Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 606-610
ราชันเร้นลับ 606 : ข่มขู่
โดย
Ink Stone_Fantasy
เหนือสายหมอกเทา ท่ามกลางสถานที่ซึ่งคล้ายกับพระราชวังคนยักษ์
ไคลน์ใช้มือเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาวที่มีลวดลายเก่าแก่ สมาธิจดจ่ออยู่กับความพิสดารของลูกเต๋าเจ้าปัญหา
“มันส่งอิทธิพลกับเราโดยไม่รู้ตัว… สรรพคุณคล้ายกับ 0-08 อย่างมาก เพียงแต่สิ่งหนึ่งซ่อนอยู่ในเงามืด และอีกสิ่งหนึ่งปรากฏตัวต่อหน้า… ต้องเป็นสมบัติปิดผนึกแน่นอน และคงมีระดับสูงอย่างมากในโลกผู้วิเศษ… ถ้าไม่ใช่ระดับ 0 ก็คงเป็นระดับ 1 ที่โดดเด่น จริงอยู่ ตัวเราอาจไม่มีพลังในการแทรกแซงโชคชะตา แต่ก็ไม่ควรปล่อยไว้เฉย ๆ เพราะโดยส่วนมากแล้ว สมบัติปิดผนึกที่คล้ายกันจะมีผลข้างเคียงรุนแรง อาจส่งอิทธิพลต่อผู้คนรอบตัวนักปรุงยาร่างท้วม หรืออาจมากไปถึงผู้โดยสารทุกคนบนเรือ” ไคลน์พยายามเค้นสมองคิดหาคำตอบสักพัก แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป ทำเพียงส่งจิตกลับโลกความจริงด้วยมือเปล่า
อย่างไรก็ตาม ตัวมันอาจไม่ทราบวิธีผนึกลูกเต๋า แต่มันทราบว่าใครมีวิธี
ทารกผู้ยังอยู่ในครรภ์มารดา
ลำดับ 1 อสรพิษปรอท วิล·อัสติน
อสรพิษแห่งชะตาของโรงเรียนชีวิต
ครึ่งเทพที่ยังไม่ถึงกำหนดคลอด!
ไคลน์ออกจากห้องน้ำ เดินเข้าห้องนอนใหญ่ หยิบนกกระเรียนกระดาษออกจากกระเป๋าสตางค์แล้วคลี่วางบนโต๊ะ ยืนจ้องผิวกระดาษที่มีร่องรอยการลบและขีดเขียนสักพัก ตามด้วยการล้วงหยิบดินสอ เขียนคำถามเรียบง่ายลงไป
“ฉันต้องจัดการกับลูกเต๋านั่นอย่างไร”
ชายหนุ่มพับนกกระดาษกลับ เก็บในกระเป๋าสตางค์ จากนั้นก็เดินออกไปยังห้องนอนคนรับใช้ เคาะประตูสามครั้งอย่างมีมารยาท
พฤติกรรมเช่นนี้มิได้ขัดต่ออุปนิสัยของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เพราะแต่ไหนแต่ไร ทุกคนรู้จักมันในนามสุภาพบุรุษเสียสติ
แต่ความกังวลหลักของไคลน์คือ หากไม่เคาะส่งสัญญาณ การพรวดเปิดออกไปอาจบังเอิญทำให้นักปรุงยาอ้วนถูกบานประตูกระแทกตาย ภายในหัวชายหนุ่มกำลังจินตนาการฉากหนึ่งของภาพยนตร์สยองขวัญ ‘ไฟนอล·เดสทิเนชั่น’
นอกจากนั้น ไคลน์ยังกังวลว่าถ้าตนเปิดออกไปโดยไม่ให้สุ้มเสียง อาจเผลอไปเห็นฉากแสนอุจาดตาเข้า
จากนิสัยของดัควีลล์ ถ้าหมอนั่นตระหนักว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง อนาคตมีเพียงความตายรออยู่ เป็นไปได้มากที่เขาจะทำเรื่องสัปดน เสพความสุขสุดยอดก่อนตาย…
ขณะไคลน์กำลังปรามาส เสียงของนักปรุงยาอ้วนดังจากด้านใน
“มีอะไรหรือ”
ขอบคุณที่ยังไม่ตาย…
ไคลน์เปิดประตูอย่างระมัดระวัง โน้มตัวไปด้านหน้า จ้องดัควีลล์และกล่องแหวนที่เปิดอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย ซักถามใจเย็น
“ตอนนี้เลขอะไร*”
“ข้างนอกไม่มีนาฬิกาแขวนรึไง” ดัควีลล์ตอบกลับด้วยสีหน้าซังกะตาย
“ฉันถามถึงลูกเต๋า” ไคลน์ตอบห้วน
(*ในภาษาจีน สามารถใช้ถามเกี่ยวกับเวลา)
“ยังค้างอยู่ที่สามแต้ม…” ดัควีลล์ตอบกลับตามสัญชาตญาณ ก่อนจะเอียงคอโพล่งถาม “นายยอมเชื่อฉันแล้วหรือ…”
ไคลน์ไม่ตอบ ไม่ยอมรับว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์เคยถูกลูกเต๋าปั่นหัว
มันบิดเอวเล็กน้อย กล่าวเสียงเรียบ
“นำลูกเต๋าไปไว้ข้างนอก”
“ด…ได้!”
“ตกลง!”
ดัควีลล์และนกฮูกแฮร์รี่ขานรับด้วยสีหน้ายินดีปรีดาอย่างพร้อมเพรียง
คนหนึ่งยกแขน อีกตนยกปีก
รอให้นักปรุงยาอ้วนปิดกล่องแหวนอย่างระมัดระวัง ไคลน์ชี้ไปทางโต๊ะกาแฟ
“วางไว้บนนั้น”
กล่าวจบ ชายหนุ่มเดินไปนั่งบนโซฟา วางศอกลงบนต้นขา โน้มตัวไปด้านหน้าเพื่อตรวจสอบลูกเต๋าพิสดารอย่างถี่ถ้วน
จากรูปลักษณ์ภายนอก… ลูกเต๋านี้ไม่เหมือนกับของวิเศษในโลกศาสตร์เร้นลับ จุดแตกต่างจากลูกเต๋าทั่วไปคือ จุดสามแต้มที่ควรจะเป็นสีดำ กลับเป็นจุดสีแดงเหมือนกับเลขคู่…
ไคลน์ไม่ใช้มือจับส่งเดช เหยียดหลังตั้งตรง จ้องไปทางนักปรุงยาอ้วน
ดัควีลล์เดินมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม นกอ้วนแฮร์รี่บินเกาะขอบด้านบนของเก้าอี้ตัวเดียวกัน
“อธิบายให้ฉันฟังอย่างละเอียด”
ดัควีลล์ไม่คิดปิดบังเรื่องใดอีก รอยยิ้มของมันดูเหมือนร่ำไห้มากกว่าหัวเราะ
“สิ่งนี้เป็นสมบัติปิดผนึกชิ้นสำคัญขององค์กร ภารกิจของฉันคือการนำมันไปส่งมอบให้สมาชิกบางคนบนเกาะโอลาวี แต่ก็อย่างที่นายเห็น มันอันตรายเกินไป สามารถทอยตัวเองแม้ว่าจะไม่มีช่องว่างเพียงพอให้ลูกเต๋าหมุน! หากทอยได้หกแต้ม ผู้ถือจะโชคดีอย่างมาก ทุกการกระทำล้วนสำเร็จลุล่วงง่ายดาย เฉกเช่นที่ฉันเคยหลอกนายด้วยข้ออ้างเส็งเคร็ง”
อย่าขุดมันขึ้นมา… สักวันนายจะได้ตายเพราะปากเส็งเคร็ง…
ไคลน์นั่งฟังด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ดัควีลล์เสริม
“หากทอยได้หนึ่งแต้ม ผู้ถือจะประสบความอับโชคอย่างที่สุด ไม่ว่าทำสิ่งใดก็ล้มเหลวไปทุกเรื่อง แม้ว่าฉันจะอธิบายให้ฟังด้วยเหตุผลรอบคอบรัดกุม แต่นายก็จะไม่เชื่ออยู่ดีสองแต้มจะมีความโชคร้ายน้อยกว่า แต่นั่นก็มากพอจะทำให้ฉันถูกฟ้าผ่า… บ้าบอสิ้นดี! สามและสี่แต้มคือสภาวะความโชคร้ายและโชคดีในระดับปรกติ ฉันสามารถยืนยันได้ ส่วนห้าแต้มจะตรงกันข้ามกับสองแต้ม”
นายยังไม่ดวงซวยมากพอ ไม่อย่างนั้นคงถูกฉันซัดปากปางตายไปแล้ว…
ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ออกคำสั่งอย่างใจเย็น
“นับแต่นี้เป็นต้นไป พวกนายต้องผลัดเวรกันเฝ้าลูกเต๋า หากลดต่ำกว่าสามแต้มเมื่อไร ให้รีบแจ้งฉันทันที”
“พวกเรา?” ดัควีลล์ตามบทสนทนาไม่ทัน
“หมายถึงข้าหรือ” นกฮูกที่เกาะบนหลังเก้าอี้พลันยกปีกขวาขึ้น
ไคลน์เอนหลังพิงโซฟา ยกขาขวาไขว่ห้างทับขาซ้าย กล่าวอย่างสุขุม
“ผลัดเวรเพื่อถนอมพลังงานและสมาธิ”
กล่าวจบ ชายหนุ่มใช้คางชี้นกฮูก
“เริ่มจากแกก่อน”
“ข้าชื่อมิสเตอร์แฮร์รี่” นกฮูกพึมพำ
แฮร์รี่… ไคลน์กลั้นยิ้ม หันไปจ้องดัควีลล์
“นายไปสั่นกระดิ่งเรียกบริกร นับแต่นี้ไป พวกเราจะกินข้าวด้วยบริการสั่งอาหาร ก่อนไปถึงโอลาวี พวกนายต้องอยู่แต่ในห้องนั่นเล่นเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ไปไหนเด็ดขาด แม้แต่ตอนเข้าห้องน้ำ ก็ต้องรอให้ลูกเต๋าทอยออกมาเป็นสามหรือสี่แต้ม ถ้าอั้นไม่ไหว ฉันจะเตรียมถังให้”
เมื่อได้ยินคำสั่งอย่างฉะฉานจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์ นักปรุงยาอ้วนเริ่มผ่อนคลาย มิได้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวเหมือนกับตอนแรก
หนึ่งในสิ่งที่มันกลัวก็คือ เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะถูกความโลภครอบงำ เลือกเชือดมันทิ้งและขโมยลูกเต๋าไปครอง อีกหนึ่งความกลัวก็คือ มันกังวลว่านักผจญภัยป่าเถื่อนและเสียสติจะหวาดกลัวต่ออำนาจของลูกเต่า ตัดสินใจล้มเลิกภารกิจคุ้มกันกลางคัน
แต่ดูราวกับว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์มีได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย แถมยังมีความมั่นใจมาก!
ดัควีลล์ถอนหายใจเงียบ ครุ่นคิดกับตัวเอง
สมกับเป็นมืออาชีพ!
ไม่มีความหวาดกลัวเลยสักนิด!
อีกทั้งยังสามารถหลุดพ้นจากอิทธิพลของลูกเต๋าได้เอง และยอมรับฟังคำอธิบายของเรา… สมแล้วที่เป็นนักผจญภัยมากฝีมือผู้สังหาร ‘นักเจรจา’ มีซอร์ได้ง่ายดาย…
ต้องอยู่ระดับเดียวกับพลเรือโจรสลัดแน่!
ดัควีลล์ลุกยืน เดินไปทางประตู สั่นกระดิ่งเรียกบริกรประจำเรือ
ขณะกำลังเดินกลับมายังโซฟา นกฮูกแฮร์รี่โพล่งเสียงแหลมกะทันหัน
“เปลี่ยนแล้ว! มันเปลี่ยนแล้ว! สองแต้ม!”
โดยทันทีทันใด ไคลน์ดีดตัวลุกจากโซฟา วิ่งไปทางดัควีลล์ด้วยความเร็วสูง
ปัง!
ขณะเสียงปืนดังจากด้านนอก ไคลน์จับแขนของดัควีลล์ดึงมาด้านหลัง สะบัดข้อมือเล็กน้อยเพื่อโยนนักปรุงยาอ้วนไปยังด้านตรงข้าม
ในเวลาเดียวกัน บนผนังห้องพักใกล้กับจุดที่ดัควีลล์เคยยืนเมื่อครู หรูโหว่คล้ายรอยกระสุนปรากฏขึ้นหนึ่งนัด
ลูกเรือทำปืนลั่น? หรือว่าเป็นกระสุนจากการล่านกทะเล ชิ่งกระเด็นมาจากที่ใดสักแห่ง…
ไม่ว่าจะอย่างไหน แต่โอกาสเกิดก็ต่ำมาก…
ไคลน์หันไปทางนักปรุงยาอ้วนด้านข้าง
“บาดเจ็บรึเปล่า”
ดัควีลล์ส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร”
หลังจากนั้น ไคลน์ยังต้องคอยแก้ไขสถานการณ์อีกไม่ต่ำกว่าสิบเรื่อง ประกอบด้วยการตกลงมาอย่างฉับพลันของโคมเทียนระย้าภายในห้องนั่งเล่น พนักงานที่มาซ่อมก็ดันทำค้อนหลุดมือ หล่นใส่ศีรษะของดัควีลล์ รวมถึงเหตุการณ์ก้างปลาติดคอกะทันหันระหว่างกำลังกินข้าว ทำเอาเกือบขาดอากาศหายใจตาย
อาจไม่มีสิ่งใดอันตราย แต่สำหรับไคลน์ที่ต้องเพ่งสมาธิเป็นเวลานาน อาการเหนื่อยล้าคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
จนกระทั่งลูกเต๋าทอยตัวเองอีกครั้งและออกหน้าสี่แต้ม ชั่วโมงแห่งความบัดซบจึงสิ้นสุดลง
ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้… อาจมีสักวันที่อุบัติเหตุเกิดขึ้นกับคนรอบข้างอย่างเรา…
ไคลน์ยืนส่งกัปตันที่มาขอโทษขอโพยกลับไป จากนั้นก็พูดกับดัควีลล์
“ฉันจะงีบครึ่งชั่วโมง พวกนายเฝ้าลูกเต๋าไว้ให้ดี ถ้าเกิดปัญหาให้รีบปลุกโดยด่วน”
นักปรุงยาอ้วนและนกฮูกต่างพยักหน้าหงึกหงักพร้อมกับ เป็นภาพคล้ายไก่จิกข้าวเปลือก
เอนหลังพิงโซฟาในห้องนั่งเล่น ไคลน์เข้าฌานและหลับสนิทอย่างรวดเร็ว คาดหวังว่าจะมีการตอบสนองจากวิล·อัสติน
เมื่อได้สติแจ่มชัดในความฝันและเห็นทุ่งโล่งอันมืดมิด ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลาย เดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย จนกระทั่งถึงห้องด้านในสุดของยอดหอคอยสีดำ
บนพื้นยกสูงใจกลางห้องที่มีไพ่ทาโรต์รายล้อมมากมาย ข้อความสีเงินเปลี่ยนไปจากเดิม คราวนี้ถูกเขียนจนเต็มพรืดหลายบรรทัด
ไคลน์หยุดเดิน กวาดตาอ่านรวดเร็ว
“มันถูกเรียกว่า ‘ลูกเต๋าความน่าจะเป็น’ ถือเป็นสมบัติปิดผนึกระดับสูงสุดของโรงเรียนเรา ฉันเชื่อว่าเทียบได้กับระดับ 0 ของเจ็ดโบสถ์หลัก สามารถควบคุมความน่าจะเป็นของทุกสิ่งได้ดั่งใจ หากทอยได้หนึ่งแต้ม ความน่าจะเป็นในแง่ลบของเป้าหมายจะถูกขยายจนถึงขีดสุดสองแต้มจะเพิ่มความน่าจะเป็นในเหตุการณ์แง่ลบอย่างมาก และสิ่งนี้มิได้แปลว่าสองแต้มอันตรายน้อยกว่าหนึ่งแต้ม เพราะถ้าโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงมากพอ อันตรายก็จะอยู่ข้างกายทุกลมหายใจ ในกรณีของสามแต้ม ความน่าจะเป็นที่จะเกิดเหตุการณ์แง่ลบเพิ่มขึ้นจากปรกติเล็กน้อย ส่วนสี่ถึงหกแต้มก็ตรงกันข้าม แม้แต่ข้าที่สามารถล้างอิทธิพลทางโชคชะตาได้ในระดับหนึ่ง ก็ยังมองว่ามันคือสมบัติปิดผนึกแสนอันตราย หากโชคดี ผู้วิเศษทั่วไปสามารถใช้ลูกเต๋านี้ฆ่าครึ่งเทพได้ แต่ขณะเดียวกันก็อาจลงเอยด้วยการฆ่าตัวตายได้เช่นกัน”
ฉันเข้าใจ… การต่อสู้ระหว่างนายกับลูกเต๋าก็คงเหมือนกับการเผชิญหน้าระหว่าง ‘เทพแห่งการเซฟและโหลดใหม่’ กับ ‘เทพแห่งการสุ่ม’ …
ไคลน์พึมพำ กวาดตาอ่านต่อ
“ลูกเต๋าความน่าจะเป็นคือสมบัติปิดผนึกที่มี ‘สัญญาณชีพ’ มักทำให้ผู้ถือประสบความโชคดีและโชคร้ายสลับไปมา หากพลั้งเผลอเมื่อใดก็จะประสบอุบัติเหตุจนถึงแก่ความตายโดยไม่รู้ตัว เมื่อสัญญาณชีพตื่นขึ้นในระดับหนึ่ง มันจะส่งอิทธิพลต่อทุกสิ่งรอบตัวผู้ถือตามค่าตัวเลขที่ทอยได้ สามารถกำหนดความน่าจะเป็นในทุกผลลัพธ์ของการกระทำ แม้จะยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่ฉันเชื่อว่า หากปล่อยไว้นานเพียงพอ มันสามารถส่งอิทธิพลไปทั่วโลก กำหนดผลลัพธ์การกระทำของทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกตามค่าการทอย แน่นอน อิทธิพลดังกล่าวไม่ส่งผลต่อเทพ”
สรุปโดยสั้น ชะตากรรมของโลกทั้งใบจะขึ้นอยู่กับหน้าลูกเต๋า… ไม่ผิดแน่ มันอยู่ระดับเดียวกับสมบัติปิดผนึกเกรด 0… อันตรายยิ่งยวด!
น่ากลัวฉิบ…
ไคลน์ขมวดคิ้ว รีบกวาดตาอ่านต่อ
“วิธีผนึกลูกเต๋าความน่าจะเป็นนั้นค่อนข้างซับซ้อน โดยย่อก็คือ ต้องอาศัยสมบัติปิดผนึกบางชนิดเพื่อตัดการเชื่อมต่อระหว่างลูกเต๋ากับโลกวิญญาณ โลกดารา และโลกจริง เจ้าสามารถนำแนวคิดนี้ไปต่อยอดได้ ฮะฮะ! ขอพูดตรงนี้เลยก็แล้วกัน ข้าทราบมานานแล้วว่าบางสิ่งในตัวเจ้าสามารถกีดขวางพลังทำนายของข้าได้ บางที สิ่งนั้นอาจผนึกลูกเต๋าได้เช่นกัน ยังมีอีกหนึ่งวิธี เป็นการลดอิทธิพลของมันลงชั่วคราว แต่ก็มากพอจะยื้อเวลาให้เจ้านำลูกเต๋าความน่าจะเป็นไปส่งถึงมือคนที่สามารถผนึกมัน วิธีดังกล่าวคือ อาศัยการมีสัญญาณชีพของมันให้เกิดประโยชน์ ใช้เทคนิคข่มขู่ที่หวังผลได้เพื่อให้มันยอมเชื่อง… ไม่สิ ให้มันเงียบไปสักพัก ผลลัพธ์ของวิธีนี้จะคงอยู่ประมาณสิบสองชั่วโมง จากนั้นก็จะกลับเป็นปรกติ แต่ยิ่งข่มขู่บ่อยครั้ง ระยะเวลาก็ยิ่งสั้นลง หากใช้วิธีนี้ครบหนึ่งสัปดาห์ มันจะจำเจ้าได้ และเข้าครอบงำความน่าจะเป็นทั้งหมดในชีวิตเจ้า ท้ายที่สุด ข้าขอขอบใจเป็นอย่างมากที่เจ้ายอมช่วยเหลือพวกเรา จากมิตรสหายที่จริงใจ – วิล·อัสติน”
สมกับเป็นอสรพิษแห่งชะตา ตรวจพบความพิเศษของเราได้ง่ายดาย… การโยนลูกเต๋าความน่าจะเป็นเข้าไปในมิติหมอกอาจผนึกมันได้ก็จริง แต่ปัญหาคือ สิ่งนี้เป็นถึงสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ที่มีสัญญาณชีพ มันอาจส่งอิทธิพลกับมิติสายหมอกและยึดครองไปเป็นของตัวเอง…
การทำนายยืนยันอันตรายคงไม่เกิดประโยชน์ อีกฝ่ายคงมีพลังกีดขวางเหมือนกับ 0-08…
ไคลน์ตัดสินใจไม่ใช่มิติหมอกผนึก
เค้นสมองนึกสักพัก มันผุดแนวคิดใหม่
ไคลน์ตื่นจากฝัน ปลุกสติตัวเองกลับมาและหันไปกล่าวกับดัควีลล์ นักปรุงยาร่างท้วม
“ฉันรู้วิธีสยบมันแล้ว”
“ทำยังไง?” ดัควีลล์ซักถามฉงน
ไคลน์ไม่ตอบ เพียงหยิบลูกเต๋าความน่าจะเป็นที่กำลังออกหน้าสี่แต้ม เดินเข้าห้องน้ำ
เขาคิดจะทำอะไร… หรือว่า… ถ้าจำไม่ผิด ในบางวัฒนธรรมของชนพื้นเมือง วิธีจัดการกับสิ่งชั่วร้ายคือการโยนใส่กองอุจจาระ… อุแหวะ…
ดัควีลล์ไม่อยากจินตนาการต่อ
ภายในห้องน้ำ หลังจากลงกลอนมิดชิด ไคลน์ประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง ส่งลูกเต๋าสุดอันตรายเข้าไปในมิติหมอก เสกกล่องบุหรี่โลหะจากกองขยะลอยมาวางตรงหน้า
จากนั้น มันวางลูกเต๋าความน่าจะเป็นไว้ข้างกล่องโลหะ และหยิบ ‘ดวงตาดำล้วน’ จากนักเชิดหุ่นออกจากกล่อง
ท่ามกลางแสงสลัว ใบหน้าของไคลน์ถูกฉาบด้วยเงาดำเข้ม บรรยากาศรอบกายเป็นไปอย่างลึกลับและน่าเกรงขาม
ชายหนุ่มเลื่อนลูกเต๋าความน่าจะเป็นเข้ามาใกล้กับดวงตาดำล้วน—ตะกอนพลังที่ถูกพระผู้สร้างแท้จริงกัดกร่อน
ไคลน์ยกมุมปากอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นรอยยิ้มแสนใจดีและอ่อนโยน
มันกระซิบบอกกับลูกเต๋าสีขาวนมสดในมือ
“ขอต้อนรับสู่คอนเสิร์ต”
……………………
ราชันเร้นลับ 607 : พบความผิดปรกติ
โดย
Ink Stone_Fantasy
แม้หน้าต่างห้องน้ำจะสูง แต่แสงแดดก็ยังส่องเข้ามาไม่มากพอ ทำได้เพียงขจัดความดำมืดออกไปบางส่วน บรรยากาศด้านในจึงยังสลัวมัวเมา
ไคลน์ถือลูกเต๋าความน่าจะเป็นด้วยมือขวา บรรจงเลื่อนมันเข้าหาดวงตาดำล้วนทีละนิด
ทันใดนั้น ลูกเต๋าสีขาวนมสดพลันสั่นระริก
ชายหนุ่มสะบัดข้อมือ โยนมันไปยังอีกฝั่งของเคาน์เตอร์อ่างล้างมือหรูหรา
ลูกเต๋าพิสดารหมุนตัวเองสักพัก ในที่สุดก็ทอยออกมาเป็นสี่แต้ม
ไคลน์เผยรอยยิ้มมุมปาก หยิบลูกเต๋าความน่าจะเป็นขึ้นมาอีกครั้ง ซักถามอย่างนุ่มนวลพลางเอนตัวเข้าไปใกล้
“แกไม่อยากฟังคอนเสิร์ตใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็ตอบฉันมา… หกแต้มหมายถึงยอมร่วมมือ ส่วนที่เหลือคือปฏิเสธ”
กล่าวจบ ชายหนุ่มโยนลูกเต๋าความน่าจะเป็นขึ้นไปบนอากาศ สายตาจ้องมองผลลัพธ์
ลูกเต๋าสีขาวนมสดตกลงบนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า กลิ้งกุกกัก ตามด้วยการเผยสัญลักษณ์หกแต้มสีแดง!
“ดีมาก” ไคลน์หัวเราะในลำคอพลางชมเชย
หลังจากโยนดวงตาดำล้วนกลับเข้าไปในมิติสายหมอก ชายหนุ่มเปิดประตูห้องน้ำ เดินกลับไปทางห้องนั่งเล่น
ท่ามกลางสายตาคาดหวังและเฝ้ารอจากนักปรุงยาอ้วน·ดัควีลล์และนกฮูกแฮร์รี่ ไคลน์ชะงักฝีเท้า โยนลูกเต๋าความน่าจะเป็นไปทางอีกฝ่าย
“ไม่!”
“อย่า!”
ดัควีลล์และนกฮูกแหกปากโหวกเหวกพร้อมกัน ด้วยกังวลว่าผลการทอยจะออกมาต่ำกว่าสามแต้ม รายหลังรีบกระพือปีกบินตามสัญชาตญาณ ถอยออกห่างจากนักปรุงยาอ้วนที่อาจถูกฟ้าผ่า
เสียงกระทบดังคมชัด ลูกเต๋าสีขาวนมสดหมุนกลิ้งไปบนโต๊ะกาแฟสักพัก ก่อนจะเผยผลลัพธ์ออกมาเป็นสองแต้ม
ขณะใบหน้าดัควีลล์เริ่มซีดเผือด ลูกเต๋าทอยตัวเองอย่างเกียจคร้านอีกรอบ หงายด้านสี่แต้มขึ้นมาแสดง
“ถัดจากนี้อีกสิบสองชั่วโมง มันจะทำตัวค่อนข้างเรียบร้อย” ไคลน์นั่งลงด้วยมาดสุขุม ก้มหน้าจัดการกับอาหารเที่ยงที่เริ่มเย็นชืด
วิธีของเขาได้ผล…?
ดัควีลล์มองต่ำ จ้องลูกเต๋าบนโต๊ะกาแฟ
จากนั้นสักพัก มันอดใจไม่ได้ที่จะลองเหยียดแขนไปพลิกลูกเต๋าเป็นหน้าหกแต้ม
เพียงปล่อยฝ่ามือออก ลูกเต๋าทอยตัวเองทันทีโดยปราศจากแรงลม กลับยังไปสี่แต้มตามเดิม
เจ๋ง…!
เกอร์มัน·สแปร์โรว์ใช้วิธีใดกันแน่… หรือความเชื่อของชนพื้นเมืองจะได้ผล ถ่ายอุจจาระออกมาแล้วเอาลูกเต๋าจุ่มลงไป? อุแหวะ…
ดัควีลล์ยอมรับผลลัพธ์แต่โดยดี ไม่ครุ่นคิดหาเหตุผลเพิ่มเติม ด้วยเกรงว่าตนอาจพ่นอ้วกเรี่ยราดห้องนั่งเล่น
เงยหน้าขึ้นมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังปาดเนยลงบนขนมปังอย่างสบายใจ ดัควีลล์เริ่มตระหนักว่า การยอมจ่ายหนึ่งพันปอนด์เพื่อใช้บริการบอดี้การ์ดระดับนี้นับว่าคุ้มค่าทุกเพนนี!
ด้วยฝีมือระดับพลเรือโจรสลัดของเขา หากมหาเศรษฐีคนใดประสบชะตากรรมคล้ายคลึงเรา พวกมันคงไม่ลังเลที่จะจ้างเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตัวเอง… โชคยังดี เราต้องจ่ายเพียงสามร้อยปอนด์ ส่วนที่เหลือจะออกโดยอาจารย์…
เมื่อไม่ต้องกังวลว่าลูกเต๋าระยำจะเปลี่ยนหน้าไปอีกสิบสองชั่วโมง ดัควีลล์ถอนหายใจผ่อนคลาย อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้น ยืดเส้นยืดสาย
มันเดินไปทางหน้าต่างภายในห้อง เลือนมือเปิดหน้าต่างที่ปิดอยู่ เผยให้เห็นเมฆบางเบา ท้องฟ้าสูงโปร่ง และท้องทะเลกว้างใหญ่ด้านนอกลำเรือ
ผืนน้ำสีน้ำเงินเข้มโยกคลอนอย่างอ่อนโยน สะท้อนแสงแดดเจิดจ้าจนเกิดประกายวิบวับ ประหนึ่งใครบางคนนำทองคำไปโปรยจนทั่ว ฉากตรงหน้าปลุกดัควีลล์ให้ตื่นจากภวังค์ซบเซา คล้ายกับหัวใจได้รับความร่าเริงกลับคืน
แตกต่างจากอากาศในกรุงเบ็คลันด์ที่จะเริ่มอุ่นเมื่อย่างเข้าปลายกุมภาพันธ์ บรรยากาศรอบหมู่เกาะรอสต์มิได้เย็นจัดจนไม่เป็นอันทำอะไร แต่กลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ได้เห็นทัศนียภาพทางทะเลท่ามกลางอากาศอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ…
ไคลน์ถือขนมปังคุณภาพดีเดินมายืนด้านหลังดัควีลล์ รู้สึกคล้ายกับตัวเองเป็นสัตว์ที่เพิ่งตื่นจากการจำศีล
ชายหนุ่มมิได้ท่องบทกวีที่แล่นเข้ามาในหัว ส่วนหนึ่งเพราะสิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับบุคลิกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือ มันไม่อยากได้ยินดัควีลล์สรรเสริญความปรีชาสามารถของจักรพรรดิโรซายล์
…
ตกเย็น ลูกเต๋าไม่เปลี่ยนแปลงตลอดทั้งวัน แต่อากาศภายนอกเรือเริ่มผันผวน เมฆดำก่อตัวพร้อมพายุ ฝนฟ้าคะนองเริ่มตั้งเค้า
นี่คืออันตรายที่พบได้บ่อยในทะเล ไม่เว้นแม้แต่การล่องเรือไปบนเส้นทางที่บรรพชนสำรวจแล้วว่าปลอดภัย เหตุการณ์ในทำนองเดียวกันสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ และมิได้น่ากลัวมากนักในสายตาชาวเรือ
ไคลน์มองไปยังคลื่นทะเลสองฝั่งที่มีขนาดมหึมาราวกับสูงเสียดฟ้า พลันเกิดความรู้สึกว่าเรือลำนี้กำลังแล่นเข้าไปในหุบเขาสีฟ้าครามที่พร้อมพังครืนตลอดเวลา
ความรู้สึกถูกข่มขวัญทำให้ตัวมันที่เป็นผู้วิเศษลำดับกลาง เกิดอยากจะสวดวิงวอนต่อองค์เทพขึ้นมาจับใจ ภาวนาให้เรือโดยสารของตนผ่านพ้นพายุได้อย่างปลอดภัย
เข้าใจแล้วว่าทำไมบรรดาลูกเรือ โจรสลัด และพ่อค้าที่ดำรงชีวิตในทะเลเป็นเวลานานจึงหวาดกลัวต่อเทพวายุสลาตันโดยมิอาจขัดขืน บ้างมาก บ้างน้อย แตกต่างกันไป…
ไคลน์แอบถอนหายใจ
แม้จะไม่เชื่อว่าพายุลูกนี้สามารถจมเรือโดยสารพลังเครื่องจักรไอน้ำลงได้ แต่มันก็ไม่คิดประมาท พึมพำคำสวดวิงวอนไปยังเทพสมุทร คาเวทูว่า หนึ่งในตัวตนของตัวเอง
ไคลน์กังวลว่า ขณะพายุกำลังโหมกระหน่ำ ลูกเต๋าความน่าจะเป็นอาจเกิดคลั่งขึ้นมา เปลี่ยนตัวเองกลายเป็นหนึ่งแต้มและจมเรือลงก้มทะเล ดังนั้น ความรอบคอบคือสิ่งจำเป็น
ชายหนุ่มไม่เคลือบแคลงคำอธิบายของอสรพิษแห่งชะตา วิล·อัสติน ที่บอกว่าลูกเต๋าความน่าจะเป็นจะเชื่องนานเวลาสิบสองชั่วโมงหลังจากถูกข่มขู่ครั้งแรก แต่นั่นคือในกรณีทั่วไป
ในเมื่อลูกเต๋าความน่าจะเป็นคือสมบัติปิดผนึกที่มีสัญญาณชีพ ก็ควรประเมินพฤติกรรมของมันให้เหมือนกับมนุษย์ มิใช่สิ่งของที่จะทำตามกฎและกลไกเพียงอย่างเดียว ต้องคอยระวังการฉวยโอกาสจากอีกฝ่าย…
มองไปยังดัควีลล์และนกฮูกที่เผยสีหน้ากระวนกระวายเนื่องจากพายุ ไคลน์กล่าวเสียงเรียบ
“ฉันจะเข้าไปพัก พวกนายคอยจับตามองลูกเต๋าไว้ ผลัดเวรกันให้ดี ห้ามประมาทเด็ดขาด”
“ตกลง” เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์เดินเข้าห้องนอนใหญ่ ดัควีลล์ตรงไปทางโต๊ะกาแฟ ทิ้งตัวนั่งลง ซักถามนกฮูกแฮร์รี่พลางจ้องลูกเต๋าสีขาว “กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่”
แฮร์รี่บินไปรอบห้อง ส่งเสียงพึมพำ
“ทำไมข้าถึงไม่เกิดมาเป็นนกทะเล”
ภายในห้องนอนใหญ่ ไคลน์ส่งตัวเองเข้าสู่มิติหมอก โบกมือเสกคทาเทพสมุทรจากกองขยะ
ชายหนุ่มใช้มือหยิบคทาสั้นที่มีอัญมณีสีน้ำเงินเลี่ยมตรงหัว ตอบสนองต่อคำวิงวอนของตัวเองอย่างรวดเร็ว
ไคลน์มิได้สิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปกับการเสกให้พายุหายไป เนื่องจากเรือของตนยังแล่นไม่พ้นจากน่านน้ำหมู่เกาะรอสต์ ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่โฉ่งฉ่างเช่นนี้อาจดึงดูดความสนใจจาก ‘เจ้าสมุทร’ แยนน์·ค็อตแมน หรือไม่ก็นักบวชของโบสถ์วายุสลาตันที่โดยสารอยู่บนเรือ
ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลก็คือ มันต้องการถนอมพลังวิญญาณไว้คอยระวังลูกเต๋าความน่าจะเป็น
ไคลน์ลงมือไม่ซับซ้อน เพียงใช้คำอวยพรบางประการกับเรือ ทำให้มันสามารถแล่นท่ามกลางพายุได้โดยไม่พลิกคว่ำ
สำหรับผู้วิเศษลำดับ 5 และหกที่ยังอยู่ห่างจากครึ่งเทพ หากต้องการส่งอิทธิพลต่อผู้คนในขอบเขตกว้างเท่ากับเรือโดยสาร ก็ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าเป็นเวลานาน และทำกระทำผ่านพิธีกรรมซับซ้อน ต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณเกือบทั้งหมดในคราวเดียว สรุปโดยสั้นคือ ไม่ใช่ครึ่งเทพก็สามารถทำได้ แต่จะยากและวุ่นวายเป็นอย่างมาก
ในทางกลับกัน หากเป็นพลังอำนาจของเทพสมุทร สิ่งนี้นับว่าง่ายดายประหนึ่งพลิกฝ่ามือ
“ก็ครึ่งเทพมีเศษเสี้ยวพลังของเทพนี่นะ…” ไคลน์ถอนหายใจยาว โยนคทาเทพสมุทรกลับไปยังกองขยะ หายตัวไปจากสายหมอกสีเทาอย่างเงียบงัน
หลังจากนั้นเป็นเวลานาน เรือแล่นไปตามคลื่นน้ำอย่างสงบนิ่ง มีขึ้นบ้างลงบ้าง คล้ายกับใบไม้ลอยอยู่บนผิวน้ำ โดยไม่ว่า ‘หน้าผา’ สองฝั่งจะน่ากลัวสักเพียงใด แต่เรือก็ยังแล่นฝ่าไปอย่างราบรื่นจนกระทั่งพายุสงบลง
…
เช้าวันพฤหัสบดี ถนนวิลเลียมส์
ฟอร์ส·วอลล์มาเยือนที่นี่อีกครั้งด้วยรถม้า
เธอมิได้นั่งในร้านกาแฟเหมือนเคย แต่เลือกเดินไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน สำรวจสิ่งก่อสร้างและผู้คนรอบตัวเป็นระยะ บางครั้งบางคราวก็จดบันทึกลักษณ์เด่นของผู้คน เตรียมไว้ใช้ในนิยายของตัวเอง
ชาวต่างชาติเต็มไปหมด… ยังคงมีแต่ฟุซัคและอินทิสเป็นส่วนใหญ่เหมือนเดิม ฮุฮุ ฝั่งหนึ่งตัวใหญ่เหมือนหมี ท่าทางป่าเถื่อน ส่วนอีกฝั่งเหมือนกับนกยูงผยองพองขน…
ฟอร์สพึมพำในลำคอ
จนกระทั่ง หญิงสาวเดินมาถึง ณ กึ่งกลางถนนวิลเลียมส์ ที่นี่มีห้องสวดมนต์ร้างแห่งหนึ่ง ภายนอกปกคลุมด้วยซากเถาวัลย์แห้ง ก้อนหินสีเทากระจัดกระจายเต็มพื้น
ฟอร์สคิดว่าตนควรทำงานให้คุ้มกับค่าจ้างของเดอะเวิร์ล จึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ สำรวจความผิดปรกติภายนอกเป็นอันดับแรก
หลังจากเดินวนครบหนึ่งรอบ หญิงสาวยังไม่พบความผิดปรกติ
ถัดมา เธอย่างกรายเข้าไปข้างใน คอยระวังมิให้ตัวเองเหยียบลงบนสิ่งปฏิกูลและเศษขยะอันน่ารังเกียจ สายตารีบกวาดสำรวจทุกซอกมุมอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น หญิงสาวสะดุดเข้ากับบางสิ่งจนต้องขมวดคิ้ว
พื้นดินตรงมุมหนึ่งของห้องเกิดการยุบตัวเล็กน้อย คล้ายกับใครบางคนพยายามขุดดินด้วยมือ กระทั่งรอยนิ้วก็ยังเหลือทิ้งไว้อย่างเด่นชัด!
นี่คือความไม่ปรกติ… ใช่ไหม…
ฟอร์สเดินกลับออกมาอย่างระมัดระวัง ไม่มีการตรวจสอบเพิ่มเติมโดยไม่จำเป็น
หลังจากเดินไปจนสุดเส้นถนนวิลเลียมส์ หญิงสาวตรงกลับบ้านทันที เรียบเรียงความผิดปรกติและวัตถุดิบสำหรับเขียนนิยายลงบนกระดาษแผ่นใหม่เพื่อให้อ่านง่าย จากนั้นก็ประกอบพิธีกรรมสังเวยถึงมิสเตอร์ฟูล รบกวนให้อีกฝ่ายส่งต่อไปยังเดอะเวิร์ล
ฟอร์สเล่าทุกสิ่งที่เห็นโดยไม่ปิดบัง แม้บางเรื่องอาจดูเหมือนไร้สาระ แต่เธอก็มิได้ด่วนตัดสินเอาเองอย่างโง่เขลา ปล่อยให้เดอะเวิร์ลไปพิจารณาเอาเอง
…
เหนือสายหมอก ภายในวังโบราณ
ไคลน์ก้มหน้าอ่านรายงานจากมิสเมจิกเชี่ยน
มีร่องรอยการขุดดินภายในห้องสวดมนต์ร้างกลางถนนวิลเลียมส์? เรากับมาดามชารอนกลบร่องรอยไปแล้วไม่ใช่หรือ… มีใครบางคนพยายามขุดกลับลงไปใหม่? หรือจะเป็นราฟเตอร์·พาวน์ ลูกหลานตระกูลทูดอร์คนนั้น?
แต่มันเคยเกือบตายเพราะถูกวิญญาณมารสิงร่างมาแล้วครั้งหนึ่ง หากไม่มีผู้ช่วย เกรงว่าคงไม่กล้าลองดีอีกรอบแน่…
“ยังจะเป็นใครไปได้อีก…” ไคลน์ครุ่นคิดเป็นเวลานาน แต่ก็ยังมิอาจระบุตัวผู้ต้องสงสัย
มันก้มหน้าอ่านรายงานส่วนถัดไป
เมื่อยิ่งอ่านรายงานที่ถูกเขียนอย่างประณีต ชายหนุ่มเริ่มพบความผิดปรกติที่เด่นชัด
“บนถนนวิลเลียมส์เต็มไปด้วยชาวต่างชาติ โดยส่วนมากมักเป็นฟุซัคและอินทิส… ฟังดูไม่เหมือนกับถนนวิลเลียมส์ที่เราเคยไปเยือนเมื่อหลายเดือนก่อน… แถวนั้นมีบริษัทของฟุซัคและอินทิสมาเปิดใหม่หรือไง ฟุซัค… อินทิส…”
ไคลน์เคี้ยวคำงึมงำ ทันใดนั้นก็ฉุกคิดบางสิ่งได้อย่างกะทันหัน
นั่นก็คือ ไม่ว่าจะตระกูลไอน์ฮอร์นที่เป็นราชวงศ์ของจักรวรรดิฟุซัค หรือตระกูลเซารอนที่เป็นอดีตราชวงศ์ของสาธารณรัฐอินทิส พวกมันต่างครอบครองเส้นทาง ‘นักล่า’ หรืออีกชื่อหนึ่งคือเส้นทาง ‘นักบวชสีชาด’ เป็นเลือดของสองในสามตระกูลที่วิญญาณมารต้องการนำไปปลดผนึกให้ตัวเอง!
เมื่อรวมเข้ากับลูกหลานตระกูลเมดีซีที่ถูกทำลายไปบนเกาะแบนชี สามตระกูลใหญ่ที่ครอบครองเส้นทาง ‘นักบวชสีชาด’ ล้วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ทั้งหมด!
“หมายความว่า การทำลายท่าเรือแบนชีจนราบเป็นหน้ากลอง ส่งผลให้ตะกอนพลังของตระกูลเมดีซีกลับมารวมตัวกับวิญญาณมารที่น่าจะเป็น ‘เทวทูตสีชาด’ ด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้ความเข้มข้นของตะกอนพลังในตัวมันเพิ่มสูงขึ้น จนถึงขั้นดึงดูดคนของตระกูลเซารอนและไอน์ฮอร์นให้เข้ามาหา? ไม่สมเหตุสมผล… ถ้าคนของโบสถ์วายุสลาตันไม่พบตะกอนพลังในจุดเกิดเหตุ พวกมันก็ต้องเอะใจบ้าง และพบความผิดปรกติที่เกิดขึ้นบนถนนวิลเลียมส์ คงเป็นเหตุผลอื่น… หรือว่าวิญญาณมารในซากอาคารใต้ดินโบราณ จะให้บอกใครบางคนช่วยดึงดูดคนของตระกูลไอน์ฮอร์นและเซารอนมารวมตัวกัน? แล้วเป็นใคร… มีเพียงไม่กี่คนที่ทราบเรื่องวิญญาณมารตนนั้น… แค่เรา และมาดามชารอน…”
ครุ่นคิดมาถึงจุดนี้ ไคลน์พบความเป็นไปได้อีกหนึ่งทาง
นั่นคือราฟเตอร์·พาวน์ ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลทูดอร์ที่เคยถูกวิญญาณมารครอบงำ
ชายคนนั้นอาจกลายเป็นทาสรับใช้ให้วิญญาณมารโดยไม่รู้ตัว และแอบแพร่กระจายข่าวของมันออกไป!
“ในตอนนั้น วิญญาณมารแสร้งขอความช่วยเหลือจากมาดามชารอนและเรา เพียงเพื่อให้พวกเราตายใจว่ามันไม่มีคนอื่นอีกแล้ว! แต่ในความเป็นจริง ลับหลังมันแอบบังคับให้ทายาทของตัวเองเสี่ยงเผยแพร่ความลับ!”
ไคลน์พลันตะลึง เพิ่งตระหนักว่าตนถูกวิญญาณมารปั่นหัวมาตลอด
……………………
ราชันเร้นลับ 608 : มืออาชีพ
โดย
Ink Stone_Fantasy
สายหมอกสีเทาไร้ขอบเขตกำลังไหลเวียนไปรอบมิติอย่างเงียบงัน พวกมันจะเกิดแรงเสียดทานเล็กน้อยเมื่อเคลื่อนตัวไปบนผิวของโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณ
ไคลน์เปลี่ยนท่านั่ง ครุ่นคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณมารอย่างละเอียด ไม่เข้าใจว่าทำไมตนและมาดามชารอนถึงได้มองข้ามปัญหาเกี่ยวกับราฟเตอร์·พาวน์ในขณะนั้นโดยสิ้นเชิง
“หรือจะเป็นเพราะพลังของ ‘นักวางแผน’ บนเส้นทางนักบวชสีชาด…? เนื่องจากเป็นพฤติกรรมที่ใกล้เคียงกับการหลอกลวงตามธรรมชาติโดยมิได้พึ่งพาพลังพิเศษ มิติสายหมอกของเราจึงไม่ช่วยให้ระลึกถึงความจริงเบื้องหลัง และจะไม่รู้ตัวว่าถูกหลอกจนกว่าจะไตร่ตรองอย่างรอบคอบ? ถ้าไม่ใช่เพราะเราบังเอิญทราบข้อมูลจากมิสเตอร์อะซิกว่า วิญญาณมารตนดังกล่าวคืออดีต ‘เทวทูตสีชาด’ เมดีซี ที่ร่วงหล่นไปเมื่อหลายพันปีก่อน เราคงไม่มีทางพบความผิดปรกติในเรื่องนี้เลย และไม่จ้างมิสเมจิกเชี่ยนให้คอยจับตามองถนนวิลเลียมส์”
ก้มหน้าครุ่นคิดหลายวินาที ไคลน์หยิบปากกาและกระดาษออกมาวาง เตรียมยืนยันทฤษฎีของตนด้วยการทำนาย
ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มเขียนประโยคที่จะใช้ในเทคนิคทำนายด้วยความฝัน
“บาโรเน็ตราฟเตอร์·พาวน์ในปัจจุบัน”
วางปากกาหมึกซึมสีแดงลง ไคลน์ถือกระดาษพร้อมประโยคทำนาย เอนหลังพิงพนักเก้าอี้
ก่อนอื่น มันต้องเรียกข้อมูลที่เกี่ยวกับราฟเตอร์·พาวน์ทั้งหมดในความทรงจำเพื่อให้การทำนายประสบผลสำเร็จ จากนั้นก็หลับตาลง พึมพำเสียงแผ่วและเข้าฌานเพ่งสมาธิ
จิตไคลน์เข้าสู่ภาวะสงบนิ่ง โลกความฝันสีเทาหม่นปรากฏขึ้นตรงหน้า
ท่ามกลางโลกอันพร่ามัว ฉากเหตุการณ์ถูกฉายผ่านสายตาชายหนุ่มอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งหยุดลงที่บ้านเลขที่ 29 ถนนซิลวารัส
ภายในห้องนั่งเล่นบรรยากาศอบอุ่น บาโรเน็ตราฟเตอร์·พาวน์ สวมชุดนอนผ้าฝ้าย มือหนึ่งถือแก้วไวน์บรรจุของเหลวสีแดง ยืนมองไปทางกรมตำรวจประจำเมืองหลวงที่อยู่เยื้องฝั่งตรงข้าม
จุดสีขาวบนจอนข้างขมับราฟเตอร์·พาวน์ชัดเจนขึ้นจากแต่ก่อนมาก ถุงใต้ตาปรากฏความหมองคล้ำชัดเจน ริ้วรอยตรงหน้าผากและหางตาลึกเกินกว่าจะเป็นชายวัยสี่สิบ
รูม่านตาอาจยังมีชีวิตชีวา แต่ก็ขยายขนาดมากกว่าปรกติเล็กน้อย ผิวแก้มแดงระเรื่อ ยิ้มอ่อนมุมปากตลอดเวลา ไคลน์พบรายละเอียดยิบย่อยมากมายซึ่งแตกต่างจากราฟเตอร์·พาวน์ที่ตนเคยรู้จัก
นึกแล้วเชียว มีบางสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้นกับราฟเตอร์·พาวน์…
ไคลน์ส่งตัวเองออกจากความฝัน ครุ่นคิดหาวิธีจัดการกับวิญญาณมาร
แต่ก็ไม่เสียเวลาต้องไตร่ตรองนานนัก เพราะมันมีวิธีแก้ปัญหาในใจอยู่แล้ว ประกอบกับที่ตนไม่สามารถติดต่อกับมาดามชารอนได้ สิ่งแรกที่ต้องรีบทำคือการ ‘รายงาน’ ให้ทางการทราบ!
แต่จะรายงานด้วยวิธีไหน…
ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเสกเดอะเวิร์ลขึ้นมาทำท่าสวดวิงวอน :
“จงใช้ช่องทางที่น่าเชื่อถือ ส่งข้อมูลต่อไปนี้ให้กับโบสถ์เทพจักรกลไอน้ำและโบสถ์รัตติกาล ข้อมูลก็คือ : สายสืบระดับสูงจากฟุซัคและอินทิสกำลังรวมตัวบนถนนวิลเลียมส์ เป้าหมายที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด ค่าตอบแทนของภารกิจนี้คือหนึ่งร้อยปอนด์”
ข้อความดังกล่าวคือผลลัพธ์จากการใคร่ครวญอย่างละเอียดของชายหนุ่ม หากตนเปิดเผยความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับราชาเทวทูต นักบวชสีชาด ตระกูลเมดีซี และราชวงศ์ทูดอร์ ไม่เพียงอาคารโบราณใต้ดินจะถูกทางการกับกองทัพขุดค้น แต่ตัวมิสเมจิกเชี่ยนเองก็จะถูกสอบปากคำสถานหนัก อาจถึงขึ้นถูกจับคุมขัง ผลลัพธ์ที่ตามมาจะอันตรายอย่างมาก
ในทางกลับกัน ข้อมูลที่ว่า ‘สายลับระดับสูงของฟุซัคและอินทิสกำลังรวมตัวกันบนถนนวิลเลียมส์’ ไม่เพียงจะลดระดับความอันตรายลง แต่ยังกลมกลืนไปกับเหตุการณ์ปรกติที่ผู้วิเศษทั่วไปสามารถพบเห็นได้โดยบังเอิญ และระดับความอันตรายยังสูงพอจะกระตุ้นให้โบสถ์หลักกับกองทัพส่งมือดีมาสืบสวนด้วยตัวเอง นับเป็นข้ออ้างที่เป็นผลดีกับทุกฝ่าย
ในส่วนของผลการสืบสวนหลังจากนั้น รวมไปถึงคะแนนผลงานส่วนตัวของหน่วยพิเศษแต่ละคน จะไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับคนแจ้งข่าว มิสเมจิกเชี่ยนอยู่ในสถานะปลอดภัยไร้กังวล
ไคลน์ตัดสินในไม่เรียกมิสเตอร์อะซิกมาช่วย เนื่องจากศัตรูเป็นถึงวิญญาณมารของราชาเทวทูต แต่มิสเตอร์อะซิกยังฟื้นฟูความทรงจำกลับมาไม่สมบูรณ์ ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ในการดวล
อาศัยการเพ่งสมาธิเล็กน้อย ไคลน์เปลี่ยนให้ฉากสวดวิงวอนของเดอะเวิร์ลกลายเป็นกระแสพลังงาน ไหลซึมเข้าไปในดาวแดงเข้มที่เป็นตัวแทนของเมจิกเชี่ยน
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตเชอร์วู้ด
หลังจากได้รับคำตอบจากเดอะเวิร์ล ฟอร์สทำสีหน้าตกตะลึง
“แท้จริงแล้ว… คนเหล่านั้นเป็นสายลับระดับสูงจากฟุซัคและอินทิส?” หญิงสาวประหลาดใจหนักหน่วง เชื่อว่าลำพังข้อมูลที่ตนบรรยายส่งไป ไม่มากพอจะช่วยให้อนุมานเป็นแบบนั้นได้แน่!
แต่เพียงไม่นาน ฟอร์สเริ่มเข้าใจสถานการณ์
คงเป็นเพราะมิสเตอร์เวิร์ลมีเบาะแสอยู่ก่อนแล้วว่าถนนวิลเลียมส์ถูกสายลับแทรกซึม เมื่อเราเล่าถึงความหนาแน่นของชาวฟุซัคและอินทิส นั่นเป็นการยืนยันข่าวกรองของเขาถูกต้อง…
ให้ส่งข้อความถึงโบสถ์จักรกลไอน้ำและโบสถ์รัตติกาล? เขากำลังบอกใบ้ทางอ้อมให้เรา ‘รายงาน’ เข้าไปสินะ… น่าเสียดายที่เราจะไม่ได้รับรู้ความคืบหน้าหลังจากนี้ อดเห็นฉากเด็ดที่อาจนำไปใช้เขียนนิยาย…
การแจ้งข่าวให้หน่วยพิเศษทราบ เรื่องนี้มิได้ไกลตัวฟอร์สสักเท่าไร เพราะเหนือสิ่งอื่นใด รูมเมทของเธอคือนักล่าค่าหัวที่มีชื่อเสียง
เพียงไม่นานก็ได้ข้อสรุป หญิงสาวตัดสินใจฝากฝังให้เพื่อนผู้เชี่ยวชาญ รับหน้าที่รายงานไปยังหน่วยพิเศษของโบสถ์หลักประจำกรุงเบ็คลันด์
เดินออกจากห้องนอน ฟอร์สเห็นซิลกำลังนั่งบนโซฟาตัวโปรด โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย สายตาเพ่งอ่านเอกสารเกี่ยวกับเป้าหมายภารกิจ มือข้างหนึ่งขยับขึ้นมาสางผมที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงเป็นระยะ สีหน้าคล้ายกำลังเคร่งเครียด
ฟอร์สแวะหยิบของตกแต่งชิ้นหนึ่งที่อยู่ใกล้กับโซฟา จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้
“มากินเค้กกัน”
ซิลชำเลืองจานเค้กเนยฉ่ำครีม ตามด้วยการเหยียดแขนคว้าโดยไม่เบือนหน้าจากกระดาษเอกสาร
ทันใดนั้น ฟอร์สบิดข้อมือ เปลี่ยนให้จานเค้กกลายเป็นดอกไม้กระดาษสีทอง
“ตกใจไหม” เธอถามพร้อมรอยยิ้ม
ซิลกลอกตามองบนอย่างเอือมระอา
“เลิกเล่นกลไร้สาระสักที ฉันต้องการอาหารของจริงมากกว่า!”
“ตกลง เข้าเรื่องเลยแล้วกัน ฉันมีงานด่วนมาให้เธอทำ ค่าตอบแทนเจ็ดสิบปอนด์”
ฟอร์สนั่งลงพลางยิ้ม
…
หลังจากจัดการเรื่องของวิญญาณมารเสร็จ ไคลน์ส่งตัวเองกลับสู่โลกจริง ประกอบพิธีกรรมนำเครื่องรับโทรเลขไร้สายที่แช่ออร่าสายหมอกมาแล้วหลายวัน ลงมายังห้องนอนใหญ่
ชายหนุ่มทิ้งตัวนอนบนเตียง ด้วยความช่วยเหลือจากการเข้าฌาน มันหลับสนิทอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงดัง ‘กุกกัก’ ของเครื่องรับโทรเลขไร้สาย
เมื่อไคลน์ลืมตา แสงจันทร์สีแดงเข้มด้านนอกกำลังส่องสลัว บางส่วนฉายเข้ามาในห้อง ปกคลุมเครื่องรับโทรเลขบนโต๊ะที่กำลังพ่นกระดาษมายาสีขาว
ยังกับอยู่ในหนังสยองขวัญ…
แต่ในความเป็นจริง เครื่องรับโทรเลขไร้สายกำลังเชื่อมต่อกับกระจกวิเศษไร้ยางอายและไม่มีขีดกำจัดล่าง…
ไคลน์พยุงตัวนั่งบนเตียง จากนั้นก็ลุกเดินเข้าไปใกล้ ก้มหน้าอ่านตัวหนังสือภาษาโลเอ็นบนกระดาษมายา
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่เหนือโลกวิญญาณ ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ อาโรเดส มาคอยรับใช้ท่านแล้ว! นายท่านต้องการทดสอบข้าใช่ไหม”
เห็นไหม… เห็นไหม! นี่คือศาสตร์แห่งการสนทนาอย่างไร้ยางอาย! มืออาชีพตัวจริง!
ในตอนนี้ ไคลน์นึกอยากลากตัวนักปรุงยาร่างท้วม ดัควีลล์ เข้ามาฟังวาทศิลป์อันคมคายของกระจกวิเศษอาโรเดส อีกฝ่ายจะได้เลิกตายเพราะปากหมา
ทั้งที่เราเป็นฝ่ายเตรียมคำถาม แต่ทางนั้นกลับเปลี่ยนมันให้เป็นบททดสอบของตัวเอง แถมยังชิงสร้างคำถามเก็บสะสมไว้ล่วงหน้าอย่างแนบเนียน…
ไคลน์ฝืนเกร็งมุมปาก ตอบเสียงแผ่ว
“ถูกต้อง”
“เชิญนายท่านถามมาได้เลย อาโรเดสผู้โง่เขลาและตื้นเขินพร้อมรับการทดสอบแล้ว!”
ท่ามกลางเสียงกุกกัก บนกระดาษมายาไม่เพียงจะมีตัวหนังสือภาษาโลเอ็น แต่ยังพ่วงท้ายด้วยสัญลักษณ์รอยยิ้มแสนสดใส
นี่คงเป็นต้นกำเนิดของอีโมจิ…
หมอนี่วิวัฒนาการไวชะมัด…
ไคลน์ซักถามไม่อ้อมค้อม
“ฉันจะตามหาสมบัติวิเศษที่สามารถช่วงชิงพลังพิเศษของคนอื่นได้จากที่ไหน”
ทันใดนั้น เสียงกุกกักดังหนักแน่นยิ่งกว่าเก่า กระดาษมายาสีขาวเริ่มพ่นภาพเสมือนจริงราวกับเป็นฉากในภาพยนตร์
ประกอบด้วยภาพด้านในประตูยานิสเมืองทิงเก็นที่ไคลน์ยังไม่ลืม ภาพของเลียวนาร์ด·มิเชล นักกวีหล่อเหลาเจ้าของเส้นผมสีดำขลับและดวงตาเขียวมรกต ภาพของชายวัยกลางคนกำลังนั่งบนโซฟา มุมปากอมยิ้มพลางจ้องหญิงสาวตระกูลขุนนางฝั่งตรงข้าม ภาพของหญิงสาวมาดสง่างาม กำลังเดินเตร็ดเตร่ภายในท่อระบายน้ำอันมืดมิด
มีทั้งหมดสิบสองภาพ ปิดท้ายด้วยข้อความภาษาโลเอ็น
“นี่เป็นเพียงช่องทางที่นายท่านสามารถหาได้ง่ายหรือสะดวกในการเข้าถึง ความจริงยังมีมากกว่านี้ แต่มันซับซ้อนและอันตราย หรือไม่ก็มีระดับสูงจนข้ามิอาจมองทะลุ”
ไม่เลว… รู้จักคัดกรองข้อมูลก่อนถึงมือเราเพื่อความสะดวก… นี่มันกูเกิ้ลรุ่นเฉลียวฉลาดแห่งโลกศาสตร์เร้นลับ…
ไคลน์พยักหน้ารับ ซักถามในสิ่งที่ตนทราบคำตอบอยู่ก่อนแล้ว
“ถึงคิวเจ้าถาม”
“ท่านได้ตอบไปแล้ว” บนกระดาษมายาขาว อาโรเดสได้ตอบในสิ่งที่ไม่เหนือความคาดหมาย
ไคลน์หัวเราะในลำคอ ซักถามต่อไป
“เลียวนาร์ด·มิเชลอยู่ที่ไหน”
เสียงกุกกักดังอย่างดุดันอีกครั้ง ฉากแล้วฉากเล่าปรากฏสู่สายตาไคลน์ในลักษณะรูปภาพจำนวนมากเรียงต่อกัน
เป็นภาพของหนึ่งในสถานที่สำคัญประจำกรุงเบ็คลันด์ หอคอยโกธิกสีดำสูงตระหง่าน ด้านบนสุดมี ‘ระฆังประกาศิต’ แขวนอยู่
ด้านล่างเป็นป้ายบอกชื่อถนน
เขียนไว้ว่า ‘ถนนพินสเตอร์’
ณ บ้านแถวเลขที่ 7 ด้านในมีชายสวมโค้ทตัวใหญ่สีดำ ถุงมือสีแดง ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเลียวนาร์ด·มิเชล นักกวีสุดหล่อที่เป็นอดีตเพื่อนร่วมหน่วยของไคลน์
เลียวนาร์ดกำลังก้มหน้าอ่านแฟ้มคดีคาพินและลาเนวุส
หมอนั่นกำลังอยู่ในเบ็คลันด์ แถมยังสืบคดีของคาพินกับลาเนวุส?
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน…
มุมปากไคลน์พลันกระตุก เค้นสมองไตร่ตรองว่าตนเหลือเบาะแสใดทิ้งไว้ในคดีดังกล่าวบ้าง
เบาะแสเดียวก็คือ การมีส่วนร่วมในทั้งสองคดีของนักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ หากนายบุกรุกความฝันเดซีย์ ก็จะได้พบความเชื่อมโยงดังกล่าว แต่ตอนนั้นเราสวมหนวดเครารุงรัง เป็นการปลอมตัวที่ยอดเยี่ยม ลำพังฉากพร่ามัวในความทรงจำเดซีย์คงมิอาจระบุตัวตนได้ชัดเจน…
หรือต่อให้รู้จักแล้วยังไง เชอร์ล็อก·โมเรียตี้มิได้เกี่ยวอะไรกับเราที่เป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์สักหน่อย…
ไคลน์นำสติกลับเข้าประเด็น พยายามจดจำที่อยู่ปัจจุบันของเลียวนาร์ด·มิเชล
7 ถนนพินสเตอร์ เขตเหนือของกรุงเบ็คลันด์
ชายหนุ่มเตรียมฝากฝังให้เดอะมูน·เอ็มลินแห่งชุมนุมทาโรต์ แวะไปเยี่ยมเลียวนาร์ดภายในวันมะรืน พร้อมกับใช้เข็มกลัดของชุมนุมผู้สันโดษแห่งชะตาเพื่อเจรจาขอซื้อสมบัติวิเศษ
หวังว่าสหายเก่าของเราจะมีสมบัติวิเศษสำรองไว้หลายชิ้น… ไม่อย่างนั้น เกรงว่าราคาคงถูกโก่งขึ้นจากปรกติ…
ไคลน์หันไปกล่าวกับเครื่องรับโทรเลข
“ตาเจ้าถามแล้ว”
ว่ากันตามตรง ไคลน์อยากรู้ว่ากระจกวิเศษไร้ยางอายจะบ่ายเบี่ยงคำถามไปในทิศทางใด
กุกกัก. กุกกัก.
เครื่องรับโทรเลขพ่นกระดาษมายาสีขาวที่มีภาษาโลเอ็นออกมา
“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ เลียวนาร์ด·มิเชลมีความลับสำคัญอยู่หนึ่งเรื่อง ท่านอยากทราบหรือไม่”
ถามแบบนี้ก็ได้หรือ…
ไคลน์เงยหน้าขึ้นด้วยความขบขันปนตะลึง เพ่งมองดวงจันทร์กำลังแผ่แสงสีแดงนวลอย่างเงียบงันท่ามกลางทะเลสีดำ
ชายหนุ่มตอบกลับอย่างซื่อตรง
“แน่นอน”
……………………
ราชันเร้นลับ 609 : แวะเยี่ยม
โดย
Ink Stone_Fantasy
กุกกัก. กุกกัก.
เครื่องรับโทรเลขพ่นกระดาษมายาออกมาท่ามกลางบรรยากาศคืนจันทร์แดงสลัว
“เลียวนาร์ด·มิเชลเป็นโฮสต์ของเทวทูตจากตระกูลโซโรอาสเตอร์ ท่านผู้นั้นเคยดัดแปลงคำถามของข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง”
เทวทูต? มีเทวทูตอยู่ในตัวเลียวนาร์ด? แถมยังเป็นเทวทูตของตระกูลโซโรอาสเตอร์จากยุคสมัยที่สี่…
แม้ว่าไคลน์พร้อมรับฟังเรื่องเหนือความคาดหมาย แต่มันก็อดตกตะลึงไม่ได้เมื่ออาโรเดสเปิดเผยความจริง
ส่วนหนึ่งกังวล ส่วนหนึ่งประหลาดใจ
เทวทูตหมายถึงตัวตนในลำดับ 1 หรือ 2 เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงเทพอย่างมาก มีพลังพิสดารยากหยั่งถึง สามารถแผ่อิทธิพลมายังผู้วิเศษลำดับต่ำบนเส้นทางเดียวกันได้ประมาณหนึ่ง เป็นตัวตนบนจุดสูงสุดของโลกอย่างแท้จริง
ในกรณีของโบสถ์หลัก ตัวตนระดับเทวทูตจะหมายถึงตำแหน่งสันตะปาปา สังฆราช หรือสิ่งมีชีวิตระดับตำนาน ไคลน์เชื่อว่า การมีบุคคลระดับดังกล่าวเป็นปรสิตในร่างกายย่อมไม่ใช่เรื่องดี
ในยุคสมัยที่สอง ยุคแห่งความมืด เทวทูตนั้นจะมีนามพิเศษเหมือนกับเทพ อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งเป็น ‘เทพรับใช้’ …
แม้แต่ยังเราก็ยังมีความเชื่อมโยงกับเทวทูตทั้งทางตรงและทางอ้อมไม่มากนัก ตนแรกคือ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์ ถัดมาเป็น ‘ราชินีแห่งภัยธรรมชาติ’ โคฮีเน็ม ถัดมาเป็นวิญญาณมารที่ต้องสงสัยว่าจะเป็น ‘เทวทูตสีชาด’ ถัดมาเป็น ‘ผู้กลืนหาง’ โอโรเลอุสจากคำบอกเล่าของเดอะซันน้อย ถัดมาเป็น ‘ผู้ชี้นำปาฏิหาริย์’ มิสเตอร์ซาราธ จากไดอารีโรซายล์ ถัดมาเป็นบุตรชายแห่งพระผู้สร้างต้นกำเนิด อาดัม ถัดมาเป็นมิสเตอร์เฮอร์มิสที่เรายังไม่ทราบว่าเป็นเทวทูตหรือไม่ และสุดท้ายคือวิล·อัสติน อสรพิษแห่งชะตา ทารกผู้ยังไม่เกิดจากครรภ์มารดา…
นอกจากสองตนสุดท้าย ที่เหลือล้วนทำตัวลึกลับพิสดาร เพียงร่องรอยที่พวกมันเคยทิ้งไว้ก็มากพอจะทำให้คนคลุ้มคลั่ง…
แล้วแบบนี้ สหายของเราจะไม่ถูกเทวทูตปรสิตเขมือบเอาในสักวันหรอกหรือ…
แต่นั่นก็ช่วยอธิบายว่า เหตุใดเลียวนาร์ดถึงชอบคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกของโลกอยู่เสมอ เชื่อว่าตัวเองพิเศษกว่าใคร แถมยังยินดีช่วยเราปิดบังความลับ… ตระกูลโซโรอาสเตอร์ถือครองเส้นทาง ‘นักจารกรรม’ แก่นสำคัญคือการขโมยพลังพิเศษของผู้อื่น เลียวนาร์ดจึงมีสิทธิ์เข้าร่วมชุมนุมผู้สันโดษแห่งชะตาไปโดยปริยาย…
ไม่แปลกใจว่าทำไมหมอนั่นถึงอาสาขอใช้งาน ‘เส้นเลือดหัวขโมย’ และคงเป็นเพราะได้รับคำแนะนำจากตัวตนเก่าแก่ เลียวนาร์ดจึงขโมยพลังสำคัญที่สุดจากเมกูสได้ชั่วคราว…
หึหึ… ผู้สันโดษแห่งชะตาอะไรกัน ก็แค่กลุ่มหัวขโมยกับนักต้มตุ๋นมารวมตัวกันไม่ใช่รึไง…
รวมหัวกันกำหนดเป้าหมายการปล้นโดยเปลี่ยนไปตามกระแสเวลาและชะตากรรม…
สรุปโดยสั้น ปรสิตเฒ่าในร่างกายอดีตสหายรักของเราไม่น่าจะเป็นคนดีนัก คงต้องหาโอกาสตักเตือนสักหน่อย… แต่ปัญหาคือ สองคนนั้นอยู่ด้วยการตลอดเวลา การตักเตือนรังแต่จะทำให้เรื่องราวบานปลายในทางที่แย่ลง…
สมองไคลน์ประมวลผลอย่างหนัก แต่สุดท้ายก็มิอาจคิดหาทางออก พบเพียงวิธีแก้ไขชั่วคราว ในระยะยาวต้องเขียนจดหมายถามมิสเตอร์อะซิกและวิล·อัสตินเพื่อขอคำปรึกษา
มันถึงขั้นเกิดความคิดขึ้นมาครู่หนึ่งว่า จะขอยืมมือ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์มาช่วยแก้ปัญหาให้เลียวนาร์ด อธิบายโดยย่อก็คือ ไคลน์คิดจะเปิดเผยข้อมูลของปรสิตในร่างนักกวีเกียจคร้านให้แก่อามุนด์ หวังให้บุตรแห่งพระผู้สร้างแท้จริง ‘เขมือบ’ เทวทูตตระกูลโซโรอาสเตอร์เข้าไป
จากที่ไคลน์ทราบ ในยุคสมัยที่สี่ ตระกูลอามุนด์สนับสนุนอาณาจักรทูดอร์ ส่วนตระกูลโซโรอาสเตอร์สนับสนุนจักรวรรดิโซโลมอน พวกมันคือศัตรูคู่อาฆาต และตามกฎการอนุรักษ์พลังพิเศษภายในเส้นทางใกล้เคียง หากเป็นผู้วิเศษในเส้นทางเดียวกัน ยิ่งลำดับสูงมากเท่าไร ก็ยิ่งขัดแย้งต่อกันมากเท่านั้น เฉกเช่นการศึกยืดเยื้อระหว่าง ‘อสรพิษปรอท’
อย่างไรก็ตาม วิธีข้างต้นมีเงื่อนไขซับซ้อนจนยากจะนำมาปฏิบัติจริง ไคลน์จึงตัดทิ้งไป เหตุผลข้อแรกคือ มันไม่ทราบว่าจะพบอามุนด์ได้ที่ไหน ข้อที่สอง มันกังวลว่าศึกระหว่างเทวทูตจะทำให้เลียวนาร์ดที่เป็นโฮสต์ถึงแก่ความตาย และข้อสุดท้าย การที่อามุนด์แข็งแกร่งขึ้นคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตนสักเท่าไร
เราไม่มีทางเลือกมากนัก… คงต้องให้เอ็มลินลองยื่นข้อเสนอไปก่อน จากนั้นก็ลองสังเกตอีกฝ่ายอย่างคร่าว หากมีรายละเอียดมากขึ้น อาจพบว่าควรกระทำสิ่งใดต่อไป…
ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะหันไปกล่าวกลับเครื่องรับโทรเลขไร้สาย
“ถึงคิวเจ้าถาม”
กุกกัก. กุกกัก.
เสียงพิมพ์ของโทรเลขเบาบางลง กระดาษมายาสีขาวถูกพ่นออกมาอย่างไม่รุนแรงนัก
“ไม่จำเป็นขอรับ นี่เป็นเพียงคำอธิบายที่เสริมจากคำถามของตัวข้าเอง มิได้ถูกถามจากท่านโดยตรง จึงไม่เข้าข่ายตามกฎ นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้าสัมผัสถึงตัวตนของวัตถุลึกลับด้านนอกห้อง แต่มิอาจมองเห็นได้ชัดเจน ช่วยบอกข้าได้หรือไม่ ว่าสิ่งนั้นคืออะไร”
กระจกวิเศษช่างวิเศษสมชื่อ ประหนึ่งรู้เห็นทุกสรรพสิ่งบนโลก แต่ถ้าเป็นข้อมูลระดับสูง การมองเห็นคงถูกรบกวนจนพร่ามัว…
ไคลน์ตอบใจเย็น
“ลูกเต๋าความน่าจะเป็น”
กุกกัก. อาโรเดสส่งข้อความใหม่ออกมาพร้อมกับกระดาษมายา
“เป็นมันเองหรือ… นายท่านเชิญถามได้”
ไคลน์ครุ่นคิด
“เกี่ยวกับลูกเต๋าความน่าจะเป็น เจ้าต้องการเตือนข้าในเรื่องใดเป็นพิเศษหรือไม่”
มาถึงตรงนี้ เสียงกุกกักของเครื่องโทรเลขลดความดุดันลงจากตอนแรกมาก ปราศจากความเศร้าหมองหรืออึมครึม จังหวะพ่นกระดาษเป็นไปอย่างไม่รีบร้อน
“มันเป็นพวกใจแคบและอาฆาตแค้น นายท่านต้องรีบส่งต่อลูกเต๋าให้คนอื่นโดยเร็วที่สุด! ลูกเต๋าดังกล่าวคือ ‘เอกลักษณ์’ ประจำ ‘กงล้อแห่งโชคชะตา’ หากนำไปมอบให้อสรพิษปรอทสักตน อีกฝ่ายจะเป็นมิตรกับท่านอย่างมาก หรือสรุปโดยสั้น สิ่งนี้ไม่เหมาะจะเป็นทาสของนายท่านสักเท่าไร ออร่าใกล้เหือดแห้งแล้ว ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนของท่าน อาโรเดส ขอตัวลาไปก่อน แล้วข้าจะหาโอกาสมารับใช้ใหม่ ท่านผู้ปกครองสูงสุดเหนือโลกวิญญาณ บ๊ายบาย~”
เอกลักษณ์…!
ลูกเต๋าความน่าจะเป็นคือเอกลักษณ์ของเส้นทางสัตว์ประหลาด… เป็นครั้งแรกที่เราเคยเห็น ‘เอกลักษณ์’ ด้วยตาตัวเอง นับว่าทรงพลังและอันตรายตรงตามข่าวลือ หากปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป มันจะแผ่อิทธิพลไปทั่วโลก…
หืม… อาโรเดสเรียกเส้นทางสัตว์ประหลาดว่า ‘กงล้อโชคชะตา’ หมายความว่าลำดับ 0 ของเส้นทางชื่อกงล้อโชคชะตา?
ไคลน์จ้องเครื่องรับโทรเลขที่กลับเป็นปรกติ ทบทวนหลายสิ่งในหัวเป็นเวลานาน
ชายหนุ่มมิได้ปรารถนาลูกเต๋าความน่าจะเป็นสักเท่าไร เพราะมันไม่มีประโยชน์กับเส้นทางนักทำนาย แถมยังมาพร้อมผลข้างเคียงร้ายแรง เกรงว่าสักวัน มันอาจชักชวน ‘ผู้กลืนหาง’ โอโรเลอุสให้มาเคาะประตูเยี่ยมห้อง
“หากวางลูกเต๋าไว้ในมิติหมอก แม้จะตัดขาดจากโลกอื่นโดยสิ้นเชิง แต่มันอาจยึดครองมิติหมอกไปเป็นของตัวเองได้เช่นกัน เกรงว่าชุมนุมทาโรต์คงได้กลายเป็นวงพนันลูกเต๋ากันพอดี…”
ไคลน์ไม่มีทางทราบเลยว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้างหากตนเก็บลูกเต๋าความน่าจะเป็นไว้ภายในมิติหมอก
มันตัดสินใจใช่วิธีข่มขู่ต่อไป จนกว่าจะส่งมอบให้ใครบางคนบนเกาะโอลาวีอย่างราบรื่น ส่วนเรื่องที่ว่า สมาชิกระดับสูงของโรงเรียนชีวิตจะมีวิธีการผนึกหรือไม่ หรือปัญหาปลีกย่อยอย่างใครจะเป็นคนจ่ายค่าจ้าง ไคลน์ไม่ครุ่นคิดให้ปวดหัว เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ของรางวัลหลักในภารกิจนี้คือการซื้อใจวิล·อัสติน และตนก็ได้รับมันมาแล้ว
…
กรุงเบ็คลันด์ วิหารฤดูเก็บเกี่ยว
ขณะกำลังถือเข็มกลัดพิสดาร เอ็มลิน·ไวท์พึมพำภายในใจ
มิสเตอร์เวิร์ลจู้จี้ชะมัด ภารกิจมีเพียงตามหาเหยี่ยวราตรีที่ชื่อเลียวนาร์ด·มิเชลบนถนนพินสเตอร์ในเขตเหนือเองไม่ใช่หรือ… ทำไมถึงต้องเอาแต่เน้นย้ำว่าอีกฝ่ายมีความลับ เป็นตัวอันตราย และมีสิทธิ์ดึงเราเข้าไปอยู่ในความฝัน…
เขากำลังดูถูกฝีมือเรา!
เอ็มลินลุกยืน สวมทักซิโด้สีดำและเชิ้ตขาว สายตาจ้องออกไปนอกหน้าต่าง
หึหึ… อีกฝ่ายมีความลับแล้วมันยังไง ตัวข้าก็มีความลับเหมือนกัน! ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตอนนี้ท่านลอร์ดนีบาสคงกำลังจับตามองเราอยู่ หากเกิดอุบัติเหตุขึ้น ท่านต้องลงมือช่วยเหลือแน่…
อา… ความฝันสินะ…
เอ็มลินครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบขวดโลหะออกมาจ้อง ด้านในบรรจุของเหลวสีเงินอันเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ
มันเก็บขวดบรรจุยากลับเข้าไป หยิบหมวกผ้าไหมทรงสูงเดินออกจากโถงสวดมนต์ กล่าวคำอำลากับบิชอปยูทรอฟสกี้ และเดินทางออกจากวิหารฤดูเก็บเกี่ยว
แม้เพิ่งจะช่วงเช้า แต่ท้องฟ้าของกรุงเบ็คลันด์กลับมีบรรยากาศมืดครึ้ม ละอองน้ำแผ่นบางอัดแน่นเต็มอากาศรอบตัว
เอ็มลินหรี่ตาลง สวมหมวก พูดกับตัวเอง
“ดวงอาทิตย์ร้อนแรงชะมัด”
ผีดูดเลือดหนุ่มโบกรถม้าตรงไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน จากที่นี่ หากต้องการไปยังเขตเหนือ ตั๋วเฟิร์สคลาสจะมีราคาเพียงหกเพนนีเท่านั้น
ถูกกว่านั่งรถม้าไปตรง ๆ มาก!
สี่สิบนาทีถัดมา เอ็มลิน·ไวท์เดินทางมาถึงจุดมุ่งหมายของตน หยุดยืนด้านหน้าบ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์
เอ็มลินสั่นกระดิ่งอย่างนุ่มนวล ตามด้วยการยืนรอนานกว่านาทีด้วยท่าทีใจเย็น
ขณะเตรียมเขียนโน้ตสอดไว้ใต้ประตูเพื่อแจ้งเวลาแวะเข้ามาหาครั้งถัดไป เอ็มลินได้ยิงเสียงฝีเท้าที่ไม่กระตือรือร้นดังจากด้านใน
ไม่ใช่คนรับใช้…
ผีดูดเลือดหนุ่มพยักหน้า นำยาวิเศษที่เตรียมไว้ออกมาเปิดผาดื่ม
จากนั้น ประตูบ้านเปิดออก มันเห็นชายผมดำเจ้าของดวงตาสีเขียว อีกฝ่ายกำลังสวมเชิ้ตขาว กางเกงขายาวสีดำ ชายเสื้อปล่อยออกนอกกางเกงอย่างไม่เป็นระเบียบ พลิ้วไหวไปตามแรงลมเล็กน้อย บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความสง่างามและอิสระ
แม้จะเป็นสาวกของรัตติกาล แต่ก็ต้องยอมรับว่าชายคนนี้มีรูปโฉมทัดเทียมกับผีดูดเลือดอย่างพวกเรา…
เอ็มลินถอดหมวก เชิดคาง
“อรุณสวัสดิ์ คุณคือมิสเตอร์เลียวนาร์ด·มิเชลใช่ไหม”
เลียวนาร์ดขมวดคิ้ว เพ่งสำรวจบุรุษรูปงามเจ้าของดวงตาสีแดงก่ำตรงหน้าสักพัก ก่อนจะยกมือปิดปากหาวราวกับไม่ใส่ใจ
“แล้วคุณคือ?”
“เรียก ‘ผู้มาเยือน’ ก็พอ ผมมีบางสิ่งต้องการรบกวนคุณ” เอ็มลินไม่คิดเปิดเผยตัวตน รอยยิ้มมุมปากแฝงความภาคภูมิใจ
บุคลิกเช่นนี้ทำให้เลียวนาร์ดเกิดความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด เพราะอีกฝ่ายเหมือนกับตัวมันในอดีตเป็นอันมาก เด็กหนุ่มที่เคยคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกของโลก เข้าใจว่าตนคือคนพิเศษที่เกิดมาเพื่อพลิกหน้าประวัติศาสตร์
มันกระแอมในลำคอ
“ผมเป็นแค่พลเมืองทั่วไป ไม่รับงาน หากต้องการจ้างใครสักคน เชิญสำนักงานนักสืบเอกชน”
เอ็มลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“มีเพียงคุณเท่านั้นที่ช่วยผมได้”
มันกวาดตาไปรอบตัว พูดต่อด้วยเสียงเบาลง
“ผมต้องการซื้อสมบัติวิเศษที่สามารถขโมยพลังพิเศษของผู้อื่น”
เลียวนาร์ดเริ่มจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ซักถามด้วยน้ำเสียงแฝงความเคร่งขรึม
“คุณเป็นใครกันแน่”
เอ็มลินยังคงรักษาเชิง ไม่มอบคำตอบในทันที เพียงมองไปรอบตัวอีกหนและส่งเสียงกระซิบ
“ฝีมือไม่เลว… สามารถดึงผมคนนี้เข้าสู่โลกความฝันโดยแทบไม่รู้ตัว”
มันไม่รีบหนีออกจากความฝัน เพียงจ้องใบหน้าขึงขังของเลียวนาร์ดกลับ มือล้วงหยิบเข็มกลัดขนาดเล็กของเดอะเวิร์ลออกมาแสดง
ได้เห็นสิ่งดังกล่าว สีหน้าเลียวนาร์ดผ่อนคลายลงหลายระดับ ทำเพียงยืนครุ่นคิดบางสิ่งอย่างใจเย็นอีกสักพัก
ท่ามกลางความเงียบงัน เอ็มลิน·ไวท์มองเห็นทัศนวิสัยรอบตัวแตกละเอียดคล้ายเศษกระจก เกิดเป็นเสียงคล้ายกับใครบางคนทำแก้วใบใหญ่แตก
เลียวนาร์ดกล่าวพลางชี้เข้าไปในบ้าน
“เชิญด้านใน”
……………………
ราชันเร้นลับ 610 : ทอยเต๋า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ได้ยินคำเชื้อเชิญของเลียวนาร์ด เอ็มลินมิได้เผยความเกรงกลัว เพียงถือหมวกผ้าไหมด้วยรอยยิ้มไม่ยินดียินร้าย ย่างกรายเข้าไปในบ้านอย่างใจเย็น
มันมิได้ถอดโค้ท เนื่องจาก ‘ศาสตราจารย์โอสถ’ ต้องพกพาอุปกรณ์ช่วยเหลือมากมายตลอดเวลา คงเป็นภาพที่ไม่งามนักหากต้องเผยให้คนอื่นเห็น
เอ็มลินในชุดทักซิโด้นั่งลง เอนหลังพิงพนัก กล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“เข้าเรื่องกันดีกว่า หากคุณมีสิ่งที่ผมต้องการ เชิญแจ้งราคามาได้เลย แต่ถ้าไม่ ก็แค่บอกตามตรง …แต่ผมมั่นใจว่าคุณมี”
มันหัวเราะในลำคอ กระจกตาสีแดงกำลังสะท้อนภาพเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อยของเลียวนาร์ด
การได้อยู่ในสถานะ ‘ฉันรู้ความลับของนาย แต่นายไม่รู้ความลับของฉัน’ ทำให้เอ็มลินมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับกำลังเป็นฝ่ายคุมเกม
เลียวนาร์ดสางผมสีเข้มด้วยมือข้างหนึ่ง ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยไม่กดดัน มุมปากเผยรอยยิ้มที่ปราศจากความตื่นตระหนก
“ผู้ซื้อเป็นใคร”
“อาจเป็นผม หรืออาจเป็นเพื่อนของผม”
เอ็มลินเชิดคาง เผยรอยยิ้มสง่างาม
เลียวนาร์ดหรี่ตาลง เอียงคอเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง
ในที่สุด มันหัวเราะในลำคอ
“เข้าใจแล้ว… ในเมื่อคุณมาพร้อมเข็มกลัดนั่น ผมจะยอมตอบตามความเป็นจริง อย่างที่คุณทราบ ผมมีสมบัติวิเศษที่สามารถขโมยพลังพิเศษจากคนอื่นได้ แต่ก็มีในครอบครองแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น หากคุณต้องการมัน ผมยินดีขายให้ในราคาเจ็ดพันปอนด์ ขอปฏิเสธการต่อรองทุกกรณี”
เจ็ดพันปอนด์… สมบัติวิเศษที่สามารถช่วงชิงพลังพิเศษมีราคาสูงขนาดนั้นเชียว?
แม้เอ็มลินจะไม่ต้องจ่ายด้วยเงินตัวเอง แต่ราคาก็มากพอจะทำให้ผีดูดเลือดผู้สูงส่งเกือบเสียอาการ
ภายในสมอง เอ็มลินรีบแปลงค่าเงินเป็นจำนวนตุ๊กตาและเสื้อผ้าตามสัญชาตญาณ
ผ่านไปสองวินาทีอย่างเงียบงัน ผีดูดเลือดหนุ่มกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอคิดดูก่อน จะให้คำตอบในอีกสองวัน”
“ตกลง” เลียวนาร์ดยกมุมปาก
เอ็มลินเดินออกจากบ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์โดยทำตัวเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่งรถม้าไปลงสถานีรถไฟใต้ดินประจำเขตเหนือ และเดินทางต่อไปยังย่านทิศใต้ของสะพานด้วยรถม้าเช่าอีกทอด
ถอดหมวกออก หันหลังกลับไปมองรถม้าแล่นออกจากถนน เอ็มลินหัวเราะในลำคอพร้อมกับเดินเข้าไปในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว
ในเวลาเดียวกัน ณ จุดระหว่างต้นไม้และเสาโคมไฟแก๊สสีดำ เงาดำร่างหนึ่งลอยขึ้นจากพื้นอย่างเงียบงัน ไม่ใช่ใครนอกจากเลียวนาร์ด·มิเชลเจ้าของเส้นผมสีดำดวงตาสีเขียว
การปรากฏตัวของมันไม่โดดเด่นสะดุดตา ผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่มีใครหันมาสนใจ
คนของโบสถ์พระแม่ธรณี…
เลียวนาร์ดขมวดคิ้ว พึมพำกับตัวเอง
มันยืนนิ่งสักพัก ก่อนจะหายตัวไปจากถนนกุหลาบอย่างไร้ร่องรอย
…
“เจ็ดพันปอนด์…? ถ้านายร้อนเงินขนาดนั้น ไปปล้นธนาคารง่ายกว่าไหม”
บนมิติหมอก ไคลน์ส่งเสียงอุทานหลังจากได้ยินคำตอบจากเอ็มลิน
ย้อนกลับไปในช่วงเริ่มต้นชีวิตนักผจญภัย ชายหนุ่มเคยให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์พูดในทำนองเดียวกันก็จริง แต่บริบทและจำนวนเงินแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
จากข้อมูลของ ‘หูกระต่ายบุปผา’ โจเดอร์สัน ผู้ช่วยรองกัปตันแห่งฝันทองคำ ไคลน์ประเมินว่าสมบัติวิเศษในลักษณะดังกล่าวคงมีราคาประมาณห้าพันปอนด์ อย่างมากไม่เกินหกพันปอนด์ในกรณีรีบร้อน จึงคาดไม่ถึงว่าเลียวนาร์ดจะโขกไปถึงเจ็ดพันปอนด์ถ้วน!
หรือจะเป็นสมบัติวิเศษที่เกิดจากผู้วิเศษลำดับสูงของเส้นทาง ทำให้มีพลังหลายชนิดอยู่ในชิ้นเดียว และหนึ่งในนั้นคือการขโมยพลัง?
ไม่น่าใช่ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ราคาต้องไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นปอนด์แน่นอน… นักกวีเพื่อนรัก ทำไมนายถึงได้หน้าเงินแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเคยทำตัวเฉื่อยชาและไม่เห็นความสำคัญของเงินมาตลอดหรอกหรือ?
ไคลน์ถอนหายใจห่อเหี่ยว
ปัจจุบัน ในเมื่อมันพบวิธีครอบครองสมบัติวิเศษตามที่ต้องการ และเป็นการแก้ปัญหาด้วยเงินทองเพียงอย่างเดียว มันตัดสินใจไม่เสียเวลาคิดหาหนทางอื่นเพิ่มเติม เป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาไปในตัว
ไคลน์ลองนั่งคำนวณมูลค่าทรัพย์สินปัจจุบันของตนในใจ และพบว่าราคาดังกล่าวอยู่ในขอบเขตที่สามารถยอมรับได้
“เมื่อนับรวมค่าจ้างสามร้อยปอนด์จากนักปรุงยาอ้วน เงินค่าหัวของ ‘นักเจรจา’ อีกห้าพันสี่ร้อยปอนด์ เงินจากศพอีกจำนวนหนึ่ง ถึงจะหักเป็นค่าจ้างมิสเมจิกเชี่ยนอีกสองร้อยปอนด์ เราก็ยังมีทรัพย์สินทั้งหมด 12,767 ปอนด์กับอีกห้าเหรียญทอง รวมถึงเศษเงินอีกสามซูลแปดเพนนี ไม่เพียงเท่านั้น ภายในสัปดาห์ มิสจัสติสจะคืนเงินสองพันปอนด์ให้ข้ารับใช้ของเดอะฟูล และอีกหนึ่งพันแปดร้อยปอนด์เป็นค่าตะกอนพลังนักจิตบำบัด… จะว่าไป เราเองก็ร่ำรวยพอตัว แม้จะอยู่ในกรุงเบ็คลันด์ก็ยังถือว่าเป็นเศรษฐี”
ไคลน์สูดลมหายใจเข้า เสกปึกธนบัตรออกจากกองขยะโดยปราศจากความลังเล สั่งให้พวกมันลอยลงมาวางบนโต๊ะทองแดงยาว
มันบรรจงนับเงินสดแยกออกมาเจ็ดพันห้าร้อยปอนด์ โดยห้าร้อยปอนด์ถูกแบ่งให้เอ็มลินเป็นค่าเสียเวลาและ ‘เสี่ยงภัย’
เฮ่อ… ทำงานแทบตายกว่าจะได้หมื่นปอนด์ แต่กลับต้องเสียเกินกว่าครึ่งในพริบตา…
ไคลน์เสกเดอะเวิร์ลขึ้นมาและควบคุมให้ก้มหน้าสวดวิงวอน เป็นการตอบกลับไปยังเอ็มลิน แจ้งว่าตนไม่มีปัญหากับราคา และพิธีกรรมจะจัดขึ้นในอีกสิบห้านาที ให้รอรับเงินจากเดอะฟูล
นอกจากนี้ ไคลน์ยังให้เดอะเวิร์ลกำชับกับเดอะมูน·เอ็มลินว่า อย่าได้เร่งนำเงินไปจ่ายให้อีกฝ่ายเร็วนัก รอให้ถึงพรุ่งนี้เสียก่อน
เหตุผลไม่ซับซ้อน ชายหนุ่มกังวลว่า เทวทูตตระกูลโซโรอาสเตอร์ในตัวเลียวนาร์ดจะสัมผัสถึงออร่าสายหมอก จึงอยากให้ ‘ตาก’ เงินสดไว้ก่อนหนึ่งวัน เป็นเทคนิคเดียวกับที่ไคลน์ทำก่อนจะมอบเข็มกลัดผู้สันโดษแห่งชะตาให้เอ็มลิน
สิบห้านาทีถัดมา ไคลน์เหลือบมองไปยังธนบัตรทองปอนด์ที่เหลือไม่ถึงครึ่งจากของเดิม ลมหายใจถูกพ่นออกอย่างห่อเหี่ยว ก่อนจะส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริงด้วยอารมณ์หม่นหมอง
ตอนนี้เป็นเวลา 10:40 น. ของวันศุกร์ เหลืออีกเพียงแปดชั่วโมงก่อนที่เรือโดยสารจะแล่นไปถึงเกาะโอลาวี
ถึงเวลาข่มขู่ลูกเต๋าความน่าจะเป็นอีกครั้ง…
ไคลน์พึมพำพลางประกอบพิธีกรรม นำกล่องบุหรี่โลหะที่บรรจุ ‘ดวงตาดำล้วน’ จากมิติหมอกลงมายังโลกจริง
ด้วยเกรงว่าดัควีลล์จะเกิดความสงสัย ไคลน์นำลูกเต๋าเข้าไปจัดการในห้องน้ำตามเดิม
หลังจากเห็นลูกเต๋าความน่าจะเป็นกลับมาเชื่องอีกรอบ ชายหนุ่มรีบเก็บดวงตาดำล้วนและกล่องบุหรี่โลหะกลับขึ้นมิติหมอก พ่นลมหายใจด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ภายในใจคำนวณบวกลบเวลาอย่างคร่าว
เท่านี้ก็น่าจะเพียงพอให้ดัควีลล์นำลูกเต๋าไปส่งถึงปลายทาง ไม่จำเป็นต้องข่มขู่เพิ่มเติม…
คิดมาถึงจุดนี้ ไคลน์เป็นกังวลกับปัญหาใหม่
ในเมื่อดวงตาดำล้วนถูกปนเปื้อนด้วยจิตกัดกร่อนของพระผู้สร้างแท้จริง การนำออกมายังโลกจริงทุก ๆ หลายชั่วโมงอาจทำให้อีกฝ่ายสัมผัสถึง หากทางนั้นเกิดความสนใจ ก็อาจส่งบุคคลระดับสูงมาตรวจสอบโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ในการข่มขู่แต่ละครั้ง เรานำดวงตาออกมาแค่หนึ่งถึงสองนาทีเท่านั้น แม้จะอีกฝ่ายจะสัมผัสได้ แต่ก็คงมิอาจระบุตำแหน่งอย่างแม่นยำ อย่างมากก็เป็นสถานที่กว้าง ๆ …
เฮ่อ… ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระผู้สร้างแท้จริง เราไม่เคยทำนายหาผลลัพธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยสักครั้ง ทำได้แค่เพิ่มความระมัดระวังให้มากที่สุด… แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากังวล นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว อีกแค่แปดชั่วโมงก็จะไปถึงไปเกาะโอลาวี…
บ้าจริง… เราปักเดธแฟล็กให้ตัวเองทำไม! ถุด! ถุด! ถุด! เราไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น!
ไคลน์หยิบลูกเต๋าความน่าจะเป็นเดินกลับไปยังห้องนั่งเล่น ภาพที่เห็นคือนักปรุงยาร่างท้วมกำลังนั่งหมดสภาพบนเก้าอี้นอน แต่ทางนกฮูกอ้วนกลับยังมีดวงตาเปล่งปลั่ง คล้ายกับไม่ต้องการการพักผ่อน
นี่คือความแตกต่างหลังจากสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดดื่มโอสถเข้าไป? อย่างน้อยเราก็ไม่เคยได้ยินมิสจัสติสพูดว่า เธอตื่นตัวตลอดทั้งวันโดยไม่มีความจำเป็นต้องนอน… เป็นเพราะโครงสร้างทางธรรมชาติของนกฮูก? เฮ่อ… เราไม่มีข้อมูลเชิงลึกในด้านนี้ สมแล้วที่เป็นแค่นักรบคีย์บอร์ดผู้รอบรู้ทุกเรื่องอย่างละนิด…
ไคลน์นั่งบนโซฟาพร้อมกับวางลูกเต๋าสีขาวนมสดในกล่องแหวนลง อดทนรอให้ถึงช่วงเย็นด้วยใจจดจ่อ เพราะนั่นจะเป็นเวลาที่เรือจอดเทียบท่าเกาะโอลาวี
ผ่านไปจากวินาทีเป็นนาที แสงแดดอันร้อนแรงด้านบนเริ่มคล้อยไปทางทิศตะวันตก ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งลดต่ำใกล้กับเส้นขอบฟ้า
ทันใดนั้นเอง ไคลน์ที่กำลังหลับตาเอนหลังด้วยสมาธิเต็มเปี่ยม พลันตระหนักถึงภัยคุกคามอย่างรุนแรงชนิดที่ทำให้ร่างกายเย็นไปถึงกระดูกสันหลัง!
ไม่เพียงเท่านั้น ความรู้สึกนี้มิได้มาจากสัมผัสวิญญาณของนักทำนายหรือนิมิตลางสังหรณ์ของตัวตลก แต่มาจากหมอกสีเทาล่องหนที่กำลังกระเพื่อมรอบตัวชายหนุ่มอย่างแปลกประหลาด
ศัตรู! เป็นใครกัน… ผู้กลืนหาง·โอโรเลอุส หรือนักบุญคนอื่นจากชุมนุมแสงเหนือ?
ดวงตาไคลน์กำลังเบิกกว้าง สีหน้าเผยความตึงเครียดถึงขีดสุด สมาธิทั้งหมดถูกทุ่มไปกับการคิดหาวิธีรับมือ
ในสถานการณ์ปัจจุบัน หากลงมือผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย มันเชื่อว่าตนควรวางแผนชีวิตหลังเกิดใหม่เตรียมรอไว้ได้เลย
ในส่วนของนักปรุงยาอ้วนกับนกฮูก พวกมันจะถูกเชือดทิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย
ย้อนกลับไปตอนแรก ไคลน์เชื่อว่าอีกฝ่ายคงสัมผัสถึงดวงตาดำล้วนได้อย่างคร่าวเท่านั้น ไม่น่าจะระบุตำแหน่งของตนหรือลูกเต๋าความน่าจะเป็นได้อย่างชัดเจน
แต่เมื่อลองไตร่ตรองอย่างละเอียด ถึงจะเป็นสถานที่กว้าง ๆ แต่บริเวณดังกล่าวมีเพียงท้องทะเลและเรือเดินสมุทร การเลือกตรวจสอบไปทีละจุดก็ไม่ใช่เรื่องเกินกำลังแต่อย่างใด!
ทันใดนั้นเอง ณ ท้องฟ้าเหนือเรือเดินสมุทร ห้วงมิติถูกฉีกขาดด้วยฝีมือของใครบางคน ประตูมายาลวดลายซับซ้อนบานหนึ่งปรากฏขึ้น
สองมือที่มีผิวพรรณขาวซีดโผล่ออกจากประตูพร้อมกับคว้าขอบทั้งสองฝั่ง ตามด้วยการดึงกลับเพื่อลากร่างกายด้านในตามออกมา
ชายลึกลับสวมชุดคลุมและหมวกใบเล็กสีดำที่ได้รับความนิยมในอดีต เมื่อพิจารณาจากใบหน้า ประเมินว่าอายุคงยังไม่ถึงสี่สิบ เส้นผมสีน้ำตาลหยักศกเล็กน้อย รอบตัวแผ่บรรยากาศคุกคามเข้มข้นจนชวนให้อึดอัด
ภายในดวงตาสีเข้มคล้ายกับมีเงาดำอาศัยอยู่นับไม่ถ้วน ประหนึ่งเป็นอีกโลกที่วุ่นวายและโกลาหล
สัญชาตญาณรับรู้อันตรายของไคลน์ถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด ลำพังอารมณ์ตึงเครียดทางสีหน้าของชายหนุ่ม ก็มากพอจะทำให้ดัควีลล์และนกฮูกแฮร์รี่ผงะจนตัวแข็งทื่อฉับพลัน
มันไม่ลังเลอีกต่อไป รีบทำตามแผนที่เคยคิดเตรียมไว้ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ร่างกายโน้มลงไปหยิบลูกเต๋าความน่าจะเป็น
“จงควบคุมผลลัพธ์การตัดสินใจของผู้บุกรุกที่มีเจตนาร้าย… ฉันต้องการหนึ่งแต้ม!” ไคลน์ทอยเต๋าพลางกระซิบ ภายในใจสวดวิงวอนถึงเทพธิดารัตติกาล อธิษฐานให้ลูกเต๋าที่เพิ่งถูกข่มขู่ยอมร่วมมือแต่โดยดี
ขณะเดียวกัน มันยังคงทำตัวสุขุม ด้วยเกรงว่าหากลูกเต๋าสัมผัสถึงความสั่นคลอนทางจิตใจ อาจฉกฉวยโอกาสสร้างความฉิบหายให้แก่ตน
ท่ามกลางเสียงดังกระทบหลายหน ลูกเต๋าความน่าจะเป็นหมุนรอบตัวสองสามครั้ง ก่อนจะหงายออกมาเป็นหนึ่งแต้มสีแดงฉานราวกับเลือด
เหนือเรือเดินสมุทร ภาพของเรือทั้งลำกำลังปรากฏในการมองเห็นของชายสวมชุดคลุมสีดำผู้มีอายุไม่ถึงสี่สิบ
มันแผ่ขยายพลังวิญญาณพลางกวาดตามองไปรอบลำเรือ ก่อนจะเหยียดแขนเข้าไปในห้วงมิติว่างเปล่าตรงหน้า ง้างเปิดบานประตูมายาที่แทบไม่มีใครมองเห็น
บุคคลลึกลับและทรงพลังแทรกตัวเข้าไปในช่องว่างห้วงมิติ หายตัวไปอย่างสมบูรณ์
เมื่อไคลน์ในห้องพักเฟิร์สคลาสตระหนักว่าอันตรายผ่านพ้น มันรีบหายใจทั่วท้องด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
ชายหนุ่มจ้องไปยังลูกเต๋าความน่าจะเป็นบนโต๊ะกาแฟ ในใจส่งเสียงรำพัน :
หากเจ้านี่ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรง สามารถใช้ประโยชน์ด้านบวกได้อย่างเต็มที่ มันจะกลายเป็นอาวุธสงครามที่ไร้ผู้ต่อต้าน!
สมกับเป็นสมบัติปิดผนึกระดับ 0 สมกับเป็นเส้นทางสัตว์ประหลาด…
“ก…เกิดอะไรขึ้นหรือ” ดัควีลล์รวบรวมความกล้าหาญที่มีอยู่น้อยนิด ซักถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ไคลน์รักษามาด ตอบกลับเสียงนิ่ง
“นายไม่จำเป็นต้องรู้”
“ข…เข้าใจแล้ว! ตกลง! ยิ่งฉันรู้มากเท่าไรก็จะยิ่งเป็นอันตรายสินะ” ดัควีลล์ปาดเหงื่อเย็นเฉียบกึ่งกลางหน้าผาก
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นปราศจากอุปสรรค เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าโดยสมบูรณ์ เมื่อผืนนภามีเพียงสีดำสนิทไร้สิ่งเจือปน ไคลน์เริ่มเห็นประภาคารสำหรับนำทางให้เรือแล่นเข้าไปจอดเทียบท่า
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น