Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 635-639
ราชันเร้นลับ 635 : พบหน้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
กลิ่นของปลาหมาป่ากระป๋องสุดระยำสมชื่อ… ไม่เพียงจะเหม็นคาว แต่ยังน่ารังเกียจจนสรรหาคำมาอธิบายไม่ได้… มันคืออาวุธชีวภาพ!
ไคลน์นั่งยองในมุมหนึ่งของซอยเปลี่ยว ต้องใช้เวลาหลายสิบวินาทีกว่าจะกลับเป็นปรกติ
มันตระหนักว่าตนประมาทกลิ่นของปลาหมาป่ากระป๋องเกินไป จึงตอบสนองต่อหายนะได้ไม่ทันท่วงที ไม่มีการงัดกระดาษคนตัวแทนหรือท่อหายใจล่องหนออกมาใช้
ในวินาทีนี้ ไคลน์ขอชื่นชมคนออกกฎห้ามเปิดปลาหมาป่ากระป๋องในที่สาธารณะ!
ฟู่ว… ชายหนุ่มหายใจเข้าพร้อมกับลุกยืนอย่างระมัดระวัง ยกกระเป๋าสัมภาระและย่างกรายออกไปยังเขตท่าเรือ
ภาพจำแรกเกี่ยวกับเมืองนาสคือ อาคารบ้านเรือนเต็มไปด้วยสีขาวละลานตา เกือบทั้งหมดสร้างจากอิฐขาวโพลน ภาพจำที่สอง ถึงแม้เกาะจะตั้งเยื้องขึ้นไปทางทิศเหนือแค่เล็กน้อย แต่อากาศกลับหนาวเย็นจนสั่นสะท้าน กระทั่งเดือนเมษายนก็ยังมีอุณหภูมิหลักหน่วยเฉียดติดลบ
และภาพจำที่สาม เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยโรงเชือดวาฬเรียงติดกันเป็นทิวแถว โดยวาฬขาวตัวใหญ่จะถูกแบ่งชำแหละออกเป็นหนัง เนื้อสด ไขมัน กระดูก และ ‘อำพันเทา’
สองอย่างหลังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย กระดูกใช้สร้างเป็นโครงกระโปรงสำหรับงานเลี้ยง ส่วนอำพันเทาสามารถนำไปเป็นเครื่องเทศชั้นหนึ่ง เครื่องหอม หรือแม้กระทั่งน้ำหอม โดยทั้งหมดล้วนเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับความบันเทิงของชนชั้นสูง
ในส่วนของหนัง เนื้อสด และไขมันของวาฬขาวก็ยังมีประโยชน์หลากหลาย เช่นนำไปสร้างเป็นเสื้อหนัง แปรรูปเป็นอาหาร หรือแม้กระทั่งการกลั่นน้ำมัน สำหรับเมืองนาส อาหารจากวาฬขาวได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและการดำรงชีพ ภัตตาคารมากมายพัฒนาเมนูเกี่ยวกับวาฬชนิดนี้จนมีรสชาติยอดเยี่ยม
ไคลน์เดินผ่านโรงเชือดวาฬและเห็นไขมันถูกลอกออกจากซาก โดยคนงานแบกจะขึ้นรถขนส่งและขับไปยังโรงงานควันดำที่อยู่ไม่ห่างออกไป
ตัวตนแท้จริงของโรงงานควันดำคือโรงกลั่นน้ำมันการ์กัส ไขมันจากวาฬขาวทั้งหมดจะถูกนำมากลั่นเป็นน้ำมันวาฬ กลายเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเฉพาะทาง
ไม่เหมือนกับเมืองไหนที่เคยไปเยือนเลยแฮะ…
ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลาย หยุดยืนชมทัศนียภาพรอบเมืองสักพัก
เมื่อเดินออกจากท่าเรือและเข้าไปในเขตอยู่อาศัยของชาวเมือง เสียงภาษาฟุซัคดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท
ไคลน์ซึ่งเชี่ยวชาญภาษาฟุซัคโบราณอันเป็นรากภาษาของทวีปเหนือทั้งหมด ย่อมสามารถถอดความภาษาคนเถื่อนแดนเหนือได้ไม่ยากนัก ชายหนุ่มหันข้างไปมองอย่างสนใจ และได้เห็นกลุ่มคนผมทองที่ค่อนข้างสูง กำลังชูป้ายพร้อมกับเดินขบวนไปตามถนน
ป้ายด้านหน้าสุดเขียนเจตจำนงไว้ว่า :
“ขอคัดค้านการล่าวาฬขาวอย่างผิดกฎหมาย! เราต้องพัฒนาธรรมชาติอย่างยั่งยืน!”
พรวด…!
ไคลน์เกือบหลุดขำเสียงดัง ในใจเชื่อว่ากว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของวลี ‘พัฒนาอย่างยั่งยืน’ จะต้องถูก ‘คิดค้น’ โดยโรซายล์มหาราชแน่นอน
ชายหนุ่มมองไปรอบตัว เพ่งตาอ่านป้ายประท้วงเพื่อประเมินความต้องการของกลุ่มผู้ก่อความวุ่นวายบนถนน
“ล่าวาฬเพื่ออยู่รอด มิใช่เพื่อความบันเทิง!”
“มนุษย์มิได้สูงส่งกว่าวาฬขาว!”
“พวกปีศาจหิวเงิน จงออกจากนาสไปซะ!”
ทันใดนั้น หน่วยตำรวจปราบจลาจลในเครื่องแบบสีเทาปรากฏตัวพร้อมโล่ใหญ่ ส้อมยาวสำหรับควบคุมฝูงชน และไม้กระบอง ยืนตั้งแถวปิดทางเดินของกลุ่มผู้ประท้วง
หลังจากการปะทะประปรายในช่วงต้น ความวุ่นวายเริ่มลุกลามและทวีความรุนแรง
กลุ่มคนหนุ่มสาวเริ่มขว้างกระป๋องปลาหมาป่าและโยนไปทางตำรวจ บางส่วนโยนระเบิดเพลิงที่มาพร้อมกับเชื้อไฟ กลุ่มตำรวจเห็นดังนั้นก็ไม่นิ่งนอนใจ รีบเข้าปราบปรามด้วยมาตรการสูงสุดทันที โล่ใหญ่ถูกดันจนติดกลุ่มผู้ประท้วงและเริ่มต้นการตะลุมบอน
ไคลน์รีบอุดจมูกแน่น มองไปยังกลางถนนที่มีเปลวเพลิงลุกท่วม จากนั้นก็หันไปสำรวจอาการของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาวงนอก และพบว่าเกือบทั้งหมดล้วนเฉยชากับเหตุการณ์ตรงหน้า มีเพียงบางส่วนที่หันมาสนใจ แต่ส่วนใหญ่ยังคงก้มหน้าเดินไปตามเป้าหมายตัวเอง
คงเป็นเรื่องปรกติของนาส… การประท้วงคงถูกยกระดับกลายเป็นความชุลมุนบ่อยครั้งสินะ…
สมกับที่เป็นพวกคนเถื่อนฟุซัค…
ไคลน์พึมพำสองสามคำและเดินไปตามถนน เพียงไม่นานก็พบโรงแรมที่จะเข้าพักค้างคืน
ชายหนุ่มยังคงลงทะเบียนด้วยตัวตนเกอร์มัน·สแปร์โรว์ โดยไม่กังวลว่าข่าวลือที่พลเรือโทโรคภัยกระจายออกไป จะทำให้โบสถ์รัตติกาลระแคะระคายว่าตนคือผู้ไร้หน้า เพราะไคลน์ไม่คิดตามหานางเงือกด้วยวิธีโดยสารไปกับเรือประมงล่าวาฬ ซึ่งนั่นอาจมีคนของโบสถ์รัตติกาลคอยดักซุ่ม แต่เลือกเดินทางไปยังสุดเขตตะวันออกแสนอันตรายของทะเลโซเนียแทน
ในส่วนของความปลอดภัยภายในเมืองการ์กัส มันก็ไม่รู้สึกกังวลเช่นกัน เพราะที่นี่คืออาณานิคมของจักรวรรดิฟุซัค ศาสนาเดียวที่ถูกกฎหมายคือโบสถ์เทพสงคราม และพวกมันเป็นศัตรูอย่างรุนแรงกับโบสถ์รัตติกาล
ในตอนแรก ไคลน์กังวลว่าตนจะได้พบกับผู้ไร้หน้าคนอื่นที่นี่ และพบมีมากถึงเจ็ดแปดคนหากตนเดินเข้าไปในร้านอาหารขายเนื้อวาฬ
แต่หลังจากลองพิจารณาดูใหม่ มันพบว่าโอกาสเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวมีค่อนข้างต่ำ
สืบเนื่องจากความหายากของผู้วิเศษเส้นทางนักทำนาย ไคลน์จึงรู้จักคนที่มีลำดับสูงกว่า 8 เพียงสามคนเท่านั้น ประกอบด้วยตัวตลกสวมสูทที่พบในเมืองทิงเก็น โรซาโก้ และซาราธ
อีกหนึ่งเหตุผลก็คือ ผู้วิเศษลำดับ 6 ถือเป็นสิ่งมีชีวิตหายาก แม้แต่ดินแดนสวรรค์ของเหล่าโจรสลัดก็ยังมีบุคคลค่าหัวห้าพันปอนด์เพียงหยิบมือเดียว และเหตุผลสุดท้าย ชะตากรรมของผู้ไร้หน้าส่วนใหญ่มีแค่ไม่กี่รูปแบบ หากไม่นับถือศาสนารัตติกาลมาตั้งแต่แรก ก็ต้องเดินทางไปพร้อมกับเรือประมงของชาวการ์กัสและถูกโบสถ์รัตติกาลจับโยนลงทะเล หรือไม่ก็ถูกจับไปเป็นหนูลองยาให้กับสมบัติปิดผนึก มีเพียงกลุ่มน้อยที่พอจะฉลาดสักหน่อย และหาโอกาสเลื่อนลำดับอย่างราบรื่น เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงไม่น่าจะมีผู้ไร้หน้าบนเกาะการ์กัสมากนัก
ทั่วทั้งเมืองนาส หากไม่นับเรา ปัจจุบันคงมีผู้ไร้หน้าอาศัยอยู่ไม่เกินสองคน…
ไคลน์จัดระเบียบเครื่องแต่งกาย ไม่รีบร้อนหาทางติดต่อกับพลเรือเอกดวงดาว เพียงเดินไปตามถนนด้วยอารมณ์สุนทรีย์ กวาดตามองหาอาหารข้างทางเหมือนกับนักท่องเที่ยวตามปรกติ
ซาซิมิวาฬขาวดิบ สเต๊กวาฬขาวทอด น้ำมันวาฬบำรุงผิว เนื้อวาฬขาวย่าง…
ไคลน์สวมบทบาทเป็นนักท่องเที่ยวตัวจริงด้วยการเดินเข้าร้านอาหารสามแห่ง จุดประสงค์เพื่อลิ้มรสความแตกต่างของรสชาติและประเภทอาหาร
ไม่เลวทีเดียว มีเอกลักษณ์โดดเด่น กลิ่นวาฬไม่หนักเกินไป ชวนให้เจริญอาหารมาก…
ไคลน์ปิดปากขณะเดินไปตามถนน พลันพบว่าโคมไฟบนถนนค่อนข้างอับแสง แต่ความสว่างจากบ้านเรือกลับมากพอจะขจัดบรรยากาศอันมืดโดยรอบ
เมื่อสายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาจากทะเล ไคลน์อดไม่ได้ที่จะดึงปกเสื้อขึ้นมากลบเกลื่อนความหนาวเหน็บบริเวณซอกคอ เผยให้เห็นกระดุมข้อมือสีน้ำเงินแพรวพราวที่ฝังอยู่กับชายแขนเสื้อ
หากเทียบกับเครื่องประดับประเภทแหวน กระดุมข้อมือจะเข้ากับมาดแสนสง่างามของเกอร์มัน·สแปร์โรว์กว่ามาก ไคลน์จึงไม่ตำหนิช่างฝีมือที่เปลี่ยนแปลงข้อตกลงโดยพลการ
ในส่วนของฮาร์โมนิก้าซึ่งบรรจุพิธีกรรมอัญเชิญสัตว์วิญญาณ สิ่งนี้นับว่าตรงตามความต้องการของมันทุกประการ อายุการใช้งานหนึ่งปีครึ่งและสร้างจากโลหะสีเงินล้วน แฝงกลิ่นอายความสุนทรีย์และงดงามอย่างเต็มเปี่ยม
ขณะได้เห็นฮาร์โมนิก้าเป็นครั้งแรก ไคลน์จินตนาการภาพของนักผจญภัยเสียสติและทรงพลังท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบเหงา ยืนบนหัวเรือพลางบรรเลงบทเพลงภายใต้แสงจันทร์แดงสลัว
แต่น่าเสียดาย ฮาร์โมนิก้าชิ้นนี้ผลิตเสียงดนตรีไม่ได้ ประโยชน์เดียวของมันคือการอัญเชิญมาดามไรเนตต์·ไทน์เคอร์…
ไคลน์ส่ายหัวเล็กน้อยและเร่งฝีเท้าเดินไปบนถนนบรรยากาศเย็นจัดของเมืองนาส รีบมุ่งหน้ากลับโรงแรมที่เช็กอินไว้
มันจัดการตัวเองให้เรียบร้อยและนอนหลับสนิทภายในเวลาไม่นาน จนกระทั่งลืมตาตื่นขึ้นในเช้าของวันถัดมา และมุ่งหน้าไปยังร้านขายของชำแห่งหนึ่งนามว่า ‘ระบำวาฬคลั่ง’
หลังจากยืนจ้องหน้าเจ้าของร้านผมสีเทาที่สูงกว่าตัวเองเล็กน้อย ไคลน์เอนตัวเคาะเคาน์เตอร์พร้อมกับพูดเป็นภาษาฟุซัค
“ซื้อน้ำมันวาฬ”
ใบหน้าเจ้าของร้านเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น สวมเสื้อผ้าที่ผลิตจากหนังวาฬขาว มีลวดลายสีขาวแซมจนเกิดเป็นความงดงามแปลกตา
“เอาเท่าไร” เจ้าของร้านอยู่ในสภาพเมามายหนักหน่วง ข้าวของภายในร้านระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ
“หนึ่งถังกับอีกหนึ่งส่วนสี่” ไคลน์ตอบห้วน ประโยคดังกล่าวคือสัญญาณนัดแนะพิเศษ
เจ้าของร้านดื่มช้าลงอย่างชัดเจน ก่อนจะกระแทกขวดเหล้าสีน้ำตาลเขียวลงบนเคาน์เตอร์
“ลองสักจิบไหม? เนโพสบริสุทธิ์ เหล้าที่บุรุษชาวฟุซัคทุกคนโปรดปราน!”
เนโพสคือเหล้าชื่อดังของฟุซัค กลั่นจากมันฝรั่งหรือธัญพืช โด่งดังในด้านความรู้สึกซาบซ่านขณะดื่ม เทียบกับไวน์เลือดแห่งโซเนียแล้ว ราคาของเนโพสจะถูกกว่าเล็กน้อย และเป็นที่นิยมในหมู่นักดื่มฟุซัคมากกว่า
“ไม่” ไคลน์ส่ายหน้า
เจ้าของร้านหัวเราะเหยียดหยันในลำคอ
“เป็นบุรุษประสาอะไรถึงไม่ดื่มเนโพส ชาวโลเอ็นมีแต่สตรีหรือ?”
มันกระดกดื่มพร้อมกับทำเสียงซาบซ่าน
“แล้วใครแนะนำมา”
“มาดามเกอต์มิวส์” ไคลน์ผสมคำขึ้นมาเองให้สอดคล้องกับธรรมชาติของภาษา
เจ้าของร้านพ่นลมหายใจหนึ่งปอดใหญ่ ส่งผลให้อากาศรอบร้านคละคลุ้งด้วยกลิ่นเหล้า
มันลุกยืนด้วยท่าทางโซซัดโซเซ อากัปกิริยาคล้ายกับหมีขาวในคณะละครสัตว์
หลังจากสั่งให้ผู้ช่วยมาดูแลร้านแทน มันเดินนำทางไคลน์ขึ้นไปยังห้องขนาดเล็กบนชั้นสองของโกดังหลังร้าน
“ขอหาสักครู่…” เจ้าของร้านพึมพำขณะโน้มตัวลงไปควานหาบางสิ่งอย่างเมามาย
ไคลน์ฝืนระงับมุมปากจากอาการสั่นกระตุก ในใจกำลังหวนนึกถึงมุกตลกหนึ่งที่แพร่หลายในหมู่ชาวโลเอ็น
“คำถาม : ชายชาวฟุซัคไม่เมาตอนไหนบ้าง? คำตอบ : ตอนที่พวกมันอยู่ในท้องแม่!”
หลังจากยืนรอสักพัก ไคลน์เห็นเจ้าของร้านเหยียดตัวตรงพร้อมกับถือลูกแก้วคริสตัลใสบริสุทธิ์ในมือ
ถัดมา ‘หมีขาว’ ขี้เมาหันหน้าให้ไคลน์ สองมือลูบคลำลูกแก้วคริสตัลอย่างทะนุถนอม พร้อมกับพึมพำเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณที่ยากจะทำความเข้าใจ
ทันใดนั้น บรรยากาศภายในห้องแคบพลันมืดครึ้มกะทันหัน ตามมุมห้องที่มืดมิดกำลังเกิดแรงดึงดูดแปลกประหลาด
ลูกบอลคริสตัลเริ่มส่องแสง เผยให้เห็นภาพของหญิงสาวสวมชุดคลุมโบราณ
ใบหน้าทรงไข่ไก่ ผิวพรรณขาวละเอียด ดวงตาสีม่วงเข้มและเต็มไปด้วยปริศนา
ได้พบหน้าสมาชิกชุมนุมทาโรต์อีกแล้ว…
ไคลน์เดินเข้าไปใกล้ ใช้มือรับบอลคริสตัล
ขณะเดียวกัน ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาด้านหลังบอลคริสตัลก็มองเห็น ‘เดอะเวิร์ล’ อย่างชัดเจน หญิงสาวเพ่งพิจารณาชายผมดำ ใบหน้าผอมเพรียวชัดลึก ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม
หลังจากตรวจสอบสักพัก แคทลียาหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะเปิดปากหลังจากไตร่ตรองถี่ถ้วน
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์?”
เธอพบว่าตัวตนที่แท้จริงและความแข็งแกร่งของสมาชิกชุมนุมทาโรต์ อยู่นอกเหนือความคาดหมายของตนไปมาก ค่อนข้างผิดคาดเมื่อพบว่าเดอะเวิร์ลคือนักผจญภัยเสียสติผู้มีฝีมือทัดเทียมพลเรือโจรสลัด เกอร์มัน·สแปร์โรว์!
อย่างไรก็ตาม การประเมินด้านอุปนิสัยของเราไม่มีข้อผิดพลาด… เป็นคนเก็บตัว สุขุมลุ่มลึก มากประสบการณ์ และค่อนข้างป่าเถื่อน…
พลเรือเอกดวงดาวไม่เผยสีหน้าประหลาดใจ
“ถูกต้อง มาดามแคทลียา” ไคลน์โบกมือส่งสัญญาณให้เจ้าของร้านออกจากห้อง
เมื่อบรรยากาศเริ่มเงียบ พลเรือเอกดวงดาว·แคทลียาเริ่มต้นบทสนทนาอีกครั้ง
“ดิฉันนึกสงสัยมาตลอด เหตุใดคุณถึงระบุตัวจริงของฉันได้ถูกต้อง ทั้งที่คอยระมัดระวังเป็นอย่างดีตลอดการชุมนุม”
ย้อนกลับไปเมื่อเดอะเวิร์ลขอสนทนาส่วนตัวกับเฮอร์มิท แคทลียาตกใจมากเมื่ออีกฝ่ายเริ่มต้นทักทายด้วยคำว่า ‘สวัสดี พลเรือเอกดวงดาว’
และนั่นคือเหตุผลสำคัญที่เธอยอมรับงานจ้างจากเดอะเวิร์ล
“ความลับ” ไคลน์ยิ้มอย่างสุภาพ
และเนื่องจากไม่ต้องการให้อีกฝ่ายระแวงว่าตนมีความเกี่ยวข้องกับเดอะฟูล มันตัดสินใจเสริมไปอีกหนึ่งประโยค
“ดวงตาของคุณพิเศษกว่าใคร”
“นั่นเป็นคำชมใช่ไหม?” แคทลียายิ้ม
เธอเชื่อมาตลอดว่า ในตอนแรก เดอะเวิร์ลยังไม่มั่นใจว่าตนคือพลเรือเอกดวงดาว เพียงสงสัยอย่างคราวจากรายละเอียดเล็กน้อยเช่นดวงตาหรือเครื่องแต่งกาย ดังนั้น การทักทายขณะสนทนาส่วนตัวจึงเป็นการหยั่งเชิง และบังเอิญว่าคำตอบออกมาถูกต้อง
ไคลน์ไม่ตอบ เพียงเปลี่ยนประเด็นถาม
“จะเริ่มออกเดินทางเมื่อไร”
……………………
ราชันเร้นลับ 636 : “จอมเชือด”
โดย
Ink Stone_Fantasy
พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา ครุ่นคิดสักพักก่อนจะมอบคำตอบ
“สองทุ่มคืนนี้ ที่ท่าเรือหมายเลขหก”
ไม่เลว พร้อมเริ่มงานตลอดเวลา…
ไคลน์พยักหน้ารับ
“ตกลง”
เมื่อกล่าวจบ แสงจากลูกบอลคริสตัลเริ่มลดความสว่าง จนกระทั่งร่างในชุดคลุมสีดำทรงโบราณเลือนหายไปกับความมืด
ไคลน์หันหลังและเปิดประตู ถือลูกบอลคริสตัลที่กลายสภาพกลับไปเป็นลูกแก้วธรรมดาเดินออกจากห้อง
ชำเลืองหางตาเล็กน้อย ชายหนุ่มพบเจ้าของร้านที่กำลังยืนเอนหลังพิงกำแพงในสภาพเมามายสุดขีด จึงโยนลูกบอลคริสตัลไปหาอีกฝ่ายโดยไม่ประณีตบรรจง
เมื่อเห็นเจ้าของร้านรับไว้ได้อย่างทุลักทุเล มันเดินลงบันไดและออกจากร้านของชำด้วยย่างก้าวไม่เร่งรีบ
ด้านนอกผับระบำวาฬคลั่ง ไคลน์หยิบนาฬิกาพกสีทองออกมาเปิดฝาตรวจสอบ
ใกล้เที่ยงตรง ผับส่วนใหญ่เริ่มเปิดให้บริการ…
ไคลน์ขึ้นรถม้าเช่าและพูดกับคนขับเป็นภาษาฟุซัคว่า ‘ไปผับลาร์ดาล’ เป็นภาษาถิ่นซึ่งมีความหมายเดียวกับ ‘สนธยา’ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดรวมตัวของนักผจญภัยบนเกาะการ์กัส
สำหรับไคลน์ ข้อมูลข่าวสารคือสิ่งสำคัญในการดำรงชีพบนท้องทะเล เบาะแสเพียงเล็กน้อยที่ไม่สำคัญอาจช่วยให้มันเอาชีวิตรอดได้ในภายภาคหน้า ดังนั้น ถึงแม้จะไม่ชอบการเข้าผับสักเท่าไร แต่เพื่อความอยู่รอดก็จำเป็นต้องทำ ซึ่งวิธีการก็ไม่ซับซ้อนอะไรนัก เพียงสั่งเบียร์กลิ่นข้าวสาลีมานั่งดื่มในมุมหนึ่งของเคาน์เตอร์ คอยจับประเด็นสนทนาของนักผจญภัยรอบตัวโดยไม่ปล่อยให้ตกหล่น รอฟังเรื่องราวน่าสนใจและการผจญภัยทางท้องทะเล
นอกจากนั้น ไคลน์ยังต้องการทราบว่ารอย·คิงที่ถูกคุมขังอยู่ในบ้านพักนายกเทศมนตรีบายัมเมื่อสองเดือนก่อน ปัจจุบันถูกช่วยเหลือออกมาแล้วหรือยัง
วิล·อัสติน ‘อสรพิษปรอท’ มิได้เข้าฝันชายหนุ่มนานแล้ว และ ‘สภาแห่งชะตา’ ริคคาร์ดก็มิได้ส่งข่าวผ่านทางผู้ส่งสารถึงไคลน์ เพื่อแจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับสมบัติวิเศษที่เน้นพลังโจมตีเป็นหลัก
ยี่สิบนาทีถัดมา รถม้าหยุดลงหน้าป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนเป็นภาษาฟุซัคว่า ‘ลาร์ดาล’
ไคลน์มองเห็นผับปลายทางอยู่ตรงหน้า
มันหยิบธนบัตรสองซูลจ่ายให้กับคนขับตามความเคยชินซูลจ่ายให้กับคนขับตามความเคยชิน
แต่เมื่อเห็นคนขับรถม้าเผยสีหน้าแปลกประหลาด ชายหนุ่มเริ่มฉุกคิดได้ว่า :
ที่นี่เป็นต่างประเทศ เป็นอาณานิคมของจักรวรรดิฟุซัค พวกมันมีเงินตราเป็นของตัวเอง!
หน่วยเล็กสุดคือ ‘โควเพ็ก’ ถัดมาคือ ‘เงินฟุ’ และ ‘เหรียญทองโฮร์น’ โดยอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างหน่วยจะเป็นแบบหนึ่งต่อสิบเสมอ ส่งผลให้คิดคำนวณได้ง่ายกว่าสกุลเงินของโลเอ็นที่ค่อนข้างซับซ้อน
ดันลืมแลกเปลี่ยนเป็นเงินโควเพ็กกับเงินฟุ… ของเก่าใช้หมดไปกับค่าที่พักและอาหารแล้ว…
ขณะไคลน์กำลังมองหาธนาคารเพื่อทำการแลกเปลี่ยน คนขับรถม้ารีบหยิบธนบัตรหนึ่งซูลจำนวนสองใบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ตรวจนับอย่างตั้งใจหลายรอบก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง
“ขอบคุณมาก! ขอบคุณสำหรับน้ำใจ!”
หือ… หมายความว่าสกุลเงินทองปอนด์ ซูล และเพนนียังมีค่าที่นี่? เป็นไปได้ เกาะการ์กัสอยู่ไม่ห่างจากเกาะทอสคาร์เตอร์กับโอลาวีมากนัก คงมีการแลกเปลี่ยนสินค้าอย่างต่อเนื่อง และคงมีนักผจญภัยชาวโลเอ็นที่ต้องการชมทัศนียภาพของทะเลวาฬขาวเดินทางแวะเวียนเข้ามา สกุลเงินของโลเอ็นจึงหมุนเวียนภายในเมืองนาสด้วย…
ดูเหมือนว่า ระบบเศรษฐกิจของโลเอ็นจะแข็งแกร่งกว่าฟุซัคมาก อาจมากกว่าที่เราคิดไว้ในตอนแรก ส่งผลให้ทองปอนด์แข็งค่ากว่าสกุลทองโฮร์นพอสมควร…
เดี๋ยวก่อน…
ขณะเตรียมเดินเข้าผับลาร์ดาล ไคลน์ฉุกคิดถึงความผิดปรกติเกี่ยวกับสีหน้าอันเบิกบานของคนขับเมื่อครู่
มันเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อสายว่า ค่าเงินหนึ่งทองปอนด์จะเทียบเท่ากับ 5.5 ทองโฮร์น!
หรือก็คือสองซูลเท่ากับ 5.5 เงินฟุ!
สำหรับเมืองสีขาวแห่งนี้ ค่าบริการรถม้าเช่าจะตกชั่วโมงละสี่เงินฟุ ถ้าไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงจะถูกปัดขึ้นเป็นหนึ่งชั่วโมง
ถึงว่าทำไมคนขับรถม้าต้องแสดงท่าทางดีใจขนาดนั้น…
ไคลน์รีบหันหลังกลับไปมอง และพบว่ารถม้าคันดังกล่าวหายไปจากการมองเห็นเรียบร้อย
ฟู่ว…
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจพร้อมกับใช้มือกดหมวกลง ส่วนมืออีกข้างผลักเปิดประตูหน้าของผับลาร์ดาลที่มีน้ำหนักค่อนข้างมาก
สำหรับโลกใบปัจจุบัน ผับใกล้กับท่าเรือและย่านโรงงานมักขายอาหารกลางวันและค่ำ ส่งผลให้ส่วนใหญ่เปิดบริการตั้งแต่ก่อนสิบเอ็ดโมง โดยในช่วงเวลาดังกล่าว เหล่านักผจญภัยที่ว่างจะมารวมตัวกันหน้าเคาน์เตอร์บาร์ สั่งเครื่องดื่มพร้อมกับอาหารจำพวกปลารมควัน ซุปน้ำมัน ขนมปัง และกินอย่างเอร็ดอร่อย
หือ… ดื่มแลงติร้อนแรงกับเนโพสกันตั้งแต่เที่ยงวันเลยหรือ… คิดจะไม่พักตับบ้างรึไง… เป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมของฟุซัคที่เราจะไม่ทำตามโดยเด็ดขาด…
ไคลน์พึมพำพลางเดินไปทางเคาน์เตอร์บาร์โดยปราศจากอารมณ์บนใบหน้า เลือกนั่งลงตรงมุมหนึ่งและทำการเคาะแผ่นไม้กระดาน
“ขนมปังปิ้งสองแผ่นพร้อมไส้กรอก เนื้อวาฬรมควันหนึ่งจาน ซุปผักข้นหนึ่งถ้วย และเบียร์เกราสหนึ่งแก้ว”
เบียร์เกราสได้รับความนิยมอย่างมากทางแถบชายฝั่งตะวันออกของฟุซัค เช่นเดียวกันกับบนเกาะโซเนียและหมู่เกาะการ์กัส
“หน้าใหม่?” บาร์เทนเดอร์เงยหน้ามองไคลน์ “สี่เงินฟุกับหกโควเพ็ก”
ถ้าไม่ดื่มเหล้าจะถือเป็นพวกหน้าใหม่?
ไคลน์มิได้ใส่ใจกับถ้อยคำไร้สาระของอีกฝ่ายมากนัก เพียงยื่นธนบัตรหนึ่งซูลไปสองใบ
ดังที่กล่าวไปข้างต้น มูลค่าของสองซูลเท่ากับ 5.5 เงินฟุ หรือเทียบเท่าห้าเงินฟุ กับอีกห้าโควเพ็ก
เมื่อพิจารณาจากอุปนิสัยส่วนตัวของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ไคลน์ตัดสินใจไม่รอเงินทอนและถือว่านั่นคือทิป
เหนือสิ่งอื่นใด ด้วยปริมาณอาหารข้างต้น หากเป็นผับของกรุงเบ็คลันด์จะมีราคาตกประมาณสองซูลอยู่แล้ว
หลังจากได้รับทิปจำนวนหนึ่ง บาร์เทนเดอร์เลิกพล่ามและรีบรินเบียร์ให้หนึ่งแก้ว จากนั้นก็ดันมาวางด้านหน้าไคลน์
สีของเบียร์ชนิดนี้จะเข้มกว่าปรกติ แถมยังมีฟองมาก รสสัมผัสแรกที่เข้าปากคือความรู้สึกคล้ายลำคอถูกแผดเผา หากกลั้วไปสักพักจะเริ่มสัมผัสถึงรสหวานฉ่ำซึ่งกระตุ้นให้เกิดความกระหาย แต่ในทางกลับกัน ปริมาณแอลกอฮอล์กลับสูงจนไคลน์นึกสงสัยว่า ทางร้านแอบใส่เหล้าอย่างอื่นผสมไปด้วยหรือไม่
ขณะกำลังรออาหารเสิร์ฟ ไคลน์จิบเบียร์อย่างรื่นรมย์ คอยเงี่ยหูฟังบทสนทนาของนักผจญภัยรอบตัว
เรื่องราวส่วนใหญ่จะหนีไม่พ้นทำนอง : ใครบางคนโชคดีถูกเงินหล่นทับ ใครบางคนถูกโจรสลัดฆ่าตาย ใครบางคนสังหารกัปตันโจรสลัดแต่ไม่นำค่าหัวไปขึ้นเงิน เลือกจะกลายเป็นกัปตันโจรสลัดคนใหม่ด้วยลูกเรือของเหยื่อ ใครบางคนที่แอบมีลูกลับๆ กับหญิงชาวนาส ใครบางคนที่มีลีลาบนเตียงห่วงแตกจนโสเภณีในช่องแอบนินทาลับหลัง
ขณะซุปผักข้นสูตรพิเศษของการ์กัสซึ่งทำจากหัวผักกาด หอมใหญ่ กะหล่ำปลี แคร์รอต ปลา และครีมถูกยกมาวางตรงหน้า ไคลน์เริ่มได้ยินบทสนทนาที่น่าสนใจ
นักผจญภัยคนหนึ่งหรี่เสียงพูดกับเพื่อนในวงเหล้าของตนว่า :
“พวกนายได้ยินข่าวใหม่รึยัง? ถัดไปทางตะวันออกของการ์กัส ใต้ทะเลที่นั่นมีมรดกของยุคสมัยที่สี่ซ่อนอยู่!”
“ไม่จริงน่า ใครเป็นคนพบ?” พวกพ้องซักถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจเจือความอยากรู้อยากเห็น
นักผจญภัยกวาดตามองรอบตัวและเล่าออกไปตามธรรมชาติ
“แกเร็ธเป็นคนไปเจอมา! พวกนายคงรู้อยู่แล้วว่าเจ้านั่นเป็นนักเดินเรือที่ดำน้ำได้เก่งกาจ ในวันหนึ่งขณะแกเร็ธกำลังเมาหัวราน้ำ ลมพายุได้พัดมันตกจากเรือและจมลงก้นทะเลลึก ช่วยให้เจ้านั่นพบกับซากอาคารที่สร้างจากโลหะเข้าโดยบังเอิญ! เป็นอาคารโลหะซึ่งเกิดจากฝีมือของมนุษย์ไม่ผิดแน่!”
“แล้วยังไงต่อ” พวกพ้องซักถาม
นักผจญภัยหัวเราะในลำคอ
“แกเร็ธตัดสินใจดำสำรวจซากอาคารดังกล่าวจนพบบ่อน้ำร้างขนาดใหญ่ที่ก้นทะเล แม้ในบ่อจะเต็มไปด้วยน้ำทะเล แต่กลับยังมอบความรู้สึกชวนขนหัวลุกเพียงได้มองลงไป… โอ้พระองค์วายุสลาตัน! ปลายทางของบ่อน้ำนั่นต้องเป็นแกนโลกแน่! แกเร็ธเล่าว่า มันได้ยินเสียงใครบางคนกำลังเรียกหาจากด้านล่าง นั่นยิ่งทำให้มันไม่กล้าสำรวจต่อ รีบร้อนว่ายขึ้นผิวน้ำอย่างลนลาน”
บ่อน้ำร้างขนาดใหญ่ใต้ทะเล… แรงดึงดูดประหลาดพร้อมกับเสียงเรียก… อาจไม่ใช่แค่ยุคสมัยที่สี่ แต่ย้อนไปไกลถึงยุคสมัยที่สามหรือสอง… เดอะซันน้อยเคยเล่าว่า ในช่วงยุคแห่งความมืด สัตว์ทะเลทรงพลังทั้งหมดยอมจำนนต่อราชาเอลฟ์·ซอนญาธริม ช่วยให้ท่านปกครองทะเลอย่างสมบูรณ์…
หวาน เค็ม และเปรี้ยวกำลังพอดี…
ไคลน์จิบซุปผักข้นพลางใช้ส้อมจิ้มเนื้อวาฬขาวรมควันยัดใส่ปาก
นักผจญภัยคนเดิมมิได้กล่าวถึงแกเร็ธต่อ เนื่องจากเรื่องราวมิได้เกี่ยวข้องกับทองคำแท่ง เครื่องเพชร หรือสมบัติวิเศษที่มีเนื้อหาน่าสนใจ
บทสนทนาเปลี่ยนไปเป็นการซุบซิบนินทา พวกมันเริ่มเล่าถึงนักผจญภัยที่กำลังขัดแย้งกัน เย้ยหยันเรื่องที่อีกฝ่ายแต่งงานกับหญิงสาวพื้นเมืองหน้าตาสะสวย แต่หลังจากผ่านไปราวสามปีห้าปี พวกหล่อนกลับอ้วนขึ้นมากและมีพละกำลังเทียบเท่าผู้วิเศษลำดับต่ำ
ในตอนสุดท้าย มันลงความเห็นตรงกันว่า สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะหญิงสาวชาวพื้นเมืองล้วนมีเลือดของคนยักษ์ไหลเวียนในร่างกายอย่างเจือจาง
จนกระทั่งเวลาผ่านไปนาน ไคลน์จัดการอาหารกลางวันเสร็จและหันมาสนใจกับแก้วเครื่องดื่ม ตลอดระยะเวลาดังกล่าวไม่มีข่าวที่น่าสนใจหลุดจากปากกลุ่มนักผจญภัยรอบตัว ความเปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียวคือ แขกในร้านเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นทุกขณะ
ทันใดนั้น ประตูหนักหน้าร้านถูกเปิดกระแทกกำแพงจนเกิดเสียงดังโครม
ชายหนุ่มซึ่งสวมหมวกทรงสูงและมีเชื้อสายโลเอ็นวิ่งพรวดเข้ามาด้านใน จากนั้นก็ตะโกนถามอย่างประหม่า
“มีใครเป็นสมาชิกของสหภาพนักผจญภัยบ้างไหม…?”
ฉันเองสหาย… บิลต์ยังค้างการจ้างงานครั้งที่สามของฉันอยู่เลย…
ไคลน์พบว่าสุภาพบุรุษหนุ่มคนดังกล่าวคอยเหลียวหลังเป็นระยะอย่างกังวล คล้ายกับถูกใครบางคนตามล่าเอาชีวิต
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายแจ้งความประสงค์หรือขอความช่วยเหลือ นักผจญภัยสามคนลุกยืนอย่างพร้อมเพรียงตามแต่ละจุดภายในร้าน มีคนหนึ่งเด่นสะดุดตาไคลน์เป็นพิเศษ สูงสองเมตรกว่า ไหล่กว้างและกล้ามเนื้อบึกบึน เส้นผมสีทองอ่อน ดวงตาน้ำเงินเข้ม
แข็งแกร่งสอดคล้องกับรูปลักษณ์…
คงมีลำดับพอตัวอยู่เหมือนกัน…
ไคลน์เบือนหน้ากลับ ตัดสินใจเป็นเพียงผู้ชมเงียบขรึมตามเดิม สายตาหันไปมองประตูหน้า
ไม่นานหลังจากนั้น บุรุษสวมเสื้อเชิ้ตลินินและแจ็คเก็ตน้ำตาลเดินเข้ามาในร้าน ส่วนสูงและรูปร่างสันทัด ริมฝีปากม่วงคล้ำ ดวงตาสีน้ำตาลคล้ายกับพยายามระงับจิตสังหาร แต่สุดท้ายก็ปกปิดไม่อยู่
นี่มัน…
ไคลน์เห็นภาพซ้อนทับกับใบประกาศจับ!
ผู้ช่วยกัปตันของราชาอมตะ·อาการิธ!
‘จอมเชือด’ จิลเซียส ค่าหัวเก้าพันห้าร้อยปอนด์!
โจรสลัดคนดัง…!
พลังวิญญาณของไคลน์เริ่มไหลเวียน ดวงตาเพ่งจ้องใบหน้าอีกฝ่ายโดยที่มือซ้ายลดต่ำลงตามสัญชาตญาณ เตรียมพร้อมตอบสนองต่อทุกเหตุการณ์ผิดปรกติที่อาจเกิดขึ้น
จิลเซียสจ้องชายกำยำสูงสองเมตรก่อนจะหันมามองไคลน์ ทันใดนั้น มันรีบหันหลังกลับและเดินออกจากบาร์ลาร์ดาลโดยปราศจากท่าทีลังเล
ตัดสินใจได้เด็ดขาดและระมัดระวังตัวมาก…
ไคลน์ขมวดคิ้วพลางเชื่อว่าตนมิได้เผลอปล่อยจิตสังหารออกไปแน่นอน และแววตาก็ยังถูกควบคุมด้วยพลังตัวตลกเพื่อมิให้แฝงความมุ่งร้ายจนเกินพอดี
จิลเซียสแค่กลัวชายร่างยักษ์ หรือจะมีประสาทสัมผัสเฉียบแหลมกว่านั้น? เหมือนกับพวกปีศาจที่สามารถหยั่งถึงอันตรายล่วงหน้า…
ไคลน์เร่งกระดกเบียร์จนหมดโดยไม่คิดร่วมวงสนทนากับสหภาพนักผจญภัย รีบตรงออกจากร้านและเดินมายังริมถนน
ตัวมันในตอนนี้มีเป้าหมายเพียงการตามหานางเงือก ไม่ใช่เวลามัวเพิ่มปัญหาจนการพัฒนาลำดับต้องเลื่อนออกไป
กวาดตามองไปรอบตัว เมื่อไม่พบร่องรอยของจอมเชือด·จิลเซียส ไคลน์รีบเดินทางกลับโรงแรมที่ตนพักทันที
…
เมืองเงินพิสุทธิ์ ภายในหอคอย
เป็นอีกครั้งที่เด็กหนุ่มเดอร์ริคถูกหัวหน้าสภาอาวุโส โคลิน·อีเลียด เรียกตัวเข้าพบ
มันยังจำได้แม่นยำ ย้อนกลับไปเมื่อราวเจ็ดสิบวันก่อน ตนถูกเกริ่นล่วงหน้าว่าจะมีภารกิจสำรวจภายในสองเดือน จึงเตรียมตัวเป็นอย่างดีเมื่อถูกเรียกเข้าพบ
……………………
ราชันเร้นลับ 637 : อนาคตกาล
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เตรียมพร้อมหรือยัง” โคลินเปล่งเสียงถามขณะยืนมองออกไปนอกหน้าต่าง
เดอร์ริคที่มีขวานเฮอร์ริเคนเหน็บอยู่ข้างเอว ทำการโค้งศีรษะคำนับพลางมอบคำตอบ
“พร้อมครับ!”
ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ภารกิจลาดตระเวนและการฝึกฝนอย่างหนักได้ช่วยขัดเกลาให้เด็กหนุ่มชำนาญพลังพิเศษของ ‘ข้ารับใช้สุริยัน’ ปัจจุบันจึงอยู่ไม่ไกลจากการย่อยโอสถเสร็จสมบูรณ์มากนัก
ปัจจุบัน เดอร์ริคหวังจะซื้อสูตรผลิตโอสถลำดับ 6 ของเส้นทางสุริยันจากชุมนุมทาโรต์ให้ได้ภายในสองหรือสามสัปดาห์ถัดไป รากฐานการพัฒนาลำดับของตนจะได้มีความมั่นคง
เมื่อ ‘คนเลี้ยงแกะ’ โลเฟียร์·ทิฟฟานี่ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ เดอร์ริคเริ่มทวีความหวาดระแวงในทุกลมหายใจ และเชื่อว่ามีเพียงการก้าวไปเป็นลำดับ 5 เหมือนกันเท่านั้น จึงพอจะถ่วงดุลมิให้อีกฝ่ายก่อปัญหาร้ายแรงแก่เมืองเงินพิสุทธิ์
อย่างไรก็ตาม การเลื่อนเป็นลำดับ 6 ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับมัน เนื่องจากเมืองเงินพิสุทธิ์พื้นฐานด้านเทคนิคสวมบทบาท แถมยังมีวัตถุดิบหลักเหลือเฟือพอจะผลิตโอสถได้เกือบทุกเส้นทาง ขอเพียงมีสูตรผลิตและหมั่นสะสมคะแนนผลงานอย่างต่อเนื่อง ลำดับ 6 ก็จะอยู่แค่เอื้อมเท่านั้น ของจริงอยู่ที่ลำดับ 5 ต่างหาก เนื่องจากต้องประกอบพิธีกรรมซับซ้อนซึ่งยังไม่แน่ว่าสามารถกระทำในเมืองเงินพิสุทธิ์ได้
โคลินพยักหน้ารับ ผมสีเทาสั่นไหวเล็กน้อย
“ภายในสองวัน ผมจะนำทีมสำรวจไปยังจุดใกล้กับวังราชาคนยักษ์ และเริ่มปฏิบัติการเก็บกวาด ‘หมู่บ้านยามบ่าย’ รอบที่สอง พลังของคุณจำเป็นอย่างมากในภารกิจ”
จากการหมั่นศึกษาหาความรู้ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ชื่อของ ‘หมู่บ้านยามบ่าย’ ได้ผ่านสายตาเดอร์ริคมาไม่น้อย เด็กหนุ่มจึงไม่เผยสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยิน
หากต้องการเดินทางไปยังวังราชาคนยักษ์ ทีมสำรวจจะมิอาจเลี่ยงหมู่บ้านยามบ่ายได้เลย โดยที่นั่น มนุษย์และคนยักษ์เคยอาศัยร่วมกันอย่างสันติสุขมานานหลายปี และมีความใกล้ชิดกับถิ่นพำนักของเทพบรรพกาลอย่างมาก จึงไม่แปลกที่จะถูกเรียกว่า ‘ประตูบานสุดท้ายสู่ดินแดนแห่งทวยเทพ’
“ขอรับ ท่านเจ้าเมือง” เดอร์ริคไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ
…
ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองสีขาว นาส
ไคลน์นั่งหลังโต๊ะอ่านหนังสือ ตามองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นก้อนเมฆเปลี่ยนรูปทรงอย่างต่อเนื่อง รอคอให้ถึงยามเย็นด้วยใจจดจ่อ
สองทุ่มตรงเมื่อไร มันจะโดยสารเรือธงของพลเรือเอกดวงดาว ‘อนาคตกาล’ จากท่าเรือหมายเลข 6 และเริ่มต้นการเดินทางไปยังสุดเขตตะวันออกของทะเลโซเนีย
โดยไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นบ้างบนเกาะการ์กัส แดนสวรรค์ของโจรสลัด มันก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวให้เสียเวลา
ดังนั้น ถึงแม้จะเตร็ดเตร่ไปตามถนนและได้พบกับอันธพาลหรือโจรสลัดที่มีค่าหัว ไคลน์ก็มีได้ใส่ใจจะเปลี่ยนพวกมันให้เป็นทองคำแท่ง เพราะความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้กำหนดการตามหานางเงือกถูกเลื่อนออกไป
สัมผัสวิญญาณของเราระบุอย่างชัดเจนว่า จากเหตุการณ์เมื่อตอนเที่ยง จอมเชือด·จิลเซียสจ้องเราอย่างสนใจ… ทางนี้ก็ไม่ขัดข้องหรอกนะ หากอีกฝ่ายจะนำค่าหัวมาให้ถึงที่…
หึหึ… หากนับรวมฝีมือทางด้านกลอุบายและกลยุทธ์ ถึงเราจะไม่พึ่งพาคทาเทพสมุทรกับถุงมืออินธน์ แต่ก็น่าจะยังเหนือกว่ามันเล็กน้อย จุดแข็งคือความพิสดารและหลากหลาย…
ไคลน์หลับตาลงพร้อมกับสร้างบอลแสงซ้อนทับภายในใจ ส่งตัวเองเข้าฌานเพื่อให้สมาธิคมกริบตลอดเวลา
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ สัมผัสวิญญาณของชายหนุ่มถูกกระตุ้นกะทันหันจนต้องลืมตา
ณ ขอบฟ้าฝั่งทิศตะวันตก ดวงอาทิตย์ใกล้ลาลับไปจากโลก แสงสีแดงส้มกำลังฉาบมหาสมุทรประหนึ่งทะเลเพลิงลุกไหม้ สาดส่องเข้ามาในห้องพักจนเกิดเงาในจุดที่ไม่ถูกตกกระทบ
ทันใดนั้น คล้ายกับเงาดำมีชีวิตชีวาขึ้นมากะทันหัน โดยเริ่มหมุนเป็นเกลียวและยืดตัวขนานกับแนวกำแพงห้อง
ความมืดมิดในจุดดังกล่าวมีสีเข้มจนผิดธรรมชาติ คล้ายกับพยายามกระตุ้นจิตใต้สำนึกแสนชั่วร้ายจากก้นบึ้งจิตใจมนุษย์ทุกคน
ไคลน์จ้องฉากตรงหน้าโดยไม่เผยอารมณ์แท้จริง เพียงยกมือซ้ายขึ้นพร้อมกับขยับปลายนิ้วอย่างคล่องแคล่ว
เงาดำเปล่งเสียงที่สากยิ่งกว่ากระดาษทราย
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์ อย่าได้คิดยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันเด็ดขาด นี่คือเจตจำนงของราชาอมตะ”
เมื่อสิ้นเสียงแหบพร่า เงาดำร่วงกราวลงพื้นในลักษณะของเหลว แปรสภาพกลับไปเป็นเงาธรรมชาติตามเดิม
ไคลน์มิได้แยแสเงาดำ เพียงจ้องออกไปนอกหน้าต่างอย่างมีสมาธิ
ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่า ผู้บงการเงาต้องอยู่ที่ใดสักแห่งบนถนนฝั่งตรงข้าม หรือก็คือ อีกฝ่ายไม่มีเจตนาจะใช้เงาดำลงมือกับตนตั้งแต่แรก
“นึกแล้วเชียว จอมเชือด·จิลเซียสตระหนักว่าเราคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เมื่อตอนเที่ยงจึงรีบหันหลังออกจากผับทันที แต่มันอาจมิได้หวาดกลัวเราคนเดียว เพราะตรงนั้นยังมีนักผจญภัยที่ค่อนข้างแข็งแกร่งอีกหนึ่งคน… พลังเมื่อครู่คล้ายกับ ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ ในกรุงเบ็คลันด์มาก ยิ่งสอดคล้องกับสมมติฐานก่อนหน้าเรา ซึ่งคาดว่ามันน่าจะมาจากเส้นทางปีศาจ …เอ่ยชื่อของราชาอมตะเพื่อข่มขู่? คิดว่าแค่นี้จะกลัว? ผิดถนัด! ตอนแรกก็ไม่อยากจะยุ่ง แต่ตอนนี้ชักเริ่มคันไม้คันมือแล้วสิ… ไม่… ไม่ได้… ต้องใจเย็นไว้ ตอนนี้เราต้องมีสมาธิกับการตามหานางเงือก อย่าได้หาเหาใส่หัวโดยไม่จำเป็น”
ไคลน์เบือนหน้าหนีพลางรำพัน
ชายหนุ่มชั่งน้ำหนักในใจว่าควรแจ้งข่าวให้โบสถ์เทพสงครามในเมืองนาสทราบดีหรือไม่ แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบ มันเชื่อว่าคงไม่เกิดประโยชน์อันใดนัก
สำหรับจักรวรรดิฟุซัคและอาณานิคมทั้งหมด ศาสนาเดียวที่ถูกกฎหมายคือโบสถ์เทพสงคราม จริงอยู่ จำนวนครึ่งเทพของศาสนาเทพสงครามอาจมากกว่าโบสถ์รัตติกาล แต่ก็มากกว่าเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับขนาดดินแดนที่ต้องปกครองดูแล ถึงจะรวมครึ่งเทพของกองทัพ ราชวงศ์ และหน่วยพิเศษเข้าไปด้วย ก็ยังไม่มากพอจะปกป้องทุกเกาะทุกดินแดนในการครอบครองอย่างทั่วถึง และแน่นอน เกาะการ์กัสซึ่งมีเพียงธุรกิจเกี่ยวกับวาฬขาวเป็นหลัก ย่อมมีความสำคัญรองลงมา
จากข้อมูลที่ไคลน์ศึกษาเบื้องต้น อาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์เทพสงครามในหมู่เกาะการ์กัสเป็นเพียงผู้วิเศษลำดับ 5 ‘การ์เดี้ยน’ เมื่อผนวกเข้ากับตุลาการจากศาลสูง บารอนจากตระกูลราชวงศ์ นาวาเอกพิเศษจากกองทัพเรือ ทั้งหมดผนึกกำลังกันจนเป็นกองทัพผู้วิเศษที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้พวกมันปกครองเกาะแห่งนี้ได้อย่างมั่นคงคือสมบัติปิดผนึก ไคลน์เชื่อว่าระดับของมันต้องไม่ต่ำกว่า 1 เพื่อให้มีขุมพลังทัดเทียมกับโจรสลัดที่อาจเข้ามาปั่นป่วน เพื่อคอยปกป้องธุรกิจเกี่ยวกับโรงกลั่นน้ำมันวาฬและอำพันเทา ให้ไม่กลายไปเป็นหนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงของสี่ราชาโจรสลัด
ด้วยเหตุผลข้างต้น กองทัพของทางการบนเกาะการ์กัสจึงอยู่ในสภาพตั้งรับอย่างเจียมตัว คอยระวังเฉพาะจุดสำคัญและเหตุการณ์ที่อาจเป็นภัยคุกคามร้ายแรงเท่านั้น ขอเพียงโจรสลัดไม่ก่อเรื่องอุกอาจ พวกมันจะไม่สิ้นเปลืองกำลังคนเข้ามาปราบปราม
แจ้งไปก็คงไม่เกิดประโยชน์… เป็นสาเหตุว่าทำไมที่นี่ถึงถูกขนานนามให้เป็นแดนสวรรค์ของโจรสลัด และยังเป็นเหตุผลที่บิลต์ต้องก่อตั้งสหภาพนักผจญภัย…
ไคลน์ถอนหายใจยาวและพับเก็บแผนการ
เมื่อเสร็จอาหารเย็นและเสร็จการนอนพักผ่อนก่อนเวลานัดหมาย ไคลน์กดปุ่มเปิดกลไกนาฬิกาพกสีทองเพื่อตรวจสอบเวลา
หลังจากยืนยันว่ายังหนึ่งทุ่มตรง ชายหนุ่มเริ่มประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเองและตอบสนองเสร็จสรรพ นำสมบัติวิเศษชิ้นแล้วชิ้นเล่าเข้าออกมิติสายหมอก พยายามปรับแต่งอุปกรณ์การรบของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ให้เหมาะสม
เนื่องจากเป็นการเดินทางท่ามกลางมหาสมุทร สมบัติวิเศษอย่าง ‘กระดุมข้อมือเมอร์ล็อก’ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง รวมไปถึงยันต์หลากหลายชนิดในขอบของเทพสมุทร ไคลน์จึงต้องเก็บเข็มกลัดสุริยันและอินธน์กลับเข้ามิติหมอก
และสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือ ‘ยุบพองหิวโหย’ รวมถึงสิ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์อย่างขวดพิษชีวภาพและปืนลูกโม่ดัดแปลงพร้อมเครื่องกระสุนหลายชนิด ประกอบด้วยกระสุนชำระล้างเจ็ดนัด กระสุนปราบมารสิบสามนัด และกระสุนปัดเป่าสองนัด
หลังจากสวมโค้ท ไคลน์วางนกหวีดทองแดงของอะซิกลงบนโต๊ะ นำกระเป๋าสตางค์ซึ่งมีเงินรวมห้าสิบปอนด์สอดไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านใน ทำเช่นเดียวกันกับฮาร์โมนิก้าและแผ่นยันต์โลหะ
เมื่อจัดการเสร็จ ชายหนุ่มสัมผัสปืนใต้รักแร้และลูบคลำกระดุมข้อมือฝั่งซ้ายเพื่อยืนยันให้แน่ใจ จากนั้น มันไล่ติดกระดุมเสื้อโค้ทสองแถวจากล่างขึ้นบน สวมหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง ยกกระเป๋าเดินทางที่บรรจุเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนและอุปกรณ์จำเป็นอีกเล็กน้อย เปิดประตูห้องพร้อมกับเดินออกจากโรงแรม เช่ารถม้ามุ่งหน้าไปยังเขตท่าเรือทันที
หลังจากรอคอยที่ท่าเรือหกอย่างใจเย็นสักพัก มันเห็นเรือใบลำมหึมาแล่นเข้าหาจากจุดห่างไกล
อ้างอิงจากความรู้อันน้อยนิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีสร้างเรือ ไคลน์เชื่อว่าเรือใบลำใหญ่เช่นนี้ไม่ควรใช้งานได้จริงตามหลักฟิสิกส์ แต่นั่นกลับไม่เป็นอุปสรรคในการแล่นไปบนน้ำทะเลยามค่ำคืน
เมื่อเรือใบแล่นเข้าใกล้กับท่าจอด ธงเรือถูกเผยให้เห็นอย่างเด่นชัดท่ามกลางแสงจันทร์สีแดง บนผืนธงปรากฏภาพของดาวจำนวนสิบดวง เรียงรายล้อมเนตรอันเย็นชาที่ปราศจากขนตา
“พลเรือเอกดวงดาว!”
“อนาคตกาล!”
โจรสลัดรอบท่าที่หกซึ่งกำลังคุ้มกันเรือของตนต่างพากันส่งเสียงฮือฮา เขตทั้งเขตกลายเป็นศูนย์กลางความโกลาหลชั่วคราว
ราวสิบวินาทีถัดมา ปืนใหญ่ชายฝั่งทุกกระบอกบนภูเขารีบหันหัวเล็งมาทางเรือใบลำใหญ่ด้วยท่าทีตื่นตระหนก
แก๊ง! แก๊ง! แก๊ง…
ณ ระฆังวิหารในจุดห่างไกลออกไป นาฬิกาเริ่มตีบอกเวลาสองทุ่มตรง
ขณะบรรยากาศตึงเครียดรอบท่าเรือที่หกเริ่มทวีความคุกรุ่น ‘อนาคตกาล’ แล่นมาหยุดในจุดที่ห่างไปจากเรือปรกติเล็กน้อย
สตรีสวมชุดคลุมสีดำทรงโบราณปรากฏกายบนหัวเรือขนาดใหญ่ ผิวของชุดคลุมเต็มไปด้วยลวดลายซับซ้อนและอักขระเวทมนตร์ ราวกับเป็นเครื่องแต่งกายของจอมอาคมทรงพลังจากอดีตกาลก็มิปาน
ท่ามกลางแสงจันทร์แดงสลัว น้ำทะเลเบื้องหน้าหญิงสาวเริ่มปรากฏแสงระยิบระยับดุจดังหมู่ดาราพราวพราย เรียงร้อยต่อกันเป็นสะพานซึ่งทอดยาวมาถึงขอบท่าเรือหมายเลขหก
อลังการฉิบ… สมกับเป็นหนึ่งในเจ็ดพลเรือโจรสลัด แถมยังเป็น ‘พลเรือเอก’ ที่เหนือกว่า ‘ธารน้ำแข็ง’ และ ‘โรคภัย’ เล็กน้อย…
ไคลน์พ่นลม ภายในใจนึกอยากเลื่อนมือขึ้นมาปิดหน้า
มันไม่ต้องการเปิดเผยให้ใครทราบว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์ นักผจญภัยเสียสติ แอบร่วมมือกับพลเรือเอกดวงดาวอย่างลับ ๆ
อดทนไว้… ตอนนี้เราต้องยึดติดกับการสวมบทบาทเพื่อย่อยโอสถ ไว้ย่อยสมบูรณ์และกลับไปยังทวีปเหนือเมื่อไร ตัวตนเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะไม่โผล่ออกมาโลดแล่นในทะเลอีกเลย…
ไคลน์เดินออกจากมุมมืดสำหรับซ่อนตัว มือข้างหนึ่งกดหมวกต่ำ ส่วนอีกข้างถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ สองเท้าย่างกรายขึ้นไปบนสะพานดวงดาวอย่างหนักแน่นมั่นคง
ชายหนุ่มเดินในท่วงท่าสง่างามไปตามแนวสะพานที่ทอดยาว สายตามองตรงไปยังปืนใหญ่ชายฝั่งบนภูเขาทิศตรงกันข้าม มันไม่รีบร้อนแต่ก็ไม่ลีลาที่จะส่งตัวเองขึ้นไปบนอนาคตกาลซึ่งจอดลึกเข้าไปในทะเล
สะพานดาวใต้ฝ่าเท้ามีลักษณะกึ่งล่องหน มองลงไปจากมุมบนจะเห็นทะเลน้ำทะเลสีเข้มสาดกระเพื่อม หากใครเป็นโรคกลัวความสูงคงได้แข้งขาอ่อนแรงจนล้มพับ
ของแค่นี้สบายมาก… เราผ่านลำดับตัวตลกมานานแล้ว แถมยังเคยวิ่งลงจากหอระฆัง…
ไคลน์ส่งตัวเองผ่านระยะทางสิบก้าวสุดท้ายและย่างกรายลงบนดาดฟ้าเรืออย่างนุ่มนวล
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับดวงตาสีม่วงเข้มของพลเรือเอกดวงดาว·แคทลียา ชายหนุ่มมิได้เผยอาการประหม่า เพียงถอดหมวกทาบหน้าอกและโค้งศีรษะคำนับอย่างสง่างาม
“สายัณห์สวัสดิ์ มาดาม”
……………………
ราชันเร้นลับ 638 : ผู้เชี่ยวชาญพิษ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะไคลน์กำลังโค้งตัวทักทาย ดวงตาสีม่วงเข้มของแคทลียาผมดำ พลันลุ่มลึกประหนึ่งก้นเหวที่พร้อมจะกลืนกินวิญญาณของผู้คน ส่งเสริมให้บรรยากาศลึกลับรอบกายหญิงสาวทวีความเข้มข้นมากขึ้น
แคทลียามองเห็นเข้าไปถึง ‘กายอากาศ’ ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ พบว่าผิวของชั้นวิญญาณดารามีสีดำสนิทปราศจากแสงสว่างโดยสิ้นเชิง ภายในนั้นมีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าแต่ต่อเนื่อง ลักษณะคล้ายกับคลื่นสงบใต้ผิวน้ำ
เธอเห็นมือซ้ายของเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังส่องแสงเจิดจ้า แต่ขณะเดียวก็ถูกฉาบด้วยสีเลือดสดเข้มข้น
เธอเห็นประกายสีฟ้าจุดเล็กๆ จากข้อมือซ้าย เห็นจุดแสงสีเงินสว่างภายในช่องลับของกระเป๋าเสื้อฝั่งซ้ายหลายตำแหน่ง ประหนึ่งแสงเหล่านี้กำลังเชื่อมต่อและซ้อนทับกับโลกวิญญาณ รอบจุดดังกล่าวแฝงด้วยกลิ่นอายคลื่นทะเล รวมไปถึงภาพมายาของสายลมเกรี้ยวกราด
เธอเห็นแสงสีเขียวและดำจากช่องกระเป๋าลับฝั่งขวา เห็นแสงสีทองสองจุด สีเงินสองจุด และทองแดงหนึ่งจุดใต้รักแร้ซ้าย บนหน้าอกเป็นแสงสีเทาหม่นคล้ายซากศพเน่าเปื่อย
สมบัติวิเศษสี่ชิ้น รวมถึงวัตถุวิญญาณหรือยันต์อีกกว่าสิบชนิด…
เมื่อตระหนักว่าดวงตาของตนเริ่มส่องประกาย พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา รีบหลับตาลง
เธอพยักหน้ารับ
“สายัณห์สวัสดิ์ มิสเตอร์สแปร์โรว์”
แม้ว่าแคทลียาจะเป็นตัวตนทรงพลังในทะเลมานานหลายปี แต่บุคคลระดับพลเรือเอกอย่างเธอก็แทบไม่เคยเห็นใครพกพาสมบัติวิเศษติดตัวเรียงรายเป็นทิวแถวเช่นนี้
จริงอยู่ เธออาจเคยเห็นใครบางคนพกพาสมบัติวิเศษ วัตถุวิญญาณ และยันต์ในปริมาณที่มากกว่า แต่บุคคลดังกล่าวมีองค์กรลับคอยหนุนหลัง มีโจรสลัดในการปกครองนับพันชีวิต ทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่ต้องถูกจัดสรรให้สมาชิกอย่างเหมาะสม บางส่วนที่ไม่มีประโยชน์ต้องนำไปขายและหารเป็นเงิน เพื่อจะได้นำเงินไปใช้พัฒนาความแข็งแกร่งของกลุ่มต่อไป จึงเหลือที่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวไม่มากนัก
แต่คำว่า ‘ไม่มากนัก’ ในที่นี้ก็มิได้ด้อยไปกว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์สักเท่าไร สำหรับแคทลียาเอง ตัวเธอเลือกขายไปเกือบหมดและพกติดตัวไว้เพียงสองชิ้น แต่ทั้งคู่ต่างเป็นก็สมบัติวิเศษทรงพลังซึ่งเหมาะสมกับฐานะพลเรือโจรสลัด
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากแสงระยิบระยับมากมายในการมองเห็นเมื่อครู่ แคทลียาเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่า ดวงตาม่วงเข้มของตนมิอาจส่องความลับของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ได้ครบทุกซอกมุม คล้ายกับอีกฝ่ายยังมีไพ่เด็ดนอกเหนือการคำนวณซ่อนอยู่ในม่านเงามืด
หรือนี่คือเหตุผลว่าทำไม ขณะอยู่ในชุมนุมทาโรต์ เราถึงเห็นเขาไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิตปรกติ?
ไม่เพียงเท่านั้น ความลับของเขายังยิ่งใหญ่มาก อย่างน้อยก็ลำดับ 3 ‘นักบุญ’ หรือสูงกว่านั้นอย่าง ‘เทวทูต’ …
แคทลียาไม่คิดสอดส่องเพิ่มเติม ดวงตากลับไปเป็นสีปกติเมื่อลืมขึ้นอีกหน
ครุ่นคิดสักพัก หญิงสาวส่งเสียงหัวเราะเยาะตัวเองในใจ เนื่องจากพบความน่าขบขันเกี่ยวกับข้อสังเกตที่เธอมีต่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์
ความลับที่เกี่ยวกับลำดับ 3 หรือสูงกว่า…
มันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ชายคนนี้เหมือนกับเรา เป็นหนึ่งในสมาชิกชุมนุมทาโรต์ ย่อมมีความเกี่ยวข้องกับมิสเตอร์ฟูล ผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นหนึ่งในเทพบรรพกาลที่กำลังฟื้นฟูพลัง…
หลังจากทักทายตามมารยาท ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง หญิงสาวเพียงเดินนำไคลน์เข้าไปในเขตห้องโดยสาร
ทันใดนั้น อนาคตกาลที่หยุดนิ่งมาสักพักเริ่มออกตัวแล่นอีกครั้ง กราบเรือตีวงโค้งและหันหัวไปยังทิศตะวันออกซึ่งเป็นทิศเดียวกับเส้นทางล่าวาฬขาว ฉากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ความตึงเครียดริมท่าเรือนาสเริ่มผ่อนคลายลงจากเดิม
ตลอดบนดาดฟ้าเรือทาง แม้ไคลน์จะเผชิญกับสายตาโจรสลัดจำนวนมาก แต่มันก็มิได้ยี่หระ เพียงมองไปรอบตัวอย่างผ่อนคลายประหนึ่งที่นี่เป็นบ้านของตน พลางซักถามอย่างเป็นกันเอง
“คนน้อยกว่าที่คิดนะ”
พลเรือเอกดวงดาว·แคทลียา หันมาชำเลืองชายหนุ่มและมอบคำตอบเรียบง่าย
“การเดินเรือเข้าไปในย่านตะวันออกของเขตล่าวาฬนั้นอันตรายอย่างมาก มีเพียงลูเธอร์ไวลล์คนเดียวที่เข้าไปในนั้นบ่อยครั้ง คล้ายกับมันกำลังตามหาบางสิ่ง นอกจากอนาคตกาล ดิฉันจะไม่นำเรือลำอื่นตามเข้าไปด้วยเด็ดขาด อีกทั้ง ลูกเรือส่วนใหญ่ของอนาคตกาลยังถูกโยกย้ายไปประจำการที่อื่นชั่วคราว มีเพียงจำนวนขั้นต่ำสุดซึ่งพอจะช่วยให้ภารกิจลุล่วงเท่านั้น”
ตัดสินใจได้ชาญฉลาด… ลูเธอร์ไวล์… หมายถึงพลเรือเอกขุมนรก·ลูเธอร์ไวล์? ขณะเราได้ยินชื่อนี้ครั้งแรกจากปากมิสเตอร์แฮงแมน อีกฝ่ายยังเล่าด้วยว่า พลเรือเอกขุมนรกกำลังสำรวจแถบตะวันออกของทะเลโซเนีย…
ไคลน์พยักหน้าโดยไม่เสริม
นี่คือมาดและบุคลิกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
ชายหนุ่มมองไปรอบตัวและเริ่มตระหนักว่า ตามผนังกำแพงของเรืออนาคตกาล หรือกระทั่งต้นเสา ผิววัสดุเกือบทั้งหมดจะถูกสลักลวดลายซับซ้อน คล้ายกับเป็นแท่นบูชาเคลื่อนที่สำหรับประกอบพิธีกรรมขนาดใหญ่
เหมือนกับฝันทองคำ เป็นเรือวิเศษ แต่ไม่ถึงกับเรือผีสิง… เมื่อเทียบกับพลเรือเอกดวงดาวและพลเรือโทธารน้ำแข็ง เทรซี่ที่เพิ่งเป็นพลเรือโจรสลัดไม่กี่เดือนยังด้อยกว่ามาก… กาฬมรณะไม่มีกลิ่นอายความพิเศษแบบนี้…
ไคลน์ถอนสายตากลับและเดินตามแคทลียาเข้าไปในเขตห้องโดยสาร
ที่นั่นมีชายคนหนึ่งยืนรออยู่ สวมเชิ้ตขาวและกางเกงขายาวพร้อมสายรัดบ่า อายุราวสามสิบ ร่างกายกำยำบึกบึน ขนดกหนา ถึงขนาดว่าท่อนแขนเปลือยที่ปกคลุมด้วยเส้นขน ดูคล้ายกับกำลังสวมเสื้อไหมพรมแขนยาวสีน้ำตาล
ในสภาพสวมหมวกปีกกลมกึ่งกลางจมลึก ชายคนดังกล่าวฉีกยิ้มกว้างพลางเหยียดแขนออกมาหาไคลน์
“รองกัปตันแห่งอนาคตกาล แฟรงค์·ลี สายัณห์สวัสดิ์ มิสเตอร์สแปร์โรว์”
แฟรงค์·ลี…
‘ผู้เชี่ยวชาญพิษ’ ค่าหัวเจ็ดพันปอนด์…
ไคลน์จดจำอีกฝ่ายได้ทันที
เมื่อพิจารณาว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่ชอบจับมือกับใครบ่อยนัก ชายหนุ่มทำเพียงพยักหน้ารับ
“สายัณห์สวัสดิ์”
แฟรงค์·ลีดึงมือกลับพร้อมกับหันไปทางพลเรือเอกดวงดาว·แคทลียา ตามด้วยยิ้มและกล่าว
“คุณรู้จักผมมาก่อนหรือ? นั่นสินะ หนึ่งในรูปถ่ายของผมถูกนำไปทำเป็นใบประกาศจับ อย่าได้ใส่ใจกับคำว่าผู้เชี่ยวชาญพิษนักเลย ผมเป็นมิตรอย่างมาก นอกเสียจากจะเผชิญหน้ากับไอ้พวกระยำนั่น! งานอดิเรกของผมคือการศึกษาเรื่องดิน พืชผล และการผสมข้ามสายพันธุ์ เชื่อผมเถอะ นี่คืออนาคตของมนุษยชาติ!”
“แต่คนของโบสถ์พระแม่ธรณีไม่คิดแบบนั้น”
แคทลียาช่วยแนะนำตัวแฟรงค์·ลีทางอ้อม
…เคยเป็นคนของโบสถ์พระแม่มาก่อน?
การผสมข้ามสายพันธุ์ถือเป็นเรื่องดี มีแต่จะช่วยให้พืชผลพัฒนาไปในทิศทางที่ตลาดต้องการ เติบโตได้ง่าย เก็บเกี่ยวได้ไว ช่วยแก้ปัญหาปากท้องของผู้คนอย่างแท้จริง…
ไคลน์จ้องแฟรงค์·ลีและกล่าวชื่นชมด้วยความนับถือ
“เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง”
“คุณช่างสมกับเป็นนักผจญภัยที่มีระบบความคิดพิสดารไม่เหมือนใคร! ยอดเยี่ยมมาก! ในโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นแบบคุณ!” ดวงตาสีฟ้าของแฟรงค์·ลีเผยความประหลาดใจ “ถ้าคนอื่นคิดแบบคุณก็คงดี เพราะแค่ผมทำการผสมพันธุ์กระทิง วัว และข้าวสาลีเข้าด้วยกันเพื่อให้ลูกวัวมีจำนวนมากเหมือนข้าวสาลี ก็เกือบถูกคนของโบสถ์พระแม่ธรณีจับไปตัวไปขึ้นศาล
“โอ้พระแม่ธรณี! พวกเขาช่างไร้วิสัยทัศน์!”
ผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างกระทิง วัว และข้าวสาลี… นายมันปีศาจ…
ไคลน์พบว่าวลี ‘ผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์’ ของตนและอีกฝ่ายไม่เหมือนกันเลยสักนิดเดียว
มันยังคงรักษาสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่แสดงความเห็นเพิ่มเติม เพียงเดินไปตามทางโดยการนำของแฟรงค์·ลีและพลเรือเอกดวงดาว
หลังจากขึ้นบันไดไปยังชั้นบน สัมผัสวิญญาณไคลน์ถูกกระตุ้นจนมันต้องเหลียวหลังกลับไปมองในเงามืด
ณ จุดดังกล่าว ความมืดมิดบิดตัวเป็นเกลียวพร้อมกับลอยขึ้นจากพื้น แปรสภาพเป็นรูปทรงมนุษย์ผิวพรรณข่าวซีดและผอมสูง
โหนกแก้มเกือบโปร่งใส สันจมูกไม่กลมกลืนกับโครงหน้า บรรยากาศรอบตัวคล้ายกับกำลังป่วยหนัก
“เขาคือผู้ช่วยกัปตัน ฮีธ·ดอยล์” แฟรงค์·ลีกล่าวแนะนำด้วยรอยยิ้ม
หมายถึงผู้ช่วยกัปตันที่ดันมีค่าหัวสูงกว่ารองกัปตันอย่างนาย ‘ผู้ไร้เลือด’ ฮีธ·ดอยล์ เจ้าของค่าหัวเจ็ดพันหกร้อยปอนด์?
ไคลน์ซ้อนทับภาพกับใบประกาศจับ
ฮีธ·ดอยล์พยักหน้ารับเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย ก่อนจะหายตัวไปกับเงามืดตามเดิม
“เขาเป็น ‘นักบวชกุหลาบ’ ”
ขณะหันหน้าไปทางห้องกัปตัน แฟรงค์·ลีกล่าวถึงฮีธ·ดอยล์อย่างเป็นกันเอง
สหาย… นายยอมบอกชื่อโอสถของผู้ช่วยกัปตันเรือง่าย ๆ แบบนี้เลยหรือ?
ไคลน์ขมวดคิ้ว
มันรีบหันไปทางพลเรือเอกดวงดาว และพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังเผยสีหน้าจนปัญญาเช่นกัน
“คุณกังวลว่าเขาจะเป็นสาวกเดนตายของพระผู้สร้างแท้จริงและเป็นพวกวิปลาสใช่ไหม? เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ฮะฮะ! เขาโชคดีเป็นบ้า! ด้วยอุบัติเหตุบางอย่าง จากที่เคยเป็นเพียงคนธรรมดา ฮีธค่อยๆ ถูกตะกอนพลังของ ‘นักบวชกุหลาบ’ ซึมซับเข้าไปในร่างกายทีละนิด และย่อยมันสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์! ที่บอกว่าไม่ต้องกังวลก็เพราะว่า เขามิได้ผ่านลำดับ ‘ผู้สดับ’ จึงไม่ถูกปนเปื้อนโดยเสียงเพรียกของพระผู้สร้างแท้จริง ส่งผลให้สติยังครบถ้วนสมบูรณ์ ขอเพียงไม่ใช้พลัง ‘สดับ’ ออกมา เขาก็จะไม่เป็นอันตรายแน่” แฟรงค์·ลีเล่าโอ้อวด
โชคดีอะไรแบบนี้ ได้กลายเป็นลำดับ 6 ในคราวเดียว แถมยังไม่วิปลาสเหมือนคาเวทูว่า…
ไคลน์ถอนหายใจยาว ยืนจ้องแคทลียาเปิดประตูห้องกัปตัน
หญิงสาวชี้ไปทางหนึ่งและกล่าว
“ห้องของคุณอยู่เยื้องฝั่งตรงข้าม อีกเดี๋ยวแฟรงค์จะนำทางไป หากมีเรื่องใดต้องการปรึกษา สามารถมาหาดิฉันได้ทุกเมื่อ ห้องอาหารพร้อมบริการคุณตลอดเวลา หรือจะให้แฟรงค์ยกมาเสิร์ฟที่ห้องพักก็ได้ เลือกเมนูได้ตามใจชอบ”
พลเรือเอกดวงดาวบริหารจัดการทุกสิ่งได้อย่างเฉียบขาดและชำนาญ… คล้ายกับสาวมั่นวัยทำงานที่มีไอคิวสูง…
ไคลน์ชมเชยในใจ แต่ภายนอกยังคงตอบสนองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ตกลง”
ชายหนุ่มฉวยโอกาสชำเลืองเข้าไปในห้องกัปตันเล็กน้อย และได้เห็นชั้นหนังสือ กระจกเงาเต็มบาน โต๊ะทำงาน พรมผืนหนา
ยังต้องอ่านหนังสืออีกหรือ? ลำพังความรู้จากปราชญ์เร้นลับยังไม่พอรึไง…
ไคลน์รำพันขบขัน
พร้อมกันนั้น เมื่อแฟรงค์·ลีเห็นว่าบทสนทนาระหว่างทั้งสองจบลง มันรีบกล่าวอย่างตื่นเต้น
“มิสเตอร์สแปร์โรว์ คุณอยากกินมันฝรั่งย่างเป็นอาหารค่ำไหม? หน้าตาเหมือนเนื้อวัว รสชาติเหมือนเนื้อวัว แต่มันคือมันฝรั่ง!”
กินเข้าไปแล้วจะไม่ป่วยแน่หรือ…
ไคลน์ตอบเย็นชา
“ฉันไม่กินอาคารค่ำ”
“ตกลง” แฟรงค์·ลีหยักไหล่ เตรียมเดินนำทางไคลน์ไปยังห้องพัก
ทันใดนั้น พลเรือเอกดวงดาวกล่าวขึ้น
“มิสเตอร์สแปร์โรว์ คุณคงเคยล่าศัตรูมาแล้วไม่น้อย และได้รับสิ่งของมีค่ามากมาย”
“ขอทราบได้ไหมว่าคุณมีตะกอนพลังชนิดใดที่พร้อมขายบ้าง สามารถนำสิ่งนั้นมาหักลบกับค่าจ้างหนนี้ได้”
ไคลน์นึกทบทวน มอบคำตอบไปตามตรง
“ผมขายไปเกือบหมดแล้ว เหลือแค่นักสอบสวน กลาดิเอเตอร์ และคนบ้า” ชายหนุ่มจงใจไม่เอ่ยถึง ‘ดวงตาดำล้วน’ และ ‘ฝันร้าย’
สมกับเป็นนักผจญภัยที่โด่งดังที่สุดในช่วงสองสามเดือนหลัง… แม้จะขายไปเกือบหมด แต่ก็ยังเหลือมากถึงสามชิ้น…
แคทลียาถอนหายใจเงียบ เปล่งเสียงไพเราะ
“ดิฉันต้องการกลาดิเอเตอร์”
เธอมีลูกน้องคงหนึ่งบนเกาะการ์กัสที่เป็น ‘นักรบ’ และสะสมคะแนนผลงานมากพอจะแลกเปลี่ยนตะกอนพลังลำดับถัดไปแล้ว
……………………
ราชันเร้นลับ 639 : รายชื่อ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากได้ยินข้อเสนอของพลเรือเอกดวงดาว ไคลน์ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ ครุ่นคิดเพียงสองสามวินาทีก็มอบคำตอบ
“เจ็ดร้อยปอนด์”
“สมเหตุสมผล” แคทลียาไม่ต่อรอง
ตะกอนพลังของลำดับ 8 จะมีราคาอยู่ราวหกร้อยถึงเจ็ดร้อยปอนด์ หากใครต้องการเร่งด่วนก็จะยิ่งถูกโก่งเพิ่ม เพราะโดยธรรมชาติแล้ว สินค้าประเภทนี้ปรากฏตัวในชุมนุมลับไม่บ่อยครั้ง
ไคลน์ไม่ทำการแลกเปลี่ยนทันที เพียงยกกระเป๋าเดินทางขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์
“จะนำมาให้พรุ่งนี้”
แน่นอน ชายหนุ่มมิได้พกตะกอนพลัง ‘กลาดิเอเตอร์’ ติดตัว สิ่งของมีค่าส่วนใหญ่ล้วนถูกเก็บไว้บนมิติหมอก
พลเรือเอกดวงดาว·แคทลียาไม่ประหลาดใจกับคำตอบ เพียงพยักหน้ารับ
“ไม่มีปัญหา”
เธอเคยพบใครหลายคนที่เก็บตะกอนพลังด้วยวิธีการพิเศษ สำหรับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็คงไม่ต่างกัน วิธีการเก็บตะกอนพลังกลาดิเอเตอร์คงเป็นความลับที่บอกใครไม่ได้ เธอจึงมิได้หวังให้อีกฝ่ายเปิดกระเป๋าและส่งมอบสินค้าทันที
นักผจญภัยเสียสติต้องมีความลับสักเรื่องสองเรื่องอยู่แล้ว…
แคทลียาเว้นวรรค เสริมหนึ่งประโยค
“ห้องของคุณไม่มีการติดตั้งอุปกรณ์สอดแนม”
สิ่งที่เธอสามารถเห็น ก็ได้เห็นไปหมดแล้วด้วยดวงตาสีม่วงเข้ม
“ถึงจะมีก็ไม่เป็นไร” ไคลน์ยกมุมปากด้วยสีหน้าเย็นชา
แผนเดิมของมันคือ ขณะประกอบพิธีกรรมเข้าสู่มิติหมอก ตนจะนำนกหวีดทองแดงอะซิกและนกกระเรียนกระดาษของวิล·อัสตินออกมาวางข้างกัน เป็นเทคนิคการกีดขวางผลการทำนายถึง อีกทั้งยังจะใช้ห้องน้ำเป็นตัวช่วยกีดขวางทางกายภาพ
แต่ไคลน์ก็มิได้คิดว่าพลเรือเอกดวงดาวจะทำตัวล้ำเส้น ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายหวาดกลัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์ แต่เป็นเพราะบุคคลระดับเธอย่อมมีวิธีล้วงข้อมูลที่นุ่มนวลกว่านั้น
เช่นการใช้ ‘ผู้ชม’ …
ไคลน์ถอดหมวกทาบอก แสดงความขอบคุณ และเดินตาม ‘ผู้เชี่ยวชาญพิษ’ แฟรงค์·ลีไปยังห้องพักของตัวเอง
เมื่อเห็นแผ่นหลังของนักผจญภัยเสียสติเลือนหายไป แคทลียาเดินกลับเข้าห้องกัปตัน หยิบแว่นตาหนาเตอะขึ้นมาสวมทับดั้งจมูก
…
กรุงเบ็คลันด์ ย่านใต้สะพาน
วิหารฤดูเก็บเกี่ยว
บิชอปยูทรอฟสกี้ ผู้มีรูปร่างสูงใหญ่จนดูคล้ายลูกครึ่งยักษ์ในสายตาคนปรกติ กำลังวางพระคัมภีร์ในมือพลางกวาดตาไปรอบโถงสวดมนต์ด้วยสีหน้าเบิกบาน
“จำนวนผู้ศรัทธาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ”
“งั้นหรือ…” เอ็มลิน·ไวท์ในชุดคลุมสีน้ำตาลของนักบวช กำลังก้มหน้าเช็ดเชิงเทียนอย่างเหม่อลอย เปล่งเสียงโดยไม่เงยหน้าขึ้น
มันทราบดี นับตั้งแต่จบโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันในกรุงเบ็คลันด์ จำนวนสาวกของโบสถ์พระแม่ธรณีเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก หากเป็นเมื่อก่อน ถ้าไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์หรือช่วงเย็น จำนวนสาวกที่เข้ามาสวดมนต์แทบไม่เคยเกินห้าคน แต่สำหรับปัจจุบัน ในเวลาธรรมดาเช่นนี้กลับมีจำนวนสาวกมากเกินกว่าสิบ
หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ก้มหน้าจ้องแวมไพร์หนุ่มที่กำลังทำงานขะมักเขม้น กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หากดวงตาไม่มืดบอด ทุกคนล้วนทราบดีว่า การเพิ่มของผู้ศรัทธาเกิดขึ้นได้เพราะฝีมือคุณ ผลงานของคุณเป็นที่ประจักษ์หลังจากเกิดโศกนาฏกรรม หากไม่เพราะคุณปรุงยาดีซึ่งช่วยรักษาพวกเขาจนหายขาด อีกทั้งยังใจกว้างช่วยสอนวิธีปรุงยาหลังจากนั้น คงเป็นการยากที่จะเผยแผ่ความเชื่อของพวกเรา แข่งขันกับศาสนาหลักอื่นๆ ของที่นี่”
เอ็มลินในท่าถือผ้าขี้ริ้วด้วยมือข้างหนึ่ง เหยียดตัวตรงพร้อมกับเชิดคาง
“ข้าทำไปเพียงเพราะต้องการสวมบทบาท”
เฮ่อะ! ความเชื่อของพวกเราอะไรกัน ใครเป็นพวกเดียวกับเจ้า!
ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวเล็กน้อย ก่อนจะยิ้ม
“พูดถึงคนตาบอด มีมุกตลกหนึ่งของเบ็คลันด์ที่ข้าเคยได้ยิน : ช่วงนี้คนตาบอดกำลังเป็นที่ต้องการตัวอย่างมาก เพราะทางศาลอยากให้พวกเขาไปทำงานเป็นคณะลูกขุน”
หลวงพ่อยูทรอฟสกี้เพิกเฉยมุกตลก
“ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ใด แต่ผลลัพธ์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ความพยายามของคุณส่งผลให้มีผู้เชื่อในพระแม่ธรณีมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า คุณมีจิตใจที่งดงาม”
ฉันพูดความจริง! ทำไมถึงไม่ยอมเชื่อกันบ้าง!
เอ็มลินเงยหน้าจ้องหลวงพ่อร่างยักษ์สักพัก ก่อนจะเบือนหน้ากลับมาทำงาน
หลังจากเสร็จงานที่วิหาร ผีดูดเลือดหนุ่มเปลี่ยนกลับไปเป็นเครื่องแต่งกายตามปรกติ สวมหมวกผ้าไหมเพื่อป้องกันแสงแดด ย่างกรายไปตามถนนกุหลาบ
หลังจากแอบกลอกตาซ้ายขวา มันพบว่าเป็นอีกครั้งที่ตนไม่ถูกสะกดรอย
“ถุงมือแดงที่ชื่อเลียวนาร์ดคนนั้นไม่ยอมโผล่หน้ามาอีกเลย… ข้าเคยคิดว่าหลังจากเปิดโปงตัวจริงพร้อมกับซื้ออินธน์ เจ้านั่นจะแอบสะกดรอยตามเสียอีก…” เอ็มลิน·ไวท์ส่ายหน้าแผ่วเบาจนยากสังเกตเห็น ในใจกำลังสับสน
ตอนแรก มันต้องการนำทฤษฎีของแฮงแมนมาปรับใช้ วางแผนปล่อยให้การสะกดรอยของ ‘ถุงมือแดง’ สร้างความขัดแย้งกับการจับตามองของเบื้องบนตระกูลผีดูดเลือด โดยมีโบสถ์พระแม่ธรณีและบิชอปยูทรอฟสกี้คอยเป็นแกนกลางในการรักษาสมดุล
แต่เหตุการณ์กลับไม่ดำเนินไปตามที่คิด ถุงมือแดง ‘เลียวนาร์ด·มิเชล’ มิได้สะกดรอยอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับหายตัวไปจากเบ็คลันด์อย่างลึกลับและกะทันหัน
ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ เอ็มลินลองแวะไปยังบ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์ และพบว่าอาคารดังกล่าวไม่มีใครอาศัยอยู่
สลัดความคิดไร้สาระออกจากสมอง ผีดูดเลือดหนุ่มเดินสุดถนน เช่ารถม้ามุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ตระกูลโอดรา
หลังจากได้รับคำแนะนำจากบุรุษรับใช้ให้นั่งรอในห้องหนังสือชั้นล่าง เอ็มลินพบว่าที่นี่เต็มไปด้วยผีดูดเลือดหนุ่มสาวคล้ายตน บางส่วนมีบรรดาศักดิ์เป็นบารอน
ไม่ใช่ข้าคนเดียวหรอกหรือ…
มันครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเดินไปทางประตูห้องที่ปิดอยู่และซักถามคาซีมี·โอดรา
“บารอน ท่านลอร์ดนีบาสมิได้เรียกข้ามาพบแค่คนเดียวหรอกหรือ”
มันเรียกอีกฝ่ายว่า ‘บารอน’ ห้วนๆ ประหนึ่งกำลังขานชื่ออย่างสนิทสนม เพราะปัจจุบันเอ็มลินก็มีบรรดาศักดิ์บารอน เพียงแต่ยังมิได้ประกาศออกไป
คาซีมีเป็นสุภาพบุรุษวัยกลางคนที่มีบรรยากาศสง่างามและสุขุม เมื่อได้ยินคำถามของเอ็มลิน มันตอบด้วยรอยยิ้มลุ่มลึก
“พวกเจ้าทุกคนคือผีดูดเลือดหนุ่มสาวที่มีผลงานโดดเด่นสะดุดตาเบื้องบน ท่านปู่จึงเตรียมมอบภารกิจเพื่อเป็นการทดสอบ”
“ทดสอบอะไร?”
ซักถามโดยรุส·บาโธรี ผู้สืบทอดตะกอนพลังบารอนได้เพราะความโชคดี
คาซีมีจิบไวน์เลือดสีแดงเข้ม กวาดตามองไปรอบห้องอ่านหนังสือ
“พวกเจ้าอาจยังไม่ทราบ แต่อสรพิษแห่งชะตาของโรงเรียนชีวิตได้หายตัวไปสักพักแล้ว”
เมื่อเห็นเอ็มลินและหนุ่มสาวคนอื่นยังคงแสดงสีหน้าฉงน คาซีมีเล่าต่อไป
“สิ่งหนึ่งที่ควรรู้เอาไว้ก็คือ โรงเรียนชีวิตเป็นองค์กรที่ก่อตั้งจากสองกลุ่มซึ่งมีพื้นฐานแตกต่างกันมาก ฝ่ายหนึ่งคือผู้เชื่อในโชคชะตา ส่วนอีกฝ่ายคือผู้เชื่อในดวงจันทร์บรรพกาล โดยฝ่ายหลังผยองพองขนว่าตนสูงส่งและเปี่ยมด้วยปัญญาเสียเต็มประดา ทั้งสองกลุ่มจำเป็นต้องจับมือเป็นพันธมิตรกันเนื่องจากถูกศาสนาหลักกดดันอย่างหนัก มีคติพจน์ร่วมกันคือ ตระหนักถึงแก่นแท้ของชีวิตและวิญญาณ เป็นเพราะการมีอยู่ของอสรพิษแห่งชะตา ความขัดแย้งจึงถูกซ่อนใต้พรมมาตลอด ผู้เชื่อในดวงจันทร์บรรพกาลจะถูกตีกรอบพิธีกรรมและการบูชาสัญลักษณ์ แต่หนึ่งสิ่งที่เหมือนก็คือ สมาชิกองค์กรจะใช้ระบบศิษย์อาจารย์ โดยสูตรโอสถส่วนมากจะถูกแลกเปลี่ยนผ่านทางนี้เท่านั้น แต่น่าเสียดาย หลังจากอสรพิษแห่งชะตาหายตัวไป ความสงบสุขก็เลือนหายไปพร้อมกัน ผู้เชื่อในดวงจันทร์บรรพกาลเริ่มอาละวาด สร้างความแตกแยกภายในองค์กร และเริ่มก่อปัญหากับฝ่ายผู้เชื่อในโชคชะตา ทั้งหมดเป็นฝีมือของโรงเรียนกุหลาบ พวกมันคอยบงการอยู่เบื้องหลัง และสร้างความเสียหายแก่โรงชีวิตได้อย่างหนักหน่วง”
เมื่อเห็นเอ็มลิน·ไวท์ รุส·บาโธรี และผีดูดเลือดหนุ่มสาวยังเหลือความสับสนบนใบหน้าอยู่เล็กน้อย คาซีมี·โอดราพูดเข้าประเด็นหลักทันที
“สาวกดวงจันทร์บรรพกาลคือศัตรูคู่อาฆาตของผีดูดเลือดอย่างเรา พวกมันล่าผีดูดเลือดเพื่อนำไปปรุงเป็นโอสถ เพื่อแย่งชิงพลัง! ตอนนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่พวกเราไม่ควรปล่อยผ่าน นี่คือรายชื่อของบรรดาผู้เชื่อในดวงจันทร์บรรพกาล หากใครในกลุ่มพวกเจ้าสังหารพวกมันได้มากที่สุด ท่านปู่ของข้า รวมถึงอาวุโสเบื้องบนอีกหลายตน จะตกรางวัลให้ผู้ชนะอย่างงาม บททดสอบจะจบลงทันทีหากมีใครฆ่าได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายชื่อ หรือศัตรูถูกฆ่าจนครบ”
“แน่นอน รายชื่อข้างต้นถูกคัดกรองให้เหมาะสมกับฝีมือพวกเจ้าแล้ว ส่วนคนอื่นนอกเหนือจากนี้จะถูกจัดการโดยท่านอาวุโสเบื้องบน”
หลังจากเอ็มลิน·ไวท์ฟังจบ แม้จะเกลียดชังแวมไพร์ ‘เทียม’ เป็นทุนเดิม แต่มันก็ไม่มีอารมณ์ร่วมกับบททดสอบสักเท่าไร มองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย เป็นงานกรรมกรที่วุ่นวาย การหมกตัวอยู่แต่ในบ้านและคุยกับตุ๊กตา ยังมีความสุขกว่าเป็นไหนๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นการแข่งขันระหว่างกลุ่มผีดูดเลือดหนุ่มสาว เอ็มลินตระหนักได้ทันทีว่าตนกำลังถูกสายตาจำนวนมากจากรุส·บาโธรีและคนอื่นจ้องมอง จึงเชิดคางขึ้นและกล่าว
“ไม่มีปัญหา”
ดวงตาสีแดงเลือดสดของมันกำลังกวาดมองทุกสิ่งมีชีวิตรอบห้อง
…
อนาคตกาล ภายในห้องพักที่มีห้องน้ำส่วนตัว
ไคลน์ยืนข้างหน้าต่าง มองออกไปยังทะเลสีฟ้าครามสุดลูกหูลูกตาด้านนอก อ้าแขนรับลมเย็นจากทางเหนือด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
เรือธงของพลเรือเอกดวงดาวเริ่มแยกออกจากกองเรือคุ้มกัน แล่นไปตามลำพังบนน่านน้ำสำหรับล่าวาฬขาว
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ เรือประมงล่าวาฬสองลำแล่นสวนมาจากด้านหน้า เมื่อพวกมันเห็นธง ‘หนึ่งเนตรสิบดารา’ ทั้งสองลำรีบตอบสนองอย่างประหม่าเจือความลนลาน
กราบเรือถูกหันเข้าหาอนาคตกาล ปืนใหญ่ทุกกระบอกเรียงรายพร้อมยิงทุกเมื่อ
แม้แต่ปืนล่าวาฬที่ใช้กลไกการระเบิดเพื่อส่งให้ฉมวกพุ่ง ก็ยังถูกหันมาในทิศทางเดียวกัน บรรดาลูกเรือผมทองชาวการ์กัสเข้าประจำการตามปืนใหญ่ ปืนฉมวก บางนั่งยองหลบหลังกำแพงกราบเรือ โดยทั้งหมดกำลังตื่นตัวสุดขีด
ไคลน์เหลือบเห็นหญิงสาวที่มีขนาดร่างกายใหญ่โตเท่าเดอะฮัลค์และเชื่อว่าพวกหล่อนคงต่อสู้ได้เก่งกาจ
แต่อนาคตกาลหาได้แยแสการต้อนรับที่ไม่เป็นมิตร เพียงแล่นผ่านไป มุ่งหน้ายังใจกลางเขตน่านน้ำล่าวาฬขาว
หลังจากผ่านไปอีกสักพัก ไคลน์เห็นเรือโจรสลัดหลายลำกำลังจอดนิ่งเป็นกลุ่มใหญ่ด้านหน้า จุดดังกล่าวใกล้กับสุดเขตทางเดินเรือปลอดภัย ภายในใจยังไม่ทราบเป้าหมายที่แน่ชัด
อนาคตกาลแล่นเข้าไปใกล้กับพวกมันโดยปราศจากความยำเกรง เมื่อเห็นภาพดังกล่าว กลุ่มเรือโจรสลัดพลันแตกฮือประหนึ่งฝูงนกได้ยินเสียงปืน ลนลานแล่นหายไปจากการมองเห็น
หลังจากตระหนักว่าอนาคตกาลเริ่มลดความเร็วลง ชายหนุ่มเบือนศีรษะออกจากหน้าต่างด้วยอารมณ์สับสน
ไคลน์ตรงไปทางห้องกัปตัน และพบว่าพลเรือเอกดวงดาว·แคทลียา กำลังเดินสวนออกมาพอดี อีกฝ่ายมาในมาดสวมแว่นตาหนาเตอะ ปกปิดดวงตาสีม่วงเข้มซึ่งแฝงเสน่ห์ลึกลับ
หญิงสาวจ้องไคลน์ อธิบายสั้นกระชับ
“มีคนพบซากอารยธรรมของยุคสมัยที่สี่บนก้นทะเลใต้ผิวน้ำแถบนี้ พวกเรามีแผนแวะสำรวจระหว่างทาง”
ก้นทะเลแถบนี้? อารยธรรมจากยุคสมัยที่สี่?
ไคลน์หวนนึกถึงข่าวลือที่ตนบังเอิญได้ยินในผับลาร์ดาล
ข่าวลือนั่นเริ่มแพร่กระจายแล้วหรือ?
เราบังเอิญได้ยินเข้าพอดีสินะ…
ชายหนุ่มรำพัน
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น