Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 611-612
ราชันเร้นลับ 611 : สภาแห่งชะตา
โดย
Ink Stone_Fantasy
เกาะโอลาวีตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจากหมู่เกาะรอสต์ การกระจัดไม่ไกลมาก แต่เนื่องจากเส้นทางเดินเรือมีความวกวนคดเคี้ยว ระยะทางจริงจึงเพิ่มขึ้นหลายร้อยไมล์ทะเล
เดิมที ที่นี่เป็นเกาะซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์วิเศษ ปราศจากมนุษย์อยู่อาศัย แต่หลังจากจบยุคสมัยแห่งการล่า อาณาจักรโลเอ็นได้เนรเทศนักโทษบางส่วนมาอาศัยบนเกาะโอลาวี อารยธรรมและหมู่บ้านมนุษย์จึงถือกำเนิดขึ้นนับแต่นั้น
จนกระทั่งมีการค้นพบเกาะอาณานิคมในละแวกใกล้เคียงเพิ่มขึ้น ด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันมั่งคั่งของดินแดนแถบนี้ ผู้คนจึงอพยพเข้ามาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้อารยธรรมเข้าสู่ยุครุ่งเรืองนับแต่นั้นเป็นต้นมา
แสงสว่างจากประภาคารแหวกตัดผ่านความมืดมิดอย่างแจ่มชัด ช่วยอำนวยความสะดวกให้เรือเดินสมุทรแล่นจอดเทียบท่าได้ง่ายดาย
“ในที่สุดก็มาถึง ขอบคุณการอวยพรจากจันทราแดงและพลังแห่งโชค” ดัควีลล์กระโดดลงจากบันไดเรือขั้นสุดท้าย ฝ่าเท้าสัมผัสกับพื้นคอนกรีตเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน
จะบอกอะไรให้ นอกจากพลังแห่งโชคชะตา นายต้องขอบใจเดอะฟูลกับเทพสมุทรต่างหาก สำหรับการดูแลอย่างใกล้ชิดและพรรอบลำเรือ…
ไคลน์ถือกระเป๋าหนังหนึ่งใบ มืออีกข้างถือแท่งอารยธรรมสำหรับพยุงร่างกาย
ดัควีลล์ล้วงคลำกล่องแหวนบรรจุลูกเต๋าความน่าจะเป็นเพื่อยืนยันว่ายังไม่หายไปไหน
มันรีบถามทางตามหา ‘คนตีระฆัง’ คาโน่ หลังจากทราบที่อยู่ของอีกฝ่าย นักปรุงยาอ้วนเช่ารถม้าตรงไปยังวิหารนักบุญเดรโก้ และเดินเข้าไปในหอระฆังอันงดงามที่กล้านำสีแดง น้ำเงิน และเหลืองมาใช้ด้วยกันอย่างอาจหาญ
ภายในหอระฆัง คาโน่มีห้องส่วนตัวที่ค่อนข้างคับแคบ
ก็อก. ก็อก. ก็อก.
ดัควีลล์เคาะประตูสามหน ท่าทีกระสับกระส่ายคล้ายกับต้องการส่งมอบสิ่งของอันตรายในมือเต็มที
แอ๊ด~
บานประตูไม้สีน้ำตาลเปิดแง้ม ชายรูปร่างสูงใหญ่แต่หลังค่อมเล็กน้อยเดินออกจากห้อง
อายุราวสี่สิบ ใบหน้าดาษดื่นปราศจากจุดเด่น แต่เมื่อรวมทุกองค์ประกอบเข้าด้วยกัน กลับเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง
ไคลน์ชำเลืองเล็กน้อย พบว่าดวงตาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายไม่เท่ากัน รูจมูกข้างหนึ่งใหญ่ข้างหนึ่งเล็ก กล้ามเนื้อใบหน้าฝั่งซ้ายคล้ายตัว แต่ฝั่งขวากลับหดเกร็ง ส่งผลให้มุมปากตกหนึ่งข้าง และมุมปากตึงอีกหนึ่งข้าง
ขาสั้นข้างยาวข้าง แขนใหญ่ข้างเล็กข้าง สัดส่วนอวัยวะในร่างกายไม่สมมาตรโดยสิ้นเชิง ส่งผลให้กลายเป็นคนอัปลักษณ์ไปโดยปริยาย
“พวกคุณคือ?” คาโน่ในชุดคลุมสีดำซักถามผู้มาเยือนทั้งสอง
“นายคือคนตีระฆังคาโน่ใช่ไหม” นักปรุงยาร่างท้วม ดัควีลล์ ซักถามเพื่อความแน่ใจ
คาโน่ยิ้มด้วยมุมปากข้างที่หย่อนยาน
“คนอัปลักษณ์อย่างผม คงไม่มีใครอีกแล้วกระมัง”
“นั่นก็จริง” ดัควีลล์พยักหน้ารับอย่างซื่อตรงต่อความรู้สึก พลางส่งเสียงหัวเราะในลำคอเล็กน้อย “แต่ผมสามารถบอกได้ว่า คุณมีทัศนคติที่ดี
“อันที่จริง สำหรับเพศชาย รูปลักษณ์หล่อเหลานั้นมิได้สลักสำคัญแต่อย่างใด ความสามารถอันดุดันบนเตียงต่างหาก”
ถุด! นั่นเพราะนายไม่เคยเจอผู้หญิงที่คลั่งความหล่อต่างหาก… ไคลน์ที่เติบโตมาในยุคสมัยอันเต็มไปด้วยดารานักร้อง กำลังรำพันเหยียดหยันในใจ
สีหน้าคาโน่หม่นหมองยิ่งกว่าเดิม
“ผมไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนั้น”
“โฮ่…? นายมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องบนเตียงหรอกหรือ ไม่ต้องห่วง ฉันมียาดี! มันจะช่วยให้ร่างกายกลับมาฟิตปั๋งเหมือนวัยรุ่น…”
โดยไม่ปล่อยให้ดัควีลล์พูดจบ ไคลน์ที่กังวลว่าลูกค้าของตนจะถูกซัดปากแตก ทำการเดินเข้าไปและใช้ร่างกายบังไว้ครึ่งหนึ่ง
ชายหนุ่มซักถามเสียงต่ำ
“เขาเป็นศิษย์ของรอย·คิง”
“ผมพอจะเดาได้ รอย·คิงเคยอธิบายลักษณะพิเศษของศิษย์ให้ฟังแล้ว” คาโน่เปิดทางให้ทั้งสองเดินเข้าไปด้านใน
ห้องของคาโน่ค่อนข้างเล็ก มีเพียงหนึ่งเตียงและหนึ่งตู้ที่สามารถใช้แทนโต๊ะกินข้าว ส่วนห้องน้ำต้องเดินลงไปเข้าชั้นล่างของหอระฆัง
ดัควีลล์หยิบกล่องแหวนมอบให้คาโน่ กล่าวพลางอมยิ้ม
“อาจารย์ฝากมาส่ง”
คาโน่เปิดกล่องออกและสำรวจด้านใน เมื่อพบว่าลูกเต๋าคาอยู่ที่สี่แต้ม สีหน้าของมันเผยความโล่งใจ และหันมาพูดกับดัควีลล์
“อาจารย์ของคุณก็พูดไม่ถูกเสียทีเดียว เขาเล่าว่าคุณเป็นพวกไว้ใจไม่ได้ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นแบบนั้น คุณมิได้นำลูกเต๋าออกมาใช้งาน ทำให้มันไม่หลุดจากผนึกและตื่นขึ้นมา”
นักปรุงยาร่างท้วมเผยสีหน้ากระอักกระอ่วน ปากขยับตอบตะกุกตะกัก
“ต..ตอนนี้มันยังแค่สงบอยู่ แต่ในอีกสองสามชั่วโมงถัดไปคงกลับมาทอยตัวเองและสร้างความฉิบหาย ต้องรีบหาวิธีผนึกมันกลับไปอีกครั้ง”
ใบหน้าคาโน่พลันกระตุก
“อีกครั้ง?”
“ร…เรื่องนั้น ฉันบังเอิญทำลูกเต๋าตกพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นมันก็มีชีวิตขึ้นมาทันที…”
ดัควีลล์หันไปมองนกฮูกอ้วนของตนตามสัญชาตญาณ แต่กลับพบว่ามิสเตอร์แฮร์รี่มิได้บินตามเข้ามาด้วย เพียงหยุดอยู่ด้านนอกและคอยเป็นสอดส่องภาพรวม
ดวงตาคาโน่พลันเบิกกว้าง หลังที่งอค่อมเกือบจะเหยียดตั้งตรง
“แล้วคุณมาถึงที่นี่ได้ยังไง…”
ตามความคิดของมัน ลูกศิษย์รอย·คิงไม่น่าจะเอาชีวิตรอดมาจนถึงเกาะโอลาวีได้เลย
ดัควีลล์ชี้ไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์
“ต้องขอบคุณสุภาพบุรุษคนนี้ เขาเป็นนักผจญภัยมากฝีมือ มีวิธีผนึกลูกเต๋าชั่วคราว และยังมอบความปลอดภัยให้ฉันได้อย่างเหมาะสม”
“ผนึกยังไง?” คนตีระฆัง·คาโน่ซักถาม
ไคลน์ยิ้มและตอบ
“ความลับทางการค้า”
ใบหน้าคาโน่แปรเปลี่ยนสองสามหน ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นมาทาบหน้าอกและโค้งศีรษะ
“ในนามขององค์กร ผมขอขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือที่สำคัญในครั้งนี้”
ดัควีลล์กล่าว
“ผมจ้างเขาในราคาหนึ่งพันปอนด์กับอีกหนึ่งเงื่อนไข นั่นคือ ทางเราต้องช่วยเขาตามหาสมบัติวิเศษที่โดดเด่นด้านพลังโจมตี แต่ไม่ต้องห่วง เขาจะจ่ายให้ในราคาที่เหมาะสม ฉันมีเงินติดตัวเพียงสามร้อยปอนด์ จึงจ่ายล่วงหน้าไปแค่นั้น ที่เหลือคงต้องให้ทางนี้ช่วยออก”
คาโน่รับฟังอย่างเงียบงัน มุมปากขยับขึ้นลง
“ผมเองก็มีเงินติดตัวแค่ร้อยกว่าปอนด์…”
โดยทันทีทันใด หอระฆังพลันถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงัด ไม่มีใครขยับปากกล่าวคำใดเป็นเวลานาน มีเพียงเสียงหวีดของสายลมที่พัดเข้ามาจากด้านนอกหน้าต่าง ปะทะใบหน้าคนทั้งสามอย่างนุ่มนวล
ในที่สุด คาโน่เป็นฝ่ายปริปาก
“บางที ท่านสมาชิกสภา·ริคคาร์ดอาจจะมี ผมจะนำทางพวกคุณไปพบเขา”
ดูเหมือนทางนี้จะเชื่อใจพวกเราพอสมควร… เพราะมูลค่าของลูกเต๋าสูงกว่าชีวิตขอสมาชิกสภาหนึ่งคนมาก หากเราเป็นคนทรยศขององค์กร คงไม่ลงทุนถ่อมาถึงที่นี่เพื่อคืนลูกเต๋า แต่คงพยายามหนีให้ไกล ขโมย ‘เอกลักษณ์’ ของกงล้อโชคชะตาไปเป็นของตัวเอง…
ไคลน์ครุ่นคิดพลางจ้อง ‘คนตีระฆัง’ คาโน่ที่กำลังก้มหยิบตะเกียงตรงมุมห้อง
พร้อมกันนั้น มันเปิดเนตรวิญญาณเพื่อสำรวจทุกสิ่งรอบตัว
มองไปทางคาโน่ ไคลน์เกือบเผลอขมวดคิ้วออกมา สาเหตุเพราะออร่าของชายหลังค่อมเต็มไปด้วยความผิดธรรมชาติ
สีของอารมณ์อาจปรกติ แต่ออร่าของร่างกายนั้นไม่ถูกต้อง หัวใจเป็นสีเขียว ศีรษะเป็นสีม่วง ทางเดินอาหารเป็นสีเหลือง และอวัยวะอื่นที่ดูคล้ายกับมีร่องรอยความขัดแย้ง ไม่ผสมผสานกลมเกลียวเลยสักนิด
แต่อย่างน้อย พลังวิญญาณของคาโน่ก็ยังพอจะคล้ายคลึงสิ่งมีชีวิตประเภทมนุษย์อยู่บ้าง
สัตว์ประหลาดที่ถูกเย็บประกอบเข้าด้วยกัน?
ชายหนุ่มสร้างสมมติฐานขึ้นจากความรู้และประสบการณ์ของตน
คาโน่เหยียดหลังตรง ยืนถือตะเกียง สายตามองมาทางนักผจญภัยนามเกอร์มัน·สแปร์โรว์เล็กน้อย ก่อนจะเปล่งเสียงโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ผมค่อนข้างอ่อนไหวต่อเนตรวิญญาณ คุณคงพบปัญหาบางอย่างในตัวผมแล้ว… คำอธิบายก็คือ ผมมิใช่มนุษย์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่เป็นผลผลิตจากคาบเรียนกายวิภาคของโบสถ์พระแม่ธรณี เป็นตัวอย่างที่ล้มเหลว ดังนั้น ผมจึงไม่มีความสามารถในด้านการสืบพันธุ์”
ประโยคสุดท้ายจงใจบอกกับดัควีลล์
ด้วยชุดคลุมสีดำ คาโน่ไม่พูดพร่ำ เพียงถือตะเกียงเดินลงบันไดอันมืดมิดของหอระฆังด้วยร่างกายใหญ่โต
ผลผลิตจากคาบเรียนกายวิภาคของโบสถ์พระแม่ธรณี? แต่วิหารนักบุญเดรโก้เป็นของโบสถ์วายุสลาตัน… หรือเพราะเป็นตัวอย่างที่ล้มเหลว จึงไม่มีค่าในสายตาโบสถ์พระแม่ ทำให้คาโน่ตัดสินใจหลบหนีออกมาเข้ากับโรงเรียนชีวิต? สมเหตุสมผล… โบสถ์พระแม่และโรงเรียนชีวิตต่างถือครองเส้นทางนักปรุงยาเหมือนกัน จึงมีบางสิ่งที่สอดคล้อง… แต่ทำไมโรงเรียนชีวิตถึงส่งสมาชิกเข้าไปแทรกซึมโบสถ์วายุสลาตันในฐานะคนตีระฆัง? เป็นการปลอมตัวสืบข่าวตามปรกติ หรือทั้งสององค์กรมีความเชื่อมโยงระหว่างกัน?
ไคลน์เดินตามคาโน่โดยไม่กล่าวสิ่งใด ทุกย่างก้าวบนขั้นบันไดเป็นไปอย่างระมัดระวังและรอบคอบ จนกระทั่งทั้งสามเดินออกจากหอระฆังมายังเขตสะพานหินที่อยู่ไม่ห่าง
ขณะกำลังเดินอ้อมลงไปยังโพรงใต้สะพานฝั่งซ้ายสุด สัมผัสวิญญาณไคลน์พลันถูกกระตุ้น
ชายหนุ่มเงยหน้ามองเยื้องกลับหลัง
มันพบว่านกฮูกแฮร์รี่ที่กำลังบินตามไม่ห่าง ทำพลาดในจังหวะการโฉบเกาะกิ่งไม้
เป๊าะ!
กิ่งไม้หักกลางท่อน นกฮูกแฮร์รี่เสียหลักม้วนตัวกลางอากาศ ก่อนจะบินขึ้นมาได้อีกครั้งอย่างทุลักทุเล ไม่ปล่อยไม่ตัวเองตกพื้น
ขณะดัควีลล์เตรียมกล่าวบางสิ่ง คาโน่หันอธิบายเสียงแผ่ว
“ท่านสมาชิกสภา·ริคคาร์ดบาดเจ็บและกำลังพักรักษาตัว พลังบางส่วนจึงอยู่นอกเหนือการควบคุม หากมีใครเข้ามาใกล้ จะถูกสาปให้โชคร้ายเล็กน้อย”
คาโน่หยุดเดิน โยนกล่องแหวนที่บรรจุลูกเต๋าเข้าไปในโพรงใต้สะพานอันมืดมิด
“ท่านสมาชิกสภา ลูกศิษย์ของรอย·คิงนำลูกเต๋ามาส่ง”
“ทำดีมาก” เสียงแหบพร่าดังแว่วจากส่วนลึกของโพรงใต้สะพาน
ฝ่ามือที่มีเกล็ดสีเงินปกคลุมพยายามลูบคลำท่ามกลางความมืด ก่อนจะหยิบกล่องแหวนที่ตกลงบนดินขึ้นไป
จากนั้น อีกฝ่ายเปิดกล่อง หยิบลูกเต๋าสีขาวนมสดออกมาถือ
มืออีกข้างหนึ่งที่มีเกล็ดสีเงินปกคลุมเช่นกัน ทำการเหยียดยื่นออกมาข้างหน้า บนฝ่ามือมีวัตถุสีคล้ายหนังสัตว์ ลักษณะเหมือนกับท่อน้ำ หัวถึงหางบรรจบชนกันโดยสมบูรณ์
ภายใต้แสงจันทร์แดงสลัว ไคลน์มองเห็นผิววัตถุที่สลักลวดลายซับซ้อน รวมถึงอักษรเฮอร์มิสโบราณที่ระบุถึง ‘อสรพิษปรอท’ วิล·อัสติน
สมาชิกสภา·ริคคาร์ดดึงวัตถุดังกล่าวให้หัวกับหางแยกออกจากกัน จากนั้นก็ยัดลูกเต๋าความน่าจะเป็นเข้าไปในช่องว่างตรงส่วนหัว ปิดท้ายด้วยการนำหัวและหางบรรจบกันโดยสมบูรณ์อีกครั้ง
ผนึกลูกเต๋าความน่าจะเป็นด้วยการใช้วังวนไม่จบสิ้นของโชคชะตา? ทำให้มันอยู่ในสภาวะจำศีลตลอดกาล? นึกแล้วเชียว… อสรพิษปรอท วิล·อัสติน วางแผนเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้า จึงเตรียมวัตถุสำหรับผนึกไว้พร้อมสรรพ…
ขณะไคลน์ยืนมองอย่างโล่งใจ เสียงอันแหบพร่าของริคคาร์ดดังแว่วจากด้านใน
“มิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ผมทราบข้อตกลงของคุณแล้ว หากกลับเป็นปรกติเมื่อไร ผมจะช่วยมองหาสมบัติวิเศษชนิดดังกล่าวให้”
“ส่วนเงินเจ็ดร้อยปอนด์… ผมจะอวยพรความโชคดีแก่คุณ หลังจากนี้ให้ตรงไปยังบ่อนพนันที่มีเพียงไม่กี่แห่งบนเกาะโอลาวี เล่นจนกว่าจะได้รับเงินครบตามจำนวน แต่จงจำไว้ว่า ห้ามทำกำไรเกินสองร้อยปอนด์ต่อหนึ่งบ่อน และห้ามเกินเจ็ดร้อยปอนด์ของทั้งหมด”
สรุปก็คือ พวกเอ็งไม่มีเงินจ่ายสินะ… ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไร บาดเจ็บจนต้องซ่อนตัวใต้สะพาน พกเงินติดตัวคงจะแปลกกว่า…
ไคลน์พยักหน้ารับ
“ตกลง”
หลังจากยืนรอราวสิบวินาทีโดยมิอาจตระหนักถึงรู้สึกพิเศษใดเพิ่มเติม ชายหนุ่มได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกจาก ‘มิสเตอร์สมาชิกสภา’
“ตอนนี้คุณโชคดีแล้ว”
เสร็จแล้วหรือ…
ไคลน์ยอมเชื่อใจอีกฝ่าย ปล่อยให้นักปรุงยาร่างท้วม ดัควีลล์ เข้าไปรายงานสถานการณ์ของอาจารย์ ส่วนตัวมันเดินตามหลังคนตีระฆัง คาโน่ ตรงไปยังบ่อนพนันที่ใกล้ที่สุด
ชายหนุ่มนั่งลงบนโต๊ะแบล็กแจ็ค
ผ่านไปสิบนาที ไคลน์เดินออกจากบ่อนด้วยสีหน้าสับสนและหม่นหมอง
เพราะไม่เพียงจะไม่ได้รับเงิน แต่ตอนนี้ยังขาดทุนไปแล้วสามสิบปอนด์ถ้วน!
โชคดีบิดาเอ็งสิวะ! ทำไมเราถึงหลงเชื่อคำพูดของหมอนั่นได้… ตาแก่เจ้าเล่ห์เอ้ย…
ไคลน์เร่งฝีเท้าเดินกลับสะพานหินโดยไม่ลังเล ตรงไปยังจุดใกล้กับโพรงใต้สะพาน
“เสร็จแล้วหรือ? เร็วมาก นับว่ามีโชคดีเดียว”
ริคคาร์ดกระแอมพลางส่งเสียงยินดี
สำหรับตอนนี้ ดัควีลล์และแฮร์รี่ออกไปเช่าโรงแรมในละแวกใกล้เคียงเพื่อเข้าพัก
ไคลน์ตอบเสียงเย็นชา
“เสีย”
“เสีย…” ริคคาร์ดเคี้ยวคำงึมงำ ไม่กล่าวสิ่งใดออกมาเป็นเวลานาน
ท่ามกลางความมืดมิด นกฮูกธรรมดาตัวหนึ่งบินผ่านไปด้วยท่าทางตื่นตระหนก
……………………
ราชันเร้นลับ 612 : อยู่ในมือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เสาโคมไฟแก๊สบนสองฝั่งสะพานกำลังสาดแสงเหลืองนวลไปโดยรอบ แต่ก็ยังมิอาจสลายความมืดมิดภายในโพรงมืดด้านล่าง มีเพียงแสงจันทร์แดงสลัวจากด้านบนเท่านั้นที่พอจะช่วยมอบแสงสลัว
‘สภาแห่งชะตา’ ริคคาร์ดที่ซ่อนตัวอยู่ในโพรงใต้สะพาน มิได้ส่งเสียงใดกลับมาเป็นเวลานาน จนไคลน์อดคิดไม่ได้ว่า อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัสจนขาดใจตายไปแล้ว และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ตนล้มเหลวในการพนัน
ขณะไคลน์เตรียมซักถามเพื่อยืนยันให้แน่ชัด ริคคาร์ดกระแอมค่อยสองหน กล่าวด้วยเนื้อเสียงแหบพร่า
“สมแล้วที่เป็นนักผจญภัยทรงพลังผู้สามารถผนึกลูกเต๋าได้ในระยะเวลาหนึ่ง สถานการณ์ค่อนข้างผิดไปจากความคาดหมายของผม แค่ก! ผมกำลังนึกสงสัยว่า เหตุใดพลังแห่งโชคถึงไม่ยอมทำงาน… ค่อนข้างน่าเสียดายที่ผมกำลังบาดเจ็บหนัก ไม่อย่างนั้นคงจะออกไปดูด้วยตาตนเอง ว่าสิ่งใดกันที่ผู้วิเศษเส้นทางอื่นยากจะมองเห็น แม้จะใช้เนตรวิญญาณระดับสูงตรวจสอบแล้วก็ตาม หึหึ… นี่คือลักษณะพิเศษที่มีเพียงผู้ครอบครอง ‘โชคชะตา’ เท่านั้นจึงจะมองเห็น”
นายกำลังจะบอกว่า ปัญหาอยู่ที่ตัวฉัน? แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสักหน่อย สาระสำคัญอยู่ที่ พวกนายยังติดเงินอยู่เจ็ดร้อยปอนด์… ไม่สิ เจ็ดร้อยสามสิบ…
ไคลน์บ่นอย่างหัวเสีย แต่ก็อดหวนนึกถึงเด็กชาย ‘อาเดมิทอร์’ ในตลาดมืดค้าของวิเศษประจำเมืองทิงเก็นไม่ได้
ย้อนกลับไปในอดีต เมื่อเด็กหนุ่มที่เกิดมาพร้อมลำดับ 9 ครึ่งจ้องไคลน์ด้วยตาเปล่า อาการแรกคือแหกปากร้องลั่น อาการที่สองคือเลือดออกจากดวงตา ลงไปนอนเกลือกกลิ้งชักดิ้นชักงอบนพื้น
เป็นเพราะเด็กคนนั้นมีลักษณะพิเศษของเส้นทางโชคชะตา จึงมองเห็นที่เกี่ยวกับสายหมอกในตัวเรา? น่าเสียดาย สภาแห่งชะตาคนนี้กำลังพักรักษาตัว ทำได้เพียงแผ่ออร่าความโชคร้ายออกมาโดยรอบ ไม่สามารถตรวจสอบเรื่องดังกล่าวให้กับเราได้… คงต้องกลับไปถามอสรพิษปรอท วิล·อัสติน รายนั้นอาจมีข้อมูลในเชิงลึก… แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโชคชะตา เขาอาจไม่ยอมบอกเราตามตรง มีโอกาสที่จะอธิบายแบบคลุมเครือเหมือนกับพวกนักต้มตุ๋น…
ไคลน์ครุ่นคิดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“แล้วคุณจะทำยังไงต่อ”
ริคคาร์ดถอนหายใจ
“ช่วยตามดัควีลล์มาที ผมจะทำการอวยพรโชคแก่เขา ให้ไปพนันแทนคุณ”
จากชื่อโรงแรมที่ริคคาร์ดมอบให้ ไคลน์ตามหาตัวดัควีลล์ได้ไม่ยาก จากนั้นก็พานักปรุงยาอ้วนเดินไปยังบ่อนพนันพร้อมกับกระเป๋าเดินทางและไม้ค้ำ
การพนันเกมแล้วเกมเล่าผ่านไป จนกระทั่งเปลี่ยนบ่อนสี่ครั้ง ดัควีลล์สามารถทำเงินครบเจ็ดร้อยห้าสิบปอนด์ได้ตั้งแต่ในช่วงเช้า
หลังจากรับเงินสดจำนวนเจ็ดร้อยสามสิบปอนด์มาถือ ชายหนุ่มเริ่มพบต้นตอของปัญหา
เป็นไปตามคำกล่าวของริคคาร์ด ตนมิได้แพ้พนันเพราะพลังของอีกฝ่ายอ่อนแอ ปัญหาอยู่ที่ความไม่ปรกติของตัวเอง!
แล้วเป็นเพราะอะไรกัน…
ไคลน์ครุ่นคิดพลางจับกระเป๋าสตางค์ที่บวมพองขึ้นจากตอนแรก ปากพึมพำ
จากนั้น มันฉุกคิดถึงสายหมอกล่องหนรอบตัว และเริ่มเข้าใจถึงสาเหตุอย่างรวดเร็ว
หลังจากกลายเป็นผู้ไร้หน้า หมอกเทาเริ่มมีบทบาทกับโลกความจริงมากขึ้น ไม่เพียงจะช่วยสกัดกั้นมลทินน่ารังเกียจในบางเรื่องโดยอัตโนมัติ แต่ยังกีดขวางการบิดเบือนโชคชะตาจากผู้อื่นได้ประมาณหนึ่ง ส่งผลให้สภาแห่งชะตาอวยพรโชคไม่สำเร็จ
ตามตรรกะดังกล่าว โชคร้ายก็จะไม่เกิดขึ้นกับตัวเราเช่นกัน…
ตลกร้ายชะมัด… เราไม่มีทางเป็นคนดวงซวยบัดซบ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีวันได้เป็นคนดวงดีถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง…
ไคลน์ส่ายหน้าแผ่วเบา เดินตามดัควีลล์และนกฮูกแฮร์รี่กลับไปยังสะพานหิน แจ้งวิธีอัญเชิญผู้ส่งสารของตนให้ริคคาร์ดทราบ กำชับว่าหากอีกฝ่ายพบสมบัติวิเศษเกี่ยวกับการโจมตีเมื่อใด ให้รีบส่งข่าวมาทันที
เมื่อเรื่องราวอันวุ่นวายจบลง ไคลน์เช็กอินเปิดห้องพักโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองท่าโอลาวี
…
กรุงเบ็คลันด์ ช่วงเช้า
ท่ามกลางหมอกหนาที่ไม่มากเท่าเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมเมื่อปีก่อน เอ็มลินเดินเตร็ดเตร่ภายใต้ท้องฟ้าสลัวที่มันชื่นชอบจนมาถึงหน้าบ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์
สั่นกริ่งบ้านเสร็จ ผีดูดเลือดหนุ่มยืนรอด้วยมาดสง่างาม แผ่นหลังตั้งตรง ปลายคางเชิดขึ้น
เลียวนาร์ดเปิดประตูบ้าน สำรวจใบหน้าอันหล่อเหลาแต่โอหังเสียเต็มประดาสักพัก ก่อนจะส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเข้าไปข้างใน
มันยังคงสวมเชิ้ตขาวและกางเกงขายาวสีดำคล้ายเมื่อวาน แต่คราวนี้สวมเสื้อกั๊กสีเข้มซึ่งไม่ติดกระดุมทับไว้
“ข้อสรุปของคุณคือ?” เลียวนาร์ดยิ้มถาม
“ไม่มีปัญหา”
เนื่องจากไม่ใช่เงินของตัวเอง เอ็มลิน·ไวท์ไม่คิดจะต่อรองแม้แต่หนึ่งเพนนี
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันกังวลว่า จากท่าทีของอีกฝ่ายในคราวก่อน การต่อรองอาจให้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม ราคาสมบัติวิเศษอาจสูงขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากอีกฝ่ายเกิดความหงุดหงิดรำคาญ
เลียวนาร์ดพยักหน้ารับ อมยิ้มเล็กน้อย
“ร่ำรวยทีเดียว”
ชมเชยตามมารยาทสินะ…
เอ็มลินรำพัน เปิดปากโต้ตอบ
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับคุณ”
กล่าวจบ มันเปิดกระเป๋าเดินทางที่มีธนบัตรเงินสดจำนวนเจ็ดพันปอนด์อัดแน่น
เลียวนาร์ดหยิบปึกแล้วปึกเล่าออกมาตรวจสอบอย่างใจเย็น ขั้นตอนนี้ใช้เวลาสักพัก
เมื่อพึงพอใจ มันถอดถุงมือสีแดงข้างซ้ายออก และยื่นส่งมาทางเอ็มลินพร้อมกับอธิบาย
“นี่คือสมบัติวิเศษที่คุณต้องการ มันสามารถเปลี่ยนสีเพื่ออำพรางได้อย่างอิสระ”
“สิ่งนี้ชื่อว่า ‘อินธน์’ (เชื้อไฟ) มีสรรพคุณในการเพิ่มเสน่ห์ของผู้สวม เปลี่ยนให้คำพูดน่าเชื่อถือขึ้นเล็กน้อย นอกจากนั้นยังมีความสามารถในการขโมยพลังพิเศษของเป้าหมายภายในระยะห้าสิบเมตร ยิ่งมีข้อมูลและรู้จักกับเป้าหมายมากเพียงใด โอกาสขโมยพลังที่ต้องการก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน หากไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลย พลังที่ได้รับก็ยิ่งเป็นแบบสุ่ม ขึ้นอยู่กับดวง หากเป้าหมายมีลำดับสูงกว่า 6 โอกาสสำเร็จจะไม่ใช่หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งลำดับสูงมากเท่าไร โอกาสล้มเหลวก็ยิ่งมากตาม หากขโมยสำเร็จ เป้าหมายจะสูญเสียพลังดังกล่าวทันที และต้องอยู่ห่างจากอินธน์อย่างน้อยสิบสองชั่วโมงเพื่อให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง โดยทางฝั่งผู้สวมอินธน์จะใช้พลังดังกล่าวได้อย่างอิสระเป็นเวลาสิบนาที เนื่องจากมีผลข้างเคียงต่ำ ราคาของมันจึงสูงกว่าสมบัติวิเศษในระดับเดียวกัน”
หลังจากนั่งฟังอย่างเงียบงัน เอ็มลินเริ่มให้ความสนใจกับพลังของอินธน์ จึงซักถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
“ผลข้างเคียงคืออะไร”
เลียวนาร์ดใช้มือสางผม ฉีกยิ้มและตอบ
“ข้อแรก มีโอกาสสูงที่ผู้สวมอินธน์จะทำสิ่งของติดตัวสูญหายหนึ่งชิ้น ข้อสอง พลังพิเศษหนึ่งชนิดของผู้สวมจะสูญหายเป็นเวลาสิบสองชั่วโมง แต่ก็แค่หนึ่งชนิด ไม่มากไปกว่านั้น หมายความว่าภายในช่วงเวลาดังกล่าว คุณจะขโมยพลังคนอื่นอีกกี่ครั้งก็ได้”
“แฮ่ม เทียบกับสมบัติวิเศษที่ผมรู้จัก ผลข้างเคียงนับว่าค่อนข้างต่ำ” เอ็มลินกระแอมล้างคอพลางพยักหน้ารับ
ผีดูดเลือดหนุ่มหยิบถุงมืออินธน์ขึ้นมาตรวจสอบด้วยความระมัดระวัง เมื่อยืนยันจนแน่ใจ มันบรรจงหยิบปึกธนบัตรในกระเป๋าออกมาวางบนโต๊ะทีละกอง
จากนั้น เอ็มลินเก็บถุงมือสีแดงเข้าไปในกระเป๋าเดินทาง จะได้ไม่ถือเป็นการพกพาหรือสวมใส่โดยตรง
เฉกเช่นคราวก่อน ผีดูดเลือดหนุ่มเดินทางกลับวิหารฤดูเก็บเกี่ยวพร้อมกับกระเป๋าหนึ่งใบ จากนั้นก็ตรงเข้าไปยังห้องพักของนักบวช ประกอบพิธีกรรมสังเวยถึงใครบางคน
ประตูเวทมนตร์มายาเริ่มเปิดออก ถุงมือสีแดงเตรียมถูกส่งผ่านห้วงมิติสายหมอกสีดำสนิท
ทันใดนั้น ณ ผิวของถุงมือในจุดที่สัมผัสกับหมอกสีเทา ใบหน้ามายาเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกับแสดงอาการเจ็บปวด
มันดิ้นทุรนทุรายพลางระเหิดตัวเองทีละนิด
ได้เห็นฉากดังกล่าว ไคลน์มิได้แสดงท่าทีตื่นตระหนัก เพราะในเมื่อคุณปู่ของเลียวนาร์ดคือเทวทูตบนเส้นทาง ‘นักจารกรรม’ สิ่งที่อามุนด์สามารถทำได้ โซโรอาสเตอร์ก็อาจทำได้เช่นกัน
สำหรับเรื่องนี้ ไคลน์เตรียมพร้อมรับมืออย่างเต็มที่ และเชื่อว่า ต่อให้อีกฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกับอามุนด์ แต่ตนก็จะจำกัดสิ่งแปลกปลอมได้โดยไม่ทำให้ข้อมูลมิติหมอกรั่วไหล จึงไม่มีความจำเป็นต้องแจ้งให้เอ็มลินทราบล่วงหน้า
ไคลน์หยิบคทาเทพสมุทรที่วางเตรียมพร้อมไว้ตรงหน้า ถ่ายพลังวิญญาณจน ‘อัญมณี’ ตรงส่วนหัวส่องแสงสีน้ำเงินงดงาม
โดยทันทีทันใด แสงสีเงินสว่างเจิดจ้าไปทั่วห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา พายุสายฟ้าก่อตัวขึ้นด้านบนอย่างน่าเกรงขาม กระหน่ำผ่าใส่ใบหน้าขนาดเล็กที่กำลังระเหิดหาย
ใบหน้าลึกลับสลายไปในพริบตาโดยไม่มีโอกาสได้ส่งเสียงกรีดร้อง เหลือทิ้งไว้เพียงหนอนแมลงโปร่งแสงไร้ชีวิต รอบตัวหนอนมีวงแหวนมายาที่ถูกแบ่งเป็นสิบสองส่วน
หมอนกาลเวลา… แต่อ่อนแอกว่าของอามุนด์..
ไคลน์กระซิบ โบกมือเล็กน้อย สั่งให้ทั้งถุงมือสีแดงและหนอนลอยมาตกตรงหน้าพร้อมกัน
หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด ชายหนุ่มมั่นใจว่าแมลงดังกล่าวมีลักษณะเหมือนกับหนอนกาลเวลาที่อามุนด์ทิ้งไว้
“หืม… คุณปู่โซโรอาสเตอร์ในตัวสหายนักกวีเป็นถึงลำดับ 1 เทียบเท่าอามุนด์เลยหรือ… ไม่สิ ไม่จริงเสมอไป นี่อาจเป็นลักษณะเด่นของลำดับต่ำกว่านั้นลงมา แต่ถ้าคุณปู่เป็นลำดับ 1 จริง หมายความว่าอามุนด์ผู้เป็นบุตรแห่งพระผู้สร้างและได้รับฉายา ‘ราชาเทวทูต’ ต้องมีบางสิ่งที่พิเศษกว่าปู่… หรืออามุนด์จะหลอมรวมเข้ากับ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางได้แล้ว? หรือได้ครอบครองความพิเศษอย่างอื่นบนเส้นทาง?”
ไคลน์ผุดสมมติฐานที่ยังมิอาจหาข้อพิสูจน์
ส่วนเรื่องที่ว่า หนอนกาลเวลาสามารถนำไปใช้ทำสิ่งใดได้บ้าง และพลังวิญญาณจะสลายไปตอนไหน ไคลน์ที่ปราศจากข้อมูลย่อมไม่ทราบ
…
กรุงเบ็คลันด์ บ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์
เลียวนาร์ด·มิเชลกำลังนั่งเอนหลังพิงโซฟา ดวงตาปิดสนิท ปลายเท้าวางพาดบนโต๊ะกาแฟ อากัปกิริยาคล้ายกำลังนอนกลางวันเพื่อชดเชยความร่าเริงในยามกลางคืน
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ จนกระทั่งมันลืมตาขึ้นและกล่าวด้วยเสียงแผ่ว
“สรุปว่ายังไง ระบุตัวคนซื้ออินธน์ได้หรือยัง”
เสียงชราดังขึ้นในใจ
“ออร่าที่ข้าทิ้งไว้ถูกขจัดโดยสมบูรณ์ ไม่หลงเหลือแม้แค่เศษเสี้ยว”
“แล้วพบอะไรบ้างไหม”
เลียวนาร์ดหดขากลับ ซักถามเสียงเบา
ชายชราถอนหายใจ
“ไม่เลย ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ทุกอย่างก็จบลง หากอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด บางทีคงพอจะสืบจนพบเบาะแสได้บ้าง แต่น่าเสียดาย ตัวข้าอ่อนแอมานานหลายปี”
เลียวนาร์ดเงียบงันราวสิบวิ ส่ายหน้าเล็กน้อยและกล่าว
“คงต้องเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
…
เหนือมิติสายหมอก ไคลน์ฟังคำสวดวิงวอนจากเอ็มลิน จดบันทึกข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสมบัติวิเศษชิ้นใหม่ พลางก้มหน้าตรวจสอบถุงมือสีแดงที่มีชื่อว่า ‘อินธน์’
“หึหึ… หมายความว่า ตอนนี้เรามีถุงมือสำหรับสวมข้างขวาแล้ว”
หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ไคลน์ตัดสินใจยังไม่ช่วงชิงจิตกัดกร่อนออกจากดวงตาดำล้วนในทันที
เพื่อความไม่ประมาท ชายหนุ่มวางแผนทำเรื่องดังกล่าวตอนที่คิดจะปรุงโอสถนักเชิดหุ่น เพราะจากเอกสารของเมืองเงินพิสุทธิ์ การช่วงชิงพลังสามารถทำได้ตามปรกติโดยไม่ต้องพึ่งพามิติสายหมอก ขอเพียงกะจังหวะและเวลาอย่างเหมาะสม ไม่สนว่าวัตถุเป้าหมายจะถูกกัดกร่อนโดยจิตชั่วร้ายของพระผู้สร้างแท้จริงโดยตรง
แต่ถ้ายิ่งมีมิติหมอก อันตรายก็แทบเป็นศูนย์
เราสามารถใช้อินธน์ได้ตามปรกติ แต่ก่อนใช้งานต้องเก็บสิ่งสำคัญไว้บนมิติหมอก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรสูญหาย… หึหึ ในความเป็นจริง ตัวเราที่เป็นนักทำนายแทบไม่ต้องกังวลเรื่องของหายเลยสักนิด แค่ทำนายหาก็พบแล้ว…
ในการต่อสู้ปรกติ ด้วยมือซ้ายที่สวมยุบพองหิวโหยและมือขวาที่สวมอินธน์ แค่จินตนาการก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก…
ไคลน์นั่งตรึกตรอง และพบว่าตนมีวัตถุสำหรับปรุงโอสถลำดับ 5 นักเชิดหุ่นพร้อมสรรพ ขาดเพียงวัตถุดิบเสริมอีกสองชนิด
ชายหนุ่มส่ายหน้า พึมพำกับตัวเอง
เหลือแค่รอให้โอสถถูกย่อยอย่างสมบูรณ์!
จากนั้นก็ขึ้นเรือของพลเรือโทดวงดาวหรือไม่ก็เรือของแฮงแมน มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออกของทะเลโซเนียเพื่อตามหานางเงือก!
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น