Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 647-648
ราชันเร้นลับ 647 : ทะเลซากปรักหักพัง
โดย
Ink Stone_Fantasy
แม้เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะไม่แสดงออก แต่คล้ายกับพลเรือเอกดวงดาว·แคทลียาอ่านความคิดออก จึงมอบคำอธิบาย
“มันคือการ ‘บิน’ ที่แจ้งมรณะหมดโอกาสไล่ตามทันโดยสิ้นเชิง”
ขณะกล่าว หญิงสาวพบว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์แต่งกายไม่เหมือนเมื่อวาน เปลี่ยนเป็นเสื้อเชิ้ตคอกลม แจ็คเก็ตสีน้ำตาล กางเกงขาบานสีขาว หมวกสีเข้ม ดูไม่เหมือนนักผจญภัย แต่คล้ายกับชนพื้นเมืองของบายัม ‘เมืองให้การให้’ มากกว่า
ตามคำบอกเล่าของนีน่า เมื่อคืน คลื่นลูกใหญ่ได้ชนกับเรือจนละอองน้ำสาดใส่เสื้อเกอร์มัน… เขามีเสื้อผ้าทางการแค่ชุดเดียวเองหรือ…
แคทลียาครุ่นคิดจนพบสาเหตุ
เธอไม่แปลกใจสักเท่าไร ตรงกันข้าม เธอมองว่าการพกเสื้อผ้าทางการแค่ชุดเดียว สอดคล้องกับอุปนิสัยของเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างมาก เพราะเงินที่เหลือคงหมดไปกับการซื้อสมบัติวิเศษ อาวุธวิเศษ และยันต์ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเอง
นี่คือสาเหตุที่แจ้งมรณะมิได้ไล่ตามมาสินะ… พวกมันโจมตีใส่เรือที่แล่นสวนกันด้วยความคึกคะนองเพียงอย่างเดียว มิได้เคียดแค้นจนต้องไล่ตามมาไกล… เข้าใจแล้ว หากเป็นพลเรือโจรสลัดมากประสบการณ์ โอกาสหลบหนีจากราชาโจรสลัดก็ยังพอมีอยู่…
ใกล้จะเข้าเขตแล้วหรือ… ชิ! เรายังย่อยโอสถผู้ไร้หน้าไม่เสร็จ…
แต่อย่างน้อย การสวมบทบาทเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ในเหตุการณ์เมื่อคืน ก็ช่วยให้ได้ผลตอบรับในเชิงบวก ลูกเรือตอบสนองอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง อีกสองสามวันก็คงย่อยโอสถเสร็จ และถึงจะเข้าสู่น่านน้ำอันตรายแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะได้พบนางเงือกทันที เรายังพอมีเวลา…
ไคลน์พยักหน้า เก็บงำความสงสัยอื่นไว้ในใจ เตรียมเดินผ่านพลเรือเอกดวงดาวเข้าไปหาอะไรกินรองท้อง
ถึงตรงนี้ ไคลน์เหลือบเห็นโจรสลัดคนหนึ่งกำลังวิ่งอุ้มปลาเกล็ดเงินตัวใหญ่ที่ดิ้นไปดินมา มุ่งหน้าตรงไปยังมุมหนึ่งของห้องอาหาร
บุคคลที่นั่งรออยู่ในจุดดังกล่าวคือชายผิวขาวซีดจนดูเหมือนโปร่งแสง ดั้งจมูกไม่สอดคล้องกับใบหน้า เป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้ช่วยกัปตันเรือแห่งอนาคตกาล ฮีธ·ดอยล์
ตุ้บ!
ปลาทะเลยาวเกือบหนึ่งเมตรถูกวางลงตรงหน้า ‘ผู้ไร้เลือด’
ฮีธ·ดอยล์เหยียดแขนสองข้าง จับหัวท้ายปลาที่กำลังดิ้น พลางโน้มตัวลงทีละนิดอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งเกล็ดปลาหากจากใบหน้าเพียงไม่กี่คืบ ประหนึ่งอีกฝ่ายเตรียมจุมพิตปลาอย่างอ่อนโยน
ทันใดนั้น ปลาเกล็ดเงินพลันแน่นิ่ง ชะงักการดิ้นรนโดยสมบูรณ์ ร่างกายทุกส่วนเริ่มละลายจนดูคล้ายเทียนไขถูกไฟเผา แปรสภาพกลายเป็นบ่อเลือดน่ารังเกียจ
ไม่กี่อึดใจถัดมา เลือดเนื้อกองดังกล่าวไหลเข้าไปในปากฮีธ·ดอยล์ พร้อมกับแผ่ปกคลุมชั้นผิวหนังและอวัยวะทุกส่วนของ ‘ผู้ไร้เลือด’
เมื่อเสร็จขั้นตอนอันน่าสะอิดสะเอียนที่คนปรกติยากจะฝืนใจมอง ปลาเกล็ดเงินตัวยาวกว่าหนึ่งเมตรได้อันตรายหายไปโดยไม่เหลือแม้แต่ก้างกระดูก ราวกับทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา ใบหน้าฮีธ·ดอยล์เริ่มกลับมามีชีวิตชีวา ผิวพรรณกระจ่างใส ริมฝีปากแดงสดดุจดังกลีบกุหลาบ
นักบวชกุหลาบ…
ไคลน์พ่นชื่อลำดับโอสถในใจ
แคทลียาที่ยืนข้างด้าน ใช้นิ้วดันใต้กรอบแว่นตาพลางอธิบาย
“บิชอปกุหลาบทุกคนล้วนต้องใช้เลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตมาเติมเต็มร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่อย่างนั้นจะใช้พลังพิเศษออกมาได้ไม่เต็มที่ วิธีนี้ยังใช้เพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บหลังการต่อสู้ได้ด้วย หากไม่ทำ พวกเขาจะเข้าสู่ภาวะคลุ้มคลั่ง”
มุมปากหญิงสาวยกขึ้นเล็กน้อย กล่าวเสริม
“พวกวิปลาสของชุมนุมแสงเหนือเข้าใจกันไปเองว่าต้องใช้เนื้อมนุษย์เท่านั้น แต่ความจริงแล้วสามารถใช้เลือดเนื้อของสัตว์อื่นทดแทนได้”
ดูเหมือนว่า ‘ผู้ไร้เลือด’ เจ้าของค่าหัวเจ็ดพันหกร้อยปอนด์จะโชคดีอย่างมาก ไม่เพียงกระโดดมาถึงลำดับ 6 ทันทีโดยปราศจากผลข้างเคียง แต่ยังโชคดีที่ได้เป็นลูกเรือของแคทลียา หากขาดปัญญาของหญิงสาวผู้ถูกความรู้ไล่ล่าช่วยนำทาง ต่อให้ฮีธ·ดอยล์ไม่ได้ยินเสียงกระซิบของพระผู้สร้างแท้จริง เขาก็จะเริ่มกินเนื้อมนุษย์ตามสัญชาตญาณ และลงเอยด้วยความวิปลาส…
เมื่อได้ทราบข้อมูลของเส้นทางคนเลี้ยงแกะมากขึ้น ไคลน์ก็ยิ่งมั่นใจว่าจากบรรดาทุกเส้นทางที่มันรู้จัก ไม่มีสายใดง่ายต่อการคลุ้มคลั่งหรือเป็นบ้ามากไปกว่าคนเลี้ยงแกะอีกแล้ว แม้แต่เส้นทางปีศาจที่ลำดับ 0 คือ ‘นรก’ ก็ยังเทียบไม่ติด
ไคลน์เบือนหน้าจากหญิงสาว เตรียมก้าวเข้าไปหาอะไรกิน แต่ทันใดนั้น เรือทั้งลำพลันเกิดภาวะหมุนเคว้งอย่างกะทันหัน
พร้อมกันนั้น ฉากนิมิตลางสังหรณ์รอบนาวาอนาคตกาลเริ่มผุดขึ้นในหัวไคลน์
ท่ามกลางท้องทะเลสีฟ้าคราม เรือใบลำใหญ่กำลังแล่นลงไปในหุบเหวลึก ดำดิ่งสู่ความมืดมิดอันเวิ้งว้างและไร้ก้นบึ้ง
ฉากตรงหน้าช่างงดงามและลุ้นระทึก ไคลน์อดสงสัยไม่ได้ว่านี่คือดาวเคราะห์ดวงเดียวกับที่ตนกำลังอาศัยอยู่จริงหรือ
ฟ้าว—!
อนาคตกาลกำลังร่วงหล่นโดยไม่มีสิ่งใดยับยั้ง
โครม! โครม! โครม!
โจรสลัดทุกคนในห้องอาหารกำลังบินว่อน หลายคนกระแทกเพดานสูง บรรดาขนมปังปิ้ง ขนมปังขาว เนย ครีม เบียร์ ปลาทอด และอาหารชนิดอื่น ๆ ต่างลอยละลิ่วปลิวในทิศทางอันยุ่งเหยิง บางส่วนร่วงหล่นลงพื้นโดยทำได้เพียงแค่มอง
ไคลน์เองก็เสียสมดุล ลอยขึ้นไปหาเพดาน
แต่ชายหนุ่มจัดระเบียบร่างกายได้ว่องไว รีบเหยียดแขนขึ้นฟ้าเพื่อรับการกระแทกจากแผ่นเพดาน ช่วยให้ตัวเองไม่ตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชมากนัก
ห่างออกไปไม่ไกล นีน่าแสดงสมดุลอันน่าทึ่งให้ได้ประจักษ์ อาศัยแรงสะท้อนจากเพดาน ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ แต่เธอใช้ปลายเท้าถีบใส่แฟรงค์ ส่งผู้เชี่ยวชาญบินออกไปในแนวเฉียง กระแทกถังเบียร์จนแตก ของเหลวสีเหลืองอ่อนสาดกระเซ็นจนร่างกายชุ่มฉ่ำ
ถึงตรงนี้ คนที่รับมือได้อย่างสมบูรณ์แบบและสง่างามมีเพียงพลเรือเอกดวงดาว แคทลียา หญิงสาวกำลังถูกรายล้อมด้วยดวงดาวพราวพราย ฝ่าเท้าลอยสูงจากพื้น มิได้รับผลกระทบใด จากความโกลาหล
ถ้าไม่นับเธอ ฮีธ·ดอยล์คือผู้ที่ประสบความน่าสมเพชน้อยที่สุด นักบวชกุหลาบเลือนหายไปในเงามืดโดยไม่มีใครพบเบาะแส
ขณะ ‘มอง’ อนาคตกาลกำลังดำดิ่งลงไปในหุบเหวแห่งความมืด ไคลน์เห็นกระแสน้ำพุปริศนาพุ่งสวนกลับขึ้นมาจากด้านล่าง
น้ำพุลึกลับดันท้องเรือจนลอยสูงขึ้นไปยังฟากอีกฝั่งของหุบเหวสีดำ
เมื่อเริ่มหายใจทั่วท้อง ไคลน์ยืนยันได้ว่าอนาคตกาลกำลังแล่นไปบน ‘ทะเล’ อย่างปลอดภัย เป็นอีกครั้งที่ยันต์เทพสมุทรในมือขวาไม่ถูกหยิบออกมาใช้งาน
ถึงตรงนี้ แสงแดดนอกหน้าต่างเริ่มสว่างจนแยงตา เผยให้เห็นสภาพอันยุ่งเหยิงของห้องอาหารภายในเรือ
ไคลน์ที่ทรงตัวได้รวดเร็ว รีบเดินไปยังหน้าต่างเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมด้านนอก ภาพแรกในการมองเห็นคือ มหาสมุทรสีทองอร่ามอันกว้างไกลไร้ขอบเขต เปรียบประหนึ่งทะเลเพลิงที่กำลังลุกโชน
สว่างยังกับเที่ยววัน!
แต่นี่เพิ่งจะตอนเช้า!
ไคลน์เงยหน้าขึ้น หรี่ตาลง จ้องแสงแดดอันอบอุ่นที่ปราศจากเมฆ ไม่มีดวงอาทิตย์
ท้องฟ้าด้านบนมีเพียงสีทองฉาบปกคลุม
กระจกวิเศษอาโรเดสถึงได้มอบนิยามเอาไว้ว่า ที่นี่มิใช่มหาสมุทรของจริง แต่เป็นมรดกตกค้างจากสงครามแห่งทวยเทพ…
กวาดตามองสักพัก ไคลน์เห็นซากปรักหักพังแห่งหนึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลในแนวเฉียง
ตัวอาคารส่วนใหญ่จมอยู่ใต้น้ำทะเล เหนือลานกว้างเต็มไปด้วยก้อนหินและต้นเสาสีเทาขนาดใหญ่ คอยค้ำจุนสิ่งที่น่าจะเคยเป็นโดมสูง
ซากปรักหักพังแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล ไคลน์จ้องลงไปและเห็นผ่านน้ำทะเลใส พบว่าบริเวณลานกว้างทอดยาวไปตามก้นทะเลจนมองไม่เห็นขอบเขตสิ้นสุด
“ทะเลในแถบนี้อันตรายมาก” พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา เดินมายืนข้างไคลน์ตอนไหนไม่มีใครทราบ
ไคลน์หมุนศีรษะเล็กน้อย จ้องอีกฝ่าย รอให้เธออธิบายเพิ่มเติม
แคทลียามองตรง ถอนหายใจแผ่ว พลางกล่าวเสียงเรียบ
“ฉันเคยมาที่นี่ไม่บ่อยครั้ง และครั้งสุดท้ายก็ผ่านมานานมากแล้ว”
เธอพูดว่า ‘ฉัน’ ไม่ใช่ ‘เรา’ … หมายความว่าไม่ได้มากับกลุ่มโจรสลัดดวงดาว…
เธอเคยที่นี่มากับราชินีเงื่อนงำ?
ไคลน์พบความผิดปรกติในคำบอกเล่า จึงเริ่มคาดเดาอย่างคลุมเครือ
แคทลียาเบือนหน้ามาทางชายหนุ่ม มิได้สนใจทัศนียภาพดุจดังทะเลเพลิงด้านนอก
“ไม่มีใครเคยเห็นขอบเขตของทะเลแห่งนี้ ไม่มีใครทราบว่าพวกมันกว้างใหญ่แค่ไหน เกอร์มัน คุณรู้ไหม สิ่งใดอันตรายที่สุดที่นี่”
เราน่าจะถามอาโรเดสให้ละเอียด…
ไคลน์ส่ายหน้าสุขุม
เนื่องจากเคยเผชิญหน้ากับครึ่งเทพซึ่งเป็นบริวารของพระผู้สร้างแท้จริง และเอาตัวรอดมาได้อย่างฉิวเฉียดด้วยพลังลูกเต๋าความน่าจะเป็น ไคลน์จึงไม่ติดต่อกับอาโรเดสเลยตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ด้วยเกรงว่า ตนอาจถูกบริวารพระผู้สร้างแท้จริงในพื้นที่แถบเกาะโอลาวีตรวจพบ
แผนเดิมของไคลน์คือ รอให้เข้าใกล้น่านน้ำอันตราย และอาศัยนกกระเรียนกระดาษปรึกษากับอสรพิษแห่งชะตา วิล·อัสติน ให้อีกฝ่ายช่วยประเมินสถานการณ์จากสภาพแวดล้อมใกล้เคียง
แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้เผชิญหน้ากับราชาอมตะกลางทาง อนาคตกาลจึงแล่นเข้าเขตน่านน้ำอันตรายก่อนกำหนด โดยไม่เปิดโอกาสให้เขียนข้อความถามถึงที่ปรึกษา
แคทลียาจ้องไคลน์ด้วยดวงตาสีม่วงเข้มซึ่งมีแว่นตาเลนส์หนาปกปิด
“น่านน้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยซากปรักหักพังและสัตว์ประหลาดจำนวนมาก รวมไปถึงครึ่งเทพที่คลุ้มคลั่งและสัตว์วิเศษโบราณ แต่นั่นยังไม่ใช่อันตรายสูงสุด เพราะหากมีเพียงอุปสรรคข้างต้น เจ็ดโบสถ์หลักคงส่งคนมาเก็บกวาดอย่างอิ่มหนำไปนานแล้ว ถึงที่นี่จะเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดและครึ่งเทพคลุ้มคลั่ง แต่ทั้งหมดก็ไม่ใช่ของจริง แน่นอน พวกมันฆ่าเราได้ แต่ถ้าเราฆ่ามัน ตะกอนพลังจะไม่ปรากฏ ไม่มีสิ่งใดให้เก็บเกี่ยว”
ได้ยินถึงตรงนี้ ไคลน์พลันนึกถึงพลังของ ‘มังกรจินตภาพ’ แอนเคอร์เวล
ทุกเรื่องที่มหาราชามังกรคิด จะถูกเปลี่ยนให้เป็นความจริงเสมอ!
หรือว่า… น่านน้ำแถบนี้ทั้งหมดคือซากอารยธรรมจากสงครามทวยเทพในยุคสมัยที่สอง?
ไคลน์เกือบขมวดคิ้ว
พลเรือเอกดวงดาวเล่าต่อ
“หากเป็นที่นี่ คุณมิอาจคาดเดาได้ว่าตัวเองกำลังจะเผชิญกับสิ่งใด บางที เพียงเฉียดใกล้ซากปรักหักพังสักแห่ง ร่างกายของคุณจะละลายกลายเป็นซากขี้ผึ้ง หรือหากเดินเรือผิดแม้เพียงเล็กน้อย ร่างกายคุณก็อาจแข็งทื่อเป็นก้อนหินท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำ และถูกสายลมพัดผ่านจนแตกกระจัดกระจาย สำหรับผู้วิเศษระดับเรา เหตุการณ์ข้างต้นคืออันตรายร้ายแรงที่สุด”
ไคลน์ซักถามอย่างสนใจ
“แล้วคนที่อยู่เหนือกว่าพวกเรา?”
แคทลียายิ้มพลางถอนหายใจ
“ทะเลแห่งนี้เต็มไปด้วยเสียงที่ไม่ควรได้ยิน ยิ่งมีลำดับสูง ยิ่งได้ยินง่าย เป็นสาเหตุให้ครึ่งเทพส่วนใหญ่เกิดความผิดปรกติขณะสำรวจ บางคนวิปลาส บางคนคลุ้มคลั่ง และถูกขังอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล”
เป็นสาเหตุที่เจ็ดโบสถ์หลักถึงไม่ส่งครึ่งเทพเข้ามาเก็บเกี่ยว… หืม… เธอพูดว่า ‘ส่วนใหญ่’ หมายความว่ามีครึ่งเทพจำนวนหนึ่งสามารถสำรวจและดำรงชีวิตที่นี่ได้?
ไคลน์ครุ่นคิดพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง
ถึงตรงนี้ ระยะห่างระหว่างอนาคตกาลและซากปรักหักพังตรงหน้า ลดลงจากเดิมมาก
ทันใดนั้น ทุกคนบนเรือพลันได้ยินเสียงหนึ่งอย่างกึกก้อง เป็นเสียงหายใจหอบของบางสิ่ง!
……………………
ราชันเร้นลับ 648 : กลางวันกลางคืน
โดย
Ink Stone_Fantasy
แฮ่ก! แฮ่ก!
เสียงหอบคำใหญ่บรรจงดังในโสตประสาทของไคลน์อย่างต่อเนื่อง แผ่นหลังเย็นวาบขึ้นมาอย่างกะทันหัน ร่างกายหนาวสั่นอย่างไร้เหตุผล แต่ถึงอย่างนั้น สัญชาตญาณต่างๆ กลับมิได้แจ้งเตือนถึงภัยอันตราย
ไม่ใช่แค่ไคลน์ แต่รวมถึงพลเรือเอกดวงดาว·แคทลียา ผู้เชี่ยวชาญพิษ·แฟรงค์·ลี และโจรสลัดคนอื่นต่างได้ยินเสียงหอบกันถ้วนหน้า
หลังจากจำแนกความแตกต่าง ไคลน์พบว่าเสียงหายใจที่คมชัดดังมาจากซากปรักหักพังด้านหน้าเรือ ต้นตออยู่ระหว่างสองยอดเสาหินที่ลอยเหนือน้ำทะเล
ในวินาทีนี้ ‘ผู้ไร้เลือด’ ฮีธ·ดอยล์ โผล่ออกจากเงามืดพร้อมกับใช้สองมือกุมหัว ลมหายใจสั่นกระเส่าด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“มีศพ… ตรงนั้นมีศพ!”
ศพ? เจ้าของเสียงหายใจหอบคือศพ?
สมองไคลน์พลันประมวลผลรวดเร็ว ทางด้านแคทลียารีบถอดแว่นตาหนาเตอะออกและหันไปมองทางซากปรักหักพัง สีหน้าหญิงสาวแปรเปลี่ยนจากดำมืดเป็นองอาจ ปากตะโกนออกคำสั่งกับโจรสลัดในห้องอาหาร
“เร็วเข้า! เร่งความเร็วอ้อมไป! อย่าเข้าไปใกล้เด็ดขาด!”
เสียงหญิงสาวดังกังวานประหนึ่งโลหะกระทบ ปลุกให้ทุกคนตื่นจากภวังค์แตกตื่น บรรดาลูกเรือต่างวิ่งออกจากห้องอาหารเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ภายใต้การนำของต้นหนอ็อตโตลอฟและสรั่งเรือนีน่า พวกมันรีบปรับใบเรือเพื่อเปลี่ยนเส้นทาง ส่งผลให้ลำเรือแล่นออกจากซากปรักหักพังไปไกลลิบ
จนกระทั่งยอดเสาหินที่ซ้อนทับกันเลือนหายไปจากสายตา ‘ผู้ไร้เลือด’ ฮีธ·ดอลย์ลดมือลงด้วยสีหน้าคลายความเจ็บปวด
ไคลน์หรี่ตาลงเมื่อเห็นภาพดังกล่าว เนื่องจากเริ่มตระหนักว่า ‘บิชอปกุหลาบ’ ผู้ช่วยกัปตันแห่งอนาคตกาล มีความเสี่ยงสูงมากในภารกิจการเดินทางครั้งนี้
ข้ออนุมานข้างต้นมิได้เกิดจากเหตุผลที่อีกฝ่ายอยู่บนเส้นทาง ‘ผู้วิงวอนความลับ’ เพียงอย่างเดียว แต่ยังประเมินจากสิ่งที่พลเรือเอกดวงดาวเคยอธิบายไว้ รวบไปถึงท่าทีที่ฮีธ·ดอยล์แสดงออก
ในจังหวะเมื่อครู่ ทุกคนได้ยินเสียงหายใจหอบดังกังวานเหมือนกันหมด แต่มีเพียงฮีธ·ดอยล์เท่านั้นที่แสดงสีหน้าเจ็บปวด แถมยังทราบทันทีด้วยว่า ภายในซากปรักหักพังมีศพอยู่ การรีบตอบสนองอย่างทันทีทันใดของแคทลียาถือเป็นเครื่องพิสูจน์เรื่องนี้ในทางอ้อม
กล่าวคือ แม้ฮีล·ดอยล์จะไม่เคยฟังเสียงเพรียกของ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ มาก่อน แต่ก็ยังมีพลังของ ‘ผู้สดับ’ ติดตัว จึงมีโสตประสาทรับรู้สภาพแวดล้อมได้มากกว่าคนธรรมดาและผู้วิเศษลำดับต่ำหรือกลาง ส่งผลให้เวลาที่ได้ยินเสียงหอบในระยะใกล้ อาการของมันจะยิ่งกำเริบหนัก แต่ขณะเดียวกันก็ได้ทราบข้อมูลที่คนอื่นไม่ทราบ
สรุปก็คือ หากเป็นที่นี่ การเอาแต่หลีกเลี่ยงซากปรักหักพังไม่ใช่การแก้ปัญหา เพราะพลเรือเอกดวงดาว แคทลียา เคยระบุว่า ท้องทะเลแถบนี้เต็มไปด้วยเสียงที่สามารถทำให้ครึ่งเทพคลุ้มคลั่ง เป็นเสียงที่ไม่ควรได้ฟังด้วยประการทั้งปวง หากเมื่อไรที่ฮีธ·ดอลย์อยู่ในสภาพไม่พร้อม การได้ยินเสียงดังกล่าวแม้เพียงผิวเผินก็อาจนำพาไปสู่จุดจบ
แม้ลำดับ 6 อย่างบิชอปกุหลาบจะมีพลังในการได้ยินต่ำกว่าครึ่งเทพ แต่ก็คงด้อยกว่าไม่มากนัก เปรียบกับลูกเต๋าความน่าจะเป็น หากทอยได้หนึ่งหรือสองแต้ม ฮีธ·ดอยคงคลุ้มคลั่งทันทีที่ได้ยินเสียงอันไม่ควรได้ยิน… เราต้องเตือนมาดามเฮอร์มิท ไม่ว่าจะเธอจะเตรียมตัวรับมือไว้ดีแค่ไหนก็ตาม…
ขณะไคลน์เบือนสายตากลับ มันกับได้ยินเสียงคำรามของกระเพาะอาหารตัวเอง
ชายหนุ่มยังไม่ได้กินมื้อเช้า
กวาดตาไปรอบตัว มันเห็นเบียร์เย็นสาดกระเซ็นนองเต็มพื้น เนยถูกย่ำจนเปื้อนเปรอะ อาหารนานาชนิดจำพวกขนมปังปิ้ง ปลาทอด และขาวปังขาว ต่างกระจัดกระจายเต็มพื้นหรือไม่ก็แปะติดข้างฝาจนสกปรกเลอะเทอะ
ถ้าลอกชั้นนอกออกก็น่าจะยังพอกินได้อยู่… ไคลน์มองไปยังขนมปังก้อนหนึ่งที่วางเอนพิงขาโต๊ะอาหาร ภายในใจเกิดความลังเลว่าตนควรทำเช่นไร
นิสัยเช่นนี้ขัดแย้งกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์!
ขณะมันตัดสินใจรอกินอาหารกลางวันทีเดียว พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา หันไปออกคำสั่งกับพ่อครัว
“ช่วยเตรียมอาหารเช้าชุดใหม่ให้กับคนที่ยังไม่ได้กินด้วย… สำหรับเศษอาหารเหล่านี้ บางทีแฟรงค์อาจมีวิธีจัดการ”
เอาไปเลี้ยงสัตว์ประหลาดน่ะสิไม่ว่า… ไคลน์รำพัน
จากนั้นไม่นาน มันได้กินอาหารเช้าที่มิได้หรูหราเหมือนหนก่อน เป็นไส้กรอกหมูรมควันกับขนมปังปิ้งสองชิ้นที่ปิ้งจนผิวนอกกรอบ รวมถึงเบียร์รสอ่อนหนึ่งแก้วที่ปราศจากยาระงับประสาท ซึ่งไคลน์มองว่าไม่ต่างอะไรจากน้ำเปล่า
เนื่องจากกำลังเล่นผ่านน่านน้ำอันตรายที่อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ทุกเมื่อ ไคลน์สำแดงฤทธิ์เดชของ ‘วิชากินไว’ ที่ฝึกมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย เพียงหนึ่งถึงสองนาทีก็จัดการอาหารเช้าจนราบคาบเกลี้ยงเกลา
เมื่อออกจากห้องอาหารโจรสลัดและกลับมายังดาดฟ้า มันเดินกึ่งย่อยอาหารกึ่งสำรวจสภาพแวดล้อมรอบลำเรือ
สำหรับปัจจุบัน ท้องทะเลยังคงถูกฉาบด้วยแสงอาทิตย์สีจางคล้ายยามเที่ยง
ไคลน์หยุดเดินและมองไปยังจุดห่างไกล จนกระทั่งพบจุดแสงแห่งหนึ่งซึ่งกำลังขยายขนาดขึ้น
ท่ามกลางแสงตะวันสาดทอ จุดแสงดังกล่าวสะท้อนกับสภาพแวดล้อมจนส่องประกายระยิบระยับและเต็มไปด้วยสีสันหลากหลาย ราวอัญมณีสีใสเม็ดใหญ่ก็มิปาน
ขณะอนาคตกาลกำลังแล่นไปด้านหน้า จุดแสงเริ่มเผยตัวตนที่แท้จริง
ในตอนแรก ประกายแสงแตกตัวและแยกห่างจากกัน ก่อนจะกลายเป็นเสาขนาดใหญ่จำนวนสี่ต้นที่สร้างจากเพชรบริสุทธิ์
ดูคล้ายกับหอคอยกลางทะเลในตำนาน สี่ต้นเสาทอดยาวลงไปใต้น้ำอย่างมั่นคงเพื่อรองรับเกาะลอยขนาดใหญ่ด้านบน
เหนือเกาะลอยดังกล่าว เม็ดดินมีสีดำสนิทปราศจากเศษเสี้ยวของความเขียว ลึกเข้าไปบนเกาะมีแสงสว่างที่เจิดจ้ายิ่งกว่าแสงตะวันยามเที่ยงรอบนอก
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องดังลอยออกจากเกาะ
เป็นเสียงอันหนักหน่วงปราศจากการยับยั้ง แต่ก็มิได้มอบความรู้คุกคามหรือทำให้จิตใจไคลน์เกิดความสั่นคลอน
เพียงไม่นาน ไคลน์เริ่มได้ยินเสียงเท้าม้าตะกุยพื้น ก่อนจะเห็นอาชาทองคำสองตัววิ่งออกจากเกาะลอย ด้านหลังม้าทั้งสองเป็นราชรถสีทองอร่ามซึ่งงดงามไม่ต่างกัน
ในวินาทีนี้ พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา ตะโกนด้วยเสียงที่ถูกขยายให้ทรงพลังขึ้น ใจความถูกถ่ายทอดไปยังทุกซอกมุมของอนาคตกาลอย่างถ้วนทั่วและรวดเร็ว
“ก้มศีรษะลง! ห้ามจ้องมอง!”
เมื่อเป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวกับชีวิต ไคลน์ไม่ใช่คนกล้าหาญอะไรนัก สัญชาตญาณสั่งให้ก้มศีรษะลงอย่างว่าง่าย ทัศนวิสัยปัจจุบันมีเพียงรองเท้าบูตหนังของตน
จากนั้นไม่นาน แสงแดดรอบดาดฟ้าเริ่มทวีความสว่าง ก่อนจะกลับไปเป็นแสงสีปรกติ
“ปลอดภัยแล้ว” แคทลียาส่งเสียงไปรอบลำเรืออีกครั้งโดยปราศจากความสั่นคลอนทางอารมณ์
ไคลน์เงยหน้าขึ้น และพบว่าม้าสีทองสองตัวกับราชรถอันงดงามถูกดึงหายกลับไปในเกาะลอย เหลือเพียงเสาเพชรที่ยังคงเด่นตระหง่านชูชันเกาะด้วยประกายแสงแพรวพราว
เป็นเพชรที่เม็ดใหญ่อะไรแบบนี้… เกาะลอยพิสดาร… จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่ก้มหัวลงและยังคงจ้องราชรถทองคำต่อ? ไคลน์กวาดตามองซ้ายขวาเล็กน้อยก่อนจะขมวดคิ้ว
โจรสลัดคนหนึ่งที่เคยยืนห่างจากมันราวเจ็ดถึงแปดเมตรเมื่อครู่ ยามนี้หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา เหลือไว้เพียง ‘รอยเท้า’ แวววาวสองข้างในจุดที่เคยยืน
เมื่อชำเลืองเห็นเศษขี้เถ้าที่ลอยอยู่ในอากาศ ไคลน์ทราบทันทีว่า จุดจบของตนจะเป็นเช่นไรหากมิได้ก้มศีรษะลง
โชคยังดีที่พลเรือเอกดวงดาวเคยมาเยือนแล้วสองสามหน เธอทราบว่าสิ่งใดต้องแก้ปัญหาด้วยการหลีกเลี่ยง และสิ่งใดต้องแก้ด้วยการหมอบกราบ หากเราขึ้นเรือของแฮงแมนแทน แม้นั่นจะเป็นเรือผีสิง แต่ก็คงไม่แคล้วถูกทำลายอย่างง่ายดาย… ไม่สิ เป็นเพราะอนาคตกาลมาถึงที่หมายเร็วกว่ากำหนดต่างหาก เราจึงไม่มีเวลาเตรียมตัวอย่างเหมาะสม เช่นการตั้งคำถามกับวิล·อัสติน เพราะนักมายากลต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ… อีกอย่าง ถ้าเราจ้างมิสเตอร์แฮงแมน ก็คงไม่ลืมซื้อข้อมูลที่จำเป็นมาจากมาดามเฮอร์มิทอยู่ดี… ไคลน์ถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะรวบรวมสติ
มันมิได้เสนอให้เข้าไปสำรวจเกาะลอยตัว เพียงปล่อยอนาคตกาลแล่นผ่านออกไป
ตลอดช่วงเวลาที่เหลือ ท้องทะเลแห่งนี้คล้ายกับเป็นโลกภายนอก มีเพียงคลื่นน้ำอันราบเรียบ กว้างไกล และไร้ขอบเขต
ไคลน์มองเห็นแสงไฟเป็นระยะ แต่ก็ไม่พบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตรอบลำเรือ ไม่มีแม้กระทั่งเผ่าพันธุ์นางเงือกที่เป็นเป้าหมาย
จากวินาทีกลายเป็นนาที ถึงเวลาของอาหารกลางวัน
ขณะไคลน์เตรียมเดินจากดาดฟ้าเข้ามาในห้องอาหาร มันพบว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวพลันแปรเปลี่ยนเป็นความมืด
ท้องฟ้ายามเที่ยงตรงเลือนหาย ถูกแทนที่ด้วยความดำสนิทโดยปราศจากเส้นแสง
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จนไคลน์เผลอคิดว่ามีใครแอบปิดไฟหรือไม่
ท่ามกลางความเงียบ ทุกซอกมุมของอนาคตกาลถูกครอบงำด้วยประกายดวงดาวหลายชั้น
เสียงคล้ายโลหะกระทบของแคทลียาดังกังวานในโสตประสาททุกคนอีกหน
“รีบกลับห้องของตัวเอง หามุมหลบและทำให้ตัวเองหลับ… จากนั้นก็รอให้ตื่นตามธรรมชาติ”
‘เจ้าแห่งพิษ’ แฟรงค์·ลี ซักถามด้วยเสียงสับสน
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่หลับ?”
เสียงโทนต่ำที่ค่อนข้างดังทำให้ภาพลักษณ์ของมันดูคล้ายหมีป่า
แคทลียาที่กำลังยืนด้านหลังกระจกห้องกัปตัน มอบคำตอบ
“เมื่อพวกเราตื่นขึ้น จะพบว่านายหายไปตลอดกาล”
กลางคืนที่นี่น่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียว? ไคลน์เริ่มสนใจ แต่ก็ไม่คิดฝ่าฝืนคำสั่งการนอน
เมื่อกลับถึงห้อง อาศัยแสงไฟภายในอนาคตกาลที่ยังไม่ดับสนิท ชายหนุ่มคลี่นกกระเรียนกระดาษพร้อมกับลงมือเขียนด้วยดินสอ
“ต้องระวังอันตรายใดบนน่านน้ำสุดเขตตะวันออกของทะเลโซเนียบ้าง แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะหานางเงือกพบ?”
ไคลน์เก็บดินสอและพับนกกระเรียนกระดาษกลับ โดยมิได้ถอดเสื้อโค้ท ชายหนุ่มเอนตัวนอนลงบนเตียง และหลับสนิทภายใต้อำนาจของการเข้าฌาน
ท่ามกลางโลกสีเทา มันสะดุ้งตื่นพร้อมกับกระจ่างว่าตนกำลังฝัน
ไม่มีคนบุกรุก… ไคลน์มองไปรอบตัวและพบว่าตนกำลังอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะด้านหลัง ซ้าย หรือขวา ทุกทิศรายล้อมด้วยอาคารทรงศาสนาสีดำทึบ ด้านหน้าเป็นต้นไม้สีเหลืองเหี่ยวเฉากับหินก้อนใหญ่ยกสูง
ในจุดเหนือก้อนหิน พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา กำลังนั่งตามลำพังโดยใช้มือวางชันบนเข่า เธอโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย สายตาเพ่งไปยังภูเขาฝั่งตรงข้าม
หญิงสาวยังคงสวมชุดคลุมสีดำทรงโบราณที่แฝงกลิ่นอายความลึกลับ สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังสับสนจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก
ณ ปัจจุบัน เธอไม่ขยับเขยื้อนร่างกายจนดูคล้ายรูปปั้นหิน
ทำไมหล่อนถึงอยู่ในความฝันของเรา? ไคลน์ก้าวไปข้างหน้า ออกแรงกระโดดขึ้นไปบนหิน
แต่ก่อนจะได้เปิดปากถาม ฉากอันกว้างใหญ่ตรงหน้าพลันสร้างความตกตะลึงให้ชายหนุ่ม คล้ายกับร่างกายและจิตใต้สำนึกถูกกระทบกระเทือนอย่างหนักหน่วง
ด้านหน้าของก้อนหินใหญ่คือผาไร้ก้น ฝั่งตรงข้ามเป็นภูเขาที่เต็มไปด้วยพระราชวัง ยอดแหลมของหอคอย และกำแพงเมืองสูงตระหง่าน
สิ่งปลูกสร้างทุกชนิดล้วนงดงามหรูหรา เรียงรายเป็นทิวแถว โดยทั้งหมดมีขนาดมหึมาจนดูไม่เหมือนกับถิ่นอาศัยของมนุษย์ เมื่อนำทุกปัจจัยประกอบเข้าด้วยกัน มันจะดูคล้ายกับสถาปัตยกรรมสุดมหัศจรรย์ตามตำนานปรัมปรา
ดวงอาทิตย์ลอยห่างออกไปไกล แผ่แสงหลากหลายระยิบระยับเหนือเมืองฝั่งตรงข้าม แสงทุกเส้นงดงามและสงบนิ่งคล้ายกับถูกแช่แข็งโดยสมบูรณ์
“นี่คือความฝันร่วมกันของเราทุกคน…” แคทลียายังคงนั่งในท่าชันเข่า พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงล่องลอยชวนฝัน
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น