Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 623-631

 ราชันเร้นลับ 623 : คืนแรก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะใช้มือสัมผัสยันต์กฎหมายที่เก้าในกระเป๋าเสื้อ ไคลน์ปรับส่วนสูงของตน รวมถึงรายละเอียดทางกายภาพด้านอื่นให้สมจริงจนไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นอมิรุส·รีเวลต์ตัวปลอม


ชายหนุ่มเดินออกจากประตูอีกบานหนึ่งของห้องพัสดุ ตรงไปตามทางเดินเงียบงัน ย่างกรายเข้าสู่คฤหาสน์ของนายกเทศมนตรี


ตลอดทาง ทั้งบริกรและสาวใช้ที่เดินสวนไปเป็นระยะ ต่างพากันก้มศีรษะต่ำด้วยอากัปกิริยาพินอบพิเทา ไม่มีใครกล้าจ้องตาไคลน์โดยตรง


เพียงได้เห็นเครื่องแบบทหารเรือสีกรมท่ารีดเรียบจนเนียนกริบ ต่างคนต่างแหวกทางให้เดินพร้อมกับทำท่าคำนับ


ขอแค่สวมเครื่องแบบทหารเรือและมีส่วนสูงประมาณนายพลอมิรุส ไม่ว่าใครก็เดินเข้ามาในงานเลี้ยงได้ทันที… คงต้องบอกว่า การปลอมตัวเป็นคนใหญ่คนโต ง่ายยิ่งกว่าการปลอมตัวเป็นคนธรรมดาเสียอีก…


ไคลน์มองตรง สวมสีหน้าเคร่งขรึมเดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยอิฐดำ


บทเพลงไพเราะดังคลอเป็นฉากหลัง โคมไฟหรูหราบนผนังทำการเผาแก๊สอย่างต่อเนื่อง ช่วยส่องแสงขจัดความมืดมิดภายในตัวอาคาร


ขณะไคลน์เดินเข้าใกล้เขตห้องพัก มันเห็นประตูบานหนึ่งเปิดอยู่ ด้านในมีชายวัยกลางคนกำลังยืนรอต้อนรับ


ผมสีดำ ตาสีฟ้า โครงหน้าและบรรยากาศรอบตัวคล้ายกับอมิรุส·รีเวลต์เป็นอย่างมาก เพียงแต่หน้าผากเถิกกว่า ถุงใต้ตาบวมคล้ำ และมุมปากมิได้หย่อนยาน


ไม่ใช่ใครนอกจากน้องชายคนเล็กของอมิรุส


ออสเท่น·รีเวลต์


สุภาพบุรุษวัยกลางคนรายนี้เคยทำงานในกองทัพเรือมาก่อน และมีฝีมือเก่งกาจจนได้รับความดีความชอบในสงครามทวีปใต้ เลื่อนไต่ยศอย่างรวดเร็วกระทั่งถึงพันเอก แต่ในเวลาต่อมา ออสเท่นเบื่อหน่ายชีวิตการในรั้วค่ายทหาร กอปรกับเพื่อรักษาสมดุลทางการเมืองให้ครอบครัว จึงตัดสินใจโอนถ่ายมาทำงานราชการ


ราวห้าหกปีที่อยู่บนเกาะโอลาวี ท่ามกลางทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ออสเท่นตัดสินใจกว้านซื้อที่ดินจำนวนมากบนเกาะให้เป็นของตระกูลรีเวลต์


ความสำเร็จข้างต้นเกิดขึ้นได้ มิใช่เพราะฝีมือของออสเท่นเพียงคนเดียว เพราะมันทำกระทั่งหยิบยืมเงินของตระกูลมาใช้ รวมถึงการกู้เงินจากธนาคาร


เรื่องนี้มิได้แปลกใหม่ เพราะจักรวรรดิฟุซัคเคยทำกับอาณานิคมในทวีปใต้มาก่อน พวกมันอาศัยกลอุบายกดดัน ซื้อที่ดินต่อจากชนพื้นเมืองในราคาต่ำ


แน่นอน ต่อให้ออสเท่นมิใช่นายกเทศมนตรีของเกาะโอลาวี แต่ลำพังตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดในกองทัพเรือโลเอ็นประจำน่านน้ำทะเลโซเนียของพี่ชาย ก็มากพอจะช่วยกดดันให้ชนพื้นเมืองขายที่ดินในราคาถูก


บททดสอบแรกมาแล้ว…


ไคลน์เดินเข้าไปหาอย่างสุขุม หยุดยืนตรงหน้าออสเท่น·รีเวลต์


ออสเท่นมองซ้ายขวา กล่าวเสียงต่ำ


“ท่านพี่ ตัดสินใจเรื่องนั้นได้หรือยัง”


เรื่องอะไรอีก…


ไคลน์ผงะเล็กน้อย สมองครุ่นคิดถึงวิธีการรับมือกับออสเท่น : หากออสเท่นถามเกี่ยวกับความลับระหว่างตน หรือต้องการคำตอบในบางเรื่อง ให้บอกไปว่า จะมอบคำตอบเมื่อเดินทางออกจากเกาะโอลาวี


อมิรุสคงคำนวณเรื่องนี้ไว้แล้ว… ไม่มีปัญหา แค่เราตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงและบุคลิกที่เหมือนกับตัวจริงก็พอ… ดีล่ะ… ต้องเลียนสำเนียงและท่าทางการพูดของพวกขุนนาง…


ไคลน์พยักหน้า กล่าวเสียงขรึม


“รออีกสองสามวัน ฉันจะมอบคำตอบเมื่อออกจากโอลาวี”


ออสเท่นไม่โต้แย้ง เพียงหัวเราะในลำคอ


“นึกแล้วเชียว ท่านพี่กำลังรอปัจจัยที่ช่วยในการตัดสินใจอยู่สินะ”


อำนาจตัดสินใจสูงสุดคงอยู่ที่อมิรุส…


ไคลน์ครุ่นคิด ตอบด้วยสำเนียงขุนนางใหญ่


“เลิกเดาส่งเดชได้แล้ว”


กล่าวจบ ชายหนุ่มหันหลังกลับ เดินเข้าไปในโถงจัดงานเลี้ยง


ออสเท่น·รีเวลต์ยืนจ้องแผ่นหลังพี่ชายที่เดินห่างออกไปทุกขณะ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ตามด้วยการส่ายหน้าแผ่วเบา


เมื่อเข้าเขตโถงใหญ่ ไคลน์มองรอบตัว ก่อนจะตรงไปยังโต๊ะยาวที่มีถาดอาหารวางเรียงราย ระหว่างทางได้แวะทักทายคนรู้จักจำนวนหนึ่ง


มันได้เรียนรู้ว่า ตนไม่จำเป็นต้องเข้าใจหัวข้อสนทนาเลยสักนิด เพียงคอยพยักหน้ารับให้ถูกจังหวะ บทสนทนาก็จะดำเนินไปอย่างลื่นไหลจนอีกฝ่ายพึงพอใจ


นึกแล้วเชียว การปลอมตัวเป็นคนใหญ่คนโตสะดวกสบายในบางมุม แต่ขณะเดียวกัน ในอีกมุมก็จะยากจนต้องปวดหัว…


ไคลน์เอาชนะบททดสอบหนแล้วหนเล่า จนกระทั่งมาถึงโต๊ะยาวสำหรับวางอาหาร


มันหยิบถาด กำชับตัวเองว่านายพลอมิรุสชอบอาหารจานปลา วัว แกะ และล็อบสเตอร์ โดยจะเกลียดไก่และห่าน


ชายหนุ่มไม่มีทางเลือก ต้องเลี่ยงไก่ย่างและห่านย่างสูตรเด็ดของเบ็คลันด์ รวมถึงอาหารอื่นที่เข้าข่ายดังกล่าว ลงเอยด้วย มันตักล็อบสเตอร์โอลาวีอบครีมชีส และสเต๊กปลาทอด


เนื่องจากภาชนะใส่อาหารส่วนใหญ่ถูกรองก้นด้วยแร่ใยหิน บางส่วนอุ่นด้วยถ่านฟืนสีแดง และบางส่วนนำน้ำร้อนใส่ในภาชนะ อาหารของงานเลี้ยงจึงมีอุณหภูมิพอเหมาะตลอดเวลา


ไคลน์กัดเข้าไปหนึ่งคำ มันรู้สึกซาบซ่านและประทับใจเหนือคำบรรยาย


ชายหนุ่มรักษามาดของนายพลอมิรุสได้อย่างไร้จุดตำหนิ มือข้างหนึ่งถือถาดพลางสนทนากับสมาชิกสภาเมืองท่า ตัวแทนกองทัพเรือ และอีกมากหน้าหลายตา โดยส่วนมากจะทำเพียงรับฟังอย่างตั้งใจ พยักหน้าพอเป็นพิธี นำอาหารใส่ปากในโอกาสเหมาะสม


ขณะเดียวกัน ไคลน์ตระหนักถึงชายสวมทักซิโดคนหนึ่งที่เอาแต่เดินตามติด


อีกฝ่ายมีเส้นผมสีทอง หวีเรียบไปด้านหลัง หน้าผากค่อนข้างเถิก ตาสีฟ้า ใบหน้าสะอาดสะอ้าน กิริยามารยาทสง่างามแต่เรียบง่าย


ตรงตามภาพถ่าย เลขานุการของท่านนายพล พันโทลัวอาน…


ไคลน์ฝืนตัวเองให้ไม่มองอีกฝ่าย เป็นเช่นนี้ไปจนกระทั่งจบงานเลี้ยง


ออกจากคฤหาสน์นายกเทศมนตรี ไคลน์นั่งรถม้าที่ถูกอารักขาด้วยความปลอดภัยระดับสูงสุด


รถม้าใหญ่โตโอ่อ่า ด้านในมีกระทั่งตู้แช่ไวน์


ลัวอาน เลขานุการผมทอง เดินตามหลังเข้ามาข้างใน เมื่อบูทหนังสัมผัสกับพรมหนา มันหมุนตัวเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามไคลน์


ลัวอานหย่อนก้นนั่งลง กินพื้นที่เพียงหนึ่งในสามของเบาะยาว


เมื่อรถม้าเริ่มเคลื่อนตัว ลัวอานหยิบเอกสารปึกหนาออกจากกระเป๋าหนังสีดำที่มันถือติดตัว


“ท่านนายพล นี่คือเอกสารบัญชีงบดุลของฐานทัพเรือโอลาวีประจำปี 1349”


ไคลน์เหยียดแขนรับกระดาษ พลิกเปิดส่งเดชพลางก้มหน้ากวาดตามอง


อะไรกัน… กระดาษชำระม้วนละหนึ่งปอนด์? เรือนอาบน้ำของฐานทัพเรือมีการปรับปรุงต่อเติมปีละยี่สิบครั้ง?


ไคลน์คำนวณตัวเลขอย่างคร่าว และพบว่าเป็นงบดุลที่เหลวไหลสิ้นดี


เอกสารบัญชีการเงินทางการขนาดนี้ เหตุใดถึงได้คอร์รัปชันอย่างโฉ่งฉ่างนัก? คิดจะโกงกินก็ให้มันมีชั้นเชิงสักนิดไม่ได้หรือ ไม่มีศิลปะในการหาข้ออ้างเบิกเงินแม้แต่น้อย สอนให้เอาไหม…


ไคลน์ครุ่นคิด แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าตนต้องตอบสนองอย่างไร


ตามความเห็นของมัน ปัญหาใหญ่อันดับหนึ่งในการปลอมตัวเป็นนายพลอมิรุสคือลัวอาน


ไม่ใช่ว่านายกเทศมนตรีออสเท่นกับซินเธียไม่สนิทสนมกับอมิรุส เพียงแต่ว่า ถึงสองคนนั้นจะพบความผิดปรกติเกี่ยวกับพลเรือเอก แต่ก็คงยินยอมช่วยปกปิดความลับ และค่อยถามหาคำอธิบายในภายหลัง แต่กับลัวอานนั้นไม่ใช่ มันมาอยู่ที่นี่เพราะถูกส่งจาก MI9 หน้าที่หลักคือการตรวจสอบนายพลอมิรุส·รีเวลต์


แน่นอน ยังตัดประเด็นที่ซินเธียอาจเป็นสายลับออกไปไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังอันตรายต่อไคลน์ไม่เท่าลัวอาน


เราจะทำผิดพลาดไม่ได้… นายพลอมิรุสควรมีท่าทีเช่นไรกับเอกสารโกงกินฉบับนี้ จะโกรธจริง หรือแสร้งทำเป็นโกรธเพื่อกลบเกลื่อน?


ไม่สิ เจ้าหน้าที่ฐานทัพเรือโอลาวีไม่น่าจะโง่เขลาขนาดนั้น หากกล้าส่งเอกสารโกงกินหน้าด้านเช่นนี้ถึงมือนายพล หมายความว่าพวกมันกับนายพลควรรู้เห็นเป็นใจในระดับหนึ่ง…


เนื่องจากเรื่องนี้ไม่มีเขียนไว้ในเอกสารที่บิลต์ส่งให้อ่าน ไคลน์จึงทำได้เพียงตัดสินใจไปตามประสบการณ์


อีกทั้ง ไม่ว่ารายงานงบดุลอันเหลวไหลจากกองทัพเรือโอลาวีจะอยู่นอกเหนือความคาดหมายของอมิรุสหรือไม่ แต่ไคลน์เชื่อว่า พลเรือเอกคนนี้จะตอบสนองอย่างสุขุม ไม่โฉ่งฉ่างออกนอกหน้าและเต็มไปด้วยอารมณ์


เราควรแสดงออกอย่างไรให้สมบทบาทของผู้บังคับบัญชาระดับสูง… นอกจากนั้น เราต้องไม่แสดงจุดยืนในเรื่องนี้ เพราะยังไม่มีข้อมูลว่านายพลคิดอย่างไรเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน…


ไคลน์ปิดเอกสาร กล่าวกับลัวอาน เลขานุการผมทอง โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


“นำไปวางไว้บนโต๊ะทำงานของผม”


ความนัยของประโยคดังกล่าวคือ ‘ไว้ค่อยอ่านอย่างละเอียดในภายหลัง’ โดยขณะเดียวกัน พฤติกรรมเมื่อครู่ยังสามารถตีความได้สองทาง


ทางแรก หากฐานทัพเรือโอลาวีกระทำโดยพลการ ลัวอานจะตีความได้ว่า อมิรุสกำลังเก็บซ่อนความโมโหไว้ในใจ และรอฟังคำอธิบายโดยตรงจากฐานทัพเรือในภายหลัง


ทางที่สอง หากอมิรุสรู้เห็นเป็นใจ ท่าทีเมื่อครู่จะตีความได้ว่า มันต้องการส่วนแบ่งเพิ่ม และจะเข้าไปเจรจากับฐานทัพเรือในภายหลัง


ส่วนเรื่องที่ว่า คนอื่นอาจนำไปตีความผิดเพราะตนไม่แสดงออกอย่างชัดเจน ไคลน์ไม่แยแสมากนัก เพราะมันปลอมตัวเป็นอมิรุสเพียงไม่กี่วัน หลังจากนั้น ค่อยให้มิสเตอร์ครึ่งเทพมาจัดการกับปัญหาของตัวเอง


ช่วยไม่ได้… ก็ไม่ยอมบอกล่วงหน้า…


ขณะเดียวกัน ภายในใจไคลน์กำลังนึกขอบคุณที่อมิรุสมิใช่ครึ่งเทพของโบสถ์วายุสลาตัน ไม่อย่างนั้น มันคงคิดหนักว่า ตนควรหัวเราะอย่างสะใจ หรือเกรี้ยวกราดพร้อมกับปากระดาษใส่หน้าลัวอาน จากนั้นก็จับเจ้าหน้าที่ของฐานทัพเรือโยนลงทะเลสักคนสองคน


“ขอรับ ท่านนายพล” เลขานุการผมทองไม่เปลี่ยนสีหน้า เอกสารงบดุลถูกเก็บเข้ากระเป๋าหนังสีดำอย่างรวดเร็วประหนึ่งคาดเดาไว้แล้ว


ระหว่างทางที่เหลือ ไคลน์ทำตัวตามนิสัยปรกติของอมิรุส หลับตาลงและเอนหลังพิงเบาะของรถม้า สีหน้าคล้ายครุ่นคิดบางสิ่ง แต่ในความเป็นจริง หัวสมองกำลังว่างเปล่า


ลัวอานไม่กล่าวสิ่งใดตลอดทาง ไม่แม้แต่จะอ้าปากเพียงเล็กน้อย


เสาโคมไฟสีดำสูงเท่าคน แล่นผ่านหน้าต่างรถม้าต้นแล้วต้นเล่า จนกระทั่งห้องโดยสารถูกลากจูงเข้ามาในฐานทัพเรือ เลี้ยวตรงไปยังบ้านหลังหนึ่งที่มีสวนดอกไม้และลานหญ้า


ไคลน์เดินไปหยุดยืนหน้าประตู แม้บ้านรีบเปิดประตูต้อนรับพร้อมกับสาวใช้ที่ยืนเรียงรายสองข้างฝั่ง


ห้องรับแขกของบ้านถูกตกแต่งอย่างหรูหรา บนผนังมีภาพสีน้ำมันแขวนในแนวนอนหลายผืน นอกจากนั้นยังมีรูปปั้นปูนปลาสเตอร์ แจกันลวดลายงดงาม และข้าวของเครื่องใช้ที่ช่วยจรรโลงใจอีกหลายชิ้น กลิ่นหอมเจือจางแต่ติดทนนาน ค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาในปอดจนชุ่มฉ่ำ


ไคลน์ที่ควรจะผ่อนคลาย พลันตึงเครียดเมื่อเห็นสาวงามสวมเดรสอยู่บ้านเดินเข้ามาใกล้


อายุราวยี่สิบตอนต้น ผมทองตาฟ้า แววตาคล้ายกำลังเก็บซ่อนบางสิ่ง รูปโฉมงดงามตามแบบฉบับสตรีชนชั้นสูง แต่ยังแฝงกลิ่นอายของเด็กสาวซุกซน


มิใช่ใครนอกจากอนุภรรยาของอมิรุส


มาดามซินเธีย


ไคลน์ฝืนข่มความอึดอัด เปลี่ยนใบหน้าที่เคยเคร่งขรึมของอมิรุสให้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ตามด้วยการก็กางแขนกว้าง


ซินเธียโผเข้ากอด ปลายเท้าเขย่งเหยียด แก้มชนแก้มแนบชิด พลางส่งเสียงกระซิบข้างหู


“ท่านนายพล น้ำร้อนในอ่างพร้อมแล้วค่ะ”


ไม่เลว เธอคงส่งคนคอยจับตาสถานการณ์ของงานเลี้ยง… การเป็นภรรยารองก็ไม่ง่ายเหมือนกัน… อมิรุสนอนชอบแช่น้ำอุ่นในอ่าง พลางครุ่นคิดหลายสิ่งอย่างผ่อนคลาย…


เพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่านขณะสองแก้มแนบชิด ไคลน์บังคับสมองให้ใคร่ครวญเรื่อยเปื่อย


ในฐานะมนุษย์เพศชายที่ชื่นชอบสตรี มันควรมีความสุขเมื่อถูกสาวงามพัวพัน แต่ด้วยฤทธิ์ของพันธสัญญาชั่วคราว เลือดลมกลับไม่แล่นลงไปเลี้ยงอวัยวะเบื้องล่าง หัวใจมิได้เต้นระรัวดังกลองศึก มีเพียงความอึดอัดที่ไม่น่าอภิรมย์นัก


“ทำดีมาก” ไคลน์ชมเชย พลางใช้สองมือดันซินเธียออกไปด้วยความรู้สึกต่อต้าน


ซินเธียที่ทราบว่านายพลอมิรุสไม่ชอบแสดงความรักต่อหน้าบ่าวไพร่ รีบถอยหลังหนึ่งก้าว นำทางไคลน์ขึ้นไปชั้นสอง เปิดประตูห้องน้ำพร้อมกับยื่นเสื้อคลุมอาบน้ำให้


เมื่อจัดการเสร็จสรรพ ซินเธียกำชับกับคนรับใช้ว่า ห้ามขึ้นมายังชั้นสองโดยเด็ดขาด นอกจากจะได้ยินเสียงกระดิ่งเรียก จากนั้น เธอรีบกลับเข้าห้องนอนตัวเอง ถอดเดรสอยู่บ้านออก สวมชุดนอนตัวบางเข้าไปแทน


เนินอกถูกเผยมากขึ้น เน้นผิวพรรณสีขาวราวหิมะให้โดดเด่น ใต้คางมีสร้อยคอหนึ่งเส้น ลักษณะคล้ายนอแรดสีดำยาวหนึ่งข้อนิ้ว


ซินเธียถอดสร้อยวางไว้ใต้หมอน เดินออกจากห้องนอนด้วยสีหน้าแดงระเรื่อคล้ายกำลังขวยเขิน ตรงไปทางห้องอาบน้ำของอมิรุส รวบรวมความกล้าบิดกลอนประตูและดันเข้าไป


ครึก.


เธอที่กำลูกบิดค้างไว้ พบว่ากลอนห้องน้ำถูกล็อกตอนไหนก็มิอาจทราบได้


ซินเธียพลันมึนงงเจือสับสน รีบออกแรงบิดอีกสองหนตามสัญชาตญาณ


ครึก. ครึก.


ประตูห้องน้ำแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น


……………………


ราชันเร้นลับ 624 : คำเตือน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภายในห้องน้ำที่มีทั้งเขตเปียกและแห้ง หมอกไอน้ำสีขาวกำลังระเหยรอบอ่าง


นอกจากส่วนศีรษะ ร่างกายทั้งหมดของไคลน์จมอยู่ในน้ำอุ่นโดยสมบูรณ์ ลำตัวพาดยาวเต็มอ่างด้วยสีหน้าแสนผ่อนคลาย สบายจนไม่อยากขยับแม้แต่ปลายนิ้วเท้า


ช่างเป็นค่ำคืนแสนวิเศษ ถ้าไม่มีซินเธียรอข้างนอกคงดีกว่านี้…


แต่เราคงหลบหน้าเธอตลอดไปไม่ได้…


ไคลน์ถอนหายใจ ครุ่นคิดหาข้ออ้างที่จะใช้ปฏิเสธการหลับนอนกับซินเธีย


จากอุปนิสัยของนายพลอมิรุส·รีเวลต์ ไคลน์เตรียมใช้ข้ออ้างว่างานยุ่ง หรือไม่ก็ ช่วงนี้พักผ่อนไม่เพียงพอ ช่วงนี้ไม่มีอารมณ์เพราะอาการบาดเจ็บ ช่วงนี้กำลังย่อยโอสถ จึงต้องใช้เวลาปรับสภาพอีกสักพัก หรือไม่ก็ เพิ่งค้นพบรสนิยมทางเพศที่แท้จริงของตัวเอง เริ่มมองว่าลิงบาบูนขนหยิกมีเสน่ห์น่าค้นหา


ส่วนเรื่องที่ว่า ข้ออ้างดังกล่าวจะทำให้ภาพลักษณ์นายพลเสื่อมเสียหรือไม่ และมากแค่ไหน ไคลน์ไม่แยแสสักเท่าไร ขอเพียงซินเธียไม่สงสัยว่าตนคือเป็นตัวปลอม มันพร้อมทำทุกวิถีทาง


หน้าที่ในการอธิบายความจริง หรือการหาข้ออ้างเพื่อกลบเกลื่อนว่า รสนิยมทางเพศได้กลับเป็นแบบเดิมแล้ว สิ่งนี้คือปัญหาของอมิรุสเอง


คนอื่นจะมองอมิรุสอย่างไร เกี่ยวอะไรกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์? แล้วคนอื่นจะมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างไร เกี่ยวอะไรกับเชอร์ล็อก·โมเรียตี้?


ไคลน์ลุกยืนด้วยสีหน้าผ่อนคลาย เดินออกจากเขตเปียก ดึงผ้าขนหนูมาเช็ดร่างกาย


หลังจากเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมอาบน้ำที่ถูกแขวนเตรียมไว้บนราว มันถอนหายใจเงียบ คลายกลอนห้องน้ำด้วยบรรยากาศตึงเครียดประหนึ่งเตรียมเข้าห้องบอสใหญ่ภายในเกม


แต่เมื่อได้เห็นทางเดินว่างเปล่า มีเพียงแสงเหลืองนวลจากโคมไฟผนังคอยขจัดบรรยากาศสลัว ไคลน์ถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าโล่งอก ไม่ตึงเครียดเหมือนในตอนแรก


ยังกับกำลังจะเข้าไปสู้กับพลเรือโจรสลัด…


ชายหนุ่มพึมพำ พลางตระหนักถึงปัญหาใหญ่ในปัจจุบัน นั่นคือ มันไม่แน่ใจว่าทางไหนเป็นห้องนอนใหญ่ และทางไหนคือห้องทำงาน


เฮ่อ… ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง แต่อมิรุสก็ต้องแวะไปทักทายซินเธียก่อน ไม่อย่างนั้นเธอคงมองว่าเราผิดปรกติ…


ไคลน์นึกทบทวนโครงสร้างของบ้าน เตรียมเปลี่ยนเป้าหมายไปยังห้องนอนใหญ่


ทันใดนั้น ประตูห้องที่อยู่เยื้องฝั่งตรงข้ามพลันเปิดแง้ม ซินเธียในชุดนอนเดินออกมา


เส้นผมสีทองทิ้งตัวลงตามแรงโน้มถ่วงในลักษณะไม่เรียบร้อย สองสามเส้นปรกหน้า บดบังดวงตาสีฟ้าและริมฝีปากแดงฉ่ำ ฉากตรงหน้าช่างเย้ายวนและสั่นคลอนหัวใจชายหนุ่มอย่างหนักหน่วง


ภาพของชุดนอนที่ผ่าคอลึกจนเห็นเนินอก และผิวพรรณขาวหิมะที่ถูกฉาบด้วยแสงไฟผนังสีเหลืองนวล กำลังปรากฏในสายตาไคลน์อย่างแจ่มจัด


มันเกือบแหงนหน้ามองเพดานตามสัญชาตญาณ เพื่อมิให้หัวจิตหัวใจปั่นป่วนไปมากกว่าเดิม


เย็นไว้… ใจเย็นก่อน… เราคืออมิรุส·รีเวลต์… เทียบกับสตรีแห่งโรคภัย เสน่ห์ของซินเธียยังด้อยกว่ามาก… เดี๋ยวก่อนสิ… ทำไมเราถึงต้องอ้างอิงจากแม่มด? พวกมันอาจเป็นชายมาก่อนก็ได้!


ไคลน์ลืมตา จ้องสำรวจอีกฝ่ายหัวจรดเท้า


เพียงพริบตา มันตระหนักถึงความฮึกเหิมจากส่วนลึกของจิตใจ เพียงแต่ว่า อวัยวะเบื้องล่างกลับไม่ยอมลุกซู่ชูชัน


อำนาจของพันธสัญญา… ว่ากันตามตรง นายพลอมิรุสไม่มีความจำเป็นต้องลำบากทำแบบนี้ เราสามารถควบคุมอารมณ์และอวัยวะของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ… ฉากที่วาบหวิวกว่านี้ก็เคยเห็นมาเยอะแล้ว…


จะว่าไป… ท่าทีซินเธียแตกต่างจากข้อมูลในเอกสารของบิลต์พอสมควร เธอไม่ได้เพิ่งมาเป็นภรรยารองของอมิรุสแค่ปีสองปี และใช่ว่าจะไม่ได้เจอหน้ากันนานสักหน่อย รวมถึง อมิรุสก็มิได้บกพร่องเรื่องบนเตียง แล้วเหตุใดเธอถึงต้องรุกหนักอย่างผิดธรรมชาติเช่นนี้?


หรือเป็นเพราะตระหนักว่าตำแหน่งภรรยารองเริ่มสั่นคลอน อาจถูกแทนที่ด้วยหญิงอื่น?


นับตั้งกลายเป็นผู้ไร้หน้า ไคลน์จะเตือนสติตัวเองไว้เสมอว่า ทุกคนล้วนสวมหน้ากากเข้าหากันเพื่อปกปิดสันดานแท้จริง


ซินเธียก้มหน้าลง เริ่มสูญเสียความมั่นใจเมื่อถูกอมิรุสเพ่งจ้องปานจะกลืนกิน ใบหน้าเริ่มแดงระเรื่อคล้ายกำลังเขินอาย แต่ยังหลงเหลือความภาคภูมิใจไว้บางส่วน


จากนั้น เธอได้ยินคำสั่งเสียงขรึม


“ชงกาแฟให้ฉันสักแก้ว และนำมาส่งที่ห้องอ่านหนังสือ คืนนี้มียังงานให้ต้องสะสางอีกมาก เธอนอนก่อนได้เลย ไม่ต้องรอฉัน”


ซินเธียเงยหน้ามองด้วยสายตาว่างเปล่า ใบหน้ายังคงแดงชมพูด้วยเลือดฝาด


เธอตามบทสนทนาไม่ทันไปหลายวินาที


ไคลน์สูดลมหายใจยาว เดินเข้าไปสวมกอดและจุมพิตหน้าผากอย่างอ่อนโยน


“ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ฉันจะชดเชยให้แน่”


นี่คือคำตอบตามข้อมูลในเอกสารที่บิลต์เตรียมไว้ให้ เพียงแต่ไคลน์ดัดแปลงเล็กน้อย


ด้วยความสัตย์จริง หากไม่เคยทราบล่วงหน้ามาก่อน ไคลน์คิดว่าอมิรุสต้องทำหน้าเคร่งขรึมและเอาจริงเอาจังใส่ภรรยารองตลอดเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งยามอยู่บนเตียง


แต่ในความเป็นจริง ครึ่งเทพรายนี้มีมุมอ่อนโยนและรอยยิ้มอบอุ่น เพียงแต่ไม่ถนัดการหยอดคำหวาน


เรื่องนี้ช่วยสอนไคลน์ว่า อย่าตัดสินคนจากภายนอก ถ้ายังไม่ได้เห็นมุมลับของคนคนนั้น


สัจธรรมดังกล่าวคือสิ่งที่ผู้ไร้หน้าต้องพึงระวัง ไม่อย่างนั้นอาจถูกคนใกล้ตัวพบพิรุธเอาได้ง่าย สรุปโดยสั้น การศึกษาข้อมูลของเป้าหมายให้ดีคือสิ่งสำคัญ หลักการคล้ายกับ ‘ห้ามแสดงกลโดยไม่เตรียมตัว’ ของนักมายากล


ซินเธียเผยสีหน้าผิดหวังชัดเจน แต่ไม่นานก็รวบรวมสติกลับมายิ้ม


“ตกลงค่ะ ท่านนายพล ชุดนอนอยู่ในห้องนะคะ เสื้อคลุมอาบน้ำคงไม่เหมาะแก่การทำงานสักเท่าไร”


ตรงตามข้อมูล… เป็นคนเอาใจใส่ดีมาก…


ไคลน์ยืนจ้องซินเธียที่หันหลังไปสั่นกระดิ่งเรียกสาวใช้ และถือโอกาสดังกล่าวถอดเสื้อคลุมอาบน้ำออก สวมชุดนอนสีแดงเลือดหมูแทน


ซินเธียเปิดประตูห้องอ่านหนังสือ เดินไปเก็บกวาดโต๊ะทำงานที่ไม่เป็นระเบียบ ตามด้วยการเดินไปรอรับกาแฟที่สาวใช้ชง จึงค่อยส่งให้ไคลน์กับมือตัวเอง


จากนั้น ไคลน์นั่งลง อ่านเอกสารทางการทหารด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ประหนึ่งว่าตนต้องสะสางกิจการสำคัญของกองทัพภายในคืนนี้


แต่ในความเป็นจริง มันอ่านแปลนของเรือรบหุ้มเกราะไม่เข้าใจเลยสักนิด คล้ายกับเป็นพวกไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้


เกี่ยวกับความรู้ด้านดังกล่าว มันพอจะเข้าใจอยู่ไม่กี่เรื่อง จำพวกเรือบรรทุกเครื่องบิน ปืนต่อต้านอากาศยาน ปืนใหญ่ประจำเรือรบ และปืนกลหนักรอบลำเรือ


จากมุมสายตา เมื่อได้เห็นซินเธียเดินออกจากห้องและปิดประตูอย่างมีมารยาท ไคลน์คลายความกดดันทั้งหมดลง เชื่อว่าบททดสอบในค่ำคืนนี้จบลงโดยสมบูรณ์


ณ ห้องนอนใหญ่ ซินเธียเม้มปากอย่างเจ็บใจ หยิบสร้อยคอจากใต้หมอน และกำนอแรดสีดำขนาดเท่าหนึ่งข้อนิ้วไว้ในมือ


หญิงสาวยืนตัวตรง สวดวิงวอนเสียงแผ่ว


“ข้าแต่พระมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย… ได้โปรดอำนวยพรให้ข้าเปี่ยมด้วยเสน่หาน่าดึงดูดยิ่งกว่านี้… ได้โปรดดลบันดาลให้นายพลอมิรุสปรารถนาในตัวข้า ต้องการเสพสมข้า ต้องการมีบุตรกับข้า”



ท่ามกลางบรรยากาศเงียบเชียบภายในห้องอ่านหนังสือ ไคลน์ก้มมองเอกสารตรงหน้าด้วยแววตาลุ่มลึก อาศัยข้อมูลจากบิลต์ มันเลือกหยิบแผ่นที่มีความสำคัญไม่มากขึ้นมาเซ็นชื่อ


เป็นลายมือที่เหมือนกับอมิรุส·รีเวลต์ทุกประการ สิ่งนี้เกิดจากพลังผู้ไร้หน้าที่สามารถจดจำรายละเอียดได้แม่นยำ และพลังตัวตลกที่ควบคุมความนิ่งของมือได้ดังใจ


ในส่วนของเอกสารซับซ้อนที่ยากเกินความเข้าใจ ไคลน์เขียนบันทึกช่วยจำลงไปว่า :


“รอดูไปก่อน”


ชายหนุ่มทำตัว ‘ยุ่ง’ จนถึงรุ่งสาง พลางเลื่อนมือขึ้นมาปิดปากหาว


ไม่ได้การ… เราต้องหลับพักผ่อนบ้าง… พรุ่งนี้ยังมีบททดสอบอีกมาก… ต้องรักษาพลังงาน…


ไคลน์ใคร่ครวญ ล้มเลิกความคิดที่จะกลับไปหลับพักผ่อนในห้องนอนใหญ่


มันยกมือขวาขึ้นพร้อมกับหลับตา ใช้ปลายนิ้วชี้และโป้งกดลงไปบนเปลือกตาฝั่งละข้าง จากนั้นก็กระตุกเลื่อนลง ส่งผลให้ตำแหน่งของดวงตาขยับลงมาอยู่บนโหนกแก้ม


ถัดมา ในจุดเดิมที่เคยมีดวงตา ไคลน์สร้างดวงตาปลอมที่สมจริงขึ้นมาแทน


ตั้งแต่ได้เป็นผู้ไร้หน้า เราก็ยิ่งเหมือนสัตว์ประหลาดเข้าไปทุกที… ถ้าสมัยเรียนมีเทคนิคแอบงีบแบบนี้บ้างก็คงดีไม่น้อย…


ชายหนุ่มถอนหายใจยาว เอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยปิดดวงตาจริงลง เปิดตาปลอม แสร้งทำเป็นอ่านเอกสารในท่าหลับ


พลังตัวตลกช่วยรักษาสมดุลร่างกายให้ไม่กระดุกกระดิก แน่นิ่งประหนึ่งรูปปั้นหินก็มิปาน


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ไคลน์ได้สติอีกครั้งภายในความฝันตัวเอง และตระหนักอย่างแจ่มชัดว่า มันถูกใครบางคนบุกรุกความฝันขณะนอนหลับ!


ใครกัน… เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย…. ทำไมถึงถูกบุกรุกความฝัน…


ไม่สิ… ตอนนี้เราคือนายพลอมิรุส·รีเวลต์…


ไคลน์รีบเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายในความฝันให้เหมือนกับครึ่งเทพแห่งกองทัพเรือ


ขณะเดียวกัน มันสัมผัสว่าจิตใต้สำนึกของตนเริ่มเจือจางลง คล้ายกับพยายามเก็บซ่อนบางสิ่งจากคนแปลกหน้า


หนนี้ไม่เหมือนกับความฝันทั่วไป สติของเรากระจ่างชัด ตระหนักถึงร่างกายบนโลกภายนอกได้ทุกส่วน แต่ไม่สามารถออกจากความฝัน…


ไคลน์ทดสอบกระทำบางสิ่ง แต่ไม่สำเร็จ


มันรู้สึกตัวว่ากำลังฝัน แถมยังขยับร่างกายนอกความฝันได้ตามปรกติ ยืนยันได้ว่าฝ่ามือของตนยังอยู่บนโต๊ะทำงาน แต่ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใด ก็มิอาจฝืนตื่นจากความฝันนี้ได้


จากนั้น ดวงตาชายหนุ่มเริ่มพร่ามัวและเต็มไปด้วยหมอกควันสีขาว คนผู้หนึ่งปรากฏตัวในสภาพไม่ชัดเจน


ไคลน์หรี่ตาลง รีบส่งพลังวิญญาณออกนอกความฝัน บังคับฝ่ามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ สัมผัสกับยันต์กฎหมายที่เก้า


ขณะเดียวกัน บุคคลปริศนาส่งเสียง


“ห้ามยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของออสเท่นเด็ดขาด นี่คือคำเตือน”


ต้องแน่แค่ไหนถึงกล้าเตือนครึ่งเทพ…


พวกมันกำลังวางแผนอะไรไว้…


ไคลน์ครุ่นคิด พลางถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในยันต์กฎหมายที่เก้า ส่งผลให้บรรยากาศอันน่าเกรงขามของอมิรุสแผ่ออกจากร่างกายในปริมาณเข้มข้น


มันเปล่งเสียงถามออกไป


“คุณเป็นใคร ฝ่ายไหนเป็นคนส่งมา”


บุคคลปริศนาพลันผงะ สีหน้าเผยความประหวั่นราวเสี้ยววินาที ก่อนจะฉีกยิ้ม


“โฮ่… สมกับเป็น ‘นักสานกฎหมาย’ อมิรุส… สามารถคงสติได้ในความฝันตัวเอง”


ผิดแล้วสหาย อมิรุสอาจเป็นนักสานกฎหมายที่เก่งกาจ แต่คงมิอาจรักษาสติในความฝันได้แน่ นายต้องพูดว่า สมกับเป็น ‘ท่านฟูล’ จึงจะถูก…


ไคลน์รำพัน เอ่ยปากถามเสียงขรึม


“ตอบคำถามมา”


ร่างพร่ามัวหัวเราะในลำคอ


“คุณไม่จำเป็นต้องทราบว่าผมเป็นใคร ในฐานะครึ่งเทพ คุณคงทราบดีว่าทุกสิ่งดำเนินไปตามลิขิตฟ้า ไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ตาม อย่าได้ฝ่าฝืนกฎแห่งชะตากรรมเด็ดขาด มันคือกระแสเวลาอันเชี่ยวกราก หากริอ่านเอาตัวเข้าไปขวาง จุดจบเดียวคือการได้เป็นเครื่องสังเวยของประวัติศาสตร์”


ชะตากรรม… กระแสแห่งเวลา… เครื่องสังเวยในประวัติศาสตร์…


ฟังถึงตรงนี้ ไคลน์ผุดหนึ่งคำในหัว


สภานักสิทธิ์สนธยา!


แต่มันมิได้กล่าวคำใดออกไป เพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้า นายพลอมิรุสจะกลับไปเป็นตัวจริง


เมื่อบุคคลร่างเลือนรางเห็น ‘นักสานกฎหมาย’ อมิรุสเงียบงันไปพักใหญ่ มันไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงหายตัวไปพร้อมกับหมอกควันสีขาวโพลน ปล่อยไคลน์เป็นอิสระจากความฝัน


……………………


ราชันเร้นลับ 625 : หนึ่งวันผ่านไป

โดย

Ink Stone_Fantasy

ฟู่ว…


อมิรุสกับออสเท่นวางแผนอะไรไว้ ถึงได้ถูกตักเตือนจากสภานักสิทธิ์สนธยา…


อย่าเอาตัวเข้าไปขวางกระแสแห่งเวลา…


กุญแจสำคัญคือผลกระทบต่อประวัติศาสตร์… องค์กรลับที่แทบไม่เคยปรากฏตัวอย่างพวกมัน เหตุไฉนตัดสินใจเปิดเผยตัวและออกมาเตือนอย่างโจ่งแจ้ง?


ไคลน์กำลังยืนบนยอดปราสาทหลังใหญ่และสง่างามภายในดินแดนความฝัน สายตาจ้องไปยังจุดที่บุคคลลึกลับเพิ่งหายตัวไป


ท่ามกลางชุดความคิดอันเหม่อลอย ชายหนุ่มเริ่มได้สติ ภายในใจฉุกคิดถึงทฤษฎีใหม่ :


บางที นายพลอมิรุสกับน้องชายอาจไม่ได้ทำอะไรที่ส่งผลกระทบต่อประวัติศาสตร์…


แม้จุดมุ่งหมายหลักของสภานักสิทธิ์สนธยาจะเป็นการแทรกแซงเหตุการณ์ที่สำคัญของประวัติศาสตร์ แต่ในฐานะผู้นำองค์กรลับ ไคลน์ย่อมทราบดีว่า สมาชิกในองค์กรหลายคนต่างก็มีจุดประสงค์ส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายหลัก และในบางครั้ง กลุ่มสมาชิกจะมอบหมายภารกิจระหว่างกันเอง โดยที่องค์กรทำตัวเป็นเพียงพยานรู้เห็น


แม้แต่ในไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ก็ยังมีเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า สมาชิกแต่ละคนของสภานักสิทธิ์สนธยาคือผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา มีเส้นทางและลำดับแตกต่างกันไป หากไม่นับกลุ่มที่เชื่อในพระผู้สร้างต้นกำเนิด และรอคอยให้สนธยาตามคำทำนายมาถึง สมาชิกอื่นเช่นโรซายล์ต่างมีจุดมุ่งหมายส่วนตัว ตราบใดที่องค์กรมิได้ออกกฎห้ามปราม คงเลี่ยงการมอบหมายภารกิจระหว่างสมาชิกกันเองไม่ได้


บางที… แผนการของออสเท่น·รีเวลต์อาจส่งผลกระทบกับหนึ่งในสภานักสิทธิ์สนธยา และอีกฝ่ายสามารถหยั่งรู้ล่วงหน้าด้วยวิธีการบางอย่าง จึงฝากฝังให้สมาชิกคนอื่นมาเตือนอมิรุสโดยใช้ข้ออ้าง ‘อย่าขัดขวางกระแสแห่งเวลา’ ตามสไตล์ขององค์กร…


ถ้ามองจากมุมนี้ เรื่องราวชักเริ่มน่าสนใจ…


ด้วยศักยภาพของสภานักสิทธิ์สนธยา หากต้องการรับมือลำดับ 4 ‘นักสานกฎหมาย’ การให้เทวทูตออกโรงสักสามสี่ตนคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงสักเท่าไร นับเป็นขุมกำลังที่เหนือชั้นยิ่งกว่าเจ็ดโบสถ์หลักเสียอีก…


แต่ว่า ทำไมถึงไม่จัดการทันที เพียงตักเตือน?


หากเป็นในเบ็คลันด์ยังพอเข้าใจได้ ที่พวกมันจะไม่ส่งเทวทูตลอบสังหารดยุคนีแกนโดยตรง นั่นเพราะเกรงว่าตัวตนระดับเทพธิดารัตติกาลหรือเทพวายุสลาตันจะ ‘ลงมาเยือน’ และไล่ตะเพิดจนหาทางกลับบ้านไม่ถูก แต่ที่นี่คือเกาะโอลาวีแสนห่างไกล มีครึ่งเทพคอยปกป้องอารักขาแทบจะนับนิ้วได้…


หรือว่า สาเหตุที่ทำเพียงตักเตือน เพราะสภานักสิทธิ์สนธยาไม่ต้องการให้เรื่องแดง? นั่นสินะ ความตายของครึ่งเทพแห่งกองทัพเรือคงทำให้ทุกฝ่ายหันมาสนใจ…


หืม… พวกมันไม่ต้องการให้เรื่องแดง หรือว่าสมาชิกที่มอบหมายงาน ไม่ต้องการให้อมิรุสตายกันแน่?


เป็นไปได้… ในสายตาของมัน อมิรุสอาจยังเป็น ตัวหมากที่ยังมีใช้งานได้ ถึงแม้จะมีโอกาสเข้ามาขัดขวางแผนการก็ตาม… การปล่อยให้อมิรุสมีชีวิตอยู่ต่อไป จะเกิดประโยชน์มากกว่าฆ่าทิ้ง?


ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เราสามารถตีกรอบเพื่อระบุตัวตน ‘ผู้จ้างวาน’ ให้แคบลงได้


ถึงจะไคลน์ผุดทฤษฎีใหม่ แต่มันก็ไม่มีข้อมูลสำหรับยืนยัน ทำได้เพียงเก็บประเด็นความสงสัยเอาไว้ในใจ รอโอกาสดึงออกมาใช้งานภายหลัง


คนที่สภานักสิทธิ์สนธยาตักเตือนคือตัวนายพลอมิรุส ไม่ใช่เราสักหน่อย… ขอเพียงเราไม่ทำพลาดในช่วงสองสามวันหลังจากนี้ และเอาตัวรอดได้จนกระทั่งนายพลกลับมา หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็ช่าง… ไม่เกี่ยวกับเราอีกต่อไป!


หากประเมินจากขุมพลังในปัจจุบันของเรา การจะสืบสวนสภานักสิทธิ์สนธยายังเป็นเรื่องไกลตัวมาก ไม่ควรเสี่ยงชีวิตโดยไม่จำเป็น…


ไคลน์เชื่อสัญชาตญาณตัวเอง พิจารณาว่าความแข็งแกร่งของชุมนุมทาโรต์ยังไม่เพียงพอ


อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจก็คือ องค์กรลับอื่นจะให้ความสำคัญกับเป้าหมายหลักเป็นอันดับแรกเสมอ โดยเป้าหมายส่วนตัวของแต่ละสมาชิกจะเป็นประเด็นรอง แต่ในทางกลับกัน ชุมนุมทาโรต์ของเรากลับเน้นช่วยสมาชิกกันเองก่อน แทบไม่มีเป้าหมายหลักหรือคติพจน์ให้ยึดเหนี่ยว…


ไม่สิ ในสายตาสมาชิกคนอื่น ชุมนุมทาโรต์อาจมีเป้าหมายสักอย่างสองอย่าง ตามที่แต่ละคนจะจินตนาการกันเอาเอง ยกตัวอย่างเช่น มิสเตอร์มูนเชื่อว่า ชุมนุมทาโรต์มีเพื่อช่วยเหลือทุกคนให้รอดพ้นจากวันสิ้นโลก…


ไคลน์ เดอะฟูล หัวเราะในลำคอ ส่งตัวเองออกจากดินแดนความฝัน


มันใช้มือปาดดวงตาปลอม ตามด้วยการตวัดดวงตาจริงบนโหนกแก้มกลับตำแหน่งเดิมอย่างชำนาญและลื่นไหล จากนั้นก็ชะงักมือค้างไว้เล็กน้อย โดยภายในใจพลันฉุกคิด :


เดี๋ยวก่อน… เมื่อครู่ไม่ใช่ความฝันธรรมดา…


หลังจากตระหนักถึงความต่าง ไคลน์ขมวดคิ้ว


แล้วทำไมในตอนแรก อีกฝ่ายถึงพยายามดึงเราเข้าสู่ห้วงความฝัน?


ในเมื่อเรากำลังหลับ แค่บุกรุกเข้ามาก็เพียงพอไม่ใช่หรือ ทำไมต้องพยายามดึงเข้าสู่ความฝันให้วุ่นวาย? หัวหน้าเคยบอกว่า ลำดับ ‘ฝันร้าย’ จะมองเห็นความฝันของทุกคนโดยตรง ไม่มีทางทำพลาดเรื่องพื้นฐานแบบนี้…


ผู้บุกรุกไม่ได้ใช้พลังฝันร้าย เป็นเส้นทางอื่น…


ระบุตำแหน่งของเราจากวิญญาณดารา?


เมื่อทราบตำแหน่งที่แน่ชัด จึงทำการบุกรุก ‘ทะเลห้วงจิตรวม’ ที่มาดามดาลีย์เคยพูดถึง และสื่อสารกับร่างวิญญาณของเราโดยตรง?


อย่างหลังมีความเป็นไปได้สูง เพราะสามารถอธิบายได้ว่า ทั้งที่เราตระหนักถึงร่างกายทุกส่วนบนโลกความจริง แต่กลับมิอาจออกจากฝันของตัวเองได้ โรซายล์มหาราชเคยกล่าวไว้ในไดอารี ขณะเข้าร่วมชุมนุมลับที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นสภานักสิทธิ์สนธยา มันรู้สึกคล้ายกับผืนทวีปทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยดินแดนความฝัน เป็นความฝันอย่างแท้จริง…


ไคลน์พยักหน้ารับ ถอนหายใจพลางยิ้ม


นายพลอมิรุสมิได้กำชับเราล่วงหน้าว่าจะมีคำเตือนจากสภานักสิทธิ์สนธยา… เขาไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน…


หรือก็คือ หากคนที่ปลอมเป็นอมิรุสไม่ใช่เรา ความจริงก็จะถูกเปิดโปงทันที… หึหึ… ไม่มีใครเหมาะสมกับยันต์กฎหมายที่เก้าเท่าเราอีกแล้ว…



เมืองเงินพิสุทธิ์ ด้านในหอคอย


ณ ห้องทำงานเจ้าเมือง โคลิน·อีเลียด


เดอร์ริค ผู้ถูกเรียกตัวเข้าพบ เริ่มออกอาการประหม่าเมื่อชำเลืองเห็นเส้นผมสีเทาและรอยแผลเป็นลึกบนแก้มอีกฝ่าย


หลังจากเห็นเด็กหนุ่มทำความเคารพเสร็จ โคลินสำรวจหัวจรดเท้าหนึ่งรอบ ตามด้วยกล่าว


“เลื่อนลำดับแล้วใช่ไหม”


“ขอรับ ปัจจุบันอยู่ลำดับ 7 ข้ารับใช้สุริยัน”


เดอร์ริคลงทะเบียนไปนานแล้ว จึงไม่มีเหตุผลให้ต้องปิดบัง


ดวงตาสีเทาลุ่มลึกของโคลินเบือนไปทางอื่น ตามด้วยการซักถามหลังจากไตร่ตรอง


“มีสูตรโอสถลำดับถัดไปหรือยัง”


หากเป็นเดอร์ริคคนก่อนคงตอบ ‘ไม่’ โดยปราศจากความลังเล แต่สำหรับปัจจุบัน เด็กหนุ่มหัดครุ่นคิดให้รอบคอบก่อนเปิดปากพูด


หากเราตอบไปว่า ‘ไม่’ แต่ดันเลื่อนลำดับได้ในอนาคตโดยไม่มีเหตุผลรองรับที่มากพอ นั่นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่แน่… แต่ถ้าตอบว่า ‘ใช่’ ท่านเจ้าเมืองอาจถามถึงสูตร เพื่อจะได้ช่วยเรารวบรวมวัตถุดิบ เพราะเส้นทางสุริยันเป็นที่ต้องการอย่างมากในสภาพแวดล้อมมืดมิด…


ถ้าบอกสูตรไม่ได้ เขาก็จะทราบว่าเราโกหก…


เดอร์ริคคิดหนัก ก่อนจะตอบไปตามจริง


“ไม่ครับ”


เด็กหนุ่มกำลังสั่งสมประสบการณ์ทีละนิด


โคลินพยักหน้า กล่าวโดยไม่เปลี่ยนอารมณ์


“ภายในสองเดือน ผมจะมอบภารกิจสำรวจให้คุณ จงติดตามเพื่อนร่วมทีมเพื่อไปเก็บกวาดเส้นทางหลักให้ปลอดภัย และเข้าสำรวจซากอาคารซึ่งแจ็คช่วยนำทาง ซ้ำเป็นหนที่สอง หวังว่าคุณจะได้ในสิ่งที่ต้องการ”


“ขอรับ ท่านเจ้าเมือง” เดอร์ริคมอบคำตอบ


ทันใดนั้น เด็กหนุ่มพลันนึกถึงเรื่องที่อาวุโสโลเฟียร์ถูกปล่อยตัว



เข้าสู่ช่วงเช้า ไคลน์เปลี่ยนชุดโดยมีซินเธียคอยช่วยเหลือ ได้กินอาหารเช้าคุณภาพสูง จากนั้นก็นั่งรถม้าไปยังฐานทัพเรือโอลาวี โดยมีการอารักขาจากหน่วยทหารองครักษ์


ขณะกำลังรับประทานอาหารเที่ยงในโรงอาหารประจำฐานทัพเรือ ไคลน์เรียกทหารเรือที่มียศพลตรีขึ้นไป ให้เข้ามารายงานความคืบหน้า


ตลอดการรับฟัง มันจะถือสมุดบันทึกสีดำเล่มหนึ่งไว้ในมือเสมอ ภายในนั้นมีข้อมูลคำถามและคำตอบที่นายพลอมิรุสเตรียมไว้ให้


“ในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน เนื่องด้วยเบี้ยเลี้ยงทหารที่ต่ำ รวมถึงเหตุการณ์ทรมานและลวนลามพลทหาร ฐานทัพเรือของเราจึงถูกทหารชั้นผู้น้อยก่อกบฏและประท้วงรวมทั้งสิ้นสิบเจ็ดครั้ง แต่หลังจากกองทัพเรือประกาศใช้กฎหมายฉบับใหม่ และเป็นเพราะได้รับคำชี้แนะจากท่านนายพล บรรยากาศของฐานทัพเรือแห่งนี้จึงดีขึ้นมาก ช่วงสามปีที่ผ่านมาจึงปลอดเหตุการณ์ดังกล่าวโดยสมบูรณ์…” พันเอกรายหนึ่งเริ่มชี้แจงสถานการณ์เบื้องต้น


บางครั้งบางคราว มันจะเงยหน้าขึ้นมาชำเลืองนายพลอมิรุส และพบว่าอีกฝ่ายกำลังตั้งใจฟังด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเสมอ มือขยุกขยิกจดบันทึกข้อมูลสำคัญตลอดเวลา บรรยากาศดังกล่าวทำให้ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดกล้าหย่อนยาน ต่างรีบก้มหน้าจดตามโดยไม่ปล่อยให้ประเด็นสำคัญตกหล่น


เมื่อเห็นการพยักหน้ารับในเชิงบวก พันเอกเร่งเสียงขึ้นโดยไม่รู้ตัว


น่าเบื่อชะมัด…


ไคลน์ ผู้กำลังถือปากกาในมือ ก้มหน้าบรรจงวาดภาพเต่าทะเล หมึกกระดอง มังกร และสิ่งมีชีวิตในจินตนาการอีกมาก


เนื่องจากไม่เคยเรียนวาดเขียน ภาพที่ปรากฏออกมาจึงเข้าขั้นหายนะ


ไม่เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มยังขีดเส้นทึบตัดผ่านระหว่างกัน และเริ่มเล่น ‘โกโมกุ’ กับตัวเอง เป็นเกมที่จักรพรรดิโรซายล์คิดค้นขึ้นมา


แน่นอน ด้วยประสบการณ์ของมืออาชีพด้านการตีเนียน ไคลน์จะเงยหน้ามองผู้รายงานอย่างสม่ำเสมอ คอยพยักหน้าเพื่อให้กำลังใจ


ส่วนเรื่องที่ว่า อีกฝ่ายกำลังพูดถึงอะไรอยู่ ชายหนุ่มไม่ใส่ใจจะฟังสักเท่าไร เลือกจับใจความเฉพาะคำสำคัญ


ระหว่างฟังรายงาน ไคลน์จะหันไปส่งสัญญาณให้เลขานุการผมทอง ลัวอาน เดินเข้ามาอธิบายข้อมูลเชิงลึกเป็นระยะ


ทุกสิ่งเป็นไปตามข้อมูลที่ได้อ่านมา


เมื่อทั้งหมดจบลง ไคลน์พลิกหน้าสมุดบันทึกสีดำเล็กน้อย อ่านถ้อยคำที่เลขานุการเขียนเตรียมไว้ล่วงหน้า ด้วยน้ำเสียงอันสง่างามของขุนนางโลเอ็น และสำเนียงเฉพาะตัวของนายพลอมิรุส เช่นการเลือกใช้คำเชื่อมอันเป็นเอกลักษณ์อย่าง ‘ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น’ หรือ ‘ตรงนี้ผมขอเสริม’


กว่าจะประชุมเสร็จก็ตกเย็นพอดี ไคลน์ ภายใต้การนำทางของลัวอาน ออกจากฐานทัพเรือโอลาวีด้วยรถม้าของกองทัพ ตรงไปร่วมงานเลี้ยงภายในคฤหาสน์ของคู่ค้ากับกองทัพเรือ


ตลอดช่วงค่ำ บทสนทนาส่วนใหญ่มักเกี่ยวกับความผันผวนของราคาสินค้าท่าเรือ ไคลน์ที่ได้ทราบล่วงหน้าว่า อมิรุสมักชอบเล่นมุกตลกล้าสมัยของชาวเบ็คลันด์ จึงขยันหยอดมุกตามความเหมาะสม ผลลัพธ์ผ่านไปด้วยดี ทุกคนส่งเสียงเฮฮาตอบรับ บรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่นพร้อมกับคำชม


เหตุการณ์ผ่านไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งงานเลี้ยงจบลง ไคลน์กลับเข้ามานั่งในรถม้าด้วยพลังกายและพลังใจที่ใกล้เหือดแห้ง


ไม่มีอะไรเหนื่อยกว่าการต้องคอยระวังคำพูดและพฤติกรรมทุกนาทีอีกแล้ว หมดแรงยิ่งกว่าการดวลกับพลเรือโจรสลัดเสียอีก…


ไคลน์ถอนหายใจยาว หลับตาลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


มันทราบดี ส่วนยากที่สุดของวันนี้ยังไม่จบลง


ยังเหลือซินเธียเป็นบอสสุดท้าย!



ภายในคฤหาสน์ ซินเธียทราบจากคนรับใช้ว่านายพลอมิรุสกำลังเดินทางกลับ


เธอเดินกลับห้องนอนอย่างเงียบขรึม ถอดเครื่องประดับนอแรดจิ๋ว และใช้แผ่นเหล็กขูดจนเกิดเป็นผงจำนวนหนึ่ง ซินเธียนำผงดังกล่าวไปละลายกับน้ำร้อนภายในถ้วยชาลายคราม


หญิงสาวเอ่ยนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ของพระแม่พฤกษาแห่งแรงกระหายเจ็ดครั้ง ทิ้งไว้สักพัก สีหน้ากำลังเผยให้เห็นถึงความหวังอันเปี่ยมล้น


……………………


ราชันเร้นลับ 626 : การตัดสินใจของอมิรุส

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะตามองเข้าไปในคฤหาสน์ที่กำลังสว่างไสวยามค่ำคืน ไคลน์เหม่อลอยหลายวินาที


ชายหนุ่มลงจากรถม้า เดินสามก้าวผ่านประตูหน้าคฤหาสน์ รอบตัวรายล้อมด้วยบอดี้การ์ด ด้านหน้ามีคนรับใช้ออกมาตั้งแถวต้อนรับสองฝั่ง


เนื่องจากมีคนอื่นอยู่ด้วย ซินเธียจึงสวมชุดอยู่บ้านที่ค่อนข้างเรียบร้อย ไคลน์เห็นเช่นนั้นจึงถอนหายใจโล่งอก สวมสีหน้าขึงขังพลางเดินเข้าไปด้วยมาดสง่างาม


รอยยิ้มของซินเธียเริ่มผลิบาน เธอเลื่อนมือสางผมทัดใบหู เผยให้เห็นลำคอสีขาวเย้ายวนอันปราศจากร่องรอยการสวมสร้อย


เมื่อเห็นว่าลัวอานและเหล่าบอดี้การ์ดแยกย้ายกลับไปห้องส่วนตัว รวมถึงบางคนที่กระจายตัวไปลาดตระเวนในสวน ไคลน์สวมกอดซินเธียด้วยท่าทางอ่อนโยน กล่าวเสียงขรึม


“คืนนี้ไม่ต้องเตรียมน้ำอุ่นให้ฉัน ต้องการแค่ห้องที่มีบรรยากาศเงียบสงบ ฉันอยากอยู่ตามลำพัง”


“…” ซินเธียเผยแววตาสับสน


ไคลน์กวาดตามองรอบตัว หันกลับมากระซิบ


“เกิดอุบัติเหตุขึ้นเล็กน้อย ฉันต้องการความสงบเพื่อฟื้นฟูร่างกาย”


กล่าวจบ ชายหนุ่มยกมือขวา ปลดกระดุมข้อมือสีทองออก เผยให้เห็นตุ่มเนื้อน่าหวาดเสียวเป็นบริเวณกว้าง


เดิมที อมิรุสเตรียมข้ออ้าง ‘เกิดความผิดปรกติกับร่างกาย’ ให้คนเร่ร่อนตัวปลอมนำมาใช้หลบหน้าซินเธีย แต่ไคลน์ทำเหนือกว่านั้นอีกขั้น เป็นการแสดง ‘หลักฐาน’ ด้วยพลังพิเศษของผู้ไร้หน้า


ซินเธียเปิดปากกว้าง เกือบจะส่งเสียงกรีดร้อง แต่สุดท้ายก็ระงับตัวเองไว้ได้ทัน และรีบปิดปากสนิทภายในไม่กี่วินาที


“เป็นอะไรมากไหมคะ ไม่ต้องไปหาหมอหรือ”


หญิงสาวคลายความสับสนลง สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเป็นกังวลแทน


“ไม่จำเป็น มันคือราคาที่ฉันต้องจ่ายเพื่อแลกกับความแข็งแกร่ง อีกสองสามวันก็กลับเป็นปรกติแล้ว” ไคลน์ถือโอกาสหาข้ออ้างหลบหน้าเธอในอีกสามวันถัดไป


“เข้าใจแล้วค่ะ” ซินเธียเดินนำทางไคลน์ขึ้นไปยังชั้นสอง พาเข้าไปในห้องที่เงียบที่สุด


เป็นห้องนอนใหญ่ไม่ได้ เพราะเธอสั่งให้คนรับใช้จุดเทียนหอมและโปรยน้ำค้างบริสุทธิ์เตรียมไว้ล่วงหน้า ไม่เหมาะแก่การพักผ่อนสักเท่าไร


เมื่อเห็นประตูปิดสนิท ไคลน์ถอนหายใจยาว ถอดเครื่องแบบนายพลกองทัพเรือออก เปลี่ยนเป็นชุดทำงานที่สบายตัว


ณ ห้องนอนใหญ่ไม่ห่างออกไป ซินเธีย สตรีผู้มีสีหน้าเหม่อลอยเจือความกังวล เร่งอาบน้ำให้เสร็จและกลับมานอนบนเตียง


หญิงสาวแหงนมองเพดานห้อง ดวงตาไม่เพ่งจ้องจดจ่อ ภายในใจหวนนึกถึงคำพูดของพ่อแม่เมื่อหลายวันก่อน


พวกเขารบเร้าให้เธอรีบมีลูกกับนายพลอมิรุสโดยเร็ว ครอบครัวจะได้มีบทบาทสำคัญบนเกาะโอลาวีมากกว่านี้ รวมไปถึงอิทธิพลที่ครอบคลุมน่านน้ำกึ่งกลางของทะเลโซเนียทั้งหมด


ท่านนายพลมีความลับมากมาย หนึ่งในนั้นได้ทำให้ร่างกายของท่านเกิดความผิดปรกติ…


ซินเธียปล่อยความคิดล่องลอย


จากนั้น เธอหลับไปโดยไม่รู้ตัว


ท่ามกลางดินแดนความฝันอันพร่ามัว หญิงสาวเริ่มรู้สึกว่าท้องน้อยกำลังร้อนผ่าว อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น ท้องฟ้าในความฝันกำลังเป็นสีดำเข้ม แต่งแต้มด้วยจุดแสงของมวลหมู่ดารา


คล้ายกับหนึ่งในนั้นตระหนักได้ว่าถูกซินเธียจ้องมอง จึงรีบแผ่ความสว่างออกมามากกว่าเดิม



เช้าวันถัดมา ไคลน์ ผู้กำลังสดชื่นสุดขีดเนื่องจากได้นอนเต็มอิ่ม รีบจัดการกับอาหารเช้ามื้อหรูหราที่มิอาจบอกได้ว่าจานใดอร่อยเป็นพิเศษ หลังจากนั้น ชายหนุ่มถูกบอดี้การ์ดรายล้อมอีกครั้ง เดินทางไปยังฐานทัพเรือประจำเกาะโอลาวี ตรงเข้าไปในห้องทำงานหรูหราและโอ่โถงของผู้บัญชาการสูงสุด


จากข้อมูลที่บิลต์เตรียมให้ อมิรุสมักหาโอกาสปลีกตัวสองสามวันเพื่อฝึกฝนพลังพิเศษของตนให้เกิดความชำนาญ รวมถึงการคิดค้นเทคนิคพลิกแพลงแบบใหม่ตลอดเวลา ไคลน์จึงฉวยโอกาสทำให้ตัวเองไม่ถูกรบกวนตลอดทั้งวัน คอยจัดการเฉพาะเอกสารไม่สำคัญ


ภายในห้องทำงานกว้างขวางและบรรยากาศเงียบสงัด ไคลน์เดินวนเวียน บ้างหยิบหนังสือออกจากชั้น สลับมาล้วงกระเป๋าเพื่อสัมผัสยันต์กฎหมายที่เก้า แผ่อำนาจบารมีอันเข้มข้นของนักสานกฎหมายให้ท่วมท้น ทำไปเพื่อให้เลขานุการผมทอง ลัวอาน ไม่พบความผิดปรกติเกี่ยวกับนายพลอมิรุส


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ไคลน์เริ่มง่วงนอน จึงตัดสินใจงีบพักผ่อนเอาแรง


ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงเคาะประตู


ต้องเป็นเรื่องสำคัญขนาดไหนกัน…


ไคลน์ขมวดคิ้ว


คงไม่ใช่เรื่องปรกติแน่ ถ้าเลขาลัวอานกล้ารบกวนเวลาฝึกพลังส่วนตัวของอมิรุส!


“เข้ามา” ไคลน์สงบจิตใจ ตอบกลับเสียงต่ำ


ลัวอาน เลขานุการผมทองใบหน้าหล่อเหลา เปิดประตูและเดินเข้ามา ในมือถือใบโทรเลข


มันกล่าวเสียงขึงขัง


“ท่านนายพลครับ โทรเลขจากเบ็คลันด์ มิสเตอร์ออสเท่นถูกปลดออกจากตำแหน่งนายกเทศมนตรีโอลาวี ประธานสภาเมืองจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทนชั่วคราว ต้นทางยังกล่าวด้วยว่า นายกเทศมนตรีคนใหม่จะมาถึงภายในเย็นวันนี้”


ออสเท่น·รีเวลต์ถูกปลดออกจากตำแหน่ง? แผนการของสองพี่น้องรีเวลต์ถูกเปิดโปงแล้ว? หมายความว่า การที่สภานักสิทธิ์สนธยาส่งคนมาตักเตือนเรา—ไม่สิ ตักเตือนอมิรุส เป็นเพราะพวกมันทราบสิ่งที่อมิรุสกับน้องชายทำมาสักพักใหญ่ จึงอาศัยเส้นสายของพวกพ้องบางคนเพื่อโยกย้ายตำแหน่ง ขจัดภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น…


คำเตือนถูกส่งมาเมื่อวาน แต่วันนี้นายกเทศมนตรีคนใหม่เดินทางมาถึง ทำงานกันรวดเร็วมาก…


ไคลน์แปลกใจในตอนต้น จากนั้นก็เริ่มพบสาเหตุเบื้องหลัง


แน่นอน มันทราบดีว่าต้องทำตัวอย่างไรเมื่ออมิรุสเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ ไคลน์เดินครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะกล่าวเสียงขรึม


“เข้าใจแล้ว”


มันไม่พูดมากกว่านั้น และมิได้ออกคำสั่งใด เพียงสวมสีหน้าเคร่งเครียดภายใต้บรรยากาศอึมครึม


แต่ในความเป็นจริง ที่มันไม่ออกคำสั่งใด เป็นเพราะยังไม่ทราบว่าตนควรตัดสินใจอย่างไรในสถานการณ์ปัจจุบัน


จักรวรรดิแห่งอาหารเคยมีคำพังเพยว่า ‘นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว’ ไม่แน่ใจว่าโรซายล์ได้แปลงเป็นภาษาของโลกใบนี้หรือยัง…


ไคลน์รำพัน


ลัวอานยืนจ้องอมิรุสเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่กล่าวคำใด


ฟู่ว…


ชายหนุ่มเดินไปเดินมาอีกครั้ง เร่งคิดหาคำตอบว่า นายพลอมิรุสตัวจริงจะตัดสินใจอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้


เหตุการณ์ตรงหน้าอยู่นอกเหนือความคาดหมายของทุกฝ่าย จึงไม่มีการมอบคำแนะนำล่วงหน้าไว้ให้ ไคลน์ต้องแก้ปัญหาตามอุปนิสัยและกระบวนการความคิดของอมิรุสที่ตนทราบ


เขาเป็นพวกหัวเก่า สุขุมเยือกเย็น…


มีนิสัยเช่นนี้มานานแล้ว นับตั้งแต่ยังเป็นผู้วิเศษลำดับกลางและต่ำ โดยไม่ว่าจะถูกโยกย้ายไปประจำการบนเรือรบลำใด ก็ไม่แทบเคยตัดสินใจอย่างบุ่มบ่าม…


กระบวนการความคิดเป็นไปตามแบบฉบับขุนนางใหญ่ของโลเอ็น เห็นความสำคัญของตระกูลมาก่อนเสมอ รองมาเป็นครอบครัว…


อมิรุสคือสุภาพบุรุษมาดสง่างาม ผู้มีเสน่ห์ดึงดูดเหล่าสตรีรอบตัว… ไม่สิ สิ่งที่ถึงดูดพวกเธอคงมิใช่ความสง่างามหรือบุคลิก แต่เป็นตำแหน่งและชาติกำเนิด หากให้ลิงบาบูนขนหยิกมีอำนาจบารมีในระดับเดียวกัน หญิงงามมากมายก็คงหลงเสน่ห์ไม่ต่าง—ไม่สิ ลิงบาบูนขนหยิกอาจได้รับความนิยมมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่เล่นมุกตลกล้าสมัย…


ไคลน์เค้นสมองอย่างหนัก พยายามคิดหาทางออกจากปัจจัยทุกแง่มุมรอบตัวนายพลอมิรุส


ผ่านไปพักใหญ่ มันได้ยินเสียงเคาะประตู


“เข้ามา” ชายหนุ่มทวีความตึงเครียด


เลขานุการผมทอง ลัวอาน เปิดประตูพร้อมกับชี้นิ้วไปด้านนอก


“ท่านนายพล มิสเตอร์ออสเท่นขอเข้าพบ”


ออสเท่นมาที่นี่ทำไม…?


เรียกร้องให้อมิรุสช่วยปกป้องตน?


คิดจะดิ้นรนจนตัวตาย?


ไคลน์หรี่ตา พบว่าคราวนี้มันถูกบังคับให้ต้องตัดสินใจในนามอมิรุส


ถ้าเป็นเขาจะทำยังไง… หลังได้รับคำเตือนจากสภานักสิทธิ์สนธยา อมิรุสคงทราบแล้วว่าแผนการของตนและน้องชายถูกเปิดโปง โดยอีกฝ่ายเตรียมพร้อมเป็นอย่างดี… ด้วยนิสัยค่อนข้างหัวโบราณ เขาจะตัดสินใจแบบไหน…


แต่อมิรุสเห็นความสำคัญของตระกูลมาเป็นอันดับแรกเสมอ ในเอกสารที่บิลต์เตรียมไว้ให้เรา มีการเล่าถึงรายละเอียดของออสเท่นพอสมควร ส่วนมากเป็นความรักระหว่างพี่ชายกับน้องชายคนเล็ก… นายพลอมิรุสไม่สูบบุหรี่ ซิการ์ และจะดื่มเหล้าเฉพาะในงานเข้าสังคม หากไม่นับเรื่องที่มีภรรยารองมากมาย ชายคนนี้ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ…


ให้ความสำคัญกับคนในตระกูลก่อนเสมอ…


ตระกูล…


ไคลน์เค้นสมองคิด ปล่อยจิตตัวเองให้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายอมิรุสโดยสมบูรณ์ กลั่นกรองอารมณ์และความรู้สึกของอีกฝ่ายให้ตรงตามสภาพแวดล้อม


ตระกูล…


ในวินาทีนี้ ไคลน์กลายเป็นอมิรุสโดยสมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมิอาจหาข้อสรุปที่แน่ชัดให้กับสถานการณ์ปัจจุบัน


ผ่านไปสิบวินาทีแห่งความกดดัน ไคลน์เริ่มได้ยินเสียงอันเย็นชาดังจากก้นบึ้งหัวใจ


“แจ้งเขาว่าผมงานยุ่งมาก ไม่มีเวลาให้เข้าพบ แล้วก็ รบกวนซื้อตั๋วเรือเดินสมุทรกลับเบ็คลันด์ให้เขาด้วย”


คล้ายกับลัวอานคาดเดาไว้แล้ว เพียงยืนมองโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


“ครับ ท่านนายพล”


เมื่อเห็นลัวอานเดินออกจากห้องทำงานและตรงไปหาออสเท่น·รีเวลต์ ไคลน์ถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าประหนึ่งมันคือนายพลอมิรุสตัวจริง


ชายหนุ่มเชื่อว่า ถึงจะให้อมิรุสกลับมาตัดสินใจแทน อีกฝ่ายก็คงทำแบบเดียวกัน


เพราะ ‘ตระกูล’ ต้องมาก่อนสิ่งใดทั้งหมด!


เมื่อแผนการถูกเปิดโปง คนอย่างอมิรุสไม่มีทางเดิมพันทุกสิ่งไปกับการต่อต้านศัตรูที่เตรียมตัวมาอย่างดี ทางเลือกดังกล่าวมีแต่จะนำพาตระกูลไปยังจุดจบ ขอเพียงรักษาตัวเองให้อยู่ในวงนอกไว้ได้ ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ขอเพียงตัวมันยังเป็นครึ่งเทพ ยังเป็นนักสานกฎหมาย ถึงจะถูกปลดจากยศพลเรือเอกและตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพเรือโซเนีย ตระกูลรีเวลต์ก็ยังเดินไปข้างหน้าได้


และการกำชับให้เลขาซื้อตั๋วเดินทางกลับกรุงเบ็คลันด์ คือเครื่องยืนยันว่าอมิรุสยังเป็นห่วงน้องชายคนเล็ก ออสเท่น·รีเวลต์ นัยว่ากำลังเตือนทุกคนทางอ้อม ห้ามใครฉวยโอกาสกับเขาคนนี้โดยเด็ดขาด


ผ่านไปหนึ่งนาที ลัวอานเดินกลับมารายงาน


“ท่านนายพล มิสเตอร์ออสเท่นกลับไปแล้ว”


อมิรุสให้ความสำคัญกับตระกูลก่อนเสมอ…


ไคลน์เงียบงันสักพัก หันไปทางลัวอานพร้อมกับถามเสียงแผ่ว


“เขาพูดอะไรไหม”


ลัวอานตอบตามจริง


“เขากล่าวว่า ท่านยังเย็นชาเหมือนเดิม”


ไคลน์ ผู้กำลังยืนฟัง ยกมุมปากเล็กน้อยจนยากจะสังเกตเห็น


อาจเป็นการตอบสนองตามสัญชาตญาณ แต่ในเมื่อไคลน์กำลังหลอมรวมเข้ากับตัวตนอมิรุส มันเชื่อว่าอีกฝ่ายก็คงเผยสีหน้าแบบเดียวกัน


และด้วยอารมณ์เดียวกัน


ตลอดทั้งวันที่เหลือ ไคลน์นั่งอยู่ในห้องทำงานโดยไม่มีใครเข้ามารบกวน ไม่ต้องจัดการกับกองเอกสาร มีเพียงการเข้ามารายงานสถานการณ์รอบเกาะโอลาวีจากลัวอานเป็นระยะ


จนกระทั่งนายกเทศมนตรีคนใหม่มาถึง ทางฝั่งไคลน์ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้น


ตกเย็น ชายหนุ่มยกเลิกคิวรับประทานอาหารที่เคยนัด ตรงกลับคฤหาสน์ทันที


เมื่อเห็นซินเธียออกมาต้อนรับ ไคลน์เดินเข้าไปสวมกอดแนบแน่น


มันเปล่งเสียงแผ่ว


“ออสเท่นถูกปลดจากตำแหน่ง”


ชายหนุ่มยังคงถอนหายใจด้วยสีหน้าเคร่งขรึมตามปรกติ เพราะความเจ็บปวดได้ถูกถ่ายทอดไปพร้อมกับน้ำเสียงเมื่อครู่จนหมดแล้ว


“ดิฉันพอจะทราบมาบ้างแล้วค่ะ ท่านนายพลไม่เป็นอะไรใช่ไหม…” ซินเธียถามเสียงสั่น


ไคลน์หลับตาลง พ่น ‘อืม’ ออกมาหนึ่งคำ


สำหรับนายพลหัวโบราณ สุขุมเย็นชา และเป็นห่วงน้องชาย นี่คือการแสดงออกที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว


……………………


ราชันเร้นลับ 627 : กลางดึกสงัด

โดย

Ink Stone_Fantasy

ซินเธีย ผู้สัมผัสถึงความเจ็บปวดและอับจนหนทางของนายพลอมิรุส มิได้กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงสวมกอดให้แน่นขึ้น ใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือช่วยสงบจิตใจของอีกฝ่าย


เสร็จจากอาหารค่ำเรียบง่าย ไคลน์ชำระล้างร่างกายด้วยน้ำอุ่น เดินกลับมานอนแผ่บนเตียงในห้องเงียบห้องเดิม สายตาแหงนมองเพดาน


สำหรับไคลน์ การสวมบทบาทเป็นอมิรุสให้กลมกลืนไม่ใช่เรื่องยาก เพราะการยอมจำนนต่อโชคชะตา การต้องปกปิดความเจ็บปวด ล้วนเป็นประสบการณ์ชีวิตที่เคยผ่านมาแล้วทั้งสิ้น การปลอมตัวเป็นอมิรุสจึงไม่ต่างอะไรกับการเรียกตัวเองในอดีตกลับมา


แต่การดำดิ่งเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี… หากเราไม่ใช้เทคนิค ‘เข้าถึง แต่ไม่หลอมรวม’ ป่านนี้คงสูญเสียตัวตนไปแล้ว… หึหึ… คงเหมือนกับดาราจากโลกเก่า เข้าถึงบทบาทของตัวละครมากเกินไป จนเกิดอาการทางจิตตามมา… แต่ในกรณีของผู้วิเศษ อาการทางจิตจะหมายถึงหายนะ…


สติไคลน์จดจ่อ ตระหนักถึงตัวเองแจ่มชัด


คาดไม่ถึงว่านายพลระดับสูงแห่งกองทัพเรือ บุคคลระดับครึ่งเทพ จะยังต้องเผชิญความอับจนหนทางถึงเพียงนี้ และเจ็บปวดถึงเพียงนี้…


ความแข็งแกร่งช่วยให้คนเราสะดวกสบาย แต่ก็ไม่ใช่ยาครอบจักรวาล… พันคนก็พันใบหน้า และนี่คือตัวตนที่แท้จริงของครึ่งเทพ…


ไคลน์มองเห็นแสงจันทร์สลัว อันกำลังฉาบเครื่องเรือนภายในห้องให้เป็นสีแดง


ในวินาทีนี้ ชายหนุ่มนำประสบการณ์และอุปนิสัยของอมิรุสมาเทียบกับตัวเอง พยายามค้นหาจุดแตกต่าง


จนกระทั่ง มันเริ่มพบความเป็นอมิรุสอย่างถ่องแท้ในทุกแง่มุม ขณะเดียวกันก็เริ่มมองเห็น ‘ตัวเอง’ อย่างถ่องแท้ในทุกแง่มุมเช่นกัน


มันคือคนที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก!


ความทรงจำส่วนหนึ่งมาจากโลกเก่า แต่ก็ถูกอิทธิพลของไคลน์·โมเร็ตติกล่อมเกลาเล็กน้อยจนกลายเป็นบุคคลในปัจจุบัน


ชายผู้มีเส้นทางอาชีพเหยี่ยวราตรีอันแสนสั้น แต่กลับอัดแน่นไปด้วยประสบการณ์และความทรงจำ ถือเป็นประตูบานแรกในโลกผู้วิเศษ


ชายผู้มีไหวพริบดี เกรงกลัวอันตราย สามารถยับยั้งชั่งใจในทุกสถานการณ์วิกฤติ


ชายผู้มีอุปนิสัยเกียจคร้านจากก้นบึ้ง ชื่นชอบการกิน การออกไปท่องโลกกว้าง การใช้ชีวิตอย่างเสรี แต่กลับทำไม่ได้เนื่องจากชีวิตยังมีเป้าหมายที่สำคัญกว่านั้น


ชายผู้ชื่นชอบหญิงงาม แต่จำเป็นต้องยึดติดกับกฎที่ตัวเองสร้างขึ้น ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจ


ชายผู้หลงใหลเงินทอง แต่ก็ไม่ลังเลที่จะใช้จ่ายเพื่อความสุขของพี่ชายและน้องสาว


ชายผู้เก็บซ่อนความเจ็บปวดไว้ภายใน และสวมหน้ากากยิ้มแย้มเป็นเปลือกนอก


ชายผู้ชอบรำพันกับทุกเรื่อง แต่ต้องแสดงออกว่าสุภาพถ่อมตน


ชายผู้สามารถเอาชนะอุปสรรคทางจิตใจได้หนแล้วหนเล่า โดยไม่ฝ่าฝืนศีลธรรมพื้นฐานของตัวเอง


ชายผู้เคอะเขิน และรู้สึกประหม่าทุกครั้งเมื่อต้องทำการแสดงต่อหน้าคนหมู่มาก



นอกจากนั้น เรายังเป็นผู้ทักพิทักษ์และสิ่งมีชีวิตที่น่าสมเพช ที่ต้องคอยรับมือกับภัยคุกคามและความบ้าคลั่งของโลกตลอดเวลา…


มุมปากไคลน์ยกขึ้น กล่าวกับตัวเองเงียบงัน


ชุดความคิดข้างต้นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกราวกับได้ใช้ฝ่ามือ ‘สัมผัส’ กับแก่นแท้ของตัวเอง


ผ่านไปสักพัก ไคลน์หลับสนิทโดยไม่รู้ตัว ด้วยร่างกายและจิตใจที่สงบสุขผ่อนคลาย



ณ ห้องนอนใหญ่ ซินเธียกำลังหลับลึกเช่นกัน


หญิงสาวสวมชุดนอนผ้าบาง เริ่มขยับเรียวขาอันเปลือยเปล่าทั้งสองข้างที่มีผ้าห่มวางปิด เพื่อเสียดสีกันอย่างอ่อนโยน


ปลายเล็บข่วนจิกผิวหนังโดยไม่รู้ตัว เกิดรอยแดงเป็นทางยาว บวมนูนขึ้นมาเล็กน้อย


หญิงสาวกำลังอยู่ในความฝัน มองเห็นดาวมายาอันงดงามบนท้องฟ้าดวงเดิม โดยอีกฝ่ายกำลังส่องแสงสว่างไสว


ทัศนียภาพของซินเธียขยับเข้าไปใกล้ทีละนิด จนเริ่มมองเห็นดาวดวงดังกล่าวได้อย่างเลือนราง



ฟู่ว…


ไคลน์ลืมตาตื่นกลางคัน สมองยังคงคุกรุ่นไปด้วยฉากอันน่าเหลือเชื่อภายในความฝันเมื่อครู่ของตน


ทำไมเราถึงฝันแบบนี้…


มันขมวดคิ้ว ส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อตัวเอง


เมื่อครู่ ไม่เพียงมันจะฝันถึงซินเธียในชุดนอนผ้าบางแสนเย้ายวน แต่ยังมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับหล่อน นอกจากนั้น มันยังฝันในลักษณะเดียวกันกับมาดามเชอรอน ‘แม่มดสุขสม’ จากเมืองทิงเก็น ฝันถึงมิสชารอน ผู้มีรูปโฉมงดงามราวกับตุ๊กตา ฝันถึงมิสจัสติส ผู้มีใบหน้าพร่ามัวคล้ายกับขณะอยู่บนมิติหมอก ฝันถึงทริสซี่·ชีค ฝันถึงเทรซี่ ทุกคนล้วนเป็นหญิงงามที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต โดยในแต่ละความฝันยังทำกิจกรรมด้วยท่วงท่าแตกต่างกันออกไป


สำหรับผู้วิเศษส่วนใหญ่และคนธรรมดา ฝันเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้เมื่ออารมณ์ทางเพศไม่ถูกปลดปล่อยเป็นเวลานาน แต่ในฐานะนักทำนายมืออาชีพ ไคลน์ย่อมให้ความสำคัญกับ ‘ฝัน’ มากเป็นพิเศษ


ชายหนุ่มรีบสำรวจร่างกาย พบว่าน้องชายเบื้องล่างกำลังตั้งโด่ในสภาพแข็งตัว คราบอสุจิเปรอะเปื้อนหลายจุดบนเตียงนอนและผ้าห่ม


ไม่ใช่ลางบอกเหตุในเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นอิทธิพลจากภายนอก…


มีศัตรู! ไคลน์ประเมินสถานการณ์ด้วยสีหน้าตึงเครียด


ขณะเดียวกัน มันรีบพลิกตัวลงจากเตียงอย่างระมัดระวัง เปลี่ยนไปสวมเครื่องแบบของนายพลแห่งกองทัพเรือ


จากนั้น ชายหนุ่มจัดแจงยันต์กฎหมายที่เก้าและยุบพองหิวโหยให้เข้าที่ อยู่ในสภาพพร้อมทำศึกเต็มอัตรา


เนื่องจากยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ไคลน์ไม่บุ่มบ่ามส่งตัวเองเข้ามิติหมอกจนทำให้ร่างหลักไร้การป้องกัน ยังคงสวมบทบาทเป็นอมิรุสต่อไป


ด้วยใบหน้าขึงขัง ชายหนุ่มเดินไปหยุดหน้าประตูห้อง มือกำลูกบิด


ทันใดนั้น คล้ายกับมันเพิ่งได้เชื่อมต่อกับโลกแห่งความจริง ด้านนอกมีเสียงสับสนอลหม่านดังระงม


มีทั้งเสียงของใครบางคนกำลังเคี้ยวอาหาร เสียงครางอย่างกระสัน เสียงคำรามอย่างเดือดดาล และเสียงกระตุ้นแหลมลึก


เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น…


ก่อนนอนยังปรกติดีทุกอย่าง!


ไคลน์กลืนน้ำลาย ใช้การเข้าฌานสะกดจิตให้ตัวเองสุขุมเยือกเย็น


ก่อนนอนหลับ มันจะใช้เนตรวิญญาณตรวจสอบสภาพเหตุการณ์รอบคฤหาสน์เสมอ แต่ไม่เคยพบความผิดปรกติแม้แต่อย่างเดียว


บอดี้การ์ดของนายพลไปไหน?


เลขาลัวอานมัวทำอะไรอยู่?


ยิ่งไคลน์ไตร่ตรองสถานการณ์ปัจจุบัน มันก็ยิ่งพบความผิดปรกติ


ชายหนุ่มสัมผัสยันต์กฎหมายที่เก้าด้วยมือขวา แผ่อำนาจบารมีของนักสานกฎหมายออกมารอบตัว ระงับกระแสอากาศอันชวนอาเจียนที่ไหลเวียนไปทั่ว


ไคลน์ออกแรงมือซ้าย หมุนบิดกลอนประตูและเปิดออกไป


ยังไม่ทันได้ก้าวขา มันเห็นบริกรชายคนหนึ่งกำลังนั่งขวางทางเดินฝั่งตรงข้าม


ด้านหน้าบริกรชายมีจานอาหารวางเรียงรายมากมาย บ้างสุก บ้างดิบ ประกอบด้วยสเต๊กเนื้อ แกะ ปลากระดูกมังกร และล็อบสเตอร์โอลาวี


ทันใดนั้น บริกรชายหยิบปลาตัวใหญ่ซึ่งดูคล้ายเพิ่งตายไปเมื่อครู่ พลางหันมาจ้องไคลน์ที่กำลังยืนมองฝั่งตรงข้าม และกล่าวด้วยรอยยิ้มล่องลอย


“ท่านนายพล ผมอิจฉาอาหารของท่านมาตลอด”


ท้องของมันกำลังบวมพอง ขยายใหญ่จนน่าหวาดเสียว คล้ายกับหญิงสาวตั้งครรภ์เจ็ดแปดเดือน


เมื่อสิ้นเสียง บริกรชายยกปลาขึ้น กัดปลาสดที่ไม่ผ่านการปรุงเข้าไปหนึ่งคำใหญ่ ใช้ฟันฉีกเนื้อแดงชิ้นหน้าและกระชากออกมา


ริมฝีปากของมันพลันแดงฉาน ออกแรงเคี้ยวด้วยสีหน้าเย็นชา


มันกลืนลงคออย่างรีบเร่ง ท้องที่ป่องเกินพอดีไปมากยิ่งขยายตัว คล้ายกับพร้อมระเบิดทุกเมื่อ


เป็นอาการคล้ายคนยับยั้งภาวะอยากอาหารของตัวเองไม่ได้…


ไคลน์ยืนจ้องบริกรชายตรงหน้า ด้วยเหตุผลบางประการ มันหวนนึกถึงคนเร่ร่อนที่บิลต์เตรียมไว้ ซึ่งเสียชีวิตไปจากอาการป่วยหลังจากกินอาหารเกินพอดี


มันไม่มัวคิดนานนัก และไม่มีแผนช่วยเหลืออีกฝ่าย เนื่องจากทราบเป็นอย่างดีว่า หากต้นตอของปัญหายังไม่ถูกแก้ไข ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็คงไม่เกิดประโยชน์มากนัก


ไคลน์เริ่มขยับตัว อาศัยสัมผัสวิญญาณนำทาง เดินอย่างระมัดระวังไปยังห้องนอนใหญ่


มองไปยังบานประตูตรงหน้า จุดดังกล่าวมีสาวใช้สองคน คนหนึ่งนอนราบไปกับพื้น ส่วนอีกคนกำลังนั่งทับและบีบคอคนที่นอนอยู่


สาวใช้ด้านบนฉีกยิ้ม ออกแรงบีบคอสาวใช้ด้านล่าง แผดเสียงตะโกน


“เร็วเข้า! สรรเสริญฉันเร็ว! เร็วเข้าสิ! สรรเสริญฉันเดี๋ยวนี้!”


เธอต้องการให้ใครสักคนชื่นชม…


ไคลน์ขมวดคิ้ว เดินสองสามก้าว ออกแรงกระชากคอเสื้อสาวใช้คนด้านบน


โครม! ชายหนุ่มเหวี่ยงหล่อนกระแทกกำแพง เป็นความรุนแรงที่มากพอจะทำให้หมดสติทันที


แต่เธอกลับยังลุกขึ้นมาคลานไหว


สาวใช้คนที่นอนอยู่เอาแต่อ้าปากหาวพลางใช้มือปิดปาก ดวงตาหลับสนิทแม้เพิ่งจะเกือบจะขาดอากาศตาย ประหนึ่งว่ากำลังง่วงนอนเสียเต็มประดา


เธอปรารถนาที่จะนอน…


นี่มัน… ไคลน์เกิดความคิดที่จะวิ่งหนีออกจากคฤหาสน์ ไปแจ้งให้โบสถ์และกองทัพเรือทราบ


แต่เมื่อลองไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน มันพบว่าบนเกาะโอลาวีแห่งนี้ ไม่มีใครทรงพลังไปกว่านายพลอมิรุส·รีเวลต์อีกแล้ว!


และตอนนี้เราคืออมิรุส… เดี๋ยวก่อน นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด ที่ควรกังวลในตอนนี้คือชีวิตของตัวเองต่างหาก…


ไคลน์ ผู้เริ่มขนลุกไปทุกส่วน ผลักประตูห้องนอนใหญ่เปิดเข้าไป


สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือบรรยากาศอันเย้ายวนเกินพรรณนา รวมถึงเสียงครวญครางอย่างสุขสมอันชวนให้หัวใจเต้นแรงและถี่


ไคลน์เริ่มตระหนักว่า จมูกของตนมีเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย


นอกจากนั้นยังมีกลิ่นของเหลวในเชิงกามฟุ้งอบอวลจนเต็มห้อง สร้างความวิงเวียนและมึนเมาให้แก่ทุกคนที่สูดดม


ถัดมา ไคลน์เห็นลัวอาน เลขานุการผมทอง


มันกำลังยืนข้างประตู สายตาเพ่งเข้าไปข้างในอย่างเย็นชาเจือความเหยียดหยัน ประหนึ่งกำลังขยะแขยงบางสิ่ง


เมื่อตระหนักว่ามีใครบางคนเดินเข้าไปใกล้ ลัวอานมองกลับมา และพบว่าอีกฝ่ายคืออมิรุส


สีหน้าของมันไม่แปรเปลี่ยน เช่นเดียวกันกับสายตาแสนเย็นชา โดยยังคงจ้องอมิรุสประหนึ่งอีกฝ่ายเป็นเพียงชาวบ้านตาสีตาสา


ในยามปรกติ เลขาคนนี้มักแสดงความเคารพตลอดเวลา… เนื้อแท้เป็นพวกทระนงตนสินะ…


ขณะไคลน์เตรียมถามโดยเชื่อว่าอีกฝ่ายยังสามารถครองสติไว้ได้ ลัวอานพลันเบือนหน้าหนี และมองตรงไปยังใจกลางห้องนอนใหญ่


เขายังปรกติอยู่ใช่ไหม…


ไคลน์มองตามสายตาลัวอาน และพบว่าบนเตียงขนาดใหญ่ ณ กึ่งกลางห้อง มีร่างสีขาวสูงกว่าสามเมตรกำลังปักหลักเด่นสง่า


ผิวของร่างดังกล่าวถูกปกคลุมด้วยก้อนสีน้ำตาลอมเขียวคล้ายตุ่มต้นไม้ บางจุดมีรอยแยก รอบ ๆ รอยแยกบานออกคล้ายดอกไม้


บอดี้การ์ดของนายพลบางคน รวมถึงบริกรชายอีกจำนวนหนึ่ง ต่างกำลังรุมล้อมร่างปริศนาสูงสามเมตรไว้ทุกทิศ บ้างยืนบ้างคุกเข่า บ้างปีนขึ้นไปบนลำตัว โดยทุกคนจะสอดแท่งอวัยวะเพศเข้าไปในช่องว่าง ‘ดอกไม้’ พลางส่งเสียงครางสั่นกระเส่าตลอดเวลา


ส่วนบอดี้การ์ดและคนรับใช้ที่เหลือ บางส่วนกระจายตัวไปตามพื้นห้องนอน ร่วมเพศกับสาวใช้เป็นหมู่คณะในจำนวนแตกต่างออกไป ด้วยสีหน้าท่าทางเร่าร้อน


หันกลับไปมองร่างสีขาวสูงสามเมตร นอกจาก ‘ตุ่มต้นไม้’ และ ‘ดอกไม้’ ยังมี ‘กิ่งไม้’ ยืดยาวออกมาสร้างปฏิสัมพันธ์กับทุกอิริยาบถรื่นเริงของคนรอบข้าง


เชี่ยอะไรเนี่ย…


ไคลน์ ผู้ได้เปิดโลกทัศน์ของศาสตร์เร้นลับในมุมใหม่ รีบลดมือซ้ายลดลง ตั้งท่าเตรียมต่อสู้


ทันใดนั้น ศีรษะของร่างปริศนาสูงกว่าสามเมตรเริ่มหันกลับมาจ้องไคลน์อย่างเชื่องช้า


เป็นใบหน้าของหญิงสาว เส้นผมสีทองอ่อน ดวงตาสีฟ้า สันจมูกโด่ง ริมฝีปากอวบอิ่ม


ไม่ใช่ใครนอกจากซินเธีย หญิงสาวผู้ยังหลงเหลือความซุกซนของวัยรุ่น!


‘กิ่งไม้’ เริ่มขยับโยก ‘ดอกไม้’ เริ่มบานออกสลับหุบเข้า ซินเธียจ้องไคลน์ด้วยสีหน้าขวยเขิน และกล่าวด้วยน้ำเสียงล่องลอย


“ท่านนายพล ข้าอยากมีทายาทกับท่าน”


……………………


ราชันเร้นลับ 628 : ข้อห้าม

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อได้เห็นร่างกายสีขาวขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยตุ่มสีน้ำตาลอมเขียวและ ‘ดอกไม้’ เมื่อได้ยินเสียงออดอ้อนเจือความเขินอาย และเมื่อได้เห็นใบหน้าลังเลของซินเธีย ไคลน์พลันสั่นสะท้านไปทุกส่วนของร่างกาย เส้นขนทั่วร่างลุกโชนตั้งชัน


ฉากตรงหน้าคือความสยดสยองที่มันไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อน ไม่แม้กระทั่งในความฝัน!


ย้อนกลับไปขณะเมื่อครั้งได้เผชิญหน้าเมกูสในเมืองทิงเก็น ไคลน์ถูกภาพอันน่าสยดสยองข่มขวัญจนก้าวขาไม่ออก แต่ปัจจุบัน หลังจากผ่านประสบการณ์นับไม่ถ้วน และกล้าเรียกตัวเองว่ารุ่นพี่ในวงการศาสตร์เร้นลับ เมื่อได้ยินเสียงเรียกของซินเธีย ถุงมือในมือซ้ายพลันเปลี่ยนสีทันที


สีของถุงมือเข้มขึ้น แผ่ความน่าเกรงขามและกลิ่นอายชั่วร้ายเต็มเปี่ยม สิ่งนี้หมายถึง ไคลน์สลับยุบพองหิวโหยไปเป็นวิญญาณของมีซอร์ ‘บารอนแห่งการเน่าเปื่อย’


ในทันทีทันใด ชายหนุ่ม ‘ดัดแปลง’ ความคิดของซินเธียที่ระบุว่า ‘ท่านนายพล ข้าอยากมีทายาทกับท่าน’ ให้กลายเป็น ‘ท่านนายพล ข้าอยากมีทายาทกับท่านเพียงคนเดียว’


ไคลน์ทำแบบนี้เพราะเชื่อว่า บรรดาบอดี้การ์ดของนายพลและคนรับใช้ชายรอบต้นไม้จะถูกซินเธียที่ความปรารถนาถูก ‘บิดเบือน’ ผลักจนกระเด็น เป็นโอกาสให้ได้พักหายใจ


ส่วนเรื่องที่ว่า การตัดสินใจเช่นนี้จะทำให้ตัวจริงของนายพลอมิรุสถูกเปิดโปง ชายหนุ่มมิได้ใส่ใจมากนัก เพราะหากใครตกอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้แล้วยังห่วงการปลอมตัว มันผู้นั้นคงเป็นโรคบ้าความสมบูรณ์แบบจนเกินเหตุ และไคลน์มิใช่คนแบบนั้น


เหนือสิ่งอื่นใด ความกระหายทุกรูปแบบได้ถูก ‘ขยาย’ ให้รุนแรงขึ้นกว่าเดิม ไคลน์เชื่อว่าทุกคนในเหตุการณ์จะจมอยู่กับความปรารถนาของตัวเอง ไม่มีเวลามาสนใจการต่อสู้ของนายพลอมิรุสแน่นอน


พลัง ‘บิดเบือน’ ของบารอนแห่งการเน่าเปื่อยถูกสำแดงสำเร็จอย่างเงียบงัน แต่ไคลน์กลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า กลุ่มบุรุษรอบตัวซินเธียมิได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด


พวกมันยังไม่ถูก ‘ต้นไม้’ ดีดออกมา!


เราบิดเบือนสำเร็จแล้วอย่างแน่นอน…


หมายความว่าซินเธียต้านทานมันได้…


รูม่านตาไคลน์พลันหดลีบ ทิ้งตัวกระโดดไปด้านข้างสองก้าว


ทันใดนั้น ในจุดที่เคยยืน กิ่งไม้สีน้ำตาลพุ่งพรวดขึ้นจากพื้นห้อง สุดปลายกิ่งเป็นดอกไม้ที่มาพร้อมเมือกเหนียวข้น


ขนาดของดอกค่อนข้างใหญ่ พิจารณาจากในสภาพอ้ากว้างที่สุด ไคลน์เชื่อว่าสิ่งนี้สามารถกลืนมนุษย์ทั้งคนเข้าไปได้


แม้ชายหนุ่มจะไม่เคยเห็นดอกไม้กินคนอันโด่งดังในป่าดงดิบของทวีปใต้ แต่มันก็เชื่อว่า ดอกไม้ตรงหน้าก็น่าสะพรึงไม่แพ้กัน


พรวด! พรวด! พรวด!


ไม่ว่าจะกำแพง พื้นห้อง หรือผนัง กิ่งไม้แบบเดิมกระหน่ำพุ่งออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ปลายสุดของทุกกิ่งล้วนมีดอกไม้เปียกชุ่ม พยายามไล่ล่าไคลน์จากทุกทิศทาง


ระหว่างนั้น ดอกไม้ลึกลับได้งับหัวลัวอาน เลขานุการผมทอง รวมถึงพันธนาการบอดี้การ์ดและสาวใช้ที่กำลังร่วมรักอยู่บนพื้นห้องโดยรอบ


เมื่อประเมินว่าพลัง ‘บิดเบือน’ ถูกต้านทานโดยสมบูรณ์ ไคลน์ชักมือขวาออกมาโดยไม่ลังเล


แสงจากยันต์สีทองเข้มส่องออกจากร่องฝ่ามือ


“กฎหมายที่เก้า!”


ใจจริง มันไม่อยากงัดยันต์ออกมาใช้เร็วนัก ไม่ใช่เพราะเสียดาย แต่เพราะต้องการให้ศึกยืดเยื้อออกไปจนกระทั่งตนพบจุดอ่อนของซินเธียเสียก่อน จากนั้นค่อยทำให้อ่อนแอลง เนื่องจากยันต์กฎหมายที่เก้ามิได้ครอบจักรวาลถึงขั้นสามารถห้ามการใช้พลังพิเศษทุกรูปแบบ ต้องระบุรายละเอียดของกฎหมายที่จะบัญญัติลงไปให้ชัดเจน และเนื่องจากใช้ได้เพียงหนเดียว ความผิดพลาดจะไม่ได้รับการอภัย ต้องเก็บข้อมูลจนแน่ใจเสียก่อน


แต่สถานการณ์อันคับขันได้บีบคั้นให้ชายหนุ่มไม่มีทางเลือก ต้องเผยไพ่ตายตั้งแต่เริ่มศึก ไม่อย่างนั้น ดอกไม้กินคนน่าขยะแขยงคงเล่นงานตนในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า


หากแม้แต่ยันต์กฎหมายที่เก้าก็ยังมิอาจสยบสัตว์ประหลาดซินเธียได้ เราคงต้องหนีออกจากคฤหาสน์ ล่อเธอออกไปข้างนอก หาโอกาสหลบมุมและสวดวิงวอนถึงตัวเอง เข้าสู่มิติหมอกเพื่อใช้พลังคทาเทพสมุทรสร้างฟ้าผ่าโจมตี!


ท่ามกลางความคิด ไคลน์ ผู้เอาแต่กระโดดหลบไปมาระหว่างกิ่งไม้และดอกไม้ เปล่งเสียงคาถาด้วยภาษาเฮอร์มิสโบราณ :


“กฎหมาย!”


หลังจากเสียงเริ่มกังวาน แผ่นยันต์สีทองเข้มในมือพลันเย็นเฉียบ เปลี่ยนให้อารมณ์ของผู้คนเยือกเย็นตามไปด้วย


ในวินาทีนี้ สติของชายหนุ่มกำลังสุขุมจนผิดธรรมชาติ มือขวาขว้างยันต์กฎหมายที่เก้าออกไปพลางครุ่นคิดหากฎหมายที่ตนต้อง ‘บัญญัติ’


ความคิดแรกในหัวไคลน์คือ ‘ที่นี่ห้ามมีแรงกระหายทุกชนิด’ แต่ด้วยความกังวลว่านั่นอาจกว้างเกินไปจนไม่ได้ผล จึงต้องการเปลี่ยนให้เป็น ‘ที่นี่ห้ามร่วมเพศ’ เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ความปรารถนาเดียวของซินเธียคือ ต้องการมีทายาทกับนายพลอมิรุส ความฉิบหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนมีต้นตอมาจากสิ่งนี้!


ขณะยันต์กำลังลอยไปในอากาศ และเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีทองเข้มเจิดจ้า ไคลน์พลันผุดคำถามหนึ่งในหัว :


จะว่าไป ซินเธียเป็นแค่คนธรรมดาไม่ใช่หรือ…


นี่คือข้อเท็จจริง!


ตลอดสามวันที่ผ่านมา ไคลน์หมั่นใช้เนตรวิญญาณและการทำนายบนมิติหมอกเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่า ซินเธียไม่ใช่ผู้วิเศษ


เหนือสิ่งอื่นใด ไม่ต้องนึกสงสัยให้วุ่นวาย หากเธอเป็นผู้วิเศษจริง นักสานกฎหมายอมิรุส ผู้เชี่ยวชาญการระบุตัวตนผู้วิเศษ ย่อมต้องทราบเรื่องนี้นานแล้ว เพราะเขากับซินเธียคบกันมาหลายปี…


ดังนั้น ถ้าไม่ใช่ผู้วิเศษที่ดื่มโอสถเข้าไป หล่อนก็ไม่น่าจะมีเหตุให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดได้เลย


นี่คือความผิดปรกติที่ต้องรีบหาคำตอบ!


เหมือนกับเมกูส? เธอตั้งครรภ์ทายาทของเทพมารผ่านพิธีกรรมบางอย่าง? ไม่สิ ถ้ามีพิธีกรรมแบบนั้นจริง สัมผัสวิญญาณนักทำนายของเราก็ต้องแจ้งเตือน ว่าห้ามใช้เนตรวิญญาณส่องครรภ์ของซินเธีย… แปลว่าต้องมีวัตถุบางอย่างในตัวเธอที่เป็นภาชนะรับพลังจากภายนอก อาจสั่งสมพลังมาแล้วสองคืน จึงค่อยแสดงผลอย่างฉับพลันในคืนนี้… แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน ความน่าพรั่นพรึงที่เกิดกับซินเธียต้องเป็นผลจากอิทธิพลของโลกภายนอกแน่นอน ไม่ใช่พลังของเธอ…


ไคลน์ครุ่นคิดและได้ข้อสรุปภายในสองวินาที จึงประกาศกฎหมายโดยปราศจากความลังเล :


“ที่นี่ไม่อนุญาตให้พลังจากโลกภายนอกเข้ามายุ่งเกี่ยว!”


ทันใดนั้น อักษรภาษาเฮอร์มิสโบราณที่แฝงไปด้วยความหมายพลันลอยเต็มอากาศ แสงสีทองเข้มเริ่มถักสานเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นอักขระเวทมนตร์แห่งประมวลกฎหมาย ก่อนจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความว่างเปล่า


ฮึ่ม!


มันได้ยินเสียงฉุนเฉียวของใครบางคนดังแว่ว ขณะเดียวกัน คล้ายกับแสงล่องหนที่เต็มไปด้วยกามราคะถูกกีดกันออกไปจากห้องนอน


ในวินาทีดังกล่าว ภาพของดวงดาวมายาพลันปรากฏขึ้นในทัศนียภาพไคลน์ โดยมีดาวดวงหนึ่งกำลังส่องสว่างเด่นชัด


พรวด! พรวด! ดวงตาไคลน์ระเบิดทั้งสองข้างอย่างเหี้ยมโหด ของเหลวผสมกับเลือดสาดกระเซ็นเต็มพื้นในลักษณะสยดสยอง


แม้จะมียันต์กฎหมายที่เก้าช่วยคุ้มครองการแทรกแซงจากโลกภายนอก แต่เนื่องจากอีกฝ่ายทรงพลังเกินไป ถึงจะหลุดรอดเข้ามาในปริมาณน้อย ก็มากพอจะสร้างความเสียหายหนักหน่วงแก่สังขารมนุษย์


ดวงตาทั้งสองข้างระเบิดฉับพลัน!


ความเสียหายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่มีการเตือนล่วงหน้า ไคลน์หมดโอกาสใช้งาน ‘กระดาษคนตัวแทน’ โดยสิ้นเชิง เหมือนกับกรณีที่นักเชิดหุ่นโรซาโก้ถูกยันต์ ‘ถ้อยคำกัดกร่อน’ เล่นงานทีเผลอ


หากไม่เพราะมียันต์กฎหมายที่เก้าช่วยปกป้องร่างกาย เกรงว่ามันคงไม่จบแค่ดวงตาระเบิด แต่ไคลน์อาจกลายเป็นสัตว์ประหลาดเหมือนกับซินเธีย!


ขณะเดียวกัน ต้นไม้ซินเธียที่เคยปักหลักบนเตียงนอนใจกลางห้อง พลันสูญเสียส่วนลำตัวทั้งหมดในพริบตา กลายเป็นกองเลือดเนื้อที่มีตุ่มสีน้ำตาลอมเขียวปกคลุม ในเวลาเดียวกัน เหล่าบอดี้การ์ดและคนรับใช้รอบตัวหล่อน ต่างร่วงหล่นลงมากระแทกพื้นและขอบเตียงจนหมดสติ


ศีรษะซินเธียถูกฝังอยู่บนกองเลือดเนื้อ ปากขยับพึมพำกับตัวเอง


“ท่านนายพล ข้าอยากมีทายาทกับท่าน ท่านนายพล ข้าอยากมีทายาทกับท่าน…”



หล่อนพยายามควบคุมกิ่งก้านที่ยังหลงเหลือบนกำแพงและเพดาน รัดพันไคลน์ ผู้กำลังยืนตะลึงเนื่องจากดวงตาระเบิด


ชายหนุ่มได้สติกลับมาเล็กน้อย พยายามขัดขืนให้หลุดจากบ่วงไม้ แต่ไม่ว่าจะเป็นการดีดนิ้วจุดไฟหรือใช้พลังของยุบพองหิวโหย ทั้งหมดล้วนล้มเหลว เนื่องจากร่างกายถูกตรึงแน่นจนมิอาจกระดุกกระดิก


ภายในการมองเห็น กองตุ่มสีน้ำตาลอมเขียวขยับใกล้ไคลน์ทุกขณะ มันไม่มีทางเลือกนอกจากแปลงโฉมกลับไปเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์


เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่เบ้าตาเต็มไปด้วยเลือด!


ทันใดนั้น กิ่งไม้หยุดการรัดพันทันที คลายออกพร้อมกับโยกเอนอย่างอ่อนโยน คล้ายกับพยายามจับคว้าบางสิ่งที่มองไม่เห็น


ซินเธียเผยสีหน้าสับสนปนทันที เปล่งเสียงพึมพำอย่างเหม่อลอย


“ท่านนายพล ท่านอยู่ที่ไหน ท่านนายพล ท่านอยู่ที่ไหน…”


เมื่อไม่มีพลังจากโลกภายนอกเข้ามายุ่งเกี่ยว หญิงสาวถูกผลของพลัง ‘บิดเบือน’ จากจังหวะก่อนหน้าเล่นงาน ความปรารถนาจึงเปลี่ยนไปเป็น ‘ต้องการมีทายาทกับนายพลอมิรุสเพียงคนเดียว’ ส่งผลให้ไคลน์ถูกปล่อยตัว


ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน รีบเลื่อนมือขวาขึ้นมายังปิดดวงตา จากนั้นก็ตวัดลงมาไว้ตรงหัวไหล่ซ้าย เป็นพลังโยกย้ายบาดแผล


ขณะหัวไหล่เริ่มมีสภาพยับเยิน ยุบพองหิวโหยพลันแปรเป็นเปลี่ยนสีทองสว่าง


ไคลน์ยืนจ้องศีรษะซินเธียบนกองเนื้อด้วยสายตาสงสาร ก่อนจะกางแขนสองข้างออกกว้าง


ลำแสงถูกฉายลงจากเบื้องบน เกิดเป็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมซากศพอันน่าเวทนาของสัตว์ประหลาด


……………………


ราชันเร้นลับ 629 : นิกายกายาสวรรค์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ท่ามกลางลำแสงศักดิ์สิทธิ์ กองเลือดเนื้อและตุ้มต้นไม้อันปราศจากการค้ำจุนจากพลังภายนอก เริ่มสลายตัวไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งหิมะถูกเผาด้วยลูกเหล็กร้อนสีแดง


ขณะที่เสียงอันยากอธิบายกำลังดังกังวาน ใบหน้าของซินเธียเริ่มบิดเบี้ยว เผยให้เห็นความเจ็บปวดชัดเจน


เธอพยายามดิ้นรน สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสับสนและหวาดกลัว คล้ายกับเพิ่งตระหนักว่าตัวเองอยู่ในสภาพที่ไม่ปรกติ


“ท่านนายพล…” หญิงสาวกล่าวเสียงสั่น มองตรงด้วยสายตาสิ้นหวัง แต่ก็พบเพียงใบหน้าอันแปลกตาของคนที่ตนไม่รู้จัก


ในความเป็นจริง ไคลน์สามารถใช้เศษเนื้อและวิญญาณซินเธียป้อนเป็นอาหารให้ยุบพองหิวโหยได้ทันที แต่ท้ายที่สุด ชายหนุ่มทำเพียงถอนหายใจยาว กล่าวอย่างสุขุม


“ในอนาคต อย่าได้สัมผัสกับวัตถุประหลาดหรือไปเข้าศาสนานอกรีตอีก”


ตามความคิดของไคลน์ ซินเธียคงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวัตถุแปลกปลอม หรือไม่ก็เป็นสมาชิกของศาสนาอันตราย แต่ไม่ว่าจะทางใดก็ล้วนเกี่ยวข้องกับ ‘ตัวตนที่ห้ามจ้องมอง’ ทั้งสิ้น เป็นเหตุผลว่าทำไมไคลน์ถึงพูดออกไปเช่นนั้น


ซินเธียเข้าใจในบางสิ่งทันที ด้วยร่างที่เหลือเพียงศีรษะกับเศษเลือด หญิงสาวกล่าวพร้อมกับระเบิดน้ำตา


“ฮึก… มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย… นิกายกายาสวรรค์… ท่านนายพล ท่านนายพล! ฉันไม่อยากตาย ช่วยด้วย! ฉันไม่อยากตาย… ช่วยด้วย…”


มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย…


นิกายกายาสวรรค์… ไม่เคยมีอยู่ในสารบบความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับของเรา…


ขณะสติซินเธียกำลังกระเจิดกระเจิงและเอาแต่ร้องขอความช่วยเหลือ ไคลน์ไม่เปลี่ยนสีหน้า เพียงจ้องเธอด้วยสายตาเวทนา


จากนั้น ชายหนุ่มอ้าแขนกว้าง กล่าวด้วยท่วงทำนองลุ่มลึก


“ความตายมิใช่จุดจบ คุณจะถูกโอบกอดโดยเหล่าทวยเทพ”


ลำแสงสีขาวบริสุทธิ์สาดลงมาอีกระลอก ศีรษะและใบหน้าของซินเธียหยุดการเคลื่อนไหวโดยสมบูรณ์


ดวงตาของเธอเผยความหดหู่ในวาระสุดท้าย แต่ก็ยังเจือความหวังที่จะได้เข้าสู่ดินแดนของเหล่าทวยเทพหลังความตาย


ภายใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรง อวัยวะสุดท้ายของหญิงสาวถูกแผดเผาด้วยความเร็วที่มองเห็นด้วยตาเปล่า จนกระทั่งหายไปโดยสมบูรณ์ เป็นการชำระล้างที่ไม่เหลือร่องรอย


ไคลน์ยืนจ้องด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่แปรเปลี่ยนอากัปกิริยาเป็นเวลานาน


เมื่อทุกสิ่งจบลง ชายหนุ่มยกมุมปากเล็กน้อย เผยรอยยิ้มขื่นขม


“เป็นโลกที่บ้าคลั่งและวุ่นวายอะไรเช่นนี้”


ประสบการณ์เมื่อครู่ทำให้ไคลน์ไม่กล้าสื่อวิญญาณโดยตรง ไม่แม้แต่จะนำซินเธียเข้ามิติหมอกเพื่อ ‘สอบสวน’ ด้วยเกรงว่าออร่าความชั่วร้ายและกัดกร่อนที่ยังหลงเหลือจะก่อปัญหา ไคลน์ทำได้เพียงชำระล้าง ให้ซินเธียได้พบกับสันติสุขครั้งสุดท้ายของชีวิต มันเชื่อว่าโลกนี้มีทวยเทพ และดินแดนหลังความตายมีจริง


ในส่วนของผลข้างเคียงจากยุบพองหิวโหย ชายหนุ่มไม่เป็นกังวลนัก หลังจากอยู่ร่วมกันมานาน ไคลน์เริ่มจับทางได้แล้วว่า สมบัติวิเศษที่สมควรเรียกว่าสมบัติผนึกชิ้นนี้ เริ่มผ่อนปรนให้ตนพอสมควร ไม่เคร่งครัดว่าต้องกินอาหารทันทีหลังจากใช้พลัง แต่จะขยายกรอบเวลาไปเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงหลังจากนั้น และจะใช้พลังสักกี่ครั้งก็ได้ภายในระยะเวลาดังกล่าว โดยไม่ต้องมีการกินชดเชย


ส่งผลให้ไคลน์มีเวลาในการหา ‘อาหาร’ อย่างเหลือเฟือ โดยไม่ต้องทำร้ายคนบริสุทธิ์


หรือต่อให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน เราก็แค่โยนมันเข้ามิติหมอก…


ไคลน์มองไปรอบตัว พบว่าเหล่าบอดี้การ์ดของนายพล บุรุษรับใช้ และสาวใช้ ล้วนหลุดพ้นจากอำนาจของแรงกระหายอย่างสมบูรณ์แล้ว เพียงหมดสติหลับไปถ้วนหน้า รวมถึงสาวใช้ที่บีบคอเพื่อนร่วมงานและอยากได้คำชมเชยด้านนอก กับลัวอาน เลขานุการผมทอง


“คิดไว้ไม่มีผิด เมื่อขจัดต้นตอได้ ปัญหาทั้งหมดก็จบลง จากข้อมูลของนายพลอมิรุส ลัวอานอยู่ในลำดับ 6 เป็นอย่างน้อย โดยคาดว่าน่าจะเป็น ‘บารอนแห่งการเน่าเปื่อย’ แต่บางที เขาอาจแอบเลื่อนเป็นลำดับ 5 โดยไม่แจ้งกองทัพ… ลัวอานถูก ‘ขยาย’ แรงกระหายเหมือนกับคนอื่นในคฤหาสน์ แปลว่าพลังของซินเธียในร่างสัตว์ประหลาดต้องมีระดับสูงมาก แต่ทำไมในกรณีของเราถึงเป็นแค่ภาวะ ‘ฝันเปียก’ ธรรมดา หากไม่นับสมบัติวิเศษ เราและลัวอานควรจะมีระดับตัวตนเท่ากัน หรืออีกฝ่ายอาจสูงกว่า เพราะพลังกีดขวางของมิติหมอก? เพราะกฎจากพันธสัญญาที่อมิรุสตั้งขึ้น? หรือเพราะทั้งคู่ช่วยส่งเสริม? ไม่ผิดแน่ หากไม่มีสิ่งเหล่านั้น ตัวเราที่เป็นเป้าหมายหลักในการกระตุ้นของซินเธีย คงถูกขยายแรงกระหายออกมาถึงขีดสุด ไม่จบลงแค่ฝันเปียกแน่นอน”


ไคลน์ยกมือขวาขึ้นมาลูบหน้า เปลี่ยนกลับไปเป็นอมิรุส·รีเวลต์


เนื่องจากทุกคนในคฤหาสน์รอดพ้นจากวิกฤติแน่นอนแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่รีบร้อนปลุกให้ตื่น เพียงเดินสำรวจรอบห้องนอนใหญ่อย่างระมัดระวัง จนกระทั่งสัมผัสวิญญาณถูกกระตุ้น


เดินหนึ่งก้าว ไคลน์เข้าใกล้จุดเดิมที่ซินเธียถูกแสงชำระล้าง ก้มลงหยิบสร้อยคอจากกองเสื้อผ้าที่วางอยู่บนเตียง


เป็นจี้ห้อยคอที่ยาวประมาณหนึ่งข้อนิ้ว เชื่อมติดกับสร้อย ผิวสีดำด้าน ลักษณะทางกายภาพคล้ายนอแรด มีรอยแตกร้าวหลายจุด นอกจากกลิ่นอายความชั่วร้ายเจือจาง ไคลน์ไม่พบพลังวิญญาณด้านใน


“นี่คือวัตถุอันตรายที่ทำให้ซินเธียกลายเป็นสัตว์ประหลาด? มันเชื่อมต่อกับตัวตนภายนอก และถ่ายพลังของอีกฝ่ายเข้ามาในร่างซินเธีย?”


ไคลน์คาดเดาเบื้องต้นจากสถานการณ์และประสบการณ์ส่วนตัว


มันตรวจสอบสักพัก เมื่อไม่พบสิ่งใดจึงหยิบกระดาษคนตัวแทนออกมาสะบัด ลบร่องรอยและฉากเหตุการณ์ตกค้าง จากนั้นก็เผาทิ้ง


ถัดมา ไคลน์เดินไปทางเลขาลัวอาน ผู้ถูกดอกไม้เขมือบไปพักใหญ่และยังหลงเหลือร่องรอยการถูกกัดกร่อน ก่อนจะงอเข่า ใช้ปลายเท้าเตะเพื่อปลุก


ตามนิสัยของอมิรุส เขาคงไม่โน้มตัวลงไปปลุกเลขาที่นอนหมดสติแน่… จะว่าไป… สีหน้าโอหังของหมอนี่ ดูแล้วก็น่าหมั่นไส้เอาเรื่องเหมือนกัน อยากจะลองหวดเต็มแรงดูสักที…


ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไคลน์หยุดเท้า พลางยืนจ้องลัวอาน ผู้กำลังฟื้นคืนสติกลับมาทีละนิด


“ท่านนายพล…” ลัวอานเผยสีหน้าสับสนอยู่พักหนึ่ง คล้ายกับไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝันหรือความจริง


ในฐานะผู้บังคับบัญชา เราไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายเรื่องราว…


ไคลน์เพียงก้มหน้าจ้อง กล่าวเสียงแผ่ว


“ไปปลุกคนอื่นขึ้นมา แบ่งกำลังคนส่วนหนึ่งไปช่วยปลุกคนอื่น และให้ส่วนที่เหลือออกไปสืบสวนหาเบาะแสของนิกายกายาสวรรค์บนเกาะโอลาวีเป็นการเร่งด่วน พวกมันนับถือเทพมารนามมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย อา… เริ่มจากจนใกล้ตัวซินเธียก่อน ผมจะรอรายงานที่ห้องอ่านหนังสือ”


เมื่อกล่าวจบ ชายหนุ่มเดินถือจี้รูปนอแรดออกจากห้องนอนใหญ่ กลับไปยังห้องอ่านหนังสือซึ่งไม่ได้รับผลกระทบใดเลย


ถึงอมิรุสจะกำลังเผชิญแรงกดดันจากคนใหญ่คนโตของรัฐบาล เช่นการปลดน้องชายออกจากเทศมนตรีโดยไม่แจ้งให้ทราบ และยังหยามหน้าด้วยการส่งนายกเทศมนตรีคนใหม่มาในวันเดียวกันทันที


แต่ในฐานะนายพลแห่งกองทัพเรือซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองเรือโซเนียกลาง อมิรุส·รีเวลต์ยังคงมีอำนาจเต็มบนเกาะโอลาวี มีสิทธิ์ออกคำสั่งกับลัวอาน กรมตำรวจ และฐานทัพเรือ จึงไม่จำเป็นต้องออกไปสืบสวนด้วยตัวเอง


หน้าที่ของครึ่งเทพมีเพียง คอยระวังอันตรายที่คาดไม่ถึง และรอฟังรายงานจากลูกน้อง!


ภายในห้องอ่านหนังสือ ไคลน์นั่งฟังเสียงฝีเท้าและเสียงตะโกนโหวกเหวกจากด้านนอก รวมถึงเสียงการสนทนาและสอบปากคำ


มันกำลังใคร่ครวญฉากดวงดาวมายาส่องสว่างที่ปรากฏขึ้นมาชั่วครู่หนึ่ง


“ฉากนั้นหมายถึงอะไร…” ไคลน์ขมวดคิ้ว เอนหลังพิงกับเก้าอี้หน้าโต๊ะอ่านหนังสือ ร่างกายถูกความมืดจากม่านที่ถูกขึงมิดชิดบดบัง


เพียงไม่นาน มันเริ่มผุดสมมติฐาน อ้างอิงจากตำนานของเมืองเงินพิสุทธิ์และคำนิยามของผีดูดเลือดจากปากเอ็มลิน·ไวท์ ไคลน์ค่อนข้างมั่นใจว่าเส้นทาง ‘จันทรา’ มีหนึ่งในลักษณะเฉพาะตัวเป็นการ ‘สืบพันธุ์’ ซึ่งค่อนข้างสอดคล้องกับความปรารถนาและพฤติกรรมของซินเธีย


“ดวงดาวส่องแสง… มิสเตอร์ประตูเคยกล่าวกับโรซายล์มหาราชว่า หากให้จับคู่เทพธิดารัตติกาลกับไพ่ทาโรต์ มันจะเลือก ‘เดอะสตาร์’ มิใช่ ‘เดอะมูน’ หรือว่า… ผืนนภามายาตอนนั้นจะหมายถึงพระองค์? หืม… ‘ดวงจันทร์บรรพกาล’ ถูกสงสัยว่าจะเป็นเทพสักตนสวมรอย หรือไม่ก็เทวทูตและปีศาจลำดับสูง… เทพธิดารัตติกาลยังมีอีกหนึ่งสมญานามคือ ‘จันทราสีชาด’ บางที พระองค์อาจกำลังสวมรอยเป็นดวงจันทร์บรรพกาลเนื่องจากมีอำนาจในขอบเขตดังกล่าว ซึ่งครอบครองด้วยเหตุผลบางประการ…”


แม้ไคลน์จะทราบว่า ความคิดเช่นนี้ถือเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นเทพ แต่จากข้อมูลแวดล้อม มันก็อดสงสัยในตัวเทพธิดาไม่ได้


อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีดังกล่าวถูกปัดตกในเวลาไม่นาน เพราะไม่ว่าจะเป็นแวมไพร์ต้นตระกูลอย่างลิลิธ หรือดวงจันทร์บรรพกาล พลังในขอบเขตทั้งสองมีเพียง ‘สืบพันธุ์’ ไม่เกี่ยวข้องกับความอยากอาหาร เย่อหยิ่งจองหอง และต้องการได้รับคำชม ไม่สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์ อีกทั้ง พระนามเต็มอื่นของเทพธิดารัตติกาลก็ยังไม่อยู่ในขอบเขตดังกล่าว


“จะว่าไป คุณสมบัติดังกล่าวฟังดูคล้ายคลึงกับ ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ แห่งเส้นทางปีศาจมากทีเดียว… แต่ยังขาดอำนาจด้านสืบพันธุ์… หรือปีศาจระดับสูงสักตนจะกำลังสวมรอยเป็นดวงจันทร์บรรพกาล? หรือจะเป็นราชาปีศาจ ผู้ถูกเรียกขานว่า ‘ด้านมืดเอกภพ’ ลำดับ 0 แห่งเส้นทางนรก? ฟังดูสมเหตุสมผล แต่ปัญหาคือ ไม่ว่าจะเส้นทาง ‘จันทรา’ หรือ ‘นรก’ ก็ล้วนไม่มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวข้องกับ ‘ดวงดาว’ จึงไม่ควรปรากฏตัวในเชิงสัญลักษณ์เป็นภาพของดวงดาวมายาจรัสแสง…”


ยิ่งไคลน์ครุ่นคิด คำถามก็ยิ่งเกิด


ระหว่างนั้น มันผุดแนวคิดใหม่


เป็นหนึ่งในความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับที่มันเคยฟังผ่าน ๆ มาตลอด แต่ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ และไม่มีโอกาสได้ศึกษาเพิ่มเติม


โลกดารา!


หากตัดองค์กรลับบางกลุ่ม เช่นโรงเรียนชีวิต ที่เชื่อใน ‘โลกแห่งเหตุและผลสัมบูรณ์’ ออกไป ตามหลักสากลของศาสตร์เร้นลับ โลกที่สมบูรณ์แบบจะต้องประกอบด้วย โลกความจริง โลกวิญญาณ และโลกดารา


สำหรับโลกความจริง คำนี้คงไม่ต้องอธิบายให้เปลืองน้ำลาย ในส่วนของโลกวิญญาณ พลังพิเศษและพิธีกรรมส่วนใหญ่ล้วนอ้างอิงจากโลกแห่งนี้ แต่ในกรณีของโลกดารา ความรู้ของไคลน์แทบเป็นศูนย์


“หมายความว่า ภาพดวงดาวมายาหมายถึงโลกดารา? และดวงดาวเจิดจรัสหมายถึงดินแดนดาราที่ใดสักแห่ง? เราเคยคิดมาตลอดเวลา โลกดาราคงเป็นดินแดนที่เหล่าเทพแท้จริงกำลังอาศัยอยู่ในปัจจุบัน… แต่บางที สัญลักษณ์ดังกล่าวอาจหมายถึงดวงจันทร์บรรพกาลก็เป็นได้ หากพยายามคิดให้เข้าข้างสักหน่อย…”


ไคลน์ไม่มัวปวดหัวกับเรื่องที่ตนไม่มีทางข้อสรุปได้ในปัจจุบัน ขณะรอให้รายงานถูกส่งมาถึง มันย้อนกลับไปไตร่ตรองว่า ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา มีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง และมีรายละเอียดใดตกหล่นไปจากความทรงจำบ้างไหม


จากวินาทีเป็นนาที ในที่สุด ไคลน์ได้ยินเสียงฝีเท้าอันคุ้นเคยดังเข้ามาใกล้


เลขานุการผมทอง ลัวอาน เคาะประตูและเดินเข้ามาหลังจากได้รับอนุญาต


มันโค้งศีรษะอย่างเคารพ รายงานอย่างสุขุม


“ท่านนายพล พวกเราพบนิกายกายาสวรรค์ตามที่ท่านต้องการ และควบคุมตัวผู้นำมาแล้ว เป็นเบาะแสจากพ่อและแม่มาดามซินเธีย นิกายดังกล่าวเพิ่งจะมีบทบาทบนเกาะในช่วงสองสามปีหลัง พวกมันไม่สวมเสื้อผ้า อ้างว่าเพื่อให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด และเชื่อว่าจิตวิญญาณมนุษย์จะได้รับการปลดปล่อยมากที่สุดในสภาพดังกล่าว ทายาทคือผลพลอยได้จากสวรรค์”


ลัวอานเว้นวรรค ก่อนจะเสริม


“ผู้นำของพวกมันเป็นผู้วิเศษ ลำดับ 8 คนบ้า”


คนบ้า? หมายถึงคนบ้าจากเส้นทางนักโทษ?


เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับโรงเรียนกุหลาบ?


จริงสิ… ชารอนกับมาริคเคยเล่าว่า โรงเรียนกุหลาบจะแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝั่งที่ ‘ควบคุม’ แรงปรารถนา และฝั่งที่ ‘ปลดปล่อย’ มันออกมาตามใจต้องการ เมื่อลองคิดดูให้ดี ฝ่ายหลังค่อนข้างสอดคล้องกับสถานการณ์…


ไคลน์ค่อนข้างผิดคาด แต่ภายนอก มันหันไปกล่าวกับลัวอานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“พาตัวมาที่นี่”


……………………


ราชันเร้นลับ 630 : ช่วงเวลา

โดย

Ink Stone_Fantasy

ผู้นำนิกายกายาสวรรค์มีนามว่าฟอลเล็ต·เคน เพศชาย อายุราวสามสิบ หนวดสีน้ำตาลคมเข้มบนใบหน้าผมเพรียว ลำคอมีรอยสักประหลาดแฝงกลิ่นอายความชั่วร้าย


ขณะถูกลัวอานนำตัวมาพบไคลน์ สีหน้าของฟอลเล็ต·เคนกำลังอมทุกข์สุดขีด ประหนึ่งถูกทรมานนานาชนิดตลอดทั้งวัน


“ท่านนายพล ขณะพวกเรานำกำลังเข้าจับกุม ชายคนนี้แลกเปลี่ยนสติสัมปชัญญะให้เป็นพลังหลายหน จิตจึงใกล้แตกสลายเต็มที”


ลัวอาน เลขานุการผมทอง รายงานไปตามระเบียบปฏิบัติ โดยไม่สนว่านายพลอมิรุสจะทราบอยู่ก่อนแล้วหรือไม่


เข้าทางพอดี…


ไคลน์กังวลว่าลำดับ ‘คนบ้า’ จะมีพลังต้านทาน ‘ทะลวงจิต’ ของตน และอาจไม่ยอมแพร่งพรายข้อมูล วิธีเค้นความจริงจึงเหลือเพียงการสื่อวิญญาณโดยตรง และนั่นอาจทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นพบสิ่งผิดปรกติ


หลังจากจ้องฟอลเล็ต·เคนด้วยสายตาเย็นชาสักพัก มือซ้ายไคลน์ที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะอ่านหนังสือ เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีทองสว่าง


ยุบพองหิวโหยถูกสลับดวงวิญญาณไปเป็น ‘นักสอบสวน’ !


นักสอบสวนคือลำดับ 7 แห่งเส้นทางผู้ตัดสิน และเป็นเส้นทางเดียวกับนายพลอมิรุส!


ลึกเข้าไปในดวงตาไคลน์ สายฟ้าสีเงินจำนวนสองเส้นเริ่มสว่างไสว ซ้อนทับกับใบหน้าของฟอลเล็ต·เคนที่กำลังสะท้อนบนกระจกตา


‘ทะลวงจิต’ พร้อมใช้งาน!


อย่างไรก็ตาม ไคลน์มิได้ใช้มันสร้างความเสียหายกับดวงวิญญาณไปตามปรกติ เพราะพลังชนิดนี้อยู่เพียงลำดับ 7 หากลัวอานเห็นเข้าคงเกิดความสงสัยแน่


ชายหนุ่มตัดสินใจพึ่งพาเพียง ‘แรงกดดันทางวิญญาณ’ ที่เป็นสภาวะเตรียมพร้อมก่อน ‘ทะลวงจิต’ จะแสดงผล


ไคลน์ยังคงนั่งนิ่ง กล่าวเสียงทุ้มต่ำด้วยมาดเคร่งขรึมของนายพลอมิรุส


“รู้จักซินเธียไหม”


เมื่อกล่าวจบ ชายหนุ่มปล่อยจี้นอแรดห้อยลงตามแรงโน้มถ่วง โดยยังคงจับสายสร้อยเอาไว้


จากนั้นก็ซักถามพลางเขย่ามือ


“สิ่งนี้คืออะไร มีไว้ทำอะไร”


ร่างกายอันอ่อนแอของฟอลเล็ต·เคนพลันสั่นสะท้าน ดวงวิญญาณคล้ายกับถูกมีดคมจดจ่อ พร้อมกรีดเฉือนทุกเวลาหากมันพูดจาไม่เข้าหู


ฟอลเล็ต·เคนรีบก้มศีรษะต่ำ ละล่ำละลักออกมาอย่างติดขัด


“ร…รู้จักขอรับ! ซินเธีย… ม…มิสซินเธียต้องการมีทายาทกับท่านนายพล หมายถึงทายาทที่เกิดมาพร้อมพลังพิเศษ พ่อและแม่ของนางจึงพามาหากระผม สิ่งนี่คือ ‘สร้อยขยายตัณหา’ ที่เกิดจากออร่าแห่งเทพ เพียงดื่มผงของมันและสวมใส่เป็นเวลานาน อำนาจของสร้อยทำให้ท่านนายพลมิอาจหักห้ามแรงกระหาย”


ไคลน์นั่งฟังเงียบงัน สำหรับคำอธิบายของฟอลเล็ต·เคน มันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


ครึ่งที่เชื่อคือจุดประสงค์ของซินเธีย หญิงงามรายนี้คงต้องการมีทายาทกับอมิรุสจริง ถึงจะถูกพ่อแม่บังคับทางอ้อม แต่ด้วยความรักที่มีต่อนายพล เธอคงต้องการมีครอบครัวอันอบอุ่น


เหนือสิ่งอื่นใด ความปรารถนาที่แท้จริงได้ถูกเผยให้เห็นขณะกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว


จริงอยู่ ขุนนางโลเอ็นมักไม่ต้อนรับลูกนอกสมรสสักเท่าไร อาจถึงขั้นขับไล่ไสส่ง แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เพราะถ้าถือกำเนิดอย่างราบรื่นโดยสืบทอดตะกอนพลังของบิดาสำเร็จ ความสนใจจากเบื้องบนก็จะเป็นคนละเรื่องทันที


ตระกูลเก่าแก่ส่วนมากมักทราบความลับเกี่ยวกับ ‘พรสวรรค์’ ทางสายเลือด และตระกูลรีเวลต์คงไม่ใช่ข้อยกเว้น


ไม่เพียงเท่านั้น แม้นายพลอมิรุสจะดูเป็นคนเจ้าระเบียบและหัวโบราณ แต่ในใจกลับอ่อนโยนและใส่ใจกับความรักอย่างมาก ดังนั้น ถึงจะเป็นลูกนอกสมรส แต่ก็คงเอ็นดูไม่ด้อยไปกว่าทายาทตระกูลหลักมากนัก… นั่นคงเป็นสาเหตุที่ซินเธียต้องการมีลูกกับเขา…


ไคลน์ถอนหายใจยาว


ส่วนที่มันยังคลางแคลงในคำพูดฟอลเล็ต·เคนก็คือ คุณสมบัติที่แท้จริงของสร้อยขยายตัณหา และจุดประสงค์แท้จริงที่นิกายกายาสวรรค์หวังจากพฤติกรรมของซินเธีย


ไคลน์เริ่มเพิ่มแรงข่มขวัญทางวิญญาณ พลางจ้องเข้าไปในดวงตาฟอลเล็ต·เคน จนกระทั่งอีกฝ่ายสั่นกลัวและก้มหน้าลงไปอีกรอบ


“แล้วสร้อยเส้นนี้ยังมีคุณสมบัติใดอีก” ไคลน์เปล่งเสียงพลางเขย่าสร้อยชำรุดในมือ


เป็นน้ำเสียงอันเยือกเย็นราวกับกำลังตักเตือนอีกฝ่ายว่า : ฉันทราบความลับทั้งหมดแล้ว รอให้แกยืนยันจากปากเท่านั้น


แรงกดดันมหาศาลอันยากจะหาคำอธิบาย กำลังข่มขวัญดวงวิญญาณของฟอลเล็ต·เคนจนแทบสิ้นสติ


ผ่านไปสักพัก ผู้นำแห่งนิกายกายาสวรรค์เริ่มทนไม่ไหว ทรุดลงไปกราบกับพื้นห้อง ส่งเสียงโหวกเหวกราวกับคนบ้า


“ม…มันสามารถกัดกร่อนท่านได้! หากซินเธียขูดผงของมัน ชงดื่ม และสวดวิงวอนถึงนามเต็มของพระมารดาพฤกษา ใครก็ตามที่มีสัมพันธ์กับนางจะถูกกัดกร่อน อีกทั้งยังรับประกันว่าจะตั้งครรภ์อย่างแน่นอน! ท…ท่านจะกลายเป็นสาวกผู้เชื่อในมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย กลายเป็น ‘ข้ารับใช้’ ผู้ใกล้ชิดพระองค์!”


อย่างนี้นี่เอง…


ไคลน์พลันกระจ่าง หมดข้อสงสัยในเหตุการณ์เมื่อคืนโดยสิ้นเชิง


จุดประสงค์ของนิกายกายาสวรรค์ไม่ซับซ้อน แค่ยุยงให้ซินเธียใช้งาน ‘สร้อยขยายตัณหา’ และเสพสมกับอมิรุส กัดกร่อนนายพลแห่งกองทัพเรือโลเอ็น เปลี่ยนให้เป็นสาวกของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย หลังจากนั้น นิกายกายาสวรรค์ก็จะเติบโตราวกับติดปีก กล้าทำเรื่องผิดกฎหมายบนเกาะอย่างโฉ่งฉ่างมากขึ้น


กุญแจสำคัญของภารกิจนี้คือ ต้องไม่เปิดเผยความจริงให้ซินเธียทราบ แสร้งทำตัวไปตามปรกติ หลีกเลี่ยงการเอ่ยถึง ‘พลังอำนาจ’ ‘ความรุนแรง’ และ ‘ความน่ากลัว’


หลังจากซินเธียถูกเราปฏิเสธสามครั้ง ร่างกายของเธอมิอาจทนรับการกัดกร่อนจากสร้อยคอได้อีก พลังชั่วร้ายจึงเอ่อล้นจนเกินขีดจำกัด และเกิดเป็นอุโมงค์วิญญาณเชื่อมต่อกับมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดในที่สุด…


อย่างไรก็ตาม ร่างสัตว์ประหลาดของเธอจะไม่เป็นอันตรายกับนายพลอมิรุสตัวจริง เพราะแม้แต่เรายังจัดการได้ด้วยยันต์กฎหมายที่เก้าอย่างง่ายดาย… นิกายกายาสวรรค์คงไม่อยากให้นายพลอมิรุสเป็นอันตรายถึงชีวิต เพราะพวกมันหวังควบคุมเขาในทางลับ มิใช่กำจัดทิ้ง…


ไคลน์หันไปหาลัวอานโดยไม่กล่าวสิ่งใด


เลขานุการผู้เริ่มเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด รีบก้มศีรษะลงต่ำ เปล่งเสียงขึงขัง


“ท่านนายพล นี่คือความผิดพลาดของผม ที่ผ่านมา ทางเราอาจจับตามองมิสซินเธียทุกฝีก้าวก็จริง แต่ไม่เคยขยายผลไปถึงครอบครัว ญาติพี่น้อง และคนใกล้ชิด ผมยินดีรับการลงโทษทุกรูปแบบ หรือแม้กระทั่งขึ้นศาลทหาร”


ในสถานการณ์เช่นนี้ นายพลอมิรุสจะตอบสนองอย่างไร…


ไคลน์จมดิ่งเข้าไปในตัวตนอมิรุสอีกครั้ง เริ่มตระหนักถึงความเจ็บปวด สิ้นหวัง เศร้าโศก และโกรธเคือง ที่ถาโถมเข้ามาในช่วงสองสามวันหลัง


มันยังคงนั่งในท่าสง่างาม เปล่งเสียงขรึม


“สำหรับเรื่องนี้ ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”


ความนัยที่แฝงมาด้วยก็คือ : ฉันจะคอยดูความกระตือรือร้นของนายหลังจากนี้!


ได้ยินเช่นนั้น ลัวอานผงะไปหลายวินาที เพราะหากประเมินจากความเสียหายที่เกิดขึ้น มันไม่อยากเชื่อว่านายพลอมิรุสจะยังไม่ลงโทษสถานหนักในทันที


ไคลน์หลับตาลง กล่าวเสียงแผ่วเบา


“บิดาของผม อดีตเอิร์ลรีเวลต์ผู้ล่วงลับ เคยมอบคำสอนไว้ว่า : จงยกโทษให้กับความผิดพลาดครั้งแรกของผู้ใต้บังคับบัญชา “ลัวอาน… คุณและบอดี้การ์ดต้องขอบคุณความกรุณาของท่าน”


ลัวอานกะพริบตาถี่ ถอนหายใจสั้น และกล่าวด้วยสีหน้าซาบซึ้งที่มิใช่เสแสร้ง


“ผมขอรับความกรุณาครั้งนี้ไว้ด้วยใจ หากไม่นับองค์เทพ อาณาจักร และหลักการของตัวเอง หลังจากนี้ไป ผมขอจงรักภักดีต่อท่านนายพลแต่เพียงผู้เดียว”


ด้วยนิสัยเย่อหยิ่งที่เป็นเนื้อแท้ของนาย คำพูดเมื่อครู่คงเกินจริงไปสักหน่อย…


ไคลน์ไม่ถือคำสัญญาของลัวอานเป็นสำคัญ เพียงตอบกลับไปด้วยเสียงขรึม


“คำสอนของท่านยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง นั่นก็คือ : จงลงโทษอย่างเด็ดขาดเมื่อลูกน้องกระทำผิดซ้ำสอง”


ลัวอานพยักหน้ารับ มิได้ประหลาดใจนัก


ไคลน์ก้มลงไปจ้องฟอลเล็ต·เคนที่กำลังนอนหมอบกราบ ซักถามด้วยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน


“ใครคือผู้บงการ”


ก่อนจะถูกนำตัวมาที่นี่ คำตอบในใจของฟอลเล็ต·เคนคือ : มันวางแผนทั้งหมดขึ้นมาเอง โดยเริ่มคิดแผนหลังจากเข้าใจความปรารถนาของซินเธีย และทราบว่าคนรักของซินเธียคือใคร หลังจากนั้น แผนการกัดกร่อนพลเรือเอกแห่งกองทัพเรือจึงเริ่มขึ้น


ฟอลเล็ตเหลียวแลขวา กล่าวเสียงสั่น


“ป…เป็นพระประสงค์ของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายขอรับ! พ…พระองค์แจ้งให้กระผมทราบในความฝัน น…ในตอนแรก ผมแค่ต้องการให้ซินเธียยืมสร้อยขยายตัณหาไปสวมไว้เฉย ๆ โดยไม่ต้องบดผงพร้อมกับท่องคาถา”


มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย…


การแจ้งโดยตรงแบบนี้ เทียบเท่าพระวิวรณ์เลยไม่ใช่หรือ…


ไคลน์เกือบใช้ใบหน้าอมิรุสขมวดคิ้ว


มันยังไม่เข้าใจ ถึงแม้นายพลอมิรุสจะเป็นคนใหญ่คนโตของกองทัพเรือ เป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองเรือโซเนียกลาง เปี่ยมด้วยอำนาจบารมีในมือ แต่นั่นก็ยังไม่มากพอที่จะให้ตัวตนระดับเทพมารหันมาสนใจ…


ไม่สิ เราไม่ใช่เทพมารสักหน่อย ไม่มีทางเข้าใจความคิดเทพมารแน่… บางที การกัดกร่อนนายพลอมิรุสอาจเป็นแค่ก้าวแรก… แล้วก็ ยังไม่ควรตัดโอกาสที่ฟอลเล็ต·เคนจะโกหก… ไว้ค่อยทำนายยืนยันในภายหลัง…


ไคลน์ใคร่ครวญสักพัก เปล่งเสียงถามต่อ


“แล้วฝันถึงเรื่องนั้นเมื่อไร”


ฟอลเล็ต·เคนเริ่มฉีกยิ้มที่ยังเผยความกลัว


“ส…สี่กุมภาพันธ์ขอรับ เป็นคืนวันศุกร์ กระผมจำได้แม่นยำเพราะเพิ่งปลดปล่อยดวงวิญญาณของหญิงสาวให้เป็นอิสระ”


4 กุมภาพันธ์…


ไคลน์พึมพำวันที่ พลางพบว่าวันดังกล่าวมิได้สลักสำคัญอะไร


ผ่านไปสามวินาที ชายหนุ่มถามต่อ


“แกมีความสัมพันธ์กับโรงเรียนกุหลาบยังไง แล้วมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายมีความเกี่ยวข้องอะไรกับ ‘เทพผู้ถูกล่าม’ ”


ไคลน์ไม่สนใจว่านายพลอมิรุสตัวจริงจะทราบเรื่องนี้หรือไม่ คงไม่แปลกอะไรนักหากครึ่งเทพจะมีความรู้เรื่องเทพมารติดตัว และเมื่อประเมินจากสีหน้าอันไม่แปรเปลี่ยนของลัวอาน สิ่งนี้ถือเป็นการยืนยันทางอ้อม


ฟอลเล็ต·เคนเผยสีหน้าตื่นเต้น


“พ…พวกเราเป็นสาขาย่อยของโรงเรียนกุหลาบ อาจารย์ของผมมีนามว่าซัตทเวน ท่านเป็นนักบุญแห่งโรงเรียนกุหลาบ เทพผู้ถูกล่ามเป็นหนึ่งในร่างอวตารของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย”


“พระมารดาคือตัวตนเพียงหนึ่งเดียว ที่มีระดับสูงส่งกว่าเจ็ดเทพจารีตและพระผู้สร้างแท้จริง! ท่านนายพล นี่คือโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ท่านจะได้กลายเป็นข้ารับใช้คนสนิทของพระองค์!”


ใครสนกัน…


เริ่มเข้าใจแล้ว… เทพผู้ถูกล่ามคือหนึ่งในร่างอวตารของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายสินะ… จากคำอธิบายของวิญญาณมารในอาคารโบราณใต้ดิน ผู้น่าจะเป็นเมดีซี เส้นทางนักโทษและปีศาจสามารถสับเปลี่ยนกันได้ในลำดับสูง จึงไม่แปลกที่เทพผู้ถูกล่ามแห่งโรงเรียนกุหลาบ จะมีพลังในการ ‘ขยาย’ แรงปรารถนาของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด จนเกิดเป็นการแบ่งฝักฝ่ายระหว่างฝั่ง ‘ระงับ’ และฝั่ง ‘ทำตาม’ แรงปรารถนา… สิ่งนี้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืน…


ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะหันไปทางลัวอานด้านข้างและกล่าว


“คุณออกไปก่อน”


ไคลน์เตรียมจะถามฟอลเล็ต·เคนว่า อีกฝ่ายเคยกระทำชั่วมาบ้างหรือไม่ จึงค่อยประเมินว่าสมควรเป็นอาหารของยุบพองหิวโหยไหม


“ครับ ท่านนายพล” ลัวอานไม่มีคำถาม เพียงเดินออกไปพร้อมกับปิดประตู


ขณะเสียง ‘กริ๊ก’ ดังกังวาน ห้องอ่านหนังสือพลังเงียบสงัด ประหนึ่งถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์


พลังพิเศษของบารอนแห่งการเน่าเปื่อย… หมอนั่นบิดเบือนเจตนา ‘ปิดประตูห้องอ่านหนังสือ’ ให้กลายเป็น ‘ผนึกห้องอ่านหนังสือโดยสมบูรณ์’ … ใส่ใจทีเดียว…


ไคลน์ไตร่ตรอง นั่งทบทวนบทสนทนาก่อนหน้าสักพัก ก่อนจะตั้งคำถาม


“ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เช้าวันอาทิตย์ แกกำลังทำอะไรอยู่”


ฟอลเล็ต·เคนผงะเล็กน้อย


“จ…จากพระวิวรณ์ของมารดาแห่งพฤกษา กระผมร่วมกับสาวกคนอื่น ใช้สร้อยขยายตัณหาประกอบพิธีกรรมโดยใช้เส้นผมของคนเร่ร่อนเป็นสื่อกลาง ขยายความเจริญอาหารของอีกฝ่าย”


เจอตัวการที่ทำให้คนเร่ร่อนเสียชีวิตแล้ว!


พวกมันทำเช่นนี้เพื่อมิให้นายพลอมิรุสออกจากเกาะโอลาวีไปทำภารกิจลับสินะ… พวกตนจะได้ลงมือตามแผนเดิม ใช้ซินเธียเป็นเหยื่อล่อเพื่อกัดกร่อนนายพล…


ไคลน์เริ่มปะติดปะต่อทุกเบาะแสเข้าด้วยกัน


อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของเราช่วยให้นายพลอมิรุสได้ออกไปทำภารกิจตามเดิม ถือเป็นการขัดขวางพวกมันโดยบังเอิญ…


บังเอิญ…


เดี๋ยวก่อน… มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล!


เมื่อคำว่า ‘บังเอิญ’ แล่นเข้ามาในหัวไคลน์ มันพลันจดจำได้ทันทีว่า วันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ฟอลเล็ต·เคนได้รับวิวรณ์จากมารดาพฤกษาเป็นหนแรก แท้จริงแล้วคือวันอะไร


เป็นวันแรกที่มันมาถึงเกาะโอลาวี!


……………………


ราชันเร้นลับ 631 : หายไปสามวัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

หรือว่า… เป้าหมายที่แท้จริงคือเรา?


ภายในใจไคลน์กำลังตกตะลึง บรรยากาศรอบตัวพลันตึงเครียดในพริบตา


ในฐานะคนที่เคยเผชิญประสบการณ์ทำนองนี้มาก่อน มันค่อนข้างหวาดระแวงกับความบังเอิญ


เป็นไปได้… วันที่เราเดินทางมาถึงเกาะโอลาวี มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายได้ส่งวิวรณ์ถึงฟอลเล็ต·เคนทันที โดยกำชับให้อีกฝ่ายเตรียมตัวเริ่มแผนการกัดกร่อนอมิรุส…


และวันแรกที่เราเข้าไปหาบิลต์·แบรนโด้ คนของนิกายกายาสวรรค์ได้ประกอบพิธีกรรมขยายตัณหา จนคนเร่ร่อนที่บิลต์เตรียมไว้เสียชีวิต…


หากมารดาพฤกษาเล็งอมิรุส ก็น่าจะขจัดตัวปลอมทิ้งทั้งหมด จนอมิรุสไม่สามารถออกไปทำภารกิจลับได้เลย ดังนั้น การยังไว้ชีวิตเราจึงขัดแย้งกับสมมติฐานข้อนี้…


แต่ถ้าเป้าหมายคือเราตั้งแต่แรก ความคลางแคลงทั้งหมดก็จะถูกอธิบายได้ทันที…


ไคลน์อาศัยพลังตัวตลกช่วยควบคุมสีหน้า มันจ้องฟอลเล็ต·เคนโดยไม่กล่าวสิ่งใด


เมื่อลองคิดตามสมมติฐานล่าสุด ข้อสงสัยใหม่เริ่มผุดขึ้นในหัวชายหนุ่ม


แล้วมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย ทราบได้อย่างไรว่าบิลต์·แบรนโด้จะจ้างเรา…


ข่าวลือเรื่อง ‘เกอร์มัน·สแปร์โรว์สามารถปลอมตัวเป็นใครก็ได้’ ถูกปล่อยมาจากฝั่งพลเรือโรคภัย·เทรซี่ สิ่งนี้น่าจะอยู่นอกเหนือการคำนวณของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย…


แต่ก็สามารถมองอีกมุมหนึ่งได้เช่นกัน ว่าเป็นเพราะข่าวลือดังกล่าวแพร่มาถึงเกาะโอลาวี มารดาพฤกษาจึงเลือกใช้แผนการนี้…


ถ้าอย่างนั้น คำถามก็คือ ทำไมท่านถึงต้องการกัดกร่อนเรา? ความแค้นที่เรามีต่อโรงเรียนกุหลาบ เล็กน้อยเกินกว่าจะให้เทพมารลงมาสนใจด้วยตัวเอง สิ่งที่เคยทำมีเพียง ร่วมมือกับมาดามชารอน สังหารลำดับ 5 วิญญาณอาฆาต ลำดับ 6 ซอมบี้ ลำดับ 7 มนุษย์หมาป่า และช่วงชิงมงกุฎจันทร์ชาดกับขวดพิษชีวภาพมาครอง… ในส่วนของการล่าพลเอกโลหิต แผนดังกล่าวถูกพับเก็บตั้งแต่ยังไม่เริ่ม อย่างมากก็แค่ลงมือฆ่า ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้…


หากจะแก้แค้นความเสียหายข้างต้น แค่ส่งตัวตนระดับนักบุญมาก็พอแล้ว!


หรือจะเป็นเพราะ ความพิเศษในตัวเราทำปฏิกิริยากับวัตถุบางชนิดที่มีออร่าของมารดาพฤกษาบนเกาะโอลาวี?


แต่สมัยยังอยู่ในเบ็คลันด์หรือทิงเก็น เรากลับไม่เคยพบปฏิกิริยาแปลกปลอมจากวัตถุที่มีออร่าของเทพเจือปน…


ยิ่งไปกว่านั้น เราทำนายยืนยันบนมิติหมอกแล้วว่า การตายของคนเร่ร่อนเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ไม่มีสัตว์ในตำนานหรือสมบัติปิดผนึกระดับ 0 เข้ามาเกี่ยวข้อง…


ทำไมผลลัพธ์ถึงออกมาเป็นแบบนั้น…


หรือว่า นี่จะเป็นครั้งแรกที่ผลการทำนายบนมิติหมอกถูก ‘บิดเบือน’ โดยสมบูรณ์? และยังแนบเนียน ลื่นไหล จนเราไม่เอะใจเลยสักนิด…


ความคิดไคลน์กำลังจดจ่ออยู่กับสิ่งเดียว


ปัญหาร้ายแรงเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!


แม้ 0-08 สุดทรงพลังก็ยังทำได้แค่ ‘ขัดขวาง’ ให้ผลการทำนายของเราออกมาว่างเปล่า ไม่เคยมีสักครั้งที่ถูกบิดเบือนโดยสมบูรณ์!


เป็นพลังที่สูงกว่าสมบัติปิดผนึกระดับ 0?


มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายที่เข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ เป็นถึงระดับเทพแท้จริง?


แต่น่าแปลก แม้แต่เจ็ดเทพจารีตก็ยังแทรกแซงโลกความจริงได้ยากลำบาก ต้องกระทำผ่านพิธีกรรมเท่านั้น แล้วทำไมมารดาพฤกษาถึงทำได้… ไม่เพียงเท่านั้น เรายังทำนายถามเกี่ยวกับความอันตรายของภารกิจ และผลลัพธ์ออกมาเป็น มีอันตราย แต่อยู่ในขอบเขตยอมรับได้ แถมเรื่องราวรอบตัวก็ยังดำเนินไปอย่างสอดคล้อง… กำลังจะบอกว่าสิ่งนี้ก็ถูกบิดเบือนโดยสมบูรณ์ด้วยเช่นกัน?


ยิ่งขบคิด ไคลน์ก็ยิ่งปวดหัว


อีกหนึ่งเรื่องที่มันยังไม่เข้าใจก็คือ หากตนเป็นเป้าหมายการกัดกร่อนจริง แล้วทำไมอีกฝ่ายถึงลงมืออย่างนุ่มนวลนัก? ตัวมันสามารถฝ่าฟันอันตรายจากซินเธียได้อย่างราบรื่น


ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ทำเอาแผนการของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายกลายเป็นเรื่องตลก!


ไคลน์กลับมาสนใจฟอลเล็ต·เคนตรงหน้าที่จิตใจใกล้แตกสลายเต็มที ซักถามอีกหลายเรื่องเพื่อยืนยันสมมติฐานของตน


ชายหนุ่มต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา นิกายกายาสวรรค์ไม่เคยประกอบพิธีกรรมให้มารดาพฤกษาแทรกแซงการทำนายเลยสักครั้ง และไม่มีการเตรียมแผนสำรองในกรณีแผนหลักล้มเหลว


แปลกมาก…


ไคลน์ล้วงหยิบเหรียญ ดีดขึ้นไปในอากาศจนเกิดเสียง แบมือเตรียมรอรับผลการทำนาย


แต่ถึงจะไม่ทำนาย ไคลน์เชื่อว่าฟอลเล็ต·เคนมิได้โกหก เนื่องจากอีกฝ่ายกำลังอยู่ในสภาพใกล้สิ้นสติ ไม่น่าจะหลงเหลือเหตุและผลมากพอให้โกหกอย่างแนบเนียนและลื่นไหล


อีกหนึ่งปัจจัยก็คือ คำตอบของฟอลเล็ต·เคนสมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก สอดคล้องกับความคิดในหัวที่ไคลน์ไม่เคยพูดออกไป


แปะ! เหรียญทองตกลงบนฝ่ามือ ใบหน้ากษัตริย์เผยขึ้น เป็นการยืนยันประโยคทำนาย


ไคลน์สรุปได้ว่า ฟอลเล็ต·เคนมิได้โกหก


ชายหนุ่มระงับความคลางแคลงไว้ชั่วคราว จ้องหน้าฟอลเล็ต·เคนพลางกล่าวโดยปราศจากรอยยิ้ม


“เคยฝ่าฝืนกฎหมายและขนบธรรมเนียมอันดีงามของอาณาจักรบ้างหรือไม่”


ฟอลเล็ต·เคนผงะหลายวินาที คล้ายกับสติสัมปชัญญะเริ่มกลับคืนมา


ตามความคิดของมัน ความผิดร้ายแรงที่สุดในชีวิตคือการวางแผนกัดกร่อนนายพลอมิรุส และคงไม่มีความผิดใดที่จะทำให้คนใหญ่คนโตตรงหน้าเดือดดาลได้มากกว่านี้อีกแล้ว ดังนั้น วีรกรรมความชั่วช้าในอดีตของตน จึงน่าจะเป็นเพียงเรื่องไม่สำคัญในสายตาครึ่งเทพ


เมื่ออีกฝ่ายเลิกถามถึงประเด็นสำคัญ และเริ่มชวนคุย ‘เรื่อยเปื่อย’ ฟอลเล็ต·เคนจึงมองว่าบทสรุปของเรื่องราวอาจไม่เลวร้ายกับตนมากนัก


มันเผยรอยยิ้ม รีบกลั่นกรองเรื่องราว


“กระผมเคยขโมยทรัพย์ของผู้อื่นด้วยกลอุบายอันแยบยล เริ่มจากการทรมานครอบครัวของมันตลอดทั้งคืน ฆ่าทิ้งและนำศพไปไว้ในป่า จากนั้นก็ปลอมเอกสารเพื่อครอบครองเงินทองจำนวนมาก กระผมเคยกล่อมให้สาวกบางคนปลดปล่อยแรงกระหายในใจ และเฝ้ามองพวกมันกลายเป็นอาหารของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย ในวาระสุดท้ายของชีวิต เสียงโหยหวนอย่างสำนึกเสียใจของพวกมันช่างระรื่นหูยิ่งนัก กระผมเคยหลอกลวงหญิงสาวหลายคนมาเข้าร่วมพิธีกรรมชำระล้างดวงวิญญาณ โดยอ้างเหตุผลว่า ดวงวิญญาณของพวกเธอถูกสิ่งชั่วร้ายเข้าสิง กระผมเคยทรมานกลุ่มคนที่พยายามถอนตัวออกจากนิกาย ด้วยการตัดเฉือนอวัยวะทั้งหมดที่ยื่นออกจากลำตัวทิ้งไปเสีย…”


ฟอลเล็ต·เคนบรรจงสาธยายบาปของตนทีละเรื่องอย่างตั้งใจ ปราศจากความคิดที่จะปิดบัง


ไคลน์ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง คาดไม่ถึงว่าจะมีมนุษย์ที่จิตใจชั่วร้ายเช่นนี้อยู่บนโลก


ขณะฟอลเล็ต·เคนกำลังติดลม บรรยายเหตุการณ์อย่างตื่นเต้น มันเห็นนายพลอมิรุสลุกจากเก้าอี้โดยปราศจากอารมณ์บนใบหน้า เดินอ้อมโต๊ะอ่านหนังสือ หยุดยืนหน้าตนพร้อมกับเหยียดแขนซ้ายเข้าหา


ณ กึ่งกลางฝ่ามือ ปากสัตว์ประหลาดฉีกออกกว้างอย่างน่าสะพรึง ฟันซี่คมสีขาวโพลนเรียงรายสองแถว ชวนให้ผู้พบเห็นเย็นไปถึงสันหลัง


“ม…ไม่! อย่า!”


เสียงหวีดร้องอันน่าสยดสยองดังกังวานภายในห้องอ่านหนังสือ ต้องรอให้ผ่านไปสักพักจึงจะเริ่มบรรเทา


จากนั้น ไคลน์โน้มตัวก้มหยิบก้อนแสงที่ดูคล้ายกับ ‘สมอง’ ขนาดเล็ก


ตะกอนพลังของ ‘คนบ้า’ !


ค่อนข้างน่าเสียดาย ก่อนฟอลเล็ต·เคนจะถูกนำตัวมาหาไคลน์ คนของลัวอานได้รื้อค้นทรัพย์สินของอีกฝ่ายจนเกลี้ยง ไม่หลงเหลือธนบัตรหรือของมีค่าใดอีก


เป๊าะ!


ไคลน์ดีดนิ้ว จุดไฟเผาเศษเสื้อผ้าที่กองบนพื้น


มันเหลือบมองบาดแผลฉกรรจ์บนหัวไหล่ซ้ายของตนเล็กน้อย เดินกลับไปนั่งเก้าอี้ ไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน ทำเพียงจ้องเปลวไฟสีแดงที่กำลังลุกไหม้


จนกระทั่งไม่เหลือร่องรอยใดอีก ชายหนุ่มดึงเชือกด้านข้าง เป็นการสั่นกระดิ่งนอกห้องอ่านหนังสือ


ลัวอาน เลขานุการผมทอง ปลดผนึกรอบห้องพร้อมกับเปิดประตูเข้ามาข้างใน สิ่งแรกที่ทำคือการกวาดตาสำรวจสภาพห้องอย่างละเอียดหนึ่งรอบ


“กระจายคำสั่งไปยังทหารทุกหน่วยและคนของฐานทัพเรือ ให้พวกเขาร่วมมือกับกรมตำรวจโอลาวี เก็บกวาดนิกายกายาสวรรค์ให้สิ้นซาก ถ้าเป็นไปได้ พยายามรวบรวมข้อมูลให้มากที่สุด จับเป็นคนของโรงเรียนกุหลาบ”


ไคลน์ออกคำสั่งเสียงสุขุม


“ครับ ท่านนายพล” ลัวอานขานรับนอบน้อม


มันมิได้ถามว่าฟอลเล็ต·เคนไปไหน ราวกับผู้นำนิกายกายาสวรรค์ไม่เคยมีตัวตนบนโลก



ขณะส่งคนออกไปกวาดล้างรอบเกาะโอลาวี ไคลน์มิได้สนใจผลลัพธ์มากนัก เพียงประกาศยกเลิกทุกกิจกรรมในอีกสองวันถัดไป โดยอ้างว่าได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากการถูกลอบสังหาร


สิ่งนี้หมายถึง ต่อให้ไม่มียันต์กฎหมายที่เก้า ไคลน์ก็ไม่ต้องกังวลว่าความลับจะแตก ไม่ต้องกังวลผู้คนจะตั้งคำถามว่า ออร่าของครึ่งเทพหายไปไหน เพราะความบกพร่องทั้งหมดจะถูกโยนให้กับอาการบาดเจ็บ


“ท่านนายพล มีรายงานเข้ามาสองเรื่อง เรื่องแรก มิสเตอร์ออสเท่นยังมิได้โดยสารเรือออกไปจากเกาะ เรื่องที่สอง มิสเตอร์เบ็น·คอนราด นายกเทศมนตรีคนใหม่ของโอลาวี ได้ส่งคำเชิญให้ท่านนายพลเข้าร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ที่คฤหาสน์ประจำตำแหน่งนายกเทศมนตรี”


ลัวอานเข้ามารายงานข่าวตอนเที่ยง


เบ็น·คอนราดมาแทนออสเท่น… จากข้อมูลของเรา ตระกูลคอนราดจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์อย่างมาก ทาลิมเคยเป็นครูสอนขี่ม้าให้ลูกชายคนเล็กของไวเคาต์คอนราด เนื่องจากองค์ชายเอ็ดซัคช่วยแนะนำ…


ไคลน์ผงกศีรษะรับ พลางเปลี่ยนสีหน้าของนายพลอมิรุสให้มีความซับซ้อน


มันกล่าวหลังจากเงียบงันหลายวินาที


“แจ้งกับนายกเทศมนตรีคอนราดว่า ผมถูกนิกายกายาสวรรค์ลอบทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่สะดวกเข้าร่วมงาน ฝากคำขอโทษถึงเขาด้วย”


“ครับ ท่านนายพล” ลัวอานไม่โน้มน้าวหรือแสดงความเห็น เพียงเดินออกจากห้องอย่างสุขุม


สะดวกสบายชะมัด…


ครึ่งเทพจะทำตัว ‘เอาแต่ใจ’ แค่ไหนก็ได้!


ขอเพียงไม่เกี่ยวข้องกับแผนการชั่วร้าย ไม่ก่อความผิดพลาดร้ายแรงต่ออาณาจักร ครึ่งเทพไม่มีวันถูกตำหนิในสิ่งที่ทำเด็ดขาด เพราะไม่ว่าจะฝ่ายใด การผูกไมตรีกับครึ่งเทพคือสิ่งจำเป็น!


เมื่อเห็นแผ่นหลังของลัวอานหายไปพร้อมกับเสียงปิดประตู ไคลน์ส่ายหน้า เอนหลังพิงพนัก


***


หนึ่งวันผ่านไปอย่างสงบสุข จนกระทั่งใกล้รุ่งสางของวันถัดมา ไคลน์ ผู้กำลังหลับพักผ่อนอยู่ในห้องพักแขก พลันลืมตาและรีบพยุงตัวนั่งบนเตียงนอน


สัมผัสวิญญาณของมันแจ้งเตือนว่า มีใครบางคนลอบเข้ามาในห้องนี้!


ชายหนุ่มหันไปทางหน้าต่าง และพบกับชายวัยกลางคนสวมทักซิโด้ ผมดำตาฟ้า มุมปากหย่อนคล้อยเล็กน้อย


ไม่ใช่ใครนอกจากนายพลอมิรุส·รีเวลต์!


ฟู่ว… กลับมาได้สักที…


ไคลน์ลุกยืน ซักถามหลังจากไตร่ตรอง


“คุณเคยมอบสิ่งใดให้ผมก่อนไป”


มันกังวลว่า อมิรุสที่กำลังตรงหน้า อาจเป็นผู้ไร้หน้าสักคนปลอมตัวมาสวมรอย


นายพลอมิรุสยืนนิ่ง ตอบเสียงขรึม


“ยันต์กฎหมายที่เก้า”


โดยไม่เปิดโอกาสให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์พูดต่อ มันสืบเท้าเข้ามาใกล้ เปล่งเสียงถามใจเย็น


“ในสองสามวันที่ผ่านมา มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง”


ไคลน์อาศัยพลังตัวตลกช่วยควบคุมสีหน้า


“เลขานุการของคุณทำงานพลาด ผมได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย”


“งั้นหรือ… แล้วมีอะไรอีก” อมิรุสผงกศีรษะขึงขัง ตั้งคำถามด้วยใบหน้าไร้อารมณ์


ไคลน์พยายามไม่เบือนหน้าหนี ฝืนประสานสายตากับอีกฝ่าย


“น้องชายของคุณถูกปลดจากตำแหน่งนายกเทศมนตรี และคนที่มาแทนก็เดินทางมาถึงแล้ว มาดามซินเธียของคุณกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด และถูกผมชำระล้างไปแล้ว บอดี้การ์ดและคนรับใช้ของคุณส่วนใหญ่ถูกกัดกร่อนทางจิต กำลังอยู่ระหว่างการฟื้นฟู…”


สีหน้าอมิรุสเริ่มบิดเบี้ยวอย่างมิอาจควบคุม


มันหรี่ตาลง กลอกซ้ายขวา ประหนึ่งกำลังคิดว่าตนเดินเข้าบ้านผิดหลัง


มันหายไปแค่สามวันเท่านั้น!


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)