Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 640-646
ราชันเร้นลับ 640 : โจรสลัดหญิง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไคลน์เองก็อยากทราบผลการดำน้ำลงไปสำรวจก้นทะเล จึงมิได้ซักถามต่อ เพียงเดินผ่านห้องกัปตันและลงบันไดไปยังชั้นล่าง
ผ่านไปสองสามก้าว ชายหนุ่มคันคอจนต้องไอกระแอมสองหนโดยใช้กำปั้นปิดปาก
สำหรับอาการป่วย มันไม่ประหลาดใจสักเท่าไร เพราะเมื่อคืนต้องพกขวดพิษชีวภาพไว้กับตัวนานเกินสองชั่วโมง ด้วยเกรงว่าพลเรือเอกดวงดาวและลูกเรืออาจคิดไม่ซื่อกับตน แต่หลังจากผ่านไปสักพักจนมั่นใจ ขวดพิษก็ถูกลำเลียงกลับมิติหมอก อย่างไรก็ตาม นั่นยังไม่เพียงพอจะให้รอดจากอาการป่วยกระเสาะกระแสะ
แต่เนื่องจากพกขวดพิษติดตัวไว้ไม่นาน ร่างกายจึงมิได้อ่อนแอลง อาการมีเพียงคันคอและไอกระแอม
ขณะเดียวกัน แคทลียาที่เดินตามหลังอย่างไม่รีบร้อนได้เห็นภาพดังกล่าวเข้าพอดี แต่เธอมิได้คิดว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องแปลก อยู่ในขอบเขตที่สามารถหาเหตุผลรองรับได้
เป็นที่ทราบกันดีว่า การพกพาสมบัติวิเศษจะมาพร้อมผลข้างเคียงเสมอ และเธอได้เห็นตัวอย่างจากเจ็ดโบสถ์หลักแล้วว่า ในบางกรณี หากพกพาติดตัวเป็นเวลานานเกินไป สมบัติวิเศษก็อาจส่งผลข้างเคียงร้ายแรงได้ไม่แพ้สิ่งที่เรียกว่าสมบัติปิดผนึก
นั่นยังเป็นเหตุผลที่แคทลียาตัดสินใจขายสมบัติวิเศษระดับกลางและต่ำไปจนหมด เธอต้องการเงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อสมบัติวิเศษทรงพลังจำนวนน้อยชิ้น มากกว่าพกพาสมบัติวิเศษระดับต่ำหลายชิ้น และอีกหนึ่งเหตุผลก็คือ หญิงสาวไม่ต้องการมัวกังวลกับผลข้างเคียงหลายชนิดให้ปวดหัว การมีเพียงน้อยชิ้นจะช่วยให้หลีกเลี่ยงได้ง่ายกว่า อีกทั้งยังไม่ต้องกังวลหายนะแบบลูกโซ่ ซึ่งอาจเกิดจากการซ้อนทับของผลข้างเคียงหลายประเภท สำหรับผู้วิเศษทั่วไป สิ่งเหล่านี้เป็นโทษมากกว่าประโยชน์
เมื่อวานเธอได้เห็นไปแล้วว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์พกพาสมบัติวิเศษเต็มอัตราศึกเพียงใด แถมยังมียันต์กับวัตถุวิเศษอีกจำนวนหนึ่ง แคทลียาจึงนึกสงสัยมาตลอดว่า ผลข้างเคียงแบบใดจะเกิดขึ้นกับร่างกายอีกฝ่ายบ้าง และปัจจุบันก็เริ่มเผยให้เห็นแล้ว
หลังจากย่างกรายออกมายังดาดฟ้าเรือ ไคลน์พบแฟรงค์·ลี อีกฝ่ายยังคงสวมเชิ้ตขาวและกางเกงยีนส์ติดสายรัดบ่า ชายแขนเสื้อถูกถกขึ้นสูงจนเผยให้เห็นท่อนแขนเปื้อนโคลน ราวกับไม่เกรงกลัวอากาศหนาวเย็นแม้แต่น้อย
“อรุณสวัสดิ์ เกอร์มัน” แฟรงค์โบกมืออย่างกระตือรือร้น “เข้ามาสิ! ฉันจะให้นายดูผลงานชิ้นโบแดงชนิดล่าสุด! มันจะต้องได้รับความนิยมในทะเลอย่างแน่นอน!”
แฟรงค์กล่าวพลางชูมือข้างหนึ่ง บนฝ่ามือมีปลาทะเลตัวใหญ่และหนาซึ่งไม่ทราบสายพันธุ์
ไม่มีทาง… ฉันไม่อยากรู้สักนิด ว่านายกำลังจะสร้างสัตว์ประหลาดแบบไหนออกมาอีก…
ไคลน์ชะงักฝีเท้า จ้องมองด้วยสายตาเย็นชา
แฟรงค์·ลีมิได้มองว่าท่าทีตอบสนองเช่นนี้เป็นเรื่องผิด เพียงหยิบมีดสั้นออกจากเอวและแทงเข้าไปในตัวปลา ก่อนจะตวัดมือกรีดเป็นทางยาว
เลือดสดพุ่งกระฉูด ส่วนหนึ่งตกลงไปในแก้วเบียร์ใบใหญ่บนพื้นดาดฟ้า แต่กลับมิได้ส่งกลิ่นคาวปลาออกมาอย่างที่ควร
“ได้กลิ่นไหม? กลิ่นอันแสนเย้ายวนยังไงล่ะ!” แฟรงค์·ลีหลับตาลงหนึ่งข้าง กล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี “นี่คือปลาที่มีเลือดเป็นไวน์แดง! แถมยังเป็นไวน์ที่อุดมไปด้วยสารอาหาร!”
ไคลน์ถึงกับหมดคำพูด
แฟรงค์มองไปยังลูกเรือรอบตัวอย่างตื่นเต้น จากนั้นก็กล่าวกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์
“คุณรู้ไหมว่าเรื่องใดสร้างความรำคาญใจมากที่สุดในทะเล? ถูกต้อง นั่นคือการที่แอลกอฮอล์หมดก่อนเรือจะแล่นถึงฝั่ง! แต่ถ้าปลาตัวนี้ขยายพันธุ์จนเต็มท้องทะเลเมื่อไร ไม่ว่าพวกเราจะเดินทางไปที่ใดก็ไม่มีวันขาดเหล้า! แต่รสชาติต้องหลากหลาย แลงติร้อนแรงบ้าง เนโพสบ้าง ไวน์แดงบ้าง เบียร์บ้าง แต่ถ้าเบียร์ต้องเป็นวาฬกับฉลาม ไม่อย่างนั้นจะไม่พอกิน!”
ไม่ใช่ว่า ปัญหาใหญ่บนเรือคือการขาดแคลนน้ำดื่มหรอกหรือ? นั่นสินะ พวกนายคงซัดเหล้ากันต่างน้ำ เพราะย่อยได้ง่ายกว่ามาก…
เฮ่อ… เจ้าปลาผู้น่าสงสาร…
ขณะไคลน์กำลังไตร่ตรองว่าตนควรตอบสนองแฟรงค์อย่างไร พลเรือเอกดวงดาวเดินเข้ามาใกล้พลางซักถามรองกัปตันเรือ
“นีน่าพร้อมหรือยัง”
“พร้อมครับ เธอดื่มเนโพสไปแล้วหนึ่งขวด” แฟรงค์ชี้ไปทางเงามืดที่เกิดจากใบเรือ
เตรียมพร้อมด้วยการดื่มเนโพสซึ่งมีรสชาติคล้ายลำคอถูกแผดเผาเข้าไปหนึ่งขวด?
ไคลน์เชื่อว่า สตรีนามนีน่าจะต้องมีสายเลือดฟุซัคอย่างแน่นอน
“กัปตัน แต่ฉันอยากกินไวน์เลือดโซเนียมากกว่า!” ภายในเงามืด ร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งเดินออกมาอย่างใจเย็น
ส่วนสูงเกินกว่า 1.8 เมตร เส้นผมสีทองถูกมัดรวบสูงเป็นทรงหางม้า ใบหน้าไม่โดดเด่น แต่ก็แฝงเอกลักษณ์ของชาวฟุซัค ผิวพรรณขาวเนียนและดวงตาสีอ่อน
สตรีนามนีน่าสวมชุดรัดรูปสีดำสนิทที่ทำจากเกล็ดปลา ท่อนล่างและบนเชื่อมติดกันเป็นเนื้อเดียว ช่วยส่งเสริมทรวดทรงอันเซ็กซี่
และเนื่องจากขนาดหน้าอกที่ใหญ่เกินมาตรฐานไปพอสมควร สายตาของโจรสลัดโดยรอบจึงไม่มองไปทางอื่น
ไคลน์ค่อนข้างกระอักกระอ่วน ในใจต้องการเบือนหน้าหนี แต่เมื่อพิจารณาว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์มิใช่ไก่อ่อนไร้เดียงสา จึงทำเพียงลดประกายในดวงตาลง และเงยขึ้นไปจ้องใบหน้าหญิงสาวอย่างไร้อารมณ์
“เกอร์มัน ทางนี้คือนีน่า หนึ่งในสรั่งเรือของพวกเรา เป็นรองหัวหน้าสรั่งเรือ ลำดับปัจจุบันของเธอคือ ‘นักเดินเรือ’ ” แฟรงค์·ลียังคงแนะนำตัวพวกพ้องแบบไม่หวงแหนข้อมูล
หากไม่นับการผสมข้ามสายพันธุ์ที่ขาดจิตสำนึก ‘ผู้เชี่ยวชาญพิษ’ คนนี้นับว่าใสซื่ออย่างมาก… จำได้แล้ว สตรีนามว่านีน่าเป็นเจ้าของค่าหัวสามพันหกร้อยปอนด์ ฉายาคือ ‘นักฆ่าก้นทะเล’ เฮ่อ… ใบประกาศจับมีมากเกินไป หลายครั้งก็จำไม่ได้ในทันที…
ไคลน์จ้องตานีน่า กล่าวเรียบง่าย
“อรุณสวัสดิ์ มาดาม”
นีน่ายิ้ม สำรวจไคลน์หัวจรดเท้า
“อรุณสวัสดิ์ มิสเตอร์สแปร์โรว์ ฉันสงสัยมานานแล้ว พลเรือโทโรคภัยงดงามและทรงเสน่ห์ตามข่าวลือจริงหรือไม่”
ในฐานะที่เป็นโจรสลัดจากครอบครัวชนชั้นกลางค่อนไปทางล่าง เธอไม่แบ่งแยกชายหญิง ปราศจากความเขินอายที่จะสนทนากับเพศชาย
หลังจากเห็นท่าทีตอบสนองเมื่อครู่ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ นีน่าต้องการถามกับอีกฝ่ายว่า ตนยังเซ็กซี่ไม่มากพอ หรือเพราะเขาเป็นคนตายด้านกันแน่ จึงเมินกันเฉยโดยสมบูรณ์เช่นนี้
แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างละเอียดและตระหนักว่า บุรุษตรงหน้าคือบุคคลทรงพลังที่เกือบ ‘ล่า’ พลเรือโทโรคภัยสำเร็จ และยังเป็นคนที่ชักปืนยิงใส่ศัตรูได้อย่างเลือดเย็น นีน่าตัดสินใจกลืนคำถามข้างตนลงคอ เลือกเบี่ยงประเด็นไปถามเกี่ยวกับพลเรือโทโรคภัยแทน
ควรตอบยังไงดี…
ไคลน์ครุ่นคิด ก่อนจะมอบคำตอบเสียงแผ่ว
“ค่าหัวของหล่อนมีเสน่ห์มาก”
นีน่าผงะไปหลายวินาที ไม่ทราบว่าตนควรตอบสนองเช่นไร ก่อนจะหันไปถามกับพลเรือเอกดวงดาว
“กัปตัน เริ่มเลยไหม”
แคทลียาซึ่งกำลังนึกทบทวนค่าหัวตัวเอง มอบคำตอบหน้านิ่ง
“เริ่มได้”
เมื่อสิ้นเสียง นีน่าสับเท้าวิ่งไปทางกราบเรือ กระโดดพุ่งหลาวลงไป เกิดเสียงดังคล้ายกับปลาตัวใหญ่ถูกโยนลงน้ำ
นอกจากนั้นยังมีเสียงกระโดดน้ำดังตามมาอีกสองสามครั้ง เป็นลูกเรือคนอื่นที่ดำลงไปคอยช่วยสนับสนุนนีน่า
หืม… บอกให้เริ่มก็เริ่มทันทีโดยไม่ลีลา… นิสัยเหมือนกับพวกโบสถ์วายุสลาตัน สมแล้วที่เป็นเส้นทางนักเดินเรือ…
ไคลน์มองออกไปนอกลำเรือ ปิดปากกระแอมสองสามหน
“ป่วยหรือ?” แฟรงค์·ลีซักถามซื่อตรง
ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบาจนยากสังเกตเห็น
“นิดหน่อย”
แฟรงค์ก้มหน้าใคร่ครวญสักพัก ไม่พูดพร่ำ รีบเดินดุ่ยกลับเข้าเขตห้องพัก ไม่มีใครทราบว่าปลายทางคือที่ใด
ถัดไปไม่ไกล พลเรือเอกดวงดาว·แคทลียา ขยับแว่นตาเลนส์หนาพลางเผยรอยยิ้ม
“แฟรงค์อาจได้ชื่อว่าผู้เชี่ยวชาญพิษ แต่เขาก็เป็นหมอที่เก่งมากเช่นกัน”
สมแล้วที่เป็นเส้นทาง ‘นักเพาะปลูก’ …
ไคลน์ไม่ถามต่อ ยืนรอผลการสำรวจของนีน่าอย่างคาดหวัง
เมื่อแคทลียาเห็นภาพดังกล่าว เธอเองก็พลอยเงียบตาม เกิดเป็นบรรยากาศแปลกประหลาดชวนให้อึดอัด จึงตัดสินใจเดินเข้ามาใกล้ไคลน์และเล่าอย่างเป็นกันเอง
“อีกแค่วันเดียว พวกเราก็จะพ้นจากเส้นทางล่าวาฬขาวแล้ว”
“…น่านน้ำสำหรับล่าวาฬต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ในการแล่นให้พ้นไม่ใช่หรือ”
ไคลน์ผุดคำถามหลังจากนึกทบทวนข้อมูล
“นั่นคือกรณีที่แล่นไปบนเส้นทางล่าวาฬตามปรกติ จะเป็นการอ้อมขึ้นเหนือเล็กน้อย แต่ฉันรู้ทางลัดที่ช่วยให้ไปถึงเป้าหมายของคุณได้ภายในสองสามวัน” แคทลียาใช้ดวงตาสีม่วงมองลอดเลนส์หนา จ้องเข้าไปในตาไคลน์ หวังหยั่งเชิงว่าอีกฝ่ายมีข้อมูลของน่านน้ำอันตรายมากน้อยเพียงใด
ไคลน์ใคร่ครวญ ตอบห้วน
“เยี่ยมมาก ตรงตามที่ผมต้องการ จากข้อมูลในมือผม เขตดังกล่าวจะดูเหมือนกับภาพมายามากกว่าของจริง”
แคทลียามองกลับไปยังทางเข้าห้องพัก
แฟรงค์·ลีเดินกลับออกมา ในมือถือแอปเปิลเขียวหนึ่งผล
“นี่คืออีกหนึ่งความสำเร็จของผม การผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างยาและผลไม้ ช่วยให้การกินยาเพลิดเพลินมากยิ่งขึ้น!” มันฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับยื่นแอปเปิลเขียวให้ไคลน์
ฉันเกรงว่า หากกินเจ้านี่เข้าไป อาการป่วยอาจเลวร้ายยิ่งกว่าเก่า…
ไคลน์ชำเลืองแคทลียาด้วยหางตา เมื่อเห็นหญิงสาวพยักหน้ายืนยัน จึงรวบรวมความกล้าเพื่อกัดผลแอปเปิลหนึ่งคำใหญ่
รสชาติคล้ายแอปเปิลปรกติ แต่มีความชุ่มฉ่ำมากกว่า และเนื้อนุ่มกว่า…
กัดไปอีกสองสามคำ ไคลน์พบว่าอาการคันคอของตนหายเป็นปลิดทิ้งอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่รู้สึกอยากไอกระแอมอีกต่อไป
คงต้องยอมรับว่า มหัศจรรย์มาก… ตราบใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับสัตว์และมนุษย์ พรสวรรค์ของแฟรงค์·ลีเข้าขั้นอัจฉริยะที่หาตัวจับยาก สามารถเป็นบุคคลสำคัญของโบสถ์พระแม่ธรณีได้สบาย..
น่าเสียดาย เขาถูกฟ้ากำหนดให้เป็นปีศาจ…
ไคลน์มองหน้าผู้เชี่ยวชาญพิษ แฟรงค์·ลี พลางกล่าวห้วน
“หายสนิทแล้ว”
“ดีใจด้วย” แฟรงค์ไม่กล่าวชมตัวเอง เพียงใช้เวลาว่างตรงนี้ กล่าวแนะนำโจรสลัดคนอื่นให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์รู้จัก
ผ่านไปสักพัก นีน่าและกลุ่มของเธอว่ายขึ้นมาบนผิวน้ำ ปืนขึ้นเรือและเดินมาทางกัปตัน
ในมือของเธอกำลังถือแผ่นโลหะสีดำขึ้นสนิม เต็มไปด้วยช่องว่างผุพังคล้ายรวงผึ้ง ไม่มีใครทราบว่ามันเคยเป็นอะไรมาก่อน
นีน่ายื่นสิ่งที่ตนค้นพบให้พลเรือเอกดวงดาว
“กัปตัน บ่อน้ำขนาดมหึมาไม่มีอยู่จริง! บ่อนั่นเล็กกว่ารอบอกของฉันเสียอีก! แต่มันค่อนข้างลึกและมืดมาก ไม่แน่ใจว่าข้างล่างซ่อนอะไรไว้”
เธอแสดงภาษากายประกอบ
“เรื่องเล่าเกินจริงเป็นของคู่กับโจรสลัดและนักผจญภัยอยู่แล้ว” แคทลียาพยักหน้า จงใจไม่เลือกใช้คำว่า ‘โอ้อวด’
เส้นรอบวงเล็กแค่นี้เองหรือ…
ไคลน์จ้องหน้าอกนีน่าพลางจินตนาการขนาดของบ่อน้ำ ก่อนจะเบือนสายตาออกจากร่างกายที่ชุ่มน้ำทะเลอย่างสุภาพ
แคทลียามีท่าทีตอบสนองคล้ายกัน เพียงแต่เธอเงยหน้าถามอีกฝ่าย
“เล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อย”
……………………
ราชันเร้นลับ 641 : ปากบ่อที่แคบจนมนุษย์ผ่านไม่ได้
โดย
Ink Stone_Fantasy
นีน่าคือโจรสลัดที่ค่อยๆ ไต่ลำดับมาจากตำแหน่งล่าง อาจไม่ใช่ตลอดเวลา แต่ส่วนมากมักถูกอารมณ์เกรี้ยวกราดและหุนหันครอบงำ
อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์อันมากมายได้หล่อหลอมให้เธอเป็นคนจริงจังกับหน้าที่ หลังจากนึกทบทวนสักพัก นีน่ามอบคำตอบ
“บ่อน้ำดังกล่าวตั้งอยู่บนก้นทะเล กว่าฉันจะดำไปถึงตรงนั้น ต้องผ่านการปรับสภาพร่างกายเป็นเวลานาน การค้นหาบ่อน้ำไม่ใช่เรื่องง่าย ที่นั่นเต็มไปด้วยซากอาคารที่สร้างจากเหล็ก ต้องรอให้ร่างกายปรับตัวสักพักจึงจะเห็นบ่อน้ำเป้าหมาย ซากอาคารโลหะถูกทำลายไปมากจนยากจะจินตนาการสภาพเดิม แต่จากการประเมินด้วยสายตา ฉันเชื่อว่ามันต้องเคยเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่มากมาก่อน”
กล่าวจบ นีน่าหัวเราะในลำคอ สายตากวาดมองเหล่าบุรุษรอบตัว
สมกับที่เป็นโจรสลัดหญิงตัวจริง…
ไคลน์ถอนหายใจ
ตามมุมมองของมัน ไม่ว่าจะเป็นพลเรือเอกดวงดาว·แคทลียา พลเรือโทธารน้ำแข็ง·เอ็ดวิน่า หรือพลเรือโทโรคภัย·เทรซี่ พวกหล่อนไม่ใช่โจรสลัดหญิงที่แท้จริง เนื่องจากทุกคนล้วนมีองค์กรลับหรือทางการคอยหนุนหลัง ขณะยังเป็นเพียงลำดับต่ำคงไม่ต้องออกทะเลด้วยตัวเอง หรือถ้าต้องออกทะเล ก็จะเป็นการติดตามรับใช้คนใหญ่คนโตอย่างใกล้ชิด นับเป็นเส้นทางชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แทบไม่เคยถูกบรรยากาศของโจรสลัดระดับต่ำหรือกลางหล่อหลอม
ขณะนีน่ากำลังหัวเราะ แคทลียาชี้ไปยังแท่งเหล็กขึ้นสนิมในมืออีกฝ่าย
“นี่คือชิ้นส่วนซากอาคารโลหะ?”
“ใช่แล้ว กัปตัน คุณคงทราบดีว่าฉันไม่มีความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับหรือประวัติศาสตร์สักเท่าไร จึงต้องนำชิ้นส่วนกลับขึ้นมาให้คุณศึกษา ของแบบนี้ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการเท่านั้น”
นีน่ายิ้มพลางส่งแท่งโลหะให้อีกฝ่าย
จากนั้น เธอชี้ไปยังคราบโคลนสีดำสนิทในมืออีกข้าง เป็นก้อนโคลนซึ่งยุบตัวจนคล้ายรวงผึ้ง
“ไม่ห่างจากซากอาคารโลหะมากนัก ฉันพบบ่อน้ำหนึ่งแห่ง ขนาดของมันมิได้ใหญ่มโหฬาร หรือถ้านี่เรียกว่ามโหฬาร ฉันคงเคยเห็นปืนใหญ่มโหฬารมาแล้วนับไม่ถ้วน พวกนักผจญภัยนั่นขี้โม้ยิ่งกว่าโจรสลัดอย่างเราเสียอีก! คราบโคลนเหล่านี้เกาะติดอยู่กับขอบบ่อน้ำ ฉันไม่กล้าจินตนาการว่าพวกมันคือคราบของอะไรกันแน่…”
นีน่าใช้นิ้วทะลวงเข้าไปในส่วนที่เป็นรังผึ้งของโคลนและควักคราบดินสีดำออกมา
ในตอนแรก ไคลน์คิดว่านั่นคงเป็นคราบของบางสิ่งคล้ายเขม่าดินปืน แต่หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบ มันพบว่าสิ่งนี้อาจเป็น ‘ลวดลาย’ ที่หลงเหลือจากการเน่าเปื่อยของบางสิ่ง เนื่องจากมีบางจุดมีความหนาไม่เท่ากัน อีกทั้ง บริเวณขอบลวดลายก็ยังกระจายตัวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
นีน่ายื่นโคลนสีดำให้พลเรือเอกดวงดาว ก่อนจะเริ่มอธิบายสิ่งที่เห็นต่อ :
“ปากบ่อคับแคบมาก แม้แต่เด็กจากนาสก็ไม่น่าจะลอดผ่านไปได้ ก้นบ่อมืดมากจนฉันคาดเดาความลึกไม่ถูก มอบความรู้สึกคล้ายกับไม่มีจุดจบ แถมยังส่งเสียงเรียกหาอย่างเชื่องช้า… ใช่แล้ว เชื่องช้า เมื่อฉันพบก้อนหินใกล้กับบ่อ จึงลองโยนลงไปทดสอบ แต่กลับไม่มีการตอบสนองใดกลับมา ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ มันคือบ่อที่เต็มไปด้วยน้ำทะเล”
แคทลียาใช้ดวงตาสีม่วงเข้มสำรวจผ่านเลนส์ ยืนพิจารณาแท่งเหล็กและโคลนสีดำอย่างถี่ถ้วน
“ในเมื่อปากบ่อแคบจนมนุษย์ผ่านไม่ได้ พวกเรายังไม่ควรรีบร้อนสำรวจตอนนี้ เพราะนั่นอาจนำมาซึ่งอันตรายที่คาดไม่ถึง ไว้ฉันพบความลับจากเบาะแสสองชิ้นนี้และยืนยันว่าบ่อน้ำไม่เป็นอันตราย พวกเราค่อยกลับมาสำรวจวันหลัง”
“ค่ะ! กัปตัน!” ด้วยร่างกายเปียกชุ่ม นีน่าต้องยืนสั่นเทาใต้ลมหนาวอย่างมิอาจเลี่ยง โจรสลัดหนุ่มกลัดมันรอบตัวต่างเหล่มองตาเป็นมัน
แคทลียาใช้ปลายนิ้วดันส่วนล่างของกรอบแว่น ก่อนจะกล่าวกับนีน่า :
“วันนี้คุณสามารถดื่มไวน์เลือดโซเนียได้อีกหนึ่งขวด หรือจะเป็นชนิดอื่นก็ได้”
“กัปตันจงเจริญ!” นีน่าสรรเสริญอย่างยินดี
บ่อน้ำโบราณบนก้นทะเลที่มนุษย์ไม่สามารถลอดผ่านได้…
ไคลน์ ผู้มิได้คิดจะลงไปสำรวจด้วยตัวเอง สรุปข้อมูลอย่างคร่าวตามสิ่งที่นีน่าเล่า
ทันใดนั้น มันผุดแนวคิดสุดล้ำลึก
มนุษย์อาจลงไปสำรวจบ่อน้ำไม่ได้ แต่สิ่งมีชีวิตประเภทอื่นอาจทำได้!
ปลาทะเลส่วนมากมีขนาดไม่ใหญ่นัก พวกมันต้องว่ายผ่านปากบ่อลงไปได้แน่!
ในฐานะเทพสมุทร ขณะถือคทากระดูก ตนสามารถออกคำสั่งกับสัตว์ทะเลได้อย่างอิสระ!
ไม่ต้องรีบร้อน รอให้ผลการวิจัยของเฮอร์มิทได้ผลลัพธ์ออกมาก่อน ค่อยตัดสินใจว่าควรสั่งให้ปลาลงไปสำรวจในบ่อดีไหม เพราะหากลงมืออย่างบุ่มบ่าม อาจเป็นการสร้างอันตรายโดยไม่จำเป็น… เรื่องแบบนี้ไม่มีทางทำนายยืนยันอันตรายได้ เนื่องจากมีข้อมูลไม่เพียงพอ…
แม้จะครุ่นคิดหลายสิ่ง แต่สีหน้าภายนอกของไคลน์ก็มิได้แปรเปลี่ยน
ทันใดนั้น มันบังเอิญเห็นพลเรือเอกดวงดาวแอบจ้องมองตนด้วยสายตาไม่ปรกติ ก่อนที่เธอจะเบือนหน้ากลับโดยพยายามเก็บซ่อนร่องรอย
มองเราทำไม… หรือจะอ่านออกว่าเรากำลังวางแผนอะไรอยู่? ไม่มีทาง แคทลียาไม่ทราบว่าเราครอบครองคทาเทพสมุทร ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ในการควบคุมสัตว์ทะเล…
ไม่สิ ในทางทฤษฎี เธอทราบว่าชุมนุมทาโรต์มีคทาเทพสมุทร เนื่องจากเคยเห็นมิสเตอร์ฟูลถือคทากระดูกของคาเวทูว่า… แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวกับเดอะเวิร์ล นอกเสียจากเธอจะเชื่อมโยงได้ว่า เดอะเวิร์ลคือมิสเตอร์ฟูล… แต่นั่นก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เพราะแม้แต่มิสเตอร์แฮงแมนมากประสบการณ์ก็ยังทำได้แค่อนุมานว่า เดอะเวิร์ลคือข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล… สมาชิกใหม่อย่างเฮอร์มิทจึงไม่น่าจะคาดเดาได้ไกลกว่านั้น…
เราต้องลองเปลี่ยนมุมมองความคิด สมมติให้ตัวเองเป็นพลเรือเอกดวงดาว… เธอคือผู้ที่ถูกมวลความรู้ไล่ล่ามาตลอดชีวิต เคยติดตามรับใช้ ‘ราชินีเงื่อนงำ’ อีกทั้งยังเป็นสมาชิกคนสำคัญของนิกายมอสส์ ผนวกกับประสบการณ์หลายปีในทะเล แคทลียาน่าจะเดาได้ว่า เทพสมุทรมีพลังในการควบคุมสัตว์ทะเล…
หลังจากพบว่ามนุษย์มิอาจลงไปสำรวจในบ่อน้ำลึกลับ เธอจึงหวนนึกถึงคทาที่มิสเตอร์ฟูลครอบครอง และคิดหาโอกาสขอความช่วยเหลือจากผู้นำชุมนุมทาโรต์?
การมองมาทางเราก็เพื่อตรวจสอบท่าทีตอบสนอง และประเมินว่าหลังจากได้รับข้อมูลแบบเดียวกัน เราจะนึกถึงสิ่งที่คล้ายกันหรือไม่…?
แม้สมองไคลน์กำลังประมวลผลอย่างหนัก แต่ใบหน้ายังคงถูกฉาบด้วยความเฉยชาตลอดเวลา ไม่เผยอารมณ์ใดให้อีกฝ่ายเห็น
เมื่อนีน่าเดินเข้าไปหยิบไวน์เลือดโซเนียหนึ่งขวดใหญ่ในลัง ไคลน์เลื่อนมือกดหมวกเป็นเชิงขอตัว จากนั้นก็เดินกลับห้องพัก
ขณะหยุดยืนหน้าประตูเขตห้องโดยสาร นิมิตลางสังหรณ์พลันผุดขึ้นในหัว!
ในห้องมืดแห่งหนึ่งบนชั้นสอง หลังหน้าต่างที่ถูกปิดสนิทและมีผ้าม่านขึงมิดชิด ดวงตามายาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองทุกคนบนเรือ หนึ่งในนั้นคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์
ใครกัน…
ไคลน์ทำตัวตามธรรมชาติ ไม่ชะงักร่างกายจนผิดวิสัย เพียงเปิดประตูห้องโดยสารประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น
…
บ่ายสามโมงตรง แสงอาทิตย์กำลังเจิดจ้า แต่อากาศก็มิได้ร้อนเกินไปนัก
ณ สวนแห่งหนึ่งใกล้กลับมหาวิทยาลัยสโตน
มิตเชล·ดิตเตอร์ รองศาสตราจารย์ในวัยสี่สิบตอนต้น สวมทักซิโด้สำหรับร่วมงานเลี้ยง ติดเนกไทหูกระต่ายเรียบร้อย กำลังยืนรอหน้าประตูด้วยอาการประหม่า
เมื่อวานตอนเย็น มันได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ผู้ที่มาส่งคือคนรับใช้ตระกูลฮอลล์ ครอบครัวขุนนางอันดับหนึ่งในรัฐเชสเตอร์ตะวันออก
ผู้เขียนจดหมายคือบุตรสาวเอิร์ลคนดังแห่งสภาขุนนาง มิสออเดรย์·ฮอลล์ เจ้าของฉายาอัญมณีเจิดจ้าแห่งกรุงเบ็คลันด์
คุณหนูตระกูลขุนนางสูงศักดิ์เขียนอธิบายโดยมีความว่า ณ ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง เธอบังเอิญได้ยินใครบางคนขนานนามมิตเชล·ดิตเตอร์ว่าเป็นนักสะสมที่ยอดเยี่ยม เนื่องจากตัวเธอมีความสนใจในด้านนี้อย่างมาก จึงต้องการนัดพบและยลโฉมบรรดาของสะสมเหล่านั้น
มิตเชล·ดิตเตอร์ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ
เพียงไม่นาน รถม้าหรูหราซึ่งติดตราขุนนางน่าเกรงขามได้แล่นมาจอดหน้าประตู
บุรุษรับใช้สองคนที่ถูกมอบหมายงานไว้แล้ว รีบเปิดรั้วเหล็กต้อนรับ และเดินนำทางอ้อมสวนเข้ามาจนถึงหน้าบ้าน
แม่บ้านเดินลงจากรถม้าเป็นคนแรก ตามด้วยองครักษ์และสาวใช้ส่วนตัว
จากนั้น เรียวแขนอันงดงามที่สวมถุงมือผ้าสีขาวโพลนยื่นออกจากตัวรถ
ด้วยความช่วยเหลือของสาวใช้ ออเดรย์ย่างกรายลงจากรถม้าอย่างมาดสง่างาม เหยียบลงบนพรมหรูหราที่มิตเชลปูเตรียมไว้
มิตเชลพลันผงะไปชั่วขณะ ดวงตาส่องประกายระยิบระยับ คล้ายกับดอกไม้รอบตัวหม่นหมองไปถนัดตา
มันเดินสองสามก้าว ถอดหมวกคำนับอย่างนอบน้อม
“ยินดีต้อนรับ คุณหนูออเดรย์ การมาเยือนของคุณ ถือเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลของผมอย่างยิ่ง”
ออเดรย์ถอดหมวกส่งให้สาวใช้ ทักทายอีกฝ่ายตามมารยาทชนชั้นสูง จากนั้นก็เดินตามมิตเชลเข้าไปในบ้าน ผ่านห้องรับแขก จนกระทั่งถึงห้องสะสมบนชั้นหนึ่ง
ถึงตรงนี้ คล้ายกับมิตเชลได้รับความมั่นใจของเจ้าบ้านกลับคืนมา รีบกล่าวแนะนำของสะสมไล่จากซ้ายสุดไปถึงขวาสุด
“นี่คือหมวกเหล็กจากสงครามกุหลาบขาว หลังจากค้นคว้าเป็นเวลานาน ผมสามารถยืนยันได้ว่า มันคือหมวกของสมาชิกตระกูลเซารอน ซึ่งตอนนั้นยังเป็นตระกูลราชวงศ์ของอินทิส”
หมวกเหล็กทองคำถูกตกแต่งด้วยลวดลายซับซ้อนแต่งดงาม เหนือศีรษะมีโลหะรูปทรงนกกางปีกเชื่อมติดอยู่ กะบังหน้าทำจากโลหะแผ่นเล็กที่เรียงต่อกันเป็นเกล็ดหนาหลายชั้น
“บรรพบุรุษของดิฉันได้รับบรรดาศักดิ์ครั้งแรกจากสงครามนี้” ออเดรย์ตอบรับอย่างสนใจ
เธอปรับเปลี่ยนบรรยากาศรอบตัวให้ไม่เป็นการกดดันอีกฝ่าย พยายามสวมบทบาทของผู้ชมและผู้ฟังที่ดี
“แม้สงครามจะลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ของโลเอ็น จนพวกเราต้องทุกข์ทรมานนานนับสิบปี แต่สงครามครั้งนั้นก็ช่วยให้พวกเราค้นพบเหล่าวีรบุรุษหาญกล้า” มิตเชลประจบประแจง
สงครามกุหลาบขาวเกิดขึ้นหลัง ‘สงครามสองทศวรรษ’ และก่อน ‘ศึกตระบัดสัตย์’ โดยในศึกหลังสุด อาณาจักรโลเอ็นได้รับชัยชนะเหนืออินทิสและกลับมาผงาดบนทวีปเหนือได้อีกครั้ง
มิตเชลยังคงแนะนำของสะสมอย่างต่อเนื่อง ออเดรย์คอยฟังและโต้ตอบตามความเหมาะสม พลางยิงคำถามด้วยสีหน้าตื่นเต้นเป็นระยะ
จนกระทั่ง มิตเชลชี้ไปทางสมุดบันทึกปกดำเล่มหนึ่ง
“สมุดบันทึกเล่มนี้เป็นของอัศวินที่ประจำการบนเกาะโซเนียระหว่างสงครามสองทศวรรษ ชื่อของอัศวินเลือนหายไปพร้อมกับเงามืดของประวัติศาสตร์ หนังสือเล่มนี้จึงเป็นสิ่งสุดท้ายที่พิสูจน์การมีตัวตนของเขา ช่วยให้โลกได้รับรู้ว่า โลเอ็นยังมีอัศวินหาญกล้าผู้ยืนหยัดปักหลักปกป้องเกาะโซเนียจนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่เพียงสมุดบันทึกจะเป็นหลักฐานสำคัญสำหรับศึกษาประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้น แต่เนื้อหาด้านในยังมีปริศนาซ่อนอยู่อีกหนึ่งจุด : อัศวินคนดังกล่าวมีลีลาการเขียนผิดไปจากธรรมชาติของภาษา นี่อาจเป็นเบาะแสสำหรับระบุตัวจริงของเขา”
ออเดรย์ตระหนักได้ทันทีว่าสมุดบันทึกเล่มนี้คือเป้าหมายของตน จึงเดินเข้าไปชมในระยะใกล้ แล้วก็ไม่ผิดคาด เธอพบว่าลวดลายบนปกดำ เรียงต่อกันเป็นรูปทรงมังกรเลือนราง
ถ้าพิจารณาจากน้ำเสียงของรองศาสตราจารย์มิตเชล เขาสนใจเนื้อหาด้านในมากกว่าตัวสมุดบันทึก ประหนึ่งว่ามิใช่สิ่งของล้ำค่า แปลว่าเรายังมีโอกาสขอซื้อต่อ…
ออเดรย์ใคร่ครวญอย่างใจเย็น หันไปยิ้มกับมิตเชล·ดิตเตอร์ด้านข้าง
“ลีลาการเขียนแปลกอย่างไรหรือคะ”
“เขาชอบเขียนประโยคสั้น… สั้นเกินไป”
มิตเชลเริ่มเล่าด้วยใบหน้าโอ้อวด
ออเดรย์เป็นผู้ฟังที่ดี จ้องหน้าอีกฝ่ายพลางผงกหัวรับเป็นจังหวะ ไม่พูดแทรก แสดงสีหน้ากระตือรือร้น มิตเชลเห็นดังนั้นจึงยิ่งพรั่งพรูข้อมูลไม่ขาดปาก
ฟัง ฟัง แล้วก็ฟัง จนออเดรย์เริ่มพบว่า ลีลาการเขียนของอัศวินดังกล่าว คล้ายคลึงกับไวยากรณ์ภาษาหนึ่งที่ตนรู้จัก
หรือว่า… หญิงสาวเบือนหน้าหนีเล็กน้อย เพื่อปกปิดประกายดวงตาที่แตกต่างไปจากเดิม
นั่นคือจุดเด่นของภาษามังกรที่เธอหมั่นศึกษาจนแตกฉาน!
ราชันเร้นลับ 642 : ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่เพียงจะรู้ภาษามังกร แต่งใช้เขียนบันทึกในช่วงความเป็นความตายของชีวิต… ไม่แปลกใจว่าทำไมสมาคมแปรจิตถึงต้องการสมุดบันทึกของอัศวินคนดังกล่าว…
ออเดรย์รีบดึงสติกลับ หันไปสนทนากับมิตเชล·ดิตเตอร์อย่างตื่นเต้นและเอาจริงเอาจังเกี่ยวกับความผิดปรกติในด้านลีลาการเขียน
จากนั้นไม่นาน การพูดคุยเกี่ยวกับสมุดบันทึกปกดำก็จบลง มิตเชลเริ่มแนะนำของสะสมชิ้นอื่น
จากวินาทีเป็นนาที การเดินเที่ยวชมห้องสะสมได้จบลงอย่างเป็นทางการ เดิมที ออเดรย์มีแผนจะขอซื้อสมุดบันทึกในการพบกันครั้งหน้า อีกฝ่ายจะได้ไม่เกิดความระแวงหรือสงสัย แต่บรรยากาศอันชื่นมื่นและเป็นมิตรได้ส่งสัญญาณกับเธอว่า นี่คือโอกาสอันเหมาะสมที่จะบรรลุเป้าหมายหลัก หญิงสาวถ่ายพลังเข้าไปใน ‘คำลวง’ เพื่อฉาบแก้มของตนให้แดงระเรื่อและมีเลือดฝาด
“มิสเตอร์ดิตเตอร์ ดิฉันสนใจหมวกเหล็กของตระกูลเซารอนจากสงครามกุหลาบขาวใบนี้มาก เพราะเป็นวัตถุที่ช่วยให้ระลึกถึงวีรกรรมอันห้าวหาญของบรรพบุรุษตระกูล ต้องขอเรียนถามตามตรงว่า ดิฉันสามารถซื้อต่อจากคุณได้ไหม? อีกทั้งยังสนใจสมุดบันทึกจากสงครามสองทศวรรษด้วย เพราะดิฉันนับถือความกล้าหาญของอัศวินผู้ยืนหยัดปกป้องเกาะโซเนียจนวินาทีสุดท้าย จึงต้องการเก็บสะสมไว้ ดิฉันทราบดี มันเป็นคำขอร้องที่เสียมารยาทและเห็นแก่ตัว แต่ได้โปรดเข้าใจความรู้สึกของทางนี้ด้วย แน่นอน คุณมีสิทธิ์ตอบปฏิเสธค่ะ”
ดวงตาของเธอกลอกกลับไปกลับมา บ้างพยายามหลบหน้า บ้างจ้องตา เป็นอากัปกิริยาของคนที่รู้สึกผิด กระอักกระอ่วน และเสียใจ
มิตเชล·ดิตเตอร์รีบเบือนสายตาหนีจากการเพ่งมองของหญิงสาว มอบคำตอบอ่อนโยน
“ผมเป็นนักสะสม… จะไม่ขายของสะสม”
น้ำเสียงและการใช้คำยังขาดความหนักแน่น… จากข้อมูลที่เราได้รับ เขาคือสุภาพบุรุษผู้ให้ความสำคัญกับชื่อเสียง การขอซื้อของสะสมด้วยเงินโดยตรงคงเป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับ…
เหตุผลที่สมาคมแปรจิตไม่ส่งคนมาติดต่อขอซื้อโดยตรง หนึ่งคงเพราะต้องการมอบหมายภารกิจให้เราสะสมคะแนนผลงาน แต่อีกหนึ่งเหตุผลก็คือ มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้ ต้องเจรจาอย่างระมัดระวัง และไม่ทำให้รองศาสตราจารย์ขุ่นเคือง… เราต้องเปลี่ยนวิธีเข้าหา…
ก่อนออเดรย์จะมาเยือน เธอเตรียมแผนสำรองไว้มากมายในกรณีแผนหลักล้มเหลว เป็นแผนที่ถูกคิดคำนวณจากข้อมูลในมือ หญิงสาวตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา
“มิสเตอร์ดิตเตอร์ ดิฉันได้ยินมาว่า คุณอยากก่อตั้งสถาบันวิจัยและเก็บรักษาโบราณวัตถุภายในมหาวิทยาลัยสโตนใช่ไหมคะ”
“ครับ สิ่งนี้เป็นเป้าหมายของผมในช่วงหลายปีหลัง” มิตเชลกลับมาจ้องออเดรย์ มอบคำตอบเถรตรง
หญิงสาวยกมุมปากอย่างสง่างาม
“ดิฉันสนใจงานวิจัยประเภทนี้มาก และมีความชื่นชมในตัวคุณมากเช่นกัน จึงต้องการช่วยให้คุณสมหวัง เอาอย่างนี้เป็นไงคะ ดิฉันจะเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยสโตนและบริจาคเงินสดหนึ่งพันปอนด์ รวมถึงที่ดินอีก 1.3 ตารางกิโลเมตรพร้อมอาคารที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับวิจัยและเก็บรักษาโบราณวัตถุ ดิฉันทราบดีว่า เท่านี้คงยังไม่เพียงพอ จึงเตรียมชักชวนให้บรรดาชนชั้นสูงทั้งหลายช่วยกันทำแบบเดียวกัน มิสเตอร์ดิตเตอร์ คุณคือนักสะสมวัตถุโบราณที่มีความเป็นมืออาชีพอย่างมาก มากที่สุดเท่าที่ดิฉันรู้จัก ถ้าอย่างไรช่วยเป็นผู้ดูแลสถาบันวิจัยแห่งนี้ได้หรือไม่คะ?”
ที่ดิน 1.3 ตารางกิโลเมตรใกล้กับเขตมหาวิทยาลัยจะมีมูลค่าเทียบเท่าหกพันปอนด์ เมื่อนับรวมอาคาร อุปกรณ์ และเงินสดเข้าไป มิสออเดรย์จะบริจาคมากถึงเกือบหนึ่งหมื่นปอนด์ในคราวเดียว… หากมีสถาบันวิจัยและเงินทุนมากขนาดนี้คอยสนับสนุน ปัญหาในงานวิจัยของเราก็จะลดลงอย่างมาก…
มิตเชลเงียบงันนานหลายวินาที ก่อนจะเผยรอยยิ้มอย่างจริงใจ โค้งคำนับและกล่าว
“คุณหนูผู้สูงศักดิ์ ผมรู้สึกทึ่งในความกระตือรือร้นที่จะใฝ่หาความรู้ของคุณ ถือเป็นความสง่างามทางปัญญาที่ไม่ด้อยไปกว่าความเลอโฉมที่โด่งดังไปทั่วราชอาณาจักร ผมไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธคำขอร้องอันแสนประเสริฐ สำหรับสมุดบันทึกเล่มนั้น ผมได้คัดลอกข้อความเอาไว้หมดแล้ว จะส่งไปยังคฤหาสน์ของคุณหนูในคืนนี้พร้อมกับหมวกเหล็ก ถือเป็นของขวัญจากมิตรสหายที่จริงใจ”
สำเร็จ!
ออเดรย์พลันโล่งอก ในใจนึกอยากกล่าวชมเชยตัวเอง แต่ภายนอกต้องคอยสงวนกิริยาให้สง่างามไว้ตลอดเวลา
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ” หญิงสาวพูดจากใจ
แม้วัตถุโบราณทั้งสองชิ้นจะมีมูลค่าไม่ถึงหนึ่งหมื่นปอนด์ แต่สำหรับออเดรย์ เธอมิได้ใช้เงินไปอย่างสูญเปล่า
จากแผนการของเธอ ข้อเสนอในคราวนี้แฝงไว้ด้วยจุดประสงค์สามเรื่อง นับเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้ถึงนกสามตัว!
ข้อแรกเป็นการทำภารกิจให้สำเร็จ ได้รับคะแนนผลงานเพียงพอสำหรับแลกเปลี่ยนสูตรโอสถนักสะกดจิตจากสมาคมแปรจิต
ข้อที่สองคือ การบริจาคเงินสร้างสถาบันวิจัยและเก็บรักษาโบราณวัตถุ จะช่วยให้ชื่อเสียง สถานะทางสังคม และภาพลักษณ์ของเธอเป็นปึกแผ่นมากขึ้น การบริจาคเงินคือสิ่งที่ชนชั้นสูงและพ่อค้ามั่งคั่งพึงกระทำทุกปี ถึงวันนี้จะไม่ต้องบริจาค แต่ออเดรย์ก็ถูกบิดากำหนดให้ต้องบริจาคเงินราวสามพันปอนด์หรือมากกว่า ให้กับองค์กรการกุศลอยู่ดี
ดังนั้น หญิงสาวเชื่อว่าเอิร์ลฮอลล์จะไม่ขัดข้องกับเงินบริจาคที่เป็นประโยชน์การด้านศึกษาภายใต้ชื่อของตัวเธอเอง
จุดประสงค์ที่สาม สถาบันวิจัยและเก็บรักษาวัตถุโบราณมักมีโอกาสเข้าถึงสมบัติวิเศษหรือวัตถุที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ได้ง่าย ออเดรย์ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาด้วยตัวเอง เพียงนั่งอยู่ที่บ้านและรอให้คนอื่นรวบรวมวัตถุโบราณแทนตน ถือเป็นการใช้เงินหนึ่งหมื่นปอนด์สร้าง ‘อิทธิพล’ ของตัวเองขึ้นมา
แน่นอน หากมิตเชลยังไม่ยอมรับข้อเสนอนี้ หญิงสาวยังมีแผนอื่นในการเข้าหา : ตระกูลฮอลล์มีบุคลากรระดับสูงทำงานในกระทรวงศึกษาธิการ เป็นคนที่เธอค่อนข้างสนิทสนม หากรองศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยสโตนกำลังปรารถนาในสิ่งใด เธอสามารถหาทางทำให้เป็นจริงได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตาม ออเดรย์ไม่ชื่นชอบวิธีการข้างต้นสักเท่าไร มันไม่สง่างาม และยังอาจทำลายภาพลักษณ์ทางสังคมของเธอ
หลังจากครุ่นคิดหลายสิ่ง ออเดรย์ตัดสินใจผลาญเวลาภายในบ้านมิตเชล·ดิตเตอร์อีกราวสิบห้านาที ไม่รีบร้อนเดินทางกลับให้ผิดสังเกต
เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม เธอเดินทางออกจากบ้านของมิตเชล มุ่งหน้ากลับสู่คฤหาสน์ตระกูลฮอลล์ในเมืองสโตนทันที
สองทุ่มตรง ตามที่นัดหมายกันไว้ หญิงสาวได้รับหมวกเหล็กของตระกูลเซารอนและสมุดบันทึกปกดำเกี่ยวกับสงครามสองทศวรรษ
ออเดรย์สวมถุงมือขาว นั่งลงหน้าโต๊ะอ่านหนังสือและเริ่มศึกษาค้นคว้า หมวกเหล็กถูกวางไว้ด้านข้าง สายตากำลังเพ่งอ่านเนื้อความในสมุดบันทึกของอัศวินอย่างตั้งใจ
หญิงสาวพบว่าเนื้อหาเป็นไปอย่างไม่ปะติดปะต่อ ในช่วงต้นแรกเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอัศวินหนุ่มที่ถูกส่งไปประจำการบนเกาะเอลฟ์โบราณ กล่าวถึงการเรียนสูตรบ่มไวน์เลือดโซเนีย กล่าวถึงการไล่จีบสาวพื้นเมือง กล่าวถึงการฆ่าเวลาอันแสนน่าเบื่อ จนกระทั่งช่วงกลางและท้ายของสมุดบันทึก สงครามสองทศวรรษเริ่มถูกเอ่ยถึงบ่อยครั้ง อัศวินหนุ่มสบถใส่ชาวฟุซัค ตำหนิเพื่อนร่วมรบอย่างหัวเสีย เล่าถึงความตั้งใจที่จะปักหลักบนเกาะจนวินาทีสุดท้าย รวมไปถึงผลลัพธ์ความพ่ายแพ้ครั้งแรกบนเกาะโซเนีย
“นอกจากลีลาการเขียนที่คล้ายภาษามังกร บันทึกเล่มนี้ก็ไม่เหลือประเด็นอื่นที่น่าสนใจแล้ว ไม่มีเค้าลางของเบาะแสใดเลย…”
ออเดรย์ขมวดคิ้ว ปิดหนังสือ
จากนั้น เธอลองใช้เทคนิคทางศาสตร์เร้นลับเพื่อตรวจหาความผิดปรกติ แต่ก็ไม่พบร่องรอย
หญิงสาวเริ่มไม่ต้องการเสียเวลากับสิ่งนี้อย่างเปล่าประโยชน์ และเตรียมส่งมอบให้กับสมาคมแปรจิตเพื่อบรรลุภารกิจ
ขณะความคิดมากมายแล่นผ่าน ออเดรย์พลันฉุกคิดถึงบางสิ่ง
มิสเตอร์ฟูลกับมิสเตอร์แฮงแมนมักมองเรื่องราวในหลากหลายแง่มุมและมอบคำแนะนำอย่างหลักแหลมเสมอ เราก็ควรลองพยายามดูบ้าง…
“ดีล่ะ… ถ้ามองในมุมกลับ สมมติให้สมาคมแปรจิตไม่สนใจเนื้อหาของบันทึกเลย แล้วพวกเขาต้องการสิ่งใดจากหนังสือเล่มนี้? มีสิ่งใดพิเศษอีกหรือ? เรานึกไม่ออกแล้ว… หืม… ถ้าพิจารณาว่าอัศวินคนดังกล่าวแตกฉานภาษามังกร บางที ทางสมาคมอาจสนใจเกี่ยวกับตัวอัศวินมากกว่าหนังสือ… ใช่แล้ว การทำนาย! หากมีสมุดเล่มนี้เป็นสื่อกลาง ก็มีสิทธิ์ทำนายระบุถึงตำแหน่งสุดท้ายของอัศวินคนดังกล่าว หรือไม่ก็เบาะแสด้านอื่น! โดยข้อมูลเหล่านั้นอาจเกี่ยวข้องกับมังกร! ในเมื่อเป็นมังกร ก็มีโอกาสมากที่จะเป็นมังกรจิตจากเส้นทางผู้ชม เบาะแสเกี่ยวกับอัศวินจึงมีค่าพอจะให้สมาคมแปรจิตหันมาสนใจ ออเดรย์ เธอวิเคราะห์ได้เฉียบขาดมาก!”
ดวงตาหญิงสาวพลันเปล่งปลั่ง ประหนึ่งว่าสามารถส่องแสงออกมาได้จริง
เธออดไม่ได้ที่จะหันไปมองด้านข้าง จ้องสุนัขขนทองตัวใหญ่คู่ใจ
ซูซี่เงยหน้ามองเจ้านายตอบ อ้าปากสั่นสะเทือนอากาศจนเกิดเสียง
“ออเดรย์ เธอต้องการให้ฉันชมเชยใช่ไหม”
“ม…ไม่เป็นไร ไม่จำเป็น” ออเดรย์เบือนหน้ากลับด้วยความเขินอาย
แต่ว่า เธอพบอุปสรรคสำคัญหนึ่งเรื่อง นั่นคือการที่ตัวเธอไม่เชี่ยวชาญด้านพลังทำนายสักเท่าไร หรือต้องให้ทำนายสำเร็จ แต่ก็มีแนวโน้มที่ผลลัพธ์จะออกมาไม่ตรงตามความจริง
ต้องยอมถอดใจหรือ…
ไม่สิ… เรายังขอความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูลได้! แต่จะใช้พิธีกรรมไหนดี… พันธสัญญาลับ? ไม่น่าจะสำเร็จ พิธีกรรมดังกล่าวใช้กับตัวเอง มิใช่วัตถุภายนอก… ละเมอเทียม? นั่นก็เหมือนกับพันธสัญญาลับ ไม่เกิดประโยชน์… สังเวยสมุดบันทึกเพื่อให้มิสเตอร์ฟูลนำไปทำนาย จากนั้นก็รอฟังผลลัพธ์? คงไม่ดีกระมัง ทำแบบนี้รบกวนท่านเกินไป นับเป็นการขาดมารยาทอย่างมาก ท่านไม่ใช่บิดาหรืออาจารย์สักหน่อย แต่เป็นเทพแท้จริง! การขาดความเคารพจะเท่ากับลบหลู่!
ออเดรย์เริ่มคิดต่อยอด หาวิธียืมใช้พลังทำนายของมิสเตอร์ฟูล
เธออาจไม่เชี่ยวชาญพลังทำนายโดยตรง แต่ก็มีข้อมูลในด้านนี้พอสมควร เนื่องจากขยันหมั่นเพียรศึกษาศาสตร์เร้นลับโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
เพียงไม่นาน หญิงสาวฉุกคิดถึงวิธีหนึ่ง
มันคือพิธีกรรมสำหรับหยิบยืมพลังจากภายนอก ส่วนมากมักใช้เพื่อขอความช่วยเหลือจากตัวตนลึกลับ เป็นพิธีกรรมที่ประกอบได้ง่าย แต่มาพร้อมอันตรายอย่างยิ่งยวด
‘ทำนายด้วยกระจกวิเศษ!’
จริงอยู่ สิ่งนี้อาจฟังดูอันตราย แต่นั่นคือในกรณีที่ไม่ทราบเป้าหมายการอัญเชิญ ส่วนเราไม่ต้องกังวลกับเรื่องนั้น เพราะอีกฝ่ายคือเดอะฟูล!
ออเดรย์กะพริบตาถี่ ฝืนเก็บซ่อนความตื่นเต้น หันไปมองโกลเดนรีทรีเวอร์ด้านข้าง
“ซูซี่ ช่วยออกไปเฝ้าด้านนอกประตูให้หน่อย ฉันจะตรวจสอบสมุดบันทึกนี้ด้วยเทคนิคของศาสตร์เร้นลับ”
“เธอทำไปแล้วไม่ใช่หรือ” ซูซี่ถามอย่างฉงน
ชักโกหกได้ยากขึ้นทุกวัน…
แววตาออเดรย์แปรเปลี่ยนเล็กน้อย ตอบกลับไปตามความจริง
“ฉันจะใช้การทำนายกระจกวิเศษ แต่ไม่ต้องเป็นห่วง เป้าหมายการอัญเชิญเป็นตัวตนที่ปลอดภัย”
“ตกลง” ซูซี่ยืนยันได้ว่าออเดรย์พูดความจริง
หลังจากเดินไปสองสามก้าว สุนัขขนทองหันกลับมามองและกล่าวเน้นย้ำ
“ออเดรย์ เธอต้องคอยระวังไม่ให้ถูกตัวตนลึกลับสิงสู่ร่างกาย”
“ฉันรู้” หญิงสาวขานรับด้วยสีหน้าร่าเริง
จากมุมมองของเธอ หากมิสเตอร์ฟูลคิดกับตนในแง่ร้ายจริง ในอดีตย่อมมีโอกาสมากมายให้ลงมือ ไม่จำเป็นต้องรอนานถึงวันนี้
จนกระทั่งซูซี่เปิดประตูร้อง หญิงสาวนั่งลงหน้าโต๊ะอ่านหนังสือและเริ่มสวดวิงวอนด้วยนามเต็มอันสูงส่งของเดอะฟูล จากนั้นก็ร้องขอการทำนายกระจกวิเศษ
ผ่านไปสักพัก ไคลน์บนอนาคตกาลเดินเข้าไปในห้องน้ำ ส่งตัวเองขึ้นมิติหมอก รับฟังคำสวดวิงวอนจากมิสจัสติส
ทำแบบนี้ก็ได้หรือ…
แต่ก็ฟังดูสมเหตุสมผล เพราะในฐานะ ‘ตัวตนลึกลับ’ เราสามารถปรากฏกายในกระจกวิเศษเพื่อมอบคำทำนายได้…
ไคลน์ให้สัญญาณ ‘อนุญาต’ กับอีกฝ่ายด้วยอารมณ์ขบขัน
ออเดรย์รีบหยิบสมุดบันทึก เดินย้ายไปนั่งหน้ากระจกเต็มบานบนโต๊ะเครื่องแป้ง เริ่มจุดเทียนไขสำหรับพิธีกรรม
……………………
ราชันเร้นลับ 643 : กระจกวิเศษฉบับไคลน์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผ้าม่านถูกขึงมิดชิด โคมไฟในห้องดับสนิทจนบรรยากาศมืดสลัว ออเดรย์เสร็จสิ้นการเตรียมตัวในพิธีกรรมกระจกวิเศษ
แน่นอน หญิงสาวไม่จำเป็นต้องเลือกช่วงเวลาเฉพาะเจาะจงเหมือนกับการอัญเชิญตัวตนลึกลับอื่น เพราะมิสเตอร์ฟูลได้ส่งสัญญาณอนุญาตเรียบร้อยแล้ว
เบื้องหน้าออเดรย์มีเทียนไขหนึ่งเล่ม รวมถึงกระจกเงาที่กำลังสะท้อนภาพเทียนไขและใบหน้าของเธอ หญิงสาวหยิบขวดน้ำค้างบริสุทธิ์ด้วยสีหน้ากังวลเจือคาดหวัง ของเหลวปริมาณน้อยถูกหยดลงบนเปลวเทียนสลัว
กลิ่นหอมฟุ้งอันละเมียดละไมและสงบสุขเริ่มทะลุทะลวงเข้าไปในโพรงจมูก ออเดรย์หวนนึกถึงช่วงเวลาที่เธอยังเป็นเพียงเด็กสาวผู้หลงใหลในศาสตร์เร้นลับ
เธอทำผิดแม้กระทั่งขั้นตอนพื้นฐานแรกสุด เมื่อก่อนมิได้ใช้น้ำมันหอมระเหยและน้ำค้างบริสุทธิ์เพื่อสร้างกลิ่นเรียกร้องความสนใจจากเหล่าทวยเทพ แต่เลือกใช้กลิ่นน้ำหอมประจำตัว ซึ่งแน่นอนว่าผลลัพธ์ออกมาล้มเหลว
อย่างไรก็ตาม จากคำแนะนำของเดอะฟูล หากเธอสวดวิงวอนถึงท่าน ก็ไม่จำเป็นต้องเผาน้ำมันหอมระเหยหรือน้ำค้างบริสุทธิ์ให้วุ่นวาย อีกฝ่ายรับปากว่าจะตอบรับอย่างแน่นอน
ออเดรย์พ่นลมหายใจแผ่วเบาออกจากริมฝีปากทรงกระจับขนาดเล็ก อาศัยการเข้าฌานเพื่อรวบรวมสมาธิให้จิตใจสงบนิ่ง
เธอตระหนักเป็นอย่างดีว่า อารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านในตอนนี้มิได้เกิดจากตัวเธอเอง ความคาดหวังและอาการประหม่าล้วนถูกกระตุ้นให้เข้มข้นจากพลังของสร้อย ‘คำลวง’
หลังจากรวบรวมสติแน่วแน่ ออเดรย์ประสานมือและนำมาไว้ใต้ริมฝีปาก สวดวิงวอนอย่างจริงใจด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกสีเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”
…
เสียงสวดมนต์ดังกังวานทั่วห้องนอน หลังจากครบเจ็ดครั้งติดต่อ ออเดรย์พบว่าบรรยากาศรอบตัวเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ยากอธิบาย คล้ายมวลคลื่นที่กำลังกระเพื่อมใต้ผิวน้ำ
เมื่อเงยหน้าขึ้น เธอเหยียดแขนขวาผ่านเทียนไขโดยปราศจากอาการสั่นเทา ตามด้วยการใช้ปลายนิ้วลูบผิวกระจกอย่างอ่อนโยนจากด้านบนลงล่าง
ถึงตรงนี้ พิธีกรรมทำนายด้วยกระจกวิเศษเป็นอันเสร็จสมบูรณ์ หากตัวตนลึกลับจากภายนอกให้ความสนใจ ก็จะมอบการตอบสนองกลับมาทางผิวกระจก
เหนือสายหมอกเทา ท่ามกลางพระราชวังโบราณและโอ่โถง ไคลน์เห็นดาวแดงตัวแทนมิสจัสติสพลันขยายตัวและหดกลับ แสงมายาสีดำเริ่มแผ่ออกจากดาวดวงดังกล่าวทีละนิด ก่อตัวกลายเป็นทรงกลมลักษณะคล้ายกับอุโมงค์ที่เชื่อมต่อไปยังโลกภายนอก
ไม่เหมือนกับพิธีกรรมอื่น น่าสนใจมาก…
ไคลน์เอนหลังพิงพนัก แผ่พลังวิญญาณจากร่างกาย ออกไปสัมผัสกับวงกลมสีดำซึ่งคล้ายกับหุบเหวลึกปราศจากก้นบึ้ง
ความเงียบสงัดปกคลุมหลายอึดใจ ทัศนวิสัยชายหนุ่มเริ่มแปรเปลี่ยน ภาพของโต๊ะทองแดงยาวและดาวแดงถูกซ้อนทับด้วยภาพห้องนอนกว้างขวาง ฉากหลังมีเพียงความมืดสลัวอันเกิดจากเทียนไข แต่เค้าโครงของภาพยังคงคมชัด
ทันใดนั้น ไคลน์รู้สึกคล้ายกับดวงตาของตนฝังอยู่บนผิวกระจก ช่วยให้สามารถแทรกแซงและมองเห็นโลกความจริงได้อย่างแจ่มชัดแม้จะอยู่บนมิติหมอก
ถูกต้อง มองเห็นอย่างแจ่มชัด!
ทุกสิ่งในสายตาไคลน์ล้วนปราศจากความคลุมเครือดังเช่นทุกที ประหนึ่งกำลังเพ่งมองด้วยตาตัวเองบนโลกความจริง!
สายตาของมันพลันชะงักไปสองวินาที
เบื้องหน้าไคลน์คือภาพของหญิงงามในเดรสสีขาวลายลูกไม้สีทอง เส้นผมสีทองอ่อนมัดรวบอย่างเรียบง่าย ถูกปล่อยทิ้งตามแรงโน้มถ่วงด้วยความนุ่มสลวย ดวงตาสีเขียวกำลังสะท้อนภาพเปลวเทียนสีซีดจาง อัดแน่นด้วยความลุ่มลึกและแพรวพราวดุจดังมรกตบริสุทธิ์ องค์ประกอบบนใบหน้าตรงตามความงดงามในอุดมคติ กลิ่นอายรอบตัวแฝงความสง่างามและบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ไคลน์รีบเบือนหน้าหนีอย่างประหม่า
สารภาพตามตรง เราเกือบคิดว่าเธอเป็นแม่มดลำดับสูง โชคยังดีที่จำได้ว่าจัสติสอยู่บนเส้นทางผู้ชม ไม่มีทางเป็นแม่มด… กลิ่นของน้ำค้างบริสุทธิ์หอมมาก แตกต่างจากที่เคยสูดดมโดยสิ้นเชิง… หรือว่าเสน่ห์ดึงดูดอันละเอียดอ่อนจะเกิดจากตะกอนพลัง ‘ผู้ไร้หน้า’ ที่ถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องประดับ?
ไคลน์มองลงไปยังสมบัติวิเศษที่จำแลงกายเป็นสร้อยคอเลี่ยมเพชร
พร้อมกันนั้น มันได้ยินเสียงสวดวิงวอนอย่างคาดหวังของหญิงสาว
“กระจกวิเศษเอ๋ย ได้โปรดบอกข้าเถิด! ผู้ครอบครองคนก่อนของสมุดบันทึกเล่มนี้อยู่แห่งหนใด!”
ออเดรย์ทราบดีว่า ตนกำลังประกอบพิธีกรรมถึงมิสเตอร์ฟูล เพียงแต่ เธอเคยได้ยินบทพูดข้างต้นมาตั้งแต่ยังเด็กและอยากลองทำตามดูสักครั้ง จึงไม่มีโอกาสใดเหมาะสมไปกว่านี้แล้ว
ความล้มเหลวก่อนหน้านี้ไม่นับ!
ออเดรย์พยักหน้ากับตัวเองในใจ
ไคลน์จ้องไปยังสมุดบันทึกปกดำที่อยู่ระหว่างเทียนไขและมิสจัสติส พบว่าตนสามารถแผ่พลังวิญญาณผ่านกระจกได้อย่างอิสระ และสามารถใช้สมุดเล่มดังกล่าวเป็นสื่อกลางสำหรับทำนาย
เหนือมิติหมอก มันรีบเขียนประโยคทำนายให้สอดคล้องกับความต้องการของหญิงสาว :
“ตำแหน่งปัจจุบันของอดีตผู้ครอบครองสมุดบันทึกเล่มดังกล่าว”
มือข้างหนึ่งถือกระดาษ อีกข้างแผ่พลังวิญญาณเชื่อมต่อกับสมุดบันทึก ไคลน์เอนหลังพิงพนักพลางพึมพำเสียงเบา อาศัยความช่วยเหลือจากการเข้าฌาน ชายหนุ่มสะกดจิตตัวเองให้หลับลึกภายในเวลาไม่นาน
ออเดรย์ลืมดวงตาสีเขียวขึ้น จ้องเข้าไปในผิวกระจกด้วยใบหน้าคาดหวัง รอคอยคำตอบจากเดอะฟูลอย่างใจจดใจจ่อ
ผ่านไปไม่กี่วินาที หญิงสาวเห็นผิวกระจกเริ่มกระเพื่อมคล้ายคลื่นน้ำมายา
สำเร็จ! ทำนายด้วยกระจกวิเศษได้ผล!
ขณะดวงตาออเดรย์กำลังลุกวาว ฉากหนึ่งเผยให้เห็นในกระจก
เป็นภาพมุมสูงของหมู่บ้าน
ฉากถูกซูมเข้าใกล้ทีละนิด เผยให้เห็นภาพวาดมังกรตามผนังอาคารบ้านเรือน
ฉากสลับสับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว กลายเป็นภาพมุมสูงของวิหารแห่งหนึ่ง ก่อนจะขยับซูมเข้าไปในบริเวณสุสานที่อยู่ติดกัน
จนกระทั่งหยุดลง ณ ป้ายหลุมศพแห่งหนึ่ง ทันใดนั้น คล้ายกับเวลาในฉากถูกเร่ง แสดงให้เห็นถ้อยคำจารึกบนป้ายหลุมศพในแต่ละฤดูกาล ไม่ว่าจะท่ามกลางแสงแดง เปียกฝน หรือลมพายุกระโชก ข้อความบนป้ายค่อนข้างพร่ามัว เห็นเพียงชื่อที่พอจะอ่านออกว่า ‘ลินเดลิร่า’
มาถึงจุดนี้ ภาพบนกระจกเริ่มมืดลง กลับไปเป็นผิวกระจกปรกติอีกครั้ง สะท้อนภาพของหญิงสาวและเทียนไข
หมู่บ้านบูชามังกร… หรืออัศวินลินเดลิร่าผู้เขียนบันทึกจะเป็นคนของหมู่บ้านดังกล่าว? หลังจบสงครามสองทศวรรษ เขากลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายและแก่ตายที่นั่น หรือว่าเสียชีวิตในสงคราม และศพถูกส่งกลับไปฝังยังหมู่บ้าน?
พิจารณาจากสภาพแวดล้อม หมู่บ้านนับถือมังกรในฉากดูคล้ายกับหมู่บ้านที่เราเคยไปเยือน.. ถ้าอย่างนั้นก็ลงล็อก รองศาสตราจารย์มิตเชลเป็นคนของมหาวิทยาลัยสโตนจากรัฐเชสเตอร์ตะวันออก จึงไม่แปลกที่จะมีบันทึกจากหมู่บ้านนับถือมังกร… ที่นั่นมีมังกรจิตอาศัยอยู่ในทะเลจิตใต้สำนึกรวมของทุกสิ่งมีชีวิต…
ออเดรย์กล่าวขอบคุณมิสเตอร์ฟูล ตามด้วยการสิ้นสุดพิธีกรรมกระจกวิเศษทำนาย
ท่ามกลางแสงเทียนสลัว หญิงสาวนั่งจ้องสมุดบันทึกปกดำสักพัก จนกระทั่งตัดสินใจได้ว่า เธอจะส่งมันให้กับสมาคมแปรจิต รอดูว่าอีกฝ่ายจะค้นพบเบาะแสที่น่าสนใจหรือไม่
เราทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้แล้ว พลังปัจจุบันยังมากไม่พอจะตรวจสอบมังกรจิตด้วยตัวเอง… แต่ถึงสมาคมแปรจิตจะค้นพบสิ่งสำคัญ เมื่อเราเติบโตขึ้นและกลายเป็นคนใหญ่คนโตขององค์กร สิ่งเหล่านั้นก็จะคืนกลับมาหาเราเอง!
ออเดรย์เริ่มกลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง
…
เหนือมิติหมอก ไคลน์ใช้ปลายนิ้วเคาะลงบนโต๊ะทองแดงยาว นั่งรวบรวมข้อมูลที่จัสติสรายงานพลางตกผลึกเป็นสมมติฐาน
ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับมังกรล้วนมีมูลค่ามาก หมู่บ้านมังกรจึงไม่ต่างอะไรกับขุมทรัพย์ให้เข้าไปเก็บเกี่ยว…
น่าเสียดาย พลังของจัสติสยังไม่แข็งแกร่งพอ ไม่อย่างนั้นเราคงแนะนำให้เธอสำรวจด้วยตัวเองไปก่อน หากเกิดอันตรายใดก็แค่สวดวิงวอนถึงเทพสมุทร เราพร้อมสนับสนุนเต็มที่…
เฮ่อ… แต่ตอนนี้ยังอันตรายเกินไป ไม่มีทางเลือกนอกจากล้มเลิกความคิด… แต่ถ้าสมาคมแปรจิตไม่พบเบาะแส บางที เราอาจกลับมาสำรวจในภายหลังเมื่อเธอพร้อม…
ไคลน์ระงับความเสียดาย นั่งทบทวนประสบการณ์ขณะพิธีกรรมกระจกวิเศษทำนาย
“สำหรับตัวตนภายนอกอย่างเรา การทำนายด้วยกระจกวิเศษถือเป็นพิธีกรรมในอุดมคติ แทบไม่ต้องเสียสละสิ่งใดก็ได้แทรกแซงโลกความจริง หากเราต้องการ ก็สามารถส่งร่างวิญญาณออกไปสำแดงอิทธิฤทธิ์ได้ทุกเมื่อ แต่ทางฝั่งของผู้ประกอบพิธีกรรมนั้นมีความเสี่ยงสูง ปราศจากการป้องกันโดยสิ้นเชิง ถูกเพ่งมองอย่างชัดเจน ง่ายต่อการเข้าสิง สาปใส่ หรือกัดกร่อน…”
ไคลน์ถอนหายใจยาว
อย่างไรก็ตาม มันมิได้กังวลว่ามิสจัสติสจะนำพิธีกรรมกระจกวิเศษทำนายไปใช้ในทางอันตราย เพราะเธอมีเป้าหมายที่ดีที่สุดให้สวดวิงวอนถึงอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลให้ต้องเสี่ยงโชคกับตัวตนลึกลับอื่น
ฉันเองยังไงล่ะ!
ไคลน์หดนิ้วมือกลับ นั่งนิ่งบนเก้าอี้ประธานใหญ่สุดปลายโต๊ะทองแดงยาว ไม่ขยับตัวนานหลายสิบวินาที
จนถึงจุดหนึ่ง ชายหนุ่มส่งตัวเองกลับโลกความจริง เมื่อจิตย้อนกลับมายังอนาคตกาล ภาพวิสัยทัศน์ค่อย ๆ คืนกลับมาอย่างเชื่องช้า
เดินออกจากห้องน้ำ เก็บนกหวีดทองแดงและนกกระเรียนของวิล·อัสตินเข้ากระเป๋าเสื้อ ไคลน์แหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่จันทราแดงกำลังถูกเมฆหนาบดบัง ภายในใจไตร่ตรองบางสิ่งอย่างเงียบงัน
ในมาดสวมหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง ชายหนุ่มเปิดประตูห้องและออกไปยังทางเดิน
ผ่านไปไม่กี่ก้าว ไคลน์จงใจชะลอฝีเท้า อาศัยมุมสายตาชำเลืองไปทางประตูห้องพักแรกสุดที่อยู่ฝั่งซ้ายมือ
จากการคาดคะเนของมัน ดวงตาลึกลับที่เพ่งมองตนเมื่อตอนกลางวันแฝงตัวอยู่ในห้องนี้
ไคลน์ลดความเร็วลง จนดูคล้ายกับหยุดยืนหน้าประตู
มันเหยียดมือซ้ายออกไปจับลูกบิดโดยไม่คิดเก็บซ่อนเจตนา ทันใดนั้น นิมิตลางสังหรณ์ปรากฏขึ้นในหัว
ด้านหลังประตูมีราวแขวนผ้า บนราวไม่มีสิ่งใดแขวนอยู่แม้แต่ชิ้นเดียว
แสงแพรวพราวของหมู่ดาวถูกฉายลงบนพื้นไม้ที่เรียบสะอาด บรรยากาศภายในห้องเป็นไปอย่างเงียบสงัด สงบสุขและอ่อนโยน ปราศจากออร่าของมนุษย์โดยสิ้นเชิง
หน้าต่างถูกเปิดกว้างตอนไหนไม่มีใครทราบ ลมทะเลด้านนอกพัดเอื่อยเฉื่อย กระทบกับผ้าม่านจนโยกคลอนอย่างอ่อนโยน
ไม่มีใครอยู่หรือ…
เป้าหมายของไคลน์มีเพียงการตรวจสอบเบื้องต้น จึงรีบชักมือซ้ายกลับ เดินตรงไปทางบันไดโดยทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มาถึงดาดฟ้าเรือ ท่ามกลางสายลมหนาวยามค่ำคืนที่กำลังพัดผ่าน ไคลน์เดินไปรอบกราบเรือด้วยสีหน้าท่าทีผ่อนคลาย ประหนึ่งว่าตนมีจุดประสงค์เพียงออกมาเดินเล่น
ทันใดนั้น มันพบใครบางคนกำลังนั่งยองอยู่ตรงหน้า เป็นชายสวมเชิ้ตขาวและกางเกงยีนส์ติดสายรัดบ่า
แฟรงค์·ลี…?
ไคลน์ไม่หยุดเดิน ย่างกรายเข้าไปใกล้อีกฝ่ายทีละก้าวอย่างใจเย็น
เมื่อตระหนักว่าใครบางคนกำลังเดินเข้าหา ชายลึกลับบิดเอวและเงยหน้าจ้องกลับ
ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘ผู้เชี่ยวชาญพิษ’ แฟรงค์·ลี แต่หนนี้ปราศจากรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าโดยสิ้นเชิง มีเพียงคราบเลือดสดบนริมฝีปาก
ไคลน์ขมวดคิ้วโดยไม่กล่าวคำใด
แฟรงค์·ลียกแขนขึ้น มือทั้งสองข้างกำลังจับหัวและหางของปลาสีเงินตัวหนึ่ง
มันกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่
“ไม่สำเร็จ… วงจรชีวิตของพวกเขาสั้นเกินไป ไม่มากพอสำหรับการขยายพันธุ์ จะปลูกในดินก็ไม่ได้เช่นกัน”
กล่าวจบ แฟรงค์ยกปลาเกล็ดเงินขึ้นด้วยมือขวา ก่อนจะใช้ปากกัดอย่างดิบเถื่อน
แบบนี้ดีแล้ว… ไม่อย่างนั้น ฉันคงมัวกังวลกับภัยพิบัติทาระบบนิเวศ… หรือเพราะแบบนั้น นายก็เลยดื่มเหล้าย้อมใจ?
ไม่สิ ดื่ม ‘เลือด’ ปลาเพื่อย้อมใจ…
ไคลน์ถอนหายใจอย่างโล่งอก
……………………
ราชันเร้นลับ 644 : เสียงหัวเราะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ด้วยมาดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ไคลน์มิอาจปลอบใจแฟรงค์·ลีออกไปตามตรง ขณะเดียวกันก็พูดไม่ได้ว่านั่นคือสิ่งที่ดีแล้ว ทำได้เพียงมองเป็นปัญหาเล็กน้อย ไม่ตอบสนองมากกว่านั้น
มันเดินเฉียงสองสามก้าว ตรงไปทางกราบเรือพลางเพ่งมองคลื่นทะเลขรุขระ
ในตอนนี้ เมฆสูงบนท้องฟ้าเริ่มบางเบาลง เผยให้เห็นพระจันทร์สีแดงอย่างแจ่มชัด
ท่ามกลางบรรยากาศสลัว ไคลน์มองไปยังจุดหนึ่งซึ่งห่างออกไปไม่ไกล พบเมฆดำลอยตัวต่ำและทอดยาวเป็นทิวแถว ก่อตัวเป็นพายุขนาดมหึมาปกคลุมผืนทะเลอันกว้างใหญ่
แสงสีเงินของสายฟ้ากำลังสว่างวิบวับอย่างต่อเนื่อง พายุฝนฟ้าคะนองกำลังเต้นรำท่ามกลางสายลมโหมกระหน่ำ เปรียบประหนึ่งฉากวันสิ้นโลกก็มิปาน
แม้ภัยพิบัติเช่นนี้จะอยู่ห่างจากอนาคตกาลเพียงไม่กี่ไมล์ทะเล แต่กลับแทบไม่ส่งผลกระทบใดมาถึง อย่างมากก็แค่มีลมแรงพัดผ่าน
นี่คือความสำคัญของ ‘เส้นเดินเรือปลอดภัย’ ถูกพิสูจน์แล้วว่าปลอดจากภัยธรรมชาติ… หากไม่ใช่นักเดินเรือฝีมือฉกาจ การแล่นเรือพลาดแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เผชิญหายนะทันที…
ไคลน์มองไปยังทิศทางของหัวเรือ พบว่าแสงด้านหน้าค่อนข้างสลัวและมีหมอกหนา ทัศนวิสัยน่าเป็นห่วง เป็นการยากที่จะให้ระบุว่าเขตใดคือเส้นทางเดินเรือปลอดภัยด้วยตาเปล่า
สำหรับเส้นแบ่งเขตร่องน้ำเดินเรือที่ปลอดภัยกับไม่ปลอดภัย ไคลน์ไม่เคยเห็นอย่างใกล้ชิดและชัดเจนเท่านี้มาก่อน แม้กระทั่งในย่านทิศตะวันตกของเกาะโอลาวี
ขณะชายหนุ่มเตรียมเบือนหน้าหนี มันบังเอิญเห็นวัตถุขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนไหวในจุดใกล้กับขอบพายุ!
สัตว์ทะเล?
ไคลน์หวนนึกถึงตำนานและข่าวลือเกี่ยวกับสัตว์ทะเลที่เคยได้ยินในผับ
หากออกจากเส้นทางเดินเรือปลอดภัยแม้เพียงเล็กน้อย โอกาสพบสัตว์ทะเลดุร้ายจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า บางตัวมีขนาดมหึมาและนิสัยก้าวร้าว ถ้าได้โผล่ขึ้นผิวน้ำเมื่อใด พวกมันจะกัดเรือจนสะบั้นหักกลางลำ
อนาคตกาลมิได้หยุดแล่นไปข้างหน้า ไม่นานก็เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้กับวัตถุสีดำขนาดมโหฬาร
ไคลน์เริ่มเห็นอย่างชัดเจน และพบว่านั่นไม่ใช่สัตว์ทะเล แต่เป็นเรือใบลำใหญ่กว่าอนาคตกาล!
ยาวเกือบสองร้อยเมตร หัวและท้ายเรือถูกยกสูงกว่าปรกติ มองผิวเผินจะคล้ายกับจันทร์เสี้ยวสีดำทะมึน
ผิวเรือเป็นสีดำล้วน กราบเรือติดปืนใหญ่สามแถวเรียงรายสูงต่ำอย่างไม่เป็นระเบียบ เสากระโดงใหญ่หนึ่งต้นยืนขึ้นมาจากดาดฟ้าเรืออย่างโดดเด่น สูงราวตึกห้าชั้นเห็นจะได้
จุดแปลกประหลาดที่สุดก็คือการที่ลำทั้งเรือมีเสากระโดงเพียงต้นเดียว จนดูคล้ายกับหลุมศพสีดำขนาดมหึมา
“แจ้งมรณะ…” เสียงอันเคร่งขรึมเจือความหมองหม่นดังแว่วข้างหูไคลน์ แฟรงค์·ลีย้ายมายืนด้านข้างโดยไม่มีใครทราบว่าอีกฝ่ายวางปลาเกล็ดเงินลงตอนไหน
รองกัปตันอนาคตกาลเจ้าของค่าหัวเจ็ดพันปอนด์กำลังมีสีหน้าแข็งทื่อ กล้ามเนื้อใบหน้าตึงแน่น ประหนึ่งพร้อมรับศึกจากเรือใบสีดำลำใหญ่ตรงหน้าทุกเมื่อ
แจ้งมรณะ…
ไคลน์ประหลาดใจในตอนต้น แต่เพียงไม่นานก็นึกขึ้นได้ว่านามดังกล่าวหมายถึงสิ่งใด
มันคือชื่อของหนึ่งในเรือที่โด่งดังและมีตำนานเล่าขานมากที่สุดบนห้าห้วงสมุทร!
เรือธงของราชาอมตะ อาการิธ!
ได้เจอกับหนึ่งในสี่ราชาโจรสลัดเข้าจนได้…
ไคลน์พยายามเก็บซ่อนความตกใจ ภาวะตึงเครียดฉับพลันทำให้มันเกือบหลุดมาดอันเยือกเย็นของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มยังคงฉาบใบหน้าของตนด้วยความเย็นชาจนถึงที่สุด เพียงยืนจ้อง ‘แจ้งมรณะ’ อย่างไม่สั่นคลอน
ขณะเดียวกัน หลังจากตระหนักว่าตนเพิ่งได้รับคำเตือนจากจอมเชือด·จิลเซียสภายในเมืองนาสเมื่อไม่นานมานี้ ไคลน์เริ่มเบาใจ และพบเหตุผลว่าทำไม ‘แจ้งมรณะ’ ถึงแล่นอยู่ใกล้กับเกาะการ์กัส
หลังจากยกภูเขาออกจากอก ชายหนุ่มนึกทบทวนข่าวลือเกี่ยวกับราชาอมตะที่ตนเคยได้ยินจากผับ บางส่วนมีใจความตามนี้ :
โชคดีที่เรากำลังโดยสารอนาคตกาล ราชาอมตะคงเห็นแก่หน้าเฮอร์มิทบ้างไม่มากก็น้อย เธอเป็นถึงพลเรือโจรสลัด… ไม่สิ… สำหรับสี่ราชาโจรสลัดและเจ็ดนายพลโจรสลัด หากไม่ได้อยู่ในงานชุมนุมโจรสลัดที่จัดขึ้นโดยราชาแห่งห้าห้วงสมุทร พวกมันจะมีความสัมพันธ์ระหว่างกันในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเสมอ ถ้าไม่ใช่มิตรก็ศัตรู แต่โดยส่วนมากจะเป็นอย่างหลัง… หากประเมินจากสันดานของราชาอมตะ ถ้าเรือแล่นสวนกัน คงไม่จบลงแค่การทักทายธรรมดาแน่!
ขณะความคิดกำลังแล่นผ่าน ไคลน์ได้ยินเสียงแตรสัญญาณดังกังวาน
หวูด!
ลูกเรือในห้องโดยสารถูกปลุกให้ตื่นอย่างพร้อมเพรียง หลายคนไม่ใส่เสื้อ บ้างรีบตรงไปประจำการยังปืนใหญ่แต่ละกระบอก บ้างรีบมารวมตัวกันบนดาดฟ้าเรือ อนาคตกาลเปลี่ยนจากภาวะสงบสุขเป็นสงครามในพริบตา
ไคลน์เงยหน้ามอง พบว่าหน้าต่างห้องกัปตันถูกเปิดอยู่ พลเรือเอกดวงดาว·แคทลียาปรากฏกายในชุดคลุมสีดำทรงโบราณเช่นทุกที สายตาเพ่งมองไปในทิศทางของ ‘แจ้งมรณะ’
หญิงสาวมิได้สวมแว่นตาเลนส์หนา เผยให้เห็นดวงตาสีม่วงเข้มอันเป็นเอกลักษณ์ อัดแน่นไปด้วยเสน่ห์ลึกลับและน่าค้นหา
เราไม่ได้คิดไปเอง แม้แต่เธอก็ยังกังวลว่าราชาอมตะจะเปิดฉากโจมตี…
ไคลน์เบือนหน้ากลับ หันไปจ้องส่วนหัวและท้ายเรือของ ‘แจ้งมรณะ’ ที่ถูกยกสูง
ทันใดนั้น เรือสองลำเริ่มแล่นสวนกัน สองกลุ่มโจรสลัดต่างฝ่ายต่างมองเห็นกันและกันอย่างเลือนรางจากระยะไกล
โจรสลัดฝั่งตรงข้ามมองกลับมาด้วยท่าทีตอบสนองหลากหลาย บางส่วนยืนนิ่งประหนึ่งรูปปั้นไร้อารมณ์ แต่บางส่วนชักดาบออกมาควง ชักปืนออกมาเล็งขู่หรือเป่าปากกระบอก เผยท่าทียั่วยุเสียเต็มประดา
ในวินาทีนี้ แค่ไม้ขีดก้านเดียวก็มากพอจะปะทุความตึงเครียด จุดชนวนเกิดเป็นสงคราม
แต่จนแล้วจนรอด แจ้งมรณะก็มีได้ลงมือกระทำล้ำเส้น เพียงแล่นผ่านไปอย่างเงียบงัน ส่งตัวเองให้ห่างจากอนาคตกาลทีละนิด
“ราชาอมตะ·อาการิธคือชายวัยกลางคนผู้มีผิวพรรณซีดเผือด ประหนึ่งศพซึ่งพร้อมเน่าเปื่อยตลอดเวลา ในบางอาณาจักร ค่าหัวของมันจะสูงถึงหนึ่งแสนปอนด์ เหล่าผู้ที่เคยเป็นศัตรูกับมัน ไม่ว่าจะโจรสลัด นักผจญภัย หรือนายพลจากกองทัพเรือ เกือบทั้งหมดเสียชีวิตไปแล้ว เหลือเพียงราชาโจรสลัดอีกสามคนเท่านั้นที่ยังโลดแล่นจนถึงทุกวันนี้ มันไม่เคยเผชิญหน้ากับครึ่งเทพอย่างจริงจังเลยสักครั้งเดียว ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงเรื่องนี้อย่างเข้มงวดมาก แทบไม่มีใครล่วงรู้ลำดับและเส้นทางของมัน ไม่มีใครยืนยันพลังพิเศษของมันได้ สันดานป่าเถื่อน ต่ำช้า ชื่นชอบการเข่นฆ่า ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนหรือเรือลำใด มันพร้อมทำลายทิ้งอย่างไร้เหตุผล มักมีข้ออ้างในการผิดสัญญาอยู่เสมอ นอกจากฉายา ‘ราชาอมตะ’ แล้ว อาการิธยังมีอีกหนึ่งสมญานามคือ ‘ผู้กลับกลอก’ ฟู่ว…” แฟรงค์·ลีข้างไคลน์ส่งเสียงแผ่ว
มันยิ้มอีกครั้ง หันมาพูดกับชายหนุ่ม
“ฮะฮะ! มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของราชาอมตะ บ้างบอกว่าเขาเป็นครึ่งเทพ บ้างก็บอกว่าเขาอยู่แค่ลำดับ 5 แต่เป็นเพราะ ‘แจ้งมรณะ’ พลังโดยรวมจึงเทียบเท่าลำดับ 4 อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าอายุขัยของชายคนนั้นยาวมาก… จริงสิ… จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาผสมพันธุ์กับปลาของผม? อายุขัยของปลาจะเพิ่มขึ้นจากเดิมรึเปล่า?”
แฟรงค์เริ่มมีความหวัง
ก่อนอื่น นายต้องจับตัวราชาอมตะให้ได้ หรือไม่ก็ทำให้หมอนั่นอยากอึ๊บปลาของนาย…
ไคลน์รำพัน หันไปกล่าวอย่างเยือกเย็น
“เรื่องนี้ต้องไปปรึกษากับเจ้าตัว”
แฟรงค์·ลีผงะเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจ
“เขาคงไม่เห็นด้วยแน่ และจับผมฝังดินทันที”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง แจ้งมรณะที่แล่นห่างออกไปจากอนาคตกาล เกิดหันหัวเรือกลับกะทันหัน
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะอันแหลมลึกและแฝงความชั่วร้ายอย่างเต็มเปี่ยม พลันแผ่ปกคลุมน่านน้ำรอบอนาคตกาลทุกซอกมุม
“ฮะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ฮะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
เสียงหัวเราะอันน่าขนลุก ดังกึกก้องไปรอบผืนทะเลอย่างต่อเนื่อง บ้างแหบพร่า บ้างยุ่งเหยิง บ้างคล้ายเสียงกระซิบ บ้างเหมือนเสียงร้องเพลง ลูกเรืออนาคตกาลล้มลงไปกองกับพื้นทีละคนสองคน สองมือเลื่อนปิดใบหู นอนดีดดิ้นด้วยสีหน้าทุกข์ทรมาน
บางคนเริ่มมีเกล็ดปลาผุดขึ้นบนผิวหนัง
แม้แต่ไคลน์ก็มิอาจรอดพ้น สมองของมันเต็มไปด้วยห้วงความคิดอันหลากหลาย ทั้งเรื่องดี เรื่องแย่ เบิกบาน หดหู่ และหม่นหมอง
ทั้งหมดซ้อนทับกับอย่างยุ่งเหยิง ผนวกกับเสียงหัวเราะที่ดังสอดแทรก สมองจึงถูกบีบรัดราวกับพร้อมระเบิดออกมาทุกเมื่อ
ใบหน้าของไคลน์เริ่มบิดเบี้ยว ตุ่มเนื้อขนาดเล็กที่ยากมองเห็นเริ่มเคลื่อนไหวใต้ชั้นผิวหนัง
หากไม่มีภูมิคุ้มกันจากเสียงกระซิบของพระผู้สร้างแท้จริง เสียงเพรียกของมิสเตอร์ประตู และเสียงโหยหวนขณะส่งตัวเองเข้าสู่มิติหมอก ไคลน์คงได้รับผลกระทบแบบเดียวกับผู้เชี่ยวชาญพิษที่กำลังทุรนทุรายด้านข้างตนในสภาพก้มหมอบต่ำ สองมือประคองศีรษะด้วยร่างกายสั่นเทา
ไคลน์พบว่า บนใบหน้าของแฟรงค์เริ่มมีเส้นขนสีน้ำตาลงอกยาว คล้ายกับมนุษย์คนหนึ่งกำลังจะกลายร่างเป็นหมียักษ์
ทันใดนั้น อักขระเวทมนตร์และลวดลายซับซ้อนตามผนังและต้นเสาของอนาคตกาลพลันส่องแสงพราวพราย ดุจดังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแต่ปราศจากดวงจันทร์
เสียงหัวเราะอันแหลกลึก สยองขวัญ และแหบพร่ายังคงดังอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ คล้ายกับมันถูกขับไล่ให้ห่างออกไปจากอนาคตกาลมากขึ้นทีละนิด เริ่มเจือจางลงจนดูเหมือนเป็นเพียงเสียงมายา
อาการวิงเวียนของไคลน์บรรเทาลงรวดเร็ว ชายหนุ่มเริ่มมีสติพอจะเงยหน้าสำรวจ
ภายในห้องกัปตันที่หน้าต่างกำลังเปิดกว้าง ใบหน้าอันงดงามของพลเรือเอกดวงดาวกำลังปรากฏความหมองคล้ำ กล้ามเนื้อแน่นตึงประหนึ่งพร้อมระเบิดปะทุได้ทุกเมื่อ
พร้อมกันนั้น แคทลียาใช้ฝ่ามือวางลงบนกรอบหน้าต่าง ร่างกายของเธอเริ่มมีมวลหมู่ดวงดาวรายล้อม ส่องแสงระยิบระยับสะท้อนกับผิวของน้ำทะเลเบื้องล่าง สอดประสานกับความงดงามของอักขระเวทมนตร์บนอนาคตกาล
ฟ้าว!
สายลมเริ่มก่อตัวจากความว่างเปล่า ใบเรือหมุนปรับทิศทางด้วยตัวเอง ช่วยให้อนาคตกาลซึ่งปราศจากลูกเรือคอยควบคุม แล่นไปบนผิวน้ำด้วยความเร็วที่สูงกว่าในยามปรกติหลายเท่า
ไคลน์มองเข้าไปในห้องพักซึ่งเคยมีภาพดวงตาปรากฏในตอนกลางวัน แต่ก็พบเพียงฉากผ้าม่านกระพือเพราะถูกสายลมแรงพัดผ่าน ไม่มีความผิดปรกติใดนอกจากนั้น
ฟ้าว!
เมื่อสายลมแรงผนวกเข้ากับ ‘สะพานดาว’ ซึ่งเกิดจากมวลหมู่ดวงดาวเรียงตัวเป็นทางยาว อนาคตกาลเริ่ม ‘พุ่ง’ ไปข้างหน้าด้วยความเร็วอันน่าทึ่งประหนึ่งกำลัง ‘โบยบิน’ ไปบนท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดาราพราวพราย
จนกระทั่ง แจ้งมรณะหายไปจากการมองเห็นโดยสมบูรณ์ เสียงหัวเราะอันน่าขนลุกที่มีพลังทำให้ผู้คนคลุ้มคลั่ง เริ่มจางลงจนกลายเป็นเพียงเสียงมายา และห่างไกลออกไปจนแทบไม่ได้ยิน
แฟรงค์ลดสองมือลง อ้าปากค้างพลางหายใจเข้าออกอย่างเชื่องช้า ลูกเรือคนอื่นบนดาดฟ้ายังคงนอนกองกับพื้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด แต่อย่างน้อยอาการก็ไม่แย่ลงจากเดิม
ราชาอมตะแข็งแกร่งสมคำร่ำลือ เป็นพลังที่หมดสิทธิ์ป้องกันโดยสิ้นเชิง… สมแล้วที่เป็นหนึ่งในสี่ราชาโจรสลัด…
ไคลน์ขมวดคิ้ว ถอนหายใจยาวด้วยความรู้สึกหลากหลาย
แม้จะเคยผ่านประสบการณ์ทางอ้อมหลายหน แต่นี่คือครั้งแรกอย่างแท้จริง ที่มันถูกโจมตีจากตัวตนระดับครึ่งเทพโดยตรง พร้อมกับได้ตระหนักว่า แม้อาการิธจะเป็นราชาโจรสลัดอันดับท้ายสุด แต่ก็แข็งแกร่งพอจะทำให้ตนกลายเป็นเพียงทารกแรกเกิด หมดโอกาสขัดขืนโดยสิ้นเชิง
จากสันดานของอาการิธ มันอาจสั่งให้แจ้งมรณะไล่ตามอนาคตกาล… ถึงจุดประสงค์หลักคือการจอดรอจอมเชือด·จิลเซียส แต่ก็ยังตัดประเด็นดังกล่าวออกไปไม่ได้… ถ้าไล่ตามมาจริง เราจะสวดวิงวอนถึงเทพสมุทร อาศัยพลังของคทาสร้างลมพายุและวังวนคลื่นสมุทร จากนั้นก็กระหน่ำสายฟ้าเข้าใส่…
หลังจากวางแผนเสร็จ ไคลน์แหงนหน้าขึ้นไปมองแคทลียา
ใบหน้าของพลเรือเอกดวงดาวกำลังขาวซีด แต่ปราศจากร่องรอยความหมองคล้ำในตอนแรก ประกายดวงดาวเริ่มสลายไปทีละนิด
……………………
ราชันเร้นลับ 645 : ทำให้สงบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อดวงดาวระยิบระยับรอบตัวเลือนหายไปอย่างสมบูรณ์ แคทลียาก้มหน้าลง กล่าวกับแฟรงค์·ลีที่เพิ่งคืนสติกลับมา
“ทำให้พวกเงาสงบลง” เธอหมายถึงลูกเรือคนอื่นที่ยังคงเผชิญความเจ็บปวด
สิ้นเสียงพูด แคทลีนาหันหลังกลับ หน้าต่างถูกเลื่อนปิดพร้อมเสียง ‘ปึง’
ทันใดนั้น ไคลน์บังเอิญเห็นเถาวัลย์สีเขียวเลื้อยขึ้นจากพื้นห้อง บรรจงรัดพันร่างกายพลเรือเอกดวงดาวอย่างอ่อนโยน
เนื่องจากไม่มีกลิ่นอายความชั่วร้าย ไคลน์จึงเชื่อว่านี่คงเป็นพิธีกรรมสำหรับพื้นฟูร่างกายของเธอเอง
เป็นพลังพิเศษของเส้นทาง หรือพลังจากสมบัติวิเศษ? น่าแปลก เธอรีบรักษาตัวเองโดยปราศจากความกังวล ปล่อยให้แฟรงค์จัดการกับสมาชิกบนเรือได้อย่างอิสระ ไม่กลัวว่าจะถูกแจ้งมรณะไล่ตามจากด้านหลังบ้างหรือ?
การพุ่งครั้งสุดท้ายของอนาคตกาลช่วยให้เรือแล่นมาไกลแค่ไหน?
ไคลน์ก้มหน้าลง หันไปทางแฟรงค์·ลีด้านข้าง
นอกจากจะเป็นผู้เชี่ยวชาญพิษ ชายคนนี้ยังเป็นหมอที่ไว้ใจได้ แฟรงค์นำท่อสายยางซึ่งพันกันยุ่งเหยิงออกจากกระเป๋า ปลายข้างหนึ่งเชื่อมกับขวดแก้วใบเล็ก อีกข้างเชื่อมติดกับเข็มฉีดยาปลายแหลม
“ยาระงับประสาทที่ผมคิดขึ้นเอง” แฟรงค์·ลียิ้มโดยยังเผยสีหน้าเจือความหวาดกลัว
ฉันเคยซื้อของที่คล้ายกันมา แต่ก็ให้ ‘ซอมบี้’ มาริคใช้ไปหมดแล้ว…
ไคลน์มองไปรอบตัว
“แต่ขวดแค่นี้อาจไม่พอ”
“เปล่า อันนี้ไม่ใช่ของลูกเรือ ผมต้องหาผู้ช่วยเพิ่มก่อน ฮะฮะ! สำหรับลูกเรือ พวกเขามักเอะอะโวยวายเสียงดังตอนเมาเสมอ ผมจึงคิดค้นเบียร์ที่มีสรรพคุณเหมือนกับยาระงับประสาท” แฟรงค์อธิบายอย่างเป็นกันเอง
แอบจ่ายยาโดยไม่ถามความยินยอมคนไข้…
ไคลน์พยายามรั้งมุมปากมิให้กระตุก
ในที่สุดมันก็ตระหนักว่า แฟรงค์·ลีควรค่าแก่ฉายา ‘ผู้เชี่ยวชาญพิษ’ มากเพียงใด
เพียงเพราะโจรสลัดเอะอะเสียงดัังขณะเมา แฟรงค์ถึงกับต้องปรับแต่งเบียร์ให้มีฤทธิ์กล่อมประสาทโดยไม่รู้สึกรู้สา คิดว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว…
โดยเนื้อแท้แล้ว เขาเป็นคนดีและจริงใจมาก แถมยังมุ่งมั่นกับอุดมคติของตัวเอง…
แต่ในบางมุม ชายคนนี้คือซาตาน…
โบสถ์พระแม่ธรณีทำพลาดตรงไหน ถึงให้กำเนิดนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องแสนอันตรายขึ้นมาได้…
ไคลน์ควบคุมสีหน้า เดินตามแฟรงค์·ลีไปสักพักจนพบนีน่าที่นอนอยู่ในเงามืดของกำแพง
โจรสลัดร่างใหญ่เกิดมาตรฐานกำลังนอนงอตัวด้วยสีหน้าเจ็บปวด มือข้างหนึ่งข่วนพื้นไม้ของดาดฟ้าจนเกิดเสียงครืด คราบเลือดสีแดงปรากฏเป็นเส้นยาว
ฉากตรงหน้าถึงกับทำให้ไคลน์เสียวปลายนิ้ว
“เกอร์มัน ช่วยผมจับเธอตรึงหน่อย” แฟรงค์กล่าวพลางถือเข็มฉีดยาและท่อสายยาง
ไคลน์ไม่ปฏิเสธ และไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงนั่งยองลงพร้อมกับใช้มือกดหลังนีน่า
เพียงปลายนิ้วสัมผัส ฝ่ามือของชายหนุ่มเกิดลื่นหลุดออกตลอดเวลา ยากจะจับให้แน่นกระชับฝ่ามือ เหตุเพราะมิใช่อีกฝ่ายเป็นหญิง แต่เพราะใต้ชั้นผิวหนังมีเกล็ดปลาปกคลุม
ไคลน์ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ อาศัยการควบคุมร่างกายจากตัวตลก เล็งจับบ่านีน่าพร้อมกับเกร็งปลายนิ้ว
แต่อย่างไรก็ตาม แรงฮึดของนีน่าทรงพลังกว่าไคลน์อย่างมาก ส่งผลให้ปลายนิ้วเริ่มเจ็บและเกิดอาการชา บีบจับได้อย่างไม่มั่นคง
สมกับเป็นลำดับ 7 แห่งเส้นทางลูกเรือ ตรงข้ามกับเราที่ไม่ถูกเสริมกล้ามเนื้อมากนัก… เฮ่อ… ถ้าไม่ต้องกังวลเรื่องอาหาร ป่านนี้คงเปลี่ยนเป็นยุบพองหิวโหยและใช้พลัง ‘ซอมบี้’ เพื่อกดเธอให้แน่นิ่ง…
ขณะความคิดแล่นผ่าน ไคลน์ชำเลืองแฟรงค์ที่เดินเข้ามาใกล้และใช้หัวเข่ากระแทกใส่แผ่นหลังนีน่าอย่างไม่เกรงใจ
ด้วยกล้ามเนื้ออันบึกบึน นีน่าแน่นิ่งในทันที
พลังทางกายของ ‘นักเพาะปลูก’ ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน… แต่ถึงอย่างนั้น มิสเตอร์แฟรงค์·ลี ด้วยกริยาท่าทางอันหยาบคาบและป่าเถื่อนของนาย เกรงว่าชาตินี้คงหาแฟนไม่ได้แน่… แต่นายคงมิได้ใส่ใจกับเรื่องนี้อยู่แล้ว อาจมีลูกโดยการปลูกขึ้นจากดิน…
ไคลน์รำพัน ดวงตาจ้องแฟรงค์·ลีแทงเข็มฉีดยาเข้าไปในหลังมือนีน่า
หลังจากได้รับยากล่อมประสาทขวดเล็กเข้าไป นีน่าหยุดการดิ้นรนทันที ไคลน์เห็นดังนั้นจึงคลายมือและลุกขึ้นยืน
ไม่กี่วินาทีถัดมา นีน่าสางผมพลางประคองตัวยืนในลักษณะทุลักทุเล หันไปบ่นกับแฟรงค์ด้านข้างอย่างหัวเสีย
“ทำไมนายถึงต้องทำตัวป่าเถื่อนเหมือนกับหมีควายทุกครั้ง! จะนุ่มนวลบ้างไม่ได้เลยหรือ”
ขณะกล่าว หญิงสาวสะบัดมือ ไม่ปกปิดความเจ็บปวดที่เผยทางสีหน้า
แตกต่างจากเมื่อครั้งดำน้ำ ตอนนี้นีน่ากำลังสวมเสื้อลินินและแจ็คเก็ตสีน้ำตาล กลมกลืนไปกับโจรสลัดทั่วไป
แฟรงค์ไม่สนใจเสียงบ่นของหญิงสาว เพียงหันกลับไปซักถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ฉันป่าเถื่อนตรงไหน?
“เรื่องนั้นช่างเถอะ ตอนนี้เราต้องรีบช่วยเหลือพวกเขา
“เธอรีบเข้าไปเอาถังเบียร์ออกมา เราจะนำไปป้อนคนที่กำลังแย่
“เกอร์มัน ถ้าไม่รังเกียจ คุณช่วยพวกเราอีกแรงได้ไหม”
ไคลน์หันไปจ้องลูกเรือจำนวนมากที่กำลังนอนบิดตัวบนพื้นดาดฟ้า ใครครวญสักพัก
“แค่ให้พวกเขาสงบลงก็พอใช่ไหม”
“ถูกต้อง” แฟรงค์·ลีรีบพยักหน้ารับ
“ซัดให้หมดสติแทนได้ไหม”
ไคลน์ถามเสียงเย็น
ผลลัพธ์ก็เหมือนกับยากล่อมประสาท แถมยังมีประสิทธิภาพสูงกว่ามาก…
ชายหนุ่มแอบเสริม
นีน่าหันขวับด้านข้างด้วยใบหน้าตกตะลึง หมดคำจะกล่าวสักพักใหญ่
แฟรงค์·ลีครุ่นคิดอย่างจริงจัง
“แบบนั้นก็ได้”
“ตกลง” ไคลน์เดินไปหยิบมีดยาวที่มองเล็งไว้สักพักแล้ว หยิบมันขึ้นมาและใช้สันทื่อกระแทกใส่เจ้าของมีด
พล่อก!
ภายใต้การควบคุมอันแม่นยำ โจรสลัดที่กำลังนอนทุรนทุรานพลันแน่นิ่ง หลับสนิทในพริบตา
นีน่ายืนจ้องอย่างตกตะลึง ก่อนจะรีบเรียกสติตัวเองกลับมา
เธอเดินผ่านไป ลดความเร็วลง หัวเราะในลำคอเสียงแผ่ว
“ฉันเคยได้ยินข่าวลือของคุณมามาก แต่ไม่คิดว่าตัวจริงจะยิ่งกว่าข่าวลือเช่นนี้ เพราะโดยมากแล้วมักตรงกันข้าม
“เอ่อ… คงเป็นเพราะความคิดของคุณมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร แตกต่างจากพวกเรา… คุณเหมือนกับแฟรงค์ คงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงสนิทสนมกับแฟรงค์ได้เร็ว”
ผิดแล้วสาวน้อย ในหมู่คนเสียสติก็ยังมีระดับความวิกลจริตแบ่งแยกอยู่ และเกอร์มัน·สแปร์โรว์ยังไม่ถึงขั้นแฟรงค์…
ไคลน์ทำหน้าขรึม รำพันในใจ
ชายหนุ่มไม่สนใจคำพูดนีน่า เพียงเดินถือมีดยาวไปตามดาดฟ้าเรือ นำสันทื่อซัดใส่ลูกเรือทีละคนจนสลบเหมือด ปล่อยให้ตื่นขึ้นมาเองตามธรรมชาติ
ในตอนแรก แฟรงค์ต้องการทำแบบเดียวกัน แต่ถูกนีน่าย้อนถามว่า ‘นายแน่ใจนะ ว่าจะไม่พลั้งมือฆ่าพวกเขา’ จึงตัดสินใจพับเก็บความคิดดังกล่าวทันที กลับเข้าห้องเสบียงและยกถังเบียร์ออกมาใช้ตามแผนเดิม
พลั่ก! ผัวะ! พล่อก!
ขณะไคลน์กำลังเดินเคาะไปตามดาดฟ้าเรืออย่างสนุกสนาน มันเห็นชายวัยห้าสิบสวมหมวกปลายแหลมคนหนึ่ง กำลังคืนสติจากความเจ็บปวดด้วยตัวเองโดยไม่ต้องถึงมือตน
เมื่อเห็นนักผจญภัยเสียสติย่างกรายเข้าใกล้ ชายชรารีบพยุงตัวยืน โพล่งขึ้นอย่างลนลาน
“ม…ไม่จำเป็น! ฉันสบายดี!
“ฉันหายแล้ว!”
ไม่ต้องบอกก็รู้…
ไคลน์ฝืนกลั้นยิ้ม เบือนหน้าหนีไปทางหัวเรือ
ชายชราเริ่มแนะนำตัว
“ฉันคือต้นหนของอนาคตกาล อ็อตโตลอฟ”
ต้นหนเรือ…?
ไคลน์มองไปด้านข้าง พบหนังสือมากมายกระจัดกระจายรอบตัวอ็อตโตลอฟ บ้างหงายปก บ้างคว่ำหน้า และบ้างกางออก
“ฮะฮะ! ฉันตกลงมาจากข้างบนพร้อมกับหนังสือเหล่านี้ จนกระทั่งเมื่อครู่ พวกมันก็แสดงอาการผิดปรกติไม่ต่างกัน” อ็อตโตลอฟเล่า
ไคลน์จ้องเข้าไปในดวงตา และพบว่าเป็นสีฟ้าอ่อนคล้ายน้ำทะเลลึก
ไม่ใช่ดวงตาที่แอบจ้องเราเมื่อตอนกลางวัน… แต่เป็นดวงตาที่คล้ายกับพลเรือเอกดวงดาว… คงมาจากเส้นทางเดียวกันกระมัง…
ไคลน์พิจารณาอย่างสนใจ พลางชำเลืองไปทางแฟรงค์และนีน่าที่กำลังช่วยทำให้ลูกเรือคนอื่นสงบลง
ขณะชายหนุ่มเตรียมหันไปยังท้ายเรือเพื่อดูว่า ‘แจ้งมรณะ’ ตามมาหรือไม่ อ็อตโตลอฟรีบโพล่งอย่างตกใจ
“ระวัง!”
ซ่า!
คลื่นทะเลขนาดมหึมาซัดเข้าที่หัวเรืออย่างจัง อนาคตกาลมีอันต้องสั่นคลอนไปทั้งลำ
หากไม่มีพลังตัวตลกช่วยรักษาสมดุล ไคลน์คงหัวคะมำเหมือนกับแฟรงค์ในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มมิอาจหลบหลีกละอองน้ำเค็มที่สาดกระเซ็นลงมายังทุกซอกมุมดาดฟ้าเรือ
หวังว่าที่นี่จะมีเตารีดไอน้ำ… คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากนักผจญภัยเสียสติจะรีดผ้าเอง ถ้าไม่รีดผ้าคงแปลกกว่า… ตอนนี้ต้องสวมเสื้อผ้าชนพื้นเมืองของหมู่เกาะรอสต์ไปก่อน…
ไคลน์วางแผนเสร็จสรรพ
มันเงยหน้าขึ้นและพบกับพายุหลายลูกในแต่ละจุดของทะเล รวมถึงคลื่นยักษ์สูงใหญ่ดุจดังขุนเขา สายลมรอบตัวรุนแรงและหยาบกร้าน เสียงฟ้าร้องคำรามดังแว่วอย่างต่อเนื่อง
อนาคตการแล่นออกจากเส้นทางเดินเรือปลอดภัย? การ ‘พุ่ง’ ครั้งนั้นไม่เพียงช่วยให้รอดพ้นจากแจ้งมรณะ แต่ยังทำให้เรือออกนอกเส้นทางด้วย…
ไคลน์ยืนมองอ็อตโตลอฟ นีน่า แฟรงค์ และ ‘ไร้เลือด’ ฮีท·ดอยล์กำลังช่วยกันปลุกลูกเรือให้ตื่นจากอาการสลบ จากนั้น ทุกคนเริ่มยุ่งวุ่นวายอยู่กับการฟื้นฟูอนาคตกาล
ภายใต้การร่วมแรงร่วมใจ อนาคตกาลหักหัวเลี้ยวทันเวลา ฝ่าคลื่นลูกใหญ่ พายุสายฟ้า และกลับไปยังเส้นทางปลอดภัยได้อย่างฉิวเฉียด
เมื่อทุกอย่างสงบลง ไคลน์คลายมือออกจากยันต์เทพสมุทร หายใจเข้าออกอย่างผ่อนคลาย
ลองมองย้อนกลับไป มันเริ่มหายใจทั่วท้องเมื่อไม่เห็นแจ้งมรณะไล่ตามมา พลางคิดครุ่นว่า ค่ำคืนนี้ช่างเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
หลังจากกวาดตารอบตัวและพบโจรสลัดหลายคนกำลังจับศีรษะด้วยสีหน้าเจ็บแปลบ บ้างดูอ่อนเพลียและไร้เรี่ยวแรง ประหนึ่งพร้อมล้มลงทุกเมื่อ ไคลน์รีบเดินออกจากดาดฟ้าด้วยความสำนึกผิด ตรงไปยังห้้องพัก ถอนหายใจแผ่วเบาจากก้นบึ้ง
ออกจากเกาะการ์กัสได้ไม่นาน เรือทั้งลำก็เกือบถูกทำลาย… การเดินทางตามหานางเงือกไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด…
หลังจากขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ไคลน์เริ่มชะลอฝีเท้าขณะเดินผ่านห้องกัปตัน เพ่งสายตาพิจารณาอย่างละเอียด และพบว่าตามซอกประตูเต็มไปด้วยใบไม้สีเขียว คล้ายกับโลกภายในและภายนอกถูกตัดขาดออกจากกันโดยสมบูรณ์
มันรีบเบือนหน้ากลับ เดินเข้าห้องพัก สมองไตร่ตรองว่าตนควรสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลหรือไม่ เพื่อให้มองเห็นภาพกว้างของทะเลโดยรอบ เผื่อว่าแจ้งมรณะแล่นเข้ามาใกล้ จะได้มอบบทเรียนแก่ราชาอมตะ·อาการิธอย่างสาสม สั่งสอนว่าไม่ควรเล่นสนุกส่งเดช
คงไม่ดีนัก… ที่นี่มี ‘ดวงตา’ คอยจับตามอง เราไม่ควรทำเรื่องสุ่มเสี่ยง อีกทั้ง สายฟ้าเพียงสองสามเส้นคงทำอันตรายราชาอมตะไม่ได้ อย่างมากก็ทำให้ตกใจ ไม่คุ้มกับความเสี่ยง…
ห้ามปล่อยให้ความโกรธครอบงำเด็ดขาด… ต้องรอจนกว่าจะเลื่อนลำดับแล้วเท่านั้น!
ไคลน์ระงับความปรารถนาที่จะเอาคืน
ราชันเร้นลับ 646 : สมุดเวทมนตร์ของเลมาโน่
โดย
Ink Stone_Fantasy
กรุงเบ็คลันด์ ด้านนอกสถานีรถไฟใต้ดิน
ฟอร์สสวมหมวกติดตาข่ายคลุมหน้าสีดำ ทัดดอกไม้สีฟ้า ยืนรออาจารย์โดเรี่ยน·เกรย์
ฝนกำลังโปรยลงบนถนน ลมหนาวพัดขึ้นมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน หญิงสาวนักเขียนนิยายขายดีเริ่มออกอาการสั่นเทาพร้อมกับตระหนักว่า เธอดูแคลนสภาพอากาศกรุงเบ็คลันด์เกินไป
ไม่น่าเชื่อว่าซิลจะออกมาข้างนอกได้ตลอดทั้งปีโดยไม่มีวันหยุดพัก… ถ้าจำไม่ผิด เธอเคยเล่าให้ฟังว่า ก่อนบิดาจะเสียชีวิต เธอแทบไม่เคยลุกออกจากเตียงนอกจากตอนไปเข้าห้องน้ำ เพราะมีคนรับใช้คอยประเคนอาหารถึงเตียงนอนทุกมื้อ แต่ในปัจจุบัน เธอต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่และกลับดึกทุกวันโดยไม่แยแสสภาพอากาศ จับอาชญากรคนแล้วคนเล่นโยนเข้าตาราง…
ครุ่นคิดถึงตรงนี้ ฟอร์สอดชื่นชมซิลไม่ได้
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่เพียงเจ้าพนักงานหญิงจะชำระหนี้เก่าจนหมด แต่ยังสามารถออมเงินเพิ่มได้อีกถึงสองร้อยปอนด์!
ต้องยอมรับว่า เจ้าพนักงานคือเส้นทางที่เหมาะแก่การประกอบอาชีพนักล่าค่าหัวอย่างมาก ขอเพียงเจาะจงเลือกเหยื่อที่มีลำดับต่ำกว่าตัวเอง…
ขณะความคิดฟอร์สกำลังกระจัดกระจาย สายตาเธอเหลือบเห็นบุคคลที่คุ้นเคย
อีกฝ่ายคือสุภาพบุรุษรูปร่างสันทัด สวมโค้ทสีดำที่นิยมอย่างมากในกรุงเบ็คลันด์ หมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง ไหล่กว้างจนเกือบจะผิดปรกติ
นี่คืออาจารย์ของฟอร์ส สมาชิกที่หลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนของตระกูลอับราฮัม
โดเรียน·เกรย์·อับราฮัม
ฟอร์สเผยสีหน้าโล่งใจ ยกร่มขึ้นพร้อมกับเดินไปหาอีกฝ่าย
เนื่องจากถนนเต็มไปด้วยผู้คน ฟอร์สจึงเข้าใกล้อาจารย์ของตนได้ไม่ง่ายนัก ขณะยังเหลือระยะห่าง เธอบังเอิญเห็นอาจารย์ยกกำปั้นขึ้นมาทาบบนกระดุมเม็ดแรกของเสื้อ
สัญญาณนี้มัน… อันตราย!
ฟอร์สรีบเบือนหน้าหนีอย่างเป็นธรรมชาติ หันไปยิ้มให้สุภาพบุรุษหนุ่มด้านหลัง ก่อนจะเดินออกจากแถว ผ่านโดเรียน·เกรย์ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตระกูลเก่าแก่อย่างอับราฮัมย่อมมีประสบการณ์โชกโชน หลังจากได้รับความเสียหายหนแล้วหนเล่า พวกมันพัฒนาภาษากายเพื่อเอาตัวรอดในสังคม แน่นอน โดเรียนย่อมเคยนัดแนะกับฟอร์สไว้เบื้องต้น และสัญญาณเมื่อครู่หมายถึง : อย่าเพิ่งเข้าใกล้ อยู่ห่างเอาไว้ก่อน!
สุภาพบุรุษหนุ่มด้านหลังเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เดินเข้ามาถมช่องว่างของฟอร์สพร้อมกับกดหมวกขอบคุณ
ถนนด้านนอกยังคงมีฝนตกพรำ ฟอร์สตัดสินใจเดินวกวนผ่านหลายซอยหลากถนน ก่อนจะเช่ารถม้าตรงไปยังโรงแรมแฮตทริกบนถนนปรารถนา เขตเชอร์วู้ด ซึ่งโดเรียน·เกรย์จองไว้ล่วงหน้า
อาศัยประสบการณ์หลายปีจากชุมนุมลับในกรุงเบ็คลันด์ ฟอร์สเช่าห้องข้างเคียงที่สามารถมองเห็นถนน มองไปนอกหน้าต่างอย่างใจเย็น คอยสังเกตแขกเข้าออกโรงแรม
ในที่สุด เธอเห็นโดเรียน·เกรย์ลงจากรถม้า ย่างกรายผ่านประตูโรงแรม
ฟอร์สรีบหมุนตัว เดินไปซ่อนตรงมุมบันได จนกระทั่งพบอาจารย์ของตนถูกพนักงานโรงแรมนำทางขึ้นมา
รอสักพักจนมั่นใจ หญิงสาวถอดหมวก ขยี้หัวตัวเองให้ผมกระเซิง เดินไปหยุดยืนหน้าห้องหมายเลข 2016 พร้อมกับเคาะประตู
แผนการของเธอไม่ซับซ้อน หากโดเรียน·เกรย์ยืนยันว่าเหตุการณ์ปรกติ เธอก็จะเข้าไป แต่ถ้าไม่ เธอจะแสร้งทำเป็นเข้าห้องผิด หรือไม่ก็ทำตัวเป็นโสเภณีที่กำลังมองหาลูกค้า
ประตูห้องบรรจงเปิดพร้อมกับเสียงเสียดสีของแผ่นไม้ โดเรียน·เกรย์จ้องฟอร์สสักพัก ก่อนจะมองไปยังทางเดินด้านหลัง
จากนั้น มันยกมือขวาขึ้น กางออกห้านิ้วและทาบลงบนกระดุมเม็ดที่สอง
สัญญาณดังกล่าวหมายถึง ทุกสิ่งอยู่ในการควบคุม ความผิดปรกติได้จบลงแล้ว
ฟอร์สหายใจทั่วท้อง รีบพรวดเข้าไปในห้อง
“อาจารย์ เกิดอะไรขึ้นหรือคะ?” หญิงสาวซักถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเจือความกังวล
โดเรียนปิดประตู เผยรอยยิ้มขื่นขม
“บังเอิญเห็นคนรู้จักเข้า”
มันถอนหายใจพลางกล่าวเสริม
“ศัตรูน่ะ”
อีกฝ่ายคืออดีตศิษย์ของโดเรียน โดยในภายหลังได้ก่อกบฏร่วมกับ ‘นักท่องเที่ยว’ โบทิสจนเหล่าอาวุโสของตระกูลอับราฮัมได้รับความเสียหายใหญ่หลวง
เท่าที่โดเรี่ยนทราบ อดีตศิษย์ของตนได้เข้าร่วมกับชุมนุมแสงเหนือและอาจเป็นหนึ่งในยี่สิบสองผู้ส่งสารแห่งเทพ
“หน้าตาเป็นเช่นไร แข็งแกร่งแค่ไหนคะ?”
ฟอร์สถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
โดเรียนเงียบสักพัก อธิบายอย่างคร่าว
“ผม ลอว์เรนซ์ ลาโบโร่ และอาริสา พวกเราเป็นสมาชิกขององค์กรแห่งหนึ่ง โดยภายหลังถูกใครบางคนทรยศจนได้รับความเสียหายร้ายแรง ชายคนนั้นคือหนึ่งในผู้ทรยศ”
มันมิได้เล่าถึงตระกูล มิได้เล่าถึงความขัดแย้งระหว่างศิษย์ภายนอกและสมาชิกสายเลือดแท้ของอับราฮัม เนื่องจากเกรงว่าฟอร์สอาจมีอารมณ์ร่วมโดยไม่จำเป็น
“น่ารังเกียจมาก!” ฟอร์สพลันฉุนเฉียวเมื่อหวนนึกถึงความใจดีของอาริสาและลอว์เรนซ์
“เอาล่ะ เลิกคุยเรื่องน่าหงุดหงิดกันดีกว่า”
โดเรียนนำแผ่นกระดาษที่ถูกพับทบหลายชั้นออกจากช่องลับกระเป๋าเสื้อ ส่งให้ฟอร์สและกล่าว :
“นี่คือสูตรโอสถ ‘โหราจารย์’ ความเร็วในการย่อยโอสถนักตุกติกของคุณน่าทึ่งมาก ถือเป็นเรื่องชวนให้ประหลาดใจมากที่สุดในรอบสิบปีของผม”
“ดิฉันยอมลงทุนสมัครงานในคณะละครสัตว์เลยนะคะ” ฟอร์สไม่คิดปิดบัง เธอมองว่าเรื่องนี้คือสิ่งที่ควรโอ้อวดอย่างภูมิใจ
กล่าวจบ หญิงสาวคลี่กระดาษออก เตรียมจดจำรายละเอียดของสูตรโอสถโหราจารย์
ขณะเดียวกัน โดเรียนพยักหน้าอย่างโล่งใจ
“ต้องขอโทษด้วย แต่เนื่องจากความเสียหายร้ายแรงครั้งล่าสุดขององค์กร ผมจึงหาวัตถุดิบหลักมาให้คุณไม่ทันเวลา ถือว่าเป็นบททดสอบที่ผมมอบให้ก็แล้วกัน แต่ว่า ผมมีของขวัญอื่นชดเชยให้”
ขณะกล่าว โดเรียน·เกรย์หยิบสมุดบันทึกขนาดเท่าฝ่ามือออกจากกระเป๋า เป็นสมุดปกแข็งสีเขียวทองแดง มอบกลิ่นอายความโบราณ
สมุดบันทึกประกอบด้วยกระดาษสามชนิดเรียงจากมากไปน้อยคือ หน้าสีเหลืองอ่อน มีน้อยมาก เพียงสามแผ่นถ้วน หน้าสีน้ำตาลเหลือง คล้ายกระดาษหนังสัตว์ มีประมาณสิบแผ่น และหน้าที่เหลือเป็นกระดาษขาวธรรมดา บนปกมีข้อความภาษาฟุซัคโบราณเขียนไว้หนึ่งประโยค :
“ข้าบรรลุ ข้าประจักษ์ ข้าบันทึก”
ฟอร์สละสายตาจากสูตรโอสถโหราจารย์ จ้องสมุดบันทึกสักพักจนกระทั่งจดจำได้ว่า มันคือของต่างหน้าที่ลอว์เรนซ์เหลือทิ้งไว้ และเธอเคยถ่อไปถึงท่าเรือพริสต์เพื่อนำสิ่งนี้ไปให้โดเรี่ยน!
โดเรี่ยนยิ้ม
“ผมเชื่อว่าคุณคงคุ้นเคยกับมันอยู่แล้ว”
เมื่อเห็นฟอร์สพยักหน้า มันถอนหายใจ
“นี่คือสมบัติวิเศษที่ทรงพลังมาก อย่างน้อยก็ติดหนึ่งในห้าเท่าที่ผมเคยเห็น ผมไม่ได้เปรียบเทียบว่าอันไหนดีกว่ากัน เพียงแต่เมื่อพิจารณาจากผลข้างเคียงที่น้อยและสามารถขจัดได้ง่าย องค์ประกอบภาพรวมทำให้มันกลายเป็นสมบัติวิเศษมูลค่าสูง”
“ชื่ออะไรหรือคะ แล้วผลข้างเคียงเป็นยังไง” ฟอร์สเก็บความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่
โดเรียนลูบปกสมุดบันทึกอย่างอ่อนโยน
“มันชื่อว่า ‘บันทึกการเดินทางของเลมาโน่’ แต่พวกเราทุกคนมักเรียกกันว่า ‘สมุดเวทมนตร์ของเลมาโน่’ สรรพคุณก็คือ ช่วยให้คุณสามารถ ‘บันทึก’ พลังพิเศษทุกชนิดที่ได้เห็นกับตาลงไป พลังชนิดดังกล่าวจะถูกบันทึกลงในสมุดเป็นเวลานาน สามารถใช้ได้ทุกที่ทุกเวลาตามใจปรารถนา เพียงแต่ว่า หลังจากใช้ไปแล้วครั้งหนึ่ง หน้ากระดาษนั้นจะว่างเปล่าทันที รอให้คุณบันทึกพลังใหม่ลงไป ฟังดูทรงพลังมาก” ฟอร์สรู้สึกราวกับฝันไป
ขอเพียงเราเห็นพลังพิเศษ ก็สามารถบันทึกและใช้งานมันได้หนึ่งครั้งทันที?
นี่มัน… เหมือนกับคนเลี้ยงแกะเลยไม่ใช่หรือ? คนเลี้ยงแกะที่เดอะซันน้อยเคยเล่าให้ฟัง… แต่มีขีดจำกัดตรงที่ใช้งานได้เพียงครั้งเดียว…
ยังไม่แน่ใจว่าบันทึกพลังของครึ่งเทพได้ไหม หากทำได้จริง แค่ครั้งเดียวก็เกินพอ สิ่งนี้จะทรงพลังยิ่งกว่าคนเลี้ยงแกะเสียอีก!
คล้ายกับโดเรียนได้ยินเสียงในหัวฟอร์ส มันรีบอธิบายรายละเอียด
“พลังคล้ายกับลำดับ 6 ‘นักบันทึก’ ของเส้นทางผู้ฝึกหัด ดังนั้น พลังพิเศษในลำดับสูงกว่านี้จะมีโอกาสบันทึกล้มเหลว ยิ่งเป็นลำดับสูงมากเท่าใด โอกาสสำเร็จก็ยิ่งต่ำลง และอาจคัดลอกประสิทธิภาพได้เพียงครึ่งหนึ่งของพลังต้นฉบับ คำนวณจากประสบการณ์ของผู้ที่เคยใช้งานในอดีต โอกาสบันทึกพลังลำดับ 5 สำเร็จจะมีปานกลาง แต่ถ้าเป็นลำดับ 4 หรือครึ่งเทพขึ้นไป โอกาสสำเร็จจะต่ำลงมาก บางทีอาจไม่สำเร็จเลยจากทั้งหมดสิบครั้ง และผมไม่คิดว่าจะมีครึ่งเทพคนใดสำแดงพลังต่อหน้าคุณหนแล้วหนเล่า ยิ่งถ้าเป็นศัตรู ท่านสามารถฆ่าคุณได้นับสิบชีวิต คุณคงเห็นแล้วใช่ไหม แผ่นกระดาษสีเหลืองที่มีเพียงสามหน้า พวกมันใช้สำหรับบันทึกพลังของครึ่งเทพโดยเฉพาะ หรือก็คือ ถึงคุณจะโชคดีบันทึกพลังของครึ่งเทพสำเร็จ แต่ก็ทำบันทึกได้สูงสุดไม่เกินสามหน้า และสำแดงประสิทธิภาพได้เพียงครึ่งเดียวของต้นฉบับ โดยทุกหน้าจะหายไปทันทีหลังจากใช้งานเพียงหนึ่งหน”
หืม… วิธีการใช้งานอาจฟังดูยุ่งยาก แต่มีคนอยู่สองประเภทที่สามารถรีดประสิทธิภาพของสมุดบันทึกเล่มนี้ได้ถึงขีดสุด หนึ่งคือ คนโชคดี บันทึกอะไรก็ติดไปเสียหมด และสองคือ คนที่มีองค์กรลับคอยหนุนหลัง องค์กรที่มีครึ่งเทพ…
ฟอร์สเริ่มจินตนาการภาพตัวเองขอร้องให้มิสเตอร์ฟูลช่วยบันทึกพลังครึ่งเทพลงไป แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่านี่อาจเป็นการเสียมารยาท จึงรีบขอโทษขอโพยในใจด้วยความสำนึกผิด
คิดได้เช่นนั้น เธอหันมาคาดหวัง ‘เฮอร์มิท’ ที่กำลังจะกลายเป็นครึ่งเทพในอนาคตแทน
โดเรียน·เกรย์อ่านความคิดฟอร์สไม่ออก เพียงกล่าวอธิบายต่อไปอย่างใจเย็น
“สำหรับหน้าที่มีสีน้ำตาลเหมือนกับหนังสัตว์ คุณสามารถบันทึกพลังลำดับ 5 และ 6 ลงไปได้มีจำนวนทั้งสิ้นสิบแผ่น สำแดงประสิทธิภาพได้ราวเจ็ดสิบถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของต้นฉบับ ถัดมาเป็นหน้ากระดาษสีขาว มีทั้งหมดยี่สิบห้าแผ่น ใช้บันทึกพลังในลำดับต่ำกว่า 6 ลงมา ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับต้นฉบับมาก แต่ก็ยังด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย ด้วยเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับองค์กร ปัจจุบันจึงมีพลังในสมุดเหลือเพียงห้าชนิด คุณต้องขวนขวายหามาเติมให้เต็มด้วยตัวเอง”
โดเรียนเว้นวรรค กล่าวหน้าขรึม
“ก่อนอื่น ผมต้องขอเตือนเกี่ยวกับผลข้างเคียงให้ทราบล่วงหน้า หลังจากใช้งานทุกครั้ง สมุดบันทึกเล่มนี้จะทำให้คุณหลงทาง และนั่นอาจนำมาซึ่งอันตราย วิธีแก้ก็คือ ให้นำเลือดของตัวเองเกลี่ยลงไปบนปกอย่างทั่วถึง สิ่งนี้ช่วยจะขจัดผลข้างเคียงของสมุดบันทึก จงจำใส่ใจไว้ว่า อย่าได้ประมาทการหลงทางเด็ดขาด มันมักเต็มไปด้วยอันตรายที่คาดไม่ถึง”
“ค่ะ อาจารย์” ฟอร์สตอบเสียงขึงขัง
ได้ยินเช่นนั้น โดเรียนมอบบันทึกการเดินทางของเลมาโน่ให้ฟอร์ส
“ถือเป็นของขวัญจากผม”
อาจารย์ใจกว้างมาก…
ฟอร์สเม้มริมฝีปากล่างพลางซักถาม
“อดีตศิษย์ที่ทรยศคุณชื่ออะไรหรือคะ แล้วมีหน้าตาเป็นเช่นไร หากมีโอกาส ดิฉันจะแก้แค้นให้คุณและมิสเตอร์ลอว์เรนซ์เอง อย่าเด็ดขาด ลืมเรื่องนั้นไปได้เลย คุณยังอ่อนแอกว่ามันมาก ตอนที่ทรยศพวกเรา เจ้านั่นเป็นถึง ‘นักบันทึก’ ปัจจุบันคงกลายเป็น ‘นักท่องเที่ยว’ เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม คุณจำเป็นต้องทราบข้อมูลของมันเพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย เจ้านั่นชื่อว่า หลุยส์·ไวน์ ส่วนภาพเหมือน ผมจะวาดและส่งให้คุณวันหลัง”
“ค่ะ” ฟอร์สพยักหน้า
…
อนาคตกาล ภายในห้องอาหารโจรสลัด
ขณะไคลน์ย่างกรายเข้าไป มันเห็นพลเรือเอกดวงดาว·แคทลียา กำลังเดินมาหาตน
หญิงสาวที่หายตัวไปตลอดทั้งคืน กล่าวด้วยสายตาเคร่งขรึมกว่าปรกติ
“เตรียมตัวให้พร้อม เรากำลังจะเข้าเขตทะเลเป้าหมายในอีกไม่ช้า”
เร็วขนาดนี้เชียว… การ ‘พุ่ง’ เมื่อคืนส่งเรือมาไกลแค่ไหนกันแน่? ไคลน์ยืนอึ้งไปพักหนึ่ง
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น