Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 619-622

 ราชันเร้นลับ 619 : อ้าปากไม่ขึ้น

โดย

Ink Stone_Fantasy

ณ มูลนิธิเวรบริบาลโอลาวี


สตรีที่เป็นเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนอาสาสมัครรีบก้มตัวลง เก็บปากกาที่ตกพื้นอย่างทุลักทุเล


ทันใดนั้น ไคลน์เพิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเมื่อสามวันก่อน ภายในนั้นมีใบหน้าและข่าวของตนแผ่หลาเด่นชัด


ที่นี่สมัครรับหนังสือพิมพ์ด่วนของเกาะรอสต์ไว้ด้วยหรือ? เพราะถ้าพิจารณาจากระยะเวลาในการเดินเรือ คนทั่วไปจะได้อ่านข่าวของหมู่เกาะรอสต์ก็ต่อเมื่อผ่านไปแล้วสี่วัน… ชิ… ถ้ารู้แบบนี้ เราคงปลอมหน้าและบัตรประชาชนมาสมัครทำงาน…


ไคลน์ยืนครุ่นคิดหน้าโต๊ะอย่างนึกเสียดาย


สตรีวัยสามสิบหยิบปากกาขึ้น แหงนหน้ามองพลางกล่าวเสียงสั่น


“ค…คุณจะทำงานอาสาสมัครหรือคะ”


“ใช่” ไคลน์ยืนยันเสียงขรึม


“ต…แต่ว่าคุณเป็นนักผจญภัย” หญิงสาวกล่าวติดอ่างอย่างหวาดกลัว


จากสัญชาตญาณ เธอไม่ต้องการให้บุคคลอันตรายตรงหน้าทำงานเป็นอาสาสมัคร!


เป็นคนดังไม่ได้มีแต่ข้อดี… ช่างมัน… ไว้เราค่อยเปลี่ยนหน้า เครื่องแต่งกาย บัตรประชาชน และกลับมาสมัครใหม่…


ไคลน์ถอดใจ กล่าวด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง


“ใครเป็นคนกำหนดว่านักผจญภัยทำงานอาสาสมัครไม่ได้”


เจ้าหน้าที่ลงทะเบียนสาวทำหน้าคล้ายจะร่ำไห้ โพล่งขึ้นเสียงดัง


“ไม่ใช่ฉันก็แล้วกัน!”


ทันใดนั้น ห้องลงทะเบียนอาสาสมัครพลันเงียบกริบ ไคลน์อึ้งจนพูดไม่ออก ในใจนึกขบขัน แต่ภายนอกต้องปั้นหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์


ผ่านไปสักพัก หญิงสาวได้สติ เริ่มตระหนักถึงความไม่เหมาะสมในสิ่งที่ตนพูดออกไป จึงกล่าวโดยฝืนยิ้มแข็ง


“อ…เอ่อ ดิฉันหมายถึง ไม่เคยมีใครกำหนดเอาไว้แบบนั้นค่ะ เพียงแค่คิดว่า การเป็นนักผจญภัยอาจไม่มีเวลามากนัก จำเป็นต้องออกทะเลบ่อยครั้ง ไม่น่าจะว่างมาทำงานอาสาสมัคร”


“นั่นมันคนอื่น” ไคลน์ตอบห้วน


หญิงสาวเลื่อนมือขึ้นมาปิดปาก ก่อนจะวางลงพร้อมกับเผยรอยยิ้มสดใส


“เข้าใจแล้วค่ะ มาลงทะเบียนกันดีกว่า”


เธอกล่าวพลางยื่นแบบฟอร์มส่งให้


“กรุณากรอกข้อมูลให้ครบถ้วน พวกเราจะมีการอบรมอาสาสมัครตามความต้องการของคุณ หลังจากนี้ให้รอเรียกตัวนะคะ ทางเราจะติดต่อคุณกลับไป หรือไม่ก็ คุณสามารถแวะเข้ามาตรวจสอบผลได้ด้วยตัวเอง”


เธอตัดสินใจได้แล้วว่า จะไม่กรอกแบบฟอร์มของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เข้าไปในระบบ แต่จะส่งข้อมูลไปยังหัวหน้ามูลนิธิ ให้อีกฝ่ายช่วยแจ้งไปยังกรมตำรวจแทน


โอ้ท่านเทพธิดา… เหตุไฉนบุคคลอันตรายเช่นนี้ถึงมาลงทะเบียนเป็นอาสาสมัคร?


หญิงสาวแอบวาดจันทร์แดงกลางหน้าอก


ไคลน์พยักหน้าเล็กน้อย รับแบบฟอร์มและนั่งลงกรอกเอกสารให้ครบทุกช่อง


ระหว่างนั้น ชายสวมชุดกาวน์สีขาวของแพทย์เดินเข้ามาในห้อง เอ่ยปากถาม


“โยฮันน่า ยังมีอาสาสมัครคนใหม่เหลืออีกไหม พวกเราจะเริ่มฝึกอบรมภาคเช้าแล้ว”


โยฮันน่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทะเบียนสาว ต้องการส่ายหน้าปฏิเสธตามจิตใต้สำนึก แต่การมีเกอร์มัน·สแปร์โรว์นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ถึงแม้จะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง แต่ก็มากพอจะทำให้หญิงสาวไม่กล้าโกหก


“มีค่ะ” เธอหันไปตอบกับชายสวมกาวน์ขาว ตามด้วยหันมาพูดกับไคลน์ “มิสเตอร์สแปร์โรว์ คุณอยากจะฝึกอบรมพื้นฐานตอนนี้เลย หรือค่อยเริ่มวันพรุ่งนี้คะ?”


ไคลน์ทำหน้านึกสักพัก


“ตอนนี้”


มันต้องการเรียนรู้งานล่วงหน้า วันพรุ่งนี้จะได้ใช้ใบหน้าอื่นมาทำงานอาสาสมัครและแสดงฝีมือได้อย่างคล่องแคล่ว เพราะนั่นอาจให้ถูกส่งตัวไปทำงานจริงในโรงพยาบาลได้เร็วขึ้น


โยฮันน่าสูดลมหายใจยาว


“ถ้าคุณกรอกใบสมัครเสร็จ เชิญเดินตามมิสเตอร์กราญ่าเข้าไปได้เลยค่ะ”


“ตกลง” ไคลน์ตอบห้วน


ครึ่งชั่วโมงถัดมา นักผจญภัยเสียสติ บ้าบิ่น และเยือกเย็น เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ยืนจ้องห้องน้ำสภาพโสโครกตรงหน้า พลางกลั้นหายใจถาม


“ให้ฉันขัด?”


“ถูกต้อง คุณผ่านการฝึกอบรมด้านความอดทนมาแล้วก็จริง แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่พวกเราทำในโรงพยาบาล และยังห่างไกลจากสิ่งน่ารังเกียจที่ต้องเผชิญมาก งานหลักของพวกเราคือการทำความสะอาดเสมหะและคราบอาเจียนของผู้ป่วย เปลี่ยนผ้าปูเตียงสกปรก รักษาความสะอาดห้องน้ำ รักษาความสะอาดห้องคนไข้ ฮะฮะ! โชคยังดีที่งานพันแผลเป็นของมืออาชีพ งานของพวกเราจึงเหลือแค่เรื่องพื้นฐาน” กราญ่าปิดจมูก ชี้ไปทางชักโครกสุดบัดซบที่เต็มไปด้วยคราบเหลืองสลับดำ “จงทำตามสิ่งที่ได้ฝึกอบรมไปในช่วงเช้า เริ่มงานได้”


ไม่เหมือนกับที่คิดไว้เลยสักนิด…


แตกต่างราวฟ้ากับเหว…


ความคิดแรกในหัวไคลน์คือการหันและเดินกลับทันทีโดยไม่เหลียวมอง แต่ท้ายที่สุด มันตัดสินใจหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม อดทนต่ออาการวิงเวียน เดินเข้าไปใกล้และนั่งยองลง


ชายหนุ่มโน้มตัวเหยียดแขนลงไปขัด


***


เที่ยงตรง ไคลน์ถอดกาวน์สีขาวออก สวมหมวก เดินออกจากมูลนิธิเวชบริบาลโอลาวีด้วยใบหน้าไร้อารมณ์


‘ยังต้องกลับมาทำงานแบบนี้จริงหรือ’ นี่คือคำถามที่มันยังตอบกับตัวเองไม่ได้


จนกระทั่งมาถึงผับมะนาวหวานด้วยรถม้าเช่า ไคลน์ตัดสินใจได้ว่า ลองดูสักตั้งก็คงไม่เสียหาย


เราต้องเป็นนักเชิดหุ่นภายในปี 1350 ให้ได้ จากนั้นก็รีบย่อยโอสถ และมองหาลู่ทางก้าวไปสู่ครึ่งเทพ…


ไคลน์วางแผนระยะยาว


มันพยายามสงบสติ เดินเข้าผับมะนาวหวาน ตรงไปนั่งหน้าเคาน์เตอร์และจ่ายเงินแปดเพนนีเป็นค่าสเต๊กหมู น้ำแอปเปิ้ล และเนยหนึ่งก้อน


นอกจากนั้นยังมีเบียร์ไรย์อีก 1.5 เพนนี ทั้งหมดคืออาหารเที่ยงของไคลน์


ใช้เวลาจัดการอาหารสักพัก ชายหนุ่มเช็ดปากด้วยผ้าเช็ดมือ กล่าวกับบาร์เทนเดอร์


“บอสอยู่ไหม? ฉันมีบางเรื่องจะปรึกษา”


ในเมื่อตกปากรับคำแล้วว่าจะเข้าร่วมสหภาพนักผจญภัยที่ไม่เคร่งครัดกฎระเบียบ ไคลน์ไม่ปล่อยให้สิทธิประโยชน์หลุดมือ เตรียมสอบถามบิลต์·แบรนโด้ว่า พอจะรู้จัก ‘ช่างฝีมือ’ หรือไม่ จุดประสงค์เพื่อสร้างสิ่งของเลียนแบบนกหวีดทองแดงของอะซิก จะได้ไม่ต้องคอยประกอบพิธีกรรมอัญเชิญและท่องคาถาทุกครั้งที่ต้องการเรียกมาดามผู้ส่งสาร สิ่งเหล่านั้นสิ้นเปลืองเวลาและทรัพยากรเกินไป


แน่นอน ถ้าบิลต์·แบรนโด้ไม่รู้จักช่างฝีมือ ชายหนุ่มก็ไม่คิดบีบบังคับ เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ตนไม่ต้องจ่ายค่าเข้าร่วมสหภาพอยู่แล้ว


บาร์เทนเดอร์ชี้ไปทางบันได


“ชั้นสอง หากคุณตกลงเข้าร่วมสหภาพของเขาแล้ว กลุ่มบอดี้การ์ดจะไม่ขวางทางเวลาเดินขึ้นไป”


ไคลน์พยักหน้ารับ ลุกยืนอย่างไม่รีบ ย่างกรายไปทางบันไดผับ


ไม่ผิดไปจากที่คาด ไม่มีคนคุมผับหน้าไหนเข้ามาขวางทาง เมื่อขึ้นไปถึงชั้นสอง บอดี้การ์ดคนหนึ่งเอ่ยปากสอบถามจุดประสงค์


ต้องขอบคุณชื่อเสียงของเกอร์มันสแปร์โรว์ มันได้พบกับบิลต์·แบรนโด้อย่างราบรื่น และพบว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่กับชายแปลกหน้า


“นี่คือสหายของผม โซทอธ·เอียน สมาชิกคนสำคัญของสหภาพนักผจญภัย” บิลต์ชี้ไปยังชายสวมผ้าโพกหัวสีแดงเข้ม


ทันใดนั้น ไคลน์ประสานสายตากับอีกฝ่าย และพบว่าทางนั้นกำลังเผยสีหน้าอึมครึม


เมื่อกล่าวทักทายพอเป็นพิธีเสร็จ ชายหนุ่มหาเก้าอี้นั่งและถามเข้าประเด็น


“ฉันต้องการติดต่อกับช่างฝีมือ ไม่ทราบว่าสหภาพของนายพอจะมีข้อมูลบ้างไหม”


“ช่างฝีมือ?” บิลต์สูดซิการ์หนึ่งปอด เงียบงันสองสามวินาที กล่าวหลังจากไตร่ตรองถี่ถ้วน “ผมพอจะรู้จักช่างฝีมือบ้างก็จริง แต่อีกฝ่ายไม่ต้องการพบหน้าใคร เพราะนั่นจะนำมาซึ่งปัญหาและความวุ่นวาย ในส่วนนี้ ผมสามารถเป็นคนกลางให้ได้ คิดว่าความน่าเชื่อถือของผมคงไม่เป็นปัญหา”


สำหรับโบสถ์หลัก หากเป็นผู้วิเศษลำดับกลางหรือต่ำที่ไม่พิษภัยต่อโบสถ์ ทางการสามารถทำเป็นมองไม่เห็นได้ตามสมควร แต่ไม่ใช่กับช่างฝีมือแน่นอน เพราะหากมีช่างฝีมือนอกกฎหมายเป็นจำนวนมาก สมบัติวิเศษก็ยิ่งแพร่หลาย และนั่นจะสร้างความวุ่นวายให้โลกไม่น้อย


ดูเหมือนว่า สหภาพนักผจญภัยของบิลต์จะไม่ใช่องค์กรที่ลงทุนไปโดยเปล่าประโยชน์ อย่างน้อยก็มีเครือข่ายข้อมูลในมือพอสมควร…


ไคลน์ไตร่ตรอง ล้วงหยิบถุงลมของเมอร์ล็อกที่เตรียมไว้ล่วงหน้า


“ฉันต้องการจ้างผลิตแหวน คุณสมบัติหลักคือการเคลื่อนไหวใต้น้ำได้อย่างอิสระ”


มันไม่พูดถึงผู้ส่งสาร เพราะต้องการทดสอบช่างฝีมือที่บิลต์แนะนำมาก่อน อึกหนึ่งเหตุผลคือไม่ต้องการให้คาถาอัญเชิญผู้ส่งสารของตนแพร่กระจายออกไป นั่นอาจทำให้เกิดความวุ่นวายโดยไม่จำเป็น


โดยทั่วไปแล้ว ตะกอนพลังลำดับ 9 ไม่ใช่ของแพงอะไรนัก ต่อให้บิลต์โลภมาก ขโมยสมบัติวิเศษชิ้นดังกล่าวไปหลังจากสร้างเสร็จ ก็ไม่มีอะไรให้ต้องนึกเสียดาย เพราะเรายังมีเครื่องรางเทพสมุทรในมือจำนวนมาก… แถมการไปเอาคืนก็มิใช่เรื่องยากเย็น… ยิ่งเป็นแบบนั้นได้ก็ยิ่งดี หากหมอนี่ร่ำรวยจนถึงขั้นก่อตั้งองค์กร แปลว่าต้องมีเงินและมีวัตถุดิบในมือจำนวนมาก…


ไคลน์จ้องสำรวจบิลต์หัวจรดเท้าหลายหน


ทันใดนั้น บิลต์เกิดอาการสั่นเทาอย่างไร้เหตุผล ขนคอตั้งชันซาบซ่าน


มันรู้สึกคล้ายกับ เกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังเพ่งมองตนประหนึ่งเป็นขุมสมบัติ!


การได้เป็นขุมสมบัติในสายตาใครสักคน นั่นไม่ใช่ความรู้สึกที่น่าอภิรมย์เลยสักนิด


บิลต์ชำเลืองโซทอธเล็กน้อย ฉีกยิ้มและหันกลับมาพูดกับไคลน์


“โฮ่… ถุงลมของเมอร์ล็อก ถ้าเป็นวัตถุวิญญาณระดับนี้ คงนำมาสร้างเป็นสมบัติวิเศษได้โดยไม่มีปัญหา ค่าแรงช่างคือหนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์ คุณค่อยจ่ายหลังจากงานเสร็จ”


ราคาสมเหตุสมผล…


ไคลน์พยักหน้ารับ โยนถุงลมเมอร์ล็อกไปทางอีกฝ่าย


เมื่อเห็นบิลต์ใช้มือรับไว้ ชายหนุ่มกล่าวเสริม


“ช่วยถามช่างฝีมือให้ด้วยว่า สามารถฝังพิธีกรรมอัญเชิญสัตว์วิญญาณลงไปในวัตถุได้หรือไม่ อย่างน้อยต้องใช้งานได้หนึ่งปี”


“แล้วจะถามให้” บิลต์หายใจทั่วท้อง หันไปขยิบตาให้โซทอธ


โซทอธลูบเบ้าตาที่จมลึก ก้าวเท้าออกมา


“มิสเตอร์เกอร์มัน คุณมีกำหนดจะออกทะเลในช่วงนี้บ้างไหม?”


“ทางเรามีเรือดี ๆ หลายลำ ผมกำลังรวบรวมคนออกไปล่าโจรสลัดในย่านน่านน้ำตะวันออก”


น่าสนใจ… แต่เป้าหมายของเราคือการเร่งมือย่อยโอสถให้เร็วที่สุด…


ไคลน์ส่ายหน้าไร้อารมณ์


โซทอธพลันยิ้มแข็ง


มันไม่กล่าวสิ่งใดต่อ การตอบปฏิเสธของนักผจญภัยระดับพลเรือโจรสลัดถือเป็นคำขาด


จากข้อมูลและรูปถ่ายตามหน้าหนังสือพิมพ์ มันและบิลต์สามารถยืนยันได้ว่า บุคคลตรงหน้าคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตัวจริงเสียงจริง


ไคลน์ยืนขึ้นอย่างไม่รีบร้อน นำหมวกมาวางทาบหน้าอก โค้งศีรษะให้อีกฝ่ายเล็กน้อย


“ขอบคุณที่ช่วยเหลือ”


ใบหน้าบิลต์กระตุกสองสามหน ท่าทีคล้ายกับกำลังฝืนข่มบางสิ่งเอาไว้—คำบางคำที่มิอาจรวบรวมความกล้าพ่นออกมา


จนกระทั่ง มันถอนหายใจ กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“หวังว่าพวกเราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน”


ไคลน์ตระหนักถึงความผิดปรกติเกี่ยวกับบิลต์และโซทอธ แต่ก็เลือกจะไม่ถามออกไป


ถามไม่ได้เด็ดขาด… ถ้าพูดออกไป ความฉิบหายมาเยือนแน่… ตอนนี้ต้องมีสมาธิกับการย่อยโอสถให้เสร็จ…


ไคลน์หันหลังกลับ เดินตรงไปทางประตูและหมุนบิดกลอน


“มิสเตอร์เกอร์มัน” บิลต์เรียกให้หยุด


ในสภาพหันหลังให้ มุมปากไคลน์สั่นกระตุกแผ่วเบา พลางหันกลับไปมองอย่างใจเย็น


“ม…ไม่มีอะไรมาก… ฮะฮะ! แค่จะบอกว่า ด้วยอภิสิทธิ์ของสมาชิกสหภาพนักผจญภัย คุณสามารถดื่มกินข้างล่างได้ในราคาถูกกว่าปรกติ” บิลต์เผยรอยยิ้มที่เห็นชัดเจนว่าเสแสร้ง


คิดว่าฉันคนนี้จะเกิดความสงสัยจนอยากถามออกไปสินะ… ประเมินกันต่ำไปแล้ว…


ไคลน์พยักหน้า เปิดประตูเดินออกไปโดยไม่กล่าวคำใด


เมื่อเห็นแผ่นหลังของอีกฝ่ายเลือนหาย บิลต์นั่งนิ่งสักพัก ตามด้วยการถอนหายใจห่อเหี่ยว


……………………


ราชันเร้นลับ 620 : ภารกิจปลอมตัว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ภายในห้องบอส บิลต์ถอนหายใจยาว


โซทอธใช้มือลูบใต้เบ้าตา กล่าวเสียงทุ้ม


“บอส… ท่านผู้นั้นจะมาถึงในวันมะรืน”


บิลต์หันไปมองด้วยสีหน้าอึมครึม


“ฉันรู้”


“พวกเรามีแค่สองทางเลือก หนึ่ง จ้างเกอร์มัน·สแปร์โรว์โดยไม่สนใจว่าเขาน่าเชื่อถือหรือไม่ และสวดภาวนาให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด สอง ยอมทิ้งธุรกิจทั้งหมดในเมืองโอลาวี ออกทะเลไปพร้อมเงินสดและเครื่องเพชร เปลี่ยนตัวเองเป็นโจรสลัด ผมเชื่อว่า ลูกเรือและนักผจญภัยที่ล่าโจรสลัดจำนวนมาก จะต้องติดตามบอสไปแน่” โซทอธเว้นวรรค “บอส สมัยยังเป็นนักผจญภัย คุณเปี่ยมไปด้วยภาวะผู้นำ พลังงาน และความเด็ดเดี่ยว แผนไล่ล่าโจรสลัดของคุณไม่เคยผิดพลาด ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมเชื่อว่าคุณคงมีคำตอบในใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องปรึกษาคนอย่างผม”


“ฮะฮะ… อย่ายอกันนักเลย” บิลต์ยิ้มแห้ง “ฉันไม่ใช่นักล่าโจรสลัดที่ปราศจากความเกรงกลัวอีกแล้ว ชีวิตแสนสะดวกสบายอันยาวนานจะกัดกร่อนจิตใจและฝีมือผู้คนเสมอ จิตใจของฉันอ่อนแอถึงขั้นไม่กล้าเลื่อนลำดับ คล้ายกับว่า ฉากที่พวกพ้องแปรเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดยังคงตามหลอกหลอนจนถึงทุกวันนี้”


ฟู่ว…


มันถอนหายใจยาว ใบหน้าเริ่มเคร่งขรึม


“แต่นายพูดถูก ตอนนี้ไม่ใช่เวลามัวลังเล ต้องรีบตัดสินใจกระทำบางสิ่งโดยเร็ว”


เมื่อกล่าวจบ บิลต์มองข้าง ใช้ปลายคางชี้ไปยังหน้าต่าง


โซทอธผงะเล็กน้อย มันเข้าใจความนัย



ไคลน์ออกจากผับมะนาวหวาน เดินตรงไปตามถนน เตรียมเช่ารถม้าที่มุมสี่แยก


ทันใดนั้น เสียงกระจกแตกดังจากชั้นสองของตัวอาคาร เงาลางใครบางคนร่วงหล่นลงมาตรงหน้าชายหนุ่ม


คงเป็นเพราะความพิสดารที่สมุดบันทึกอันทีโกนัสเคยมอบให้ และคงเป็นเพราะความพิสดารที่เกิดขึ้นบนเกาะแบนชี ที่ภัตตาคารมะนาว ที่สำนักงานโทรเลข ความคิดแวบแรกในหัวไคลน์หลังจากได้ยินเสียงหน้าต่างแตกจึงเป็น :


บิลต์·แบรนโด้ตายแล้ว! ตายในลักษณะนอนแผ่ไปบนพื้นด้วยดวงตาเบิกโพลง!


ราวกับตนเปิดประตูห้องเข้าไปเห็นมารดาของรีเอล·บีเบอร์เสียชีวิตบนเก้าอี้นอน ศพเน่าเปื่อย ดวงตาหนึ่งข้างหลุดร่วงกลิ้งไปบนพื้นเมื่อถูกเขย่าตัว


หลังจากควบคุมความคิดฟุ้งซ่านที่แล่นผ่าน ไคลน์เริ่มเห็นชัดเจนว่าใครตกลงมาจากหน้าต่าง


เป็นโซทอธ·เอียน มิใช่บิลต์·แบรนโด้


นอกจากนั้น อีกฝ่ายอยู่ในสภาพปรกติ ลมหายใจยังครบถ้วน


ให้ตายสิ… ความฉิบหายไล่ตามมาถึงที่…


ภายในใจไคลน์เริ่มปั่นป่วน ลองคาดเดาสถานการณ์ตามความเคยชิน


หากทำตัวตามนิสัยแก่นแท้ มันคงแสร้งมองไม่เห็นโซทอธ·เอียนที่กระโดดลงมาเรียกร้องความสนใจ เลือกหันหลังวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด จนกว่าจะสลัดหลุดโดยสมบูรณ์


พลเรือเอกดวงดาวก็คงถูกความรู้ไล่ล่าในทำนองนี้กระมัง…


น่าเสียดาย ปัจจุบันเราคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ นักผจญภัยเสียสติ ไม่สามารถวิ่งหนีไปจากเรื่องเล็กน้อยได้… เฮ่อ… ช่างสวมบทบาทได้เก่งกาจอะไรเช่นนี้… เป็นมืออาชีพก็ลำบากเหมือนกัน…


ไคลน์หยุดเดิน หันไปมองโซทอธในเสื้อลินิน แจ็คเก็ตสีน้ำตาล โดยอีกฝ่ายกำลังใช้มือกดหมวกทาบลงบนหน้าอก กล่าวอย่างนอบน้อม


“มิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์ พวกเรามีงานที่สำคัญมากต้องการรบกวนคุณ”


นั่นปะไร…


ไคลน์ตอบเสียงเย็น


“ช่วงนี้ฉันไม่ว่าง”


“ขอรบกวนเวลาของคุณไม่มาก ช่วยรับฟังรายละเอียดก่อน จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธก็ยังไม่สาย” โซทอธหนวดเคราคมเข้มกล่าวด้วยเสียงวิงวอน


เกรงว่าหลังจากฟังจบ ถึงตอนนั้นคงไม่มีโอกาสให้ปฏิเสธแล้ว… เดี๋ยวก่อน… แบบนั้นก็ยิ่งดีเลยไม่ใช่หรือ ถ้าบิลต์·แบรนโด้กับโซทอธ·เอียนพยายามข่มขู่เรา ก็แค่เปลี่ยนพวกมันให้เป็นขุมสมบัติและตะกอนพลังเท่านั้นเอง…


ไคลน์ไตร่ตรองอย่างจริงจัง และพบว่าตนค่อนข้างมีอิสระมากในทะเล ด้วยพลังระดับพลเรือโจรสลัด ไม่สิ่งใดที่ทำไม่ได้


ชายหนุ่มหยิบนาฬิกาพกสีทองออกจากกระเป๋าเสื้อ กดปุ่มกลไกเปิดฝาตรวจสอบ


“ให้เวลาห้านาที”


“แค่นั้นก็เกินพอครับ” โซทอธชี้ไปยังทางเข้าผับมะนาวหวานด้านหลังไคลน์


กลับมายังห้องเดิม ไคลน์มองนาฬิกาแขวนบนผนังและพูดเสียงขรึม


“เหลืออีกสามนาทีสิบสองวินาที”


ท่าทีดังกล่าวทำให้บิลต์เริ่มสงบลง มันเชื่อว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์คือบุคคลที่สามารถบรรลุภารกิจสำคัญของตนได้


“มิสเตอร์เกอร์มัน ผมได้ยินว่าคุณมีพลังที่สามารถแปลงโฉมเป็นใครก็ได้ เหมือนกับพลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์” บิลต์รีบจบคำถามโดยเร็ว


ชิ… ใครมันเป็นคนปล่อยข่าว?


ไคลน์ขมวดคิ้วชัดเจน หันไปจ้องตาบิลต์


หากข่าวลือเรื่องที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์แปลงโฉมเป็นใครก็ได้แพร่สะพัดออกไป ไคลน์พบว่าตนจะตกอยู่ในสถานการณ์ค่อนข้างยากลำบาก เพราะนั่นจะทำให้ผู้คนนึกถึง ‘ยุบพองหิวโหย’ ของคีลิงเกอร์ หรือไม่ก็อาจเดาได้ว่า ตนคือผู้ไร้หน้าบนเส้นทางนักทำนาย โดยไม่ว่าจะทางใดก็ล้วนเป็นปัญหาทั้งสิ้น ในกรณีแรก มันอาจถูก ‘สภานักสิทธิ์สนธยา’ ที่ว่าจ้างคีลิงเกอร์ส่งคนมาตามล่า และถ้าเป็นกรณีหลัง มันก็อาจถูกโบสถ์รัตติกาลตามล่าเช่นกัน


จริงอยู่ พลังของโบสถ์รัตติกาลไม่ทรงพลังมากนักในทะเล และไคลน์มิได้กังวลว่าตัวเองจะเป็นอันตรายสักเท่าไร เพียงแต่ มันไม่อยากเป็นศัตรูกับเหยี่ยวราตรี


หากเกิดเรื่องเช่นนั้น มันคงไม่มีทางเลือกนอกจากละทิ้งตัวตนเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เพราะนักผจญภัยบ้าบิ่นที่มีมุมอ่อนโยนได้ถูกผู้คนรู้จักเป็นวงกว้างพอสมควรแล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จในการ ‘สวมบทบาท’


เมื่อบิลต์ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงในดวงตาเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เนื้อตัวมันเริ่มสั่นเทา รีบกล่าวพลางหัวเราะกลบเกลื่อนความประหม่า


“ฮะฮะ… เป็นข่าวลือจากกาฬมรณะน่ะ”


เทรซี่… หล่อนพยายามเอาคืนเรา… ย่อมได้ แล้วมาดูกันว่าฝ่ายไหนจะโดนเชือดก่อน…


ไคลน์พยักหน้า


“จะเข้าใจแบบนั้นก็ไม่ผิด”


มันไม่เสียเวลาอธิบายว่าพลังแปลงโฉมของตนมาจากแหล่งใด เพราะนั่นไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมเกอร์มัน·สแปร์โรว์


บิลต์ถอนหายใจผ่อนคลาย ครุ่นคิดสองวินาที


“พวกเรากำลังหาใครสักคนมาปลอมตัวเป็นคนใหญ่คนโต”


ท่ามกลางสายตาจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์ มันรีบเล่ารายละเอียด


“คนใหญ่คนโตต้องการปลีกตัวไปทำภารกิจลับโดยไม่ให้ใครทราบ ดังนั้น ท่านต้องการตัวปลอมเพื่อคอยทำกิจวัตรประจำวันแทน ต้องพบปะกับผู้คนมากมาย จัดการกับภรรยารองอย่างเหมาะสม พยายามไม่ให้ถูกเปิดโปง โดยท่านจะกลับมาในอีกสามถึงห้าวันหลังจากนั้น เดิมที พวกเราพบใครบางคนที่มีรูปลักษณ์เหมือนกับท่านมาก จึงทุ่มเทเวลาและทรัพยากรในการฝึกฝนให้อีกฝ่ายมีบุคลิกและสำเนียงการพูดเหมือนกับท่านทุกประการ แต่หลังจากแจ้งข่าวดีให้คนใหญ่คนโตทราบได้ไม่นาน ไอ้ขอทานสมองทึบนั่นกลับกินอาหารมากเกินไป จนป่วยตายไปเมื่อคืนวานอย่างกะทันหัน คนใหญ่คนโตกำลังจะเริ่มภารกิจในอีกไม่กี่วันข้างหน้า พวกเราไม่มีเวลามากพอจะหาตัวแทนได้ทัน พึ่งพาใครไม่ได้แล้วนอกจากคุณ”


นี่มัน… โอกาสในการแปลงโฉมเป็นใครสักคนอย่างแนบเนียนที่เราตามหามาตลอด!


หัวใจไคลน์เริ่มเต้นแรง


แต่มันยังไม่ประมาท ตระหนักถึงปัญหา


หากคนระดับบิลต์ เจ้าของสหภาพนักผจญภัยและผับมะนาวหวาน เรียกขานอีกฝ่ายว่าเป็นคนใหญ่คนโต ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทางนั้นคือคนใหญ่คนโตตัวจริงเสียงจริง! และนี่ต้องเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูงมาก!


ไคลน์ครุ่นคิด ถามเสียงแผ่ว


“ตามความคิดของนาย งานนี้อันตรายไหม”


“ไม่เลย ตราบใดที่ไม่ถูกเปิดโปง งานนี้ค่อนไปทางสบาย ที่ต้องทำมีเพียงปลอมตัวเป็นท่านผู้นั้นอย่างเปิดเผย ฮะฮะ! คงไม่มีใครกล้าลอบสังหารท่านแน่ แล้วก็… ผมทราบว่าคุณกำลังกังวลเรื่องใด เกรงว่าอีกฝ่ายจะปิดปากทุกคนหลังจากเสร็จงานใช่ไหม? เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง พวกโจรสลัดมักปล่อยข่าวลือแง่ลบเกี่ยวกับท่านเสมอ ดังนั้น ถึงคุณจะเปิดโปงความลับหลังจากเสร็จภารกิจ ก็คงไม่มีใครเชื่อคำพูดหรือนำมาใส่ใจนัก จะถูกมองเป็นมุกตลกเสียมากกว่า” บิลต์เล่าด้วยรอยยิ้ม


ไคลน์ไม่ซักไซ้ เปลี่ยนไปถามประเด็นอื่น


“จ้างเท่าไร”


“หนึ่งพันปอนด์เป็นเงินสด พร้อมด้วยโอกาสในการติดต่อกับช่างฝีมือสามครั้ง โดยทุกครั้งผมจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ยกเว้นค่าวัสดุหลัก” บิลต์โน้มน้าวโดยอ้างอิงจากงานแรกที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ฝากฝัง พยายามเสนอเงื่อนไขที่อีกฝ่ายยากปฏิเสธ


ฟังดูเข้าท่า… แต่สำหรับเรา สิ่งที่สำคัญในภารกิจนี้คือโอกาสที่จะได้สวมบทบาท…


ไคลน์มองนาฬิกาแขวน กล่าวสรุป


“ขอคิดดูก่อน จะมอบคำตอบให้ในช่วงเย็น”


ไม่ว่าจะเป็นงานที่ฟังดูน่าสนใจมากแค่ไหน แต่มันจะไม่ละเลยการทำนายยืนยันระดับอันตรายจากมิติหมอกเด็ดขาด!


เมื่อพิจารณาว่าบิลต์และโซทอธคือผู้วิเศษลำดับไม่ต่ำกว่า 7 และอาจเป็นถึง 6 ชายหนุ่มตัดสินใจไม่เสี่ยงเข้ามิติหมอกภายในห้องน้ำ ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายอาจพบความผิดปรกติโดยอาศัยลักษณะพิเศษของเส้นทางตัวเอง


เนื่องจากยังมิได้เล่าออกไปว่าคนใหญ่คนโตดังกล่าวเป็นใคร บิลต์ไม่กังวลนัก เพียงพยักหน้า


“ตกลง หวังว่าพวกเราจะได้ร่วมงานกัน”



ณ ถนนวิลเลียมส์


ชายชาวฟุซัคสูงเกือบสองเนตรคนหนึ่ง กำลังพยายามค้นหาเบาะแสบางอย่าง


ทันใดนั้น มันถูกกระตุ้นโดยบางสิ่งจนต้องเงยหน้าขึ้นและมองไปรอบ


แสงที่คล้ายกับท้องฟ้ายามเช้าพลันแผ่ออกจากร่างกาย อาคารบ้านเรือนในละแวกใกล้เคียงเริ่มไม่คมชัดจนดูคล้ายภาพมายา


ขณะเดียวกัน บนถนนเกิดเพลิงไหม้ รอบตัวยังเกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอีกหลายสิ่ง


นึกแล้วเชียว พวกเซารอนก็ส่งคนมาด้วย…


ชายชาวฟุซัคพลันกระจ่างในข้อสงสัยที่มีมานาน สายตากวาดมองไปตามถนน


มันพบกับเหยี่ยวราตรีจำนวนมาก ไม่ต่ำกว่าสามหน่วย บ้างสวมถุงมือดำ บ้างสวมถุงมือแดง


มันเห็นปลายกระบอกปืนสีดำเข้ม ผิวสลักลวดลายซับซ้อน ยื่นยาวลงจากหลังคาสูง เล็งมายังตน โดยที่ผู้คนผ่านไปมาไม่พบความผิดปรกติดังกล่าวแม้แต่น้อย


มันยังเห็นฮารามิก·ไฮเดิน อาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์จักรกลไอน้ำประจำกรุงเบ็คลันด์ เห็นอาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์รัตติกาล แอนโทนี่·สตีเวนสัน


ขณะเดียวกัน ตรงมุมสายตาเหลือบเห็นคนของตระกูลเซารอนกำลังยกมือขึ้นเหนือศีรษะด้วยท่ายอมจำนน


สายลับระดับสูงของฟุซัครีบทำในสิ่งเดียวกัน


มันยอมแพ้โดยไม่ต้องคิดนาน!


การยอมจำนนอาจไม่ช่วยให้รอดชีวิต แต่ถ้าไม่ยอมจำนน ชีวิตของมันจบลงเพียงเท่านี้แน่นอน



หกโมงครึ่งในตอนเย็น


ไคลน์กลับมายังผับมะนาวหวานอีกครั้ง เดินขึ้นไปหาบิลต์และโซทอธ


มันกล่าวเสียงขรึม


“จ่ายล่วงหน้าห้าร้อยปอนด์ บอกมาว่าฉันต้องแปลงโฉมเป็นใคร”


บิลต์ฉีกยิ้มกว้าง สีหน้าปลื้มปีติ มันรีบส่งสัญญาณมือให้โซทอธ พลางมอบคำตอบด้วยสีหน้าขึงขัง


“ผู้บัญชาการกองทัพเรือโลเอ็นที่ทรงอำนาจมากที่สุดในน่านน้ำกึ่งกลางทะเลโซเนีย”


“ท่านเจ้าคุณพลเรือเอกอมิรุส·รีเวลต์! ครึ่งเทพตัวจริง!”


……………………


ราชันเร้นลับ 621 : งานเลี้ยงในคฤหาสน์นายกเทศมนตรี

โดย

Ink Stone_Fantasy

พลเรือเอกอมิรุส·รีเวลต์… ครึ่งเทพตัวจริง…


ได้ยินบิลต์อธิบาย ไคลน์ผุดคำหนึ่งในหัวทันที


ลาก่อน!


เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ขมวดคิ้ว บิลต์รีบเสริมอย่างตื่นตระหนก


“แต่นั่นมิได้ทำให้เนื้องานยากขึ้น คุณไม่ต้องสำแดงพลังครึ่งเทพใด ๆ ทั้งสิ้น”


มันกระแอมล้างคอ ฉีกยิ้มกว้าง


“เพื่อให้ภารกิจง่ายลง ท่านนายพลจงใจเลือกเวลาให้ตรงกับการเยือนฐานทัพเรือโอลาวี ช่วยให้ตัวปลอมไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในศูนย์บัญชาการใหญ่ของฐานทัพเรือในบายัม ไม่ต้องพบหน้าแยนน์·ค็อตแมน เจ้าสมุทร ไม่ต้องพบหน้าจอร์จ·นีแกน นายกเทศมนตรีแห่งหมู่เกาะรอสต์ ไม่ต้องพบหน้าลูกน้องคนสนิทเกือบทั้งหมด ไม่ต้องพบหน้าญาติและครอบครัวที่ปักหลักทำธุรกิจและมีที่ดินอยู่ในบายัม ไม่ต้องพบหน้าภรรยารองที่ใกล้ชิดกว่าใคร หรือสรุปโดยสั้น คุณไม่ต้องเผชิญหน้าครึ่งเทพคนใดเลย ไม่ต้องเผชิญกับการทดสอบจากหลากหลายบุคคลที่เคยใกล้ชิดท่าน ในภารกิจนี้จะมีเพียงสามบุคคลที่ค่อนข้างสนิทสนมกับท่านนายพล คนแรก เลขานุการส่วนตัว พันโทลัวอาน เป็นคนที่ MI9 ส่งมาคอยตรวจสอบท่านนายพล มักเปลี่ยนชื่อไปเรื่อย ๆ ตามแบบฉบับสายลับระดับสูง ผมไม่ทราบชื่อจริงของเขา คนที่สอง ภรรยารองของท่านนายพลบนเกาะโอลาวี สาวงามนามว่าซินเธีย บรรพบุรุษของเธอเคยเป็นขุนนางใหญ่ แต่ปัจจุบันถูกริบบรรดาศักดิ์และเนรเทศมายังเกาะแห่งนี้ คนที่สาม ออสเท่น·รีเวลต์ นายกเทศมนตรีของเกาะโอลาวี และเป็นน้องชายคนเล็กของท่านนายพล โดยเอิร์ลรีเวลต์แห่งสภาขุนนางคือพี่ใหญ่ของท่านทั้งสอง”


ฟังดูไม่ยากเท่าไร อีกทั้ง ผลการทำนายบนมิติหมอกก็ยืนยันแล้วว่าไม่มีอันตราย…


ไคลน์เงียบงันสักพัก ตามด้วยพยักหน้า


“ฉันต้องการข้อมูลของนายพลอมิรุส”


“พวกเราเตรียมไว้แล้ว นี่คือภาพถ่าย นี่คือรอยตำหนิในร่มผ้า นี่คือสำเนียงการพูด นี่คือคำพูดติดปาก นี่คือท่าทีตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่แตกต่างกัน นี่คือรายละเอียดความสัมพันธ์กับพันโทลัวอาน ซินเธีย ออสเท่น และคนอื่น”


ด้วยสีหน้าเบิกบาน บิลต์พรั่งพรูข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับนายพลอมิรุส


ชายหนุ่มรับภาพไปดู พบว่าอีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนเจ้าของเส้นผมสีดำ ดวงตาสีฟ้าแฝงความขึงขังและเข้มงวด เส้นผมดกดำมากกว่าชายชาวโลเอ็นตามปรกติ


ไคลน์ผงกศีรษะ เงยหน้าขึ้น


บิลต์กล่าวต่อ


“ผมทราบว่าข้อมูลเหล่านี้มีปริมาณมาก แต่ในฐานะมืออาชีพด้านการแปลงโฉม คุณคงจดจำมันได้ในสองวันได้โดยไม่มีปัญหา…”


ยังไม่ทันสิ้นเสียง บิลต์พลันผงะถอยหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากบุคคลที่ยืนตรงหน้ามิใช่เกอร์มัน·สแปร์โรว์อีกต่อไป แต่เป็นอมิรุส·รีเวลต์!


ทั้งบรรยากาศรอบตัวและสายตาอันน่าเกรงขามของอีกฝ่าย ทุกสิ่งดูสมจริงจนน่าเหลือเชื่อ!


“โอ้พระองค์วายุสลาตัน! น…นี่มัน… นี่มันระดับปาฏิหาริย์!” บิลต์สำรวจหัวจรดเท้าอย่างไม่เชื่อสายตา จนกระทั่งเริ่มใจเย็นลง มันเล่าต่อ “แต่ยังขาดบางจุดไปนิด ควรสูงกว่านี้สักสามเซนติเมตร ต้นขาต้องมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่านี้อีกเล็กน้อย… ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาแน่! ในวันมะรืน ท่านนายพลจะเดินทางมาถึงเกาะพร้อมกับกองเรือหลวงโซเนียที่หนึ่ง เยี่ยมชมฐานทัพเรือในช่วงบ่าย และรับประทานอาหารค่ำในงานเลี้ยงต้อนรับ ณ คฤหาสน์นายกเทศมนตรี ผมได้รับคำเชิญเป็นกรณีพิเศษ และสามารถพาคุณเข้าไปพร้อมกันได้ จุดประสงค์เพื่อให้คุณสังเกตการณ์ปฏิบัติตัวต่อคนรอบข้างของท่านนายพล”


เล่าถึงจุดนี้ บิลต์รับเงินสดจำนวนห้าร้อยปอนด์ที่โซทอธหยิบจากตู้นิรภัย ตามด้วยการหันมาพูดกับไคลน์


“ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับคุณ!”


ไคลน์รับเงิน กวาดตาตรวจสอบเล็กน้อย


“ด้วยความยินดี”



กรุงเบ็คลันด์ ถนนวิลเลียมส์


ในฐานะถุงมือแดงหน้าใหม่ เลียวนาร์ด·มิเชลทำได้เพียงยืนพิงกำแพงด้านนอกบ้านหลังหนึ่ง รอฟังผลสรุปจากการสืบสวนจุดเกิดเหตุเบื้องต้น


ฝ่าเท้าขวายกขึ้นทาบกำแพง ปลายเท้าจิกพื้นด้วยท่าทีผ่อนคลาย


ผ่านไปสักพัก มันเห็นพวกพ้องคนหนึ่งเดินกลับมา สีหน้าค่อนไปทางซับซ้อน แฝงด้วยความตื่นเต้น สับสน ประหม่า และคาดหวังในเวลาเดียวกัน


“ธอมสัน ผลเป็นยังไงบ้าง?” เลียวนาร์ดเผยรอยยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปหา


“ค่อนข้างดี” ธอมสันพยักหน้า เริ่มเล่ารายละเอียดการสืบสวน “ทั้งสองฝั่งพูดความจริง พวกมันไม่มีทางโกหกในความฝันได้อยู่แล้ว”


ธอมสันที่เหลือผมบนศีรษะไม่มากนัก สวมหมวกกลับและเล่าต่อ


“พวกมันให้การสอดคล้องกัน ใต้ถนนวิลเลียมส์มีซากอารยธรรมของราชวงศ์ทูดอร์จากยุคสมัยที่สี่ซ่อนอยู่ ทางเข้าจะอยู่ในห้องสวดมนต์ร้างกลางถนน ส่วนเรื่องที่ว่า ยังมีทางเข้าอื่นอีกหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่มีใครทราบ”


“น่าสนใจมาก” เลียวนาร์ดไม่ถามเพิ่มเติม เพียงกลับไปยืนพิงกำแพงตามเดิม


มันเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อไม่พบใครจึงพึมพำเสียงแผ่ว


“ตาแก่ คุณถนัดเรื่องแบบนี้ไม่ใช่หรือ ซากอารยธรรมของทูดอร์ซ่อนอยู่ข้างล่าง”


เสียงค่อนข้างชราดังในหัวเลียวนาร์ด


“นับวันเจ้ายิ่งไม่มีสัมมาคารวะ… หากเป็นในยุคสมัยของข้า บุคคลที่ล่วงเกินผู้อาวุโสจะถูกเปลี่ยนให้เป็นเหยื่อสังเวยในพิธีกรรม และนั่นต้องไม่ใช่ซากอาคารของทูดอร์แห่งเดียวในกรุงเบ็คลันด์แน่”


“พวกมันโกหก?” เลียวนาร์ดถามเสียงค่อย


ชายชรากล่าวพลางหัวเราะ


“ไม่ใช่ แค่พวกมันไม่รู้ว่ามีอยู่ หากการคาดเดาของข้าถูกต้อง ซากโบราณสถานดังกล่าวน่าจะเป็นของจักรวรรดิร่วมระหว่างทรันซอสต์-ทูดอร์”


“อะไรนะ…” เลียวนาร์ดพลันอึ้ง มันไม่เคยได้ยินเบาะแสของจักรวรรดิดังกล่าวมาก่อน


เสียงชราหัวเราะ


“เด็กน้อย หลังจากจักรวรรดิโซโลมอนล่มสลายเป็นแห่งแรก จักรวรรดิทรันซอสต์-ทูดอร์ได้ก้าวขึ้นมาปกครองทวีปเหนือทั้งหมดแทนด้วยระบอบกงสุลแฝด กงสุลแฝด…” เลียวนาร์ดงับคำ


เสียงชราครึ่งหัวเราะครึ่งถอนหายใจ


“ซากโบราณสถานใต้ดินข้างล่างคงมีเชิงเทียนฝั่งซ้ายสี่สิบเอ็ดต้นและฝั่งขวาสี่สิบต้น รวมถึงบัลลังก์ของประมุขจำนวนสองที่นั่งเสมอกัน โดยขนาดของบัลลังก์จะใหญ่โตประหนึ่งสร้างให้คนยักษ์ใช้งาน แล้วก็… หึหึ… บางที มันอาจเป็นจุดที่อลิสต้า·ทูดอร์ใช้ก้าวขึ้นไปเป็นจักรพรรดิโลหิต”


เลียวนาร์ดขมวดคิ้วและคลายออก


ตามด้วยยิ้มมุมปาก


“ข้างในต้องมีความลับซ่อนไว้มากมายแน่”


“ถูกต้อง แต่เจ้าไม่มีสิทธิ์ได้รับรู้” ชายชรากล่าวด้วยท่วงทำนองเหยียดหยัน


เลียวนาร์ดโต้แย้ง


“ใครว่า… อีกเดี๋ยวท่านเจ้าคุณก็ส่งหน่วยสำรวจลงไปแล้ว”


เสียงในหัวเลียวนาร์ดเพียงหัวเราะสองหน ไม่กล่าวสิ่งใดมากกว่านั้น


ไม่ถึงหนึ่งนาทีถัดมา เลียวนาร์ดเห็นอาร์ชบิชอปประจำโบสถ์ นักบุญแอนโทนี่ จบการสนทนากับอาร์ชบิชอปฮารามิคแห่งโบสถ์จักรกลไอน้ำและเดินกลับมา


จากนั้น ฮารามิคสั่งให้จิตแห่งจักรกลทั้งหมดถอนตัวกลับ เหลือไว้เพียงเหยี่ยวราตรีแห่งโบสถ์เทพธิดารัตติกาล


เกิดอะไรขึ้น…?


ฉากดังกล่าวทำให้เลียวนาร์ดผุดคำถามมากมายในใจ


ทันใดนั้น เสียงของอาร์ชบิชอปแห่งรัตติกาล นักบุญแอนโทนี่ พลันกังวานในหัวเหยี่ยวราตรี


“ถุงมือแดงทุกนายรวมตัว เหยี่ยวราตรีที่เหลือออกจากโลกแห่งกระจก หาเหตุผลอพยพชาวเมืองในละแวกใกล้เคียงอย่างเหมาะสม โดยสัญญากับพวกเขาว่า จะชดเชยค่าเสียหายให้บ้านเรือนทุกหลังที่เสียหาย หลังจากอพยพชาวเมืองเสร็จสิ้น ถุงมือแดงมากับผม ร่วมพลังกันทำลายโบราณสถานใต้ดินจากยุคสมัยแห่งความชั่วร้ายให้สิ้นซาก! ห้ามใครเข้าไป! ต้องทำลายทิ้งเท่านั้น! ขอพระองค์ช่วยคุ้มครองเราทุกคน”


นี่มัน…


เลียวนาร์ดไม่คาดคิดว่าจะลงเอยเช่นนี้



หนึ่งทุ่มครึ่ง


ณ คฤหาสน์นายกเทศมนตรีโอลาวี


ไคลน์แปลงโฉมเป็นโซทอธ สวมทักซิโด้ดำ เนกไทหูกระต่ายสีเดียวกัน เดินตามบิลต์เข้าไปในโถงจัดงาน


บรรยากาศอบอุ่นคล้ายฤดูใบไม้ผลิ โคมไฟระย้าคริสตัลขนาดใหญ่ห้อยลงจากโดมสูงกึ่งกลางโถง บนนั้นมีเทียนไขหลายเล่มกำลังสว่างไสว เปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้กลายเป็นช่วงกลางวัน


ณ มุมห้องฝั่งขวา วงดนตรีสวมเสื้อกั้กและเนกไทหูกระต่าย กำลังบรรเลงดนตรีผ่อนคลายเป็นฉากหลัง มุมฝั่งซ้ายเป็นโต๊ะยาวปูด้วยผ้าสะอาดสีขาว เต็มไปด้วยอาหารหรูหราหลายชนิด เช่น ไก่ย่างเต็มตัว ตับห่านย่างกระทะ ห่านย่างสูตรเบ็คลันด์ สตูขาแกะ ล็อบสเตอร์อบครีมชีสสูตรเด็ดของโอลาวี และอาหารรสเลิศอีกเป็นจำนวนมาก


แม้จะยืนอยู่ไกล แต่ไคลน์สามารถรับกลิ่นของทั้งหมดได้อย่างแจ่มชัด ในใจเตรียมหยิบถาดและเดินไปตักมาให้เต็ม


ทันใดนั้น บิลต์ขยับคอเสื้อเล็กน้อย เอนศีรษะและหันมากล่าวกับไคลน์


“พวกเราไม่ใช่แขกตามปรกติ ควรรักษาความสำรวมให้มาก จุดประสงค์หลักของการมาที่นี่คือสำรวจบุคลิกของท่านนายพล ดังนั้น เริ่มด้วยไวน์สักแก้วก็เพียงพอ ไวน์เออเมียร์ ไวน์แดงนันวีลล์ แชมเปญหมอก และสุดยอดเครื่องดื่มที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักอีกหลายชนิด คุณสามารถดื่มได้อย่างอิสระ แต่อย่าได้ดื่มจนเมามาย พวกเราต้องคงสติเอาไว้ เอ่อ… ถ้าจะให้ดี แสร้งทำเป็นดื่มก็พอ”


ไคลน์พลันชะงัก ตามด้วยพยักหน้ารับ


มันและบิลต์ต่างหยิบแก้วบรรจุของเหลวสีทองออกจากถาดที่บริกรกั๊กแดงที่ถือเดินผ่าน เป็นแก้วแชมเปญคุณภาพสูงที่ฟองสีขาวละเอียดลออราวกับสายหมอก จากนั้นก็เดินไปยังจุดรวมตัวของานเลี้ยง พยายามเข้าใกล้กับอมิรุส·รีเวลต์ในเครื่องแบบสีกรมท่าของทหารเรือ


ด้วยฐานะของคนทั้งสอง พวกมันย่อมไม่มีสิทธิ์ใกล้ชิดบุคคลระดับนายพล ทำได้เพียงเฝ้ามองจากระยะไกล สำรวจพฤติกรรมทุกฝีก้าว


อมิรุสมีขนาดร่างกายตามมาตรฐาน ไม่บึกบึนจนเกินพอดี มุมปากตกเล็กน้อยตามอายุ…


ไม่มีเครา ดวงตาสีฟ้าเต็มไปด้วยความสง่างามและอำนาจบารมีที่มิอาจขัดขืน…


เครื่องแบบสีกรมท่ากระชับเข้ารูป บนบ่ามีริบบิ้นสีแดง ลากยาวลงไปถึงหน้าอก บริเวณดังกล่าวเต็มไปด้วยเหรียญกล้าหาญ…


กระดุมข้อมือสีทองสว่าง ส่งเสริมอินทรธนูสีเดียวกันให้เด่นชัดมากขึ้น…


อินทรธนูแบ่งออกเป็นสวมส่วน เรียงจากด้านในออกด้านนอกประกอบด้วย เครื่องหมายมงกุฎเลี่ยมทับทิม คทาไขว้และดาบ เพชรรูปดาวสี่เม็ดแสดงถึงชั้นยศ…


อาศัยพลังผู้ไร้หน้า ไคลน์จดจำรายละเอียดทุกกระเบียดนิ้วของนายพลอมิรุส รวมถึงท่าทีที่อีกฝ่ายมีต่อแขกแต่ละคน


ระหว่างนั้น มันจิบแชมเปญหมอกไปพลาง โดยมิได้สนใจรสชาติสักเท่าไร


เมื่อข้อมูลจำนวนมากถูกรวบรวมเข้าสู่สมองในคราวเดียว ไคลน์ถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าอิดโรย


มันเริ่มหิวเนื่องจากใช้พลังงานไปมาก จึงวางแก้วลงบนถาดในมือบริกรกั๊กแดง เตรียมเดินไปหยิบถาดเงินเพื่อตักอาหารมาจัดการให้อิ่มหนำ


ทันใดนั้น บิลต์เดินเข้ามาใกล้


“ท่านนายพลส่งสัญญาณแล้ว พวกเราต้องรีบไปพบท่านที่จุดนัดพบ”


ไคลน์ที่กำลังเล็งไก่ย่าง หันไปจ้องบิลต์ด้วยสายตาเย็นชาเจือความขุ่นเคือง


บิลต์พลันสั่นสะท้าน รีบหันหลังกลับและเดินนำทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ผ่านกระจกใสเต็มบานที่สูงถึงเพดาน ออกไปยังสวนแห่งหนึ่ง


หลังจากเดินเงียบ ๆ ราวหนึ่งนาที บิลต์ชะงักฝีเท้าและชี้ไปยังใบหน้าไคลน์


“เริ่มแปลงโฉมเป็นท่านนายพลได้แล้ว กรุณาแสร้งทำตัวเป็นคนเร่ร่อนที่มีหน้าตาเหมือนกับท่านนายพล”


ไคลน์ผงกศีรษะ ยกมือขึ้นปิดหน้า


ขั้นตอนนี้มีเพื่อมิให้ใครเห็นตุ่มเนื้อและการพุพองบนอันน่าขยะแขยงระหว่างแปลงโฉม


เมื่อลดมือลง บิลต์ได้พบกับชายวัยกลางคนที่เหมือนกับอมิรุส·รีเวลต์ราวกับแกะ


“ยอดเยี่ยมมาก” บิลต์เดินไปข้างหน้า หยุดยืนที่ประตูห้องพัสดุและผลักเข้าไป


อมิรุส·รีเวลต์ยังคงอยู่ในเครื่องแบบทหารเรือสีกรมท่าเด่นสะดุดตา กำลังยืนเยื้องจากทางเข้าเล็กน้อย ใกล้กับหน้าต่าง สายตาชื่นชมทัศนียภาพอันงดงามของสวนเขียว


ทันใดนั้น มันหันมาจ้องผู้มาเยือนที่มีใบหน้าเหมือนตนทุกประการ


พลังแห่งอำนาจและแรงข่มขวัญในปริมาณมหาศาล ถาโถมใส่ร่างกายไคลน์อย่างฉับพลันจนหมดสิทธิ์ขัดขืน ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกนอกจากก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม


ดวงตาอมิรุส·รีเวลต์ค้างอยู่ที่ไคลน์ครู่หนึ่ง เพียงไม่นานก็ค่อย ๆ หันไปทางบิลต์


มันกล่าวโดยปราศจากอารมณ์


“นี่มิใช่คนเร่ร่อนที่คุณเคยเล่าให้ฟัง เขาเป็นผู้วิเศษ”


……………………


ราชันเร้นลับ 622 : พันธสัญญาชั่วคราว

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อตระหนักว่าคำพูดของอมิรุส·รีเวลต์เป็นประโยคบอกเล่า มิใช่คำถาม หน้าผากบิลต์พลันผุดเหงื่อเม็ดใหญ่เย็นเฉียบ


มันพะงาบปาก คล้ายต้องการอธิบายบางสิ่ง แต่กลับลงเอยด้วยการคุกเข่าลงหนึ่งข้าง ละล่ำละลักท่ามกลางแรงกดดันมหาศาล


“ท…ท่านนายพล! คนเร่ร่อนรายนั้นเสียชีวิตอย่างกะทันหันจากอาการป่วย ผมจึงต้องหานักผจญภัยที่มีพลังแปลงโฉมมาทำงานแทนขอรับ”


ในทางกลับกัน ไคลน์มิได้ตึงเครียดอะไรนัก เพราะพลเรือเอกอมิรุส·รีเวลต์ตระหนักถึงตนได้ตั้งแต่งานเลี้ยงแล้ว เรื่องที่บิลต์มากับผู้วิเศษจึงมิใช่สิ่งแปลกใหม่ในสายตาอีกฝ่าย ในเมื่อยังกล้านัดพบโดยปราศจากความเกรงกลัว ก็แปลว่า พลเรือเอกแห่งกองทัพเรือรายนี้มิได้แยแสว่าบิลต์จะพาใครมาทำงาน


ไม่กังวลเลยสักนิด… คงเป็นความมั่นใจของครึ่งเทพ หรือไม่ก็ เส้นทางของเขามีลักษณะเฉพาะในการหยั่งถึงอันตรายล่วงหน้า…


ไคลน์ฝืนเงยหน้า จ้องพลเรือเอกที่กำลังมองกลับมาทางตน


“แข็งแกร่งพอตัว” อมิรุส·รีเวลต์แสดงความเห็นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


มันหันไปจ้องบิลต์พลางกล่าว


“อย่าได้นำลูกไม้ใต้โต๊ะที่คุณถนัดมาใช้กับผม บนโลกใบนี้ คนธรรมดาและผู้วิเศษมีจุดยืนแตกต่างกันมาก ตัวผมที่เป็นผู้บังคับใช้กฎ ย่อมสามารถจำแนกได้ชัดเจนกว่าใคร”


ไม่ผิดจากที่คิด… จากข้อมูล นายพลเป็นคนชอบสอนสั่ง เราต้องจดบันทึกไว้ นี่คือบุคลิกใหม่ที่แตกต่างจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์โดยสิ้นเชิง…


ไคลน์ก้มหน้ามองพื้นอีกหน เพราะมิอาจทนแรงกดดันจากอีกฝ่ายไหว


อมิรุส·รีเวลต์ขยับมาข้างหน้าหนึ่งก้าว


“ความผิดแรกของคุณคือการโกหกผม ความผิดที่สองคือการประมาทเลินเล่อ “ลองคิดตามให้ดี คนเร่ร่อนที่คุณลงทุนลงแรงไปมากมายได้เสียชีวิตลงอย่างกะหันทัน หลังจากนั้นก็มีนักผจญภัยที่สามารถแปลงโฉมปรากฏตัวต่อหน้าทันที …ไม่คิดบ้างหรือว่ามันบังเอิญเกินไป”


ใช่ บังเอิญเกินไป…


ไคลน์เกือบจะเปล่งเสียงตาม


หากไม่ใช่เพราะมิติหมอกยืนยันว่าภารกิจนี้ปลอดภัย มันคงเกิดข้อกังขาว่า โชคชะตาของตนอาจถูกสัตว์ในตำนานหรือสมบัติวิเศษระดับ 0 คอยชักนำเข้าอีกแล้ว


เมื่อบิลต์ได้ยินประโยคดังกล่าว รูม่านตาพลันหดลีบเท่าหัวเข็มหมุด สติเริ่มกระจ่างแจ่มชัด


มันพบว่า จิตใจของตนในช่วงก่อนหน้านี้มีเพียงความหวาดกลัวอัดแน่นเต็มเปี่ยม ประหนึ่งคนใกล้ตายที่ดิ้นรนคว้าเส้นฟางเพื่อเอาชีวิตรอด หลงลืมความรอบคอบและประสบการณ์ที่สั่งสมมาชั่วชีวิตจนหมดสิ้น ลืมคิดไปว่า เหตุการณ์เกี่ยวกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์เต็มไปด้วยความบังเอิญมากเพียงใด!


ในวันแรกที่นักผจญภัยเสียสติมาเยือนผับมะนาวหวาน คนเร่ร่อนซึ่งเตรียมไว้ก็ตายทันที!


ยิ่งบิลต์ใคร่ครวญ มันก็ยิ่งพบความไม่ปรกติของเหตุการณ์


เมื่ออมิรุส·รีเวลต์เห็นการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของบิลต์ มันผงกศีรษะแผ่วเบาด้วยบรรยากาศขึงขัง


“บิดาของผม อดีตเอิร์ลรีเวลต์ผู้ล่วงลับ เคยมอบคำสอนไว้ว่า : จงยกโทษให้กับความผิดพลาดครั้งแรกของผู้ใต้บังคับบัญชา “บิลต์… คุณต้องขอบคุณท่าน”


บิลต์เริ่มผ่อนคลาย ในใจเกิดความซาบซึ้ง


มันคิดไปแล้วว่า นายพลอมิรุส·รีเวลต์ บุคคลที่ใกล้เคียงเทพมากกว่ามนุษย์ จะลงมือประหารตนทันที นัยเพื่อตักเตือนนักผจญภัยทรงพลังที่รับภารกิจปลอมตัว บิลต์คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีเมตตายอมไว้ชีวิต


“ท่านเจ้าคุณ… ผ…ผม” บิลต์ตะกุกตะกัก


อมิรุสยังคงเคร่งขรึม กล่าวเสียงลุ่มลึก


“คำสอนของท่านยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง นั่นก็คือ : จงลงโทษอย่างเด็ดขาดเมื่อลูกน้องทำผิดพลาดซ้ำสอง บิลต์ คงทราบแล้วใช่ไหมว่าต้องทำตัวอย่างไรนับจากนี้”


บิลต์ที่กำลังคุกเข่าหนึ่งข้าง นำกำปั้นขวาทาบลงบนหน้าอกซ้ายจนเกิดเสียง


“กระผมขอสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อท่านนายพลตลอดไป!”


อมิรุสพยักหน้า หันมาทางไคลน์


“ชื่ออะไร”


เอาตัวตนไหนดีครับ…


ไคลน์รำพันติดตลก มอบคำตอบเยือกเย็น


“เกอร์มัน·สแปร์โรว์”


ได้ยินเช่นนั้น อมิรุส·รีเวลต์ชะงักไปสองวินาที ประหนึ่งเวลาภายในห้องพัสดุถูกแช่แข็ง


ไคลน์เกิดความอึดอัดเหนือพรรณนา จนกระทั่งอมิรุสกล่าวออกมา


“คุณนี่เอง”


ไม่เอาน่าท่านเจ้าคุณ ผมเป็นแค่สายข่าวตัวเล็ก ๆ ของ MI9 เท่านั้น แถมยังไม่เคยเบิกค่าแรงเลยสักครั้ง อย่างมากก็แค่นำศีรษะโจรสลัดไปขึ้นเงินรางวัลผ่านออส·เคนท์…


ไคลน์พึมพำ ภายในใจเริ่มประหม่า


อมิรุสผงกหัว มองบิลต์และไคลน์พลางกล่าว


“ดำเนินการตามแผนเดิม แต่ต้องทำพันธสัญญา”


พันธสัญญา…?


ไคลน์ฝืนเผชิญสายตาที่เต็มไปด้วยอำนาจและความน่าเกรงขาม


อมิรุสไม่อธิบายเพิ่มเติม เพียงหยิบปากกาและกระดาษที่เตรียมไว้ออกมาเขียน


ทุกครั้งที่จรดปลายปากกา ตัวหนังสือจะแผ่แสงสีทองสว่าง ประหนึ่งกำลังเขียน ‘กฎ’ ลงไป


ไคลน์หรี่ตาลง ทัศนวิสัยเริ่มพร่ามัว ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหน้าลงอีกครั้ง


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ อมิรุสหยุดการขีดเขียน หยิบกระดาษยื่นมาทางไคลน์


“ลงนามด้านล่างสุด”


“หากไม่พอใจกับเงื่อนไข จะไม่เซ็นก็ไม่ว่า”


ใครมันจะไปกล้า…


ไคลน์รำพัน สายตาชำเลืองบิลต์ที่ลุกขึ้นยืนและเดินไปหยิบกระดาษมาให้


เนื้อหาบนกระดาษไม่ซับซ้อน ส่วนมากเป็นข้อห้ามที่มิให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์กระทำขณะอยู่ในร่างอมิรุส·รีเวลต์ ประกอบด้วย ห้ามจงใจเปิดเผยความจริง ห้ามนำตำแหน่งนายพลไปสร้างความเสื่อมเสียให้กับอมิรุส ห้ามใกล้ชิดกับมาดามซินเธียมากเกินไป รวมถึงข้อห้ามอื่น ๆ


คาดไม่ถึงว่าคนใหญ่คนโตระดับนี้จะหึงหวงภรรยารองบนเกาะห่างไกล… นายพลอมิรุสคงเป็นพวกหัวเก่ากระมัง… แต่ไม่ต้องกังวล เราก็ไม่ใช่คนแบบนั้นเหมือนกัน…


ไคลน์เก็บงำความสงสัย เอ่ยปากถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมประหนึ่งเป็นคำถามเชิงวิชาการ


“…แล้วต้องทำอย่างไร หากมาดามซินเธียพยายามทำตัวใกล้ชิดกับผม”


ความนัยที่แฝงมาด้วยก็คือ จะต้องทำตัวอย่างไรให้อีกฝ่ายไม่เกิดความสงสัย


“เรื่องนั้นไม่เป็นไร” อมิรุสกล่าวหน้านิ่ง “หากอยู่ระหว่างพันธสัญญา ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับเธอ คุณจะหมดความรู้สึกทางเพศโดยสิ้นเชิง ร่างกายไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าในเรื่องดังกล่าว”


ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ… เป็นพันธสัญญาที่ทรงพลังชะมัด… นอกจากพันธสัญญาของโลกวิญญาณ นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นพันธสัญญาของจริง ยิ่งไปกว่านั้น ฉบับโลกวิญญาณต้องพึ่งพาพลังจากโลกแห่งความตาย แต่ฉบับของนายพลไม่ต้องพึ่งพาพลังภายนอก… นี่คือพลังระดับครึ่งเทพของพลเรือเอกอมิรุสแห่งกองทัพเรือโลเอ็น?


เป็นของเส้นทาง ‘ผู้ตัดสิน’ ใช่ไหม?


ไคลน์กวาดตาอ่าน จนกระทั่งพบว่าสัญญามีอายุห้าวัน


เขามั่นใจว่าจะกลับทันภายในห้าวัน หรือเป็นเพราะพลังในปัจจุบันสามารถร่างพันธสัญญาได้เพียงห้าวัน…?


ไคลน์อ่านรายละเอียดอย่างชัดเจนอีกครั้ง จากนั้นก็หยิบปากกาขึ้น เขียนชื่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์ลงไป


เมื่อจรดอักษรตัวสุดท้ายเสร็จ มันเห็นตัวหนังสือบนพันธสัญญาลอยขึ้นทีละหนึ่ง หลั่งไหลมารวมกันเป็นก้อนแสงสีทองอร่าม


ท่ามกลางความเจิดจ้า กระดาษหายวับไปกับความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว คล้ายหลอมรวมเข้ากับกฎของโลกใบนี้โดยสมบูรณ์


หมองมายาล่องหนรอบตัวไคลน์สั่นกระเพื่อมแผ่วเบา ชายหนุ่มสัมผัสได้ชัดเจนว่า ตนถูกรายล้อมด้วยกฎที่ห้ามฝ่าฝืนจำนวนหลายข้อ


จากนั้น พลังแห่ง ‘กฎ’ ได้แผ่ซ่านเข้าไปในร่างกายอย่างท่วมท้น หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างวิญญาณและจิตใจ


หมอกสีเทาสามารถกีดขวางการบิดเบือนโชคชะตาในระดับสูงจากภายนอก แต่มิอาจกีดขวางพันธสัญญาที่เราลงนามด้วยตัวเอง… ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เพราะถ้ากีดขวางสำเร็จ เราก็จะทำสัญญากับผู้ส่งสารไม่ได้…


ไคลน์หันไปมองอมิรุส·รีเวลต์


พลเรือเอกตรงหน้ายังคงเต็มไปด้วยบรรยากาศองอาจและน่าเกรงขาม ทันใดนั้น แผ่นยันต์สีทองเข้มพลันปรากฏบนฝ่ามืออีกฝ่าย


ผิวยันต์มีสัญลักษณ์ของ ‘ดาบพิพากษา’ และอักขระเวทมนตร์มากมายสลักเรียงรายเป็นระเบียบ ประหนึ่งข้อความในหนังสือประมวลกฎหมายอาญาก็มิปาน


“นี่คือยันต์ระดับสูงที่สร้างจากหลายปัจจัย ประกอบด้วยเลือดของผม ประมวลกฎหมายจากยุคสมัยที่สี่และสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ของราชวงศ์” อมิรุสเล่าหน้านิ่ง “ชื่อของมันคือ ‘กฎหมายที่เก้า’ เพียงถ่ายพลังวิญญาณลงไปเล็กน้อย กลิ่นอายรอบตัวคุณจะเปี่ยมด้วยอำนาจแบบเดียวกับผมทุกประการ เป็นยันต์ที่คนทั่วไปก็สามารถใช้งานได้ หากไม่มีสิ่งนี้ คุณคงปลอมตัวเป็นผมได้ลำบากมาก”


ถูกต้อง เราทำได้แค่คัดลอกบุคลิกภาพ สายตา และบรรยากาศอย่างผิวเผิน ไม่มีทางสำแดงกลิ่นอายเฉพาะตัวของครึ่งเทพได้…


ไคลน์เริ่มหายใจทั่วท้อง


อมิรุสเล่าต่อ


“ด้วยพลังปัจจุบันของคุณ คงสามารถทนรับผลข้างเคียงจากการใช้พลังเต็มประสิทธิภาพของยันต์ชนิดนี้ได้เช่นกัน หากถ่ายพลังวิญญาณและท่องคาถา คุณจะบังคับให้เป้าหมายอยู่ในกฎได้ชั่วคราว เป็นการสร้างความได้เปรียบอย่างมหาศาล ดังนั้น ถึงแม้จะถูกครึ่งเทพตัวจริงทดสอบ แต่คุณก็สามารถใช้สิ่งนี้ข่มขวัญกลับไปได้ หากเสร็จงานโดยไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น และยันต์แผ่นนี้ไม่ถูกใช้งาน มันจะจะกลายเป็นของคุณ อายุขัยคือหนึ่งปี”


…? ไคลน์ถึงกับผงะ ภายในใจกำลังตะลึง


หากกล่าวถึงยันต์ระดับสูง นับตั้งแต่ ‘ยันต์เพลิงสุริยัน’ ซึ่งสร้างจากตราศักดิ์สิทธิ์สุริยันที่ถูกบิดเบือนในเมืองทิงเก็น นี่เป็นชนิดที่สองที่ไคลน์มีโอกาสได้ใช้งาน


แม้วัตถุประเภทนี้จะมีอายุขัยจำกัด และใช้งานได้เพียงหนเดียว แต่ข้อดีก็คือ พวกมันไม่มีผลข้างเคียงร้ายแรง อาจได้รับภาระทางร่างกายและพลังวิญญาณบ้างเล็กน้อย


อย่างไรก็ตาม ยันต์เหล่านี้มีปริมาณไม่มากเนื่องจากความซับซ้อนในกระบวนการผลิต


สมกับเป็นครึ่งเทพ ใจกว้างกว่าบิลต์มาก…


นั่นสินะ… การติดสินบนคนเร่ร่อนและเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ค่าใช้จ่ายคงเทียบไม่ได้กับการจ้างนักผจญภัยระดับพลเรือโจรสลัด…


ขณะไคลน์ครุ่นคิดอย่างมีความสุข มันยื่นมือออกไปรับยันต์ระดับสูงนามว่า ‘กฎหมายที่เก้า’


จากนั้น ชายหนุ่มเห็นอมิรุสปลดกางเกงลง


ความเงียบสงัดปกคลุมบรรยากาศหนึ่งอึดใจ ก่อนที่ไคลน์จะเริ่มได้สติ รีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองโดยพยายามไม่เปลี่ยนสีหน้า


เพียงไม่นาน คนทั้งสองก็สลับเสื้อผ้ากันเสร็จ ชายหนุ่มสวมเครื่องแบบนายทหารเรือสีกรมท่าที่ถูกรีดจนเนียนกริบ


เมื่อเห็นบิลต์และอมิรุสเดินออกไปในสวนด้วยช่องทางลับ ไคลน์บรรจงติดกระดุมอย่างพิถีพิถันพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง


ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดและจันทราสีแดง กระจกที่เคยใสกลายเป็นกระจกเงา สะท้อนให้เห็นสภาพร่างกายปัจจุบันอย่างเลือนราง


เส้นผมดำขลับหวีเรียบ ดวงสีฟ้าเข้มค่อนไปทางน้ำเงิน มุมปากหย่อนยานเล็กน้อย ใบหน้าปราศจากหนวดเครา บรรยากาศรอบตัวองอาจน่าเกรงขาม สวมเครื่องแบบสีกรมท่า ติดริบบิ้น และอินทรธนูสีทองบนบ่า


ไคลน์ขยับปากพึมพำ


“นับแต่นี้ไป เราคือพลเรือเอก”


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)