิได้สนทนากับแอนเดอร์สัน


แอนเดอร์สันถอนหายใจและเล่าต่อ


“ทว่านับตั้งแต่ออกจากวิหาร เราเริ่มพบความผิดปรกติเกี่ยวกับตัวเองสองเรื่อง เรื่องแรก พวกเราทุกคนประสบความโชคร้ายอย่างรุนแรง ทุกการกระทำล้วนนำไปสู่เรื่องเลวร้ายเสมอ ตัวอย่างเช่น หลังจากดื่มเบียร์เข้าไปสองถึงสามจิบ จะบังเอิญได้ทราบในภายหลังว่า ถังเก็บเบียร์ดังกล่าวถูกใครบางคนใช้เป็นโถฉี่… เอ่อ นั่นไม่ใช่ประสบการณ์ของฉัน เป็นของพวกพ้องคนหนึ่งน่ะ… เรื่องที่สอง พวกเราสามารถครองสติได้อย่างแจ่มชัดบนโลกความฝัน มิได้เหม่อลอยและรับรู้เพียงบางสิ่งโดยที่มิอาจควบคุมร่างกาย ส่งผลให้สมาชิกราวหนึ่งในสามของจำนวนเริ่มต้น เกิดความอยากรู้อยากเห็นและเริ่มสำรวจความฝัน… ฮะฮะ จนถึงทุกวันนี้พวกเขาก็ยังไม่กลับออกมา”


แคทลียาที่รับฟังอย่างเงียบงันมาสักพัก เปิดปากถาม


“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายบนโลกความจริง?”


“กลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาด สังหารพวกพ้องที่เหลือไปเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงลูกเรืออีกเกือบทั้งหมด” แอนเดอร์สันหายใจเข้าสุดปอด “ถึงพวกเราจะฆ่าสัตว์ประหลาดได้ แต่เนื่องจากขาดแคลนลูกเรือ เหตุการณ์โชคร้ายจึงประดังเข้าใส่อย่างไม่หยุดพัก เรือของเราเทียบท่าไม่ทันก่อนพายุก่อตัว จึงอับปางไปพร้อมกับสมบัติที่รวบรวมมาได้ พรรคพวกส่วนใหญ่หากไม่จมน้ำก็จะถูกสัตว์ทะเลกิน แต่ฉันก็ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง… อย่างไรก็ตาม ฝีมือของฉันเหนือกว่าพรรคพวกคนอื่นเล็กน้อย แม้จะถูกคลื่นใหญ่พัดพา แต่สุดท้ายก็มาเกยตื้นบนเกาะแห่งนี้สำเร็จ จากนั้นก็พยายามต่อเรือบดด้วยตัวเอง ทว่าด้วยผลของความโชคร้าย ขวานเล่มสุดท้ายจึงหักไปแล้ว ฉากดังกล่าวถูกฉายภายในโลกความฝันตามที่นายได้เห็น”


ประโยคสุดท้ายของแอนเดอร์สันหมายถึงไคลน์


แปลว่าเขาไม่ได้โกหก… เป็นกลุ่มโจรสลัดที่ถูกสาปให้พบเจอแต่ความซวย… ไคลน์แอบวาดจันทร์แดงในใจเพื่อแผ่เมตตา


ชายหนุ่มเชื่อว่า คำบอกเล่าของแอนเดอร์สันมีแนวโน้มจะเป็นเรื่องจริง ประสบการณ์ที่ละเอียดและพิสดารเช่นนี้ คงเป็นการยากหากจะสร้างมโนภาพขึ้นมาเอง


แต่บางที แอนเดอร์สันอาจเผลอเข้าไปข้างในวิหาร กินนิ้วของศพประทังชีวิต ก่อนจะกลับออกมาโดยเข้าใจว่าไม่มีความผิดปรกติเกิดขึ้นกับตน หรือบางที เขาอาจสำรวจโลกความฝันไปแล้วหลายจุด และถูกสิ่งมีชีวิตลึกลับลอบกัดกร่อนโดยไม่รู้ตัว…


หลังจากแอนเดอร์สัน·ฮู้ดเล่าจบ มันหันไปยิ้มให้พลเรือเอกดวงดาวและชายที่ตนยังไม่ทราบชื่อ ก่อนจะฉีกยิ้มพร้อมกับกล่าว


“ไม่ทราบว่า ให้ฉันได้เป็นเกียรติร่วมโดยสารอนาคตกาลด้วยได้ไหม? แน่นอน ฉันจะจ่ายเงิน”


สีหน้าของมันกำลังบ่งบอกว่า เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่


แคทลียาขยับศีรษะอีกครั้ง เป็นการหันมาทางไคลน์ คล้ายกับถามหาความยินยอม


อย่าบอกนะว่า… เธอเอนเอียงไปทางอนุญาต? ไม่คิดทบทวนสักหน่อยหรือ ขนาดเรายังต้องเข้าห้วงมิติเหนือหมอกเพื่อทำนายยืนยัน แล้วเธอเป็นใครถึงมั่นใจขนาดนี้? อาศัยพลังพิเศษของลำดับ 5 แห่งเส้นทางผู้ส่องความลับ? ไคลน์วิเคราะห์ข้อมูลจากสีหน้าที่แคทลียากำลังแสดง


ขณะชายหนุ่มลังเล แอนเดอร์สันกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล


“ฉันชำนาญเส้นทางในจุดถัดไป! ต้องช่วยพวกนายเลี่ยงอันตรายที่อาจซ่อนอยู่ตามเส้นทางเดินเรือปลอดภัยได้แน่ ฉันสามารถระบุได้ว่าซากปรักหักพังใดอันตราย และยังจะช่วยให้พวกนายรอดจากเสียงเพลงของนางเงือกได้ทันเวลา!”


“เสียงเพลงของนางเงือก?” ดวงตาไคลน์พลันแวววาวจนเกือบหลุดมาดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“ถูกต้อง ห่างไปราวหนึ่งวันจากที่นี่ด้วยการแล่นเรือ… ฉันหมายถึงหนึ่งวันของโลกภายนอก ถ้าอ้อมแนวซากปรักหักพังและหักหัวเรือไปทาง…” กล่าวถึงจุดนี้ คล้ายกับแอนเดอร์สันฉุกคิดบางสิ่งได้ มันปิดปากเงียบโดยไม่เล่าต่อ


ไคลน์ใคร่ครวญสักพัก ก่อนจะหยิบเหรียญทองออกมาต่อหน้าแอนเดอร์สันและกล่าวเสียงแผ่ว


“แอนเดอร์สัน·ฮู้ดไม่ปรกติ”



แม้ชายหนุ่มจะพึมพำเจ็ดครั้งตามหลักการทำนาย แต่ภายในใจมิได้คาดหวังอะไรนัก


การดีดเหรียญทำไปเพื่อทดสอบอีกฝ่าย


หากแอนเดอร์สันผิดปรกติจริง ก็ต้องท่าทางน่าสงสัยให้เห็น เพราะไม่มีทางที่มันจะทราบถึงระดับพลังทำนายของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ จึงไม่น่าจะมั่นใจในพลังแทรกแซงการทำนายของตน


กิ๊ง!


เหรียญทองกระเด็นขึ้นไปในอากาศและร่วงหล่น ไคลน์ชำเลืองผลลัพธ์เล็กน้อยก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าเสื้อทันที


“ไม่ผิดปรกติ”


แต่ต้องยืนยันบนมิติหมอกเทาอีกครั้ง… ไคลน์เสริมในใจ


แคทลียาจ้องแอนเดอร์สันพลางพยักหน้ารับ


“ฉันรับข้อเสนอ… แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าออกจากทะเลแห่งนี้เมื่อไร นายต้องมอบทรัพย์สินติดตัวครึ่งหนึ่งให้ฉัน หากไม่มีก็ไม่ต้องจ่าย”


แอนเดอร์สันเงียบงันสักพัก ก่อนจะยิ้มตอบ


“ตกลง!” เมื่อพบทางรอด มันเผยความผ่อนคลายบนใบหน้า


“อย่างไรก็ตาม ขอเตือนไว้ก่อนว่า ถึงความโชคร้ายจะส่งผลกับฉันคนเดียว แต่ก็อาจดึงดูดสัตว์ประหลาดดุร้ายมาทำอันตรายพวกนายได้เช่นกัน… แต่ถ้าเธอ สุภาพบุรุษท่านนี้ และฉันร่วมมือกัน เราสามคนคงเอาตัวรอดจากอันตรายได้ไม่ยากเย็น”


เมื่อสิ้นสุดคำสุดท้าย เกาะทั้งเกาะพลันสั่นไหว ฝุ่นควันคละคลุ้งฟุ้งเต็มป่า


“อย่าบอกนะว่า… เป็นพวกสัตว์ประหลาด?” แอนเดอร์สันอ้าปากค้าง


………………………………………………


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)