Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 649-650

 ราชันเร้นลับ 649 : อารามสีดำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ความฝันที่ทุกคนมีร่วมกัน? ไคลน์ทวนซ้ำคำพูดแคทลียา พลเรือเอกดวงดาว ภายในใจเริ่มตระหนักถึงสถานการณ์เบื้องต้นในปัจจุบัน


ค่ำคืนบนท้องทะเลแห่งนี้จะเชื่อมความฝันของทุกสิ่งมีชีวิตเข้าด้วยกัน!


และหากมีสิ่งมีชีวิตใดมิได้หลับใหลในช่วงเวลาดังกล่าว วิญญาณจะไม่ถูกปกป้องอยู่ในดินแดนความฝัน ส่งผลให้ถูกลอบโจมตีจากศัตรูลึกลับไร้ที่มา


ส่วนเรื่องที่ว่า เหตุใดการโจมตีในลักษณะดังกล่าวถึงทำให้ร่างกายหายไป แทนที่จะตายและกลายเป็นศพให้เห็น ไคลน์ผู้ยังไม่มีประสบการณ์โดยตรง ย่อมมิอาจเดาสุ่มได้ถูกต้อง


ขณะความคิดกำลังว้าวุ่น ไคลน์ถอนสายตาออกจากแคทลียา และจ้องไปยังทิศทางของเมืองอันงดงามฝั่งตรงข้ามหน้าผา ภายในใจเริ่มผุดคำถาม


หากโลกนี้เชื่อมต่อกับความฝันของทุกสิ่งมีชีวิตจริง… เมืองหรูหราฝั่งตรงข้ามเกิดจากจินตนาการหรือความฝันของใครกัน?


มันเพ่งมองต่อไปราวสองสามวินาที ก่อนจะซักถาม


“นั่นคือเมืองอะไร”


เมืองที่งดงามและหรูหราใกล้เคียงตำนานปรัมปราแห่งนี้จะชื่อว่าอะไรกันแน่


พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา มองตรงไปด้านหน้าพร้อมกับกล่าวเสียงล่องลอย


“ฉันไม่ทราบ… ถึงจะได้เห็นทุกครั้งที่ได้เข้ามาในความฝัน แต่ฉันก็ไม่เคยมีโอกาสเข้าไปใกล้… ท่านเคยกล่าวไว้ว่า สิ่งนี้คล้ายกับบรมมหาราชวังสนธยาของฟุซัค… ท่านน่าจะมีคำตอบในใจอยู่แล้ว แต่ไม่เคยบอกกับฉัน”


ท่าน? ราชินีเงื่อนงำ? บรมมหาราชวังสนธยาคือสถานที่พำนักของเทพสงคราม… ไคลน์มองไปรอบตัวพลางกล่าวต่อหลังจากใคร่ครวญ


“ผมจะไปสำรวจแถวนี้สักหน่อย”


มันเชื่อว่า ‘อนาคตกาล’ คงยังไม่ออกจากทะเลแห่งนี้เร็วนัก น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสค่ำคืนลึกลับอีกหลายหน เพื่อปกป้องตัวเองจากภัยคุกคามที่ไม่ทราบต้นตอ ตนต้องเร่งสำรวจและเก็บข้อมูลให้มากที่สุด


แน่นอน การสำรวจในจุดที่ไม่มีข้อมูล ยิ่งมีเพื่อนร่วมทางมากเท่าไรก็ยิ่งดี


แคทลียาตอบด้วยเสียงล่องลอยในท่านั่งชันเข่าเช่นเดิม


“ฉันไม่สน”


“…”


คำตอบเช่นนี้มิใช่สิ่งที่พลเรือเอกซึ่งมีวุฒิภาวะสูงพึ่งกระทำ อย่างน้อยถึงจะปฏิเสธ ก็ควรสุขุมและอ่อนโยนสักหน่อย ดูคล้ายกับมาดามเฮอร์มิทเป็นเพียงเด็กผู้หญิงเอาแต่ใจ… ไคลน์ชะงักเล็กน้อยเนื่องจากไม่แน่ใจว่า ตนได้ยินคำตอบของเธอผิดไปหรือไม่ พลเรือเอกดวงดาวในปัจจุบันค่อนข้างแตกต่างจากมาดามเฮอร์มิทที่มันรู้จัก


อย่างไรก็ตาม เมื่อไคลน์ตระหนักว่า ขณะทำหน้าที่อาสาสมัคร เกอร์มัน·สแปร์โรว์เคยต้องข่มความรู้สึกสะอิดสะเอียนต่อสิ่งสกปรกเอาไว้เป็นบางเวลา มันผุดสมมติฐานใหม่ขึ้นมาหนึ่งข้อ


บางที ‘เฮอร์มิท’ แคทลียา คงมิอาจครองสติได้สมบูรณ์ในความฝัน เธอทราบเพียงว่าตัวเองกำลังฝัน แต่มิอาจควบคุมร่างกายได้ตามใจนึกคิด!


หรือก็คือ พลเรือเอกดวงดาวเผลอแสดงนิสัยและความรู้สึกในส่วนลึกที่คอยข่มไว้เป็นเวลานาน ออกมาให้ไคลน์เห็นโดยไม่รู้ตัว


เข้าใจแล้ว… สาเหตุที่เธอพูดว่า ตนไม่เคยไปถึงเมืองฝั่งตรงข้ามเลยสักครั้ง เป็นเพราะเธอมิอาจควบคุมร่างกายในความฝันแห่งนี้… ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนตั้งคำถาม


“พวกเราอาจได้พบสิ่งที่น่าสนใจก็ได้”


“ไม่ไป” แคทลียามอบคำตอบโดยปราศจากความลังเล แต่ก็ไม่ถึงขั้นส่ายหน้า “ฉันจะรอที่นี่! ไม่ทำอะไรทั้งนั้น!”


เป็นอย่างที่คิด เธอตื่นไม่สมบูรณ์… ไคลน์ประเมินจากน้ำเสียงและอากัปกิริยาของอีกฝ่าย


โดยไม่เสียเวลาต่อปากต่อคำ ชายหนุ่มกระโดดลงจากก้อนหินใหญ่


กึก!


เมื่อฝ่าเท้าสัมผัสพื้น ไคลน์มองกลับไปด้านหลัง


‘พลเรือเอกดวงดาว’ แคทลียา ยังคงนั่งในท่ากอดเข่าโดยไม่มีใครในละแวกใกล้เคียง


สายลมแผ่วเบาจากภูเขาพัดผ่าน เงาดำสะบัดพลิ้วอย่างอ่อนโยน แต่แคทลียายังไม่ขยับเขยื้อนร่างกายแม้แต่น้อย คล้ายกับกำลังนั่งรอบางสิ่งอย่างดื้อรั้น


คงมีแต่ ‘นักจิตบำบัด’ เท่านั้นที่สามารถตีความอาการในปัจจุบันของเธอได้ เรื่องนี้แตกต่างจากวิวรณ์ที่ได้รับจากการทำนาย… ไคลน์ยกมุมปากพลางกวาดตาไปรอบตัว ภายในใจกำลังพิจารณาว่าควรสำรวจทิศทางใดก่อน


มันพบว่า ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวา เกือบทุกทิศล้วนรายล้อมด้วยอารามสีดำสนิท รอบขอบหน้าผามีกำแพงสูงปิดกั้นมิดชิด ไม่ว่าจะเดินไปทางใดก็ต้องผ่านอารามสีดำ หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องกระโดดลงไปในก้นเหวของหน้าผา


เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ไคลน์ตัดสินใจเดินตรงไปยังประตูสีดำของอารามลึกลับ


บานประตูสูงใหญ่กว่าสิบเมตร คล้ายกับไม่ได้สร้างมาเพื่อมนุษย์ ไคลน์ยืนจ้องนานสองสามวินาทีก่อนจะสูดลมหายใจยาวและเหยียดแขนออกไปผลัก


เกิดเสียงเสียดสีดังขึ้น บานประตูมีน้ำหนักมากกว่าที่มันคิดไว้ กล้ามเนื้อบนท่อนแขนชายหนุ่มเริ่มปูดโปน ใบหน้าแดงก่ำ จนแล้วจนรอด มันผลักเปิดเข้าไปไม่สำเร็จ ทำได้เพียงขยับเขยื้อนบานประตูเล็กน้อย


โชคยังดี ที่นี่คือดินแดนความฝัน ขอเพียงเชื่อว่าทำได้ เราสามารถเพิ่มพละกำลังได้โดยไม่ต้องใช้พลัง ‘ยุบพองหิวโหย’ ออกมาจริง ๆ … ไคลน์พ่นลมหายใจพร้อมกับเปลี่ยนถุงมือข้างซ้ายให้กลายเป็นสีซีด


เมื่อถุงมือกลายเป็นสีเขียว ชายหนุ่มได้รับพลัง ‘ซอมบี้’ มาครอบครองทันที มวลท่อนแขนท่อนขามีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


ครืด!


เสียงเสียดสีดังหนักแน่น บานประตูบรรจงเปิดออกทีละนิดจนเผยให้เห็นทัศนียภาพด้านใน


ยอดหอคอยปลายแหลมสองต้น ถูกเชื่อมติดกับตัวอาคารสีดำด้วยสะพาน ทั้งหมดโอบล้อมจัตุรัสหินสีเทาอ่อนในจุดกึ่งกลาง


พื้นจัตุรัสมีลักษณะเป็นหลุมเป็นบ่อ บางจุดมีลูกศรขนาดยักษ์ปักอยู่ บางจุดมีคราบไหม้สีดำ คล้ายกับเคยผ่านการรบอันดุเดือดเมื่อในอดีต


ไคลน์เดินผ่านประตูเข้าไปจนถึงเขตจัตุรัส และค่อนข้างผิดคาด มันได้พบกับแฟรงค์·ลี นีน่า อ็อตโตลอฟ และพรรคพวกคนอื่นที่นี่


นี่ก็เป็นความฝันของพวกเขา? ไม่ใช่… หรือกำลังจะบอกว่า แต่ละคนต่างมีความฝันในแบบของตัวเอง และจะปรากฏตัวบนดินแดนแห่งนี้แบบสุ่ม? ไคลน์คาดเดาเลื่อนลอยโดยไม่มีหลักฐาน


แฟรงค์·ลีอยู่ใกล้ไคลน์มากที่สุด มันกำลังตักก้อนกรวดด้วยพลั่วยาวในมือ ใกล้กันมีขนมปังขาว ขนมปังปิ้ง ปลาทอด และอาหารประเภทอื่นที่กระจัดกระจายบนพื้น


กำลังจะปลูกบางสิ่งโดยใช้สิ่งเหล่านี้แทนปุ๋ย? แม้แต่ในฝันก็ยังห่วงแต่เรื่องเพาะปลูก… ไคลน์เดินเข้าไปใกล้และเอ่ยปากถาม


“กำลังทำอะไร”


แฟรงค์ยังคงไม่หยุดมือ เพียงเผยรอยยิ้ม


“ปลูกอะไรเล็กน้อย พวกเขาจำเป็นต้องนอนในดินสักพักก่อนจะเติบโตและขยายพันธุ์”


“ใช้ทำอะไรได้บ้าง” ไคลน์ซักถาม ทั้งกังวลและสงสัย


แฟรงค์ฉีกยิ้มกว้าง


“พวกเขาคือแบคทีเรียพันธุ์ผสม ช่วยให้วัวตัวผู้มีน้ำนม หากอาศัยเจ้านี่ พวกเราจะผลิตน้ำนมได้ในปริมาณที่สูงกว่าเดิม ผู้คนมากมายจะได้ดื่มนมคุณภาพดี”


เจ้าวัวที่น่าสงสาร… ใบหน้าไคลน์พลันกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อ


“แล้วสำเร็จไหม”


“ผลลัพธ์เป็นไปตามที่คิดไว้ แต่เกรงว่า พวกมันคงขยายพันธุ์ไม่ได้อีกแล้ว” แฟรงค์ขมวดคิ้ว


ขอให้ยมทูตเมตตาพวกมัน… ไคลน์สวดวิงวอนพร้อมกับเดินผ่านแฟรงค์·ลี มุ่งหน้าไปยังทางเข้าอาคารสีดำฝั่งตรงข้ามกับจัตุรัส


ระหว่างทาง มันเดินผ่านนีน่าและต้นหนอ็อตโตลอฟ ที่กำลังดื่มเหล้าข้างซากต้นเสาหิน


“เธอเคยคิดจะออกจากกลุ่มโจรสลัดในตอนที่อายุมากขึ้นไหม? มองหาผู้ชายมาเป็นสามีและลงหลักปักฐานกับเขา ฉันไม่เชื่อว่าจะมีใครอยากใช้ชีวิตกลางทะเลไปตลอด” อ็อตโตลอฟซักถามพลางถอดหมวก เผยให้เห็นผมหงอกแซม


พิจารณาจากดวงตาและน้ำเสียงของอีกฝ่าย ไคลน์สามารถเดาความนัยแฝงได้ว่า : หากเธอต้องการ ฉันเองก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจ


มิสเตอร์ต้นหน ด้วยอายุปูนนี้ คุณสามารถเป็นพ่อของนีน่าได้ด้วยซ้ำ น่าจะห่วงสุขภาพตัวเองก่อนนะ… ไคลน์ที่เดินผ่านและบังเอิญได้ยิน อดไม่ได้ที่จะรำพัน


นีน่ากระดกเครื่องดื่มพลางมองไปยังทิศทางหนึ่ง


“ไม่ นั่นไม่ใช่ชีวิตที่ฉันต้องการ…ก่อนจะเข้าร่วมกับพวกคุณ ฉันเคยลองลงหลักปักฐานที่ชายฝั่งตะวันออกของฟุซัคโดยไม่คิดจะหวนกลับมาเป็นโจรสลัดอีก แต่สุดท้ายก็ทนความเบื่อหน่ายไม่ไหว ทุกวันมีแต่งานตัดฟืนและยกของ แถมตอนกลางคืนก็ต้องอยู่แต่ในบ้าน ถูกห้ามมิให้ออกไปผับหรือล่าสัตว์ ชีวิตบัดซบเช่นนั้นดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าจะหยุดลง! และเหนือสิ่งอื่นใด ฉันต้องทนฟังเสียงนินทาอันน่ารังเกียจ ต้องทนใช้ชีวิตอยู่กับพวกน่าขยะแขยง ต้องคอยหวาดกลัวตำรวจทั้งที่อยากชกพวกมันให้หน้าแหก! การอยู่บนเรือดีกว่าเป็นไหน ๆ ถึงช่วงเวลาส่วนใหญ่จะน่าเบื่อ แต่ยังได้ท่องเที่ยวไปหลายที่ ได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น…หึหึ ถึงการฝึกเจ้าพวกนั้นให้เป็นโจรสลัดที่พอใช้ได้จะค่อนข้างน่าเบื่อไปสักนิด แต่ฉันก็บอกกับทุกคนเสมอว่า หากใครฝึกได้ดีที่สุดในแต่ละเดือน จะมีโอกาสค้างคืนที่ห้องของฉัน หลังจากนั้น ฉันจะเฝ้ามองพวกเขาเผยสีหน้าตื่นเต้นขณะค่อย ๆ ถูกทรมาน แน่นอน การค้างคืนกับการมีเพศสัมพันธ์นั้นไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของฉันในตอนนั้น”


สมกับเป็นโจรสลัดหญิง… ทุกคนย่อมมีความปรารถนาแตกต่างกัน… ไคลน์แสดงความเห็นอย่างเป็นกลาง ไม่ตีตราว่าความเชื่อของนีน่านั้นผิด


เราจะไม่ก้าวก่ายเส้นทางที่เธอเลือก แต่ถ้าได้เห็นพฤติกรรมต่ำทรามอย่างการฆ่าคนบริสุทธิ์หรือเผาบ้านปล้น ครั้งหน้าที่ได้พบกัน เราจะนำหัวของเธอไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินก้อนโต…


ทันใดนั้น มันหันไปยังมุมห้องตามจิตใต้สำนึก หากมองผิวเผิน เงามืดในจุดดังกล่าวจะไม่มีสิ่งผิดปรกติใด แต่ไคลน์กลับสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดา


‘ผู้ไร้เลือด’ ฮีธ·ดอยล์? กระทั่งในความฝันก็ยังเอาแต่ซ่อนตัวในมุมมืด? จากความรู้ด้านจิตวิทยาอันน้อยนิดของเรา นี่คือพฤติกรรมที่บ่งบอกว่า เขากำลังรู้สึกไม่ปลอดภัย… ไคลน์ครุ่นคิดพลางออกแรงผลักประตูสูงเกือบสิบเมตรบานใหม่


ท่ามกลางเสียงเสียดสี ดวงตาของมันพลันชะงัก


ด้านหลังประตูทางเข้าคือโถงใหญ่ที่มีแนวต้นเสาหินเรียงรายสองข้างทาง


ภายในโถงปราศจากเทียนไข ส่งผลให้บรรยากาศมืดสนิท แต่เมื่อประตูทางเข้าถูกเปิดออก แสงจากด้านนอกจึงส่องเข้าไป


บนกำแพงและหลังคาโดม ไคลน์พบจิตรกรรมฝาผนังหลากสีสัน โดยมากมักเป็นสีทอง ทั้งหมดเชื่อมติดกันโดยไม่เว้นช่องว่าง มอบความรู้สึกยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์จนเกินพรรณนา


ปึก! ปึก! ปึก!


คนผู้หนึ่งที่กำลังหันหลังให้ไคลน์ ใช้ขวานในมือสับใส่ไม้ท่อนใหญ่ จุดประสงค์ของการกระทำยังไม่แน่ชัด


บุคคลดังกล่าวสวมเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีดำ ไม่เหมือนกับโจรสลัดคนใดบนเรือ


นอกจากพวกเรา ทะเลแห่งนี้ยังมีคนอื่น? หรือจะเป็นเจ้าของดวงตาลึกลับที่แอบมองเราบนดาดฟ้าเรือ? ไคลน์พลันชะงักด้วยสีหน้าสับสน ก่อนจะบรรจงย่างกรายเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างเชื่องช้าและระมัดระวัง จนกระทั่งมองเห็นอย่างชัดเจน


อีกฝ่ายเป็นบุรุษหน้าตาดี ผมสีทองสั้นหวีแสกด้วยอัตราสามต่อเจ็ด ดวงตาสีเขียวขึงขังจริงจัง


“คุณกำลังทำอะไร แล้วที่นี่คือที่ไหน” ไคลน์ถามหลังจากใคร่ครวญ


อาศัยสัญชาตญาณ มันเชื่อว่าบุรุษผู้นี้ไม่ใช่เจ้าของดวงตาลึกลับบนเรือ


บุรุษผมทองยกมือขึ้นจับติ่งหู มอบคำตอบโดยไม่หันหน้ามอง


“ถามไปทำไม? เรือของฉันจมไปแล้ว ตอนนี้ต้องรีบสร้างเรือบดขึ้นมาใหม่ ไม่ว่างคุณกับนายหรอกนะ”


“…” ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนถามต่อ


“แล้วคุณเป็นใคร”


“ฉันเป็นใคร? ฉันคือแอนเดอร์สันผู้โชคร้าย นับตั้งแต่ได้เห็นจิตรกรรมฝาผนังนั่น ชีวิตของฉันก็ถูกสาปด้วยความซวยมาตลอด” บุรุษผมทองชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่ง


ไคลน์มองตามและพบกับภาพจิตรกรรมฝาผนัง


ภาพดังกล่าวเป็นทะเลเพลิงที่ตรงกลางแหวกออกจากกันจนดูคล้ายทางเดิน


บนทางเดินมีผู้คนจำนวนมากต่อแถวเรียงราย บ้างกำลังก้มศีรษะต่ำด้วยสีหน้าเปี่ยมศรัทธา บ้างกำลังคุกเข่าสวดวิงวอน จุดหมายปลายทางร่วมกันคือส่วนลึกของทะเลเพลิง


ผู้นำคณะแสวงบุญเป็นชายรูปร่างผอมสูง ผมสีเงินยาว ใบหน้าอ่อนโยน ดวงตาปิดสนิท บนแผ่นหลังมีปีกซ้อนกันหลายชั้น


นี่มัน… รูม่านตาไคลน์พลันหดลีบ


มันรู้จักผู้นำของคณะจาริกแสวงบุญในภาพ!


‘เทวทูตโชคชะตา’ จากคำบอกเล่าของเดอะซัน!


ผู้กลืนหาง โอโรโบรอส!


……………………


ราชันเร้นลับ 650 : แอนเดอร์สันผู้โชคร้าย

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากจำได้ว่าผู้นำของคณะจารึกแสวงบุญบนจิตรกรรมฝาผนังเป็นใคร สัญชาตญาณไคลน์พลันร้องเตือนว่า ภาพดังกล่าวอาจมาจาก ‘ส่วนหนึ่ง’ ของความฝันตน


แต่เพียงไม่นาน มันสลัดความคิดดังกล่าวทิ้ง เหตุเพราะไคลน์ไม่รู้จักแอนเดอร์สันผู้โชคร้าย และไม่เคยรู้จักใครที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ความฝันในปัจจุบันจึงไม่น่าจะมาจากส่วนที่เป็นของตน


อีกทั้ง แอนเดอร์สันระบุอย่างชัดเจนว่า มันถูกสาปให้โชคร้ายหลังจากได้เห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังดังกล่าว จึงมีความเป็นไปได้มาก ว่าภาพนี้คือส่วนหนึ่งของ ‘ความฝัน’ แอนเดอร์สัน!


เมื่อรวบรวมสมาธิกลับมาอีกครั้ง ไคลน์เริ่มตระหนักว่า ภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับทะเลเพลิง มีความแตกต่างจากภาพที่ ‘เดอะซัน’ เคยเห็นในซากวิหารของพระผู้สร้างแท้จริงหลายจุด


จุดแรก ฉากหลังของภาพวาดในโลกความฝันเป็นทะเลเพลิงสีทองอร่าม แต่ภาพที่เดอะซันเห็นเป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่า


จุดที่สอง ปลายทางของภาพวาดในความฝันคือส่วนลึกของทะเลเพลิง แต่ภาพที่เดอะซันเห็นมีปลายทางเป็นจุดสูงสุดของภูเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งมีกางเขนยักษ์และชายห้อยศีรษะถูกแขวนอยู่


จุดที่สาม เทวทูตโชคชะตา โอโรเลอุส ของที่นี่กำลังยืนบนโคลนดำโดยมีปลาจำนวนมากเรียงรายในสภาพหัวปักดิน แต่โอโรเลอุสที่เดอะซันเห็นกำลังยืนบนแม่น้ำคดเคี้ยว


เป็นคนละภาพโดยสิ้นเชิง อาจสื่อถึงคณะจารึกแสวงบุญในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน… ไคลน์พยักหน้ากับตัวเองพลางตั้งสมมติฐาน


ทันใดนั้น ฉากหนึ่งผุดขึ้นในความทรงจำ


เมื่อนานมาแล้ว ณ ช่วงเวลาหนึ่งในยุคสมัยที่สี่ โอโรเลอุสผู้กลืนหาง ได้นำเหล่านักแสวงบุญ หรือที่เรียกว่า สาวกกลุ่มสุดท้ายของพระผู้สร้างแท้จริง หลบหนีจากการไล่ล่าของศัตรูที่แข็งแกร่งมายังทะเลแถบนี้ด้วยเรือ


ด้วยสาเหตุบางอย่าง ‘ท่าน’ ตัดสินใจลงจากเรือ และอาศัยความช่วยเหลือจากพระผู้สร้างแท้จริงหรือไม่ก็พลังของตน แบ่งแย่งทะเลออกเป็นสองซีกและเดินนำหน้าคณะจาริกแสวงบุญผ่านไปยังดินแดนเทพทอดทิ้ง เพื่อรักษาเมล็ดพันธุ์สุดท้ายของกุหลาบไถ่บาปและชุมนุมแสงเหนือ


หลังจากนั้น ณ ดินแดนเทพทอดทิ้ง พวกมันเดินทางผ่านเขตรกร้างว่างเปล่าพร้อมกับสร้างวิหารไปตลอดทาง จนกระทั่งถูกทีมสำรวจของเดอะซันค้นพบในภายหลัง


เมื่อคำนึงถึงเรื่องที่วิล·อัสติน ‘อสรพิษปรอท’ ถูกใครบางคนบังคับให้ต้องเริ่มต้นวงจรชีวิตใหม่ในร่างทารก หมายความว่า โอโรเลอุสน่าจะยังมีชีวิตอยู่… หรือก็คือ เทวทูตโชคชะตาสามารถนำทางเหล่าสาวกกลุ่มสุดท้ายไปถึงแดนศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้สร้างแท้จริงสำเร็จ… หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ แดนศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้สร้างแท้จริงตั้งอยู่บนดินแดนเทพทอดทิ้ง… เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ ไคลน์พลันเกิดความวิตกจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก


หากการคาดเดาของเราถูกต้อง ไม่ว่าเมืองเงินพิสุทธิ์จะดิ้นรนเอาตัวรอดสักเพียงใด สืบทอดอารยธรรมไปอีกกี่รุ่น แต่ในที่สุดแล้ว เมื่อพระผู้สร้างแท้จริงลืมตาตื่น ชะตากรรมของพวกเขาทั้งหมดก็จะจบลงทันที!


ในวินาทีที่อาณาจักรเทพใกล้ชิดกับมนุษย์ ความอยู่รอดของมวลมนุษย์ก็จะไม่ถูกกำหนดโดยมนุษย์อีกต่อไป!


เฉกเช่นฟองน้ำที่ผุดขึ้นริมหาด หากวันใดมีคลื่นซัดสาด ฟองน้ำย่อมพลันอันตรธานหาย


ภายใต้การเฝ้ามองจากสายตาของเทพมาร ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออารยธรรมมนุษย์ ทุกสรรพสิ่งล้วนเปราะบางจนน่าสังเวช


ไม่สิ เราอาจมองโลกในแง่ร้ายเกินไป… การเริ่มต้นวงจรชีวิตใหม่ของวิล·อัสตินอาจมิได้เป็นเพราะถูกโอโรเลอุสบังคับ และพระผู้สร้างแท้จริงก็ยังไม่ใกล้คืนชีพ บางที ‘ท่าน’ คงกำลังถูกเจ็ดเทพจารีตผนึกไว้อย่างแน่นหนา…


หรือก็คือ เมืองเงินพิสุทธิ์ยังพอมีโอกาสรอด ก่อนที่เทพมารจะเป็นอิสระจากผนึกโดยสมบูรณ์ พวกเขาต้องหาเส้นทางอพยพออกมาจากดินแดนเทพทอดทิ้งให้ได้! นี่คงเป็นเหตุผลที่เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ตัดสินใจปล่อยตัวอาวุโส ‘คนเลี้ยงแกะ’ จากคุก เป็นกลยุทธ์ในการหยิบยืมพลังจากทุกฝ่าย… ไคลน์พยายามเค้นสมองวิเคราะห์


จากนั้น มันพลันกังวลว่า ตนอาจตกกำลังอยู่ใน ‘วังวนโชคชะตา’ ที่ ‘ผู้กลืนหาง’ สร้างขึ้น


สัญชาตญาณไคลน์รีบร้องเตือนให้ชายหนุ่มเดินถอยหลังทวนเข็มสี่ก้าวและส่งตัวเองเข้าสู่มิติสายหมอก เพื่อดึงความทรงจำที่อาจถูกลบล้างระหว่างวังวนกลับมา แต่สุดท้าย ไคลน์ยังคงตรึกตรองอย่างใจเย็น เพียงเพ่งสมาธิสังเกตรอบตัวอย่างสุขุม


หากมองตามหลักการตีความเชิงสัญลักษณ์ เมื่อภาพวาดปราศจากแม่น้ำคดเคี้ยว มีเพียงทางตรงที่เต็มไปด้วยโคลนดำและซากปลา หมายความว่า ภาพนี้มิได้สื่อถึงวังวนโชคชะตา หากแต่เป็นการเข้าไปพัวพันกับโชคร้าย!


ตรงตามคำพูดของแอนเดอร์สันทุกประการ!


ในฐานะราชาเทวทูต โอโรเลอุสต้องมีวังวนอื่นนอกเหนือจากโชคชะตาแน่ ยิ่งเมื่อเป็นคนละภาพวาด แถมยังอยู่ต่างวิหาร ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเลือกใช้พลังต่างกัน… และเหนือสิ่งอื่นใด ที่นี่คือโลกแห่งความฝัน!


ไม่เพียงเท่านั้น ถึงเราจะไม่ได้แก้ปัญหาในทันที ปล่อยให้เหตุการณ์ที่คุยกับพลเรือเอกดวงดาวเกิดขึ้นซ้ำไปมา แต่เมื่อวันจันทร์ถัดไปมาถึง ปัญหาทุกอย่างก็จะถูกคลี่คลาย เพราะถ้าสมาชิกชุมนุมทาโรต์พบว่าเดอะฟูลไม่ดึงตัวทุกคน คนอย่างมิสจัสติสจะเริ่มเอะใจและทำการสวดวิงวอนถึงเรา นั่นจะช่วยให้เราหลุดพ้นจากวังวนกระแสเวลาทันที…


มองตรงไปข้างหน้า ชายหนุ่มพบว่าห้องโถงมีลักษณะลึกจนมองไม่เห็นด้านในสุด ยิ่งลึกเข้าไปก็ยิ่งมืด มีเพียงแสงสว่างเล็ดลอดออกจากประตูที่ปิดสนิท ไม่มีใครทราบว่าหลังประตูมีสิ่งใดรออยู่


เมื่อได้เห็นความมืดและเงียบงันอันน่าขนลุกตรงหน้า ไคลน์ตัดสินใจลดขอบเขตการสำรวจลงจนถึงระดับต่ำสุด


เพียงโถงแรกก็ได้เจอจิตรกรรมฝาผนังของเทวทูตเข้าแล้ว เดาไม่ได้เลยว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากเราเดินสุ่มเข้าไปในห้องอื่นส่งเดช…


ความกลัวในสิ่งลึกลับ ถือเป็นความรู้สึกที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ เพราะถึงแม้นจะทราบว่าตรงหน้ามีอันตราย แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเป็นอันตรายจากสิ่งใด ความรู้สึกเช่นนี้นำมาซึ่งความหวาดผวาจากก้นบึ้ง ไคลน์กวาดตาสำรวจราวสองสามวินาที ก่อนจะตัดสินใจไม่เดินเข้าไป


ชายหนุ่มหันไปทางแอนเดอร์สันที่กำลังใช้ขวานสับต้นไม้ใหญ่


“…นายมาอยู่ในทะเลแห่งนี้ได้ยังไง”


แอนเดอร์สันเงยหน้าขึ้นพลางฉีกยิ้มเหยียดหยัน


“ฉันเป็นนักล่าสมบัติ… คิดว่านักล่าสมบัติมาทำอะไร”


นักล่าสมบัติ… ไคลน์ถามต่อด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง


“แถวนี้มีสมบัติ?”


แอนเดอร์สันที่กลับไปมีสมาธิกับการสร้างเรือบด ตอบกลับด้วยเสียงแผ่วลง


“ทะเลที่นี่เต็มไปด้วยขุมทรัพย์… ถ้านำออกไปได้แบบมีชีวิตล่ะนะ”


จริงเสียยิ่งกว่าจริง… แต่ปัญหาคือ ทะเลบัดซบนี่จะอันตรายอย่างมากหากคนสำรวจไม่ใช่ครึ่งเทพ แต่จะอันตรายยิ่งกว่า ถ้าคนสำรวจเป็นครึ่งเทพ… ไคลน์จ้องเข้าไปในประตูห้องโถงและถาม


“รู้ไหมว่าข้างในมีอะไร”


แอนเดอร์สันมองตามมือ


“ไม่รู้… พรรคพวกของฉันกว่าหนึ่งในสาม เข้าไปสำรวจข้างในและไม่กลับออกมาอีกเลย”


“หมายถึงโลกจริงหรือในความฝัน” ไคลน์ถามหลังจากใคร่ครวญ


ปึก!


เมื่อคมขวานสับกระแทก แอนเดอร์สันกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ต้องโลกความจริงอยู่แล้ว… นอกจากนั้น พรรคพวกอีกหนึ่งในสามได้ตั้งทีมสำรวจภายในดินแดนความฝัน แต่พวกเขาก็ไม่กลับมาเหมือนกัน”


“…” ไคลน์สูดลมหายใจยาวก่อนจะถาม


“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายบนโลกจริง?”


“กลายเป็นสัตว์ประหลาดและสังหารพวกพ้องไปหลายคน” แอนเดอร์สันยกขวานขึ้นสุดเหยียดและสับลงเต็มแรง


เปรี้ยง!


ท่ามกลางเสียงกังวาน ขวานหักออกเป็นสองส่วนและกระเด็นใส่ร่างกาย


น้ำพุโลหิตพลันพวยพุ่งออกจากหน้าอกและช่องท้องของแอนเดอร์สัน


มันรีบนำมือซ้ายกดปากแผล ก่อนจะเงยศีรษะขึ้นและมองไคลน์ด้วยรอยยิ้มจืดชืด


“เคยบอกไปแล้วใช่ไหม นับตั้งแต่ได้เห็นภาพวาดนั่น ชีวิตของฉันก็เต็มไปด้วยความโชคร้าย… แต่ยังดีที่เมื่อครู่ไม่ได้ซวยมาก อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ใบหน้าอันหล่อเหลาของฉันเสียโฉม”


เอามารวมอยู่ในประโยคเดียวกันได้ยังไง… ไคลน์จ้องแอนเดอร์สันผู้กำลังดึงเศษไม้ออกจากตัวเพื่อทำแผล หลังจากสำรวจสักพัก มันพบว่าอีกฝ่ายสุขุมจนน่าเหลือเชื่อ แถมยังทำแผลอย่างช่ำชองราวกับเป็นเหตุการณ์ปรกติ


ไคลน์สอดมือข้างหนึ่งเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วควงเหรียญพลางซักถาม


“ในตอนที่พรรคพวกเข้าไปสำรวจ นายอยู่กลุ่มวิเคราะห์ภาพจิตรกรรมฝาผนัง?”


แอนเดอร์สันที่ชะงักมือเล็กน้อย เก็บถุงยาเข้าไปในเข็มขัด ก่อนจะเช็ดปากและเล่าต่อ


“เปล่า… ฉันอยู่ในกลุ่มที่เข้าไปสำรวจ”


ขณะตอบ มันยกมุมปากขึ้นพร้อมกับเผยสีหน้าแสนอบอุ่น


อะไรนะ… รูม่านตาไคลน์พลันหดลีบ หลังงอลงเล็กน้อยพร้อมกับยกแขนซ้ายขึ้น


ทันใดนั้น แสงจ้าที่มีเพียงความขาวโพลน พลันโอบกอดทุกสรรพสิ่งรอบตัว ความฝันของไคลน์เลือนหายไปจนเหลือเพียงความว่างเปล่า


ชายหนุ่มลืมตาตื่นตามธรรมชาติ และพบว่าบรรยากาศรอบข้างกำลังสว่างคล้ายเที่ยงวัน


มันหยิบนาฬิกาพกสีทองออกมาเปิดฝาตรวจสอบ


ผ่านไปครึ่งชั่วโมง… กลางคืนที่นี่สั้นชะมัด…


มองจากภายนอก แอนเดอร์สันผู้โชคร้ายคนนั้นดูปรกติมาก… คิดไม่ถึงว่าจะน่ากลัวขนาดนี้!


หลังจากพลิกตัวลุกจากเตียง ไคลน์ฉุกคิดเรื่องสำคัญได้ นั่นก็คือ ‘อสรพิษแห่งชะตา’ วิล·อัสติน ยังไม่ได้มอบคำตอบกลับมา!


เป็นเพราะความฝันของทุกคนถูกดึงให้เข้าไปยังโลกแห่งนั้น วิล·อัสตินจึงระบุพิกัดที่แน่ชัดของเราไม่ได้? หรือว่าเขาสัมผัสถึงกลิ่นอายของโอโรเลอุสผู้กลืนหาง จึงไม่กล้าเสี่ยงเข้าใกล้? หรือทะเลละแวกนี้มีความผิดปรกติ? ถึงจุดนี้ ไคลน์ตัดสินใจไม่ฟันธง รอยืนยันด้วยตัวเองให้แน่ชัดในภายหลัง


วิธีตรวจสอบไม่ซับซ้อน แค่นอนหลับไปอีกครั้งขณะที่ยังเป็นช่วงเวลา ‘กลางวัน’


มันมิได้ใจร้อนสะกดจิตตัวเองนอนในทันที เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่า มีข้อห้ามนอนหลับระหว่างช่วงเวลากลางวันหรือไม่


ไคลน์ออกจากห้อง เดินไปยังห้องกัปตันและเคาะประตูด้วยนิ้ว


สิ้นเสียงสามครั้ง ชายหนุ่มชักมือกลับและยืนรออย่างอดทน


เพียงไม่นาน พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา เปิดประตู


ใบหน้าของเธอมิได้ล่องลอยเหมือนกับในความฝัน และกำลังสวมแว่นตาหนาเตอะอันเดิม


“นอนกลางวันได้ไหม” ไคลน์ถามห้วน


แคทลียาพยักหน้า


“ไม่มีปัญหา”


จากนั้น หญิงสาวเผยความลังเล


“ในความฝัน… ฉันเห็นคุณกระฉับกระเฉงมาก”


เมื่อคำนึงถึงอันตรายบนท้องทะเลแห่งนี้ ไคลน์เชื่อว่าตนคงเลี่ยงการเปิดเผยพลังพิเศษต่อหน้าหญิงสาวไม่ได้ จึงตัดสินใจชิงบอกให้ทราบก่อน


ชายหนุ่มจ้องตาแคทลียาพร้อมกับเผยรอยยิ้มอ่อนโยน


“ใช่… เป็นของขวัญจากพระองค์”


พระองค์… ดวงตาของแคทลียาที่พร่ามัวเมื่อมองผ่านแว่น เริ่มเผยอาการสั่นเทา


หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยซึ่งทำไม่บ่อยนัก ก่อนจะคลายออกในทันทีโดยมิได้ซักถามเพิ่มเติม


ไคลน์ใคร่ครวญนานหลายอึดใจจึงค่อยกล่าวเสริม


“ระวังฮีธ·ดอยล์ให้ดี”


แคทลียาเข้าใจความหมาย เธอตอบกลับอย่างเถรตรง


“ไม่ต้องห่วง เขาพกสมบัติวิเศษติดตัวตลอดเวลา ผลข้างเคียงของมันจะทำให้ได้ยินเสียงในระยะใกล้มากเท่านั้น”


ฉวยโอกาสจากผลข้างเคียงได้อย่างชาญฉลาด… ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงถอดหมวกคำนับและเดินกลับห้อง


มันทิ้งตัวลงนอน ตามด้วยการเข้าฌานสะกดจิตตัวเองให้หลับ


ท่ามกลางโลกความฝัน ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาพบกับดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า รวมไปถึงอาคารยอดแหลมสีดำที่คุ้นเคย


ฟู่ว… อย่างน้อยก็ยังติดต่อได้… ไคลน์ถอนหายใจยาวราวกับยกภูเขาออกจากอก ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในหอคอย ณ จุดเดิม มันได้พบกับไพ่ทาโรต์กระจัดกระจายพร้อมกับข้อความใหม่


“ที่นั่นเต็มไปด้วยอันตราย สิ่งที่อันตรายที่สุดคือโลกความฝันยามค่ำคืน… ไม่ได้สำคัญว่าเจ้าจะหายตัวไปหากไม่ได้นอนหลับในช่วงเวลาดังกล่าว แต่สิ่งที่ห้ามทำก็คือ… ห้ามเดินสำรวจดินแดนในความฝันโดยเด็ดขาด! ไม่ว่ายังไงก็ห้ามทำ!”


“น่าเสียดาย… พื้นที่ตรงนี้ไม่กว้างพอให้ฉันเขียนอธิบายเหตุผล…”


“ล้อเล่นน่ะ เหตุผลที่ห้ามสำรวจก็คือ บางส่วนในดินแดนดังกล่าว เป็นความฝันที่เทพบางตนเหลือทิ้งไว้”


……………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)