Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 613-618
ราชันเร้นลับ 613 : การสืบสวนของเลียวนาร์ด
โดย
Ink Stone_Fantasy
อาณาจักรโลเอ็น ณ เมืองใหญ่ประจำแคว้นเชสเตอร์ตะวันออก เมืองสโตน
ออเดรย์ออกจากคฤหาสน์ไปยังบ้านพักตากอากาศในเมือง หลังจากคอยดูแลเหล่าเด็กๆ ที่เป็นลูกหลานขุนนางท้องถิ่นเสร็จ เธอกลับมายังคฤหาสน์และสั่งให้คนรับใช้ออกไปยังธนาคารบาวาร์ดเพื่อเบิกเงินสด
ปัจจุบัน หญิงสาวไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการจับจ่ายใช้สอย สามารถชำระหนี้สองพันปอนด์ของข้ารับใช้เดอะฟูล รวมถึงหนึ่งพันแปดร้อยปอนด์เป็นค่าตะกอนพลังนักจิตบำบัดของมิสเตอร์เวิร์ล
ผ่านไปสิบห้านาที ออเดรย์เปิดประตูห้องนอนพลางใช้หางตาชำเลืองแอนนี่ สาวใช้ส่วนตัวที่กำลังคุมงานสาวใช้ระดับล่าง และชำเลืองสุนัขขนทองที่กำลังนอนหมอบข้างกำแพงห้อง
หญิงสาวเผยรอยยิ้ม กล่าวเสียงแผ่วเบาด้วยดวงตาเปล่งประกาย
“ซูซี่… เธอกำลังจะได้รับของขวัญพิเศษ! ตื่นเต้นไหม?”
หากเป็นออเดรย์คนก่อนคงพูดว่า ‘ซูซี่ ของขวัญของเธออยู่ในห้อง!’ จากนั้น โกลเด้นรีทรีเวอร์ตัวใหญ่ก็จะวิ่งเข้าไปค้นหาอย่างสนุกสนาน แต่สำหรับปัจจุบัน ซูซี่ที่ได้รับการศึกษาด้านศาสตร์เร้นลับมาพอสมควร ลำพังการดมกลิ่นก็มาพอจะช่วยให้ค้นพบวัตถุวิญญาณได้ง่ายดาย
เมื่อได้ยินเจ้านายเปลี่ยนวิธีการพูด ความน่าจะเป็นจึงมีได้หลากหลายผลลัพธ์ เช่น ของขวัญจะถูกส่งมาถึงในอีกหลายวัน หรือ ของขวัญจะถูกส่งมาถึงในอีกไม่กี่นาที หรือ ต้องไปเอาของขวัญที่อื่นที่ไม่ใช่ห้องนอนเหมือนกับทุกที
ซูซี่เงยหน้าและพบว่าออเดรย์กำลังตื่นเต้น เป็นสีหน้าเปี่ยมความยินดีจากก้นบึ้ง เธอจึงเตรียมเปิดปากเพื่อสั่นสะเทือนอากาศ ซักถามว่าของขวัญดังกล่าวคือสิ่งใด แต่บังเอิญเหลือบไปเห็นว่าแอนนี่ สาวใช้ส่วนตัวของออเดรย์ยังยืนอยู่ไม่ห่างออกไป จึงล้มเลิกความคิดดังกล่าวอย่างรอบคอบ
ซูซี่กลับไปเป็นสุนัขธรรมดา เพียงสั่นกระดิกหางด้วยสีหน้าคาดหวัง
หลังจากใช้ข้ออ้างพาสุนัขออกไปเดินเล่น หญิงสาวแอบเข้าไปในห้องทดลองเคมีเพื่อเตรียมตัวปรุงโอสถ ‘นักจิตบำบัด’ ส่วนผสมชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกวางเตรียมไว้อย่างเพียบพร้อม
“แฮ่ม! ซูซี่ เธอยังจำขั้นตอนการปรุงโอสถจากครั้งที่แล้วได้ไหม” หญิงสาวกระแอมล้างคอ เหยียดหลังตรง สวมวิญญาณคุณครูอย่างตื่นเต้น
“โฮ่ง! จำได้!”
เมื่อซูซี่ทราบว่าของขวัญคือสิ่งใด โกลเดนรีทรีเวอร์ขนทองพลันส่งเสียง ‘โฮ่ง’ กังวาน
ออเดรย์ตอบเสียงขรึม
“ดีมาก! ไหนลองปรุงด้วยตัวเองดูซิ”
ซูซี่ก้มมองอุ้มเท้าหน้าทั้งสองข้าง ตามด้วยการเงียบไปเป็นเวลานาน
ออเดรย์เพิ่งรู้ตัวเมื่อสาย เผยสีหน้ากระอักกระอ่วน หมดคำจะกล่าวไปชั่วขณะ
จนกระทั่งผ่านไปสักพัก ออเดรย์รีบชิงพูดด้วยรอยยิ้มพิสดารบนใบหน้า
“ล…ล้อเล่นน่ะ! เธอกำลังจะพูดว่า ‘ออเดรย์ ฉันเป็นแค่สุนัข คงผสมโอสถไม่ได้หรอก’ ใช่ไหมล่ะ! ฉันรู้ทัน!”
น…น่าอายจัง… น่าอับอายเกินไปแล้ว!
ออเดรย์ที่กำลังแสดงกิริยาสง่างาม ภายในใจกำลังอับอายในความป้ำเป๋อของตัวเอง
“โฮ่ง!” ซูซี่พยักหน้ารับ
อาศัยโอกาสดังกล่าว หญิงสาวหันหลังกลับไปปรุงโอสถนักจิตบำบัดจนเสร็จสมบูรณ์
เธอถามซูซี่ล่วงหน้าแล้ว อีกฝ่ายยืนยันว่าโอสถเก่าถูกย่อยสมบูรณ์ภายในวันพุธที่ผ่านมา
ยังไม่ถึงสองเดือน… ฮึ! เธอย่อยโอสถได้ง่ายเพราะไม่เป็นที่สนใจต่างหาก สามารถเดินไปไหนมาไหนในคฤหาสน์ได้อย่างอิสระ รวมถึงแอบฟังการซุบซิบจากบรรดาสาวใช้… แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องดี หากไม่มีซูซี่ เราคงไม่ทราบว่าหลาย ๆ คนมีด้านมืดอยู่ แม้เวลาปรกติจะใจดีและตั้งใจทำงานก็ตาม…
ออเดรย์เทโอสถใส่ชามบนพื้น
หญิงสาวก้มมองซูซี่ที่เดินเข้ามาเลีย ภายในใจเกิดความคาดหวังและกังวล
ซูซี่อาจได้รับผลข้างเคียงจากโอสถ ส่งผลให้อารมณ์ไม่คงที่เหมือนกับเรา…
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะมิสออเดรย์ นักจิตบำบัดมือฉมังอยู่ตรงนี้ทั้งคน! เตรียมพร้อมใช้พลัง ‘ปลอบโยน’ ในทุกสถานการณ์!
หืม… อันที่จริง เรากลับชอบชื่อ ‘นักจิตวิเคราะห์’ มากกว่า ฟังดูเป็นมืออาชีพดี…
ดวงตาสีเขียวมรกตของออเดรย์จ้องมองซูซี่อย่างไม่กะพริบ จากนั้นก็พบว่ารูม่านตาของอีกฝ่ายเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นทรงรีแนวตั้ง ใต้ชั้นขนสีทองนุ่มฟูผุดเกล็ดแข็งปกคลุม พลังวิญญาณเริ่มเอ่อล้นออกจากร่างกายทีละนิด คล้ายกับกำลังขยายขนาดปกคลุมทั่วคฤหาสน์
หญิงสาวยังคงสำรวจอาการอีกฝ่ายอย่างใจเย็นและรอบคอบ หากพบความผิดปรกติแม้เพียงเล็กน้อย เธอพร้อมใช้พลังพลังพิเศษของนักจิตวิเคราะห์ทันที
ผ่านไปสักพัก ซูซี่อ้าปากส่งเสียงสดใส
“ออเดรย์ ฉันทำได้แล้ว!”
“…”
ออเดรย์หมดคำจะกล่าวเป็นเวลานาน
…
ภายในความฝัน เดซีย์ได้กลับมายังเขตตะวันออกอีกครั้ง หยุดยืนอยู่หน้าบ้านพักหลังเก่าที่เคยอาศัยร่วมกับมารดาและพี่สาว
เธอผลักประตูเข้าไป พบไลฟ์กับเฟรย่ากำลังซักผ้าอย่างขะมักเขม้น
หัวใจเดซีย์พลันพองโต เตรียมเข้าไปช่วยคนทั้งสองซักเสื้อผ้า
แต่ทันใดนั้น เด็กสาวได้ยินเสียงเคาะประตูดังจากด้านหลัง
เมื่อมองกลับไป เธอพบผู้มาเยือนเป็นชายผมดำดวงตาสีเขียว สวมชุดนายตำรวจสัญญาบัตร
ใบหน้าอีกฝ่ายค่อนข้างพร่ามัว ในมือถือสมุดบันทึกและปากกา พลางส่งเสียงซักถาม
“ในคดีคาพิน นอกจากสิ่งที่เธอเคยให้ปากคำกับตำรวจ มีอะไรที่ยังไม่ได้เล่าอีกไหม”
“มีค่ะ แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ” เดซีย์ตอบกำกวม
ตำรวจหน้าตาดีก้มมองสมุดบันทึกในมือ
“ไม่เป็นไร ฉันอยากฟัง”
เดซีย์ชำเลืองไปทางเสื้อผ้าที่แขวนตากตรงมุมสายตา คล้ายต้องการกลับไปทำงานมากกว่า
อย่างไรก็ตาม เด็กสาวตัดสินใจเล่ารายละเอียดยิบย่อยอย่างซื่อตรง และปิดท้ายด้วย :
“หลังจากฉันถูกลักพาตัว คุณแม่และพี่สาวได้จ้างนักสืบเอกชนคนหนึ่งให้ช่วยตามสืบ เขาคือมิสเตอร์เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ แต่สุดท้ายก็ตามหาฉันไม่พบ โดยหลังจากนั้น นักข่าวคนหนึ่งได้เป็นปากเสียงในการเรียกร้องค่าชดเชยจากมูลนิธิการกุศลให้ฉัน”
ตำรวจเจ้าของเส้นผมสีดำและดวงตาสีเขียวเงยหน้ามองเดซีย์ เผยรอยยิ้มอบอุ่น
“ขอบคุณมาก ผมพึงพอใจกับคำตอบ แล้วยังจำหน้านักสืบเอกชนคนนั้นได้ไหม”
เดซีย์ผงกศีรษะ ทันใดนั้น นักสืบเชอร์ล็อกได้ปรากฏตัวขึ้นด้านข้าง
สวมเคราหนา แว่นตากรอบทอง เป็นภาพเดียวกับในความทรงจำของเด็กสาวทุกประการ
ตำรวจผมดำตาเขียวเพ่งพิจารณาอย่างตั้งใจสักพัก ก่อนจะหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา
และเมื่อเดซีย์หันหลังกลับ มารดากับพี่สาวก็หายตัวไปแล้วเช่นกัน
เธอพยายามวิ่งทั่วเขตตะวันออกเพื่อตามหาคนทั้งสอง จนกระทั่งตื่นขึ้นพร้อมกับอารมณ์เศร้าโศกสุมแน่นในอก สายตาแหงนมองเพดานหอพักสตรีของโรงเรียนโดยไม่กล่าวคำใดเป็นเวลานาน
เดซีย์เงียบงัน พลิกตะแคงร่างกายด้านข้างพร้อมกับใช้ใบหน้าซุกหมอนใบใหญ่
ผ่านไปเป็นเวลานาน ปลอกหมอนอยู่ในสภาพเปียกชุ่มจนมิอาจใช้ด้านดังกล่าวหนุนนอน
ผู้บุกรุกความฝันของเดซีย์มิใช่ใครนอกจากเลียวนาร์ด·มิเชล แม้แฟ้มเอกสารอย่างละเอียดของทั้งสองคดีจะถูกส่งถึงมือ แต่เลียวนาร์ดก็ไม่ละเลยการสืบสวนตามขั้นของพื้นฐานของเหยี่ยวราตรี โดยผลลัพธ์ค่อนข้างน่าพึงพอใจ มันพบเบาะแสใหม่ที่เหนือความคาดหมาย
ทั้งคดีคาพินและลาเนวุส นักสืบเอกชนเชอร์ล็อกกับนักข่าวโยเซฟจะมีเอี่ยวด้วยเสมอ… แม้พวกเขาจะอยู่วงนอกและแทบไม่มีบทบาทสำคัญ แต่ในเชิงการสืบสวน เราสามารถเริ่มจากจุดนี้…
หืม… เราค่อนข้างคุ้นหน้าเชอร์ล็อก… หมอนี่เป็นหนึ่งในนักโทษหนีคดีหรือไง…
เลียวนาร์ดพยายามนึกทบทวนภาพที่ตนเห็นในความฝัน พลางสวมถุงมือสีแดงและเดินลงไปยังชั้นใต้ดินของมหาวิหารแซมมัวร์
ขณะกำลังทักทายหัวหน้า ‘โซสต์’ มันเห็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับยื่นเอกสารสองแผ่นบาง
“นี่คือข้อมูลของชายตาแดงแห่งวิหารฤดูเก็บเกี่ยวที่คุณต้องการ”
“ขอบคุณ ไปกินข้าวกลางวันด้วยกันไหม” เลียวนาร์ดถามด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
เพื่อนเหยี่ยวราตรียักไหล่
“ไม่! จนกว่านายจะเลิกทำให้ฉันฝันร้าย!”
“ตกลง” เลียวนาร์ดรับรายงานการสืบสวนอย่างอารมณ์ดี
มันยังยืนในจุดเดิม ไม่รีบร้อนหาที่นั่ง ยืนอ่านเนื้อความบนกระดาษอย่างตั้งใจ
“เอ็มลิน·ไวท์ แวมไพร์ ปัจจุบันเป็นสมาชิกของโบสถ์พระแม่ธรณี… เคยหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาอยู่พักหนึ่ง จนครอบครัวต้องจ้างนักสืบเอกชนให้ช่วยสืบหา ต้องขอบคุณนักสืบสจ๊วตที่แจกจ่ายงานไปยังพวกพ้อง คดีนี้จึงปิดลงได้ด้วยฝีมือของนักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้”
รอยยิ้มบนใบหน้าเลียวนาร์ดพลันหดหาย สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์ดำมืด
เชอร์ล็อก·โมเรียตี้…
มันทวนชื่อซ้ำในใจ
…
ไคลน์ไม่รีบมองหาเหยื่อเพื่อสวมรอยและใช้เทคนิคสวมบทบาท เพียงเดินเตร็ดเตร่ไปรอบท่าเรือโอลาวีโดยสวมรอยเป็นนักเดินทางไร้พิษภัยคนหนึ่ง ถือโอกาสพักผ่อนจากชีวิตที่แทบไม่ได้เว้นว่าง
ชาวเมืองส่วนใหญ่เป็นชาวโลเอ็นที่อพยพเข้ามาอาศัย รสนิยมทางอาหารจึงไม่แตกต่างจากเมืองชายฝั่งมากนัก จุดที่ไม่เหมือนก็คือ ที่นี่มีผลไม้และอาหารทะเลสดใหม่ ถือเป็นเมนูประจำถิ่น
เกาะโอลาวีอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติ แถมยังเป็นทางผ่านของเส้นทางเดินเรือหลัก ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนจึงค่อนข้างร่ำรวย แม้แต่เกษตรกรแถบชานเมืองก็ยังมีเงินเก็บจากการทำสวนผลไม้เพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม นี่มิได้หมายความว่าเกาะโอลาวีปราศจากคนยากจนหรือไม่มีชนชั้นล่าง เพียงแต่กลุ่มคนดังกล่าวคือชาวพื้นเมืองเดิมที่เคยตกเป็นทาสมานานหลายปี หากรัฐบาลโลเอ็นไม่ออกกฎหมายเลิกทาส ชีวิตความเป็นอยู่ก็คงแย่กว่านี้หลายเท่า
หลังจากกลืนผลไม้ที่หวานและชุ่มฉ่ำลงคอ ไคลน์เงยหน้ามองท้องฟ้ามืดสลัว หักเลี้ยวมุมถนน ย่างกรายเข้าสู่ผับ ‘มะนาวหวาน’
ที่นี่คือหนึ่งในจุดนัดพบของนักผจญภัยบนเกาะโอลาวี ไคลน์ต้องการหาซื้อวัสดุดิบเสริมในโอสถนักเชิดหุ่นที่ยังขาดอีกสองชนิด ประกอบด้วยเปลือกต้นมังกร และน้ำพุทองคำเกาะโซเนีย
ภายในผับค่อนข้างมีชีวิตชีวา ผู้คนมากมายกำลังถือแก้วเครื่องดื่มพลางยืนล้อมเวทีชกมวย ส่งเสียงเฮฮาและให้กำลังใจเป็นระยะ
นอกจากนั้นยังมีกลุ่มคนที่ดูคล้ายนักผจญภัยกำลังกระซิบกระซาบข่าวลือระหว่างกัน
ขณะไคลน์เตรียมหาที่นั่ง มันบังเอิญได้ยินชื่อของตัวเอง
“ข้าคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์! พวกแกคงได้ยินชื่อเสียงมาบ้าง ตอนนี้ข้ามีแผนที่ขุมทรัพย์ลับ ต้องการจ้างผู้ช่วยจำนวนหนึ่งร่วมทาง ไม่ใช่เพราะข้าฝีมือไม่ถึง แต่เป็นเพราะที่นั่นมีสมบัติมหาศาลจนข้าขนคนเดียวไม่ไหว”
ชายเจ้าของดวงตาสีเขียว อายุราวสามสิบ ถือแก้วเครื่องดื่มที่มีของเหลวเหลือครึ่งหนึ่ง กล่าวกับกลุ่มชายสองหญิงหนึ่งที่ดูไม่ว่าเป็นพ่อค้าหรือนักผจญภัย
หืม… นายเองก็ชื่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์เหมือนกันหรือ บังเอิญจังนะ… แผนที่ขุมทรัพย์… ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เป็นพวกต้มตุ๋น… ข่าวคราวการสังหาร ‘นักเจรจา’ แพร่จากบายัมมาถึงที่นี่แล้ว?
คงเป็นข้อมูลจากโทรเลขและนักเดินทาง.. หลายคนรู้จักเราแค่ชื่อ แต่ไม่เคยเห็นตัวจริง ทำให้นักต้มตุ๋นฉวยโอกาสสวมรอย…
ไคลน์ขยับเข้าไปใกล้
ชายตาเขียวจิบเหล้า ตามด้วยการกระแทกแก้วลงกับโต๊ะเสียงดัง
“จะปฏิเสธหรือเข้าร่วม ข้าไม่บังคับ! แต่ข้าไม่ชอบคนที่ทำให้ข้าเสียเวลา! หรือพวกแกอย่างเป็นเหมือนกับนักเจรจา!”
ชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามรีบกล่าวน้ำเสียงเจือความหวาดหวั่น
“ผ…ผมรู้ว่าคุณเป็นนักผจญภัยที่แข็งแกร่ง”
“งั้นก็ดี…”
เสียงของชายตาเขียวขาดช่วงกะทันหัน
มันรู้สึกคล้ายกับคอเสื้อของตนถูกใครบางคนกระชากไปด้านหลังอย่างแรง ร่างกายปลิวลอยไปทางประตูผับ
ไคลน์ไม่พูดพร่ำ โยนชายคนหนึ่งออกจากผับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
จากนั้น มันชักลูกโม่ดัดแปลง เล็งไปยังจุดที่ชายตาเขียวล้มนอนลง และเหนี่ยวไกปืนด้วยสีหน้าเย็นชาปราศจากความลังเล
ปัง!
ชายตาเขียวที่เพิ่งก้นกระแทกพื้น เหลือบเห็นประกายไฟสีเงินเฉียดเป้ากางเกงลงไปเล็กน้อย ความหวาดกลัวเกาะกินจิตใจจนรีบเผ่นหนีออกจากผับอย่างลนลาน
ไม่ต้องอธิบายให้มากความ ด้วยท่าทีอ่อนแอและน่าสมเพชเช่นนี้ ใครเห็นก็ทราบทันทีว่านี่ไม่ใช่เกอร์มัน·สแปร์โรว์
ไคลน์มิได้แยแสผู้ชมโดยรอบที่กำลังยืนตกตะลึง เพียงเป่าปากกระบอกปืนด้วยมาดสง่างาม เก็บลูกโม่ดัดแปลงเข้าไปในซองรักแร้ซ้าย
จากนั้น ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัดอันเกิดจากเสียงปืน ชายหนุ่มย่างกรายเข้าไปในผับอย่างเชื่องช้า
……………………
ราชันเร้นลับ 614 : สหภาพนักผจญภัย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไคลน์นั่งในผับ กำหมัดแน่นพร้อมกับทุบลงบนโต๊ะเสียงดัง
“เบียร์นันวีลล์หนึ่งแก้ว”
ที่ด้านหลังชายหนุ่ม คนคุมผับจำนวนหนึ่งทำสีหน้าลังเลว่าจะตักเตือนดีหรือไม่ เกี่ยวกับกฎห้ามยิงปืนภายในผับ
บาร์เทนเดอร์ขยิบตาให้เหล่าคนคุม หยิบแก้วขึ้นพลางกล่าวกับไคลน์ด้วยรอยยิ้ม
“ลองน้ำมะนาวหวานสักแก้วไหมครับ บอสของเราถ่อไปถึงทรีอาร์เพื่อเรียนเทคนิคการผสมค็อกเทล จนสามารถบรรลุศาสตร์ผสมค็อกเทลชั้นสูงที่จักรพรรดิโรซายล์คิดค้นขึ้น หลังจากกลับมา บอสเริ่มออกแบบสูตร ‘มะนาวหวาน’ ขึ้นเองจนได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนถึงปัจจุบัน”
ไคลน์ไม่เปลี่ยนใจ ตอบกลับเย็นชา
“ฉันดื่มแต่เบียร์”
“ไม่มีปัญหาครับ” บาร์เทนเดอร์ไม่รีบร้อนเทเบียร์นันวีลล์ลงแก้ว เพียงซักถามด้วยรอยยิ้ม “คุณเป็นนักผจญภัยใช่ไหม”
ไคลน์พยักหน้า ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ
บาร์เทนเดอร์เล่าด้วยท่าทีเป็นกันเอง
“ผมขอแนะนำให้คุณขึ้นไปพบบอสของเรา เขาเป็นมิตรกับนักผจญภัยหน้าใหม่เสมอ ส่วนมากมักเลี้ยงเครื่องดื่มสักแก้ว หรือไม่ก็มอบความช่วยเหลือทางใดทางหนึ่ง”
ไคลน์ที่มีแผนจะซื้อวัตถุดิบเสริมของโอสถนักเชิดหุ่นอยู่แล้ว ย่อมไม่ตอบปฏิเสธ เพียงหยิบเหรียญเพนนีทองแดงขึ้นมาดีด ตามด้วยการใช้มือคว้าไว้อย่างชำนาญ
มันวางเหรียญเพนนีลงบนเคาน์เตอร์ คล้ายเป็นทิปขอบคุณบาร์เทนเดอร์ที่ช่วยบอก จากนั้นก็ลุกยืนอย่างไม่รีบร้อน เดินตามคนคุมผับขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ตรงเข้าห้องสุดทางเดินยาว
พื้นห้องถูกปูด้วยพรมสีน้ำตาลผืนหนา กลิ่นเจือจางของถ่านฟืนคุณภาพสูงลอยสัมผัสปลายจมูกอย่างนุ่มนวล ผสมผสานเข้ากับกลิ่นหอมของซิการ์ราคาแพง
ชายวัยกลางคน ผมสีทอง กำลังนั่งเอนหลังบนเก้าอี้นอนด้วยท่าทีผ่อนคลาย ปากสูบซิการ์ ตามองหนังสือพิมพ์ รายล้อมด้วยบอดี้การ์ดมากกว่าหกคน
แม้ไคลน์จะไม่ใช่ผู้วิเศษเส้นทางผู้ชมที่สามารถประเมินเส้นทางอย่างคร่าวของเหล่าบอดี้การ์ด และไม่ใช่เส้นทาง ‘สัตว์ประหลาด’ หรือ ‘ผู้ส่องความลับ’ ที่มองเห็นความลับหรือลักษณะเฉพาะของเป้าหมาย แต่สัมผัสวิญญาณของชายหนุ่มสามารถยืนยันได้ว่า บอดี้การ์ดทุกคนล้วนเป็นผู้วิเศษในระดับที่สามารถเป็นภัยคุกคามต่อตน
ชายวัยกลางคนวางหนังสือพิมพ์ลง ขยับเนกไทบนเสื้อเชิ้ตสีดำเล็กน้อย ลุกขึ้นยืนและเดินมาหาไคลน์อย่างไม่รีบร้อน แขนขวาเหยียดออกมาด้านหน้า
“ยินดีต้อนรับสู่โอลาวี สหายนักผจญภัย”
ดวงตาสีฟ้าของอีกฝ่ายเผยความอ่อนโยนและจริงใจ
ไคลน์ยื่นมือขวาจับตอบ ออกแรงเขย่าเล็กน้อยโดยไม่กล่าวสิ่งใด รอให้อีกฝ่ายเริ่มเปิดประเด็นสนทนา
ชายวัยกลางคนชี้ไปทางโซฟาด้านตรงข้ามเก้าอี้เอนหลัง พลางหัวเราะในลำคอ
“บิลต์·แบรนโด้ บอสใหญ่ของที่นี่ ผมเคยเป็นนักผจญภัยมาก่อน แถมยังมีฝีมือพอตัว หลักฐานยืนยันคือการทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำจวบจนทุกวันนี้”
มั่นใจในฝีมือของตัวเองจนกล้าป่าวประกาศต่อหน้าคนเพิ่งพบกันครั้งแรก…
ไคลน์นั่งลงโดยไม่มากพิธี เอนตัวมาด้านหน้าด้วยอารมณ์ไม่แปรเปลี่ยน ท่าทีคล้ายกับรอให้บิลต์เล่ารายละเอียดเพิ่มเติม
เมื่อเห็นนักผจญภัยฝั่งตรงข้ามไม่ตอบสนอง บิลต์นั่งลง สูบซิการ์ กล่าวด้วยท่าทีเป็นกันเอง
“ขอพูดตามตรงก็แล้วกัน ผมมีเหตุผลที่ต้องการพบปะนักผจญภัยหน้าใหม่อยู่เสมอ”
มันชี้ไปยังแผนที่บนโต๊ะทำงาน กล่าวบรรยายด้วยน้ำเสียงน่าฟัง
“จากหมู่เกาะรอสต์จนถึงสุดเขตตะวันออก ท้องทะเลยิ่งทวีความปั่นป่วน อิทธิพลของกองทัพและโบสถ์หลักย่อมไม่แข็งแกร่งเท่ากับแผ่นดินใหญ่ มีปัญญาปกป้องได้เฉพาะฐานทัพเรือของตัวเองเท่านั้น น่านน้ำละแวกดังกล่าวเปรียบดังแดนสวรรค์ของโจรสลัด ถือเป็นข่าวร้ายสำหรับนักผจญภัยอย่างพวกเรา ผมจึงต้องการรวมทุกคนเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มก้อน สร้างสายสัมพันธ์อย่างหลวม ๆ ระหว่างนักผจญภัยด้วยกัน และจูงมือกันฝ่าฟันอันตราย เป็นความสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัด คุณมีสิทธิ์ไม่ช่วยนักผจญภัยคนอื่นในยามเดือดร้อน แต่ขณะเดียวกันก็ห้ามคาดหวังว่าใครจะช่วยเหลือ มีหนึ่งสิ่งที่ผมสามารถรับปากให้ได้ หากนักผจญภัยคนใดต้องการซื้อสินค้ากับผม ทุกคนจะได้รับส่วนลดจนใกล้กับราคาขั้นต่ำ และเมื่อต้องการขายสินค้าหลังจากเก็บเกี่ยว ที่นี่จะรับซื้อในราคาท้องตลาด”
กล่าวจบ บิลต์จ้องนักผจญภัยฝั่งตรงข้ามพลางเผยรอยยิ้มเป็นมิตร
“เป็นอย่างไรบ้าง สนใจจะเข้าร่วมพันธมิตรอย่างหลวม ๆ ของผมหรือไม่? อย่าได้คิดมาก ทางเราไม่มีการหักค่าใช้จ่ายแรกเข้าหรืออะไรทำนองนั้น จุดประสงค์เพียงอยากให้ร่วมมือกันปกป้องตัวเองจากโจรสลัด”
ไคลน์ผงกหัว
“น่าสนใจ”
“ฮะฮะ! ผมก็คิดแบบนั้น อันที่จริง ผมเคยคิดจะตั้งชื่อพันธมิตรนี้ว่า ‘ภารดรภาพนักผจญภัย’ แต่คำถามว่า ‘ภารดรภาพ’ ฟังดูผิดจุดประสงค์ไปสักนิด จึงเปลี่ยนมาเป็น ‘สหภาพนักผจญภัย’ แทน” บิลต์เล่าพลางหัวเราะ
กล่าวถึงตรงนี้ มันลดมือข้างถือซิการ์ลง เม้มปากล่างเล็กน้อยพร้อมกับส่ายหน้า
“จริงสิ ผมลืมถามชื่อของคุณ”
ไคลน์ไม่เปลี่ยนท่านั่ง มอบคำตอบเสียงเย็น
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์”
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์…” บิลต์หรี่ตาลงทันที รอยยิ้มบนใบหน้าพลันหดหาย บอดี้การ์ดรอบตัวปรับเปลี่ยนท่าทีกะทันหัน คล้ายกับเตรียมรับมือการจู่โจมจากศัตรู
เพียงไม่นาน บิลต์กลับเป็นปรกติ และไม่คิดสืบสวนว่าอีกฝ่ายคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตัวจริงหรือไม่ ยังคงเล่าต่อไปด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
“แล้วคุณอยากซื้ออะไรบ้างไหม ผมมีสินค้าพร้อมขายหลายชนิด”
“น้ำจากบ่อน้ำพุทองคำแห่งเกาะโซเนีย”
ไคลน์ตอบกระชับ ภายในใจนึกกังวลเล็กน้อย
มันไม่เอ่ยชื่อของเปลือกต้นมังกรเนื่องจากวัตถุดิบดังกล่าวสามารถหาซื้อได้จากร้านขายสมุนไพรทั่วไป ขณะเดียวกันก็เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคาดเดาสูตรโอสถ
บิลต์·แบรนโด้หายใจทั่วท้อง ฉีกยิ้มกว้าง
“พร้อมขายสามสิบปอนด์ต่อหนึ่งร้อยมิลลิลิตร เชื่อผม ถึงคุณจะไปซื้อถึงเกาะโซเนียโดยตรง แต่ราคาก็จะถูกกว่านี้แค่ไม่กี่ปอนด์ พวกคนป่าฟุซัคเอาแต่ผูกขาดน้ำพุทองคำไว้ฝ่ายเดียว ยากที่คนนอกจะแฝงตัวเข้าไปกอบโกย”
“ตกลง”
ไคลน์พอจะมีราคาสินค้าในใจ จึงมองว่าสามสิบปอนด์ต่อหนึ่งร้อยมิลลิลิตรนั้นค่อนข้างถูก
เมื่อตกลงปากเปล่าเสร็จ บิลต์เตรียมเปิดปากเล่าบางสิ่ง แต่ก็ต้องชะงักหลังจากได้ยินใครบางคนเคาะประตู
มันให้สัญญาณอนุญาต คนคุมผับรายหนึ่งเดินเข้ามาด้านในและกระซิบข้างหู กล่าวบางคำด้วยเสียงที่ไคลน์ไม่ได้ยิน
สีหน้าบิลต์พลันดำมืด คล้ายอวัยวะทุกส่วนในร่างกายเย็นเฉียบกะทันหัน จิตสังหารเอ่อล้นออกมาอย่างท่วมท้น
เขาไม่ได้โกหก… ฝีมือแข็งแกร่งพอตัว หากไม่ใช่นักผจญภัยที่เก่งกาจ ก็ต้องเคยเป็นโจรสลัดแถวหน้ามาก่อน… คงอยู่ราวลำดับกลาง…
ไคลน์จ้องสำรวจอีกฝ่ายอย่างใจเย็น
บิลต์หันหน้ามาทางชายหนุ่ม กล่าวด้วยท่าทางไม่เต็มใจ
“มิสเตอร์สแปร์โรว์ ผมมีเรื่องด่วนต้องรีบไปสะสางให้เสร็จ ไว้หาโอกาสดื่มด้วยกันใหม่”
“เชิญ” ไคลน์ลุกยืน ไม่ประสงค์จะสอดมือเข้าไปข้องแวะกับปัญหาของอีกฝ่าย
แน่นอน มันเกิดความอยากรู้อยากเห็น แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็เคยพาตนฉิบหายมานักต่อนักแล้ว
หลังออกจากผับมะนาวหวาน ไคลน์กลับไปพักในโรงแรมที่เช็กอินไว้
…
ณ เมืองเงินพิสุทธิ์ จังหวะของสายฟ้าเบื้องบนค่อนข้างถี่ หมายถึงเวลา ‘กลางวัน’
หลังจากเดอร์ริค·เบเกอร์ฝึกฝนพลังในขอบเขต ‘ข้ารับใช้สุริยัน’ จนพึงพอใจ มันเดินไปตามถนนลานฝึก ปลายทางคือหอคอยคู่
เนื่องจากเคยเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์หลายหน มันพอจะจับระยะห่างของการชุมนุมแต่ละครั้งได้บ้างแล้ว คาดคะเนได้ว่าอีกกี่ ‘กลางวัน’ จึงจะถูกมิสเตอร์ฟูลดึงขึ้นไปบนมิติหมอก
และวันนี้คือ ‘กลางวัน’ สุดท้าย
เด็กหนุ่มตัดสินใจเข้าหอสมุดเพื่ออ่านบันทึกตำนานเกี่ยวกับเทพบรรพกาล เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปจ่ายหนี้ให้เดอะฟูล
หลังจากเดินพ้นลานฝึก เดอร์ริคเหลือบไปเห็นทีมสำรวจล่าสุดที่เพิ่งกลับมาถึง เป็นทีมของโคลิน·อีเลียด เจ้าเมืองและประธานสภาอาวุโสแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์
เมื่อไม่กี่วันก่อน กลุ่มคนเหล่านี้สำเร็จภารกิจสำรวจตามคำอธิบายของเด็กชายแจ็ค และเดินทางกลับมาพักอยู่ในเขตกักกันตัวชั่วคราว
เด็กหนุ่มเบือนหน้ากลับ เร่งฝีเท้าตรงไปทางหอคอย ขึ้นชั้นสามโดยไม่แวะพักที่ไหน
ขณะกำลังมองหาตำนานเทพบรรพกาลบนชั้นหนังสือในหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง มันบังเอิญหันไปเห็นบุคคลที่คุ้นเคย
อีกฝ่ายคือสตรีงดงาม สวมชุดคลุมสีดำสลับแถบม่วง เส้นผมสีเงินม้วนหยักศกเล็กน้อย
ไม่ใช่ใครนอกจากหนึ่งในหกสภาอาวุโสประจำเมือง โลเฟียร์·ทิฟฟานี่ ผู้ควรถูกคุมขังในคุกใต้ดินเป็นเวลานาน
เมื่อสายตาคนทั้งสองประสานกัน เดอร์ริคพลันรู้สึกคล้ายดวงวิญญาณตนถูกเสียดแทง ร่างกายแข็งทื่อนานหลายวินาที
“ค…คารวะอาวุโสโลเฟียร์” เด็กหนุ่มรีบก้มศีรษะพลางใช้มือทาบหน้าอก
โลเฟียร์เดินเข้ามาใกล้ พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมส่งเสียงกระซิบ
“ฉันถูกปล่อยตัวแล้ว”
สิ้นเสียงอันแผ่วเบา หญิงสาวหันหลังกลับและเดินจากไปโดยไม่กล่าวคำใดเพิ่ม
เดอร์ริคยืนแน่นิ่งเช่นนั้นเป็นเวลานาน เหงื่อเย็นเม็ดใหญ่ผุดขึ้นตามลำตัว
ทำไมเธอถึงถูกปล่อย?
สภาเมืองยืนยันแล้วว่าเธอไม่เป็นพิษภัย?
เดอร์ริคครุ่นคิดด้วยอารมณ์ตึงเครียดสุดขีด
…
วันจันทร์ช่วงบ่าย
ณ มิติเหนือสายหมอกเทา
ไคลน์วางศอกลงบนที่พักแขนเก้าอี้ สองมือประสานด้านหน้า สายตาจ้องกลุ่มแสงสีแดงเข้มรอบโต๊ะทองแดงยาว ร่างแล้วร่างเล่าถูกฉายเหนือเก้าอี้ในลักษณะคล้ายโฮโลแกรมที่ไม่คมชัด
จากนั้น ชายหนุ่มได้ยินคำทักทายจากจัสติส
“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ฟูล~”
……………………
ราชันเร้นลับ 615 : หมอกสีเทา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะจัสติส·ออเดรย์กำลังทักทาย เฮอร์มิท·แคทลียายังคงทำตัวเหมือนทุกครั้ง เพียงเฝ้ามองจากวงนอกอย่างใจเย็น ไม่แสดงท่าทีสนอกสนใจมากนัก ประหนึ่งยังเป็นเพียงคนนอกชุมนุม
หญิงสาวนั่งมองจัสติสและเมจิกเชี่ยนก้มหน้าเขียนไดอารีจักรพรรดิโรซายล์เพื่อจ่ายหนี้ที่เคยติดค้างกับเดอะฟูล จากนั้น แคทลียาเหลือบมองไปทางเก้าอี้ประธานชุมนุม แต่สายตายังคงมิอาจทะลวงผ่านม่านหมอกสีเทาเข้าไปได้ เห็นเพียงเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายเสกขึ้นมา
หลังจากรับไดอารีจักรพรรดิโรซายล์สามหน้ามาถือ ไคลน์ไม่รีบร้อนก้มหน้าอ่านตามปรกติ ส่วนหนึ่งเพราะมันเพิ่งได้ใกล้ชิดกับสมบัติปิดผนึกระดับ 0 วัตถุที่เป็นถึง ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางกงล้อโชคชะตา แถมยังข่มขู่อีกฝ่ายให้หวาดกลัว ดังนั้น ไม่ว่าเนื้อหาในไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์จะน่าตื่นเต้นสักเพียงใด แต่ก็คงมิอาจสร้างความตกตะลึงให้ได้มากนัก
นอกเสียจาก เขาจะถูกแม่มดบรรพกาลอวยพรและได้รับสิทธิ์ให้เป็นหญิงชั่วคราว…
ไคลน์รำพันติดตลก กวาดตามองไปรอบโต๊ะทองแดงยาวเล็กน้อย
หืม… ความอยากรู้อยากเห็นของมาดามเฮอร์มิทแตกต่างจากมิสจัสติสกับมิสเมจิกเชี่ยน คล้ายกับเธอให้ความสนใจในตัวไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์เป็นพิเศษ…
ไคลน์เบือนหน้ากลับ บันทึกสิ่งที่เห็นเมื่อครู่ไว้ในความทรงจำ ตามด้วยการก้มหน้าอ่านแผ่นกระดาษหนังสีน้ำตาลในมือ
“22 เมษายน พวกเราพร้อมแล้วที่จะเข้าไปสำรวจนรก!”
“23 เมษายน พวกเราแล่นเรือไปตามร่องน้ำทะเลสีดำสนิท ผ่านกลุ่มหมอกของเหลวเข้มข้น จนไปถึงยอดเขาที่มีลักษณะคล้ายสัตว์ประหลาด ถัดจากภูเขาเต็มไปด้วยสายหมอกสีดำไร้ขอบเขตที่ดูราวกำลังแผ่ปกคลุมทั้งผืนทวีป เมื่อก้มมองลงจากยอดเขา เราอดคิดไม่ว่าก้นเหวด้านล่างอาจไม่มีสุดสิ้นสุด ยังหันไปเล่นมุกกับเอ็ดเวิร์ดว่า หากฆ่าตัวตายโดยการกระโดดลงไป เกรงว่าอาจมิได้ตายเพราะร่างกายกระแทกพื้น แต่จะค้างอยู่ในสภาพ ‘ร่อนลง’ จนกระทั่งแก่ตาย”
อ่านถึงตรงนี้ ไคลน์เกือบหลุดขมวดคิ้ว เพราะเป็นการยากที่จะให้เชื่อว่า จักรพรรดิโรซายล์บ้าบิ่นถึงขั้นพาจตุรอาชาและลูกเรือของตน เสี่ยงชีวิตเข้าไปสำรวจภายในนรก!
ไม่กลัวตายเลยหรือ… หากเราจำไม่ผิด เพียงบรรยากาศด้านในนรกก็มากพอจะกัดกร่อนทุกสรรพสิ่งจนสิ้นซาก ไม่มีทางที่มนุษย์จะดำรงชีวิตอยู่ได้… โรซายล์ในขณะนั้นยังไม่ใช่ครึ่งเทพด้วยซ้ำ อย่างมากก็ลำดับ 5 หรืออาจน้อยกว่า… ถ้าเป็นเราคงหันหัวเรือกลับทันที และรายงานเรื่องดังกล่าวให้โบสถ์ทราบ…
เป็นอีกครั้งที่ไคลน์ตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างตนกับโรซายล์
ยิ่งไปกว่านั้น สภาพแวดล้อมของ ‘นรก’ ที่จักรพรรดิโรซายล์อธิบาย ทำให้ไคลน์หวนนึกถึงบานประตูปริศนาในสุสานตระกูลอามุนด์
เป็นบานประตูที่หุ่นกลของฮารามิค·ไฮเดิน อาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์จักรกลไอน้ำ เอื้อมมือสัมผัส
โรซายล์ค้นพบอะไรในนรก… แต่อย่างน้อย เขาก็มิได้ตายระหว่างการสำรวจ เพราะช่วงชีวิตหลังจากนั้นยังคงเต็มไปด้วยความสุดโต่ง…
ไคลน์ก้มหน้าลง อ่านส่วนที่เหลือของไดอารีแผ่นแรกให้จบ
“24 เมษายน พวกเราลงจากภูเขา พยายามสำรวจให้ลึกกว่าเดิม”
“หมอกสีดำโดยรอบทั้งเย็นเฉียบและเหนอะหนะ คล้ายกับมีฤทธิ์ทำให้เปียกชุ่มไปถึงแก่นของดวงวิญญาณ ฮะฮะ… แต่โชคดีว่าสมบัติบางชิ้นบนเรือ ‘บัลลังก์มืด’ สามารถป้องกันการกัดกร่อนในลักษณะนี้ได้ ไม่อย่างนั้น บรรดาจตุรอาชาและเราคงได้กลายเป็นกลุ่มอันเดดลีเจี้ยนนานแล้ว”
“ที่นี่เงียบมาก พวกเราไม่พบสิ่งใดเลย”
“25 เมษายน พวกเราได้พบกับปีศาจสักที แต่มาในรูปแบบของศพเน่าเปื่อย”
“พวกเราพบศพปีศาจกระจัดกระจายเต็มทั่วทุกซอกมุม ไม่ว่าจะเป็นด้านหลังหินก้อนใหญ่สีดำสนิท หรือบนทางเดินโคลนที่ยากจะเรียกว่าถนน รวมไปถึงทุกจุดที่คาดไม่ถึงว่าจะมี”
“ราวกับพวกมันทั้งหมดเสียชีวิตพร้อมกัน และด้วยสาเหตุการตายเดียวกัน”
“26 เมษายน พวกเรายังไม่พบอะไรนอกจากศพปีศาจและความเงียบงัน”
“สมบัติวิเศษในบัลลังก์มืดเริ่มส่งสัญญาณการถูกกัดกร่อน”
“เราไม่เคยเกิดความหวาดกลัวถึงเพียงนี้มาหลายปีแล้ว ที่นี่มอบความรู้สึกคล้ายกับถูกฝ่ามือล่องหนบีบรัดหัวใจจนอึดอัด”
“ต้องรีบกลับทันที! อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว!”
เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น? โรซายล์หนีรอดจากนรกอย่างราบรื่น หรือเจออะไรเข้ากลางทาง? ฉากที่นรกโรซายล์บรรยายหมายถึงอะไร?
เกิดสงครามขึ้นที่นั่นอย่างกะทันหัน?
ไคลน์รีบพลิกไปถัดไปด้วยความคาดหวัง แต่น่าเสียดายที่มันมิได้ต่อเนื่องจากของเก่า
“8 พฤษภาคม แบร์นาแดตที่น่ารักของเรามีอายุครบสองขวบแล้ว! ยิ่งโตก็ยิ่งน่ารัก เธอสืบทอดพันธุกรรมของเราและแม่เด็กไปอย่างสมบูรณ์”
“เมื่อได้ยินแบร์นาแดตเรียกว่าพ่อ เมื่อได้เห็นความน่ารักสดใสของเธอ เราเกิดความพึงพอใจและความยินดีอย่างน่าประหลาด”
“สารภาพตามตรง นับตั้งแต่เดินทางข้ามโลก เราเคยผ่านเรื่องราวมากมาย บ้างก็น่าละอาย แต่เราไม่นึกเสียใจที่ได้ทำลงไป เพราะตามสันดานแล้ว เราเป็นพวกยับยั้งชั่งใจตัวเองไม่อยู่ มักถูกสิ่งเร้ารอบตัวกระตุ้นได้ง่ายดายเสมอ ฮะฮะ… ต้องขอบคุณโชคชะตาที่ช่วยให้เราไม่ต้องเผชิญกับ ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ ของเส้นทางปีศาจ ไม่อย่างนั้น จากรายละเอียดที่บันทึกไว้ในเอกสารลับของโบสถ์ เรามั่นใจว่าตัวเองจะถูกเส้นทางดังกล่าวเล่นงานได้ง่ายกว่าคนปรกติ บางทีอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้ตายทันที”
“ถึงเราจะไม่มีความผูกพันกับโลกใบนี้สักเท่าไร แต่พ่อแม่ของโลกนี้เลี้ยงดูเราเป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ต้องการตอบแทนให้พวกท่านเกิดความภาคภูมิใจ”
“แต่เรารู้จักตัวเองดี ความรู้สึกที่มอบให้พวกเขามิได้แน่นแฟ้นอะไรนัก เช่นเดียวกับความรู้สึกที่มีต่อมาทิลด้า เป็นความผูกพันและหน้าที่มากกว่าความรักใคร่”
“เรามองโลกนี้ด้วยมุมมองที่คล้ายกับเกม RPG เสมือนจริงมาคลอด ไม่ว่าจะบุพการี ภรรยา พี่น้อง หรือมิตรสหาย ทุกคนเป็นเพียง NPC จืดชืด เราแทบไม่เคยใส่อารมณ์และความรู้สึกลงไป เป็นสาเหตุให้กล้าเข้าร่วมงานเลี้ยงผิดศีลธรรมบ่อยครั้งโดยไม่เกิดความตะขิดตะขวงใจ กล้าปฏิบัติตัวต่อคนแปลกหน้าอย่างเลือดเย็น ประหนึ่งกำลังเล่นเกม ‘ดิ·เอลเดอร์·สกอลล์’ (The Elder Scroll) ที่ต้องฆ่าคนทั้งหมู่บ้านเพียงเพราะไก่ตัวเดียว”
“แต่หลังจากแบร์นาแดตลืมตาดูโลก เราพบว่าตัวเองผูกพันกับที่นี่มากขึ้น มิได้โดดเดี่ยวและอ้างว้างเหมือนเมื่อก่อน”
“นี่คือลูกของเรา… เธอเป็นเด็กที่มีชีวิตจิตใจ”
“หรือจะเป็นเพราะความคิดของเรา ‘เติบโต’ ขึ้นจากวัยหนุ่ม?”
เราที่ไม่มีลูก คงเข้าไม่ถึงความรู้สึกดังกล่าว… ไม่ใช่แค่นั้น แม้แต่แฟนก็ยังหาไม่ได้…
แต่ทำไมโรซายล์ถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนั้นในช่วงสุดท้ายของชีวิต… เห็นที เราคงต้องคอยตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แม้เหตุการณ์นี้จะยังไม่เคยเกิดขึ้นกับเรา แต่ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่า ในอนาคตจะไม่เกิดขึ้น… ยิ่งมีลำดับสูงก็ยิ่งห่างไกลความเป็นมนุษย์ และเข้าใกล้ความเป็นเทพ…
ไคลน์ถอนหายใจเงียบ เปิดไปยังหน้าที่สามของไดอารี
“6 มกราคม ขึ้นปีใหม่ เริ่มต้นศักราชใหม่ หลังจากเลื่อนลำดับเป็น ‘ช่างฝีมือ’ เราก็มีโอกาสได้สร้างสิ่งนั้นสักที! ถาดเงินลึกลับตามความทรงจำของเราสมัยโลกเก่า! บางที มันอาจเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยไขปริศนาการเดินทางข้ามโลก! “อันที่จริง หลังจากกลายเป็น ‘นักปราชญ์’ ความทรงจำในอดีตและโลกเก่าของเราคมชัดขึ้นจากเดิมมาก ภาพของถาดเงินและลวดลายประหลาดบนผิวจึงไม่มีจุดใดตกหล่น แต่น่าเสียดาย การทดลองสร้างในครั้งแรกประสบความล้มเหลวไม่เป็นท่า 9 มกราคม หลังจากเผชิญความผิดพลาดหนแล้วหนเล่า ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ!”
“เราทดลองโดยการถือถาดเงินไว้และถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปกระตุ้น ผลลัพธ์ก็คือ ทัศนวิสัยของเราถูกปกคลุมด้วยบางสิ่งที่คล้ายกับสายหมอกสีเทาไร้สิ้นสุด แต่ก็ไม่มากไปกว่านั้น เป็นความล้มเหลวที่เกิดจากตัววัสดุ หรือเป็นเพราะความบกพร่องในบางขั้นตอน? 10 มกราคม จากความทรงจำก่อนเดินทางข้ามโลก เรามั่นใจว่า ถาดสีเงินในมือไม่มีความแตกต่างจากในอดีตแม้แต่จุดเดียว รวมไปถึงวัสดุและพิธีกรรม แต่จนแล้วจนรอด เราก็ยังไม่ได้เห็นอะไรมากไปกว่าหมอกประหลาดสีเทา ถ้าแม้แต่วิธีนี้ยังไม่สำเร็จ แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ? เราตัดสินใจล้มเลิกความพยายามและทำลายถาดเงินทิ้ง บางที หลังจากได้เป็นผู้วิเศษลำดับสูง หลังจากกลายเป็นครึ่งเทพ อาจมีมุมมองในการตีความสิ่งนี้ต่างไปจากเดิม อาจได้พบความลับบนลวดลายพิสดาร และหาทางกลับโลกเดิมได้ในที่สุด ดีละ! เป้าหมายต่อไปคือครึ่งเทพ! เราต้องกลายเป็นพระเอกของโลกใบนี้!”
หมอกสีเทา…? หลังจากจักรพรรดิพยายามถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในถาดเงินที่สร้างจำลองจากโลกเก่า เขามองเห็นหมอกสีเทาไร้สิ้นสุด!
ไคลน์หรี่ตาลงและก้มหน้า
ปัจจุบัน ปลายเท้าของมันกำลังเต็มไปด้วยสายหมอกสีเทาไร้สิ้นสุด!
หรือว่า… สาเหตุการเดินทางข้ามโลกของเราและจักรพรรดิ จะเกี่ยวข้องกับมิติหมอกแห่งนี้? แต่ทำไมเราถึงเข้ามาได้ แต่จักรพรรดิไม่ได้?
พิจารณาจากข้อมูลในไดอารีช่วงปั้นปลายชีวิตโรซายล์ จักรพรรดิยังไม่ค้นพบความลับของถาดเงิน ไม่อย่างนั้น ในวาระสุดท้ายที่ไม่มีใครให้พึ่งพิง คงมีการเอ่ยถึงมิติหมอกแห่งนี้บ้าง…
ไคลน์เงยหน้า สายตามองออกไปด้านนอกพระราชวังโบราณ
มันยังจำได้แม่นยำ ในส่วนลึกของมิติหมอกจะมีขั้นบันไดแสง โดยต้องพึ่งพา ‘ลำดับ’ ในการเดินขึ้นไปแต่ละขั้น
บันไดดังกล่าวมีขนาดใหญ่ราวกับถูกสร้างให้คนยักษ์ใช้งาน ปลายทางของมันคือชั้นหมอกสีเทาที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ความลับในการเดินทางข้ามโลกของเรากับจักรพรรดิโรซายล์คืออะไรกันแน่…
ไคลน์เสกให้ไดอารีหายไป เหยียดหลังตรง กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เชิญ”
เดิมที เดอะซัน·เดอร์ริคมีแผนจะประกาศซื้อสูตรโอสถลำดับ 6 ที่ต่อจาก ‘ข้ารับใช้สุริยัน’ เตรียมไว้ล่วงหน้า แต่หลังจากอาวุโสโลเฟียร์ถูกปล่อยตัว เด็กหนุ่มต้องพับเก็บความคิดดังกล่าวไปก่อน ตอนนี้ปรารถนาจะอธิบายเรื่องราวให้ทุกคนฟัง จากนั้นก็รอรับคำแนะนำที่มีประโยชน์
เมื่อประเมินว่าปัจจุบันยังเป็นช่วงเวลาค้าขาย เดอร์ริคฝืนระงับความอัดอั้น รอคอยอย่างใจเย็นท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด
เดอะซันน้อยมีบางสิ่งในใจ… เกิดอะไรขึ้นกับเมืองเงินพิสุทธิ์อย่างนั้นหรือ…
จัสติส·ออเดรย์ถอนสายตากลับพลางครุ่นคิด แต่มิได้ซักถามออกไป
ถึงตรงนี้ อัลเจอร์มองไปรอบตัวและกล่าว
“ผมต้องการซื้อสูตรโอสถนักขับขานสมุทร”
เป็นอย่างที่คิด เขาเลื่อนเป็นลำดับ 6 ‘ข้ารับใช้วายุ’ เรียบร้อยแล้ว… แต่แฮงแมนเป็นคนของโบสถ์วายุสลาตันไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงถามหาสูตรโอสถ ‘นักขับขานสมุทร’ จากคนนอกโบสถ์? โดยทั่วไปแล้ว การใช้คะแนนผลงานแลกเปลี่ยนนั้นสะดวกกว่ามาก… เขากำลังปิดบังลำดับพลังตัวเองจากโบสถ์วายุสลาตัน หรือแสร้งหลอกทุกคนที่นี่ว่าตนเป็นสมาชิกของโบสถ์?
เฮอร์มิทผุดข้อสงสัยมากมาย แต่สุดท้ายเพียงพยักหน้ารับอย่างอ่อนโยน
“ดิฉันจะช่วยดูให้”
เมื่อเห็นการตอบสนอง อัลเจอร์หันไปถาม
“มาดาม คุณต้องการแลกเปลี่ยนกับสิ่งใด ผมจะได้สืบหาข้อมูลเตรียมไว้ล่วงหน้า การแลกเปลี่ยนในอนาคตจะได้ไม่ติดขัด”
……………
ราชันเร้นลับ 616 : เรื่องดีในเรื่องร้าย
โดย
Ink Stone_Fantasy
เราต้องการสิ่งใด?
เฮอร์มิท·แคทลียาหัวเราะในลำคอ เธอย่อมสังเกตเห็นความนัยที่มิสเตอร์แฮงแมนแนบมากับคำถาม
หากร้องขอสิ่งใด สิ่งนั้นจะกลายเป็นเบาะแสให้สืบสาวถึงตัวจริง!
ปัจจุบัน เรามีสูตรผลิตโอสถลำดับ 4 ของเส้นทางผู้ส่องความลับเรียบร้อยแล้ว แถมยังสั่งสมคะแนนผลงานเพียงพอจะแลกหนึ่งในวัตถุดิบหลักโอสถ แต่ต่อให้เรายังไม่มีอะไรเลย ก็มิได้ขาดแคลนช่องทางการรวบรวมวัตถุดิบ แถมยังไม่ใช่แค่หนึ่งแหล่ง…
แคทลียาครุ่นคิด หวนนึกถึงคทาเทพสมุทรที่มิสเตอร์ฟูลเคยถือ จึงตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม
“ดิฉันต้องการสมบัติวิเศษระดับครึ่งเทพ และผลข้างเคียงต้องอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้”
เมื่อสิ้นเสียงอีกฝ่าย แฮงแมนเกือบหลุดโพล่งออกไปว่า ‘เชิญไปเล่นตลกที่อื่นเถอะ!’
แม้แต่ภายในโบสถ์วายุสลาตัน กว่าจะได้ครอบครองสมบัติปิดผนึกระดับครึ่งเทพสักชิ้นยังต้องใช้เวลาหลายปี และไม่เคยถูกนำมาให้ผู้วิเศษลำดับกลางใช้งานแม้แต่ครั้งเดียว!
ลำพังสมบัติวิเศษระดับครึ่งเทพที่มีผลข้างเคียงต่ำก็แทบหาไม่ได้แล้ว หากเรามีของแบบนั้นอยู่กับตัว สู้ใช้เองไม่ดีกว่าหรือ…
อัลเจอร์ทราบว่า เฮอร์มิทกล่าวเช่นนั้นเพราะต้องการตอบโต้ที่ตนพยายามล้วงความลับ โชคดีว่ามันมิได้เป็นพวกป่าเถื่อนเหมือนเพื่อนร่วมงาน เพียงสูดลมหายใจเข้า ตอบสนองอย่างเยือกเย็น
“แล้วผมจะช่วยดูให้”
“แต่ว่านะ… มาดาม คุณคงทราบใช่ไหม ลำพังเบาะแสของสิ่งนั้น ก็มีมูลค่าสูงกว่าสูตรโอสถนักขับขานสมุทรของผมแล้ว”
หลักแหลมมาก ไม่ใช่พวกมุทะลุ แตกต่างจากคนของโบสถ์วายุสลาตัน… เราประเมินตัวตนชายคนนี้ผิดไป หรือว่าความจริงแล้ว เขาแสร้งปลอมตัวเป็นนักบวชของโบสถ์? ไม่สิ ยังด่วนสรุปไม่ได้ บางที อาจเป็นเพราะยังอยู่ในสายตาของมิสเตอร์ฟูล จึงไม่กล้าระเบิดโทสะออกมาส่งเดช หรือไม่ก็ เป็นพวกผ่าเหล่าที่หาได้ยากภายในโบสถ์ แต่ก็มิได้หายากขนาดนั้น…
เฮอร์มิท·แคทลียาไม่คิดต่อความ และไม่มีเจตนายุแหย่อีกฝ่ายเพิ่มเติม เพียงพยักหน้ารับ
“ฉันทราบ”
เมื่อบทสนทนาดังกล่าวจบลง ไม่มีใครกล่าวสิ่งใดจนกระทั่งจบช่วงเวลาซื้อขาย
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทุกคนได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว จึงไม่ละลายเงินอย่างพร่ำเพรื่อ ในกรณีของเมจิกเชี่ยน·ฟอร์สและจัสติส·ออเดรย์ พวกเธอมีช่องทางหาสูตรโอสถเป็นของตัวเอง เพียงรอเวลาเท่านั้น ส่วนคนอื่นเพิ่งเลื่อนลำดับและใช้เงินไปมาก จึงกำลังประสบปัญหาด้านสภาพคล่องการเงิน
หนึ่งในนั้นคือเอ็มลินที่ต้องการ ‘มรดก’ ของไวเคาต์ผีดูดเลือดแต่ไม่มีเงินมากพอ และฟอร์สที่ต้องการสมบัติวิเศษเกี่ยวกับการต่อสู้แต่ก็ไม่มีเงินเช่นกัน
เป็นอย่างที่คิด หลังจากทุกคนหลุดพ้นจากลำดับต่ำ และมิได้เลื่อนลำดับบ่อยครั้งเหมือนเมื่อก่อน ปริมาณการค้าขายในชุมนุมก็จะลดจำนวนลงไปด้วย…
แต่เดิมเคยมีการค้าขายสัปดาห์ละสองสามชิ้น ปัจจุบันเหลือราวสองสามสัปดาห์ต่อหนึ่งการแลกเปลี่ยน และในอนาคตอาจเหลือเพียงสามสี่เดือนต่อหนึ่งการแลกเปลี่ยน…
เดอะฟูล·ไคลน์ ยังไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้เป็นผลดีหรือเสียกับชุมนุมกันแน่ ทำเพียงพยักหน้ารับ เปิดโอกาสให้สมาชิกเข้าสู่ช่วงเวลาแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระ
จัสติส·ออเดรย์รีบมองไปทางเดอะซัน·เดอร์ริค รอให้อีกฝ่ายเล่าความเปลี่ยนแปลงภายในเมืองเงินพิสุทธิ์
เดอร์ริคไม่ทำให้ ‘ความคาดหวัง’ ของหญิงสาวสูญเปล่า ต่อหน้าทุกคน เด็กหนุ่มพรั่งพรูความกังวลโดยไม่ปิดบัง
“อาวุโสโลเฟียร์ถูกปล่อยตัวแล้ว ผมเดินสวนกลับเธอในหอสมุด”
คนเลี้ยงแกะ·โลเฟียร์ถูกปล่อยตัว? สมาชิกทีมสำรวจของเธอทุกคนล้วนถูกพระผู้สร้างแท้จริงกัดกร่อนทั้งดวงวิญญาณและร่างกายจนเกิดการคลุ้มคลั่ง แล้วเป็นไปได้ด้วยหรือที่ตัวเธอจะยังปรกติ? ไม่มีทาง! หกสภาอาวุโสของเมืองเงินพิสุทธิ์กำลังคิดอะไรอยู่!
ไคลน์ต้องการพูดออกไปว่า ‘ถ้าโลเฟียร์ยังเป็นปรกติ เชิญบั่นเศียรฉันทิ้งได้เลย จากนั้นก็นำไปให้พระผู้สร้างแท้จริงเตะเล่นแทนลูกบอล!’ หรือไม่ก็คำสบถในทำนองเดียวกันที่สื่อถึงความฉงนสุดขีด แต่หลังจากไตร่ตรองสักพัก มันมองว่าการสบถคำที่มีนามของเทพแฝงอยู่ คงไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดสักเท่าไร จึงไม่มีทางเลือกนอกจากปล่อยวาง
ถึงการพูดบนมิติหมอกจะไม่เป็นอะไรก็เถอะ…
ชายหนุ่มถอนหายใจ
“อาวุโสโลเฟียร์ถูกปล่อยตัว? คนเลี้ยงแกะผู้นั้นน่ะหรือ?” จัสติส·ออเดรย์จดจำตัวตนเจ้าของชื่อได้ทันที
ย้อนกลับไปในตอนนั้น เดอะซันยืมมืออามุนด์และพลังของมิสเตอร์ฟูลเพื่อเปิดโปงว่า หน่วยสำรวจทุกคนเกิดคลุ้มคลั่งเพราะดวงวิญญาณถูกกัดกร่อนโดยพระผู้สร้างแท้จริง และช่างบังเอิญเหลือเกินที่โลเฟียร์ หนึ่งในหกอาวุโสและหัวหน้าทีมสำรวจครั้งนั้น มีพลังอยู่บนเส้นทางเดียวกับพระผู้สร้างแท้จริง!
“ถูกต้อง” เดอะซันพยักหน้ารับ ก่อนจะมองไปทางแฮงแมนด้านข้างโดยไม่ปิดบังสีหน้ากังวล
อัลเจอร์ครุ่นคิดเล็กน้อย มอบคำตอบ
“เจ้าเมืองเพิ่งกลับมาถึงใช่ไหม”
ทำไมเขาถึงถามแบบนั้น…
เข้าใจแล้ว! การจะปล่อยตัวนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาเมืองครบทุกคน โดยเฉพาะผู้มีตำแหน่งสูงสุด จึงไม่แปลกที่จะรอจนเจ้าเมืองกลับมา…
ถ้าการปล่อยตัวนักโทษเกิดขึ้นโดยไม่รอฟังความเห็นชอบจากเจ้าเมือง นั่นหมายความว่าโลเฟียร์ไม่ใช่คนอันตราย… แต่ถ้าต้องรอให้เจ้าเมืองกลับมาถึงจึงค่อยปล่อยตัว ย่อมหมายถึง โลเฟียร์คือบุคคลอันตรายที่สามารถเป็นภัยต่อชีวิตของเดอะซันน้อย… ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เดอะซันแทบไม่เคยเล่าถึงภารกิจสำรวจ มีเพียงภารกิจของเจ้าเมืองและเด็กชายแจ็ค…
เฮ่อ… ทำไมเราถึงคิดไม่ออกในทันทีเหมือนกับมิสเตอร์แฮงแมนบ้าง! ออเดรย์ เธอยังขาดประสบการณ์อีกมาก!
จัสติส·ออเดรย์ตำหนิตัวเองพร้อมกับให้กำลังใจเสร็จสรรพ
“ใช่ครับ เพิ่งกลับมาถึงไม่นาน” เดอะซันประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินแฮงแมนเดาถูกอย่างแม่นยำ
ขณะเดียวกัน เมจิกเชี่ยน·ฟอร์สที่มีโอกาสได้ฟังเรื่องราวตั้งแต่ต้น ทำการปะติดปะต่อข้อมูล :
“มิสเตอร์ซัน ฉันคิดว่าคงเป็นแบบนี้… เจ้าเมืองของคุณพาทีมสำรวจและเด็กชายแจ็คตระเวนหาทางออกจากดินแดนอันมืดมิด แต่กลับกลายเป็นว่า เงื่อนไขที่จะทำให้ออกไปได้ พลังของพระผู้สร้างแท้จริงคือสิ่งจำเป็น หึหึ… ดิฉันมิได้คาดเดาส่งเดช แต่มีเหตุผลรองรับรัดกุม บิดาของเด็กชายแจ็คคือสมาชิกของชุมนุมแสงเหนือ พวกเขาพาเด็กชายแจ็คขึ้นเรือเพื่อตามหาอาศรมศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้สร้างแท้จริง เป็นสาเหตุว่าทำไม เมื่อเจ้าเมืองเดินทางกลับมาถึง เขาจึงรีบปล่อยตัวคนเลี้ยงแกะทันที”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง มิสเตอร์ซันกำลังตกอยู่ในอันตราย” ออเดรย์แสดงความเห็นพลางขมวดคิ้วอย่างกังวล
เดอร์ริคได้ยินเช่นนั้น สีหน้ามองดำมืดทันที
แต่ทางอัลเจอร์รีบส่ายหน้า
“ผิดแล้ว ตรงกันข้ามเลยต่างหาก จากทฤษฎีของผม เหตุผลการปล่อยตัวอาวุโสโลเฟียร์อาจคล้ายคลึงกับของมิสเมจิกเชี่ยน แต่ผมเดาว่าเดอะซันจะปลอดภัยขึ้นจากเดิม”
“เพราะเหตุใด?”
เดอร์ริคครุ่นคิด ซักถามด้วยสีหน้าฉงน
มันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่หรือ? เพื่อถ่วงดุลอำนาจ!
เดอะฟูล·ไคลน์ รีบโพล่งขึ้นภายในใจ
“หากเจ้าเมืองของคุณมีสมองสักนิด เขาย่อมทราบถึงตื้นลึกหนาบางของอันตรายจากพระผู้สร้างแท้จริงเป็นอย่างดี จึงไม่กล้าเสี่ยงเผชิญหน้าโดยตรง และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะอาศัยพลังลึกลับบางอย่างเพื่อ ‘คานอำนาจ’ เอาไว้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าผู้ที่เคยถูก ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์สิงร่าง! ยิ่งอาวุโสโลเฟียร์จ้องจะทำร้ายคุณมากเพียงใด เจ้าเมืองและสภาเมืองเงินพิสุทธิ์ก็ยิ่งปกป้องคุณมากเท่านั้น สิ่งนี้จะช่วยให้ข้อสงสัยบางเรื่องในตัวคุณที่ยังไม่สะสาง ถูกมองข้ามและทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
อัลเจอร์อธิบายฉะฉาน
ฟังดูเข้าท่ามาก… ในความโชคร้าย เดอะซันก็ยังมีความโชคดีบ้างอยู่สินะ… ฟอร์สครุ่นคิด
ทฤษฎีของมิสเตอร์แฮงแมนฟังดูสมเหตุสมผลมากทีเดียว… ในเชิงการวิเคราะห์วางแผน เรายังห่างไกลจากเขาอยู่หลายขุม…
จัสติส·ออเดรย์ห่อเหี่ยว ถึงขั้นต้องการพองแก้มด้วยอารมณ์บูดบึ้ง แต่สุดท้ายก็เลือกจะเก็บไว้ในใจ เพราะนั่นเป็นกิริยาที่ไม่สง่างาม
นอกวงสนทนา เอ็มลินที่ยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง แต่สามารถจับประเด็นได้บ้าง จากเรื่องราวของเด็กชายแจ็คและกระแสวังวนแห่งโชคชะตาที่ตนเคยได้ยิน จึงพอจะตามทันอยู่บ้าง
สรุปก็คือ… เพื่อให้เมืองเงินพิสุทธิ์ยังดำเนินต่อไปได้ พวกมันตัดสินใจ ‘ปล่อยตัว’ บุคคลอันตรายที่เกี่ยวกับพระผู้สร้างแท้จริงออกมา?
เอ็มลินคาดเดาในใจ
เทียมกับมันแล้ว เฮอร์มิท·แคทลียาแทบไม่เข้าใจอะไรเลยยิ่งกว่า ประหนึ่งสมาชิกคนอื่นมิได้อาศัยอยู่บนโลกใบเดียวกันกับตน
ราวกับพวกเรากำลังสนทนาในเรื่องระดับสูงเกินความเข้าใจของเรา… ความรู้สึกเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่ตอนนั้นเรายังอ่อนแออย่างมาก… ในการชุมนุมทาโรต์ครั้งก่อน ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองเงินพิสุทธิ์ถูกเปิดออกมาเผยเพียงผิวเผิน แต่คราวนี้กลับเข้มข้นขึ้นอย่างกะทันหัน…
เหนือสิ่งอื่นใด ทำไมพวกเขาถึงได้เอ่ยนามพระผู้สร้างแท้จริงและ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติเช่นนั้น? ฟังดูไม่น่าจะเป็นอามุนด์อื่นนอกเหนือจากที่เรารู้จัก… ก่อนหน้านี้ พวกเราเคยเผชิญกับอะไรมาบ้าง…
แคทลียาที่เคยมั่นใจว่าตนแข็งแกร่งและทรงปัญญากว่าใครในชุมนุม เริ่มออกอาการเสียศูนย์เป็นครั้งแรก
หลังจากได้ยินคำอธิบายจากแฮงแมน เด็กหนุ่มหน้าโล่งใจ ตามด้วยคำถามที่ยังค้างคา
“หมายความว่า… เมืองเงินพิสุทธิ์ของผมรอดพ้นจากการถูกทำลายโดยพระผู้สร้างเสื่อมทรามแล้วใช่ไหม?”
มันหวังจะได้ยินคำตอบที่ฟังแล้วชื่นใจจากแฮงแมน แต่สิ่งที่ได้ยินกลับเป็นความคลุมเครือและไม่หนักแน่น
“…ยังตัดโอกาสนั้นออกไปไม่ได้”
“แล้วผมควรทำยังไง” เดอร์ริคขอคำแนะนำ
“ตราบใดที่ยังไม่ทราบว่าเจ้าเมืองและสภาอาวุโสของพวกคุณกำลังวางแผนอะไรไว้ ผมคงมอบคำแนะนำที่ชัดเจนไม่ได้ แต่เชื่อเถอะ คุณไม่จำเป็นต้องกังวล”
เมื่อกล่าวจบ แฮงแมนหันไปมองยังเก้าอี้ประธานชุมนุม พลางจ้องเดอะฟูลของสมาชิกทุกคนอย่างเงียบงัน
เดอะซันมองตาม และพบว่ามิสเตอร์ฟูลกำลังนั่งอยู่ในมาดสง่างามเหมือนเช่นเคย
จิตใจเด็กหนุ่มพลันสงบลงอย่างน่าประหลาด ภายในใจหวนนึกถึงความช่วยเหลือระดับเทวทูตครั้งแล้วครั้งเล่าจากอีกฝ่าย
อย่ามองฉันแบบนั้น! ถึงจะเคยทำลายแผนการของพระผู้สร้างแท้จริงหลายหน แต่หากเผชิญหน้ากันตัวต่อตัว เกรงว่าคงไม่รอดตั้งแต่วินาทีแรก… ช่วงนี้คงต้องหลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรงไปก่อน…
ไคลน์ยังคงรักษามาดของผู้ฟังอย่างเงียบขรึมและลุ่มลึกเหมือนทุกที ไม่เอ่ยคำใดหรือแสดงออกเกี่ยวกับสิ่งใดเป็นพิเศษ
เดอะซัน·เดอร์ริคมองไปทางอัลเจอร์
“มิสเตอร์แฮงแมน ขอบคุณสำหรับคำแนะนำเหมือนกับทุกครั้ง ผมจะรีบสืบหาว่าสภาอาวุโสกำลังวางแผนอะไรอยู่”
เมื่อเห็นบทสนทนาใกล้จบลง เฮอร์มิทเปิดประเด็นซักถามโดยไตร่ตรองเป็นอย่างดี
“พวกคุณเพิ่งพูดถึง ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์… ดิฉันสงสัยว่าเป็นอามุนด์คนเดียวกับต้นตระกูลอามุนด์แห่งจักรวรรดิทูดอร์ในยุคสมัยที่สี่ อามุนด์ บุตรแห่งพระผู้สร้าง …ใช่หรือไม่?”
บุตรแห่งพระผู้สร้าง…?
จัสติส·ออเดรย์พลันตกตะลึงเมื่อได้ยินมาดามเฮอร์มิทเรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อดังกล่าว หญิงสาวรีบหันไปมองด้านข้างตามสัญชาตญาณ และพบว่ามิสเตอร์ฟูลกำลังนั่งด้วยมาดเงียบขรึม ประหนึ่งยอมรับเป็นนัยว่า สรรพคุณของอามุนด์ที่เฮอร์มิทพรรณนานั้นถูกต้องแล้ว
……………………
ราชันเร้นลับ 617 : ความลึกลับของอาดัม
โดย
Ink Stone_Fantasy
บุตรแห่งพระผู้สร้าง?
แฮงแมน·อัลเจอร์ค่อนข้างประหลาดใจกับคำนิยามของเฮอร์มิท ถึงกับต้องขมวดคิ้วออกมา
แต่มันตัดสินใจไม่ถามออกไปโดยตรง เพราะกังวลว่านั่นอาจเป็นการเผยความลับตัวเองโดยไม่ตั้งใจ ขณะเดียวกันก็ชื่อว่า คงมีใครสักคนเอ่ยปากถามแทน
“บุตรแห่งพระผู้สร้าง?” เมจิกเชี่ยน·ฟอร์สทวนคำด้วยสีหน้าฉงน
เธอคาดไม่ถึงว่า อามุนด์ที่มีสมญานาม ‘ราชาเทวทูต’ และ ‘ผู้เย้ยเทพ’ จะยังมีอีกหนึ่งตัวตนอันน่าตกตะลึง
เฮอร์มิท·แคทลียา ชำเลืองฟอร์สด้วยหางตา มอบคำตอบสงบนิ่ง
“ตำนานกล่าวไว้ว่า ในการแบ่งร่างครั้งแรกของพระผู้สร้างที่ทำให้เกิดเทพตนอื่นและเผ่าพันธุ์สัตว์วิเศษ มีเด็กทารกสองคนถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกัน หนึ่งในนั้นคือ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์”
หืม… แต่จิตรกรรมฝาผนังภายในสุสานตระกูลอามุนด์ขัดแย้งกับคำอธิบายของเธอ…
ในวินาทีที่อาดัมและอามุนด์ลืมตาดูโลก นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่พระผู้สร้างตื่นขึ้น และทำการทวงคืนอำนาจจากบรรดาเทพบรรพกาล
ในยามนั้น ท่านนั่งอย่างสง่างามบนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์ รายล้อมกองทัพเทวทูตจำนวนมาก ปราศจากกลิ่นอายของความตายหรือการ ‘แบ่งร่าง’ อย่างที่เข้าใจ…
จิตรกรรมฝาผนังดังกล่าวสอดคล้องกับบันทึกตำนานของเมืองเงินพิสุทธิ์… บางที พระผู้สร้างอาจลืมตาตื่นขึ้นมาสองครั้ง หรือบางที พระผู้สร้างตามตำนานเมืองเงินพิสุทธิ์ อาจเป็นคนละคนกับพระผู้สร้างที่ให้กำเนิดอาดัมและอามุนด์ โดยมีคนหนึ่งสืบทอดพลังของอีกคนหนึ่ง…
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของเฮอร์มิท ไคลน์สร้างสมมติฐานขึ้นในใจ
อามุนด์คือบุตรแห่งพระผู้สร้าง… ตัวตนระดับดังกล่าวไม่ด้อยไปกว่าเทพแท้จริงเลยสักนิด!
แต่มิสเตอร์ฟูลพร้อมด้วยชุมนุมทาโรต์ของเรา กลับสามารถขจัด ‘ร่างแบ่งภาค’ ของอามุนด์ได้อย่างง่ายดาย!
จัสติส·ออเดรย์นึกทบทวนทุกเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ทันใดนั้น เธอตระหนักได้ทันทีว่าตนเหนือกว่าผู้วิเศษทั่วไปมากเพียงใด ระดับของชุมนุมทาโรต์กับชุมนุมลับปรกติ ช่างแตกต่างกันนับร้อยเท่า!
หญิงสาวซักถามต่อ
“มาดามเฮอร์มิท แล้วคุณทราบหรือไม่ว่า บุตรอีกคนของพระผู้สร้างมีนามว่าอะไร?”
“อาดัม” เฮอร์มิท·แคทลียา พ่นคำสั้น
จัสติส·ออเดรย์ผงะเล็กน้อย เพราะคำถามของเธอปรารถนาเพียงคำตอบ ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่’ ส่วนเนื้อหาหลังจากนั้นอาจต้องมีการซื้อขาย ใครจะไปคิดว่าเฮอร์มิท·แคทลียาจะเอ่ยชื่ออาดัมในทันที
เธอมิได้มองว่าข้อมูลนี้สำคัญ…
คงครอบครองข้อมูลไว้มากพอสมควร…
ออเดรย์เริ่มอนุมานจากรายละเอียดเล็กน้อย
จากนั้นก็หันไปจ้อง
“ดิฉันไม่เคยได้ยินชื่อของอาดัมมาก่อน”
“ทางนี้ก็เช่นกัน หากไม่นับเรื่องที่ถูกบันทึกในตำนานว่าเป็นบุตรแห่งพระผู้สร้าง ดิฉันก็ไม่เคยได้ยินชื่อของอาดัมจากที่ไหนอีกเลย ประหนึ่งว่าไม่เคยมีตัวตนในประวัติศาสตร์ของยุคสมัยที่สี่” แคทลียามอบคำตอบสุขุม
อาดัมเต็มไปด้วยความลึกลับ… แม้ว่าเราจะมีข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลเทวทูตภายในจักรวรรดิโซโลมอน ทรันซอสต์ และทูดอร์ค่อนข้างครบถ้วน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยได้ยินชื่อของอาดัม หากไม่ใช่เพราะอาโรเดสบันทึก ‘วิดีโอ’ การขุดค้นอนุสาวรีย์สุสานตระกูลอามุนด์ของหน่วยจิตแห่งจักรกล เราคงไม่เคยได้ยินชื่ออาดัมเช่นกัน… เป็นเพราะท่านร่วงหล่นไปนานแล้ว หรือเอาแต่เร้นกายซ่อนตัวจากโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ…
ถ้าทำแบบนั้น ท่านมีแผนอะไรในใจ?
ไคลน์รำพันเงียบ
ออเดรย์หันไปมองมิสเตอร์แฮงแมน และพบว่าอีกฝ่ายส่ายหัวตอบอย่างอ่อนโยน
อามุนด์เป็นราชาเทวทูต หากอาดัมไม่ใช่ก็คงจะแปลกเกินไปสักหน่อย เรื่องนี้อาจมีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เมืองเงินพิสุทธิ์…
จัสติส·ออเดรย์หันไปทางเดอะซัน·เดอร์ริค
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เดอร์ริคทราบเจตนาของหญิงสาว จึงตอบกลับไปด้วยสีหน้าอึมครึม
“พวกเราไม่รู้จักอาดัม เหมือนกับที่ไม่เคยรู้จักอามุนด์มาก่อน ในตอนนี้ ผมยังหาหนังสือที่บันทึกเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของราชาเทวทูตไม่พบ อาจเป็นเพราะลำดับของผมยังต่ำเกินไป ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลดังกล่าว คงต้องพยายามค้นหากันต่อไป”
ราชาเทวทูต…
เฮอร์มิท·แคทลียา ขยับปลายนิ้วเล็กน้อย ปากพึมพำวลีที่ตนเคยได้ยินจากชุมนุมคราวก่อน
เธอทราบดี หากถามออกไปตอนนี้ มิสจัสติสคงยินดีอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด หญิงสาวไม่มัวรอช้า รีบซักถามเข้าประเด็นทันที
“พวกคุณพูดว่า อามุนด์คือราชาเทวทูต?”
“ถูกต้อง” จัสติส·ออเดรย์รู้สึกขอบคุณเฮอร์มิทจากก้นบึ้งหัวใจ จึงยินดีอธิบายโดยไม่ขัดข้อง “ตามบันทึกของเมืองเงินพิสุทธิ์ พระผู้สร้างจะรายล้อมด้วยเทวทูตจำนวนมาก โดยจะมีหัวหน้าของเหล่าเทวทูตที่ถูกเรียกว่า ‘ราชาเทวทูต’
“หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ แปดราชาเทวทูตเป็นตัวตนที่ใกล้ชิดกับพระผู้สร้างมากที่สุด ตอนนี้พวกเรายังมีข้อมูลของราชาเทวทูตไม่มากนัก หนึ่งในนั้นคือโอโรเลอุส ‘เทวทูตโชคชะตา’ หากอ้างอิงจากบันทึกของเมืองเงินพิสุทธิ์ ท่านจะมีอีกสมญานามว่า ‘ผู้กลืนหาง’ ถัดมาเป็นตนที่มิสเตอร์ฟูลเคยกล่าวถึง ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซี มีอีกสมญานามหนึ่งว่า ‘เทวทูตสงคราม’ หลังจากนี้เป็นเพียงการคาดคะเน พวกเราสงสัยว่า อามุนด์คือ ‘เทวทูตกาลเวลา’ แห่งแปดราชาเทวทูต และในเมื่ออามุนด์เป็นราชาเทวทูต ก็มีโอกาสมากที่อาดัมซึ่งเป็นบุตรแห่งพระผู้สร้าง จะเป็นหนึ่งในราชาเทวทูตเช่นกัน”
แบบนี้เรียกว่ามีข้อมูลไม่มาก…?
เรายังไม่เคยได้ยินคำว่าราชาเทวทูตด้วยซ้ำ แต่พวกเขากลับสามารถระบุตัวตนได้กว่าครึ่ง เพียงเท่านี้ยังไม่มากอีกหรือ? ทั้งที่ไม่มีใครในหมู่พวกเขามีลำดับสูงกว่าเรา…
เฮอร์มิทหมดคำจะกล่าว
จากคำอธิบายข้างต้น ทางเดอะมูนเองก็เพิ่งเข้าใจความหมายที่แท้จริงของราชาเทวทูต มันเริ่มวางเป้าหมายใหม่ทันที หากกลับไปยังโลกความจริงเมื่อใด จะเริ่มค้นคว้าข้อมูลจากคำว่า ‘ราชาเทวทูต’ เป็นหลัก เผื่ออาจได้พบเบาะแสของราชาเทวทูตตนที่เหลือ ถูกบันทึกไว้ในตำนานของผีดูดเลือด
หลังจากนั่งนิ่งนานหลายวินาที แคทลียายังคงมีคำถาม
“มิสเตอร์ซันเคยถูกอามุนด์สิงร่าง?”
“ถูกต้อง ระบุให้ชัดคือ ถูกร่างแบ่งภาคของอามุนด์สิง” เดอะซัน·เดอร์ริคตอบอย่างซื่อตรง “แต่ได้มิสเตอร์ฟูลช่วยชำระล้างทันเวลา ผมจึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก”
มิสเตอร์ฟูลช่วยชำระล้าง…
เฮอร์มิท·แคทลียาพยายามระงับตัวเอง ไม่ให้มองไปทางเก้าอี้สุดปลายโต๊ะทองแดงยาว
เธอเคยคิดว่า ตนเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของมิสเตอร์ฟูลอย่างถ่องแท้ นั่นคือ อีกฝ่ายยังอยู่ในกระบวนการฟื้นฟูพลัง ไม่สามารถใช้พลังได้มากนัก เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องช่วงชิงตัวตนและคทาจากเทพสมุทร
แต่ยิ่งได้ฟังข้อมูล สมมติฐานดังกล่าวก็ยิ่งถูกสั่นคลอน แคทลียาเริ่มมองมิสเตอร์ฟูลเหมือนกับก้อนภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นผิวน้ำเพียงน้อยนิด ยังเหลือส่วนที่จมอยู่ใต้ทะเลอีกมากจนยากหยั่งถึง
ท่านทำลายแผนการของอามุนด์ได้อย่างง่ายดาย… หรือความจริงแล้ว หากเป็นกรณีฉุกเฉิน มิสเตอร์ฟูลสามารถปลดพันธนาการและสำแดงอิทธิฤทธิ์ของเทพได้ชั่วคราว?
หัวใจแคทลียาเริ่มหนักอึ้ง ตัดสินใจไม่ซักถามสิ่งใดต่อ ปิดปากสนิทอย่างระมัดระวัง
ถึงตรงนี้ จัสติส·ออเดรย์ผุดข้อสงสัยใหม่
“มาดามเฮอร์มิท หลังจากอามุนด์ถูกมิสเตอร์ฟูลชำระล้าง หนอนแมลงที่มีวงแหวนมายาสิบสองส่วนได้ปรากฏขึ้นในจุดเกิดเหตุ มันถูกเรียกว่า ‘หนอนกาลเวลา’ ข้อมูลนี้ถูกต้องหรือไม่คะ?”
“ถูกต้อง” แคทลียายืนยันหลังจากนึกทบทวนความทรงจำสักพัก
“สิ่งนั้นเป็นของเส้นทางใดหรือ? ดิฉันหมายถึง เส้นทางของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่าอะไร” ออเดรย์ถามด้วยดวงตาเปล่งประกาย
แคทลียาตอบโดยไม่ต้องคิด
“นักจารกรรม กล่าวกันว่า ในลำดับนักบุญหรือเทวทูต พวกท่านสามารถหลอกลวงโชคชะตา แหกกฎเกณฑ์ธรรมชาติ และกลายเป็นปรสิตกาลเวลา”
ทรงพลังมาก…
ออเดรย์ยิงคำถามถามหลังจากไตร่ตรอง
“แล้วเราสามารถนำหนอนกาลเวลาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไรบ้าง?”
ถามได้ดี!
ไคลน์·เดอะฟูล โพล่งชื่นชมจัสติสภายในใจ
ชายหนุ่มพลันสดชื่น รอคอยคำตอบจากมาดามเฮอร์มิทด้วยใจจดจ่อ
เพราะตอนนี้มันมีหนอนกาลเวลาอยู่ในกองขยะหนึ่งตัว!
“สิ่งนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังวิญญาณ ในเชิงศาสตร์เร้นลับ มันคือวัสดุที่มีประโยชน์ใช้งานหลากหลาย สามารถนำไปประกอบพิธีกรรม หรือสร้างเป็นยันต์ระดับสูง แต่ดิฉันไม่ทราบรายละเอียดและขั้นตอนเชิงลึก”
หลังจากเฮอร์มิทมอบคำตอบ เธอถอนหายใจ
หญิงสาวหวนนึกถึงฝันร้ายที่ต้องถูกไล่ลาโดยมวลความรู้มหาศาล ขณะถูกข้อมูลจำนวนมากถาโถมภายในเวลาอันสั้น สมองเธอจะปวดแปลบคล้ายกับพร้อมระเบิดทุกเมื่อ
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีอีกหลายสิ่งที่เธอยังไม่รู้
หาก ‘ปราชญ์เร้นลับ’ ไม่ฟั่นเฟือน และมอบความรู้ทีละนิดอย่างอ่อนโยน เราคงยอมติดตามรับใช้ท่านแต่โดยดี…
แคทลียาถอนหายใจยาว
แค่วิธีนำไปใช้ก็เพียงพอแล้ว! ในส่วนของรายละเอียดลึกลงไปกว่านั้น เรามีคนคอยให้คำปรึกษามากมาย…
ไคลน์บังคับเดอะเวิร์ลอย่างมีความสุข หันไปกล่าวกับเอ็มลิน
“มิสเตอร์มูน ผมมีบางสิ่งต้องการคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว”
ช่วงเวลาค้าขายจบแล้วไม่ใช่หรือ?
เดอะมูน·เอ็มลินพยักหน้ารับอย่างฉงน
“ตกลง”
เดอะเวิร์ลขออนุญาตเดอะฟูล ถัดจากนั้น สมาชิกคนที่เหลือล้วนถูกปิดกั้นประสาทสัมผัส
มันกล่าวกับเอ็มลิน·ไวท์
“ผมต้องการเห็นฉากทั้งหมดที่มีเลียวนาร์ด·มิเชลเข้ามาเกี่ยวข้อง”
“เอาไปทำไม?” เดอะมูนเผยสีหน้าสับสน
“ในนั้นมีความลับซ่อนอยู่” ไคลน์ควบคุมเดอะเวิร์ลมอบคำตอบสั้นกระชับ
หมายความว่า… เป้าหมายที่แท้จริงของชายคนนี้ไม่ใช่การซื้อสมบัติวิเศษ แต่เป็นการจับตามองเลียวนาร์ด·มิเชล?
หืม… เหยี่ยวราตรีนั่นไม่ธรรมดาอย่างที่คิด… เช่นเดียวกับเดอะเวิร์ล เพียงเพื่อสืบข้อมูล เขายอมจ่ายมากถึงเจ็ดพันห้าร้อยปอนด์ในคราวเดียว… แต่สมบัติวิเศษชิ้นดังกล่าวก็นับว่าทรงพลัง…
ไม่เพียงเท่านั้น เรายังจำได้ว่า เดอะเวิร์ลมักมองหาวิธีขจัดจิตกัดกร่อนออกจากตะกอนพลังอยู่เสมอ… ถุงมือนั่นน่าจะทำได้…
เอ็มพลันหยุดคิดเรื่อยเปื่อย นึกทบทวนความตรงจำทั้งหมดที่เกี่ยวกับเลียวนาร์ด·มิเชลในมุมมองของตน สร้างเป็นก้อนแสงภาพเคลื่อนไหวโดยอาศัยความช่วยเหลือจากเดอะฟูล และส่งต่อให้เดอะเวิร์ล
เดอะเวิร์ล·ไคลน์สำรวจก้อนแสงอย่างใจเย็น
มันสามารถยืนยันได้ว่า เลียวนาร์ดตระหนักถึงตัวตนของคุณปู่ปรสิตได้ แต่มิอาจยืนยันว่าอีกฝ่ายมีเจตนาดีหรือร้าย
ไคลน์หยุดคิดเรื่องดังกล่าวไว้ก่อน เริ่มคืนประสาทสัมผัสให้กับสมาชิกคนอื่น
ถึงตรงนี้ เมื่อได้เห็นเดอะเวิร์ลร้องขอการสนทนาส่วนตัว จัสติส·ออเดรย์หันไปมองฟอร์สสักพักก่อนเปิดปากถาม
“มิสเมจิกเชี่ยน คุณพบความผิดปรกติบนถนนวิลเลียมส์บ้างไหม?”
“คงต้องให้มิสเตอร์เวิร์ลตอบ” ฟอร์สเผยสีหน้าลำบากใจ
โดยไม่รอให้จัสติสถาม ไคลน์ควบคุมเดอะเวิร์ลเปล่งเสียงแหบพร่า
“มีความผิดปรกติ แต่ผมแจ้งข่าวให้โบสถ์รัตติกาลและโบสถ์จักรกลไอน้ำทราบแล้ว หากหลังจากนี้ยังพบปัญหา อาจต้องรบกวนคุณเพิ่มเติมในอนาคต”
“ตกลงค่ะ!” ออเดรย์ จัสติส สูดลมหายใจยาวอย่างผ่อนคลาย
โบสถ์รัตติกาลและโบสถ์จักรกลไอน้ำ?
ทำไมถึง…
เฮอร์มิท·แคทลียา มองว่าประโยคเมื่อครู่เต็มไปด้วยความขัดแย้งในตัวเอง
ตามความรู้ความเข้าใจของหญิงสาว องค์กรลับอย่างชุมนุมทาโรต์ควรจะเป็นศัตรูกับทางการ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงความขัดแย้งนี้ได้ แต่สำเนียงการพูดและวิธีเลือกใช้คำของเดอะเวิร์ล ประหนึ่งว่าชุมนุมทาโรต์ทำงานร่วมกับทางการ
หลังจากนั้น เธอเฝ้ามองการชุมนุมดำเนินต่อไปโดยมิอาจสลัดความคาใจดังกล่าว จนกระทั่งมิสเตอร์ฟูลส่งสัญญาณสิ้นสุดชุมนุมประจำสัปดาห์ หญิงสาวลุกขึ้นและคำนับ
เพียงไม่นาน ไคลน์อยู่บนมิติหมอกตามลำพัง
……………………
ราชันเร้นลับ 618 : งานอาสาสมัคร
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ ชั้นสองของผับมะนาวหวาน
ภายในห้องบอสใหญ่
บิลต์·แบรนโด้กำลังคาบซิการ์ ยืนข้างหน้าต่าง จ้องไปยังด้านนอกโดยไม่เพ่งมองจุดใดเป็นพิเศษ สีหน้าค่อนไปทางอึมครึม
คนคุมผับคนหนึ่งเดินเข้ามา โค้งตัวเล็กน้อย กล่าวหลังจากไตร่ตรอง
“บอส โซทอธกลับจากย่านตะวันออกแล้ว”
“ให้เข้ามาได้” บิลต์พยายามปรับอารมณ์
โซทอธ·เอียน คือมือขวาของมัน เป็นสมาชิกคนสำคัญของสหภาพนักผจญภัยที่ไม่เคร่งครัดกฎระเบียบมากนัก
ไม่ถึงหนึ่งนาที โซทอธที่สวมเสื้อลินิน แจ็คเก็ตสีน้ำตาล ผ้าโพกหัวสีแดง เดินเข้ามาในห้อง
อายุราวสามสิบ ผิวสีแทน เบ้าตาจมลึก หนวดเครารอบริมฝีปากและใต้คางเข้มครึ้ม เพียงมองผิวเผินก็ทราบทันทีว่าเป็นพวกที่วัน ๆ เอาแต่อยู่ในทะเล
โซทอธทำความเคารพพอเป็นพิธี ดวงตาจ้องมายังบิลต์·แบรนโด้
“บอส เกิดอะไรขึ้น?”
“เหตุไม่คาดฝัน… ส่งผลให้แผนการทั้งหมดพังไม่เป็นท่า” บิลต์ถอนหายใจต่อหน้า “ตอนนี้ฉันยังหาคำอธิบายให้ท่านผู้นั้นไม่ได้เลย”
โดยไม่รอให้โซทอธพูด บิลต์เปลี่ยนไปคุยประเด็นอื่น
“ย่านทะเลตะวันออกเป็นยังไงบ้าง”
“เหมือนเดิม โจรสลัดปล้นเรือทุกลำที่พวกมันสามารถทำได้ ปล้นกระทั่งโจรสลัดด้วยกันเองถ้ามีโอกาส กองทัพเรือทำได้แค่ปกป้องฐานทัพและอาณานิคมของตัวเอง ยากจะคุ้มกันน่านน้ำปลอดภัยได้อย่างสมบูรณ์ เต็มที่ก็แค่อารักขาเรือลำสำคัญ การปะทะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ผลลัพธ์ผลัดกันแพ้ชนะ” โซทอธยักไหล่
“ย่านตะวันออกของทะเลโซเนียไม่ต่างอะไรกับแดนสวรรค์ให้โจรสลัดอาละวาด” บิลต์ถอนหายใจเหนื่อยหน่าย
โซทอธทำหน้านึก ก่อนจะกล่าวเสริม
“บนเกาะเยื้องไปทางตะวันออก พักหลังมีข่าวลือเรื่องหนึ่งหนาหูมาก โดยกล่าวกันว่า ต้นตอของข่าวดังกล่าวมาจากกาฬมรณะ”
“พลเรือโทโรคภัย? ข่าวอะไร?” บิลต์ถามด้วยสีหน้าคาดหวัง
โซทอธเล่าตื่นเต้น
“พลเรือโทโรคภัยถูกลอบสังหาร! อาการบาดเจ็บค่อนข้างย่ำแย่ และผู้ที่ลงมือลอบสังหารคือนักผจญภัยชื่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์!”
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์…” บิลต์ทวนคำ
“ใช่! เป็นเขา! ฝีมืออยู่ในระดับเดียวกับพลเรือโจรสลัดอย่างที่คิด! ถึงจะเป็นการซุ่มโจมตีขณะอีกฝ่ายเผลอ แต่ทั้งหมดก็เกิดขึ้นบนกาฬมรณะ ที่นั่นเต็มไปด้วยโจรสลัดของฝ่ายศัตรู แต่เขากลับทำให้พลเรือโทโรคภัยเจ็บหนักและหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย! หลังจากนั้นยังลงมือสังหารนักเจรจา·มีซอร์!” โซทอธออกท่าทาง
บิลต์เดินสองก้าว ถอนหายใจ
“ถือเป็นข่าวใหญ่… เพราะแต่ไหนแต่ไร แทบไม่มีนักผจญภัยคนใดแข็งแกร่งเท่าพลเรือโจรสลัด แถมคราวนี้ยังลงมือลองสังหารพลเรือโจรสลัดอย่างอุกอาจบนเรือธง พฤติกรรมเช่นนี้ หากไม่มั่นใจในฝีมือตัวเองเป็นอย่างมาก ก็ต้องเป็นพวกบ้าบิ่น …มีเพียงคนสติฟั่นเฟือนเท่านั้นจึงจะนำพาตัวเองเข้าไปในเรือธงของพลเรือโจรสลัด และพยายามลงมือลอบสังหารโดยไม่สนใจสถานที่!”
เล่าถึงตรงนี้ บิลต์เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย
“เมื่อคืน… ฉันได้พบกับนักผจญภัยที่เรียกตัวเองว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์”
“จริงหรือ? ตัวปลอมรึเปล่า…” ดวงตาโซทอธหดลีบลง ถามเสียงแผ่ว
“ฉันก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน ยังไม่เคยเจอกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตัวจริง ไม่เคยเห็นภาพวาดหรือภาพถ่าย” บิลต์ส่ายหน้า
โซทอธทำหน้าครุ่นคิด
“บอสลองหาหนังสือพิมพ์จากหมู่เกาะรอสต์มาอ่านดู ตอนนี้ก็ผ่านมาแล้วหลายวัน น่าจะมีนักท่องเที่ยวบางคนนำ ‘ทันข่าว’ หรือไม่ก็ ‘โซเนียยามเช้า’ ติดไม้ติดมือมาด้วย จริงสิ… ถ้าจำไม่ผิด ภายในสถานีตำรวจ สำนักงานเทศบาล วิหาร หรือองค์กรการกุศล ต่างก็มีหนังสือพิมพ์ฉบับสำคัญของเกาะรอสต์”
นับเฉพาะย่านใจกลางทะเลโซเนีย เกาะรอสต์คืออาณานิคมที่มีขนาดใหญ่และสำคัญที่สุดของอาณาจักรโลเอ็น อิทธิพลลุกลามไปยังบริเวณข้างเคียง ไม่เว้นแม้กระทั่งเกาะโอลาวีที่อยู่ห่างเพียงสามวันเดินทาง จึงไม่แปลกที่ทางการและโบสถ์หลักจะสมัครสมาชิกรายปีของหนังสือพิมพ์ฉบับสำคัญบนหมู่เกาะรอสต์ โดยข่าวที่ไม่สำคัญมากนักจะถูกส่งมาถึงในอีกสี่วันถัดมา
“ตกลง” บิลต์พยักหน้า ถามด้วยเสียงลุ่มลึก “มีรายละเอียดการลอบสังหารพลเรือโทโรคภัยของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เขียนไว้บ้างไหม?”
โซทอธทบทวนความทรงจำ ก่อนจะเล่า
“กล่าวกันว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์คนนั้นสามารถปลอมตัวเป็นใครก็ได้ เหมือนกับอดีตพลเรือโทวายุ·คีลิงเกอร์ ด้วยพลังดังกล่าว เขาสามารถลอบเข้าไปในกาฬมรณะได้ง่ายดาย และลงมือเมื่อสบโอกาส”
“ปลอมเป็นใครก็ได้…” บิลต์ทวนคำด้วยดวงตาเปล่งประกาย
ไม่สิ… คงไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ชายที่กล้าลงมือลอบสังหารพลเรือโทโรคภัยบนเรือธง จิตใจคงซับซ้อนยากคาดเดา เขาอันตรายเกินไป สมควรต้องหลีกให้ห่าง…
ดวงตาบิลต์กลับไปหม่นหมองอีกครั้ง
ยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเขาเป็นตัวจริงหรือไม่…
มันทำได้เพียงส่ายหน้า
…
เหยี่ยวราตรีและจิตแห่งจักรกลจะลงมือตรวจสอบความผิดปรกติบนถนนวิลเลียมส์ตอนไหน… ได้แต่หวังให้มันเกิดขึ้นโดยเร็ว…
หลังจากครุ่นคิด ไคลน์ออกจากมิติหมอก กลับลงมายังโลกจริง
เมื่อลองไตร่ตรองต่ออีกพักสัก มันตัดสินใจนำกระดาษแผ่นสีขาววางลงบนโต๊ะไม้สีน้ำตาล
ปากกาหมึกซึมสีแดงเข้มเริ่มขยับขีดเขียน ก่อนอื่น ชายหนุ่มแสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของอะซิก จากนั้นก็เล่าว่า ระหว่างที่ตัวเองกำลังหาซื้อสมบัติวิเศษซึ่งสามารถช่วงชิงพลังของเป้าหมาย ตนบังเอิญได้พบกับโฮสต์ที่กำลังถูกปรสิตสิง
ถัดมา ไคลน์ซักถาม : พอจะมีวิธีในการเตือนโฮสต์โดยไม่ให้ปรสิตรู้ตัวหรือไม่
ถึงจุดนี้ มันเล่าต่อว่าตนบังเอิญได้ข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ‘หนอนกาลเวลา’ ซึ่งเป็นของผู้เศษลำดับสูงบนเส้นทาง ‘นักจารกรรม’ พร้อมกับแสดงความมั่นใจว่า หนอนกาลเวลาคือเครื่องสังเวยในพิธีกรรมสำคัญและวัสดุสำหรับผลิตยันต์ระดับสูง แต่ตนไม่ทราบขั้นตอนปลีกย่อย
ฟู่ว…
ไคลน์วางปากกาลง พับกระดาษจดหมาย นำนกหวีดทองแดงออกมาจ่อปากเป่าสุดแรง
น้ำพุกระดูกขาวพวยพุ่งขึ้นด้านบน ก่อตัวเป็นผู้ส่งสารร่างยักษ์สูงสี่เมตร โดยในคราวนี้ ครึ่งท่อนบนของอีกฝ่ายมิได้อยู่ระดับเดียวกับสายตาไคลน์ แต่เลยทะลุเพดานขึ้นไป และใช้ดวงตาเพลิงดำจ้องมองลงมา
ชายหนุ่มทราบดี นี่ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายขาดมารยาทหรือไม่เคารพ แต่เป็นเพราะห้องพักของตนอยู่บนชั้นหนึ่งของโรงแรม
มันสะบัดข้อมือ ขว้างกระดาษจดหมายใส่ฝ่ามือกระดูกขนาดมหึมาของผู้ส่งสาร
เพลิงดำในดวงตาไหววูบเล็กน้อย คล้ายกับจ้องไคลน์พลางครุ่นคิดบางสิ่ง แต่นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ร่างกายสีขาวแตกตัวออกและกลับไปเป็นน้ำตกกระดูก ร่วงหล่นลงไปยังด้านล่างและอันตรธานหายไปโดยสมบูรณ์
เมื่อเสร็จเรื่อง ไคลน์ไม่คลี่นกกระเรียนกระดาษออกมาลบข้อความเก่าเพื่อเขียนถามวิล·อัสติน อสรพิษปรอท เหมือนกับทุกครั้ง
เพราะชายหนุ่มเริ่มพบปัญหา กระดาษที่ใช้พับเป็นนกกระเรียนมิใช่วัสดุพิเศษ เป็นเพียงกระดาษธรรมดาโดยแท้จริง ส่งผลให้เมื่อถูกลบบ่อยครั้งเข้า ผิวกระดาษเริ่มบางลงจนใกล้ฉีกขาด ทนได้อีกเพียงไม่กี่ครั้ง
คงต้องเก็บไว้ใช้ถามเฉพาะเรื่องสำคัญ… ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่มิสเตอร์อะซิกไม่ทราบวิธีบอกใบ้ร่างต้นโดยไม่ให้ปรสิตรู้ตัว…
ไคลน์ส่ายหน้าเงียบงัน รีบเก็บกวาดโต๊ะอ่านหนังสือให้เรียบร้อย
นอกจากนี้ มันยังไม่กล้าใช้เครื่องรับโทรเลขติดต่อกับอาโรเดส เนื่องจากกังวลว่า ตัวตนทรงพลังที่ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ ส่งมาค้นหาต้นตอของออร่า ‘ดวงตาดำล้วน’ อาจยังอยู่ในบริเวณใกล้เคียง เพราะสำหรับพระผู้สร้างแท้จริง ออร่าของมิติหมอกก็น่าดึงดูดไม่แพ้กัน บางที อีกฝ่ายอาจแจ้งให้สาวกคอยตรวจสอบเผื่อเอาไว้
“วันนี้คงต้องทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวไปก่อน ผ่อนคลายตัวเอง พรุ่งนี้ค่อยหาโอกาสสวมบทบาทเพื่อย่อยโอสถ”
วางแผนเสร็จ ไคลน์สวมโค้ท ถอดหมวก เดินออกจากห้องพักโรงแรม
มันเตรียมไปดูพระอาทิตย์ตกดินบนภูเขาด้านนอกท่าเรือโอลาวี!
ไคลน์ผุดแนวคิดนี้จากนิยายขายดีเรื่องหนึ่ง ผู้ประพันธ์มีนามว่า ลีอาน·มาสติยง เกิดในโอลาวี แต่ย้ายไปอยู่ในกรุงเบ็คลันด์ตอนอายุยี่สิบ
ภายในหนังสือเล่มดังกล่าว ลีอานเขียนบรรยายวิวทิวทัศน์ยามอาทิตย์ตกของภูเขานักบุญเดรโก้ไว้อย่างน่าหลงใหล ปิดท้ายด้วยความเห็นว่า สำหรับตัวมัน ไม่มีทัศนียภาพใดในโลกงดงามเท่านี้อีกแล้ว
ไคลน์นั่งรถม้าออกจากเมือง เดินเท้าต่อไปยังยอดเขานักบุญเดรโก้ ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงก็ถึงยอดปลายที่ไม่สูงมากนัก
จากวินาทีเป็นนาที ดวงตะวันเริ่มลับขอบฟ้า แสงแดงสนธยาฉาบเปลี่ยนน้ำทะเลสีเข้มฝั่งซ้ายมือให้กลายเป็นดังทะเลเพลิง เปลี่ยนผืนป่าและทุ่งนากว้างใหญ่ให้กลายเป็นทุ่งทองคำ
ทุกสีสันสว่างสดใสจนกระทั่งแสงสุดท้ายของวันดำเนินมาถึง จากนั้น ทุกสิ่งเริ่มซีดหมอง และถูกความมืดมิดปกคลุมในที่สุด
เรือแล่นเข้ามาในท่า รถม้าแล่นไปตามถนน ผู้คนมากหน้าหลายตาคราคร่ำเตร็ดเตร่ ใครหลายคนกำลังทำงานในสวนผลไม้และทุ่งข้าว
เมื่อความมืดมิดปกคลุมโดยสมบูรณ์ ทั้งภายในและภายนอกเมืองท่าเหลือเพียงแสงสว่างจากเสาโคมไฟ ดูคล้ายกับประกายระยิบระยับบนผ้ากำมะหยี่สีดำ
งดงามสมคำร่ำลือ…
ไคลน์ดื่มด่ำกับวินาทีแห่งความอิ่มเอม จนกระทั่งแสงไฟจากแต่ละบ้านเริ่มมอบความสว่างไสวให้เมืองท่าแสนอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง
ชายหนุ่มเดินกลับอย่างเงียบงัน ใช้ทางเดียวกับขามา สองฝั่งทางเดิมท่ามกลางภูเขามีเพียงแนวต้นไม้สีดำสนิทไปจนถึงด้านล่าง หลังจากเดินทางไกลนานหลายนาที ชายหนุ่มเช่ารถม้ากลับเข้ามายังเขตท่าเรือ
รถม้าแล่นอย่างนุ่มนวล เสาโคมไฟอันงดงามที่ทำจากเหล็กดำ ช่วยมอบแสงสีเหลืองอ่อนให้กับถนน
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ไคลน์กลับมาถึงโรงแรม ล้วงหยิบกุญแจไขเปิดประตู
ภายในห้อง ทั้งเตียงนอน โต๊ะอ่านหนังสือ และเก้าอี้ ทุกสิ่งล้วนถูกวางในจุดเดิมอย่างเงียบงันท่ามกลางความมืดมิดเข้มข้น แสงจันทร์แดงด้านนอกเล็ดลอดเข้ามาเพียงเล็กน้อย
ไคลน์ปิดประตูอย่างเบามือ เดินไปยังหน้าต่างฝั่งตรงข้าม ยืนอยู่ในเงามืดที่เกิดจากผืนผ้าม่านปิดสนิท ไม่ขยับเขยื้อนร่างกายเป็นเวลานาน
จนกระทั่ง มันเลื่อนเปิดม่าน ตามองไปยังแสงสว่างด้านนอกโดยไม่กล่าวสิ่งใด
…
เช้าตรู่ของวันถัดมา
ไคลน์เปิดก๊อกน้ำ ปะหน้าตัวเองด้วยน้ำเย็นเฉียบเพื่อสร้างความตื่นตัว
มันคิดได้แล้วว่า ตนจะหาโอกาสปลอมตัวเป็นใครสักคนได้จากที่ไหน
โรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยคนใกล้ตาย!
ก่อนหน้านี้ ไคลน์คอยตระเวนไปตามสถานที่ต่าง ๆ อย่างไร้จุดหมาย จึงเป็นการยากที่จะพบคนใกล้ตายพร้อมให้ปลอมตัว แต่สำหรับแผนใหม่ มันตัดสินใจทำงานเป็นอาสาสมัครของโรงพยาบาลสักพัก คอยดูแลผู้ป่วยไร้ญาติ และหาโอกาสสอบถามความปรารถนาสุดท้าย
จัดการอาหารเช้าเสร็จ ไคลน์เดินทางไปยังอาคารหมายเลข 10 ถนนป่ามืด ตรงเข้าประตูของมูลนิธิเวชบริบาลโอลาวี
องค์กรการกุศลแห่งนี้มีโบสถ์รัตติกาลเป็นผู้สนับสนุนหลัก หนึ่งในหน้าที่สำคัญคือการฝึกฝนอาสาสมัครเพื่อส่งเข้าไปทำงานในโรงพยาบาล
ไคลน์เข้าแผนกลงทะเบียน และได้พบกับเจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์
ชายหนุ่มเคาะโต๊ะตามมารยาท
“มีอะไรให้ดิฉันช่วยหรือคะ” หญิงสาวถามพลางวงหนังสือพิมพ์ลง
“ต้องการสมัครเป็นอาสาสมัคร” ไคลน์ตอบเข้าประเด็น
“ขอชื่อด้วยค่ะ” หญิงสาวเงยหน้ามอง
ทันใดนั้น รูม่านตาของเธอพลันหดเกร็ง ปากกาที่เพิ่งหยิบขึ้นมาเตรียมเขียน หลุดมือหล่นลงพื้นจนเกิดเสียงเกรียวกราว
บนหนังสือพิมพ์ตรงหน้าหญิงสาว ภาพเหมือนของชายคนหนึ่งกำลังเด่นแผ่หลา
นักผจญภัยเสียสติ เลือดเย็น และอำมหิต
เกอร์มัน·สแปร์โรว์!
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น