Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 597-605

 ราชันเร้นลับ 597 : แผนของไคลน์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ลาเนวุสคงเป็นลำดับ 8 ‘นักต้มตุ๋น’ บนเส้นทางนักจารกรรม จึงเข้าใจได้ไม่ยากหากจะมี ‘ตั๋ว’ เข้าร่วมชุมนุมลับดังกล่าวในครอบครอง…


ค่อนข้างสมเหตุสมผล… หากเป็นสมบัติวิเศษที่สามารถขโมยพลัง ชุมนุมผู้สันโดษแห่งชะตาน่าจะหาซื้อได้ง่ายกว่าใคร… นี่คือสิ่งที่วิล·อัสติน อสรพิษแห่งชะตา พยายามบอกเรา…


ไคลน์นั่งบนขอบเตียงนอน ในใจค่อนข้างมีความสุข


มันเริ่มประกอบพิธีกรรม ส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก นำเข็มกลัดขนาดเท่าดวงตากลับมายังโลกจริง


หลังจากสำรวจเข็มกลัดที่สลักเครื่องหมาย ‘ชะตา’ และ ‘การปกปิด’ อย่างละเอียด ด้านหลังมีภาษาเฮอร์มิสโบราณเขียนว่า :


‘สามารถเข้าร่วมได้ถ้ามีสิ่งนี้’


ไคลน์เตรียมถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป เพื่อกระตุ้นกลไกการทำงานของเข็มกลัดและรอรับข้อมูลการชุมนุมครั้งถัดไป ทั้งเวลาและสถานที่


แต่จู่ ๆ กลับชะงักมือกลางคัน


ประมาทเกินไปแล้ว! เราลืมทำนายยืนยันระดับอันตรายได้ยังไง… หากมีครึ่งเทพที่รู้จักกับลาเนวุสอยู่ในชุมนุมด้วย อีกฝ่ายอาจระบุตำแหน่งของเราได้ทันที หลังจากนั้นคงมีแต่ความฉิบหายตามมา อะไรก็เกิดขึ้นได้ แม้แต่พลเรือโทโรคภัย·เทรซี่ก็ยังมีครึ่งเทพคอยปกป้องไม่ห่างกาย เราไม่ควรประมาท…


เกิดเป็นชาย ต้องรู้จักจังหวะใช้ความกล้าและความปอดแหกให้เป็นประโยชน์!


ไคลน์ตบหน้าผากตัวเองหนึ่งฉาด กลับไปยังมิติเหนือสายหมอกด้วยความไม่ประมาท ทำนายยืนยันอันตรายครั้งที่สองด้วยเทคนิคลูกตุ้มวิญญาณ


หลังจากยืนยันว่าปราศจากอันตราย มันเริ่มหายใจทั่วท้อง ออกจากมิติหมอก นั่งลงบนเก้าอี้เอนหลังภายในห้องโรงแรม


ด้วยการถ่ายเทพลังวิญญาณ ผิวเข็มกลัดเริ่มปรากฏชั้นลำแสงเคลือบปกคลุม ก่อนจะรวมตัวกลายเป็นเสาลำแสงไร้เสียง ยิงขึ้นไปในอากาศ


ไม่นานหลังจากนั้น แสงลักษณะเดียวกันส่องย้อนกลับมา ฉายภาพมายาขนาดเท่าฝ่ามือลงบนพื้น เป็นข้อความเขียนด้วยอักษรฟุซัคโบราณ


“6 มิถุนายน 1350 สามทุ่มตรง ปากแม่น้ำทัสซอค”


อีกสี่เดือน… ด้วยเวลานานขนาดนั้น หากใช้วิธีการปรกติ เราคงรวบรวมวัตถุดิบหลักของโอสถ ‘นักเชิดหุ่น’ ได้ครบหมดแล้ว ไม่ต้องเสียเวลารอช่วงชิงจิตกัดกร่อนออกจากตะกอนพลังให้วุ่นวาย… ติดแค่เรื่องเดียวตรงที่มีเงินไม่พอ… แต่ถ้าจะทำจริง ๆ ก็ไม่ยากเกินกำลัง ตอนนี้เรามีเงินพร้อมใช้ 6,945 ปอนด์ อีกทั้งยังสามารถขายตะกอนพลังพิเศษได้อีกหนึ่งถึงสองก้อน…


ไม่เพียงเท่านั้น บนท้องทะเลยังเต็มไปด้วยเงินค่าหัวลอยน้ำ ไม่สิ เราไม่ควรโอหังเกินไป คงต้องตัดสี่ราชาโจรสลัดกับเจ็ดพลเรือโจรสลัดออกไปก่อน… วิล·อัสตินมอบเบาะแสประสาอะไรกัน ทำไมเราต้องรอนานถึงสี่เดือน? หมอนั่นเป็นอสรพิษแห่งชะตาจริงหรือ?


ไคลน์โน้มตัวไปด้านหน้า ประสานสองมือ ภายในใจเค้นสมองครุ่นคิดอย่างหนัก


ทันใดนั้น เมื่อไตร่ตรองเกี่ยวกับชุมนุมผู้สันโดษแห่งชะตาอย่างละเอียด ไคลน์พลันนึกถึงชายคนหนึ่ง


เลียวนาร์ด·มิเชล!


นักกวีและอดีตพวกพ้องคนนี้เคยเข้าร่วมชุมนุมผู้สันโดษแห่งชะตาในลำธารหุบเขาบาบูร์!


ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เป็นงานส่วนตัวหรืองานราชการ แต่ชายคนนั้นสามารถตามหาสมบัติวิเศษที่สามารถช่วงชิงพลังได้ง่ายกว่าเราแน่นอน… มีสิทธิ์ยืมหรือซื้อต่อจากหมอนั่นได้…


นี่คือเบาะแสที่แท้จริงจากวิล·อัสติน?


ไคลน์เริ่มกระฉับกระเฉง รีบวางแผนอนาคตอย่างคร่าวทันที


“ขั้นแรก ต้องวางเครื่องรับโทรเลขไปไว้บนมิติหมอกเพื่อให้ออร่าปนเปื้อน ขั้นที่สอง รอให้ผ่านไปสองสามวัน ใช้เครื่องรับสัญญาณโทรเลขดังกล่าวติดต่อกับกระจกวิเศษอาโรเดส ขั้นที่สาม ถามว่าเราจะหาสมบัติวิเศษที่มีพลังช่วงชิงได้จากที่ไหนง่าย ๆ บ้าง หากคำตอบชัดเจน ขั้นที่สี่คือการวางแผนครอบครองตามข้อมูลดังกล่าว บรรลุเป้าหมายอย่างเรียบง่าย… แต่ถ้าคำตอบคลุมเครือหรือเต็มไปด้วยอันตราย ขั้นที่สี่จะกลายเป็นการถามว่าเพื่อนรักนักกวีของเราอยู่ที่ไหน ขั้นที่ห้า ให้สหายเอ็มลิน·ไวท์นำเข็มกลัดชิ้นนี้ไปหาเพื่อนรักนักกวี สอบถามว่าอีกฝ่ายมีสิ่งที่เราต้องการหรือไม่ หากมี พร้อมขายไหม… เราจะไม่โผล่หน้าไปเองเด็ดขาด เพราะอาจถูกจำหน้าได้หากทำพลาดแม้เพียงเล็กน้อย นั่นจะทำให้เกิดปัญหาตามมานับไม่ถ้วน… และเหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้เอ็มลินกลายเป็นคนของโบสถ์พระแม่ธรณีไปแล้ว ไม่สิ ต้องเรียกว่า ‘ผี’ ของโบสถ์พระแม่ธรณี การให้หมอนั่นติดต่องานแทนเรา ถึงจะโชคร้ายถูกเพื่อนรักนักกวีไปแจ้งกับเบื้องบน หรือถูกจับกุมตัวทันทีในฐานะผู้วิเศษเถื่อน แต่เรื่องราวก็จะไม่ลุกลามบานปลายแน่นอน”


เมื่อวางแผนอนาคตพร้อมด้วยรายละเอียดเสร็จสิ้น ไคลน์รู้สึกสดชื่นทันที อารมณ์แจ่มใสจนอยากออกไปหาปลาย่างสูตรเมืองบายัมด้านนอกโรงแรมกินให้หนำใจ




เหนือท้องทะเลสีน้ำเงินเข้ม ฝันทองคำ นาวาร่วมสมัยที่ผิวฉาบด้วยแสงสะท้อนสีทองอร่ามจากดวงอาทิตย์ กำลังแล่นไปบนคลื่นทะเลอย่างเงียบเชียบ


เมื่อเดนิสถูกกัปตันเรือเรียกพบ ท่ามกลางสายตาริษยาจากทุกทิศ มันเดินเชิดคางเข้าไปในห้องของเอ็ดวิน่าอย่างหยิ่งทระนง


สภาพภายใน เกือบทั้งหมดของกำแพงคือชั้นหนังสือ ทุกชั้นเต็มไปด้วยหนังสือวางแน่นขนัด


พลเรือโทรธารน้ำแข็ง·เอ็ดวิน่ากำลังยืนใกล้โต๊ะทำงาน ถือปากกาหมึกซึมสีดำ เขียนข้อความอย่างคล่องแคล่ว :


“ดิฉันไม่มีสมบัติวิเศษที่คุณต้องหาร เช่นเดียวกันกับโจเดอร์สัน เขาบอกว่าจะช่วยจับตามองให้ แต่คุณจำเป็นต้องมีโชคอย่างมากจึงจะได้ครอบครอง”


เอ็ดวิน่าเงยหน้า ดวงตาสีฟ้าครามราวกับน้ำพุกำลังจ้องมาทางเดนิส


“คุณต้องเป็นคนประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์”


“ผม…?” เดนิสครุ่นคิดมาตลอดทางว่าตนจะได้รับรางวัลใดจากกัปตัน แต่เมื่อเผชิญกับคำสั่งเหนือความคาดหมาย จึงเลื่อนนิ้วขึ้นมาชี้หน้าตัวเองอย่างประหลาดใจ


“ถูกต้อง” เอ็ดวิน่าพับกระดาษใส่ซอง เหยียดตัวตรง พยักหน้าแผ่วเบา “การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับพิธีกรรมที่คล้ายคลึงกัน ในอนาคต ฉันจะสอบพวกคุณในหัวข้อนี้ด้วย”


“ครับ…” เดนิสสลัดความผิดหวัง ทำหน้านึกเกี่ยวกับรายละเอียดของพิธีกรรม


ผ่านไปอย่างเชื่องช้า เพลิงพิโรธจัดตั้งแท่นบูชาที่มีเทียนไขหนึ่งเล่มเสร็จ


ท้ายที่สุด ภายใต้การจับจ้องจากเอ็ดวิน่า โจรสลัดหนุ่มล้วงหยิบเหรียญทองปอนด์โลเอ็นออกมาวางยังกึ่งกลางแท่น


รับซองจดหมาย เดนิสซ้อมท่องคาถาในใจสองหนก่อนจะเริ่มปฏิบัติจริง


มันก้าวถอยหลัง เปล่งเสียงเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ


“ตัวข้า! ขออัญเชิญด้วยนามของข้า! สัตว์วิญญาณผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและพร้อมรับคำสั่ง ผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แต่เพียงผู้เดียว!”


ฟ้าว!


เกิดลมหมุนกระโชกภายในกำแพงวิญญาณ ส่งผลให้เส้นผมเหลืองเพลิงของเดนิสชี้ขึ้นไปในอากาศอย่างไม่เป็นทรง


เปลวไฟบนเทียนไขเพียงเล่มเดียวเริ่มขยายตัวจนมีขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ สีของไฟซีดเซียวประหนึ่งซองจดหมายในมือเดนิส


เพียงพริบตา เดนิสเห็นเส้นผมยาวสลวยสีทองอ่อน ดวงตาแดงก่ำเหมือนเลือด โผล่ออกมาจากเปลวไฟเทียนไขอย่างเชื่องช้า ตามด้วยใบหน้าใบหน้าสุดแสนงดงาม


หืม… ผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ช่างไม่ธรรมดา ทำไมสัตว์วิญญาณถึงมีหน้าตาเหมือนกับมนุษย์ได้? แถมยังงดงามเป็นรองกัปตันแค่นิดเดียวเท่านั้น…


ครุ่นคิดยังไม่ทันขาดคำ เดนิสพลันสะดุ้งโหยง เนื่องจากมันพบว่าศีรษะของหญิงสาวลอยออกมาอย่างเปลือยเปล่าโดยไม่ช่วงคอรองรับ แต่ถูกหิ้วด้วยฝ่ามือสีขาวในท่าดึงผม


มันยืนจ้องศีรษะที่โผล่ออกจากเปลวเทียนหัวแล้วหัวเล่า จนกระทั่งเห็นร่างไร้ศีรษะที่สวมเดรสสีดำหรูหราลอยตามออกมาทีหลังสุด


นึกแล้วเชียว… สัตว์วิญญาณก็ยังคงเป็นสัตว์วิญญาณวันยังค่ำ! เดนิสเกิดความละอายใจที่เคยนำความสวยไปเปรียบเทียบกับเอ็ดวิน่า


สูดหายใจลึก เดนิสรีบยื่นซองจดหมายไปหาอีกฝ่าย และเห็นศีรษะอันงดงามข้างหนึ่งอ้าปากกว้าง ก่อนจะงับลงบนจดหมายอย่างอ่อนโยนด้วยฟันสีขาว


พร้อมกันนั้น อีกหนึ่งหัวของไรเน็ตต์หันไปงับเหรียญทองปอนด์กึ่งกลางแท่นบูชา


แต่เธอยังไม่กลับไปทันที ดวงตาสีแดงสดสี่ข้างของอีกสองหัวพลันกลอกพร้อมกัน มองไปทางเอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ดที่ด้านนอกกำแพงวิญญาณ สำรวจหญิงสาวหัวจรดเท้าสองสามหน


เอ็ดวิน่ารู้สึกราวกับตนถูกอีกฝ่ายเก็บรายละเอียดอย่างทะลุปรุโปร่ง และเป็นการยากที่จะระดับความหวาดกลัวเจือจางซึ่งเริ่มก่อตัว


ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ถอนสายตากลับ ร่างกายที่คมชัดแปรเปลี่ยนเป็นมายา หายเข้าไปในเปลวไฟเทียนไขสีขาวซีดของพิธีกรรม


เปลวไฟเริ่มหดหัวลง กลับคืนสีสันตามธรรมชาติ ทุกสิ่งกลายเป็นปรกติอีกครั้ง


ขณะเดนิสสลายกำแพงวิญญาณ มันได้ยินเสียงกัปตันพึมพำแผ่วเบา :


“นั่นไม่ใช่สัตว์วิญญาณธรรมดา…”


ไม่ใช่สัตว์วิญญาณธรรมดา…? เดนิสถึงกับอึ้ง


มันย่อมทราบว่ากัปตันของตนคือนักวิจัยสัตว์วิญญาณมืออาชีพ หากเธอพูดว่าไม่ธรรมดา หมายความว่าจะต้องเป็นความไม่ธรรมดาระดับที่ไม่ธรรมดา เป็นความพิสดารที่เหนือจินตนาการตนไปอีกหลายขั้น!


ทำไมเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถึงเต็มไปด้วยปริศนามากเช่นนี้… เดนิสรำพัน



กรุงเบ็คลันด์ เขตเชอร์วู้ด


ฟอร์สพยายามอย่างสุดฝีมือ จนกระทั่งสามารถเอาชนะความเกียจคร้านอันเกิดจากความอบอุ่นของเตาผิง หญิงสาวเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นเดรสสีน้ำเงินเข้ม หุ้มด้วยผ้าพันคอสีเทาอ่อน สวมหมวกสตรีอบอุ่น ออกจากบ้านเช่าไปเผชิญกับสภาพอากาศเย็น หมอกหนาทึบ แต่ยังไม่หนาวจนเกินไป ขึ้นรถม้าเช่านั่งไปลงถนนวิลเลียมส์


หญิงสาวสูดอากาศเย็นเข้าปอด พร่ำบอกกับตัวเองว่านี่เป็นเพียงกิจวัตรประจำวันของนักเขียนนิยาย ไม่ต้องกดดัน ไม่ต้องทำตัวผิดปรกติ


เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ฟอร์สเลี้ยวเข้าร้านกาแฟ นั่งลงริมหน้าต่าง ดื่มเครื่องดื่มอบอุ่นกลิ่นหอมฉุย พลางสำรวจผู้คนที่เดินผ่านไปมารอบร้าน


ไม่มีสิ่งใดผิดปรกติ ไม่มีแม้แต่การวิ่งราวหรือทะเลาะวิวาท… สมแล้วที่เป็นย่านคนรวย ระดับความปลอดภัยสูงกว่าฝั่งตะวันออกนับร้อยเท่า…


หืม… นั่นคือชาวฟุซัค สูงโปร่งแข็งแรง… เหมือนกับพวกหมีป่า… มักเดินด้วยกันเป็นกลุ่มสองสามคน… ฮะฮะ! นั่นต้องเป็นชาวอินทิสแน่! แต่งตัวได้โดดเด่นชะมัด คิดว่าตัวเองเล่นละครเวทีอยู่หรือไง… สมแล้วที่กรุงเบ็คลันด์คือมหานครแห่งนคร มีชาวต่างชาติเดินขวักไขว่เต็มไปหมด…


ฟอร์สเริ่มลืมจุดประสงค์ของตัวเองทีละนิด สมุดบันทึกถูกเปิดออกเพื่อจดไอเดียสำหรับเขียนนิยาย


ดื่มกาแฟเสร็จ หญิงสาวเดินวนรอบถนนวิลเลียมส์หนึ่งจบ และออกจากจุดดังกล่าวโดยไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือแม้แต่สิ่งเดียว วางแผนกลับมาใหม่ในวันอังคาร



หลังจากไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์นำจดหมายของเอ็ดวิน่ามาส่ง ไคลน์จ้องมองผู้ส่งสารขอตนเลือนหายไป ยืนยันว่าอีกฝ่ายไม่เรียกร้องเหรียญทองปอนด์เพิ่มเติม


หมายความว่า เราสามารถหลอกให้คนอื่นเข้าใจว่าเหรียญทองปอนด์เป็นเครื่องเซ่นในพิธีกรรม…


ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง เปิดซองจดหมายและคลี่อ่าน


เมื่อพบว่ายังไม่มีความคืบหน้า มันเตรียมออกไปเดินเล่นบนถนน มองหาโอกาสสวมรอยเป็นใครสักคนเพื่อให้โอสถย่อยไปจากเดิม


ทันใดนั้น ไคลน์ได้ยินเสียงเคาะประตู ผู้มาเยือนคือกัปตันไอร์แลนด์


“ผมกำลังตามหาคุณพอดี” ไคลน์เปิดประตูและทักทายอย่างใจเย็น


ไอร์แลนด์กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“เรื่องนั้นไม่จำเป็น ตราบใดที่คุณใช้ชื่อตัวเองเช็กอินห้องพัก ผมจะทราบทันทีว่าคุณอยู่ที่ไหน”


นายกเทศมนตรีกับกองทัพควบคุมข้อมูลของทุกโรงแรมไว้ในมือสินะ… ไคลน์พยักหน้า


ไอร์แลนด์หมุนตัวครึ่งรอบ ชี้ไปยังทางเดิน


“ผมจะพาคุณไปพบใครบางคน โมราขาวใกล้ถึงกำหนดกลับท่าเรือพริสต์แล้ว หากคุณต้องการความช่วยเหลือหรือแจ้งเบาะแส สามารถติดต่อเขาได้ทันที ในแง่การตกรางวัล พวกเราขึ้นชื่อว่าใจกว้างกว่าใคร”


นี่คือข้อตกลงที่ไคลน์เคยเสนอกับไอร์แลนด์ไปในการพบกันเมื่อคราวก่อน


“ไม่เลว” ไคลน์เหยียดแขนไปทางราวผ้า


หลังจากแต่งตัวเสร็จ ไอร์แลนด์เดินนำทางชายหนุ่มไปถึงผับใบไม้หอม จากนั้นก็ตรงไปยังมุมหนึ่งของร้าน



ณ ห้องใต้ดินของผับใบ้ไม้หอม


‘นักเจรจา’ มีซอร์·คิง จ้องไปยัง ‘ชายฉกรรจ์’ โอซิลฝั่งตรงข้ามพลางกล่าว


“ตกลงว่านายได้ข้อมูลล่าสุดของเพลิงพิโรธ·เดนิสมาหรือยัง?”


“เรียบร้อย” โอซิลตอบพลางยิ้ม “เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน เนตรสีฟ้า·มีธ ระบุว่ามันพบเพลิงพิโรธ·เดนิสพร้อมกับนักผจญภัยปริศนาคนหนึ่ง”


……………………


ราชันเร้นลับ 598 : เงินหล่นจากฟ้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

ณ มุมหนึ่งในผับใบไม้หอม


ไอร์แลนด์เดินเข้าไปหาชายสวมแจ็คเก็ตสีน้ำตาลคนหนึ่ง ตบบ่ากันและกัน ส่งเสียงหัวเราะเฮฮาด้วยรอยยิ้ม


“นายไม่ดื่มแลงติร้อนแรงหรือ”


ชายลึกลับอยู่ในวัยสามสิบ ใบหน้าตรงตามมาตรฐานทั่วไป เพียงมองผิวเผินก็ทราบทันทีว่ามีเชื้อสายโลเอ็นเจือปน


เส้นผมสีน้ำตาล ตาสีน้ำตาล ดั้งจมูกโด่ง


ทันใดนั้น แววตาที่เคยเมามายพลันแปรเปลี่ยน ประกายในดวงตาเริ่มคมกริบ


หลังจากชำเลืองสำรวจไอร์แลนด์และไคลน์อย่างละเอียด แววตาของมันกลับไปเป็นขี้เมาหัวราน้ำอีกครั้ง


“ฉันดื่มมาเยอะแล้ว ตอนนี้ต้องดื่มซาร์ฮาร์เพื่อคงสติเอาไว้”


ซาร์ฮาร์คือเบียร์มอลต์ท้องถิ่น ราคาต่ำ ปริมาณแอลกอฮอล์ต่ำ รสชาติค่อนไปทางดี


ไอร์แลนด์หัวเราะในลำคอ ชี้มายังไคลน์


“เกอร์มัน·สแปร์โรว์”


จากนั้น มันแนะนำให้ไคลน์รู้จักอีกฝ่าย


“ออส·เคนท์ เรียกเขาว่าเคนท์ก็ได้ พวกคุณคุยกันไปนะ ผมขอตัวกลับไปเตรียมความพร้อมก่อน พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า”


ไอร์แลนด์โบกมือลา หมุนตัวกลับและเดินออกจากผับโดยไม่ลังเล


ไคลน์ดึงเก้าอี้ใกล้ตัว หล่อนก้นนั่งแต่ยังไม่ดื่ม เพียงจ้องเคนท์โดยไม่กล่าวคำใด


เคนท์ที่เกิดความอึดอัดเหนือคำบรรยาย ตัดสินใจกระดกซาร์ฮาร์และเริ่มพล่าม


“ในอนาคต นายมาหาฉันได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะแจ้งเบาะแส หรือมาขอภารกิจจากฉัน”


มันไม่กังวลว่าขี้เมารอบตัวจะได้ยินบทสนทนาอันสุ่มเสี่ยง เนื่องจากกลุ่มอันธพาลและโจรสลัดส่วนใหญ่มักพูดแบบเดียวกันเสมอ ทุกครั้งที่มีการเจรจากับสายข่าวหน้าใหม่ บทพูดจะไปเป็นในลักษณะเช่นนี้


“ตกลง”


ขณะเดียวกัน ไคลน์เกิดอยากถามขึ้นมาว่า ‘ฉันสามารถเบิกค่าเสียหายในภารกิจปลอมตัวเป็นเอลเลนและพยายามลอบสังหารพลเรือโทโรคภัยได้ไหม’ ถึงแม้มันจะไถเงินจากเดนิสมาบ้างแล้วก็ตาม


แต่สุดท้ายก็แค่คิด มิได้กล่าวออกไป


ขณะเคนท์เริ่มเมามาย มันกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ฉันได้ยินเรื่องของนายจากเอลเลนมาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ขอเตือนไว้ก่อน ในทะเล นายจะบ้าบิ่นมากไม่ได้ ต้องระมัดระวังตัวให้ดี พยายามไม่ไปมีเรื่องกับโจรสลัด ฉันหมายถึง ไม่ควรมีการเผชิญหน้าโดยตรง แต่สามารถแจ้งเบาะแสให้พวกเราทราบแทน สัญญาว่าจะปิดข้อมูลไว้เป็นความลับ” เคนท์กล่าวโดยลดเสียงลง


เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ยังนิ่ง มันเสริม


“พวกโจรสลัดไม่มีเกียรติของนักรบหรืออะไรทำนองนั้น และไม่ทำตามกฎหมายของอาณาจักรด้วย ฮึ่ก! หากบ้านเกิดของนายอยู่ที่เมืองท่าหรือเกาะอาณานิคม พวกมันจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ครอบครัวนายเดือดร้อน”


ครอบครัว…


ไคลน์นิ่งหลายวินาที มอบคำตอบเสียงเย็นชา


“ฉันไม่มีครอบครัว”


ออส·เคนท์อึ้งจนหมดคำจะกล่าวไปสักพัก


“พวกมันจะทำร้ายเพื่อนของนาย”


ทันใดนั้น มันได้ยินคำตอบที่ไม่สั่นคลอนของเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“ฉันไม่มีเพื่อน”


ออส·เคนท์แทบสำลัก จิตใต้สำนึกสั่งให้มันรีบดื่มเบียร์ซาร์ฮาร์เพื่อปรับอารมณ์


มันกระแอมสองหน พูดเสียงแผ่ว


“พวกมันจะดักซุ่มโจมตีนายทุกฝีก้าว ใช้เงินซื้อคนรอบตัวนาย ตามหากิจวัตรประจำวันของนายให้พบ ดักถล่มเรือที่นายโดยสาร ท่ามกลางท้องทะเล ตัวคนเดียวนั้นไม่มีพลังอะไรเลย”


ไคลน์ตอบกลับด้วยเสียงที่เบาลง


“ถ้ามีคนนำเงินมาให้ถึงที่ ฉันก็คงไม่ปฏิเสธ มันเป็นมารยาท”


นำเงินมาให้ถึงที่…?


ออส·เคนท์พลันมึนงง ไม่เข้าใจในสิ่งที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์พูดสักเท่าไร


ผ่านไปหลายวินาที มันเพิ่งถึงบางอ้อว่า อีกฝ่ายมองโจรสลัดเป็นเพียงถุงเงินรางวัลเคลื่อนที่!


เคนท์ซดเบียร์ แล้วก็ซดเบียร์ ไม่กล่าวสิ่งใดออกมาเป็นเวลานาน



ณ ห้องใต้ดินผับใบไม้หอม


“นักผจญภัยปริศนา?” มีซอร์·คิงเริ่มตื่นตัว แผนหลังถูกเหยียดตั้งตรง


ฉายฉกรรจ์·โอซิลเสริม


“จากคำบอกเล่าของเนตรสีฟ้า·มีธ มันไม่คุ้นหน้านักผจญภัยคนดังกล่าว คงเพิ่งอาศัยอยู่ในบายัมได้ไม่นาน แต่แค่ได้เห็น มีธตระหนักทันทีว่าชายคนนั้นค่อนข้างอันตราย”


ค่อนข้างอันตราย? หรือจะเป็นคนที่ร่วมมือกับเดนิสเพื่อสังหารเหล็กกล้า·แม็ควิตี้? และยังอาจเป็นคนที่ปลอมตัวเป็นเอลเลนผมแดง…


มือสังหารที่พยายามลอบฆ่ากัปตัน…


มีซอร์เริ่มจับต้นชนปลาย ซักถามเสียงลึก


“มีรูปถ่ายหรือภาพวาดไหม”


โอซิลโบกมือเรียกลูกน้อง หยิบแผ่นกระดาษสีขาวจากอีกฝ่าย


“พวกเราอาศัยพิธีกรรมช่วยให้เนตรสีฟ้า·มิธวาดภาพเหมือนของนักผจญภัยปริศนาออกมาสำเร็จ เฮ่อ… นายคงเข้าใจใช่ไหม การจะปักหลักในโลกใต้ดินได้อย่างมั่นคง ถ้าไม่ใช่โจรสลัดชื่อดัง ก็ต้องมีลูกน้องฝีมือดีจำนวนมาก เพื่อจะจ้างคนเหล่านั้นมาใช้งาน ฉันต้องเสียเงินไปไม่น้อย”


มีซอร์เข้าใจความนัยแฝงของอีกฝ่าย ขยับปากส่งเสียงหัวเราะในลำคอ


“ตราบใดที่พวกเราหาเป้าหมายพบ กัปตันไม่งกเงินค่าตอบแทนให้นายแน่”


มันรับภาพวาดไปเพ่งดู ได้พบกับชายหนุ่มผมดำตาสีน้ำตาล ใบหน้าผอมเพรียว บรรยากาศรอบตัวเย็นชา สัดส่วนคมชัด สวมโค้ทกระดุมสองแถวสีดำตัวใหญ่ สวมหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง


ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ระบุไม่ได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่ปลอมตัวเป็นเอลเลนหรือไม่…


มีซอร์เงยหน้าพูด


“เร่งมือสืบหาตัวต้นที่แท้จริงและแหล่งกบดานของมัน”


“สั่งให้ลูกน้องไปทำแล้ว” ชายฉกรรจ์·โอซิลกล่าวพลางฉีกยิ้ม


ทั้งสองเงียบลงพร้อมกัน ต่างคนต่างยกไวน์แดงนันวีลล์ขึ้นจิบ


ผ่านไปสองสามนาที คนคุมผับเดินเข้ามาทำลายความเงียบ


มันชำเลืองนักเจรจา·มีซอร์เล็กน้อย ขยับเข้าใกล้เจ้านายตน กระซิบสองประโยค


สีหน้าโอซิลพลันแปรเปลี่ยน ผสมผสานกับรอยยิ้มที่ยากจะเก็บซ่อน


โอซิลวางแก้วทรงสูงลง จากนั้นก็กล่าวห้วน


“พบนักผจญภัยปริศนาแล้ว”


“มันอยู่ไหน” มีซอร์โพล่งถาม


โอซิลชี้นิ้วขึ้นไปข้างบน


“ในผับ”


มีซอร์เงยหน้ามองเพดาน เงียบงันไปสักพัก


“ฉันขอขึ้นไปยืนยันด้วยตัวเอง”


มันเชื่อว่าสำหรับตนที่เคยเผชิญหน้าเอลเลนตัวปลอมในระยะประชิด และมีข้อมูลเกี่ยวกับพลังแปลงโฉมมาบ้าง ถึงอีกฝ่ายจะปลอมตัวมา แต่ก็คงสัมผัสถึงความคุ้นเคยได้อย่างเลือนราง ดังนั้น มันจึงตัดสินใจขึ้นไปยืนยันด้วยตัวเอง


ตามนิสัยเดิมของมีซอร์ มันไม่ชอบการนำพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายสักเท่าไร ส่วนมากเป็นการสืบสวนจากวงนอก รอจนกว่าจะมั่นใจค่อยลงมือ เพียงแต่ในคราวนี้ มันไม่เชื่อมือลูกน้องของโอซิล


หากอีกฝ่ายคือคนที่ปลอมตัวเป็นเอลเลนจริง ในวินาทีที่ตระหนักถึงความผิดปรกติ คงทำการแปลงโฉมและหนีไปอย่างเงียบงัน ไม่ปล่อยให้ถูกล้อมจับกุมได้ง่ายนัก การให้คนอื่นทำงานสำคัญแทนจึงไม่ใช่เรื่องฉลาด


และเหนือสิ่งอื่นใด มีซอร์ทราบดีว่ามันกำลังอยู่ระหว่างถูกกัปตันลงโทษ ต้องรีบแก้ตัวอย่างกระฉับกระเฉง เพื่อที่จะได้กลับไปยังกาฬมรณะเสียที


เฮ่อ… ไม่ว่าจะเป็นเพราะความอ่อนหัดหรือความประมาทของเรา แต่ผลลัพธ์ก็มิได้แปรเปลี่ยน เราถูกต้มจนเปื่อย ปล่อยให้อีกฝ่ายลอบเข้าไปในกาฬมรณะและเกือบลอบสังหารกัปตันสำเร็จ…


ถ้าเปลี่ยนเป็นคีลิงเกอร์ เราคงไม่รอดแน่ เพราะเจ้านั่นเล็งพลังพิเศษของเรามานานแล้ว…


ที่กัปตันไม่ลงโทษเรารุนแรงเพราะหล่อนเองก็ตระหนักถึงพลังแปลงโฉมของยุบพองหิวโหย… เธอเชื่อว่าเรามิได้ร่วมมือกับผู้บุกรุก จึงไม่ทำการลงโทษสถานหนัก เพียงส่งมายังบายัมเพื่อสืบหาเบาะแสคนร้าย นับเป็นกัปตันที่ใจเย็นมาก… เทียบกับคีลิงเกอร์แล้ว หล่อนน่ารับใช้กว่าเป็นร้อยเท่า… เราต้องรีบสะสางงานให้เสร็จ หาข้ออ้างติดต่อกับเธอ พยายามสร้างความประทับใจให้เธอ… มีซอร์รำพันขณะลุกขึ้นและเดินออกไป


ถึงมันจะโจรเป็นสลัดอำมหิตที่เคยสังหารผู้คนมากมายและปล้นเรือสินค้านับไม่ถ้วน แต่มีซอร์ก็มีจุดอ่อนโดยที่มันไม่รู้ตัว หลังจากได้ใกล้ชิดกับพลเรือโทโรคภัย·เทรซี่เป็นเวลานาน มันถูกเสน่ห์ของเธอครอบงำจนเกือบสมบูรณ์ เกิดเป็นความหลงใหลที่ซึมซาบเข้าไปถึงจนกระดูกสันหลัง


โดยไม่ต้องให้สตรีแห่งโรคภัยออกคำสั่ง มันก็ยินดีที่จะคุกเข่าก้มลงไปจุมพิตแทบเท้าอย่างไม่ขัดขืน น้อมรับทุกคำบัญชา


แต่แน่นอน นั่นไม่เกี่ยวกับจินตนาการลามกระหว่างมันกับเทรซี่ในหัว หากสบโอกาสให้ลงมือเมื่อไร ถึงกัปตันจะไม่ยินยอม แต่มีซอร์ก็จะทำเรื่องอย่างว่าโดยไม่กังวลถึงผลที่ตามมา


ในฐานะโจรสลัดชั่ว การข่มขืนไม่ใช่สิ่งใหม่


เดินขึ้นมาถึงชั้นบน มีซอร์·คิงภายใต้การนำทางของลูกน้องโอซิล เดินวนครึ่งรอบผับ จนกระทั่งพบนักผจญภัยแปลกหน้านั่งอยู่ตรงมุมห่างไกล


สอดคล้องกับภาพวาด… แต่ก็ยังไม่คุ้นอยู่ดี… คงปลอมตัวได้เก่งมาก หรือไม่ก็ เอลเลนผมแดงตัวปลอมเป็นคนอื่น เช่นพลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ด… เธอสามารถเลียนแบบพลังพิเศษที่เคยเห็นได้ พลังแปลงโฉมก็ไม่น่าจะเป็นข้อยกเว้น…


มีซอร์จ้องอีกฝ่ายค้างไว้เพียงสองวินาที ก่อนจะรีบเบือนหน้ากลับอย่างไม่ประมาท


ในเวลาเดียวกัน สัญชาตญาณนักทำนายของไคลน์พลันตื่นตัวและทราบว่า ใครบางคนกำลังจ้องมองมันอยู่


ไคลน์ไม่เก็บซ่อน มองกลับไปด้านหลังทันที จนกระทั่งพบชายคิ้วสั้น เบ้าตาจมลึก นัยน์ตาสีน้ำตาล


นักเจรจา·มีซอร์·คิง… ผู้ช่วยรองกัปตันของกาฬมรณะ เรือธงประจำกลุ่มโจรสลัดโรคภัย…


ไคลน์ระบุตัวตนของคนที่จ้องได้ทันที


ทันใดนั้น ประกายความคิดสองชนิดพลันแล่นเข้ามาในหัวพร้อมกัน


ความคิดแรก : ค่าหัวห้าพันสี่ร้อยปอนด์!


และความคิดที่สอง : ทำไมหมอนั่นถึงจับตามองเรา… สืบจากเดนิสจนพบว่าเราเกี่ยวข้อง?


เมื่อสายข่าวของกองทัพ ออส·เคนท์ พบความผิดปรกติเกี่ยวกับไคลน์ มันรีบมองตามสายตาชายหนุ่ม แต่เนื่องจากเป็นมุมอับ จึงถูกขี้เมาสองสามคนบังจนมิด


ภายในใจ ไคลน์รีบวางแผนตามนิสัย


ก่อนอื่นต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้จักมีซอร์·คิง… เบือนสายตากลับ ยกแก้วกระดกดื่ม คอยจับตามองว่ามันออกจากผับแล้วไปไหนต่อ ใช้พลังของผู้ไร้หน้าลอบเข้าไปในที่พัก จากนั้นก็เชือดทิ้งอย่างเงียบเชียบ…


เมื่อห้วงความคิดจบลง ไคลน์พลันตระหนักถึงปัญหาสำคัญหนึ่งเรื่อง


นี่เป็นนิสัยของเรา…


ไม่ใช่ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์!


สำหรับตอนนี้ เรากำลังสวมหน้ากากนักผจญภัยอำมหิต บ้าบิ่น และเลือดเย็น…


หลังจากสมองประมวลผลอย่างหนัก ไคลน์หมุนตัวกลับกะทันหัน ดึงลูกโม่ดัดแปลงออกมาง้างนก เล็งไปทางมีซอร์·คิงท่ามกลางบรรยากาศอึกทึกภายในร้าน


ปัง!


เสียงปืนดังกังวานสนั่นผับ แขกจำนวนมากรีบนั่งยองกองไปกับพื้นอย่างชำนาญตามสัญชาตญาณเมื่อได้ยินเสียงปืน


ส่วนใหญ่นอนแผ่ไปกับพื้น แต่มีอีกหลายสิบคนม้วนตัวกลิ้งเพื่อหลบหลีกอย่างมีประสิทธิภาพ


หนึ่งในนั้นคือมีซอร์·คิง


แต่ในความเป็นจริง ไคลน์ยังมิได้เหนี่ยวไกปืน เพราะมันกังวลว่ากระสุนจะพลาดเป้าไปโดนผู้บริสุทธิ์ที่ยืนขวางระหว่างตนกับมีซอร์


เสียงปืนเมื่อครู่มาจากพลังสร้างภาพหลอนของนักมายากล


ในวินาทีนี้ แนวยิงกำลังถูกเปิดกว้าง ผู้คนล้มพับประหนึ่งทุ่งข้าวถูกเก็บเกี่ยว เห็นดังนั้น ไคลน์เล็งปากกระบอกไปทางมีซอร์ที่เพิ่งขาแตะพื้น


ตามด้วยการลั่นไกของจริง


ปัง!


ราชันเร้นลับ 599 : มังกรข่มขวัญ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ปัง!


กระสุนทองเหลืองพุ่งแหวกอากาศเป็นระยะทางครึ่งผับ เป้าหมายคือร่างของมีซอร์·คิงอีกมุมหนึ่งของร้าน


แต่ก่อนจะพุ่งปะทะสังขาร ดวงตาสีน้ำตาลของมีซอร์พลันดำเข้ม


หัวกระสุนเกิดการหักเห บิดหมุนขึ้นด้านบนเล็กน้อย ส่งผลให้พุ่งกระทบกับแก้วที่เต็มไปด้วยเบียร์สีทองแทนผิวหนังมนุษย์


ท่ามกลางเสียงหวีดแหลม แก้วเบียร์แตกกระจายกลายเป็นเศษแหลม ของเหลวด้านในสาดกระเซ็นไปทุกทิศ


ในเวลาเดียวกัน มีซอร์คว้าแก้วเบียร์ของแขกคนอื่นที่อยู่ใกล้มือ ง้างไปด้านหลัง เหวี่ยงท่อนแขนขว้างไปทางไคลน์


ทำเพื่อ…?


ไคลน์เพียงขยับตัวไปด้านข้างเล็กน้อย หลบหลีกแก้วดังกล่าวได้ง่ายดาย ปล่อยให้มันปะทะกับผนังร้านจนกลายเป็นเศษผลึกแหลมคม


อาศัยโอกาสดังกล่าว นักเจรจา·มีซอร์ม้วนตัวกลิ้งอีกครั้ง ตรงไปยังประตูเข้าสู่บันไดห้องใต้ดิน หวังหลบหนีด้วยช่องทางลับของที่นั่น


มันปักใจเชื่อว่านักผจญภัยพิสดารและเสียสติรายนี้คือนักลอบสังหารที่ปลอมตัวเป็นเอลเลนผมแดง ลอบจู่โจมกัปตันของตนบนกาฬมรณะ


และปฏิบัติการที่เกือบสำเร็จของอีกฝ่ายทำให้มีซอร์เชื่อว่าตนหมดสิทธิ์เอาชนะในการดวลแบบหนึ่งต่อหนึ่งโดยสิ้นเชิง!


เป็นฝีมือระดับพลเรือโจรสลัด!


กึก. กึก. กึก!


ไคลน์วิ่งไล่นักเจรจา·มีซอร์ด้วยความเร็วสูง


การเคลื่อนไหวร่างกายเป็นไปอย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว ท่ามกลางผับแสนวุ่นวาย ชายหนุ่มมิได้เหยียบใส่ใครแม้แต่คนเดียว


เมื่อเห็นคนคุมผับเดินขึ้นมาจากห้องใต้ดินพร้อมกับปืน เมื่อเห็นมีซอร์กำลังจะพุ่งตัวผ่านประตูลงบันไดห้องใต้ดิน เมื่อเห็นคนคุมผับรอบร้านกำลังตรงมาทางตน ไคลน์ไม่ลังเลอีกต่อไป หมัดซ้ายถูกกำจนแน่น


ถุงมือสีดำถูกปกคลุมด้วยแสงสีทองเข้มชั่วคราว ดวงตาดำน้ำตาลเข้มเริ่มกลายเป็นสีอ่อน รูม่านตาแปรเปลี่ยนเป็นทรงรีแนวตั้ง


และทันใดนั้น คลื่นล่องหนพลันกระจายออกไปรอบตัวโดยมีไคลน์เป็นจุดศูนย์กลาง


ทุกที่ที่คลื่นพัดผ่าน ขี้เมาที่กำลังนั่งยองพร้อมกับกุมศีรษะพลันเป็นอัมพาตด้วยร่างกายสั่นเทา เจ้าหน้าที่ด้านการข่าวของกองทัพ ออส·เคนท์ พลันสมองขาวโพลน ประหนึ่งกำลังเห็นภาพที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต อยากจะรีบวิ่งออกจากร้านไปโดยเร็ว


เช่นเดียวกันกับคนคุมผับที่กำลังกรูเข้ามาล้อมไว้ทุกทิศ ความหวาดกลัวปริมาณมหาศาลรุกรานจิตใจกะทันหัน หลายคนวิ่งพล่านอย่างไร้จุดหมาย บรรยากาศเต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย


กุกกัก!


คนคุมผับบ้างทำปืนหล่นพื้น บ้างวิ่งหนีไปหลบมุมห้องและกอดกันกลมเกลียวอย่างหวาดกลัว บ้างยืนนิ่งอยู่กับที่ เป้ากางเกงเปียกซึมจนมองเห็นด้วยตาเปล่า


นักเจรจา·มีซอร์เองก็เกิดความรู้สึกคล้ายกับถูกสายฟ้าฟาดผ่า หวาดกลัวจนวิ่งวนอย่างส่งเดชภายในทางเดินลงห้องใต้ดิน


นี่คือ ‘ข่มขวัญ’ ของ ‘นักจิตบำบัด’ มักถูกเรียกว่าพลัง ‘มังกรข่มขวัญ’ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘โกลาหลหมู่’


ถือเป็นทักษะควบคุมรัศมีกว้างเพียงชนิดเดียวที่ไคลน์มี


การไล่ล่าด้วยความเร็วสูงของไคลน์ยังไม่จบ เพียงไม่กี่ก้าว มันก็เข้าประชิดตัวมีซอร์สำเร็จ


แต่ทันในนั้น ฉากหนึ่งพลันปรากฏในสมอง : มีซอร์ที่ดูคล้ายกำลังหวาดกลัว หันมาสบตากับไคลน์ บิดเอวและเหวี่ยงแขนเต็มแรง กำปั้นขวาถูกประเคนด้วยความเร็วสูงโดยเล็งใส่ศีรษะของชายหนุ่ม


ไคลน์ไม่คิดมาก เชื่อมั่นในนิมิตลางสังหรณ์ของตัวตลกโดยไม่เคลือบแคลง รีบเอนตัวเฉียงไปยังด้านหลังเป็นแนวทแยง


แทบจะในเวลาเดียวกัน นักเจรจา·มีซอร์เงยหน้าขึ้น ดวงตาน้ำตาลเข้มปราศจากความสับสน ไม่หลงเหลือร่องรอยการถูกครอบงำ


หลุดจากมังกรข่มขวัญได้ยังไง…


ไคลน์ค่อนข้างผิดคาด


ปึด!


กล้ามเนื้อท่อนแขนของมีซอร์เริ่มบวมพอง แผ่นหลังและเอวถูกบิดหมุน สาดเหวี่ยงกำปั้นใส่ไคลน์อย่างดุดันประหนึ่งกระสุนปืนใหญ่


แต่มันกลับชกโดนเพียงอากาศเปล่า หมัดพุ่งกระทบกำแพงจนเกิดเสียงดังสนั่น


เปรี้ยง!


ในจุดที่กำปั้นสัมผัส อิฐและหินร่วงกราวพร้อมกับเกิดรอยร้าวขนาดใหญ่ กึ่งกลางแรงปะทะกลายเป็นรูโหว่ รายล้อมด้วยลวดลายคล้ายใยแมงมุมกระจายออกทุกทิศ โครงสร้างอาคารของผับเริ่มสั่นสะเทือน


พลังทำลายรุนแรงยิ่งกว่ากระสุนลูกโม่!


ในเวลาเดียวกัน ไคลน์ที่เคลื่อนตัวไปหลบด้านหลังมีซอร์ล่วงหน้า เหยียดหลังตั้งตรง สีของถุงมือเริ่มถูกย้อมด้วยทองคำ


ภายในดวงตาสีน้ำตาลของไคลน์ปรากฏสายฟ้าสีเงินสองเส้น ก่อนจะพุ่งเข้าหาเป้าหมายในลักษณะคล้ายกระสุน


‘ทะลวงจิต’ ของ ‘นักสอบสวน’ !


“อ๊ากกก!”


มีซอร์·คิงส่งเสียงโหยหวน แต่มันกลับไม่ล้มลงไปนอนบนพื้นอย่างที่ควร กัดฟันทนต่อความเจ็บปวดพลางกระโจนม้วนหน้า สองมือถูกยกขึ้นมาปกป้องศีรษะ


อย่างไรก็ตาม แม้จะหลุดพ้นจากความเจ็บปวดทางจิตได้เร็วกว่าปรกติ แต่หน้าผากก็ยังเจ็บแปลบประหนึ่งถูกแท่งเหล็กฟาดใส่


พร้อมกันนั้น มุมสายตามีซอร์เหลือบไปเห็นนักผจญภัยเลือดเย็นกำลังเหนี่ยวไกปืน


ด้วยระยะประชิดแบบนี้ แม้ทะลวงจิตจะแสดงผลได้เพียงวินาทีเดียว แต่ก็มากพอที่จะให้ไคลน์ยกมือขวาขึ้น เล็งลูกโม่ดัดแปลงไปยังศีรษะอีกฝ่ายโดยไม่พลาดเป้า


ปัง!


มีซอร์·คิงที่ต้องการร้องขอชีวิตทำได้เพียงอ้าปากค้างไว้ครึ่งหนึ่ง กำแพงทางเดินด้านหลังศีรษะถูกย้อนด้วยของเหลวสีแดงและขาวขุ่น เป็นภาพที่ทั้งน่าเศร้า เปรอะเปื้อน ขัดแย้ง และงดงามในเวลาเดียวกัน


ประกายในแววตามีซอร์ดับวูบ สังขารล้มเอนพิงผนังโดยปราศจากแรงขัดขืน ก่อนจะไถลดิ่งลงไปตามแรงโน้มถ่วงอย่างเชื่องช้า


เที่ยงตรงของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ปี 1350


นักเจรจา·มีซอร์·คิง ถูกล่า


ไคลน์มองกลับไปผับที่ยังคงวุ่นวายด้านหลัง ใช้มือเลือนปิดประตูทางเข้าบันได มัดโซ่เหล็กกับกลอนอย่างแน่นหนาเพื่อปิดตายมิให้คนคุมผับภายในร้านตามลงมา


ชายหนุ่มโน้มตัวลง ลากศพมีซอร์·คิงเดินลงบันไดต่ออีกสองสามก้าว แต่ยังไม่เข้าเขตห้องใต้ดินทันที


สายตาจ้องไปทางประตูห้องใต้ดินโดยคอยระวังว่าอาจมีศัตรูกรูออกมาจู่โจม แขนซ้ายเหยียดออกในลักษณ์คว่ำฝ่ามือ เล็งไปทางร่างกายของมีซอร์


สำหรับการ ‘เขมือบ’ ผู้ช่วยรองกัปตันแห่งกาฬมรณะ ไคลน์ไม่รู้สึกลังเลแม้แต่น้อย เชื่อว่าโจรสลัดโฉดรายนี้คงทำบาปมานับไม่ถ้วน เพราะครั้งหนึ่งมีซอร์เคยเป็นลูกน้องของพลเรือโทวายุ และในอดีต คีลิงเกอร์เคยฆ่าคนหมดทั้งลำเรืออย่างโหดเหี้ยม เป็นพฤติกรรมสุดอำมหิตเกินกว่าจะได้รับการอภัย ไคลน์ทราบเหตุการณ์ดังกล่าวจาก ‘ฝันร้าย’ ถุงมือแดงที่เคยถูกขังอยู่ในยุบพองหิวโหย หลังจากนั้น มีซอร์ก็ยังทำงานรับใช้พลเรือโทโรคภัย เทรซี่ ถือเป็นการทำงานให้นิกายแม่มดทางอ้อม ไม่อยากจินตนาการว่าชายคนนี้เคยมีส่วนร่วมในคดีค้ามนุษย์มากเพียงใด


ยุบพองหิวโหยกลับคืนรูปลักษณ์หนังมนุษย์ บริเวณฝ่ามือเกิดรอยแยกเป็นทางยาว ดวงตาสีแดงก่ำปรากฏขึ้นสองดวง


เพียงพริบตา สายลมเย็นยะเยือกก่อตัวขึ้นท่ามกลางทางเดินลงชั้นใต้ดิน ปกคลุมร่างนักเจรจา·มีซอร์อย่างต่อเนื่องและเป็นเวลานาน


จุดแสงสีดำสว่างและร่างวิญญาณถูกดูดออกจากสังขารเหยื่อพร้อมกัน ปลายทางคือนิ้วบนถุงมือข้างหนึ่งที่ยังว่าง จากนั้นก็เริ่มทำปฏิกิริยากับสภาพแวดล้อมทีละนิด


ยุบพองหิวโหยกลับเป็นสีดำครู่หนึ่ง มอบความรู้สึกชั่วร้ายและสูงส่ง แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นหนังมนุษย์เช่นเดิม แผ่กลิ่นอายความหิวกระหายเลือดเนื้อและวิญญาณอย่างเต็มเปี่ยม


ไคลน์เงียบงันสักพัก รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าพลังใหม่ในคราวนี้ค่อนข้างมีประโยชน์ แม้จะสุ่มได้เพียงสองชนิด แต่กลับคุ้มค่ายิ่งกว่าสามชนิดที่ได้จากการเขมือบซอมบี้


มันเพิ่งจะได้ทราบเมื่อครู่ว่ามีซอร์คือลำดับ 6 ของเส้นทางนักกฎหมาย ‘บารอนแห่งการเน่าเปื่อย’ และหนึ่งในสองพลังพิเศษที่สุ่มได้ก็มาจากโอสถชนิดนี้ ส่วนอีกหนึ่งพลังเป็นของลำดับ 7 ‘นักติดสินบน’


พลังชนิดแรกคือ ‘บิดเบือน’ อาศัยการบิดเบือนคำพูด การกระทำ และเจตนาของเป้าหมาย ไคลน์สามารถสร้างผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์กับตัวเองได้ ขณะเดียวกันก็นำไปใช้จำกัดพฤติกรรมของเป้าหมายได้ด้วย


ชนิดที่สองคือ ‘ติดสินบน’ เป็นหนึ่งในพลังอันมากมายของนักติดสินบน โดยพลังที่ไคลน์ได้รับมีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ติดสินบนให้อ่อนแอ’


เงื่อนไขการใช้พลังคือต้องมอบสิ่งของให้กับเป้าหมาย หลังจากนั้น พลังโจมตี พลังป้องกัน และพลังควบคุมของเป้าหมายจะถูกลดทอนประสิทธิภาพลงหลายส่วนเป็นระยะเวลาหนึ่ง


มอบสิ่งของให้เป้าหมาย… การขว้างแก้วเบียร์ใส่เราตอนนั้นคือการติดสินบน?


สมกับเป็นเส้นทางจักรพรรดิมืด อาศัยช่องโหว่ของคำสั่งสร้างประโยชน์ให้ตัวเอง…


เข้าใจแล้วว่าทำไม ‘มังกรข่มขวัญ’ และ ‘ทะลวงจิต’ ของเราถึงส่งผลน้อยกว่าที่ควรจะเป็น แม้กระทั่งความรุนแรงของกระสุนก็ยังเบาลงจากเดิมมาก มันควรจะเป่าหายไปทั้งกะโหลกด้วยซ้ำ…


ไคลน์ถึงคราวกระจ่าง


ขณะเดียวกัน มันหายสงสัยเสียทีว่าทำไมร่างวิญญาณของตนถึงลอยไปหาเรือจักรพรรดิมืด ไปหานาสต์ ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร นั่นเพราะอีกฝ่ายบิดเบือนเจตนาที่ต้องการพุ่งไปข้างหน้าให้ทวีความรุนแรงขึ้น


ไม่เลว…


ไคลน์ก้มมองศพมีซอร์ เดินลงไปยังห้องใต้ดิน


มันเตรียมจัดอาหารมื้อใหญ่ให้ยุบพองหิวโหย


อาจเป็นเพราะถูกโยนเข้าไปในมิติสายหมอกบ่อยครั้ง ยุบพองหิวโหยในตอนนี้มิได้อาละวาดอย่างไร้มารยาทเหมือนทุกที เป็นท่าทางคล้ายกับกำลังอดทนอย่างใจเย็น


ไคลน์เห็นดังนั้นจึงไม่รีบร้อนหาอาหาร บรรจงก้าวลงไปอย่างระมัดระวัง คอยสอดส่องอันตรายรอบตัว


ไม่กี่ก้าวถัดจากนั้น มันเห็นชายฉกรรจ์·โอซิลเดินนำลูกน้องขึ้นมาจากห้องใต้ดิน โดยอีกฝ่ายถือปืนครบทุกคน แถมมีจำนวนมากกว่า


มากกว่าหลายเท่าตัว!


ไคลน์ไม่เปลี่ยนสีหน้า ถุงมือสีดำเริ่มปกคลุมด้วยเกล็ดทองคำอีกครั้ง


ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีอ่อน รูม่านตากลายเป็นทรงรีแนวตั้ง คลื่นที่มองไม่เห็นพุ่งออกไปทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว


มังกรข่มขวัญของนักจิตบำบัด!


……………………


ราชันเร้นลับ 600 : เก็บกวาด

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อมังกรข่มขวัญแสดงผล ชายฉกรรจ์·โอซิลและลูกน้องจำนวนมากพลันสั่นกลัวโดยพร้อมเพรียง ประหนึ่งถูกใครบางคนฟาดด้วยค้อนยักษ์


ท่ามกลางความวุ่นวาย บางคนวิ่งวนเป็นวงกลม บางคนวิ่งพล่านอย่างไร้จุดหมาย บางคนหมุนตัวอยู่กับที่ บางคนยืนนิ่งด้วยร่างกายสั่นเทาอย่างมิอาจควบคุม แบ่งเป็นประเภทการตอบสนองได้เป็นหลายระดับ


ขณะที่สู้กับนักเจรจา·มีซอร์ ไคลน์กังวลว่าอีกฝ่ายอาจฉวยโอกาสพลิกสถานการณ์ จึงเพ่งสมาธิกับการปิดบัญชีโดยเร็ว แต่สำหรับตอนนี้ ชายหนุ่มมีเวลาว่างพอจะสำรวจผลกระทบของมังกรข่มขวัญอย่างละเอียด กวาดตาไปรอบตัวหนึ่งหน มันรีบเก็บข้อมูลอย่างคร่าว


ท่าทีตอบสนองจะขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งทางกายและความอดทนทางจิตของเป้าหมาย ระดับรุนแรงที่สุดจะเป็นการวิ่งพล่านพลางแหกปากหวาดกลัว คนที่เข้มแข็งขึ้นมาเล็กน้อยจะวิ่งอย่างไร้ทิศทางด้วยท่าทีสุขุม ในกรณีมนุษย์ธรรมดาที่แข็งแกร่งมากและผู้วิเศษปลายแถว พวกมันจะยืนหมุนรอบตัวเอง ส่วนผู้วิเศษที่ร่างกายและจิตค่อนข้างเข้มแข็ง พวกมันจะยืนอยู่กับที่อย่างสั่นกลัว…


หากใครสะสมความกลัวจนเกิดขีดจำกัด มันจะวิ่งหนีออกจากจุดเกิดเหตุทันที…


ไคลน์ชำเลืองหาเป้าหมาย เตรียมยิงคนที่อาจสร้างอันตรายให้กับตน เป็นการขจัดภัยคุกคามล่วงหน้า


ทันใดนั้น มันพบว่าแววตาของกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดเริ่มกลับมากระจ่าง คล้ายกับใกล้หลุดพ้นจากมังกรข่มขวัญเต็มที ส่วนกลุ่มที่รองลงมาก็เริ่มมีท่าทีตอบสนองเบาลง


เมื่อพิจารณาว่าตนไม่สามารถจัดการกับทั้งหมดพร้อมกันในคราวเดียว หากเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด เกรงว่าคนที่เหลืออาจได้สติตื่น และพลังพิเศษหลากชนิดจะโถมเข้าใส่จนเกิดเป็นความเดือดร้อน ยืนไตร่ตรองสักพัก ไคลน์เปลี่ยนให้ถุงมือซ้ายกลายเป็นสีดำชั่วร้ายแต่สูงส่ง


ดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น ภายในใจเพ่งจิต ‘บิดเบือน’ เจตนาของเป้าหมาย


ทันใดนั้น ชายที่ร่างกายสั่นเทารีบกระโจนม้วนตัวไปทางด้านข้าง เจตนาที่คิดหนีถูกเสริมทวีคูณจนเกินพอดีไปหลายเท่า ในสมองเหลือเพียงความคิดเดียวคือการวิ่งไปยังทางออกลับ ลูกน้องของชายฉกรรจ์โอซิลเริ่มหายไปทีละคนสองคน


ไคลน์สับเปลี่ยนวิญญาณในยุบพองหิวโหยอย่างชำนาญ ประเดี๋ยวนักจิตบำบัด ประเดี๋ยวบารอนแห่งการเน่าเปื่อย มังกรข่มขวัญตามด้วยบิดเบือน มังกรข่มขวัญตามด้วยบิดเบือน จนกระทั่งลูกน้องของโอซิลที่ค่อนข้างแข็งแกร่งถูกขับไล่ออกจากห้องใต้ดินจนเกือบหมด


แม้ยุบพองหิวโหยจะไม่ทรงพลังเท่ากับคนเลี้ยงแกะตัวจริง ยังมีเวลาเหลื่อมระหว่างการสับเปลี่ยนดวงวิญญาณ แต่ไคลน์ก็กลบจุดอ่อนด้วยการบริหารจังหวะอย่างชำนาญ พลังมังกรข่มขวัญคือกุญแจสำคัญที่ทำให้ทุกสิ่งง่ายขึ้น


อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มเริ่มพบปัญหา ยิ่งเหยื่อถูกมังกรข่มขวัญครอบงำในเวลาไล่เลี่ย ประสิทธิภาพของพลังจะลดทอนลงทุกครั้ง แต่เมื่อเพิ่ม ‘บิดเบือน’ เข้าไปเร่งปฏิกิริยา เหยื่อที่มีระดับไม่สูงมากอย่างกลุ่มอันธพาลปลายแถว โดนเข้าไม่กี่รอบก็หมดสติพร้อมกับขับถ่ายอึฉี่เรี่ยราดจนส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่วห้อง


มังกรข่มขวัญกับบิดเบือนผสมผสานกันได้ลงตัวมาก… ในจังหวะก่อนหน้านี้ หากนักเจรจา·มีซอร์ไม่หันมาตอบโต้เรา ฝืนกัดฟันหนีด้วย ‘ติดสินบนให้อ่อนแอ’ และ ‘บิดเบือน’ เพียงอย่างเดียว เราคงฆ่ามันไม่สำเร็จ…


อา… แต่ก็ต้องยอมรับว่าหมัดนั่นมีพลังทำลายรุนแรงจนน่าเหลือเชื่อ แถมยังลอบลงมือได้โดยที่เราไม่รู้ตัว หากไม่ใช่เพราะนิมิตลางสังหรณ์ของตัวตลกแสดงผล แม้แต่เราก็คงใช้กระดาษคนตัวแทนไม่ทัน…


สิ่งนี้ช่วยเตือนสติว่า แม้จะครอบครองยุบพองหิวโหยจนแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้วิเศษลำดับ 5 แต่หากเกิดความประมาท ก็อาจถูกผู้วิเศษลำดับ 6 เก็บได้ไม่ยาก…


ท่ามกลางภวังค์ความคิด ไคลน์เปลี่ยนถุงมือให้กลายเป็นสีทอง ดวงตาปรากฏสายฟ้าสองเส้น


ชายฉกรรจ์·โอซิลพลันส่งเสียงกรีดร้อง มิอาจพยุงร่างกายไว้ได้อีก ล้มทรุดลงไปกองกับพื้นประหนึ่งขุนเขาพังถล่ม สองมือกุมศีรษะด้วยร่างกายดีดดิ้นคล้ายกับปลาดุกในกะละมัง


น่าเสียดาย เราไม่มีท่าโจมตีหมู่ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีความจำเป็นต้องไล่เหยื่อคนอื่นกลับไป…


อา… ถ้าจำไม่ผิด ‘เจ้าสมุทร’ แยนน์·ค็อตแมนสามารถใช้ ‘พายุสายฟ้า’ ได้ด้วย… แต่ระดับของยันต์ยังสูงเกินไป อยู่นอกเหนือความรู้ความเข้าใจของเรา…


ไคลน์ชำเลืองอันธพาลที่นอนหมดสติบนพื้นด้วยหางตา ย่างกรายเข้าไปในเขตห้องใต้ดินอย่างไม่รีบร้อน


ที่นี่เคยเป็นตลาดมืดจนถึงเมื่อครู่ ในปัจจุบัน พ่อค้าแม่ค้าและแขกที่เดินเที่ยวต่างอพยพออกไปจนไม่เหลือใคร


ไคลน์ผู้สวมโค้ทกระดุมสองแถวสีดำ หยิบเก้าอี้จากแผงลอยร้านหนึ่ง วางลงตรงหน้าชายฉกรรจ์·โอซิล หย่อนก้นนั่ง โน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย จดจ้องบอสใหญ่แห่งผับใบไม้หอมโดยไม่กล่าวคำใด


โอซิลเกลือกกลิ้งอยู่สักพัก จนในที่สุดก็หลุดพ้นจากความเจ็บปวดที่เกือบทำให้มันคลุ้มคลั่ง แต่ความรู้สึกคล้ายกับศีรษะจวนเจียนระเบิดยังคงไม่เลือนหาย


ขณะกำลังจะยืนขึ้น โอซิลเหลือบเห็นดวงตาสีทองอ่อน เห็นถุงมือที่ฉาบด้วยสีทองเข้ม


ทันใดนั้น ขณะเหงื่อไคลเย็นเฉียบกำลังผุดขึ้นตามร่างกาย มันเห็นดวงตาอีกฝ่ายหมุนวนเป็นเกลียวคลื่น ส่งผลให้สมองโอซิลพลันขาวโพลนไปชั่วขณะ


ไคลน์ซักถามเสียงแผ่ว


“แกเคยเป็นโจรสลัดใช่ไหม”


“ใช่…” โอซิลพบว่าตัวเองต้องการตอบคำถามของอีกฝ่ายโดยไม่ขัดขืน


นี่คือผลจากพลัง ‘การชี้นำทางจิต’ ของนักจิตบำบัด


ไคลน์ถามอีกครั้งด้วยเสียงเดิม


“เคยทำเรื่องผิดกฎหมายอะไรมาบ้าง”


โอซิลไม่ปิดบัง เล่าเรื่องราวที่ตนเคยทำสมัยเป็นโจรสลัดอย่างรวบรัด ตามด้วยวีรกรรมหลังจากกลายเป็นบอสใหญ่แห่งผับใบไม้หอม ประกอบไปด้วยการปล้นเรือโดยสาร ข่มขืนผู้โดยสารหญิง ฆ่าคนบริสุทธิ์ ต่อสู้กับอริ ลักพาตัวครอบครัวของอีกฝ่าย และวางแผนซุ่มโจมตีทีเผลอ จมเรือของศัตรูลงก้นทะเล


ไคลน์นั่งฟังเงียบงัน มุมปากยกขึ้นทีละนิด ก่อนจะยกมือขวาขึ้นมาตบฝ่ามือซ้าย


“ยอดเยี่ยมมาก… ทำหน้าที่ของโจรสลัดและบอสใหญ่ของกลุ่มอันธพาลได้อย่างไร้ที่ติ”


ท่ามกลางคำเชยชม ชายหนุ่มเหยียดแขนซ้ายออก กึ่งกลางผ่ามือเกิดรอยแยกคล้ายกับปากสัตว์ประหลาดที่กำลังอ้ากว้าง


เสียงร้องโหยหวนดังกังวานภายในห้องใต้ดินของผับ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ทุกสิ่งก็หยุดลงและกลับคืนสู่ความเงียบ เหลือไว้เพียงเสียงสะท้อนอันเจือจาง


ไคลน์บนเก้าอี้ นั่งจ้องละอองแสงสว่างที่กำลังบรรจงรวมตัวกันอย่างเชื่องช้า


เมื่อกลุ่มอันธพาลที่นอนอึฉี่ราดโดยรอบเริ่มได้สติกลับคืน พวกมันพยายามแอบคลานออกไปจากไคลน์อย่างเชื่องช้า ตามทางมีคราบเปียกชื้น


ผ่านไปสักพัก ไคลน์ยืนขึ้นอย่างไม่รีบ โน้มตัวก้มเก็บลูกบอลแสงขนาดเท่ากำปั้นทารก รวมถึงกระเป๋าสตางค์และเสื้อผ้าของโอซิล


หลังจากเหลือบมองปึกธนบัตรหนา มันยัดทั้งสองสิ่งเข้าไปในโค้ท สอดเก็บลูกโม่ดัดแปลงกลับเข้าที่เก่า ถอดหมวกทรงกึ่งสูงออกพร้อมกับทำท่าทักทายเหล่าอันธพาลฉี่แตกตรงมุมห้อง


เมื่อจัดการเสร็จ ไคลน์เดินตรวจสอบจนทั่วชั้นใต้ดินสักพัก เกิดความผิดหวังเล็กน้อยเมื่อไม่พบตู้นิรภัย จึงทำเพียงย้อนกลับไปยังทางเก่า ก้มตัวเก็บศพมีซอร์บนขั้นบันไดและเดินตรงไปทางประตู


ชายหนุ่มยืนแช่หน้าประตูราวสองวินาที นิมิตลางสังหรณ์ปรากฏขึ้นตามปรกติ ฉายให้เห็นฉากภายในผับด้านหลังบานประตู แล้วก็ต้องผิดคาดเล็กน้อย คิดว่าจะได้เห็นภาพของคนคุมผับพยายามพังประตูลงมาช่วย แต่กลับกลายเป็น พวกมันหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา


มังกรข่มขวัญทำให้พวกมันทราบว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้วิเศษ จึงเผ่นหนีไปแล้ว?


เป็นไปได้… ที่นี่เต็มไปด้วยโจรสลัดที่มีพลังพิเศษ คนธรรมดาคงมีโอกาสได้ฟังเรื่องราวเหนือธรรมชาติมาบ้าง… เหตุการณ์ทำนองนี้คงเกิดขึ้นบ่อยสินะ… สงสัยทูตพิพากษาจะแวะเข้ามาล่าอาชญากรหลบหนีเป็นครั้งคราว…


ไคลน์คลายโซ่ที่ตนมัดจนแน่น ล้วงมือหยิบกระเป๋าสตางค์ของมีซอร์ โยกย้ายธนบัตรจากในนั้นมาเป็นของตัวเอง


มันระงับความต้องการที่จะนับจำนวน หยิบกระดาษคนตัวแทนออกมาจุดไฟ สะบัด ปล่อยให้ซากขี้เถ้าโปรยลงพื้น จากนั้นก็เปิดประตูออก แบกศพมีซอร์เดินเข้าไปในเขตผับ


ที่นี่ แขกเกือบทั้งหมดกลับไปแล้ว เหลือเพียงเจ็ดแปดคนที่ยังคงหลบในแต่ละมุมร้านเพื่อรอชมผลลัพธ์


ไคลน์กวาดตาอย่างไร้อารมณ์ เกือบทุกสายตาที่กำลังมองมาทางชายหนุ่มพลันเบือนหนีอย่างลนลาน


มีเพียงออส·เคนท์คนเดียวที่กล้าจ้องตอบ อีกฝ่ายกำลังขมวดคิ้ว มองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่กำลังเดินเข้าหาพร้อมกับศพลึกลับ


โครม!


ศพถูกโยนลงบนโต๊ะ


ออส·เคนท์เพ่งมอง รูม่านตาพลันหดลีบ


นักเจรจา·มีซอร์·คิง!


ผู้ช่วยรองกัปตันแห่งกลุ่มโจรสลัดโรคภัย!


ออส·เคนท์เงยหน้าด้วยอากัปกิริยาตกตะลึง จ้องเข้าไปในดวงตาเกอร์มัน·สแปร์โรว์อีกครั้ง


ไคลน์ยิ้มมุมปาก


“อย่าลืมขึ้นเงินให้ฉันด้วย”


เมื่อสิ้นเสียง ชายหนุ่มถอดหมวกผ้าไหม ทำท่าทางทักทาย หมุนตัวกลับและเดินตรงไปยังทางเข้าผับใบไม้หอม



ณ ท่าเรือบายัม บนเรือโมราขาว


ไอร์แลนด์นั่งจ้องประตูห้องกัปตันที่ถูกเปิดออกด้วยเสียงดังโครม ซักถามอย่างฉงน


“เคนท์ มีอะไร?”


ออส·เคนท์ย้อนถามด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว


“ไอร์แลนด์! นายแนะนำสัตว์ประหลาดพรรค์ไหนให้ฉันรู้จัก!”


“เกอร์มัน·สแปร์โรว์?” ไอร์แลนด์ถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ


ออส·เคนท์พยักหน้า


“หมอนั่นฆ่านักเจรจา·มีซอร์·คิง ฆ่าชายฉกรรจ์·โอซิล ภายในผับใบไม้หอม ต่อหน้าฉัน! ด้วยเวลาไม่ถึงห้านาที!”


มันแทบบ้า


“มีซอร์·คิง?” ไอร์แลนด์พึมพำกับตัวเองในลักษณะคล้ายคำถาม


จากนั้น มันเผยรอยยิ้มขื่นขม


“พวกเราต้องรายงานให้เบื้องบนทราบ”


ในเมื่อออส·เคนท์มิได้เอ่ยชื่อเพลิงพิโรธ·เดนิส ไอร์แลนด์จึงไม่เอ่ยถึงเหตุการณ์สังหารเหล็กกล้า·แม็ควิตี้


“ตกลง!” นี่คือสิ่งที่ออส·เคนท์กำลังรอ



บ่ายสามโมงตรง ภายในบ้านสวนใกล้กับบ้านพักนายกเทศมนตรีบายัม


ไอร์แลนด์และออส·เคนท์กำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขกหรูหรา รอคอยคำตอบจากเบื้องบนอย่างใจเย็น


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ชายหนุ่มผมทองผมหวีเรียบเดินลงจากบันได กล่าวกับคนทั้งสอง :


“ท่านนายพลระบุว่า ในเมื่ออีกฝ่ายยังไม่แสดงท่าทีเป็นศัตรู ให้ผูกมิตรในเชิงสายข่าวไปตามเดิม แต่พวกเราไม่ควรประมาท ต้องส่งโทรเลขกลับไปยังเบ็คลันด์ ให้ทางนั้นช่วยสืบหาตัวตนที่แท้จริงและจุดประสงค์ในการออกทะเล นอกจากนั้น ประกาศออกไปให้โจรสลัดทราบโดยทั่วกันว่า เขาคือผู้สังหารมีซอร์·คิง”


“รับทราบครับ! มิสเตอร์ลัวอาน”


ไอร์แลนด์และออส·เคนท์ที่ได้รับคำสั่งชัดเจนพลันหัวใจทั่วท้อง



ภายในโรงแรม ไคลน์ใช้พลังทำนายตรวจสอบในหลายสิ่ง ตามด้วยการนับเงินสดที่หยิบติดมือมา ยืนยันว่าตนได้รับเงินสามร้อยยี่สิบเจ็ดปอนด์ เก้าซูล ห้าเพนนี และตะกอนพลังของลำดับ 8 ‘กลาดิเอเตอร์’ แห่งเส้นทาง ‘นักรบ’


มีมูลค่าของมันไม่ต่ำกว่าหกร้อยปอนด์… และเมื่อนำไปรวมกับค่าหัวมีซอร์ ถึงถูกจะหักค่านายหน้าไปบางส่วน แต่ก็ยังเหลืออีกหลายพันปอนด์


หึหึ เจ้าออส·เคนท์ไม่กล้าหักแน่…


เงินหล่นจากฟ้าชัด ๆ …


ไคลน์ครุ่นคิดอย่างมีความสุข จากนั้นก็ประกอบพิธีกรรมส่งยุบพองหิวโหยเข้าสู่มิติสายหมอก


ว่ากันตามตรง พลังมังกรข่มขวัญ สร้างโรคประสาท และชี้นำทางจิต ถือเป็นพลังสามชนิดที่ค่อนข้างมีประโยชน์ ไคลน์จึงลังเลที่จะปล่อยออกจากถุงมือ แต่ในเมื่อให้สัญญากับมิสจัสติสไว้แล้ว มันก็เลือกที่จะไม่กลับกลอก


……………………


ราชันเร้นลับ 601 : ทำตัวเอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ณ มิติเหนือสายหมอก ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้พนักสูง จ้องมองยุบพองหิวโหยโดยไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน


ในที่สุด มันยังคงเลือกทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ ปลดปล่อยดวงวิญญาณของนักจิตบำบัดออกจากถุงมือหนังมนุษย์


ด้านข้างโต๊ะทองแดงยาวพลันปรากฏร่างมายาของคนตัวสูง เธอเป็นสตรี ใบหน้าค่อนข้างพร่ามัว แต่สีหน้าอันเจ็บปวดและบิดเบี้ยวกลับแจ่มชัด


ไคลน์จ้องหล่อนสักพัก ชวนเข้าสู่บทสนทนา


“ยังจำตัวเองได้ไหม”


ท่ามกลางมิติลึกลับ ชายหนุ่มสามารถสื่อสารกับดวงวิญญาณได้โดยตรง


นักจิตบำบัดเริ่มบรรเทาความรู้สึกด้านลบ มุมปากเผยรอยยิ้มขื่นขม


“แน่นอน ยังจำได้ ดิฉันเป็นสมาชิกขององค์กรลับแห่งหนึ่ง เดินทางไปยังเกาะทอสคาร์เตอร์เพื่อเยี่ยมเพื่อนสนิท แต่กลับต้องเผชิญหน้าโจรสลัดระหว่างทาง แม้ฉันจะใช้พลังของตัวเองเอาตัวรอดมาได้ แต่โจรสลัดที่หนีไปกลับคาบข่าวไปบอกคีลิงเกอร์ เพื่อที่จะช่วงชิงพลังของฉัน มันถึงกับยอมเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือ ซุ่มโจมตีเรือของพวกเรา คุณคงเดาเหตุการณ์หลังจากนั้นได้ไม่ยาก แต่ต้องขอบคุณในความไม่ประมาทของมัน คีลิงเกอร์ฆ่าฉันทันที จึงไม่ต้องเผชิญความทุกข์ทรมานที่เลวร้ายไม่ต่างจากตายทั้งเป็นเหมือนกับผู้โดยสารหญิงคนอื่น”


ไคลน์เงียบงัน พยักหน้ารับอ่อนโยน


“รู้จักหนังสือโบราณที่ชื่อการเดินทางของกรอซายไหม”


ชายหนุ่มเชื่อว่า ในเมื่อการเดินทางของกรอซายถูกเขียนโดยตระกูลมังกร โอกาสที่นักจิตบำบัดจะเคยได้ยินชื่อก็ไม่เป็นศูนย์


นักจิตบำบัดสาวครุ่นคิดอย่างจริงจัง ตามด้วยการส่ายหน้าแผ่วเบา


“ต้องขอโทษด้วย ฉันไม่เคยได้ยินชื่อนั้น”


ไคลน์ไม่ซักไซ้ประเด็นเก่า เปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นแทน


“คุณกำลังจะสลายไป ได้รับอิสรภาพอันเป็นนิรันดร์ มีความปรารถนาสุดท้ายเหลืออยู่ไหม”


นักจิตบำบัดก้มหน้าครุ่นคิด หัวเราะเบาๆ


“อยากคืนชีพอีกสักครั้ง… แต่ดิฉันทราบดีว่าความปรารถนาดังกล่าวคงไม่มีวันเป็นจริง ตอนนี้ไม่เหลือสิ่งใดให้ค้างคาใจอีกแล้ว ผ่านมาก็นาน ครอบครัวและเพื่อนสนิทคงได้รับข่าวการตายกันถ้วนหน้า หากต้องทราบข่าวสะเทือนใจซ้ำอีกหน เกรงว่าจะเกิดความเจ็บปวดขึ้นโดยไม่จำเป็น ขอบคุณมาก ดิฉันไม่ต้องการอะไรแล้ว”


ร่างกายหญิงสาวเลือนรางลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งสลายไปโดยสมบูรณ์ เหลือทิ้งไว้เพียงผลึกดวงตาสีทองขนาดใหญ่ ผลึกที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงจิตใจมนุษย์ทุกคน


นี่คือตะกอนพลังของนักจิตบำบัด


ไคลน์ถอนหายใจยาว ครุ่นคิดเกี่ยวกับรายละเอียดปลีกย่อยระหว่างคำพูดของหญิงสาว


“เธอถ่อไปถึงเกาะทอสคาร์เตอร์เพียงเพื่อพบเพื่อนสนิท เป็นการเดินทางตามลำพัง ไม่มีญาติคนใดไปด้วยกัน เกาะทอสคาร์เตอร์ตั้งอยู่สุดเขตตะวันออกของทะเลโซเนีย ถูกล้อมกรอบด้วยหมู่เกาะการ์กัสทั้งทิศเหนือและใต้ เกาะดังกล่าวเป็นอาณานิคมทางทะเลที่ไกลที่สุดของอาณาจักรโลเอ็น โดยที่หมู่เกาะการ์กัสเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิฟุซัค… ต้องเป็นเพื่อนแบบใดกันถึงอาศัยบนเกาะทอสคาร์เตอร์… แล้วคุ้มค่ากับการถ่อไปไกลถึงเพียงนั้นจริงหรือ… ถึงเธอมิได้เอ่ยชื่อองค์กรลับ แต่ก็มีโอกาสเป็นสมาคมแปรจิตมากทีเดียว และนี่อาจเป็นภารกิจลับบางอย่าง…”


ไคลน์ตัดสินใจเคารพผู้ตาย หยุดการขุดคุ้ยความลับของอีกฝ่าย คำถามในสมองจบลงเพียงเท่านี้ เปลี่ยนประเด็นไปคิดถึงเรื่องอื่นแทน


หลังจากสังหารนักเจรจา·มีซอร์·คิง ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด แต่เราก็ต้องรีบย้ายออกจากบายัมโดยเร็ว… ระหว่างใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เราก่อเรื่องภายในเมืองแห่งการให้ไปไม่น้อย…


อา… คงต้องเข้าร่วมชุมนุมลับอีกสักสองสามแห่งดูก่อน ยืนยันให้แน่ใจว่าเมืองนี้ไม่มีวัตถุดิบหลักของโอสถนักเชิดหุ่น จึงค่อยย้ายออกเป็นการถาวร…


ไคลน์คิดไวทำไว สร้างฉากเดอะเวิร์ลกำลังสวดวิงวอนโดยมีสายหมอกสีเทารายล้อมรอบทิศ ส่งเข้าไปในดาวแดงตัวแทนจัสติส



ออเดรย์บนระเบียงชั้นสามกำลังมองออกไปยังหมู่บ้านใกล้เคียง หลังคาบ้านส่วนใหญ่ในละแวกดังกล่าวเป็นสีของอิฐแดง จงใจเลียนแบบให้เกิดเป็นลวดลายเกล็ดมังกร


ทันใดนั้น ทัศนียภาพรอบตัวหญิงสาวพลันถูกปกคลุมด้วยสายหมอกสีเทาที่คุ้นเคย


ท่ามกลางกลุ่มหมอกหนา ชายคนหนึ่งกำลังสวดวิงวอนต่อเทพอย่างศรัทธา


“มิสเตอร์ฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ช่วยแจ้งให้มิสจัสติสทราบด้วยว่า ผมพร้อมทำการแลกเปลี่ยนแล้ว”


พร้อมแลกเปลี่ยน? หมายความว่าเขาหาตะกอนพลังของนักจิตบำบัดได้แล้ว…


แต่เมื่อวานยังไม่มีอยู่เลย…


การลงมืออันฉับไวของเดอะเวิร์ลทำให้หญิงสาวเริ่มเกิดความหวาดกลัว ยืนเหม่อลอยจนเกือบลืมขอบคุณมิสเตอร์ฟูล


น่าทึ่งมาก…


เธอมิได้เป็นหญิงสาวไร้เดียงสาและอ่อนต่อโลกอีกต่อไป เคยเห็นเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่มาไม่น้อย สติจึงคืนความสุขุมได้รวดเร็ว


ออเดรย์ขอบคุณเดอะฟูลจากก้นบึ้ง และฝากไปถึงมิสเตอร์เวิร์ลว่า ขอเวลาอีกสักสองสามวัน เพราะตนต้องชำระเงินที่ติดค้างกับข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูลให้ครบเสียก่อน


จริงอยู่ เธออาจมีเงินในมือมากเพียงพอ แต่ก็ต้องกันไว้ใช้ในยามฉุกเฉินส่วนหนึ่ง ไม่อย่างนั้น คนรอบตัวอาจพบความผิดปรกติ


รอจนกระทั่งหมอกมายาเลือนหาย หญิงสาวก้มหน้าลงไปมองซูซี่ที่กำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานภายในสวนชั้นล่าง


ออเดรย์เดินกลับเข้าห้อง พึมพำกับตัวเอง


“มิสเตอร์เวิร์ลน่ากลัวจัง…”



ตกเย็น ณ ผับสายหร่ายทะเล


เนตรสีฟ้า·มีธที่เพิ่งนำเงินไปถลุงกับบ่อนพนัน นั่งลงหน้าเคาน์เตอร์ สั่งเแลงติร้อนแรงดื่ม


ขณะเตรียมยกแก้วซด บาร์เทนเดอร์พลันหรี่เสียงลงและกระซิบ


“นักเจรจา·มีซอร์ตายแล้ว”


“งั้นหรือ… ฝีมือใคร?” เนตรสีฟ้า·มีธประหลาดใจในตอนต้น จากนั้นก็ถามด้วยสีหน้าเจือความคาดหวัง “มีใครกล้าท้าทายพลเรือโทโรคภัยด้วยหรือ…”


“นักผจญภัยนามว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ไม่เคยมีชื่อเสียงมาก่อน ใครจะไปคิดว่ามีซอร์จะถูกฆ่าโดยคนแบบนั้น!” บาร์เทนเดอร์ไม่เก็บซ่อนสีหน้าหวาดหวั่น “แถมหมอนั่นยังฆ่าโอซิล บอสใหญ่ตัวจริงแห่งผับใบไม้หอม ชายฉกรรจ์·โอซิล!”


เนตรสีฟ้า·มีธที่เตรียมจะกล่าวบางสิ่ง พลันขมวดคิ้วกะทันหัน


ช่วงเช้าของวันนี้ โอซิลส่งคนมาถามมันเกี่ยวกับเบาะแสของเพลิงพิโรธ·เดนิส มีธแลกเปลี่ยนข้อมูลกับอีกฝ่าย เล่าว่าสรั่งเรือลำดับสี่แห่งฝันทองคำไปไหนมาไหนกับนักผจญภัยปริศนา และด้วยความช่วยเหลือจากพิธีกรรม มันทำการวาดภาพเหมือนส่งให้อีกฝ่าย


โอซิลตาย… มีซอร์·คิงตาย… ถูกฆ่าโดยนักผจญภัยหน้าใหม่นามว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์…


ฝ่ามือของเนตรสีฟ้า·มีธพลันสั่นระริก ภายในใจหวนนึกถึงภาพที่ตนวาดส่งให้โอซิล


สุภาพบุรุษหนุ่มลึกลับคนหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าทางเข้าผับ ผมสีดำ ตาสีน้ำตาล ใบหน้าผอมเพรียว สัดส่วนคมชัด คอยสำรวจแขกที่เดินผ่านเข้าออกร้าน คล้ายกับกำลังมองหาเหยื่อ


คิดมาถึงจุดนี้ ร่างกายเนตรสีฟ้า·มีธพลันสั่นเทาไปทุกส่วน ล้มเลิกความคิดที่จะดื่มของเหลวในแก้ว เหยียดตัวยืนตรง รีบจ้ำออกจากผับ


น่ากลัวเกินไป… เจ้านั่นเป็นสัตว์ประหลาด! แม้แต่นักเจรจา·มีซอร์ก็ยังเสร็จมัน ต้องมีฝีมือระดับเดียวกับพลเรือโจรสลัดแน่! ป่านนี้คงกำลังตามล่าตัวเราเพื่อหวังปิดปาก… ไม่ได้การ! เราอยู่ในบายัมไม่ได้แล้ว ต้องรีบกลับเรือ ออกห่างจากที่นี่ให้ไกลที่สุด!


เนตรสีฟ้า·มีธรีบตรงดิ่งไปทางโรงละครแดง ลากตัวพวกพ้องออกมาโดยที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจ รวมกลุ่มกันเข้าไปในป่าลึกนอกเขตเมือง เดินวกวนสักพักจนกระทั่งถึงท่าเรือลับที่กลุ่มต่อต้านเป็นเจ้าของ



ร้านสมุนไพรในตรอกเยื้องกับโรงละครแดงยังคงเปิดบริการตามปรกติ นักปรุงยาอ้วน ดัควีลล์ กำลังนั่งหลังเคาน์เตอร์คิดเงิน สีหน้าสุขุมเยือกเย็นภายนอก แต่ในใจกำลังกระวนกระวาย


มันหาทางติดต่อกับสมาชิกของโรงเรียนชีวิตโดยใช้เกือบทุกวิธีที่รู้จัก ร้องขอความช่วยเหลือตามสมควร แต่ก็มิอาจทราบได้ว่าใครจะมาช่วย และมาตอนไหน ทำได้เพียงอดกลั้นความกลัว เปิดร้านต่อไป แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ดัควีลล์ เจ้ากำลังงุ่นง่าน” นกฮูกอ้วนบินโฉบจากท้องฟ้า ร่อนลงบนเคาน์เตอร์


“ไม่ต้องย้ำ… ฉันตระหนักถึงสภาพจิตใจของตัวเองได้ดีกว่าใคร” ดัควีลล์โบกมืออย่างหัวเสีย


มันยังคงจดจำคำสอนของอาจารย์ได้แม่นยำ ‘จงระวังหน่วยพิเศษของทางการและกลุ่มผีดูดเลือดตัวจริงให้ดี’ นอกเหนือจากนั้น รอย·คิงยังยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากถูกกลุ่มดังกล่าวจับตัว มีทั้งการถูกคุมขังในคุกใต้ดินตลอดกาล หมดโอกาสเห็นเดือนเห็นตะวันตลอดชีวิต ไม่ได้พบสตรี กลายเป็นหนูทดลอง ร่างกายถูกใช้เพื่อทดสอบผลข้างเคียงของสมบัติปิดผนึกบางชิ้น รวมถึงการทดลองอีกหลายสิ่ง หรืออาจถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่พึ่งพาเพียงสัญชาตญาณ ถูกผีดูดเลือดกลืนกินจิตใจ กลายเป็นแค่หุ่นเชิด


ภาพจำดังกล่าวฝังลงในสมองนักปรุงยาอ้วน ความกล้าที่เคยมีเพียงน้อยนิดได้อันตรธานหายไปโดยสมบูรณ์ หลังจากแยกกับอาจารย์ ดีควีลล์แทบไม่เคยแช่อยู่ในเมืองใดนาน หากพบความเสี่ยงแม้เพียงเล็กน้อยก็จะรีบย้ายที่อยู่ทันที


มันพยายามข่มอารมณ์หวาดหวั่น สมาธิถูกนำไปใช้คิดหาวิธีช่วยเหลืออาจารย์


“ตาแก่น่าจะถูกจับตัวไปนานแล้ว แต่ทำไมถึงยังถูกขังอยู่ที่จวนนายกเทศมนตรีอีก… ด้วยขีดความสามารถของกองทัพ ความลับควรถูกรีดออกไปจนหมดแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นการถูกประหาร ฆ่าเพื่อช่วงชิงตะกอนพลัง หรือใช้เป็นหนูทดลองสมบัติปิดผนึก ตาแก่ก็ควรถูกย้ายไปสำเร็จโทษที่อื่น มิใช่ในจวนนายกเทศมนตรี…”


ตาแก่อาจมีเทคนิครักษาความลับเป็นเลิศ… หรือไม่ก็ พวกมันต้องการเก็บไว้เป็นสายข่าว…


เดี๋ยวสิ…!


ดัควีลล์พลันเกาหัวแกร่ก ขอบเขตความคิดเริ่มขยายกว้าง


ทีละเล็กละน้อย มันหวนนึกถึงรายละเอียดในจดหมายฉบับสุดท้ายจากรอย·คิง


“ตาแก่มีนิสัยชอบบอกใบ้ในจุดที่คาดไม่ถึง หรือว่าจดหมายฉบับนั้นจะมีเบาะแสเขียนไว้…? แต่จดหมายมิได้กล่าวถึงเรื่องใดเป็นพิเศษ เพียงนัดหมายให้เรามาพบใกล้กับโรงละครแดง รวมถึงการโอ้อวดเกี่ยวกับฝีมือนักพนัน เฮ่อะ! ฝีมืออะไรกัน การพนันขึ้นอยู่กับดวงเพียงอย่างเดียวไม่ใช่รึไง… หืม… เขายังบอกให้เราแวะไปยังร้านขายของชำ ‘มาร์เบล’ บนถนนเอ็นมาร์ทเพื่อซื้อลูกเต๋าหนึ่งลูก ไว้สำหรับเรียนเทคนิคการพนันจากเขา… เราคิดมาตลอดว่าเดี๋ยวค่อยซื้อหลังจากได้พบกันก็คงไม่สาย จึงไม่เคยไปที่นั่นเลยสักครั้ง… กำลังจะบอกว่าร้านนั้นมีความลับซ่อนอยู่?”


ดัควีลล์เค้นสมองนึกหาทางออกราวกับคนกำลังจะจมน้ำตาย


โดยทั่วไปแล้ว ถนนหลายสายของบายัมจะถูกตั้งชื่อตามเมืองสำคัญของโลเอ็น


ดัควีลล์ใช้เวลานานหลายนาทีเพื่อรวบรวมความกล้า ปิดร้านสมุนไพร เดินออกมายังถนนพร้อมกับนกฮูกอ้วน


ขณะยืนรอรถม้า มันซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับใหม่จากเด็กส่ง กวาดตาอ่านข่าวภายในและภายนอกเกาะด้วยท่าทางเบื่อหน่าย


ทันใดนั้น มันได้พบใบหน้าอันคุ้นเคย เป็นภาพของนักผจญภัยคนที่แจ้งเบาะแสว่ารอย·คิงถูกจับขังในจวนนายกเทศมนตรี


“เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ลงมือสังหารมีซอร์·คิงยามกลางวันแสก ส่งผลให้โจรสลัดเจ้าของเงินค่าหัวห้าพันสี่ร้อยปอนด์เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ… นี่เราจ้างให้นักผจญภัยที่แข็งแกร่งขนาดนั้นช่วยทำงานหาเบาะแส…” ดัควีลล์โพล่งเสียงดัง


แต่เพียงไม่นานก็ขจัดความคาใจ รีบขึ้นรถม้าเช่าตรงไปยังถนนเอ็นมาร์ท ตามหาร้านขายของชำมาร์เบลจนพบ


เจ้าของร้านเป็นหญิงชราใจดี เธอมองสำรวจดัควีลล์หัวจรดเท้าและกล่าว


“ลูกเต๋าที่คุณต้องการมีราคาหนึ่งปอนด์”


คิดจะปล้นกันรึไงวะ!


ดัควีลล์สบถในใจ แต่นั่นยิ่งทำให้มันมั่นใจว่าลูกเต๋าดังกล่าวคือเบาะแส


หลังจากควักเงินจ่าย มันรับกล่องแหวนขนาดเล็กมาถือ เปิดฝาสำรวจ พบลูกเต๋าสีขาวนมสดหนึ่งลูก มีหกด้านตามมาตรฐาน กำลังเผยด้านที่มีสี่จุดสีแดงไว้ข้างบน


แม้จะสงสัยในหลายประเด็น ทั้งความธรรมดาของลูกเต๋า และเรื่องที่มันถูกยัดลงในกล่องขนาดพอดิบพอดี แทบไม่มีช่องว่างเว้นไว้ให้ขยับ แต่ดัควีลล์ตัดสินใจไม่ยืนตรวจสอบทันที เก็บใส่กระเป๋าเสื้อ เดินตรงไปยังอีกฝั่งของถนน


รอจนกระทั่งมาถึงจุดอับสายตา มันอดใจไม่ไหวที่จะเปิดฝาตรวจสอบ เบื้องต้นพบว่าไม่มีสิ่งผิดปรกติกับลูกเต๋า


ทันใดนั้น รถม้าลึกลับแล่นผ่านหลังไปด้วยความเร็วสูง ดัควีลล์พลันสะดุ้ง รีบสะบัดข้อมืออย่างลนลาน ทำลูกเต๋าหล่นตกพื้น


ลูกเต๋ากลิ้งกุกกัก จนกระทั่งหยุดแน่นิ่งบนพื้นถนนโดยหงายจุดสีแดงหนึ่งจุดขึ้นด้านบน


ดัควีลล์หันไปสบถด่าคนขับรถม้าอย่างหยาบคาย ตามด้วยการย่างกรายเข้าใกล้ลูกเต๋า เตรียมหยิบมันขึ้นมา


ขณะกำลังเดิน ร่างกายเกิดเสียหลักกะทันหันโดยที่รอบตัวไม่มีอุปสรรคใดเลย นักปรุงยาอ้วนล้มฟุบไปบนพื้นพร้อมกับเกิดอาการวิงเวียน


มันหมดคำจะกล่าวเป็นเวลานาน นอนแน่นอนนิ่งอยู่เช่นนั้น ด้านหน้ามองเห็นเพียงลูกเต๋าสีขาวนมสด


……………………


ราชันเร้นลับ 602 : เริ่มมีชื่อเสียง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ดัควีลล์นอนหมอบเช่นนั้นเป็นเวลานาน ความคิดที่จะลุกยืนไม่มีอยู่ในหัว คล้ายกับสมองกำลังว่างเปล่า


นับตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่ มันไม่เคยล้มหัวคะมำเช่นนี้เลยสักครั้งเดียว ยิ่งเฉพาะหลังจากดื่มโอสถจนร่างกายถูกเสริมสมรรถภาพด้วยแล้ว


แต่เมื่อครู่ เรากลับล้มลงอย่างไร้เหตุผล แทบจะหาคำใดมาอธิบายไม่ได้…


เหยียบโดนอะไรเข้า?


ดัควีลล์เริ่มได้สติ ใช้มือดันตัวเองขึ้นพร้อมกับพลิกตัวลุกยืน แสร้งทำเป็นไม่เคยล้ม


มันเหลียวซ้ายแลขวา ไม่พบสิ่งผิดปรกติใดบนพื้น ท่ามกลางความฉงน นักปรุงยาอ้วนเดินสองสามก้าวและก้มตัวหยิบลูกเต๋าสีขาวโพลน


พร้อมกันนั้น ตำรวจสายตรวจด้านข้างเริ่มตระหนักถึงความผิดปรกติ จึงรีบวิ่งเข้ามาดูพร้อมกับถือกระบองสั้นในมือซ้าย มือขวาเลื่อนลงไปจับลูกโม่ดัดแปลง


เมื่อเห็นภาพดังกล่าว นักปรุงยาอ้วน ดัควีลล์ พลันเกิดอาการลนลาน เริ่มสงสัยว่าตนอาจติดกับของศัตรูเข้าแล้ว


การที่พวกมันไม่เคยมายุ่งกับเราเลยสักครั้งหลังจากจับตัวตาแก่ได้ เป็นเพราะคอยจับตามองเราทุกฝีก้าวโดยไม่ให้รู้ตัว รอจนกว่าเราเข้าใกล้เบาะแสจึงค่อยลงมือ?


และเมื่อเราครอบครองลูกเต๋าประหลาด พวกมันจึงบุกเข้าจับกุมทันที?


ทั้งหมดคือแผนของหน่วยพิเศษทางการ?


สัญชาตญาณดัควีลล์ร้องเตือนให้มันหันหลังกลับและเผ่นหนีโดยด่วน แต่ด้วยอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่าจากเหตุการณ์สะดุดล้มเมื่อครู่ สังขารจึงไม่เอื้ออำนวย


ภายในใจดัควีลล์เริ่มจินตนาการถึงภาพคุกใต้ดินแห่งหนึ่ง บรรยากาศรอบตัวมีเพียงแสงเทียนชั่วนิรันดร์ นักโทษห้องข้างเคียงเอาแต่หายใจหอบกระเส่าในความมืดประหนึ่งกลายเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้ว


“เกิดอะไรขึ้น?” ตำรวจสายตรวจกำปืนแน่น ซักถามโดยเว้นระยะห่างอย่างไม่ประมาท


ดัควีลล์ที่ถูกความหวาดกลัวกัดกินจิตใจอย่างรุนแรง เริ่มมือไม้สั่นระริก จนทำลูกเต๋าสีขาวที่เพิ่งหยิบขึ้นมาหล่นตกพื้นอีกครั้ง หมุนกลิ้งกุกกักสองสามหน


คราวนี้ปรากฏจุดสีแดงหกจุดด้านบน


ขณะเผชิญหน้ากับสายตาเคลือบแคลงจากสายตรวจ ดัควีลล์ตอบด้วยกลับเสียงสั่นเครือ


“ผ…ผมเหยียบเปลือกกล้วยลื่นล้ม”


ยังไม่ทันสิ้นเสียง หัวใจนักปรุงยาอ้วนพลันหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อสายว่าบนพื้นไม่มีเปลือกกล้วยแม้แต่ชิ้นเดียว


เวรฉิบ! เราตื่นเต้นเกินไปหน่อย น่าจะตอบกลับไปว่าสะดุดขาตัวเองล้ม…


ดัควีลล์ครุ่นคิดอย่างหัวเสีย


มันเตรียมออกคำสั่งกับนกฮูกที่อยู่บนหลังคาฝั่งตรงข้าม พร้อมต่อสู้เฮือกสุดท้ายโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน


สายตรวจจ้องตาเล็กน้อย หัวเราะในลำคอ


“คราวหน้ามองพื้นให้ดีก่อนเดินนะครับ ผมคิดว่าคุณถูกโจรปล้นเสียอีก”


สายตรวจปล่อยมือจากลูกโม่ดัดแปลง สลับกระบองสั้นมาถือด้วยมือขวา หันหลังเดินกลับไป


ดัควีลล์ยืนจ้องแผ่นหลังตำรวจสายตรวจด้วยสีหน้าสุดฉงน ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายเชื่อในคำโกหกสุดโจ่งแจ้งของตนได้อย่างไร


มันเบือนหน้ากลับ ก้มจ้องลูกเต๋าสีขาวนมสดที่กำลังหงายหน้าหกบนพื้นอย่างเงียบงัน ขมวดคิ้วเล็กน้อย


เราไม่ใช่ชาวโลเอ็นแท้สักหน่อย พวกตำรวจไม่มีความจำเป็นต้องประจบประแจง…


หรือจะเป็นฝีมือของเจ้าสิ่งนี้? ไล่ตั้งแต่การล้มลงอย่างเป็นปริศนา การเผชิญหน้ากับตำรวจอย่างไม่คาดฝัน ล้วนเป็นฝีมือของลูกเต๋าทั้งสิ้น?


เจ้านี่คือสมบัติปิดผนึกชิ้นสำคัญที่อาจารย์พยายามเก็บซ่อน?


ดัควีลล์เริ่มปะติดปะต่อข้อมูล ก้าวเดินอย่างระมัดระวัง ก้มตัวหยิบลูกเต๋าสีขาวอีกครั้ง และสอดกลับเข้าไปในกล่องแหวนขนาดเล็กที่ไม่เหลือช่องว่างพอจะให้ลูกเต๋าหมุน


หันไปขยิบตาให้นกฮูก ดัควีลล์เดินไปหยิบหนังสือพิมพ์ที่ตนซื้อมาจากเด็กส่ง โบกรถม้ากลับไปยังโรงละครแดง


ระหว่างทาง เนื่องจากเป็นช่วงเวลากลางคืน แสงสว่างเพียงแหล่งเดียวจึงมาจากโคมตะเกียงริมถนนสองข้างทาง แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ มันจึงตัดสินใจยังไม่ศึกษากล่องแหวนและลูกเต๋าจนกว่าจะกลับถึงบ้าน


เมื่อกลับถึงร้านสมุนไพร ดัควีลล์รีบขึ้นไปยังชั้นสองที่เป็นเขตพักอาศัย จุดตะเกียงแก๊สผนัง ไล่นกโง่ออกจากห้อง หย่อนก้นลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะอ่านหนังสือ ตรวจสอบกล่องแหวนและลูกเต๋าสีขาวนมสดอย่างละเอียด


ในที่สุด มันพบช่องลับใต้กล่องแหวน ด้านในมีกระดาษขาวยาวหนึ่งข้อนิ้วพับสอดอยู่


ดัควีลล์หายใจทั่วท้อง รีบคลี่กระดาษอย่างคล่องแคล่ว พบเนื้อหาที่เขียนด้วยภาษาฟุซัคโบราณจำนวนสามย่อหน้า


“หากฉันไม่โผล่หน้าไปให้เห็นภายในสามวันหลังจากเวลานัดหมาย ให้สรุปว่ามีคนทรยศภายในองค์กร และฉันคงถูกจับตัวไปคุมขังด้วยวิธีการทารุณ ดังนั้น นายไม่ควรขอความช่วยเหลือจากคนของโรงเรียนชีวิต เพราะฉันเองก็ไม่ทราบว่าใครอยู่เบื้องหลังการทรยศ การกระทำดังกล่าวมีแต่จะนำพาอันตรายมาสู่ตัวเอง สิ่งเดียวที่นายต้องทำคือ นำลูกเต๋าสีขาวไปยังเกาะโอลาวี มอบให้คาโน่ คนตีระฆังประจำเมืองท่า เขาจะนำทางไปหาอาจารย์ของฉัน หนึ่งในสมาชิกสภา ริคคาร์ด จากนั้นเขาจะจัดการที่เหลือเอง ไม่ต้องกังวลว่าความลับจะรั่วไหล ฉันไม่แพร่งพรายออกไปแน่ หลังจากเขียนจดหมายฉบับนี้เสร็จ ความทรงจำทั้งหมดจะหายไป จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยมีนายเป็นลูกศิษย์ ความทรงจำจะไม่ฟื้นฟูกลับมาจนกว่าจะถูกช่วยเหลือสำเร็จ จงจำไว้ให้ดี พยายามอย่าใช้ลูกเต๋าเด็ดขาด มันมีสัญญาณชีพ ยิ่งถูกใช้งานก็ยิ่งมีโอกาสลืมตาตื่น ลักษณะพิเศษของลูกเต๋าคือการเปลี่ยนหน้าเองขณะที่ทุกคนละสายตา โดยไม่สนว่าจะมีช่องว่างมากพอให้หมุนหรือไม่ หากลูกเต๋าทอยออกหน้า ‘หนึ่ง’ เชื่อฉันเถอะ นายจะทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น เพราะทุกการกระทำจะประสบเพียงความล้มเหลว ไม่เว้นแม้แต่กิจกรรมบนเตียง”


นึกแล้วเชียว เป็นลูกเต๋าที่อันตรายฉิบหาย…


ดัควีลล์ถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว พลางพบว่ามันได้กระทำเรื่องโง่เขลาลงไปเพราะความหวังดี


นักปรุงยาอ้วนพยายามช่วยรอย·คิง อุตส่าห์เอาชนะความขี้ขลาด เลือกที่จะอยู่บายัมต่อ และส่งข้อความขอความช่วยเหลือไปถึงสมาชิกของโรงเรียนชีวิตคนอื่น


จากเนื้อความในจดหมาย สิ่งนี้หมายความว่ามันกำลังถูกคนที่ทรยศรอย·คิงจับตามอง!


“ทำไมถึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้… ไม่สิ ทำไมเราถึงไม่ซื้อลูกเต๋าให้เร็วกว่านี้!”


ดัควีลล์ยกแขน ทึ้งผมตัวเองด้วยมือสองข้าง


มันตัดสินใจรีบเผ่นหนีออกจากบายัม วางแผนซื้อตั๋วผีในคืนนี้ทันที ออกเดินทางไปยังเกาะโอลาวีในช่วงเช้า


เกาะโอลาวีจะอยู่ระหว่างเส้นทางเดินเรือ ‘หมู่เกาะรอสต์-เกาะทอสคาร์เตอร์’


ทันใดนั้น ดัควีลล์ฉุกคิดบางสิ่งได้ สองเท้าก้าวเดินไปรอบห้องพลางส่งเสียงพึมพำ


“เราต้องมีบอดี้การ์ด… ต้องจ้างใครสักคนมาเป็นบอดี้การ์ด”


แล้วจะจ้างใคร? ราคาเท่าไร?


ดัควีลล์ยืนครุ่นคิด ก่อนจะชำเลืองไปยังหนังสือพิมพ์ที่ตนซื้อมาจากเด็กส่ง


ชื่อของชายคนหนึ่งผุดขึ้นในหัว


เกอร์มัน·สแปร์โรว์!


นักผจญภัยทรงพลังที่สามารถจัดการโจรสลัดค่าหัวห้าพันสี่ร้อยปอนด์!


หากชายคนนั้นยอมรับงาน ตราบใดที่ไม่ถูกขัดขวางด้วย ‘สมาชิกสภา’ เราคงไปถึงโอลาวีได้อย่างราบรื่น…


แล้วจะพบเขาได้จากที่ไหน? จริงสิ ต้องปิดใบประกาศหน้าผับที่นักผจญภัยชอบไปรวมตัว!


ดัควีลล์พยักหน้า เก็บข้าวของจิปาถะยัดใส่กระเป๋าเดินทาง ออกจากร้านสมุนไพรไปพร้อมกับนกฮูกอ้วน



ด้านนอกน่านน้ำหมู่เกาะรอสต์


ณ ท่าเรือเล็กแห่งหนึ่งที่เป็นอาณานิคมของอาณาจักรโลเอ็น กาฬมรณะจอดเทียบท่าอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย รายล้อมด้วยเรือย่อยอีกสามลำ


หลังจากเพิ่งอาบน้ำอุ่นเสร็จ พลเรือโทโรคภัย เทรซี่ สวมเชิ้ตของบุรุษอย่างหลวม ๆ จัดการทำแผลบนหัวไหล่เป็นครั้งสุดท้าย


สำหรับแม่มด แผลเป็นไม่มีอยู่จริง


สาวใช้ผมทองเคาะประตูห้องกัปตัน และเดินเข้าไปหลังจากได้รับอนุญาต


เธอจ้องเทรซี่ หน้าแดงก่ำ รีบเบือนหนี


“กัปตัน มีโทรเลขจากท่าเรือบายัมค่ะ”


“มีซอร์ เอ่อ… ผู้ช่วยรองกัปตันถูกสังหาร”


เทรซี่พลันชะงัก สีหน้าดำมืด ซักถามด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลง


“ฝีมือใคร”


เธอส่ง ‘นักเจรจา’ มีซอร์ ไปยังบายัมโดยมีจุดประสงค์หลักเป็นสืบหาเบาะแสของนักฆ่า แต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นการลงโทษที่มีซอร์ปล่อยปละละเลยจนนักฆ่าหลุดไปถึงเธอ และเหตุผลสุดท้ายคือการป่าวประกาศว่าให้ทุกคนทราบเธอกำลังบาดเจ็บหนัก เป็นการล่อให้อีกฝ่ายโจมตีซ้ำเข้ามาอีกครั้ง โดยไม่คาดหวังมีซอร์จะมีความคืบหน้าภายในเวลาอันสั้น


แม้ว่าหลังจากนั้น ครึ่งเทพที่ถูก ‘แม่มดยุพนิรันดร์’ เรียกว่า ‘กงสุลมรณะ’ จะแวะมาเยี่ยมเยียนถึงห้อง แต่เทรซี่ก็ยังปิดเรื่องนี้เป็นความลับจากมีซอร์ ไม่รีบแจ้งข่าวให้อีกฝ่ายทราบทันที ปล่อยให้ช่วงเวลาการลงโทษดำเนินต่อไป เผื่อว่ามีซอร์จะสืบจนพบเบาะแสเพิ่มเติมของคนร้าย แต่ถึงจะคว้าน้ำเหลว เธอก็ตั้งใจจะไม่โกรธอยู่แล้ว


เธอไม่สนว่ามีซอร์จะเสี่ยงอันตรายหรือไม่ เพราะนี่คือส่วนหนึ่งของการทำโทษ


แต่สิ่งผิดความคาดหมายไปมากก็คือ มีซอร์ถูกสังหารภายในระยะเวลาไม่กี่วันเท่านั้น!


สาวใช้ผมทองกล่าวเสริม


“เป็นนักผจญภัยนามว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ค่ะ อีกทั้งยังมีการยืนยันได้ว่า ทางนั้นใช้พลังมังกรข่มขวัญเป็นหลัก”


“เกอร์มัน·สแปร์โรว์… มังกรข่มขวัญ… ฮะฮะ! คีลิงเกอร์เองก็มีมังกรข่มขวัญเหมือนกันไม่ใช่หรือ… หมอนั่นเคยให้ยุบพองหิวโหยเขมือบนักจิตบำบัดหรือไม่ก็นักสะกดจิตเข้าไป”


เทรซี่รับโทรเลขไปอ่าน ฉีกยิ้มกว้างเหยียดหยันพลางพึมพำกับตัวเอง


เธอค่อนข้างมั่นใจ เกอร์มัน·สแปร์โรว์คือคนเดียวกับที่ลอบสังหารตนด้วยรูปโฉมของเอลเลนผมแดง เพราะเหนือสิ่งอื่นใด พลังการแปลงโฉมของ ‘ผู้ไร้หน้า’ ก็มีอยู่ในยุบพองหิวโหยด้วย


เจ้านั่นมียุบพองหิวโหย แถมเบื้องหลังยังมีครึ่งเทพเก่าแก่ที่ท่านแม่เรียกว่ากงสุลมรณะ…


หรือคีลิงเกอร์จะถูกสังหารโดยกงสุลมรณะ?


เทรซี่รำพัน โบกมือไล่สาวใช้ผมทองออกไป


เมื่อประตูห้องกัปตันปิดสนิท หญิงสาวส่งเสียงหัวเราะในลำคอ


“หากเราแพร่งพรายข่าวนี้ออกไป องค์กรลับที่จ้างวานให้คีลิงเกอร์ลอบสังหารดยุคนีแกนต้องหันมาสนใจแน่”


ณ ห้วงความคิดหนึ่ง เธอเตรียมลงมือทำตามแผนดังกล่าว แต่ประสบการณ์อันโชกโชนได้หักห้ามเทรซี่ไว้ทันท่วงที


เพราะการทำเช่นนั้นจะไม่ต่างอะไรกับการเรียกกงสุลมรณะมาฆ่าตน!


ความลับนี้มีเพียงน้อยคนที่ทราบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หากเรื่องราวถูกแพร่งพรายออกไป อีกฝ่ายจะต้องเดาได้ว่าเป็นฝีมือของเธอ


เมื่อถึงตอนนั้น นอกจากการหลบหลังท่านแม่ตลอดเวลา เราแทบไม่มีโอกาสรอดจากเงื้อมมือของกงสุลมรณะได้เลย… ถ้าเป็นนักบุญคนอื่น เราไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวมากนัก เพราะหากอีกฝ่ายคิดโจมตี อย่างน้อยก็ต้องเสียเวลาตามหาตัวให้พบ และนั่นจะมีเวลาให้เราหลบหนี แต่ถ้าเป็นกงสุลมรณะผู้สามารถเดินทางผ่านโลกวิญญาณได้อย่างอิสระ ขอเพียงทราบพิกัด ทางนั้นก็จะแวะมาเยี่ยมเราได้ทันที…


เทรซี่กัดริมฝีปาก ครุ่นคิดอย่างหงุดหงิด


เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากละทิ้งความตั้งใจดังกล่าว ทำได้เพียงจับตามองเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างใกล้ชิด หากสบโอกาสเมื่อไร จะไม่ปล่อยให้รอดกลับไปได้แน่นอน


ในเวลาเดียวกัน ไคลน์ยังคงพักอยู่ในโรงแรมเทียน่า รอให้ค่าหัวถูกส่งมาถึง


……………………


ราชันเร้นลับ 603 : เงื่อนไข

โดย

Ink Stone_Fantasy

สี่ทุ่มตรง ผับปลากระโทง


หลังจากรอคอยตลอดช่วงกลางวันโดยไม่มีความคืบหน้าของเงินค่าหัว ไคลน์ตัดสินใจออกไปหาออส·เคนท์โดยตรง และยืนยันว่าอีกฝ่ายเริ่มดำเนินการแล้ว แต่เงินค่าหัวจะถูกจ่ายอย่างเร็วในวันพรุ่งนี้ตอนเช้า


ชายหนุ่มปลอมตัวเพื่อเข้าร่วมชุมนุมลับของผับปลากระโทงต่อทันที แต่น่าเสียดายที่ไม่มีวัตถุดิบโอสถของนักเชิดหุ่นขาย รวมไปถึงสมบัติวิเศษที่เน้นหนักด้านพลังโจมตี


หลังจากเปลี่ยนกลับเป็นหน้าปรกติ ไคลน์กดหมวกต่ำ พยายามเดินแหวกฝูงชนอย่างโฉ่งฉ่าง ออกจากผับในช่วงเวลาวุ่นวาย


ระหว่างนั้น ทุกสายตาที่หันมาจ้องมีอันต้องผงะด้วยดวงตาเบิกกว้าง หยุดทุกการกระทำนานไม่ต่ำกว่าสามวินาที คล้ายกับฉุกคิดถึงใครบางคนได้อย่างกะทันหัน


แทบทุกคนจะเบือนหน้าหนีโดยพลัน สองเท้าก้าวถอยหลังออกห่างจากไคลน์ เกิดเป็นภาพคล้ายกับทะเลแหวก


คนเหล่านี้คงได้ทราบความแข็งแกร่งและใบหน้าของเกอร์มัน·สแปร์โรว์จากหนังสือพิมพ์และข่าวลือ… ไม่น่าแปลกใจสำหรับสถานที่ซึ่งมีนักผจญภัยรวมตัวหนาแน่น..


ทุกคนคงทราบแล้วว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์คือนักผจญภัยเสียสติผู้ชักปืนยิงใส่นักเจรจา·มีซอร์ทันทีที่พบตัว ดังนั้น พวกเขาจึงต้องการอยู่ให้ห่างจากบุคคลอันตรายเข้าไว้…


ขณะเดียวกัน พ่อค้าราล์ฟผู้กำลังดื่มนั่งเบียร์ที่เคาน์เตอร์ เริ่มตระหนักว่ามีบางสิ่งไม่ปรกติเกิดขึ้นในผับปลากระโทง จึงหันหลังกลับไปมองตามสัญชาตญาณ


เพียงไม่นานก็ได้พบใบหน้าผอมเพรียวและคมเข้มของสุภาพบุรุษหนุ่ม ราล์ฟนำไปซ้อนทับกับภาพวาดของบุคคลผู้หนึ่งในหนังสือพิมพ์


เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ชายผู้สังหารนักเจรจา!


ถัดมา ราล์ฟย้อนนึกถึงบทสนทนาระหว่างมันกับหัวกลุ่มต่อต้าน ไครัท ในช่วงเย็นที่ผ่านมา อีกฝ่ายเล่าว่านักผจญภัยเสียสติมิได้มองศาสนาเทพสมุทรในแง่ลบ แถมยังเคยเป็นประจักษ์พยานเมื่อครั้งกลุ่มต่อต้านเจรจาแลกเปลี่ยนกับกลุ่มโจรสลัดธารน้ำแข็ง


บางที เราอาจเปลี่ยนให้เขาหันมานับถือศาสนาเทพสมุทรได้… หรือต่อให้เขาไม่สนใจความเป็นอยู่ของชนพื้นเมือง แต่ก็อาจช่วยทำภารกิจสำคัญบางอย่างได้…


ราล์ฟประสานมือพลางเลื่อนขึ้นมาจ่อติดริมฝีปาก ท่าทางคล้ายกำลังเป่าแตรสังข์ นี่คือหนึ่งในสัญญาณมือของศาสนาเทพสมุทร·คาเวทูว่า


จากนั้น ราล์ฟลุกพรวด เดินไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์พร้อมแก้วเบียร์ในมือ


ในเวลาเดียวกัน ไคลน์ตระหนักว่าราล์ฟกำลังเดินเข้าหาตน และจดจำอีกฝ่ายได้ในทันที


เพราะราล์ฟไม่ใช่ใครนอกจากสาวกเทพสมุทรผู้ยินดีบริจาคเงินสดสองหมื่นปอนด์!


อดีตเคยเป็นโจรสลัด ปัจจุบันคือพ่อค้าใจบุญที่ยอมลงทุนก่อตั้งมูลนิธิเพื่อการศึกษาเด็ก…


คนของมูลนิธิล้วนเป็นสาวกเทพสมุทรที่เคร่งศาสนา ไคลน์จึงได้ทราบในทุกแง่มุมของพ่อค้านามว่าราล์ฟ ดังนั้น ชายหนุ่มจึงเกิดคำถามว่าอีกฝ่ายเข้าหาเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยเหตุผลใด


จ้างงาน? มีงานแบบไหนที่กลุ่มต่อต้านทำไม่ได้ด้วยหรือ… ไคลน์จ้องราล์ฟพลางครุ่นคิด


“มิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์” ราล์ฟยกแก้ว


ไคลน์พยักหน้ารับ ตอบสนองตามธรรมชาติ


“ฉันไม่รู้จักนาย”


“ฮะฮะ! นักผจญภัยสองคนรู้จักกันได้ไม่ยากนักหรอก บางที อาจใช้เพียงเบียร์แก้วเบียร์” ราล์ฟชี้ไปทางเคาน์เตอร์บาร์ “สักแก้วไหม”


“ก็ดี” ไคลน์ยังคงคาใจ ตอบสนองกลับไปอย่างเรียบง่าย


นั่งลงบนเคาน์เตอร์บาร์ ชายหนุ่มสั่งเบียร์นันวีลล์หนึ่งแก้ว ดื่มและจ้องราล์ฟเป็นเวลานานโดยไม่กล่าวคำใด


การถูกบุคคลระดับพลเรือโจรสลัดเพ่งมองไม่ใช่เรื่องน่าสนุก ราล์ฟจิบเบียร์อย่างประหม่า พยายามสลายบรรยากาศตึงเครียดด้วยการหัวเราะแห้งในลำคอ


“ผมได้ยินชื่อเสียงของคุณมามาก ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ล่าสุดเสียอีก ผมทราบว่าคุณคือสุภาพบุรุษตัวจริงผู้เป็นมิตรกับชนพื้นเมือง”


ไคลน์ผุดคำตอบในหัวมากมาย แต่สุดท้ายก็เลือกสิ่งที่ตรงกับบุคลิกภาพของนักผจญภัยเลือดเย็นและเสียสติ


“เข้าประเด็น”


ราล์ฟแทบสำลัก กระแอมแห้งสองหน


“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีโอกาสแนะนำให้คุณได้รู้จักกับพระองค์ เทพผู้คอยปกปักรักษาหมู่เกาะแห่งนี้ ท่านเทพสมุทร คาเวทูว่า อย่างที่คุณทราบ ท้องทะเลนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ลมพายุนั้นน่ากลัว ลำพังตัวคนเดียวมิอาจทำอะไรได้มากนัก ไม่เว้นแม้แต่สี่ราชาโจรสลัดผู้โด่งดัง ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้ว่าพวกเราจะรอดพ้นจากภยันตรายทุกครั้ง ด้วยเหตุผลนี้ ทุกคนจึงต้องมีเทพสำหรับยึดเหนี่ยวจิตใจ เทพผู้สามารถตอบสนองได้จริง เทพผู้ครอบครองพลังอำนาจในขอบเขตท้องทะเลและพายุ”


ไม่เพียงแนะนำให้เรารู้จักกับตัวเอง แต่ยังเชื้อเชิญให้เราศรัทธาตัวเองด้วย?


ไคลน์ฝืนระงับมุมปาก หันไปกล่าว


“สิ่งที่ฉันสนใจมากกว่านั้นคือ พวกนายมีสมบัติวิเศษพร้อมขายบ้างหรือไม่ ขอเป็นชนิดที่พลังทำลายรุนแรง”


ราล์ฟตอบด้วยรอยยิ้มซื่อตรง


“พวกเราไม่มีของแบบนั้น แต่ถ้าคุณชื่อในเทพสมุทร สักวันหนึ่ง พระองค์ท่านอาจประทานให้คุณ”


ฉันก็ไม่มีเหมือนกัน… อย่าให้สัญญากับคนอื่นส่งเดชสิวะ!


ไคลน์โกรธเคืองเจือขำขัน


เมื่อประเมินว่าบทสนทนาคงไม่คืบหน้า ชายหนุ่มจิบเบียร์นันวีลล์ในแก้วและกล่าว


“ขอคิดดูก่อน”


ขณะกำลังจะลุกจาก บาร์เทนเดอร์หันมายิ้มให้ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน


“มิสเตอร์เกอร์มัน·สแปร์โรว์ มีใครบางคนเสนองานให้คุณ”


“งานอะไร” ไคลน์ย้อนถามพลางชำเลืองราล์ฟด้วยหางตา


อีกฝ่ายไหวพริบดี ถือเบียร์เดินออกไปอย่างเงียบงันโดยไม่ต้องให้บอก


ราล์ฟค่อนข้างพึงพอใจกับผลลัพธ์ในวันนี้ เพราะไม่คิดอยู่แล้วว่านักผจญภัยเสียสติจะยอมหันมาศรัทธาในเทพสมุทรทันที จุดประสงค์เพียงเพื่อให้อีกฝ่ายทราบว่าโอกาสยังเปิดกว้าง และนึกทบทวนเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียอย่างถี่ถ้วน


รอจนกระทั่งบรรยากาศหน้าเคาน์เตอร์เริ่มเงียบลง บาร์เทนเดอร์มอบคำตอบพลางยิ้ม


“เขาอ้างตัวว่าเป็นนักปรุงยาที่คุณรู้จัก ต้องการมอบหมายงานสำคัญบางอย่าง หากคุณสนใจสามารถรอพบได้ที่นี่ ทางเราจะติดต่อเขากลับไปด้วยช่องทางที่ตกลงกันไว้”


นักปรุงยาที่เรารู้จัก? ดัควีลล์อ้วน? ดัควีลล์เจ้าของนกฮูกอ้วน? หมอนั่นต้องการจ้างงานแบบไหน? ช่วยเหลืออาจารย์ รอย·คิง?


เราคงรับภารกิจนั้นไม่ได้ ความเสี่ยงของงานมีมากเกินไป…


หลังจากสมองเริ่มประมวลผล ชายหนุ่มตัดสินใจรอฟังเนื้อหาของงานก่อน


“ตกลง”



เกือบห้าทุ่ม ไคลน์ได้พบกับนักปรุงยาร่างท้วม ดัควีลล์ ที่ห้องบิลเลียหมายเลข 3 ของผับเดิม


อีกฝ่ายมิได้สวมชุดคลุมหมอผีสีดำเด่นสะดุดตาเหมือนเคย เลือกแต่งกายให้กลมกลืนกับชนพื้นเมือง เสื้อทาลาบา กางเกงขาบานสีขาว แจ็คเก็ตสีน้ำตาลตัวหนา และมีนกฮูกหน้ากลมตัวอ้วนยืนเกาะบนไหล่อย่างเงียบงัน โดยดวงตาจ้องมายังนักผจญภัยฝั่งตรงข้าม


ท่าทางคล้ายกับมิสจัสติสขณะกำลังสำรวจสมาชิกชุมนุมทาโรต์คนอื่น… นกฮูกตัวนี้คงเป็นสัตว์วิเศษ…


เส้นทางผู้ชม?


ไคลน์ประเมินอย่างคร่าวโดยไม่แสดงออกทางสีหน้า ตามด้วยการซักถามเสียงต่ำ


“งานอะไร”


“คือว่า…” นักปรุงยาร่างท้วมสอดมือซ้ายเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบกล่องแหวนใบเล็กออกมาแสดง “ฉันกำลังจะออกเดินทาง ไปยังเกาะสักแห่งที่ห่างออกไปประมาณสามวัน ด้วยเหตุผลบางประการ ฉันอาจตกอยู่ในอันตราย หรืออาจไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ได้ สรุปโดยสั้น ฉันต้องการจ้างบอดี้การ์ด และนายคือตัวเลือกที่ดีที่สุดที่ฉันนึกออก”


นายพูดเหมือนกับว่า เหตุผลที่เลือกฉันมิได้เกี่ยวกับฝีมือ แต่เป็นเพราะนึกถึงใครไม่ออก…


ไม่คิดช่วยอาจารย์ แต่หนีออกจากบายัม… เพื่อตามคนมาช่วยในภายหลัง? หรือว่าช่วยรอย·คิงออกมาได้แล้ว แต่กำลังถูกหน่วยพิเศษของกองทัพไล่ล่า?


ไคลน์พยายามวิเคราะห์หาความจริง ขยับปากซักถามเสียงแผ่ว


“อันตรายแค่ไหน”


ดัควีลล์พะงาบปากสองสามหน


“ฉ…ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ต…แต่ถ้านายไม่เก่งพอจะจัดการกับศัตรู ก็ส่งฉันให้อีกฝ่ายได้เลยทันที ถือว่าพวกเราตกลงกันล่วงหน้าแล้ว ฉันจะไม่ทำให้ชื่อเสียงของนายต้องมัวหมองแน่”


ถ้าไม่รู้จักมาก่อนว่านายเป็นพวกปากเสียแต่จริงใจ ฉันคงคิดว่านั่นเป็นถ้อยคำยั่วยุ…


ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก


“จ่ายเท่าไร”


ดัควีลล์ต้องการเสนอตัวเลขที่มันเตรียมไว้ล่วงหน้า แต่เกิดลังเลกะทันหัน เพราะงานในคราวนี้ค่อนข้างอันตราย หากเสนอต่ำไป เกรงว่าคนอย่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะไม่แยแส


จริงอยู่ ถ้าบุคคลระดับ ‘สมาชิกสภา’ ปรากฏตัวเพื่อขัดขวาง ชะตากรรมของดัควีลล์คงถึงคราวสิ้นหวังอย่างแท้จริง แต่โอกาสเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มีค่อนข้างต่ำ ดังนั้น ใจความสำคัญของการเดินทางไปยังเกาะโอลาวีคือ ตนต้องเอาตัวรอดจากภัยอันตรายที่มีระดับต่ำกว่า ‘สมาชิกสภา’ ให้ได้ทุกรูปแบบ บอดี้การ์ดที่แข็งแกร่งจึงเป็นสิ่งสำคัญ


ไคลน์ชำเลือง มอบคำตอบอย่างเย็นชา


“ฉันจะให้เวลานายคิดทบทวน ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน …แต่ถ้ากลับมาต้องได้คำตอบ”


เมื่อกล่าวจบ ชายหนุ่มลุกเดินไปยังบานประตู บิดกลอนเปิด และก้าวเท้าออกไป


จากมุมมองคนนอก พฤติกรรมของไคลน์คล้ายกับแฝงความนัยไว้ ประหนึ่งนักผจญภัยหรือนักล่าค่าหัวที่มีประสบการณ์ในการเรียกค่าจ้างอย่างเยือกเย็น แต่ในความเป็นจริง มันมิได้มอบเวลาให้นักปรุงยาอ้วนตัดสินใจ แต่ต้องการเข้าห้องน้ำเพื่อใช้มิติหมอกทำนายยืนยันอันตราย


นี่คือกุญแจสำคัญที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า มันควรรับงานนี้หรือไม่!


ออกจากห้องบิลเลียด ตรงไปยังห้องน้ำ ไคลน์ต่อแถวยืนรอสักพัก ตรงกระทั่งถึงคิวของตน


เมื่อย่างกรายผ่านกรอบประตูเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มมีอันต้องขมวดคิ้ว กลิ่นโสโครกที่เกิดจากความสกปรกลอยเตะจมูกโดยไม่ทันตั้งตัว เกือบจะหันหลังกลับและเดินออกไปทันที


มันฝืนใจปิดประตู กดปุ่มกลไกชักโครกด้วยความรู้สึกขยะแขยง ภายในใจรำพันถึงสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายของการทำนาย


จากนั้น ชายหนุ่มเดินถอยหลังทวนเข็มสี่ก้าวเป็นวงแคบ เริ่มต้นพิธีกรรมส่งร่างจิต


ขณะเดียวกัน ภายในห้องสำหรับเล่นบิลเลียดและไพ่ นักปรุงยาอ้วนรอจนกระทั่งแผ่นหลังของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เลือนหายไปจากการมองเห็น จึงรีบปิดประตูพลางซักถามนกฮูกบนไหล่


“เขาจะหักหลังฉันไหม”


“ไม่” นกฮูกอ้วนพึมพำ “แล้วก็… เวลาพูดกับข้า ช่วยเรียกข้าว่ามิสเตอร์แฮร์รี่ด้วย”


ไขมันบนใบหน้าดัควีลล์พลันกระเพื่อม


“มิสเตอร์แฮร์รี่ คุณคิดว่าผมควรจ้างชายคนนั้นด้วยเงินเท่าไร”


“ข้าอ่านสีหน้าเขาไม่ออก เป็นคนที่เก็บซ่อนอารมณ์เก่งมาก” นกฮูกอ้วนตอบอย่างใจเย็น


ไอ้แม่เย็*มิสเตอร์แฮร์รี่! ไอ้นกโง่!


ดัควีลล์แอบด่าทอในใจ เดินวนเวียนภายในห้องอย่างกระสับกระส่าย ครุ่นคิดถึงจำนวนเงินที่ควรเสนอต่ออีกฝ่าย


ผ่านไปสักพัก ไคลน์เดินกลับมายังห้องบิลเลียดหมายเลขสาม ซักถามโดยไม่รีรอ


“จ่ายเท่าไร”


ผลลัพธ์จากการทำนายระบุว่า อันตรายจากภารกิจคราวนี้อยู่ในขอบเขตยอมรับได้ ผนวกกับเรื่องที่ตนต้องการออกจากบายัมเป็นทุนเดิม งานบอดี้การ์ดจึงไม่ใช่เรื่องเสียหาย


“สามวันแปดร้อยปอนด์ รวมถึงมิตรภาพของพวกเรา…” ดัควีลล์ตอบกระอักกระอ่วน “เอ่อ… ฉันหมายถึงมิตรภาพระหว่างนายกับอาจารย์ของฉัน และพวกพ้องของเขา”


ไคลน์กล่าวหลังจากเงียบงันสองสามวินาที


“สามวันหนึ่งพันปอนด์ นอกจากนั้น องค์กรของนายต้องช่วยฉันตามหาสมบัติวิเศษที่มีพลังทำลายล้างสูง แน่นอนว่าจ่ายในราคาสมเหตุสมผล”


หนึ่งพันปอนด์ จะไปมีเงินขนาดนั้นได้ยังไง..


ดัควีลล์เผยสีหน้าลังเล


“ข…ขอจ่ายล่วงหน้าสามร้อยปอนด์ ส่วนที่เหลือจะจ่ายเมื่อถึงจุดหมาย ฉันจะให้ทางนั้นช่วยออกเงินสมทบ”


มันเตรียมขอร้องให้อาจารย์ของอาจารย์ตนเป็นคนออกค่าใช้จ่ายที่เหลือทั้งหมด


ไคลน์พยักหน้าเยือกเย็น


“ตกลงตามนี้”


นักปรุงยา·ดัควีลล์เริ่มหายใจทั่วท้อง ตามด้วยการหัวเราะแห้ง


“ถ้านายไม่ว่าอะไร ช่วยเริ่มการคุ้มกันตั้งแต่ตอนนี้เลยได้ไหม”


……………………


ราชันเร้นลับ 604 : ศัตรูที่ไม่เคยพบเจอ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ได้ยินคำถามของนักปรุงยาร่างท้วม ไคลน์ฉีกยิ้มพลางมอบคำตอบเย็นชา


“การคุ้มครองจะเริ่มขึ้นเมื่อจ่ายเงินก้อนแรก”


ดัควีลล์ไม่ลังเลเลยที่จะนำเงินสดปึกใหญ่ออกมาวางบนโต๊ะ


“นี่คือสามร้อยปอนด์ นายเริ่มงานได้ทันที”


ไคลน์รับธนบัตรไปนับ พยักหน้าแผ่วเบา


“ไม่มีปัญหา”


ดัควีลล์เริ่มหายใจทั่วท้อง คล้ายกับคนใกล้จมน้ำที่คว้าห่วงยางชูชีพไว้ได้ทัน


ราวครึ่งชั่วโมงถัดมา ภายในโรงแรมเทียน่า นักปรุงยาร่างท้วมยืนมองนักผจญภัยสุดแกร่ง เกอร์มัน·สแปร์โรว์ กำลังเจรจากับพนักงานต้อนรับกะดึก


“ช่วยเปลี่ยนเป็นห้องสูทราคาแพงที่สุด”


เมื่อกล่าวจบ ไคลน์ถอยหลังสองก้าว คล้ายกับเปิดทางให้ดัควีลล์เดินเข้าไป


ดัควีลล์กลืนน้ำลายหนึ่งอึก ซักถามลังเล


“ฉ…ฉันเป็นคนจ่าย?”


“ระหว่างภารกิจ นายจ้างจะเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเสมอ นี่คือกฎของนักผจญภัย”


ไคลน์อธิบายโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


ถ้าเชื่อก็เป็นลาโง่แล้ว! ถ้านายเรียกโสเภณีจากโรงละครแดง ฉันก็ต้องจ่ายให้ด้วยรึไงวะ!


ดัควีลล์ครุ่นคิด ฝืนยิ้มแห้ง


“ฉันว่าพวกเราควรใช้ห้องธรรมดา แบบนั้นจะคุ้มครองได้ง่ายกว่า”


“นายอยู่คนเดียวก็แล้วกัน” ไคลน์ไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักในการสวมหน้ากากเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์


ดัควีลล์หัวเราะแห้งสองหน เดินไปยังเคาน์เตอร์ พูดหน้านิ่ง


“ห้องสูทพิเศษ”


รอจนกระทั่งเช็กอินเสร็จ หลังจากเข้าไปในห้องนอนขนาดไม่ใหญ่ นักปรุงยาอ้วนเปิดหน้าต่าง ปล่อยให้นกฮูกสีดำบินเข้ามาในห้อง แล้วหยิบกล่องแหวนในกระเป๋าเสื้อออกมาตรวจสอบสถานะปัจจุบันของลูกเต๋า


เมื่อยืนยันว่าด้านบนของลูกเต๋ายังคงเป็นจุดแดงสี่จุดเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนหน้า ดัควีลล์ถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย



กรุงเบ็คลันด์ ภายในบ้านธรรมดาหลังหนึ่ง


อินซ์·แซงวิลล์ตื่นจากการหลับลึก ท่าทีตอบสนองแรกคือการตรวจสอบสภาพร่างกายตัวเองอย่างละเอียด


นี่คือสิ่งที่มันต้องทำทุกวัน เพราะไม่มีทางทราบเลยว่าในยามที่ตัวเองหลับ ปากกาขนนกบัดซบ 0-08 จะเขียนเรื่องราวใดลงไปบ้าง และตนจะประสบความฉิบหายสักเพียงใด


หลังจากยืนยันว่าไม่ได้รับบาดเจ็บ อินซ์·แซงวิลล์สวมรองเท้าบูทหนัง ลุกขึ้นเดิน


ค่อนข้างผิดคาด มันพบว่า 0-08 ถูกวางอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสืออย่างเงียบงัน คล้ายกับเป็นเพียงปากกาขนนกธรรมดา


แต่อินซ์·แซงวิลล์ยังไม่ลืมว่า ก่อนนอน ตนได้ผนึก 0-08 ไว้ในกล่องที่สลักอักขระเวทมนตร์หลายชั้น!


มันเดินเข้าไปใกล้โต๊ะอย่างกล้าหาญ มือข้างหนึ่งจับ 0-08 ส่วนอีกข้างเปิดสมุดบันทึกที่อยู่ใกล้กัน พบข้อความใหม่เกือบหนึ่งหน้ากระดาษ


“อินซ์·แซงวิลล์จดจำในสิ่งที่ตัวเองทำเมื่อคืนไม่ได้เลย เพียงตระหนักอย่างเลือนรางว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น เขามองเข้าไปในกระจก และพบเริ่มความแปลกประหลาด คล้ายกับว่า ภายในร่างกายของตนยังมีอินซ์·แซงวิลล์อาศัยอยู่อีกหนึ่งคน เขาก้มหน้าลง พบความผิดปรกติกับเล็บมือ แต่มิอาจจำจดได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน”


เมื่ออ่านจบ อินซ์·แซงวิลล์หันไปมองกระจกเงาตามสัญชาตญาณ พบว่าตัวเองยังคงตาบอดหนึ่งข้างเช่นเคย ปราศจากริ้วรอยบนใบหน้าที่คล้ายกับรูปปั้นแกะสลัก แต่บริเวณมุมปากกลับเผยรอยยิ้มเจือจาง ขัดแย้งอย่างมากกับดวงตาที่แฝงความฉงน


ทันใดนั้น อินซ์·แซงวิลล์เริ่มหน้าซีด ถุงใต้ตาเผยความหมองดำคล้ำ รอยยิ้มประหลาดที่ตัวมันไม่เคยทำมาก่อน กำลังเผยบนกระจกด้วยบรรยากาศน่าหวาดหวั่น


แซงวิลล์ยกมือขึ้น ก้มหน้าลง พบเศษดินแห้งเกรอะกรังอยู่ในซอกเล็บมือ คล้ายกับเมื่อคืนแอบไปยังสวนสักแห่งและทำการขุดหารากไม้เป็นเวลานาน


แม้จะเปลี่ยนจากเส้นทาง ‘ความตาย’ มายังเส้นทาง ‘รัตติกาล’ เป็นลำดับ 4 ‘ผู้พิทักษ์ราตรี’ แต่มันก็มิได้สูญเสียพลังพิเศษในลำดับเส้นทางก่อนหน้าไป ยังคงเป็นผู้สื่อวิญญาณที่แข็งแกร่ง เชี่ยวชาญในขอบเขตความตายและวิญญาณ


เพียงสื่อสารกับวิญญาณภายในและนอกบ้าน ก็จะทราบทันทีว่าเมื่อคืนเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นบ้าง


แต่ทันใดนั้น มุมสายตาแซงวิลล์กลับเหลือบเห็นย่อหน้าสุดท้ายของสมุดบันทึก


“อินซ์·แซงวิลล์วางแผนสนทนากับวิญญาณพเนจรรอบบ้าน แต่ช่างน่าเศร้าที่ความพยายามดังกล่าวต้องกลายเป็นหมัน คล้ายกับมีผู้วิเศษในเส้นทางเดียวกัน แอบมาจัดการเก็บกวาดวิญญาณเร่ร่อนไปจนหมด เขาเป็นกังวลมาก เพราะไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองเมื่อคืน สีหน้าของอินซ์·แซงวิลล์เริ่มหม่นหมอง เขาพยายามสื่อวิญญาณอย่างสิ้นหวัง และผลลัพธ์ก็มีเพียงความว่างเปล่า ไม่ใช่เรื่องเกินคาดสักเท่าไร”



เช้าวันพุธ ใกล้กับผับใบไม้หอมที่มีการเปลี่ยนแปลงบอสเงา


ไคลน์เดินวนรอบซอยเปลี่ยว จนกระทั่งพบออส·เคนท์ที่กำลังถือกระเป๋าเดินทางใบเล็กในมือ


“รางวัลของคุณ” ออส·เคนท์โยนกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กลงตรงหน้าไคลน์


ในทางทฤษฎี เงินส่วนนี้มิใช่รางวัลของจริงที่ออกโดยรัฐบาล แต่เป็นเงินที่กองทัพจ่ายให้ก่อนล่วงหน้าด้วยความเกรงใจ


เพราะตามระเบียบปฏิบัติ เงินรางวัลจะต้องถูกเบิกผ่านหลายขั้นตอน ผ่านหลายหน่วยงานของรัฐบาล ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามวันจึงจะบรรลุผล


ไคลน์ก้มเปิดกระเป๋าตรวจสอบ พบปึกธนบัตรมากมายวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ประกอบด้วยชนิดหนึ่งปอนด์และห้าปอนด์คละเคล้ากัน


“ห้าพันสี่ร้อยปอนด์ถ้วน ไม่ถูกหัก” ออส·เคนท์เผยรอยยิ้มขื่นขม


หากเป็นนักผจญภัยคนอื่น มันคงจ่ายได้เต็มที่ไม่เกินสี่พันปอนด์ ส่วนที่เหลือจะถูกหักเป็นค่าดำเนินการ


แต่อีกฝ่ายเป็นชายเสียสติ ฝีมือระดับเดียวกับพลเรือโจรสลัด ออส·เคนท์เกรงว่าตนอาจถูกชักปืนยิงใส่ทันทีหากมีการหักหัวคิว จึงยอมทำงานโดยไม่คิดเงิน


กองทัพคงไม่หลอกจ่ายด้วยเงินปลอมแน่…


ไคลน์หยิบปึกธนบัตร ขยับมือนับคล่องแคล่ว


ห้าพันสี่ร้อยปอนด์…!


ดัควีลล์ที่ซ่อนตัวอย่างด้านนอกตรอกย่อมได้ยินคำพูดของออส·เคนท์ มันแอบชำเลืองไปยังกระเป๋าเดินทางใบเล็ก ดวงตาพลันสั่นเทาเมื่อเห็นเงินจำนวนมหาศาล


มันไม่เคยเห็นเงินมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต!


นักผจญภัยร่ำรวยชะมัด… แค่ล่าโจรสลัดมีชื่อเสียงสำเร็จก็จะได้เงินไม่ต่ำกว่าพันปอนด์ รับงานคุ้มกันสามวันได้เงินหนึ่งพันปอนด์บวกกับอีกหนึ่งเงื่อนไข บางครั้งบางคราวก็ได้พบกับเรืออับปางหรือหีบสมบัติ… ทำไมเราถึงเลือกเส้นทางนักปรุงยาในตอนแรก? ทำไมถึงไม่ใช่นักผจญภัย!


ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ตอนนั้นเลือกเส้นทางเกี่ยวกับโชคชะตาก็คงดี…


ดัควีลล์ครุ่นคิดด้วยความอิจฉา


แต่เพียงไม่นาน มันก็ตระหนักถึงความจริงอันโหดร้ายของโลก นักผจญภัยส่วนใหญ่มิได้มีชีวิตหรูหราเหมือนกับเกอร์มัน ถึงจะมีงานทำอย่างต่อเนื่อง แต่หนึ่งในสามของรายได้ก็จะถูกเจียดมาจ่ายให้กับนักปรุงยา ไม่เพียงเป็นค่ายารักษาบาดแผล แต่ยังรวมถึงยารักษาโรคประจำตัว ยาเพิ่มความสุขทางเพศ และยาขจัดโรคทางเพศ


เป็นนักปรุงยาปลอดภัยที่สุดแล้ว…


ดัควีลล์ถอนหายใจผ่อนคลาย


ในเวลาเดียวกัน ไคลน์ปิดกระเป๋าเดินทางโดยมิได้นับเงินอย่างละเอียด หันไปกล่าวกับออส·เคนท์


“ฉันจะออกจากบายัมสักพัก ถ้าพบเบาะแสที่น่าสนใจ จะแจ้งนายได้ทางไหนบ้าง”


“คุณจะไปจากบายัม?” ออส·เคนท์ย้อนถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ


ไคลน์ผงกหัวรับ


“รับงานคุ้มกันมาแล้ว”


ออส·เคนท์เงียบไปสักพัก ภายในใจเกิดความผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก


หากชายเสียสติอยู่ในบายัมเป็นเวลานาน เกรงว่าสักวันต้องเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นแน่ ดังนั้นคงเป็นการดีกว่า หากจะปล่อยให้อีกฝ่ายออกทะเลไปต่อสู้กับโจรสลัดด้านนอกจนหนำใจ…


ออส·เคนท์ยิ้มรับ


“คุณสามารถส่งโทรเลขถึงผมได้โดยตรง ขอเพียงแนบชื่อและที่อยู่ให้ถูกต้อง สำนักงานโทรเลขจะมีคนของกองทัพแฝงตัวอยู่เสมอ”


“ตกลง” ไคลน์ในโค้ทดำไม่พูดพร่ำ เพียงยกกระเป๋าเดินทางใบเล็ก หมุนตัวกลับและเดินออกจากตรอกเปลี่ยว


มันกับดัควีลล์ตรงไปยังท่าเรือทันที เตรียมตัวล่องเรือลำแรกสุดไปยังเกาะโอลาวี โดยมีนกฮูกอ้วนสีดำแอบบินตามห่าง ๆ ตามแนวต้นไม้


ตั๋วผีถูกซื้อเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว



ครึ่งชั่วโมงก่อนขึ้นเรือ ดัควีลล์กำลังทุกข์ทรมานจากความกังวล กังวลในทุกลมหายใจว่าคนทรยศขององค์กรจะบุกเข้ามาโจมตี


อารมณ์ดังกล่าวสิ้นสุดลงเมื่อได้เข้าห้องพักเฟิร์สคลาสที่จองไว้ เพราะหากเลื่อนแล่นออกจากท่าเมื่อใด คงเป็นการยากที่จะมีใครไล่ตามมากลางทะเล นอกเสียจากจะมีกองเรือเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็ผู้วิเศษที่มีพลังด้านการบิน


“รีบออกเรือสักที! แล่นออกไปเร็วเข้า!”


นักปรุงยาอ้วนมองออกไปนอกหน้าต่าง ปากขยับพึมพำด้วยร่างกายสั่นเทา


ขณะเดียวกัน นกฮูกสีดำได้บินมาเกาะหัวไหล่ซ้ายของดัควีลล์ ส่วนไคลน์ทำเพียงนั่งบนเก้าอี้ภายในห้อง คอยระวังการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น


ทันใดนั้น ท้องฟ้าพลันมืดครึ้มกะทันหัน เสียงสายลมหวีดร้องดังแจ่มชัด ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


“พายุเข้า?” ดัควีลล์ลืมตาขึ้นซักถาม


สิ่งนี้หมายความว่า เรืออาจไม่แล่นออกจากท่าตรงตามเวลา เลทไปจากเดิมราวหนึ่งถึงสองชั่วโมง


และถ้าเป็นเช่นนั้น ดัควีลล์ต้องเผชิญกับความเสี่ยงหลากหลายรูปแบบ!


มันหันไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ฝืนยิ้มแห้ง


“นายจัดการกับพายุได้ไหม”


ได้สิ ยกตัวอย่างเช่น นายลองสวดวิงวอนถึงเทพสมุทรสักหนึ่งจบ แล้วฉันจะขึ้นไปตอบสนองในมิติหมอก สลายพายุด้วยพลังคทากระดูก… แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น บางทีอาจไม่เกินสิบวินาที เจ้าสมุทร แยนน์·ค็อตแมนจะรีบปรี่มายังเรือลำนี้ โดยที่ส่งการโจมตีสุดทรงพลังมาทักทายก่อนหน้านั้นเล็กน้อย…


ไคลน์นั่งจ้องนักปรุงยาอ้วน มอบคำตอบอย่างเยือกเย็น


“ฉันเป็นแค่นักผจญภัย”


ดัควีลล์ทราบทันที ตนไม่ควรคาดหวังในสิ่งเพ้อฝันเกินจำเป็น จึงทำเพียงสบถด่าฟ้าฝนภายในใจ พลางชะโงกศีรษะออกไปนอกหน้าต่างเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ปัจจุบันอย่างถี่ถ้วน


เปรี้ยง!


เส้นสายฟ้าสีเงินสับลงกลางกบาลนักปรุงยาร่างท้วมต่อหน้าไคลน์ ชายหนุ่มทำได้เพียงนั่งมองอย่างหมดโอกาสช่วยเหลือ


ดัควีลล์ล้มลงไปนอนชักบนพื้น รอบตัวมีควันสีเทาเจือจางระเหยขึ้น ผิวหนังไหม้เกรียมบางจุดพร้อมกับส่งกลิ่นเนื้อย่าง ประจุสายฟ้าหลายเส้นกำลังแล่นไปตามลำตัวคล้ายอสรพิษสีเงิน


ไคลน์เกือบเผยสีหน้าตกตะลึง เพราะเป็นครั้งแรกที่มันได้เห็นใครบางคนถูกฝ่าฟ้าท่ามกลางพายุฟ้าคะนองตามธรรมชาติ!


ดวงซวยอะไรแบบนี้… ชายหนุ่มพึมพำ ลืมเรื่องการช่วยเหลือดัควีลล์ไปชั่วขณะ


ทางด้านมิสเตอร์แฮร์รี่ นกฮูกอ้วน ก็ผงะไปหลายวินาทีเช่นกัน ก่อนจะรีบแหกปากออกมา


“เร็วเข้า! เร็วเข้า! ในช่องลับที่สองของกระเป๋าเสื้อฝั่งซ้ายมีขวดยาถูกเก็บอยู่ในถุงสีเข้ม! รีบป้อนเข้าปากเร็วเข้า!”


นกฮูกพูดได้…


ไคลน์ขมวดคิ้ว เดินหน้าสองสามก้าว โน้มตัวลงไปควานหาจนพบขวดยาสีแดงคล้ายเลือด จากนั้นก็นำไปกรอกปากดัควีลล์


ราวสองนาทีถัดมา ดัควีลล์เริ่มได้สติ มันลอกผิวหนังสีดำที่ไหม้เกรียมออก พยุงตัวยืนด้วยความยากลำบาก


“ฉ…ฉันขอทำแผลก่อน”


นักปรุงยาอ้วนเดินโซซัดโซเซเข้าไปในห้องนอน ปิดประตูตามหลังพร้อมกับลงกลอน


เมื่อจัดการเสร็จ มันหยิบกล่องแหวนใบเล็กออกมาเปิดฝาตรวจสอบ


ภายในกล่องแหวนแน่นคับที่ไม่มีช่องว่างพอจะให้ลูกเต๋าหมุน ลูกเต๋าสีขาวนมสดทอยตัวเองตอนไหนไม่มีใครทราบ!


ด้านบนสุดที่เคยเป็นสัญลักษณ์สี่จุด ยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นสองจุดสีแดง!


ภายในห้องนั่งเล่นด้านนอก ไคลน์กำลังยืนพิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า คิ้วถูกขมวดเข้าหากันเล็กน้อย


มันเริ่มตระหนักว่า ในภารกิจคุ้มกันคราวนี้ ตนอาจต้องเผชิญหน้ากับศัตรูประเภทที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน


จนกระทั่งบาดแผลของดัควีลล์เริ่มดีขึ้น มันเดินออกจากห้องนอนมารวมตัวกับไคลน์ที่ห้องนั่งเล่น


ชายหนุ่มหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ โน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย


“เล่าทุกอย่างมาให้หมด ฉันจะได้เลือกวิธีคุ้มครองนายถูก”


……………………


ราชันเร้นลับ 605 : ตัดสิน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ได้ยินคำถามจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ความคิดแรกในหัวดัควีลล์คือการอธิบายเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับลูกเต๋าพิสดารโดยไม่ปิดบัง ให้นักผจญภัยที่ตนจ้างมาในราคาแพงได้ทราบถึงต้นตอของปัญหา จะได้มอบความคุ้มครองได้อย่างมีประสิทธิภาพ


แต่ทันใดนั้น มันหวนนึกถึงคำแนะนำของอาจารย์ จึงสงสัยว่าลูกเต๋าอันนี้อาจเป็นสมบัติปิดผนึกที่สำคัญของโรงเรียน หากอธิบายให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ฟังอย่างละเอียด ต่อมความโลภของอีกฝ่ายอาจถูกกระตุ้นจนทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม


มีข่าวลือมากมายในท้องทะเลที่เกี่ยวกับการสังหารนายจ้างเพื่อผลประโยชน์ที่มากกว่า… กรณีของเราก็ไม่แตกต่างกันนัก ยังไม่สนิทสนมกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ขนาดนั้น ไม่มีทางทราบเลยว่าอีกฝ่ายมีนิสัยใจคอเป็นเช่นไร จึงควรระวังตัวและรอบคอบให้มาก…


เหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้ลูกเต๋ายังทอยค้างอยู่ที่สองแต้ม สถานการณ์ยังไม่เลวร้ายสุดขีด ยังพอมีโอกาสให้แก้ตัว…


ดัควีลล์ลังเลครู่หนึ่ง ตัดสินใจว่าตนควรหลีกเลี่ยงการพูดถึงลูกเต๋า และเล่าเพียงสถานการณ์อย่างผิวเผิน


มันเผลอหลบเลี่ยงสายตาแสนเย็นชาของเกอร์มัน·สแปร์โรว์โดยไม่รู้ตัว


“เรื่องราวก็คือ ฉันและอาจารย์เป็นสมาชิกขององค์กรลับแห่งหนึ่ง ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุนเนื่องจากเกิดการทรยศภายใน ศัตรูอยู่มีพลังบนเส้นทางโชคชะตา สามารถเปลี่ยนให้ตัวเองดวงดีกว่าปรกติ และสาปให้คนอื่นโชคร้ายกว่าปรกติ… ฉ…ฉันคงถูกสาปให้ดวงซวย ฟ้าจึงผ่าลงมาขณะเกิดพายุ”


เมื่ออธิบายจบ มันฝืนปิดบังความกระสับกระส่าย รอคอยคำตอบจากเกอร์มันอย่างใจเย็น


เขาจะยอมเชื่อรึเปล่า… การตบตานักผจญภัยที่ทรงพลังและมากประสบการณ์คงไม่ง่ายนัก… ถ้าพบว่าเราโกหก คงจับโยนลงทะเลโดยไม่ลังเลแน่นอน…


ดัควีลล์ยืนตัวเกร็ง สีหน้าเริ่มเผยความกระสับกระส่าย คล้ายกับนักเรียนที่ถูกอาจารย์เรียกให้ตอบคำถามหน้าโถงบรรยาย


เป็นโรงเรียนชีวิตจริงด้วย…


เส้นทาง ‘สัตว์ประหลาด’ สินะ…


ไคลน์พยักหน้ารับ ครุ่นคิดสักพัก


“เข้าใจแล้ว พยายามขยับตัวให้น้อยที่สุด ฉันจะลองคิดหาวิธีขจัดความโชคร้ายให้”


ฟู่ว… ดัควีลล์ยืนตัวแข็งไปอีกสักพัก


มันคาดไม่ถึงว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะยอมเชื่อเหตุผลที่ตนกุขึ้นมาอย่างกะทันหันได้ง่ายดาย


นักปรุงยาอ้วนฝืนยิ้มแห้ง แสดงความขอบคุณไคลน์อีกหน จากนั้นก็เดินกลับเข้าห้องนอนของตัวเอง ปิดประตูและยืนพิง มือล้วงหยิบกล่องใบเล็กสำหรับใส่แหวน


กึก! มันเปิดฝากล่องด้วยฝ่ามือสั่นเทา พบว่าลูกเต๋าสีขาวนมสดทอยตัวเองอย่างเป็นปริศนาอีกครั้ง


กลายเป็นหกแต้มเต็ม!


หมายความว่า เป็นเพราะเราโชคดี จึงหลอกเกอร์มัน·สแปร์โรว์สำเร็จอย่างง่ายดาย?


ดัควีลล์ก้มหน้าครุ่นคิด


มิสเตอร์แฮร์รี่ นกฮูกอ้วน บินโฉบลงมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มิได้เลือกเกาะไหล่ดัควีลล์เหมือนทุกที คล้ายกับกำลังหวาดกลัวว่าจะตนถูกดึงเข้าไปพัวพันกับอุบัติเหตุร้ายแรง


มันยืนบนโต๊ะไม้ มองตรงด้วยดวงตากลมกลึง


“ดัควีลล์ เจ้ากำลังประหม่า”


“ฉันรู้น่า…” ดัควีลล์ตอบโต้ด้วยน้ำเสียงเจือความโกรธเคือง


นกฮูกกางปีกออก


“เข้าใจแล้ว ข้าจะพูดตามตรงก็แล้วกัน ข้ามีความคิดที่จะเปลี่ยนเจ้านาย ดูเหมือนเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนัก”


“แล้วฉันล่ะ?” ดัควีลล์ซักถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ หลงลืมความขุ่นเคืองชั่วคราว


มิสเตอร์แฮร์รี่มอบคำตอบ


“หากปล่อยไว้เช่นนี้ เจ้าคงไม่มีอนาคตแน่ อาจไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้ด้วยซ้ำ! ลูกเต๋าพิสดารนั่นอันตรายเกินไป! ถ้าข้าเป็นเจ้า จะจับมันโยนออกไปนอกหน้าต่าง ทิ้งลงทะเล ปล่อยให้อาจารย์ของอาจารย์เจ้ามาเก็บไปเอง!”


“แกรู้จักอาจารย์ของอาจารย์ฉันได้ยังไง…”


ดัควีลล์โพล่งถาม


มิสเตอร์แฮร์รี่เชิดคางอย่างภาคภูมิใจ


“อย่าได้ดูถูกสายตาของนกฮูกเป็นอันขาด”


ดัควีลล์ก้มหน้าครุ่นคิดปัญหาของตัวเองต่อ หาได้สนใจคำตอบจากอีกฝ่าย


“ทำแบบนั้นไม่ได้… การโยนลูกเต๋าลงทะเลไม่ช่วยให้ปัญหาคลี่คลาย จากที่ตาแก่อธิบาย แม้ลูกเต๋าจะจมก้มทะเล แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน มันจะดึงดูดให้ผู้วิเศษลำดับสูงเข้ามาหา จากนั้นก็จะถูกขโมย… เจ้านกโง่ แกยังไม่รู้จักโลกของศาสตร์เร้นลับดีพอ จึงไม่เข้าใจว่าสมบัติปิดผนึกมีความสำคัญมากเพียงใด มันเหมือนกับโสเภณียอดนิยมของโรงละครแดง มีอำนาจดึงดูดพวกหิวกระหายได้เสมอ”


“รวมถึงเจ้าด้วย” นกฮูกแฮร์รี่ตอบอย่างสุขุม “สำหรับเรื่องที่ข้ายังมีความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับไม่เพียงพอ สิ่งนี้สามารถอธิบายได้ด้วยคำกล่าวอันโด่งดังของจักรพรรดิโรซายล์


“หากเด็กคนหนึ่งไม่ได้รับการศึกษาที่ดี นั่นคือความผิดของผู้เป็นบิดา ประโยคนี้สามารถใช้ได้กับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและสัตว์เลี้ยง… เรื่องนั้นช่างมันก่อน ดัควีลล์ สำหรับความสำคัญอันดับหนึ่งในตอนนี้ เจ้าควรเล่าความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับลูกเต๋าพิสดารให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ทราบ ไม่อย่างนั้นจะยิ่งมีแต่อันตราย”


“ขอคิดก่อน รอดูไปอีกสักพัก มันอาจค้างอยู่ที่หกแต้มจนกระทั่งเราถึงจุดหมาย” ดัควีลล์ตอบด้วยสีหน้าลังเล


มันนั่งลงบนขอบเตียง ทิ้งตัวลงนอน


ขณะเดียวกัน พายุฝนฟ้าคะนองด้านนอกเริ่มเสื่อมฤทธิ์ ท้องฟ้าเผยความปลอดโปร่ง เรือโดยสารส่งเสียงหวูดยาวก่อนแล่นออกจากท่า


ภายในห้องนั่งเล่นของห้องพักเฟิร์สคลาส เกอร์มัน·สแปร์โรว์มองออกไปนอกหน้าต่าง เพ่งจ้องสายรุ้งที่มีบรรยากาศสลัวหลังฝนซา ภายในใจมิได้สงบนิ่งเหมือนกับสีหน้า


มันหาได้หวาดกลัวศัตรูหน้าไหน นอกเสียจากอีกฝ่ายจะเป็นสี่ราชาโจรสลัด ครึ่งเทพของทางการ หรือไม่ก็พลเรือโจรสลัดที่มาพร้อมกองเรือเต็มอัตราศึก


ศัตรูธรรมดามิอาจคุกคามไคลน์ที่มียุบพองหิวโหยและสมบัติวิเศษอีกหลายชิ้นได้แน่ หรือต่อให้เรือถูกถล่มจนอับปาง มันก็ยังมียันต์ในขอบเขตเทพสมุทรอีกหลายชิ้น การหนีเอาตัวรอดจึงไม่ใช่เรื่องยาก


แต่ถ้าเป็นพลังแห่งโชค สิ่งนี้เกินกว่าจะหยั่งถึงด้วยขอบเขตพลังในปัจจุบัน ชายหนุ่มแทบไม่มีวิธีรับมือหรือจัดการให้อยู่หมัด


แม้เราจะมีสมญานาม ‘ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ’ แต่นั่นถูกดัดแปลงมาจากคาถาในพิธีกรรมเสริมดวงชะตา และพิธีกรรมดังกล่าวก็มีได้ช่วยให้ผู้คนหลุดพ้นจากความอับโชคได้จริง… การคุมครองดัควีลล์ถือเป็นงานที่ยาก เราทำอะไรไม่ได้มากไปว่าเพิ่มความตื่นตัว ใส่ใจกับความผิดปรกติอีกฝ่ายให้มากขึ้น หากเกิดเรื่องเลวร้ายที่อาจทำให้ถึงตาย จะได้ยื่นมือช่วยเหลือได้ทันท่วงที…


ได้แต่หวังว่าหมอนั่นจะเอาตัวรอดผ่านสองสามวันนี้ไปได้ ถ้าถึงเกาะโอลาวีเมื่อไร สมาชิกระดับสูงของโรงเรียนชีวิตคงมีหนทางช่วยขจัดโชคร้าย…


ไคลน์ใช้สองนิ้วนวดหน้าผาก สีหน้าภายนอกยังคงเรียบเฉย


….


ดัควีลล์ที่เครียดจนนอนไม่หลับมาทั้งคืน เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว


ผ่านไปสักพัก กระเพาะอาหารส่งสัญญาณว่าใกล้ถึงเวลามื้อเที่ยงแล้ว


มันพยายามลืมตา แต่กลับทำไม่สำเร็จ คล้ายกับถูกใครบางคนที่มองไม่เห็นนั่งทับ ส่งผลให้ร่างกายมิอาจขยับเขยื้อนแม้แต่ปลายนิ้ว


ดัควีลล์รู้สึกราวกับสมองจองตนกำลังบวม ท้ายทอยเจ็บแปลบแสบคัน หายใจยากลำบาก หัวใจเต้นระรัวผิดจังหวะ


ไม่ได้… เราจะตายในฝันไม่ได้เด็ดขาด!


ดัควีลล์พยายามกระเสือกกระสน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ตื่นสักที อวัยวะทุกส่วนเริ่มอ่อนแรงลงทุกขณะ


ทันใดนั้น ปากของมันถูกถ่างออกด้วยบางสิ่งที่มีลักษณะแหลมยาว ของเหลวเย็น ๆ ไหลจากทิศทางดังกล่าว บางส่วนเอ่อล้นออกจากปากจนรอบคางและลำคอเปียกซึม


ร่างกายดัควีลล์เริ่มเบาสบาย จนสามารถลืมตาได้ในอีกไม่กี่อึดใจถัดมา สิ่งแรกที่มันเห็นคือดวงตากลมโตสีเหลืองสดใส อยู่ในระยะใกล้ชินจนแทบจะชนกัน


สัตว์เลี้ยงวิเศษก็มีประโยชน์ในบางครั้ง…


ดัควีลล์ถอนหายใจสั้น พยุงตัวนั่งอย่างรวดเร็ว รีบนำกล่องแหวนออกมาตรวจสอบ


แล้วก็ต้องพบว่า ลูกเต๋าด้านในที่เคยเป็นหกแต้มมาสักพัก เกิดความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม


หนึ่งแต้ม!


ดวงซวยจนเกือบตายในฝัน…?


ไม่ใช่… คงไม่เรียบง่ายขนาดนั้น หลักการทำงานคงเป็นการ ‘ขยาย’ โอกาสความซวยให้มากขึ้น เช่นโอกาสเสียชีวิตจากการละเมอคำแปลก ๆ ในฝัน โอกาสถูกฟ้าผ่าขณะเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง… ท่าไม่ดีแล้ว หากปล่อยเอาไว้แบบนี้ เราคงได้ตายจริงแน่!


ดัควีลล์ครุ่นคิดด้วยสีหน้าหวาดผวา


ความกลัวกำลังนำพาจิตใจ ภายในสมองไม่มีความคิดอื่นนอกจากการถือกล่องแหวนเดินไปทางประตูห้อง


อาจเป็นเพราะผลพวงจากสภาวะเกือบตายในความฝัน ร่างกายดัควีลล์จึงปราศจากเรี่ยวแรง การบิดกลอนเป็นไปอย่างยากลำบาก


“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!” มิสเตอร์แฮร์รี่ นกฮูกสีดำตัวอ้วน ส่งเสียงตะโกนผ่านประตู


โครม!


บานประตูถูกเปิดออกจากด้านนอก กระแทกใส่ใบหน้าดัควีลล์เต็มแรง หากไม่ใช่เพราะไคลน์ยั้งมือไว้บางส่วน นักปรุงยาอ้วนคงหัวแตกพร้อมกับเลือดสาดกระเซ็น


โดยไม่เสียเวลาลูบคลำความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกลางหน้าผาก ดัควีลล์เล่าด้วยน้ำเสียงร้อนรน


“เพราะมัน… ทั้งหมดเป็นฝีมือของมัน! ลูกเต๋าอันนี้สาปให้ฉันโชคร้าย! ตอนนี้ทอยได้หนึ่งแต้ม ฉันจะล้มเหลวในทุกเรื่องที่ลงมือทำ!”


ดัควีลล์ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว จึงกล้าบอกให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์รับรู้เรื่องราวทั้งหมด หวังให้นักผจญภัยที่เก่งกาจมอบคำแนะนำและการคุ้มครองอย่างมีประสิทธิภาพ


สำหรับโอกาสที่จะถูกอีกฝ่ายฆ่าทิ้งเพราะความโลภ ดัควีลล์ยังตัดทิ้ง เพียงแต่ว่า ถ้ามันต้องเลือกระหว่างความฉิบหายสองฝั่ง ก็ขอเลือกฝั่งที่อันตรายน้อยกว่า


การเล่าให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์ฟังอาจทำให้ถึงแก่ความตาย แต่ถ้าไม่เล่า มันจะตายอย่างแน่นอน เป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ไม่ยากนัก


หากอีกฝ่ายต้องการลูกเต๋า เราก็แค่ยอมยกให้เขาแต่โดยดี ชีวิตของตัวเองสำคัญกว่ามาก!


ดัควีลล์ซื่อสัตย์กับความรู้สึก


ทันใดนั้น มันเห็นรอยยิ้มสุภาพของเกอร์มัน


“ขอบคุณที่เล่าเรื่องตลกให้ฟัง เป็นมุกที่ไม่เลว”


นี่ไม่ใช่มุก…


ดัควีลล์ก้มมองกล่องแหวน พบว่ายังคงเป็นหน้าหนึ่งแต้มสีแดงสดเช่นเคย


หรือว่า เป็นเพราะลูกเต๋าบัดซบอันนี้ เราจึงโน้มน้าวเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่สำเร็จ ทั้งที่มีเหตุผลรัดกุมรอบคอบ…


นักปรุงยาอ้วนทำหน้าสิ้นหวัง


“เป็นความจริง! เขาพูดความจริง!” นกฮูกแฮร์รี่แหกปากพลางตีปีก


ดัควีลล์ที่เริ่มมีหวัง กลับได้ยินคำตอบแสนเย็นชาจากปากเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“แล้วทำไมถึงไม่โยนมันลงทะเล…”


กล่าวจบ ไคลน์ปิดประตูอย่างนุ่มนวล เดินกลับไปนั่งในห้องนั่งเล่น


หมอนี่คงพยายามปิดบังบางสิ่งจากเรา จึงกุเรื่องส่งเดชโดยปราศจากความสมเหตุสมผล…


ไคลน์นั่งบนเก้าอี้ รอให้ดัควีลล์เปลี่ยนใจออกมาเล่าความจริงที่มีเนื้อหาฟังขึ้น


ดัควีลล์นั่งลงกับพื้นห้องนอนด้วยสีหน้าเหม่อลอย ไม่กล้าขยับร่างกายเป็นเวลานาน ด้วยเกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุจนถึงแก่ความตาย


แต่มันอาจไม่ทราบว่า ตอนนี้ลูกเต๋าได้แอบทอยตัวเองกลายเป็นแต้มสามเรียบร้อยแล้ว



ก่อนเริ่มมื้อกลางวัน ไคลน์เข้าห้องน้ำเพื่อทำให้ท้องว่าง


หลังจากล้างมือเสร็จ ชายหนุ่มแวะเข้าไปในมิติหมอก เตรียมสำรวจคำวิงวอนมากมายจากสาวกเทพสมุทร


ขณะนั่งลงบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล รายละเอียดของทุกเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นพลันพรั่งพรูเข้ามาสมอง ส่งผลให้ดวงตาไคลน์เบิกกว้าง


“เราเชื่อเหตุผลเหลวไหลแบบนั้นไปได้ยังไง… แล้วทำไมถึงคิดว่าลูกเต๋าเป็นเรื่องไร้สาระ… คล้ายกับทั้งสองครั้ง เราถูกหมอกดำรบกวนระบบเหตุผลและการตัดสินใจ ไม่สิ… คล้ายกับว่า คำอธิบายที่ฟังดูเหลวไหลของดัควีลล์จะสอดคล้องกับสิ่งที่เราคาดเดาในตอนแรกโดยบังเอิญ สัญชาตญาณจึงตัดสินว่าน่าเชื่อถือ… แต่อีกกรณีหนึ่ง คำอธิบายมิได้สอดคล้องกับสิ่งที่เราคิด จึงด่วนตัดสินว่าไม่น่าเชื่อถือทันที…”


ไคลน์นั่งครุ่นคิด ดวงตาเริ่มหรี่ลง


ในตอนนี้ มันมั่นใจเป็นอย่างมากว่า


“ลูกเต๋านั่นคือต้นตอของปัญหาทั้งหมด!”


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)