Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 592-596

 ราชันเร้นลับ 592 : หนึ่งสัปดาห์ สามเลื่อนลำดับ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เพิ่งได้รับภารกิจเมื่อวานซืนแล้วไง… มันเกี่ยวอะไรกับการที่ฉันพบเบาะแสเป้าหมาย?


สหาย จะบอกอะไรให้ก็ได้ หากไม่ต้องเสียเวลารอวิล·อัสติน ‘อสรพิษแห่งชะตา’ มาเข้าฝันเพื่อไขความกระจ่าง ฉันคงมาหานายได้เร็วกว่านี้


ยี่สิบสี่ชั่วโมง!


นี่คือความแตกต่างของมืออาชีพ!


ไคลน์ตอบกลับด้วยเสียงเรียบ


“นายมีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ฟังข้อมูล”


นักปรุงยาร่างท้วม ดัควีลล์ สำลักคำพูดกลับเข้าไปในคอ กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุกเล็กน้อย


“ล…เล่ามา”


ไคลน์เล่าอย่างไร้อารมณ์ร่วม


“ฉันได้รับข้อมูลมาว่า รอย·คิงถูกกองทัพจับตัวไปอย่างลับ ๆ ปัจจุบันกำลังถูกคุมขังอยู่ในจวนนายกเทศมนตรีบายัม”


เป็นข้อมูลจากอาโรเดส… ชายหนุ่มเสริมในใจ


“ร…เรื่องจริงหรือ?” ดัควีลล์มิอาจเก็บซ่อนความคลางแคลง มันย้อนถามพลางหรี่ตาลง


ไคลน์พยักหน้า


“แหล่งข่าวของฉันเชื่อถือได้”


“แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยัน…” นักปรุงยาอ้วนออกท่าทางลังเล


“รอย·คิงถูกจับเนื่องจากมีความเกี่ยวพันกับสมบัติปิดผนึกระดับสูงของโรงเรียนชีวิต”


ไคลน์อธิบายโดยไม่ปิดบัง


ดัควีลล์พลันผงะถอยหลัง เหลียวซ้ายแลขวาอย่างลนลาน ด้วยกังวลว่าอาจมีใครได้ยินประโยคเมื่อครู่เข้า


ทำไมถึงนำเรื่องแบบนี้มาพูดกลางถนน!


ข…เขาทราบว่าเรามาจากโรงเรียนชีวิต ทราบว่าตาแก่เกี่ยวข้องกับสมบัติปิดผนึกชิ้นสำคัญ… แม้แต่เราที่เป็นศิษย์ก็ไม่เคยรู้มาก่อน จนกระทั่งได้ติดต่อกันครั้งสุดท้าย…


ดัควีลล์เริ่มเชื่อข้อมูลจากปากนักผจญภัยปริศนาตรงหน้า


ไคลน์ชำเลืองนกฮูกตัวอ้วนที่บินลงจากหลังคาตึก เกาะบนหัวไหล่นักปรุงยาอ้วน


“จ่ายมา”


“ในเมื่อไม่มีหลักฐานพิสูจน์ ฉันคงเชื่อนายสนิทใจไม่ได้” ดัควีลล์ยืนกรานเสียงแข็ง


ทันใดนั้น มันเหลือบเห็นสายตาของนักผจญภัยลึกลับ แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาที่มาพร้อมจิตคุกคามแผ่วเบา


นักปรุงยาอ้วนพลันตะกุกตะกัก รีบสำลักคำ


“ก…ก็ได้… อย่างน้อยนายก็ทำงานให้”


ด้วยสีหน้าเจ็บแปลบ มันล้วงหยิบเงินก้อนโตออกจากกระเป๋าชุดคลุมหมอผีสีเข้ม เงินสดมูลค่ารวมหนึ่งร้อยปอนด์ถูกนับและส่งให้ไคลน์


แม้จะเป็นผู้วิเศษเหมือนกัน แต่อาชีพหลักของมันคือนักปรุงยาและนักฝึกสัตว์ สมรรถภาพร่างกายมิได้สูงนัก ไม่เหมาะแก่การต่อสู้ ลำพังคนธรรมดาถือปืนยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้


สิ่งเดียวที่พอจะช่วยต่อสู้คือสัตว์วิเศษคู่กาย แต่ดัควีลล์กลับเลือกนกฮูกอ้วนที่แทบไม่มีพลังด้านต่อสู้เลย โดยในทางกลับกัน อีกฝ่ายคือนักผจญภัยลึกลับมากประสบการณ์และมีเครือข่ายข้อมูลกว้างขวาง อีกทั้งยังอาจเป็นผู้วิเศษเส้นทางต่อสู้ ฉะนั้น ถึงจะรุมสองต่อหนึ่งก็ไม่น่าจะเอาชนะได้ มีแต่ต้องทำตามที่อีกฝ่ายพูดเท่านั้น


เราก็ไม่ได้เก็บเงินเก่งสักเท่าไร…


ดัควีลล์ถอนหายใจยาว


ตามปรกติแล้ว เส้นทางนักปรุงยาจะทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำเสมอ ยิ่งเป็นเกาะอาณานิคมก็ยิ่งร่ำรวยเป็นเท่าตัว ที่นี่เต็มไปด้วยโจรสลัด ลูกเรือ และนักผจญภัย กลุ่มลูกค้าหลากหลาย แถมการบังคับใช้กฎหมายก็ยังปวกเปียก มันสามารถแอบขายยาต้องห้ามได้โดยไม่ต้องกลัวถูกจับ ลำพังแขกจากโรคละครแดงตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ก็ช่วยสร้างกำไรให้มันเทียบเท่ากับการเก็บเงินบนแผ่นดินใหญ่ตลอดทั้งปี


แต่กระนั้น การเป็นผู้วิเศษย่อมมีค่าจ่ายใช้จ่ายบานปลาย เงินออมก่อนหน้าหมดไปกับโอสถ ‘นักฝึกสัตว์’ เรียบร้อย และปัจจุบันก็มีสัตว์วิเศษเพิ่มเข้ามาเป็นภาระ ต้องคอยซื้อโอสถให้ดื่ม รวมถึงการซื้อยันต์ป้องกันตัวอีกสองสามชนิด ส่งผลให้เหลือเงินเก็บเพียงไม่กี่ร้อยปอนด์


ไคลน์รับเงินสด ตรวจสอบความถูกต้อง จากนั้นจึงเก็บใส่กระเป๋าเสื้อและหันหลังเดินออกจากร้านขายสมุนไพรอย่างไม่แยแส


เมื่อเห็นแผ่นหลังอีกฝ่ายหายลับไปจากตรอก สีหน้านักปรุงยาอ้วนพลันจมดิ่ง


“ที่นี่อันตรายเกินไป ต้องรีบหนีไปให้ไกล!” มันพึมพำพร้อมกับรีบวิ่งกลับเข้าร้านสมุนไพร


ที่ด้านใน ดัควีลล์นำกระเป๋าเดินทางหนังสีน้ำตาลออกมาวาง รีบยัดเสื้อผ้านานาชนิด รวมถึงปึกธนบัตรที่ถูกพับอย่างดีเข้าไป


ปิดท้ายด้วย มันเทธนบัตรใบเล็กและเศษเหรียญหลากหลายสกุลออกจากกล่องเงินทอน ยัดใส่กระเป๋าเสื้อ หยิบบัตรประชาชนปลอมที่ซื้อมาในราคาแพง และถือกระเป๋าหนังสีน้ำตาลเดินออกจากร้านสมุนไพร


ดัควีลล์ชะงักเล็กน้อย มองกลับไปยังสมุนไพรจำนวนมากที่ยังขายไม่หมด มุมปากเริ่มสั่นระริกด้วยความนึกเสียดาย


มันสูดหายใจยาว ยืนจ้องประตูร้านพลางเผยสีหน้าเจ็บแปลบ ก่อนจะกัดฟันเดินออกจากตรอก ขึ้นรถม้าเช่า ตรงไปยังสำนักงานขายตั๋วโดยสารเรือเดินสมุทร


“อันตราย… ที่นี่อันตรายเกินไป… ตาแก่ถูกจับเพราะสมบัติปิดผนึก… ถูกจับอย่างง่ายดาย..”


บนรถม้า ดัควีลล์เอาแต่พึมพำซ้ำไปซ้ำมาด้วยร่างกายสั่นเทา


จนกระทั่งถึงสำนักงานขายตั๋ว มันจ่ายค่าโดยสารรถม้า เดินเข้าไปในโถงใหญ่ เลือกต่อแถวช่องซื้อบัตรโดยสารไปยังไบลัมตะวันออก


หายใจเข้า. หายใจออก.


ยิ่งแถวเริ่มสั้นลง ดัควีลล์ก็ยิ่งสูดลมหายใจหนักแน่นและเชื่องช้า


ต้องซื้อตั๋วรอบที่ออกเร็วที่สุด…


มันเน้นย้ำกับตัวเองจนคล้ายกับสะกดจิต


หยุดและเดิน. หยุดและเดิน.


บรรยากาศภายในสำนักงานขายบัตรโดยสารเงียบเชียบจนนักปรุงยาอ้วนรู้สึกกดดัน


สีหน้าของมันไม่เคยอยู่นิ่ง ประเดี๋ยวบิดเบี้ยว ประเดี๋ยวกลับมาเยือกเย็น วนเวียนหลายรอบจนนับไม่ไหว


จนกระทั่งเหลือลูกค้าข้างหน้าเพียงหนึ่งคิว ดัควีลล์ชะงักฝีเท้ากะทันหัน


…ไอ้โง่! แกมันโง่!


นักปรุงยาอ้วนสบถกับตัวเอง รีบหันหลังกลับพร้อมกระเป๋าหนังสีน้ำตาล เก็บบัตรประชาชนและเดินออกจากสำนักงานขายตั๋ว



ไคลน์ไม่แยแสว่า นักปรุงยาอ้วน ดัควีลล์ จะช่วยเหลืออาจารย์ของตนด้วยวิธีใด และไม่เคยคิดว่าเป็นธุระกงการของตัวเอง


เบื้องหลังหมอนั่นยังมีโรงเรียนชีวิต ถึงจะอยู่ในสภาพแตกแยก แต่ก็ยังมีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปี เป็นองค์กรลับที่เริ่มก่อตั้งในช่วงต้นของยุคสมัยที่ห้า ด้วยความเก่าแก่นี้ นักปรุงยาอ้วนคงติดต่อขอความช่วยเหลือจากเบื้องบนได้ไม่ยาก… แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ที่แม้แต่โรงเรียนชีวิตก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ ถึงเราจะพึ่งพาขุมกำลังทั้งหมดของชุมนุมทาโรต์ ก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใด… ในบายัมต้องมีครึ่งเทพของฝ่ายกองทัพประจำการอยู่แน่… ถึงจะมิได้อยู่ในจวนนายกเทศมนตรี แต่ก็คงอยู่ในตึกกองบัญชาการทหาร…


ไคลน์ในรถม้าล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ จ้องนกกระเรียนกระดาษด้านใน ครุ่นคิดว่าตนควรโยนมันเข้าไปในมิติสายหมอกดีหรือไม่


รอก่อนดีกว่า… บางที วิล·อัสติน อสรพิษแห่งชะตา อาจติดต่อเราเพื่อมอบสิ่งดี ๆ เพิ่มเติม… คราวหน้าต้องไม่ลืมพกดินสอติดตัวไว้ เราไม่น่าทำพลาดในครั้งแรก… ด้วยพื้นที่ของนกกระดาษที่จำกัด หากใช้ปากกาเขียน อีกสักพักก็คงหมดที่ว่างสำหรับส่งข้อความ และหมดสิทธิ์เขียนข้อความถามอีกฝ่ายโดยปริยาย ทำได้เพียงรอให้ทางนั้นติดต่อเข้ามาก่อน… เราไม่ควรพกนกกระดาษติดตัวตลอดเวลา อีกสองสามวันค่อยส่งกลับมิติสายหมอก เพราะการปล่อยให้ทางนั้นระบุตำแหน่งเราได้ตลอดเวลาคงไม่ได้เรื่องดีนัก มิได้เป็นมิตรกันขนาดนั้นสักหน่อย…


ไคลน์คิดไวทำไม เมื่อกลับถึงโรงแรมวายุคราม ชายหนุ่มเก็บข้าวของและทำการเช็กเอาต์ออกจากห้องพักสุดหรู


ข่าวดีก็คือ หลังจากเดนิสกลับมาครั้งที่สอง มันได้ชำระค่าห้องล่วงหน้าจำนวนหนึ่ง ส่งผลให้ไคลน์ต้องจ่ายเพิ่มเพียงห้าซูล


ถัดมา ชายหนุ่มเดินเปลี่ยนบล็อกมายังถนนอะตอมซึ่งใกล้กับผับใบไม้หอม เข้าเช็กอินในโรงแรม ‘เทียน่า’ โดยระบุความต้องการว่า อยากได้ห้องสะอาด เป็นส่วนตัว และบรรยากาศเรียบง่าย เจ้าของโรงแรมจึงนำทางไปยังห้องพักราคาสองซูลสองเพนนีต่อหนึ่งคืน แถมด้วยเครื่องดื่มพิเศษหนึ่งแก้วทุกวัน เป็นน้ำผลไม้ที่คั้นจากผลไม้ยักษ์ชื่อว่าเทียน่า


ขณะดื่มเครื่องดื่มรสชาติหวานมันคล้ายนมผลไม้ตามลำพัง ไคลน์ไม่จำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เอนกายแผ่ไปบนเก้าอี้นอนอย่างเอกเขนก ตัดสินใจงีบพักผ่อนสักสองชั่วโมง จึงค่อยส่งตัวเองเข้ามิติหมอก ไล่ดูคำสวดวิงวอนของเหล่าสาวกเทพสมุทร เพื่อสัมผัสประสบการณ์และใบหน้าของมนุษย์นับพันคน



กรุงเบ็คลันด์ บ้านตระกูลไวท์


เอ็มลินจ้อง ‘อัญมณี’ สีเลือดที่ถูกวางกึ่งกลางแท่นบูชาพลางรู้สึกว่า เลือดในร่างกายตน กำลังมีปฏิกิริยาตอบสนองกับมัน


หลังจากขอบคุณมิสเตอร์ฟูล ผีดูดเลือดหนุ่มหยิบอัญมณีขึ้นมาถือ เริ่มสัมผัสถึงกระแสของพลังลึกลับที่ไหลเวียนด้านใน และไม่เคลือบแคลงอีกต่อไปว่า สิ่งนี้คือมรดกตกทอดจากผีดูดเลือดบารอน


“เหลือแค่การเตรียมพิธีกรรมสืบทอดพลัง เตรียมวัตถุดิบรองของโอสถ เราก็จะได้เป็นบารอนเต็มตัว… สิ่งเหล่านี้ไม่ยากเลยสักนิด”


เอ็มลินรำพันด้วยสีหน้าคาดหวังแกมพึงพอใจ


“จากระบบโอสถที่มนุษย์คิดค้นขึ้น เราจะกลายเป็นตัวตนเทียบเท่ากับลำดับ 6… ชื่ออย่างเป็นทางการก็คือ ‘ศาสตราจารย์โอสถ!’ ”



เวียนมาถึงวันจันทร์อีกครั้ง ท่ามกลางทะเลหมอก กองเรือฝูงหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวตัดผ่านสายหมอกสีเทาและน้ำทะเลสีฟ้า


เรือธงเป็นเรือใบลำใหญ่ เหนือเสากระโดงหลักมีธงสัญลักษณ์โบกสะบัด เป็นภาพของเนตรปราศจากขนตา รายล้อมด้วยหมู่ดารานับสิบ


พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา กำลังยืนข้างหน้าต่างห้องกัปตันเรือ จ้องดวงตะวันสาดแสงทะลุผ่านกลุ่มหมอกอย่างเงียบงัน จนกระทั่งนาฬิกาแขวนบนผนังส่งเสียงร้องเตือน


หญิงสาวชำเลือง แปลงเป็นเวลาอาณาจักรโลเอ็นภายในใจ ก่อนจะขึงผ้าม่านปิดมิดชิด นั่งลงบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานอย่างสงบเสงี่ยม


บนโต๊ะทำงานที่สร้างจากไม้แดง อุปกรณ์เดินเรือถูกวางเรียงรายเป็นระเบียบ รวมถึงลูกแก้วดวงดาวสีฟ้าที่ผิวบางส่วนยังว่างเปล่า บริเวณดังกล่าวคือจุดที่ยังไม่ถูกสำรวจ หรือไม่ก็ยังไม่มีปัญญาสำรวจ


แคทลียาเหยียดปลายนิ้วออกไปสัมผัสกับลูกแก้วดวงดาวอย่างอ่อนโยน หลับตาลง รอให้เดอะฟูลอัญเชิญไปยังมิติลึกลับ


ถัดมาไม่นาน กระแสริ้วแสงสีแดงเข้มสว่างท่วมท้นทัศนียภาพ โอบล้อมร่างกายหญิงสาวไว้ทุกส่วนอย่างอบอุ่น


เมื่อเริ่มปรับสายตาได้ รอบกายแคทลียาแปรเปลี่ยนเป็นวังศักดิ์สิทธิ์ที่รายล้อมด้วยเสาหินต้นใหญ่ กึ่งกลางมีโต๊ะทองแดงยาวซึ่งเปื้อนคราบร่องรอยอารยธรรมโบราณ


หลังจากนั่งมองมิสจัสติสทักทายทุกคนอย่างสดใสร่าเริง แคทลียาลุกขึ้นทำความเคารพเดอะฟูลผู้ถูกม่านหมอกปกคลุม


จากนั้น หญิงสาวชำเลืองรอบโต๊ะหนึ่งหน สายตาพลันชะงักเมื่อพบความผิดปรกติ


เธอพบว่ากระแสวิญญาณที่แผ่ออกจากวิญญาณดาราของแฮงแมน เดอะมูน และเดอะซัน เปลี่ยนไปจากคราวก่อนมาก!


พวกเขาทุกคนเลื่อนลำดับพลัง?


เพิ่งจะผ่านมาแค่ไม่กี่วันเท่านั้น…


ภายในหนึ่งสัปดาห์ สมาชิกชุมนุมทาโรต์ที่มีเพียงน้อยนิดกลับเลื่อนลำดับพร้อมกัน… ทางฝั่งแฮงแมนและเดอะมูนน่าจะเป็นลำดับ 6…


แค่บังเอิญงั้นหรือ… บังเอิญปรุงโอสถและดื่มในสัปดาห์เดียวกัน? แต่ก็มิใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ หากประเมินจากการซื้อวัตถุดิบของเดอะมูนและเดอะซันในสัปดาห์ก่อน… ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับว่า สมาชิกชุมนุมทาโรต์เลื่อนลำดับพลังได้เร็วมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้…


สาเหตุที่แคทลียาประหลาดใจ เพราะเธอเพิ่งเข้าร่วมชุมนุมได้เพียงสองสัปดาห์ แต่กลับพบว่า มีสมาชิกเลื่อนลำดับไปแล้วถึงสามคน


หืม…จะว่าไป เรื่องนี้ก็มิได้ผิดปรกติสักเท่าไร ผู้วิเศษต่ำกว่าลำดับ 5 มักใช้เวลาย่อยโอสถน้อยเป็นทุนเดิม ขอเพียงสวมบทบาทอย่างเคร่งครัดและมีวัตถุดิบในมือเพียบพร้อม การเลื่อนลำดับพรวดพราดจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลก… แต่จะเริ่มยากเมื่อถึงลำดับ 6 และต้องการพัฒนาไปเป็นลำดับ 5 ทุกคนต้องประกอบพิธีกรรม แถมยังย่อยโอสถช้าลงอย่างเห็นได้ชัด…


คงไม่มีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอีก…


เฮอร์มิท แคทลียา ถอนสายตากลับ


ถัดมา จัสติส ออเดรย์ กล่าวขอโทษมิสเตอร์ฟูลที่เธอมิอาจหาไดอารีจักรพรรดิโรซายล์มามอบให้ได้ เนื่องจากไม่มีโอกาสติดต่อกับสมาคมแปรจิตในช่วงที่ผ่านมา ทางฝั่งเมจิกเชี่ยน ฟอร์ส ก็ไม่ต่างกัน อาจารย์ของเธอเริ่มกลับมาตอบจดหมายช้าอีกครั้ง และตัวเธอก็ไม่อยากออกจากบ้านภายใต้สภาพอากาศหนาวเหน็บสักเท่าไร


เดอะซัน เดอร์ริค เพิ่งเลื่อนลำดับ มีหลายสิ่งต้องสะสางให้เรียบร้อย โดยเฉพาะเอกสารทางราชการ ไม่มีเวลาพอจะเข้าหอสมุดไปคัดลอกตำนานเทพบรรพกาล


เดอะฟูล ไคลน์ ทำเพียงพยักหน้ารับสุขุม


เดอร์ริคเห็นเช่นนั้นจึงโล่งใจ หันหน้าไปยังสุดปลายโต๊ะทองแดงยาวอีกฝั่ง


“มิสเตอร์เวิร์ล ผมหาวิธีลบจิตกัดกร่อนออกจากตะกอนพลังที่ปนเปื้อนได้แล้ว”


ไม่ต้องพูดออกมาก็ได้…


ไคลน์ เดอะฟูลบนที่นั่งประธาน ถึงกับเสียอาการเล็กน้อย


เจ้าหนู… ถึงแม้มิสจัสติสกับมิสเตอร์แฮงแมนจะทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่นายลืมไปแล้วรึไงว่ามาดามเฮอร์มิทเพิ่งเข้าร่วมชุมนุม!


ไคลน์พยายามบังคับตัวเองมิให้เลื่อนฝ่ามือขึ้นมาปิดหน้า


……………………


ราชันเร้นลับ 593 : วิธี

โดย

Ink Stone_Fantasy

วิธีลบจิตกัดกร่อนออกจากตะกอนพลังที่ปนเปื้อน…?


เฮอร์มิท·แคทลียาจ้องเดอะเวิร์ล คาดเดาว่าอีกฝ่ายคงมีตะกอนพลังที่ปนเปื้อนในครอบครองสักชิ้นสองชิ้น และต้องการใช้หนึ่งในนั้นปรุงเป็นโอสถดื่ม…อาจเป็นโอสถของเดอะเวิร์ลเอง หรือไม่ก็ของคนใกล้ตัว…


เรื่องนี้เดาได้ไม่ยาก เพราะหากไม่ต้องการนำตะกอนพลังไปปรุงเป็นโอสถ ลำพังตะกอนพลังปนเปื้อนยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นได้ตามปรกติ ทั้งการใช้งานโดยตรง หรือการนำไปสร้างเป็นสมบัติวิเศษ อย่างมากก็มีผลข้างเพียงเพิ่มขึ้นจากปรกติเล็กน้อย ไม่มากไปกว่าสมบัติปิดผนึกหนึ่งชิ้น


ไคลน์พยายามข่มอารมณ์ บังคับให้เดอะเวิร์ลตอบเสียงแหบ


“เขียนใส่กระดาษส่งมาให้ผม”


ภายในใจ มันต้องการยกย่องเดอะซันน้อยเรื่องที่อีกฝ่ายให้ความสำคัญกับสัญญา แต่เมื่อตระหนักว่าเดอะเวิร์ลเป็นคนพูดน้อย จะพูดเพียงเรื่องสำคัญ หรือพูดเพราะหวังผลลัพธ์บางอย่างเท่านั้น ไคลน์จึงลังเล


ไม่สิ… ก็มีอยู่ไม่ใช่หรือ เรื่องที่เราหวังผล… หากยกย่องว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เดอะซันจะยิ่งทำมันอย่างเคร่งครัดต่อไป และประโยชน์ก็จะตกอยู่กับชุมนุมทาโรต์…


แถมยังหลอกใช้เขาได้ง่าย…


แต่อาจต้องแลกมากับความใสซื่อเกินเหตุจนพูดไม่คิดในบางครั้ง…


ในสายตาของจัสติส แฮงแมน และคนที่เหลือ เดอะเวิร์ลคือคนเถรตรงและน่านับถือ หากเรากล่าวชมเชยเดอะซันออกไป พวกเขาคงไม่มองว่าเป็นเรื่องผิดปรกติ…


ตัดสินใจได้ ไคลน์บังคับเดอะเวิร์ลหัวเราะลึก


“ให้ความสำคัญกับคำสัญญาเช่นนี้ คุณคือเด็กหนุ่มที่น่าชื่นชม”


แฮงแมนขมวดคิ้วเล็กน้อย หันหน้าไปทางเดอะซัน·เดอร์ริค


“ผมเองก็สนใจข้อมูลดังกล่าวเช่นกัน ต้องจ่ายด้วยอะไร”


มันตั้งธงภายในใจ หากข้อมูลมีราคาสูงเกินไปจนมองว่าไม่คุ้ม ก็คงต้องปล่อยผ่าน เพราะไม่ใช่ข้อมูลที่จำเป็นในปัจจุบัน


เดอร์ริค ผู้ถูกชมเชยจนเกิดความพึงพอใจ ครุ่นคิดสักพักก่อนหันไปตอบอย่างซื่อตรง


“มิสเตอร์แฮงแมน สำหรับคุณ ผมไม่คิดราคาก็แล้วกัน ถือเป็นค่าที่ปรึกษาและตอบแทนความหวังดีที่คุณมอบให้มาตลอด”


หากเดอะเวิร์ลอยู่บนโลกจริงและกำลังดื่มน้ำ มันคงพ่นพรวดออกมาโดยไม่เกรงใจ โชคดีที่มิได้กำลังดื่มน้ำ และมิได้อยู่บนโลกจริง


ไคลน์อาศัยพลังตัวตลกควบคุมอากัปกิริยาของทั้งเดอะฟูลและเดอะเวิร์ลมิให้เสียอาการ


แฮงแมนอึ้งจนหมดคำพูด ท่าทีตอบสนองของเดอะซันผิดจากความคาดหมายไปไกลมาก


มันล่องทะเลมานานหลายปี เคยผ่านเรื่องราวในชีวิตมาก็มาก มักมองโลกในมุมสีเทาเสมอ ไม่เคยขาวหรือดำอย่างสุดโต่ง แต่สำหรับวินาทีนี้ อัลเจอร์เกิดความละอายใจจากก้นบึ้ง


“คุณคือเด็กหนุ่มที่น่าชื่นชม” อัลเจอร์กล่าวชมเชยเดอะซัน


ลอกมาทั้งดุ้นเลยหรือ… คิดคำเองไม่เป็นรึไง!


ไคลน์บังคับเดอะเวิร์ลชำเลืองแฮงแมนด้วยหางตา จากนั้นก็บังคับเดอะฟูลถอนหายใจยาวหลังม่านหมอก


เจ้าโง่! แกมันโง่ยิ่งกว่าลาโง่เสียอีก! ไอ้แกะโง่!


เดอะมูน·เอ็มลิน เหยียดหยันเดอะซันด้วยถ้อยคำดูแคลนมากมาย


ตั้งแต่ช่วงเช้า มันเฝ้ารอชุมนุมทาโรต์ด้วยใจจดจ่อมาตลอด เนื่องจากต้องการโอ้อวดเรื่องที่ตนกลายเป็นบารอนให้ใครสักคนฟัง


ถึงจะไม่มีใครทราบนอกจากมิสเตอร์ฟูล แต่ระดับมิสเตอร์แฮงแมนก็น่าจะพอเดาออก… ไม่ได้การ เราต้องทำอะไรสักอย่าง ต้องหาทางให้ทุกคนทราบว่าเรากลายเป็นบารอนผีดูดเลือดแล้ว!


เอ็มลินนั่งฟังบทสนทนาของคนรอบข้างพลางวางแผนอนาคต


ในทางกลับกัน คำพูดของเดอะซันมิได้ทำให้จัสติส·ออเดรย์โกรธเคืองหรืออิจฉา เธอทราบดี ในช่วงที่ทุกคนประสบปัญหา มิสเตอร์แฮงแมนมักมอบคำแนะนำที่มีประโยชน์เสมอ ถึงจะไม่ค่อยถูกหลักศีลธรรมสักเท่าไร แต่ก็ช่วยให้ผ่านพ้นปัญหาไปได้


การเป็นคนดีมักได้รับสิ่งดี ๆ ตอบแทนเสมอ หวังว่าหลังจากนี้ มิสเตอร์แฮงแมนจะอ่อนโยนลงและใจกว้างมากขึ้นอีก…


หญิงสาวมองไปยังฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าเบาใจ สำหรับเธอ ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีลบจิตกัดกร่อนออกจากตะกอนพลัง ยังไม่ใช่สิ่งสำคัญในตอนนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องบุ่มบ่ามใช้เงิน


เดอะซัน·เดอร์ริค หันไปทางมิสเตอร์ฟูลเพื่อขอสิทธิ์ในการเขียนลงบนกระดาษ เพียงไม่นาน กระดาษหนังสีเหลืองน้ำตาลสองแผ่นก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเด็กหนุ่ม


เมื่อเขียนเสร็จ ไคลน์รีบเสกให้กระดาษไปโผล่ตรงหน้าเดอะเวิร์ลและแฮงแมน


มันรอไม่ไหวแล้วที่จะไขปริศนาซึ่งตนคาใจมาแสนนาน


“การลบจิตกัดกร่อนออกจากตะกอนพลังปนเปื้อนมีด้วยกันสองวิธี หนึ่ง ใช้สมบัติวิเศษที่สามารถขโมยพลังพิเศษของผู้อื่น ช่วงชิงจิตกัดกร่อนที่ปนเปื้อนตะกอนพลังออกมา จากนั้นก็รีบนำตะกอนพลังบริสุทธิ์ไปปรุงเป็นโอสถให้เสร็จก่อนที่ผลของพลังช่วงชิงจะหมดลง ด้วยวิธีนี้ จิตกัดกร่อนจะมิอาจกลับไปยังตะกอนพลังเดิมได้ เนื่องจากสิ่งนั้นไม่มีตัวตนอยู่แล้ว ทำได้เพียงสลายไปกับความว่างเปล่า วิธีที่สอง ประกอบพิธีกรรมและสวดวิงวอนถึงหนึ่งในสองวัตถุเวทมนตร์ทรงพลังของเมืองเงินพิสุทธิ์ อาศัยการตอบสนองจากสิ่งดังกล่าว บดขยี้ตะกอนพลังจนแหลกละเอียด ด้วยวิธีนี้ จิตกัดกร่อนจะสลายไปในอากาศ ส่วนตะกอนพลังที่กระจัดกระจาย จำเป็นต้องใช้เวลาสักพักเพื่อรอให้กลับมารวมตัวกันใหม่ตามธรรมชาติ ผมทราบเพียงขั้นตอนของพิธีกรรม แต่มิอาจระบุนิยามและคาถาในการสวดวิงวอนถึงวัตถุเวทมนตร์ทั้งสองชิ้นได้ มีเพียงหกสภาอาวุโสเท่านั้นที่ทราบข้อมูลนี้ หากชาวเมืองคนใดต้องการประกอบพิธีกรรม ต้องให้หนึ่งในพวกเขาเป็นประธานเสมอ ขั้นตอนของพิธีกรรมประกอบด้วย…”


หืม…


ไคลน์ผุดแนวคิดมากมายในหัวจนเกือบลืมบังคับให้เดอะเวิร์ลตอบสนอง


เราไม่เคยคิดถึงวิธีแรกมาก่อน… ถ้าจำไม่ผิด มีสมบัติปิดผนึกหลังประตูยานิสเมืองทิงเก็นที่สามารถช่วงชิงพลังพิเศษได้… ชื่อว่า ‘เส้นเลือดหัวขโมย’ กระมัง… คาดไม่ถึงว่าจิตกัดกร่อนจะถูกมองเป็น ‘พลังพิเศษ’ ด้วย… แต่ก็ไม่ผิดวิสัยของศาสตร์เร้นลับสักเท่าไร…


ปัญหาคือ จิตกัดกร่อนที่ปนเปื้อนในดวงตาดำล้วนนั้นไม่ธรรมดา แต่เกิดจากเทพมาร ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ โดยตรง หากให้คนทั่วไปใช้สมบัติวิเศษช่วงชิงออกมา คงยากจะมีใครทนต่อการปนเปื้อนไหว อาจถึงขั้นคลุ้มคลั่งและเสียชีวิตในทันที ส่วนสมบัติวิเศษก็จะถูกปนเปื้อนถาวรและไม่สามารถใช้การได้อีกเลย…


สรุปก็คือ เราต้องใช้สมบัติวิเศษที่มีพลังช่วงชิงพลัง มารับการปนเปื้อนแทนดวงตาดำล้วน… แต่จังหวะการปรุงโอสถต้องฉับไวและไม่มีข้อผิดพลาด ไม่อย่างนั้น ทั้งสมบัติวิเศษและดวงตาดำล้วนจะถูกปนเปื้อนไปทั้งคู่…


ไคลน์วิเคราะห์วิธีแรกอย่างละเอียด ในส่วนของวิธีที่สอง หลักการคล้ายกับสิ่งที่เอ็ดวิน่าเสนอแนะ แตกต่างแค่ในเชิงพิธีกรรม


หืม… วัตถุเวทมนตร์ของเมืองเงินพิสุทธิ์คงมีพลังเพียงสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ไม่น่าจะถึงขั้น ‘มรดก’ ของเทพแท้จริง ไม่อย่างนั้น เมืองเงินพิสุทธิ์คงไม่ตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชเช่นนี้… หรือก็คือ การจะทำลายตะกอนพลังให้แหลกละเอียด ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพลังของเทพแท้จริงเสมอไป…


แค่พลังระดับเทวทูตก็ได้แล้วหรือ?


จากคำบอกเล่าของเดอะซัน เทวทูตในยุคสมัยที่สองมักถูกเรียกว่า ‘เทพรับใช้’ เป็นระดับที่ใกล้เคียงเทพแท้จริงอย่างมาก…


ทฤษฎีดังกล่าวสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของคาเวทูว่า… เทพสมุทรกำมะลอสืบทอดพลังของเอลฟ์ลำดับสูง โคฮีเน็ม ไปเพียงครึ่งหนึ่ง โดยอีกครึ่งหนึ่งอยู่กับหนังสือแห่งภัยธรรมชาติ…


ไม่สิ ตะกอนพลังโคฮีเน็มอาจถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน โดยที่ยังไม่มีใครทราบว่าส่วนสุดท้ายถูกซ่อนไว้ตรงไหน อาจเป็นส่วนสำคัญที่เจ้าตัวจงใจซ่อนไว้ เพื่อให้คืนชีพกลับมาได้อีกครั้ง…


สรุปโดยสั้น อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้แล้วว่า ตะกอนพลังของเอลฟ์ครึ่งเทพสามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนได้ โดยคนทำไม่จำเป็นต้องมีระดับเทียบเท่าเทพแท้จริงเสมอไป… คนแบ่งตะกอนพลังไม่น่าจะใช่ใครนอกจากตัวโคฮีเน็มเอง เพราะถ้าเป็นฝีมือคนอื่น ก็ต้องมีการนำตะกอนพลังไปใช้ประโยชน์บ้างแล้ว มิใช่ฝังไว้กับหนังสือส่วนหนึ่ง และทิ้งขว้างจนปลาไหลแอบกินไปอีกส่วนหนึ่ง…


เมื่ออ้างอิงจากข้อมูลทั้งหมด ตราบใดที่พิธีกรรมถูกต้อง การตอบสนองของเทวทูตสามารถทำลายตะกอนพลังให้แหลกละเอียดได้ แต่ปัญหาคือ… เราจะให้เทวทูตคนใดช่วย?


จากตัวเลือก มิสเตอร์อะซิกดูมีภาษีมากที่สุด แต่เขายังฟื้นฟูพลังกลับมาไม่หมด ตอนนี้คงอยู่แค่ราวนักบุญ… ในส่วนของวิล·อัสติน เด็กคนนั้นเป็นเพียงทารกที่ยังไม่คลอด…


ไคลน์ไม่หมกมุ่นนานนัก ไว้ค่อยวิเคราะห์อย่างละเอียดหลังจากการชุมนุมจบลง


ในเวลาเดียวกัน แฮงแมนกวาดสายตาอ่านเอกสารในมืออย่างรวดเร็ว จับประเด็นสำคัญได้ครบถ้วนในทิศทางที่คล้ายคลึงกับไคลน์


อัลเจอร์เริ่มผุดสมมติฐาน


สาเหตุที่เดอะเวิร์ลต้องหาวิธีลบจิตกัดกร่อนออกจากตะกอนพลังด้วยตัวเอง คงเพราะถูกมิสเตอร์ฟูลมอบหมายงานในฐานะข้ารับใช้…


ขณะเดียวกันก็หมายความว่า พลังในปัจจุบันของมิสเตอร์ฟูล ยังฟื้นฟูไปไม่ถึงระดับเทวทูต ไม่อย่างนั้น ท่านคงลบจิตกัดกร่อนออกจากตะกอนพลังด้วยตัวเองอย่างง่ายดาย…


ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว… คงราวเจ็ดเดือนได้กระมัง… ตอนนี้ท่านฟื้นฟูพลังจนถึงระดับนักบุญแล้วสินะ… ไม่ผิดแน่ อย่างน้อยก็ต้องนักบุญ เพราะท่านตอบสนองพิธีกรรมแทนคาเวทูว่าได้!


อีกเพียงหนึ่งถึงสองปี ท่านคงหลุดพ้นจากผนึกใกล้สมบูรณ์จนมีพลังทัดเทียมเทวทูตแถวหน้าคนอื่น และห่างจากเป้าหมายสุดท้ายเพียงแค่เอื้อมมือ…


โดยไม่สนใจอากัปกิริยาของแฮงแมน เฮอร์มิท แคทลียา หันมาจ้องเดอะเวิร์ลพลางเผยรอยยิ้ม


“ไม่แน่ใจว่า วิธีที่ฉันทราบจะถูกระบุไว้ในเอกสารดังกล่าวหรือไม่ แต่ฉันยินดีแนะนำโดยไม่คิดค่าตอบแทน โอสถ ‘ผู้เจิดจรัส’ แห่งเส้นทางสุริยัน สามารถขจัดจิตกัดกร่อนออกจากตะกอนพลังที่ปนเปื้อนได้โดยตรง”


มาดามเฮอร์มิทพยายามมีส่วนร่วมมากกว่าคราวก่อน… เป็นเพราะเธอปรับตัวได้แล้ว หรือเพราะทราบว่า สมาชิกชุมนุมทาโรต์ส่วนใหญ่มีลำดับต่ำ จึงไม่ต้องคอยระวังตัว?


ไคลน์ค่อนข้างประหลาดใจกับท่าทีของพลเรือเอกดวงดาว·แคทลียา แต่ก็ขอบคุณที่ทำให้ทราบว่ายังมีอีกหนึ่งวิธี


ไม่น่าแปลกใจเท่าไรที่เมืองเงินพิสุทธิ์ไม่ทราบวิธีดังกล่าว พวกเขายังขาดแคลนข้อมูลของเส้นทางสุริยันอยู่มาก…


อย่างไรก็ตาม เราคงหา ‘ผู้เจิดจรัส’ มาช่วยลบจิตกัดกร่อนไม่ได้อยู่ดี ถึงจะมีสูตรผลิตโอสถรุ่นไม่สมบูรณ์ในมือก็ตาม…


ชายหนุ่มบังคับเดอะเวิร์ลครุ่นคิด ก่อนจะหันไปทางแคทลียาและฉีกยิ้มกว้าง


“ขอบคุณสำหรับน้ำใจ มาดามเฮอร์มิท”


ถัดมา ไคลน์หันไปพูดกับเดอะซัน·เดอร์ริค ด้วยมาดของนักขาย


“คุณเคยได้ยินหนังสือชื่อ ‘การเดินทางของกรอซาย’ บ้างไหม”


เดอะซัน·เดอร์ริคก้มหน้านึกสักพัก ก่อนจะส่ายหัวและมอบคำตอบจากใจจริง


“ไม่เลย”


ไม่เลย…


ไคลน์เกือบไปต่อไม่ถูก ยังดีที่มีสติ จึงบังคับให้เดอะเวิร์ลพึมพำเสียงค่อนข้างดัง


“เป็นหนังสือวิเศษจากตระกูลมังกร เจ้าของคนก่อนหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาทั้งหมด”


“จากตระกูลมังกร?” จัสติส·ออเดรย์หูผึ่งทันที รีบหันมาถามอย่างสนใจ


“ถูกต้อง ผู้วิเศษคนหนึ่งเสนอขายให้ผมในราคาแปดพันปอนด์ปอนด์” เดอะเวิร์ลตอบเสียงแหบ


มันมิได้บวกเงินเพิ่มไปจากที่เอ็ดวิน่าเสนอ เพราะนั่นคือราคาที่ยังไม่ได้ต่อรอง เหลือช่องว่างให้ทำกำไรอีกพอสมควร แต่ถึงเอ็ดวิน่าจะยืนกรานขายในราคาแปดพันปอนด์ปอนด์ ไคลน์ก็มีสิทธิ์ศึกษาอย่างละเอียดก่อนส่งมอบ ถือเป็นข้อได้เปรียบในฐานะคนกลาง


ออเดรย์เม้มปากเล็กน้อย สายตาเบือนไปทางด้านข้างพลางครุ่นคิด


ก่อนจะหันกลับมาถาม


“มันพิเศษอย่างไรหรือคะ”


“ผมก็ยังตอบไม่ได้ กำลังศึกษาข้อมูลอยู่” เดอะเวิร์ลอธิบายตามความจริง


“ขอคิดดูก่อนค่ะ” ออเดรย์ไม่รีบร้อนตอบตกลงทันที เพราะเงินจำนวนแปดพันปอนด์ปอนด์ก็ไม่น้อยสำหรับเธอเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่า เธอเพิ่งเบิกเงินค่า ‘คำลวง’ จากบิดามาในราคาสูง การซื้อหนังสือไม่ทราบสรรพคุณในราคาแปดพันปอนด์ปอนด์ออกจะเกินไปสักหน่อย และหากต้องการใช้เงินส่วนตัวซื้อ เธอต้องออมเงินอีกไม่ต่ำกว่าสามเดือน ยังไม่รวมว่าต้องซื้อตะกอนพลัง ‘นักจิตบำบัด’ ให้ซูซี่


คิดได้เช่นนั้น หญิงสาวย้อนถามเดอะเวิร์ลเกี่ยวกับความคืบหน้าของตะกอนพลังนักจิตบำบัด


ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เราทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปกับการล่าพลเรือโทโรคภัย แถมยังล้มเหลวไม่เป็นท่า อดใช้ยุบพองหิวโหยเขมือบพลังชนิดใหม่ จึงยังปล่อยดวงวิญญาณของเก่าออกไปไม่ได้…


ไคลน์พลันกระอักกระอ่วน เริ่มตระหนักว่าภาพลักษณ์ของเดอะเวิร์ลในสายตาสมาชิกคนอื่นค่อย ๆ ถูกทำลายลงทีละนิด


……………………


ราชันเร้นลับ 594 : ภารกิจจากเดอะเวิร์ล

โดย

Ink Stone_Fantasy

โชคยังดีว่า ใบหน้าของเดอะเวิร์ลมิอาจแดงก่ำได้เหมือนกับในชีวิตจริง ตราบใดที่ไคลน์ไม่ไปควบคุม เดอะเวิร์ลจะเป็นเพียงหุ่นเชิดปราศจากอารมณ์ความรู้สึก


ชายหนุ่มเผยรอยยิ้ม


“ขอเวลาอีกสองสามวัน”


จัสติส·ออเดรย์พยักหน้ารับอย่างสงวนกิริยา หญิงสาวไม่ออกอาการร้อนรน เพราะซูซี่ยังมิได้ส่งสัญญาณว่าต้องการเลื่อนลำดับในเร็ววัน


แน่นอนอยู่แล้ว ซูซี่เป็นแค่หมา


ทางด้านแฮงแมนและเดอะมูน พวกมันเพิ่งเลื่อนลำดับมาหมาด ๆ ยังอยู่ในช่วงทำความรู้จักและควบคุมพลังวิญญาณ อีกทั้งยังต้องฝึกฝนพลังชนิดใหม่ให้ชำนาญ จึงไม่มีความต้องการจะซื้อสูตรโอสถหรือตะกอนพลังในลำดับถัดไป ทำเพียงรอคอยอย่างใจเย็น จนกว่าช่วงเวลาค้าขายของชุมนุมจะจบลง


อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญก็คือ พวกมันเหลือเงินติดตัวไม่มาก แม้แฮงแมน·อัลเจอร์จะทำกำไรจากการขายมรดกของบารอนผีดูดเลือดได้อย่างมหาศาล แบ่งเป็นค่าส่วนต่างเดิมหนึ่งพันหนึ่งร้อยปอนด์ และกำไรเพิ่มเติมที่ช่วยเดอะมูนต่อรองราคาอีกสามร้อยปอนด์ รวมเป็นกำไรสุทธิหนึ่งพันสี่ร้อยปอนด์ แต่ถึงอย่างนั้น เงินเก็บเกือบทั้งหมดของก็มันหมดไปกับการซื้อแหวน ‘แส้จิต’ เมื่อหลายวันก่อน เมื่อรวมกับกำไรที่ได้จากเอ็มลิน แฮงแมนจึงมีเงินสดพร้อมใช้เพียง 1,445 ปอนด์


ทางด้านเดอะมูน นอกจากจะควักเงินซื้อมรดกบารอนไปในราคาสี่พันสามร้อยปอนด์ มันยังซื้อตุ๊กตาตัวใหม่ เสื้อผ้าตุ๊กตา ส่งผลให้เหลือเงินเก็บเพียงสองพันสามร้อยปอนด์ อาจฟังดูเหมือนร่ำรวย แต่มรดกของไวเคาต์ผีดูดเลือดนั้นมีราคาไม่ต่ำกว่าแปดพันปอนด์ ไม่มีทางซื้อได้ในเร็ววันแน่


ในส่วนของเดอะซัน·เดอร์ริค คะแนนผลงานทั้งหมดถูกใช้ไปจนเกลี้ยง ต้องรอให้เสร็จภารกิจลาดตระเวนครั้งถัดไป จึงพอจะมีสิ่งของสำหรับแลกเปลี่ยนกับคนอื่น


สำหรับเมจิกเชี่ยน·ฟอร์ส และจัสติส·ออเดรย์ สองสาวไม่สนใจการซื้อสูตรผลิตโอสถเท่าไรนัก พวกเธอต่างมีช่องทางของตัวเอง แถมยังไม่ใช่ความลับที่ต้องปิดบัง จึงไม่ต้องทำเรื่องสิ้นเปลืองอย่างการซื้อสูตรผลิตโอสถกลบเกลื่อนบังหน้า


ในระยะหลัง ออเดรย์ลดการใช้เงินในชุมนุมทาโรต์ลงมาก เธออาจไม่ใช่คนงก แต่ก็ไม่ใช่คนโง่


เฮอร์มิท·แคทลียายังคงทำตัวเป็นผู้ชมเสียส่วนเป็นส่วนใหญ่ ไม่ยอมเปิดเผยความต้องการของตนให้ใครทราบ


เหตุผลไม่ซับซ้อน หากไม่นับเดอะฟูล เธอไม่เชื่อว่าสมาชิกชุมนุมทาโรต์จะสนองเป้าหมายของเธอได้ การคิดแบบนี้ไม่ใช่เรื่องผิด ในฐานะพลเรือโจรสลัดที่อยู่ในลำดับ 5 มานานหลายปี เป้าหมายของเธอคือครึ่งเทพ ดังนั้น ผู้วิเศษลำดับ 7 หรือ 6 จึงไม่น่าจะมีปัญญาช่วยเหลือ


แคทลียาจ้องไปทางเดอะซันและคนอื่น ๆ ด้วยดวงตาสีม่วงสว่างอย่างเงียบงัน รอคอยให้หัวข้อสนทนาในปัจจุบันจบลง


ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก บังคับเดอะเวิร์ลกล่าวพลางมองหน้าทุกคน


“มีใครต้องการขายสมบัติวิเศษที่มุ่งเน้นด้านการโจมตีบ้างไหม?”


แน่นอน เป้าหมายของคำถามคือเฮอร์มิท หากเป็นสมบัติวิเศษในระดับที่สนองความต้องการของไคลน์ได้ ก็ต้องมาจากพลเรือโจรสลัดผู้คร่ำหวอดในทะเลมานานหลายปีเท่านั้น แม้แต่แฮงแมนกับช่างฝีมือก็ยังไม่เข้าตาไคลน์ นอกเสียจากว่า ตนจะหาตะกอนพลังลำดับ 6 หรือ 5 ไปให้อีกฝ่ายช่วยผลิต


เฮอร์มิท·แคทลียาเงียบงันสองวินาที ส่ายหน้าแผ่วเบาและเชื่องช้า มอบคำตอบเสียงไพเราะ


“หากดิฉันพบสิ่งที่ตรงตามคุณสมบัติของคุณในชุมนุมลับอื่น จะช่วยสอบถามข้อมูลให้”


ตลอดปลายปีที่ผ่านมา เธอสังหารผู้วิเศษไปเป็นจำนวนมาก ปริมาณสมบัติวิเศษที่ผ่านมือจึงมีไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่จะถูกแจกจ่ายให้โจรสลัดลูกเรือในรูปแบบของรางวัล ในจำนวนดังกล่าว แคทลียาเลือกเก็บไว้เองสองชิ้น เนื่องจากพวกมันช่วยยกระดับพลังพิเศษและอัตราการรอดชีวิตของเธออย่างมาก ปัจจุบันจึงไม่เหลือสมบัติวิเศษสำหรับขายให้คนนอก


ส่วนสองชิ้นที่เธอใช้เอง หากไม่เลื่อนลำดับเป็นครึ่งเทพ ก็จะไม่มีวันขายให้ใครเด็ดขาด


ดูเหมือนว่า แม้แต่พลเรือเอกดวงดาวก็มิได้มั่งคั่งจนเหลือกินเหลือใช้สินะ… พอจะเข้าใจได้ ยิ่งเป็นกลุ่มโจรสลัดใหญ่ ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งสูง…


ไคลน์ถอนหายใจยาว บังคับเดอะเวิร์ลพูดขอบคุณด้วยเสียงแหบ


ขณะช่วงเวลาค้าขายใกล้ถึงจบลง ชายหนุ่มควบคุมเดอะเวิร์ลมองไปทางเมจิกเชี่ยน·ฟอร์ส


“ผมมีงานให้คุณ”


“ฉัน?” ฟอร์สค่อนข้างประหลาดใจ


คงเป็นงานจิปาถะเหมือนกับการหาซื้อเครื่องรับโทรเลขไร้สายกระมัง… หญิงสาวครุ่นคิดกับตัวเองพลางขยับมุมปาก


เดอะเวิร์ลพยักหน้า


“ช่วยเดินไปรอบ ๆ ถนนวิลเลียมส์ที่ตั้งอยู่ระหว่างเขตตะวันตกและเขตราชินี คอยจับตามองความผิดปรกติเอาไว้ หากพบเมื่อใด รีบแจ้งให้ผมทราบทันที”


มันไม่เสียเวลาอธิบายว่าต้องแจ้งข่าวผ่านการวิงวอนถึงเดอะฟูล เพราะทุกคนในชุมนุมทาโรต์คุ้นเคยกับระบบนี้เป็นอย่างดีแล้ว


“ความผิดปรกติ… ผิดปรกติในลักษณะใด?” ฟอร์สซักถามอย่างรอบคอบด้วยสีหน้าฉงน


ถนนวิลเลียมส์ในกรุงเบ็คลันด์จะมีความผิดปรกติเกิดขึ้น…?


เดิมที จัสติส·ออเดรย์ไม่สนใจงานของเดอะเวิร์ลสักเท่าไร แต่เมื่อตระหนักว่าเกี่ยวข้องกับเมืองที่เธออาศัย ความกังวลจึงตามมา


สาเหตุเพราะ หญิงสาวไม่กล้าเคลือบแคลงความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าวจากเดอะเวิร์ล โศกนาฏกรรมหมอกพิษในกรุงเบ็คลันด์คือเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี!


เขตตะวันตก… เขตราชินี… ฟังดูเหมือนย่านหนึ่งในเบ็คลันด์ เมืองหลวงของโลเอ็น…


มิสเมจิกเชี่ยนอาศัยอยู่ในกรุงโลเอ็น?


นึกแล้วเชียว ถึงภายนอกจะดูธรรมดา แต่ก็มีประโยชน์ในด้านการหาข่าว… สำหรับองค์กรลับทั่วไป สมาชิกที่อยู่ในเมืองหลวงจะมีประโยชน์กว่าสมาชิกตามชนบทหลายเท่า… แต่เธออาจเป็นเหมือนกับเรา บังเอิญถูกดึงเข้าร่วมชุมนุมเพราะมิสเตอร์ฟูลช่วยรักษาชีวิตเอาไว้ เป็นการพานพบทางโชคชะตา…


เฮอร์มิท·แคทลียาชำเลืองฟอร์สด้วยหางตา สมองกำลังวิเคราะห์รายละเอียดจากเนื้อหาของบทสนทนา


แฮงแมน·อัลเจอร์เริ่มตื่นเต้น เพราะมันทราบว่าเดอะเวิร์ลคือข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล การที่อีกฝ่ายใส่ใจเป็นพิเศษ หมายความว่าย่านดังกล่าวกำลังจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่!


ถนนที่ชื่อวิลเลียมส์ซ่อนความลับใดไว้?


อัลเจอร์ทำได้เพียงควบคุมตัวเองมิให้ตื่นเต้นเกินสมควร ภายในใจไตร่ตรองอย่างเงียบงัน


ผิดปรกติในลักษณะใด? ใครจะไปรู้กันเล่า!


ไคลน์รำพันตัดพ้อ บังคับเดอะเวิร์ลมอบคำตอบด้วยเสียงมืดมน


“รายงานทุกสิ่งที่คุณคิดว่าไม่ปรกติ แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่า หากพบสิ่งไม่ปรกติแม้แต่เพียงเล็กน้อย ห้ามขุดคุ้ยด้วยตัวเองเด็ดขาด ให้คนอื่นทำก็ไม่ได้เช่นกัน เรื่องนี้อันตรายเกินไป คุณต้องการค่าจ้างเท่าไร”


งานอันตราย… ฟอร์สเริ่มลังเลว่าตนควรปฏิเสธดีหรือไม่


แต่เมื่อประเมินว่า โศกนาฏกรรมหมอกพิษเมื่อเดือนก่อนส่งผลกระทบเป็นวงกว้างจนเกือบทำให้เธอเดือดร้อนไปด้วย ความผิดปรกติบนถนนวิลเลียมส์อาจไม่รุนแรงเท่าเก่า แต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าเธอจะไม่โดนผลกระทบ


ภายในใจหญิงสาวเริ่มเกิดความขัดแย้ง


ไม่กี่อึดใจถัดมา ฟอร์สเปลี่ยนอากัปกิริยาพร้อมกับมอบคำตอบ


“หนึ่งร้อยปอนด์”


“ถูกกว่าที่ผมคิดไว้” เดอะเวิร์ลเผยรอยยิ้ม


เมจิกเชี่ยน·ฟอร์สผายมือสองข้าง


“ส่วนหนึ่ง ฉันทำไปเพื่อตัวเอง”


ก็แค่ภารกิจจับตามองผู้คน… ถือเป็นวัตถุดิบชั้นดีสำหรับนิยายเรื่องถัดไป…


แล้วอีกอย่าง เราไม่ควรหมกตัวอยู่แต่ในบ้านทั้งวัน ถึงเวลาออกไปยืดเส้นยืดสายบ้าง…


ไม่ใช่แค่นั้น เราควรหาโอกาสสวมบทบาทเป็นนักตุกติก ลำพังการเล่นกลให้ซิลดู คงไม่เพียงพอที่จะย่อยโอสถได้อย่างมีประสิทธิภาพ… แล้วเราต้องสวมบทบาทอย่างไร? ไปขอทำงานกับคณะละครสัตว์เพื่อแสดงมายากล? หรือควรแสดงกลเปิดหมวกกลางจัตุรัส? เราไม่เคยกังวลภาพลักษณ์ของตัวเอง ในฐานะนักเขียนนิยาย ทุกรสชาติของชีวิตคือประสบการณ์อันล้ำค่า…


ความคิดฟอร์สเริ่มกระเจิดกระเจิง


เมื่อตกลงกับอีกฝ่ายสำเร็จ ไคลน์บังคับเดอะเวิร์ลมองไปทางแฮงแมน เผยรอยยิ้มมืดมน


“ผมได้รับข้อมูลมาว่า หลังจากโบสถ์วายุสลาตันออกปฏิบัติการครั้งใหญ่ ปัญหาของท่าเรือแบนชีได้ถูกสะสางเป็นที่เรียบร้อย”


ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา อัลเจอร์เอาแต่ล่องทะเลจนขาดการติดต่อกับโบสถ์โดยสิ้นเชิง


มันถามกลับด้วยเสียงลุ่มลึก


“ผลลัพธ์เป็นอย่างไร”


“คงไม่มีท่าเรือแบนชีไปอีกพักใหญ่”


เดอะเวิร์ลเผยรอยยิ้มแฝงเลศนัย


ได้ยินคำตอบดังกล่าว จัสติส·ออเดรย์และคนที่เหลือเริ่มจับประเด็นการสนทนาได้


ทั้งสองกำลังพูดถึงเมืองท่าแบนชี หรือที่เคยมีชื่อโบราณว่าหมู่บ้านบินซี่!


มิสเตอร์ฟูลเล่าว่า สถานที่ดังกล่าวมีความเกี่ยวพันกับลูกหลานตระกูลเมดีซี หนึ่งในราชาเทวทูต!


ตีความจากคำพูดของมิสเตอร์เวิร์ล โบสถ์วายุสลาตันลงมือถล่มเกาะแบนชีจนราบเป็นหน้ากลอง?


วิธีการสมกับเป็นโบสถ์วายุ… ไม่เลว อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าชาวเมืองบริสุทธิ์จะปนเปื้อนความชั่วร้าย… ชักอยากรู้แล้วว่า ราชาเทวทูตปรากฏตัวออกมาหรือไม่ หนีรอดไหม สันตะปาปาออกโรงด้วยตัวเองรึเปล่า และโบสถ์ใช้สมบัติปิดผนึกระดับ 0 ชิ้นใดในปฏิบัติการ…


จัสติส·ออเดรย์หายใจทั่วท้อง ดวงตาเผยความระยิบระยับขณะหันมาถาม


“มิสเตอร์เวิร์ล คุณทราบรายละเอียดของปฏิบัติการไหมคะ”


“ไม่… คงไม่มีใครทราบรายละเอียดนอกจากบุคคลระดับอาวุโสใหญ่ของโบสถ์ขึ้นไป” เดอะเวิร์ลหรี่ตาลง ชำเลืองไปทางแฮงแมน


แฮงแมนเงียบงัน ภายในใจเกิดความทะเยอทะยานที่จะพัฒนาตัวเอง


เราต้องเป็นสมาชิกระดับสูงของโบสถ์ให้ได้!


มันสาบานกับตัวเอง


เดอะเฮอร์มิท·แคทลียา ผู้เพิ่งเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์เป็นครั้งที่สอง ย่อมไม่เข้าใจว่าคนเหล่านี้กำลังพูดถึงเรื่องใด


ในฐานะพลเรือโจรสลัด เธอย่อมรู้จักเมืองท่าแบนชีแห่งทะเลโซเนีย เพียงแต่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมโบสถ์วายุสลาตันถึงต้องลงมือทำลายทิ้งทั้งเกาะ เพราะการฟื้นฟูใหม่จะสิ้นเปลืองเวลาและทรัพยากรอย่างมาก


ฟังจากรายละเอียด คงเป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่เกี่ยวพันกับตัวตนระดับสูง… สมาชิกชุมนุมทาโรต์เหล่านี้ ถึงแม้จะมีลำดับพลังไม่มาก แต่ข้อมูลในมือกลับหลากหลายและเชิงลึกจนน่าทึ่ง แถมยังเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญไม่น้อย…


ยกเว้นเดอะซันไว้หนึ่งคน…


นี่คือเหตุผลที่มิสเตอร์ฟูลเลือกเฟ้นคนเหล่านี้มาก่อตั้งเป็นชุมนุม? ท่านกำลังวางแผนสร้างอิทธิพลต่อโลกความเป็นจริง ผ่านอำนาจขององค์กรลับที่มีสมาชิกชุมนุมทาโรต์แฝงตัวสังกัด?


เป็นอีกครั้งที่เดอะเฮอร์มิท·แคทลียา มองชุมนุมทาโรต์ในแง่มุมใหม่ พร้อมกับประเมินสมาชิกเหล่านี้สูงขึ้นเรื่อย ๆ


เมื่อเห็นพลเรือเอกดวงดาวเอาแต่นั่งสงบเสงี่ยม ไม่เอ่ยปากซักถามสิ่งใด ออเดรย์รู้สึกผิดหวังรุนแรง เพราะเธอรอที่จะโอ้อวดข้อมูลของราชาเทวทูตให้อีกฝ่ายฟังด้วยใจจดจ่อ


ถึงจะเป็นมาดามเฮอร์มิท แต่ก็คงไม่เคยพบราชาเทวทูตตัวเป็น ๆ แน่… ไม่สิ อาจไม่ทราบด้วยซ้ำว่าโลกนี้มีราชาเทวทูตอยู่… ออเดรย์ครุ่นคิดอย่างนึกเสียดาย


เมื่อช่วงเวลาค้าขายจบลง เดอะมูน·เอ็มลินที่รอคอยมานาน รีบส่งเสียงกระแอมล้างคอ


“ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากมิสเตอร์แฮงแมน ข้าจึงกลายเป็นบารอนอย่างราบรื่น แต่ข้ามีคำถาม ในฐานะบารอนผีดูดเลือด ข้าจำเป็นต้องใช้เทคนิคสวมบทบาทเหมือนกับมนุษย์หรือไม่ หากไม่ต้อง พลังพิเศษจะกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายไหม?” เอ็มลินซักถามในท่าหลังเหยียดตรง คอเกร็ง คางเชิด


สหาย ขอแสดงความเสียใจล่วงหน้า แม้แต่มิสเตอร์ฟูลผู้ยิ่งใหญ่ก็ตอบคำถามนี้ไม่ได้…


แต่ในเชิงทฤษฎี นายควรสวมบทบาท เพราะตะกอนพลังที่กินเข้าไปเป็นของคนอื่น…


ไคลน์เอนหลังพิงพนัก รายล้อมไปด้วยม่านหมอกหนาทึบ กวาดสายตาสำรวจสมาชิกชุมนุมทาโรต์อย่างผ่อนคลาย


เฮอร์มิท·แคทลียามองรอบตัวหนึ่งหน


“บารอนผีดูดเลือด… หมายถึงโอสถลำดับ 6 ศาสตราจารย์โอสถ?”


“ถูกต้อง” เอ็มลินฉีกยิ้มกว้าง


มันไม่ใช่คนโง่ หากไม่นับเดอะเวิร์ลที่ไม่เคยประกาศซื้อสูตรโอสถในชุมนุม เอ็มลินสามารถคาดเดาลำดับของสมาชิกชุมนุมทาโรต์ทุกคนได้จากข้อมูลการซื้อขายในสัปดาห์ก่อน ๆ มันจึงเชื่อว่าตนมีลำดับสูงกว่าใครทั้งหมด ถ้าไม่รวมเดอะฟูลและมาดามเฮอร์มิทที่เพิ่งเข้าร่วม


มิสเตอร์มูนลำดับ 6 แล้ว? แต่ทำไมถึงทำตัวเด็กน้อยยิ่งกว่าเดอะซันเสียอีก…


ออเดรย์เม้มปากอย่างสงวนกิริยา


เฮอร์มิท·แคทลียากล่าวต่อ


“คุณจำเป็นต้องสวมบทบาท สาเหตุที่ไม่ต้องทำในลำดับก่อนหน้า เพราะพวกคุณเกิดมาพร้อมกับพลังลำดับ 7 ‘แวมไพร์’ อยู่แล้ว ขอเพียงเป็นตัวของตัวเอง ก็ถือว่าได้ใช้เทคนิคสวมบทบาทโดยไม่รู้ตัว”


“มาดามเฮอร์มิท คุณพอจะทราบไหมคะ ว่าลำดับ 7 แวมไพร์ มีชื่อเส้นทางว่าอะไร”


จัสติส·ออเดรย์ซักถามพลางกะพริบตาถี่ ชิงตัดหน้าเอ็มลินที่กำลังพะงาบปากเตรียมกล่าวบางสิ่ง


……………………


ราชันเร้นลับ 595 : ขอบเขต

โดย

Ink Stone_Fantasy

โดยไม่รอคำตอบจากเฮอร์มิท จัสติส·ออเดรย์รีบเสริม


“หากคุณคิดว่าข้อมูลดังกล่าวมีมูลค่าสูง ดิฉันยินดีจ่ายเงินเพื่อซื้อ”


“ไม่จำเป็น ข้อมูลมิได้เป็นความลับขนาดนั้น ขอเพียงใกล้ชิดกับโบสถ์พระแม่ธรณีแห่งเฟเนพ็อต ทุกคนล้วนทราบรายละเอียด”


เฮอร์มิท·แคทลียา ไม่เคลือบแคลงความจริงใจที่ต้องการจ่ายเงินของจัสติส เชื่อว่าอีกฝ่ายมีกำลังทรัพย์เพียงพอ แต่ท้ายที่สุด แคทลียาก็เลือกจะบอกโดยไม่คิดเงิน


จุดประสงค์ของเธอคือ หยิบยื่นไมตรีให้อีกฝ่ายก่อน การซื้อขายในอนาคตจะได้ราบรื่นและง่ายต่อการต่อรอง ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลคือ เธอต้องการสำรวจพฤติกรรมของสมาชิกคนอื่นขณะที่ตนเปิดเผยข้อมูล เป็นการประเมินสถานการณ์ของชุมนุมไปในตัว ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายศพ


จริงอยู่ เราอาจรู้จักบิชอปยูทรอฟสกี้จากโบสถ์พระแม่ธรณี แต่กลับไม่ทราบลำดับเส้นทางของโบสถ์เลยสักนิด… คงเป็นเพราะไม่กล้าเข้าไปตีสนิท ลำพังขนาดร่างกายของเขาก็มากพอจะข่มขวัญคู่สนทนา ทุกครั้งที่เข้าโบสถ์ เราจึงมองหาแต่เอ็มลิน…


ไคลน์ ‘เดอะฟูล’ บนที่นั่งประธานชุมนุม รำพันความอ่อนแอของตัวเองในใจ


เฮอร์มิท·แคทลียาเล่าต่อ


“โอสถแวมไพร์อยู่บนเส้นทาง ‘จันทรา’ ลำดับ 9 นักปรุงยา ลำดับ 8 นักฝึกสัตว์ ลำดับ 6 ศาสตราจารย์โอสถ ลำดับ 5 บัณฑิตสีชาด ลำดับ 4 ราชาหมอผี… เหนือขึ้นไปจากนั้น ดิฉันไม่ทราบแล้ว”


“อะแฮ่ม!” เอ็มลินกระแอม “มาดามเฮอร์มิท ข้าขอแก้ไขข้อมูลที่ผิดพลาดบางจุด…


“ไม่ใช่แวมไพร์ แต่เป็นผีดูดเลือด! หึหึ… แต่ถ้าเจ้าเรียกมนุษย์ที่ดื่มโอสถว่าแวมไพร์ ข้าก็ไม่ขัดข้องแต่อย่างใด ออกจะเห็นพ้องด้วยซ้ำ”


กลายเป็นว่า แวมไพร์อยู่บนเส้นทางเดียวกับนักปรุงยาหรอกหรือ… แถมยังรวมถึงไปราชาหมอผีด้วย เข้าใจแล้วว่าทำไม ‘คารามัน’ ถึงนับถือ ‘ดวงจันทร์บรรพกาล’ มากกว่าเทพธิดารัตติกาล…


ถ้าอย่างนั้น สมบัติปิดผนึกของโรงเรียนกุหลาบ ‘มงกุฎจันทร์ชาด’ ที่อยู่ในมือของมาดามชารอนตอนนี้ ก็คงเกิดจากผู้วิเศษลำดับ ‘บัณฑิตสีชาด’ หรือเทียบเท่า ‘ไวเคาต์ผีดูดเลือด’ … ความสามารถของมันคือ สร้างอิทธิพลแบบเดียวกันจันทร์เต็มดวง ลดผลข้างเคียงด้านลบที่เคยได้รับ มาพร้อมการเสริมความเร็ว ความทนทานของร่างกาย และครอบครองมนตร์ดำทรงพลังอีกบางชนิด ข้อเสียก็คือ ต้องคอยดูดเลือดสดจากคนเป็นอย่างต่อเนื่อง… ไม่ว่าจะมองมุมใดก็เหมือนกับผีดูดเลือด…


อีกหนึ่งจุดที่คล้ายคลึงกับเส้นทางนักทำนาย โอสถลำดับก่อนหลังแทบไม่มีความสัมพันธ์กัน…


ไคลน์ปะติดปะต่อเศษข้อมูล ผ่านไปสักพัก ความสงสัยใหม่ได้ผุดขึ้น


แฮงแมน·อัลเจอร์ เมจิกเชี่ยน·ฟอร์ส และคนที่เหลือต่างตอบสนองแตกต่างกันไป บ้างนำข้อมูลจากเฮอร์มิทไปคิดต่อยอด บ้างนั่งฟังอย่างตั้งใจ และบ้างก็แสร้งทำเป็นเมินเฉย


จากการสำรวจเบื้องต้น เฮอร์มิท·แคทลียาพอจะเดาได้ว่า สมาชิกส่วนใหญ่ของชุมนุมไม่มีข้อมูลแวมไพร์มาก่อน


หมายความว่า แต่ละคนยังมีตำแหน่งต่ำในองค์กรของตัวเอง อาจเพราะเพิ่งถูกดึงเข้าร่วมชุมนุมได้ไม่นาน… อย่างไรก็ตาม พัฒนาการทางลำดับพลังของพวกเขารวดเร็วจนน่าทึ่ง….


เดอะเวิร์ลไม่ตอบสนอง อาจมีเทคนิคการเก็บซ่อนอารมณ์จนเราอ่านไม่ออก หรือไม่ก็ทราบข้อมูลของแวมไพร์อยู่แล้ว หรือเป็นได้ทั้งคู่…


เธอประเมินว่าเดอะเวิร์ลคือบุคคลอันตรายที่ตนต้องคอยระวังเอาไว้


จัสติส·ออเดรย์นั่งฟังอย่างสนใจ ครุ่นคิดตามประหนึ่งกำลังเรียนคาบสอนพิเศษที่คฤหาสน์


“มาดามเฮอร์มิท ทำไมแต่ละลำดับของเส้นทางจันทราจึงแทบไม่มีความสัมพันธ์กันเลยคะ?”


เฮอร์มิท·แคทลียาจ้องจัสติส พบว่าเดรสและเครื่องประดับที่อีกฝ่ายสวมล้วนเป็นเซตใหม่ทั้งหมด ไม่ซ้ำกับคราวก่อนแม้แต่ชิ้นเดียว แถมยังเป็นคนละสไตล์โดยสิ้นเชิง แผ่กลิ่นอายความหรูหราสง่างามอย่างท่วมท้น


แคทลียาถูกดึงเข้าสู่ภวังค์ ภาพความทรงจำในอดีตย้อนกลับมาฉาย เป็นฉากของราชินีคนหนึ่งในวัยเด็ก เธอมักเปลี่ยนเครื่องแต่งกายไม่ซ้ำแต่ละวัน โดยทุกชุดถูกออกแบบให้เข้ากับแต่ละโอกาส


หลังจากเงียบงันสักพัก แคทลียาเล่าต่อ


“แต่ละลำดับบนเส้นทางไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กัน แม้แต่นิดเดียวก็ไม่ ขอเพียงมีองค์ประกอบในขอบเขตของเทพประจำเส้นทางดังกล่าวก็พอ ตัวอย่างเช่น ‘จันทรา’ จะอยู่ในขอบเขตพลังวิญญาณ พืชพรรณ ความงดงาม อายุขัย ส่วนประกอบของชีวิต ส่วนประกอบของความมืด และส่วนประกอบของความพิสดาร นักปรุงยาสื่อถึงพืชพรรณ แวมไพร์สื่อถึงอายุขัยและความงดงาม นักฝึกสัตว์สื่อถึงส่วนประกอบของชีวิตและวิญญาณ”


“ผีดูดเลือด!” เดอะมูน เอ็มลิน·ไวท์ แผดเสียงขึงขัง เชิดคางแผ่วเบา “นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกข้าถึงได้สง่างามและน่าเกรงขาม”


ไม่จริงเลยสักนิด แวมไพร์ที่เราเคยเห็น ทั้งน่าขยะแขยงและชวนให้อาเจียน… เดอะซัน·เดอร์ริคโต้แย้งภายในใจ


อธิบายแบบนี้ได้ด้วยหรือ… ไม่เหมือนกับทฤษฎีของหัวหน้าและมาดามดาลีย์สักเท่าไร… น่าสนใจ… ทุกลำดับจะสื่อถึงพลังในขอบเขตของลำดับ 0… หากนำสองทฤษฎีมารวมกัน อาจได้เป็นคำตอบที่สมบูรณ์…


เรายังไม่ทราบว่าลำดับ 0 ของเส้นทางนักทำนายอยู่ในขอบเขตใดบ้าง… ประเมินจากสัญลักษณ์หลังเก้าอี้เดอะฟูล เป็นขอบเขตของความแปลกประหลาดและการเปลี่ยนแปลง?


ไคลน์ทำหน้านิ่ง ภายในใจใคร่ครวญ


จัสติส·ออเดรย์เข้าใจคำอธิบายของเฮอร์มิทในทันที อดไม่ได้ที่จะคาดเดาชื่อโอสถลำดับ 0 ของเส้นทางตัวเอง


คงไม่ใช่ ‘มังกร’ เฉย ๆ แน่… บนโลกมีมังกรมากมาย และพลังของมังกรทุกประเภทคงไม่ถูกบรรจุในเส้นทางเดียวอย่างครบถ้วน… หากจะให้เดาจากข้อมูลปัจจุบัน ใกล้เคียงที่สุดน่าจะเป็น ‘มังกรจิต’ …


เมื่อไรมิสเตอร์ฟูลจะมีไพ่เย้ยเทพของเส้นทางผู้ชมสักทีน้า~


หืม… หนังสือ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ถือกำเนิดขึ้นในหมู่ตระกูลมังกร เราไม่แน่ใจว่ามันจะเกี่ยวข้องกับมังกรจิตไหม…


ทันใดนั้น เดอะมูนซักถามเพื่อความแน่ใจ


“สรุปว่า แม้ว่าข้าจะเป็นคนโปรดของจันทรา แต่หากต้องการเลื่อนลำดับเป็นไวเคาต์ผีดูดเลือด ก็ต้องสวมบทบาทในฐานะศาสตราจารย์โอสถ?”


สหายเอ็มลิน นายถามเพื่อต้องการโอ้อวดประโยคแรกใช่ไหม… ได้ฟังเช่นนั้น ไคลน์ถึงกับต้องการใช้มือก่ายหน้าผาก


นี่คือเหตุผลหลักที่ชายหนุ่มเลือกฝากฝังงานตรวจสอบถนนวิลเลี่ยมส์ไว้กับมิสเมจิกเชี่ยน มิใช่เอ็มลิน·ไวท์ มันมองว่าแวมไพร์หนุ่มที่ไม่เข้าสังคมตนนี้ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้


ส่วนอีกหนึ่งเหตุผล เอ็มลินคงกำลังถูกจับตามองและควบคุมความประพฤติจากผีดูดเลือดระดับสูง หากไหว้วานให้เดินสำรวจรอบถนนวิลเลี่ยมส์ มีโอกาสที่ความลับอาคารโบราณใต้ดินจะถูกเปิดเผย


“ถูกต้อง” เฮอร์มิท·แคทลียาพยักหน้า


เมื่อช่วงเวลาแลกเปลี่ยนข้อมูลใกล้จบลง จัสติส·ออเดรย์ฉุกคิดบางสิ่งได้ หมุนตัวเล็กน้อยและมองไปยังที่นั่งประธาน


“มิสเตอร์ฟูล การสอบข้าราชการรอบที่สองจะเสร็จสิ้นในวันนี้ค่ะ เหลือแค่ขั้นตอนสอบสัมภาษณ์แล้ว”


น้ำเสียงของหญิงสาวฟังดูผ่อนคลาย เจือความยินดีปรีดาหลายส่วน คล้ายกับเด็กเรียนดีกำลังบอกผลสอบให้พ่อแม่ฟัง


ในความคิดออเดรย์ ระบบการสอบข้าราชการเกิดจากคำแนะนำของมิสเตอร์ฟูล ส่วนเธอเป็นผู้ผลักดันให้สำเร็จด้วยอิทธิพลของตระกูล ถือเป็นครั้งแรกที่ได้ใช้พลังพิเศษเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก หญิงสาวจึงใส่ใจกับความคืบหน้าการสอบข้าราชการเป็นพิเศษ


รอบที่สองจบแล้วหรือ… เบ็นสันจะไหวไหม.. จะได้สอบสัมภาษณ์รึเปล่า…


ไคลน์เอนหลัง อารมณ์เก่าเริ่มหวนกลับคืน


ชายหนุ่มพยักหน้ารับ กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ทำดีมาก”


เมื่อจัสติส·ออเดรย์ถูกมิสเตอร์ฟูลชมเชย หญิงสาวเริ่มเปี่ยมความสุข ภายในใจตระหนักว่า ตนได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของผู้คนจำนวนมากไปในทิศทางที่ดีขึ้น พลเมืองชั้นกลางค่อนไปทางล่างหลายคนที่มีความสามารถ จะถูกยกระดับกลายเป็นพลเมืองชั้นกลางค่อนไปทางสูง


เฮอร์มิท·แคทลียาได้ยินเช่นนั้น อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วย่นชนกัน เป็นอีกครั้งที่มุมมองเกี่ยวกับชุมนุมทาโรต์ต้องเปลี่ยนไป


การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอาณาจักรโลเอ็นเกิดจากการชักใยลับ ๆ ของชุมนุมทาโรต์? มิสจัสติสอาศัยอำนาจของตระกูลขุนนาง ผลักดันให้เกิดระบบการสอบข้าราชการที่ทันสมัย?


ถ้าเป็นแบบนั้นจริง แปลว่าเราประเมินพวกเขาต่ำไปมาก… แม้ลำดับพลังจะไม่สูง และตำแหน่งในองค์กรของแต่ละคนยังต่ำ แต่กลับมีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงโลกอย่างลับ ๆ?


แคทลียาถอนสายตากลับ ลังเลว่าเธอควรส่งคนไปสืบสวนต้นตอการเปลี่ยนแปลงของอาณาจักรโลเอ็นเมื่อครึ่งปีก่อนดีหรือไม่


ผ่านไปสักพัก เดอะฟูล·ไคลน์ประกาศสิ้นสุดชุมนุมทาโรต์ประจำสัปดาห์


เมื่อทุกคนทำความเคารพเสร็จ ชายหนุ่มตัดการเชื่อมต่อระหว่างดาวแดง เอนหลังพิงเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย นั่งจ้องบรรยากาศอันเงียบงันภายในวังสายหมอกเป็นเวลานาน



กรุงเบ็คลันด์ ร้านกาแฟบนถนนพระราชา


เมลิสซ่ากำลังถือช้อนเซรามิก คนชาดำแช่มะนาวฝานอย่างเหม่อลอย สายตาจ้องออกไปบนถนนนอกหน้าต่างที่เต็มไปด้วยแสงไฟท่ามกลางหมอกขาว


หมวกติดตาข่ายสีดำถูกวางบนเบาะด้านข้าง บนโต๊ะเบื้องหน้ามีจานขนมปังราคาถูกที่สุดในร้านวางอยู่ ยังใหม่เอี่ยมปราศจากรอยกัด


เธอกังวลว่าการนั่งเฉย ๆ จะทำให้เจ้าของร้านเกิดความไม่พอใจ เนื่องจากเป็นการนั่งจองที่จนทำให้เสียลูกค้ารายอื่น แต่หลังจากมองไปรอบตัว ภายในร้านกลับเต็มไปด้วยลูกค้าแบบเดียวกับเธอ ความรู้สึกผิดจึงลดทอนลงหลายส่วน


จากวินาทีกลายเป็นนาที ฟ้าสีขาวเริ่มขึ้นกระจก เมลิสซ่าตัดสินใจใช้นิ้วมือขวาถูไถเพื่อให้เห็นบรรยากาศด้านนอก


จนกระทั่ง เด็กสาวเห็นคนกลุ่มใหญ่เดินออกจากห้องสอบ ตรงมายังทิศทางของตน คนหน้าสุดผลักบานประตูไม้เลี่ยมกระจก ชายหญิงเจ็ดแปดคนเดินเข้ามาในร้าน


เบ็นสันถอดหมวกทรงสูงใบเก่า ขณะเตรียมใช้นิ้วมือบีบนวดหน้าผากเถิก สายตาเหลือบเห็นน้องสาวของตนกำลังยืนจ้องพร้อมกับซักถามอย่างกังวล


“ผลสอบเป็นยังไง… เอ่อ ทำได้บ้างไหม?”


“สำหรับคนอื่นอาจยาก แต่ไม่มีปัญหาสำหรับฉันแน่นอน คณิตศาสตร์คือของถนัด!”


เบ็นสันมองไปรอบร้าน เมื่อเห็นทุกคนกำลังจับกลุ่มคุยกับญาติโดยไม่มีใครหันมาสนใจ มันกล่าวต่อไปด้วยรอยยิ้ม


“หลังจากหมดเวลา ฉันเห็นคนจำนวนมากส่งกระดาษคำตอบที่ว่างเว้นหลายข้อ พวกเขาคิดว่าข้าราชการระดับล่างจะมีเลขานุการด้านคณิตศาสตร์คอยช่วยเหลือรึไง? ถ้าเป็นแบบนั้น จ้างลิงบาบูนขนหยิกทำงานแทนไม่ดีกว่าหรือ”


เมลิสซ่าถอนหายใจเงียบ มองไปรอบตัวหนึ่งหนก่อนจะเบือนหน้ากลับมาพูด


“เบ็นสัน ถ้านายมั่นใจถึงขั้นนั้น รีบวางแผนสอบสัมภาษณ์ตั้งแน่เนิ่น ๆ ดีกว่า อย่างน้อยก็ต้องซื้อสูทใหม่ที่ดีกว่านี้”


“ค่อยออกไปซื้อวันหลัง ตอนนี้ขอฉลองให้หนำใจก่อน ฉันหามาแล้วว่าร้านไหนอร่อย!” เบ็นสันยิ้มพลางชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่ง


เมลิสซ่าเม้มปาก หรี่ตาลงด้วยสีหน้าขึงขัง


“ฉันซื้อเนื้อกับผักเตรียมไว้แล้ว”


เบ็นสันและน้องสาวจ้องหน้ากันสักพัก ก่อนที่ฝ่ายพี่ชายจะหัวเราะอย่างผ่อนคลาย


“ฮะฮะ! เข้าใจแล้ว กลับบ้านกันเถอะ”



ณ มิติเหนือสายหมอก ไคลน์รวบรวมสมาธิกลับมายังประเด็นสำคัญ พิจารณาว่า ตนควรใช้วิธีใดในการลบจิตกัดกร่อนของ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ ออกจาก ‘ดวงตาดำล้วน’


……………………


ราชันเร้นลับ 596 : เบาะแส

โดย

Ink Stone_Fantasy

ท่ามกลางวังหรูหราที่รายล้อมด้วยเสาหินต้นใหญ่มากมาย ไคลน์เอนกายพิงเก้าอี้สีดำพนักสูง ปลายนิ้วเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาว ในใจกำลังตัดตัวเลือกที่พลเรือเอกดวงดาวเสนอออกไป


เหตุผลไม่ซับซ้อน มันแทบไม่มีความสัมพันธ์กับโบสถ์สุริยันเจิดจรัสเลย ยากจะติดต่อหาใครมาช่วยเหลือ ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลก็คือ ไคลน์เคลือบแคลงว่า ‘ผู้เจิดจรัส’ อาจไม่ทรงพลังพอที่จะขจัดจิตกัดกร่อนออกจาก ‘ดวงตาดำล้วน’ เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เดอะเฮอร์มิทเสนอวิธีดังกล่าวโดยอ้างอิงจากตะกอนพลังที่ปนเปื้อนของผู้คลุ้มคลั่งทั่วไป มิใช่การถูกกัดกร่อนจากพระผู้สร้างแท้จริงโดยตรง


ในทางปฏิบัติ เราคงไม่สามารถหาเทวทูตหรือเทพแท้จริงมาช่วย ‘ทำลาย’ ตะกอนพลังให้แตกละเอียดได้…


ในทางทฤษฎี เราสามารถทำนายถึง ‘สุริยันเจิดจรัส’ บนมิติสายหมอก และอาศัยพลังตอบสนองของอีกฝ่ายเพื่อทำลายดวงตาดำล้วนให้กลายเป็นเศษผง…แต่ปัญหาคือ ทางนั้นเคยมีประสบการณ์กับมิติสายหมอกมาแล้ว หนนี้อาจถึงขั้นบุกรุกมิติเหนือสายหมอกสำเร็จ และช่วงชิงอำนาจการปกครองไปจากเรา…ผลลัพธ์ไม่คุ้มเสี่ยงเลยสักนิด…


หรือต่อให้อีกฝ่ายบุกรุกไม่สำเร็จ แต่เราก็ไม่มั่นใจว่าจะควบคุมพลังที่ตอบโต้กลับมาอย่างฉับพลันได้ทัน ยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าจะใช้วิธีใดเบี่ยงเบนความเสียหายไปยังดวงตาดำล้วนแทนตัวเรา…


อีกหนึ่งเหตุผลก็คือ การทำนายถึงสุริยันเจิดจรัสไม่ใช่เรื่องง่าย เราเคยทำได้ในอดีตเพราะมีสื่อกลางอย่าง ‘ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยัน’ ที่บรรจุโลหิตเทพ เหมือนกับเมื่อครั้ง ‘ใบหูสีดำ’ ที่ถูกพระผู้สร้างแท้จริงกัดกร่อน ปัจจุบัน หากนับเฉพาะสื่อกลางในมือ เราจะติดต่อได้เพียง ‘มิสเตอร์ประตู’ และ ‘ปราชญ์เร้นลับ’ รายหนึ่งกระทำผ่านเสียงเพรียกขอความช่วยเหลือที่มิสเมจิกเชี่ยนได้ยิน ส่วนอีกรายกระทำผ่านพิธีกรรมที่พลเรือเอกดวงดาวพยายามไล่ล่าความรู้…


แต่ติดปัญหาเดียวกับข้อด้านบน เรายังไม่ทราบวิธีเบี่ยงเบนพลังตอบสนองไปยังดวงตาดำล้วน มิสเตอร์อะซิกยังฟื้นฟูพลังได้ไม่เต็มที่ วิล·อัสติน อสรพิษแห่งชะตา ยังไม่คลอดจากครรภ์มารดา เมื่อลองใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน ไม่มีเทวทูตตนใดช่วยเหลือเราได้… เราเองก็ไม่ได้รู้จักครึ่งเทพสักเท่าไรอยู่แล้ว…จริงสิ…ยังมีอีกหนึ่งตัวเลือกในระดับเทวทูต นั่นคือวิญญาณมารของราชาเทวทูต·เมดีซีที่ถูกผนึกในอาคารโบราณใต้ดินในกรุงเบ็คลันด์…


แต่จุดมุ่งหมายของมันยังเป็นปริศนา ไม่มีทางเดาได้เลยว่ากำลังวางแผนชั่วร้ายอะไรอยู่ หากไม่จนปัญญาอย่างแท้จริง เราไม่มีวันให้มันช่วยเด็ดขาด… ใช่แล้ว… เราไม่ควรนำชีวิตตัวเองไปเสี่ยงโดยเปล่าประโยชน์ หากจนปัญญา ก็แค่ยอมปล่อยวางจากดวงตาดำล้วน กลับไปหาซื้อวัตถุดิบหลักของโอสถ ‘นักเชิดหุ่น’ ตามปรกติ ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นละอองของวิญญาณอาฆาต กับผลึกแก่นของกากอยล์หกปีก สำหรับชนิดแรก คงหาได้ไม่ยากในโลกแห่งความตาย ดูเหมือนว่า เราคงต้องหาซื้อวัตถุดิบหลักของโอสถไปพลาง…


ขณะเดียวกันก็ต้องคอยสอดส่องมองหาสมบัติวิเศษที่สามารถช่วงชิงพลังพิเศษได้เหมือนกับ ‘เส้นเลือดหัวขโมย’ เมื่อลองพิจารณาดูแล้ว ถ้าเราใช้วิธีนี้โดยมีมิติสายหมอกสนับสนุน ก็ไม่ต้องกังวลว่าพลังที่ช่วงชิงมาจะย้อนกลับไปหาดวงตาดำล้วน วิธีที่ง่ายที่สุดคือ เมื่อการช่วงชิงจิตกัดกร่อนออกจากดวงตาดำล้วนสำเร็จ ก็แค่โยนวัตถุวิเศษทิ้งไว้บนมิติสายหมอก และประกอบพิธีกรรมนำดวงตาดำล้วนกลับมายังโลกจริง เพียงเท่านี้ วัตถุทั้งสองชนิดจะถูกกีดขวางในเชิงกายภาพโดยสมบูรณ์ จิตกัดกร่อนบนมิติสายหมอกจะมิอาจไหลย้อนมายังโลกความจริง แต่ปัญหาก็คือ เราจะหาวัตถุวิเศษชนิดดังกล่าวได้จากไหน… มิสเตอร์แฮงแมนมีท่าทีเงียบขรึมหลังจากได้อ่านข้อมูล…


เราอาจตีความได้ว่า ทางนั้นก็ไม่มีเบาะแสเหมือนกัน… ไว้ถึงชุมนุมทาโรต์ครั้งถัดไปเมื่อไร เราค่อยขอความช่วยเหลือจากเฮอร์มิท เดอะซัน จัสติส เอ็มลิน เมจิกเชี่ยน ให้พวกเขาสอบถามจากเครือข่ายส่วนตัว สำหรับสัปดาห์นี้ คงต้องพยายามด้วยตัวเองไปก่อน เริ่มจากการติดต่อพลเรือโทธารน้ำแข็ง ให้เธอสอบถามผู้ช่วยรองกัปตัน ‘หูกระต่ายบุปผา’ โจเดอร์สัน ผู้มีความสามารถช่วงชิงพลังพิเศษเป้าหมาย บางทีเขาอาจทราบเบาะแสของสมบัติวิเศษบนเส้นทางเดียวกัน…


ไคลน์ตกตะกอนความคิดอย่างใจเย็น วางแผนระยะใกล้ ระยะกลาง ระยะยาว


ชายหนุ่มทำนายยืนยันระดับอันตรายเป็นครั้งสุดท้าย ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง ออกจากสภาพที่กำลังเอนกายบนเก้าอี้นอนพร้อมกับถือแก้วเครื่องดื่มและอ่านหนังสือพิมพ์


ถัดมา แท่นบูชาถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว


พิธีกรรมยังคงใช้เทียนไขสามเล่ม แต่จุดประสงค์ของเทียนไขแตกต่างออกไปจากปรกติ กระดาษสำหรับวาดสัญลักษณ์ถูกเปลี่ยนตราศักดิ์สิทธิ์ของเทพปัญญาความรู้ เนตรแห่งปัญญาดวงหนึ่ง ซึ่งลอยเหนือหนังสือแนวนอนที่กำลังกางออก ไม่เพียงเท่านั้น กริชเงินของพิธีกรรมก็ยังถูกเปลี่ยนเป็นกริชทองเหลือง


ในเชิงศาสตร์เร้นลับ ดวงดาวที่เกี่ยวข้องกับเทพปัญญาความรู้คือดาวสีฟ้า โลหะที่อยู่ในขอบเขตของดาวสีฟ้าคือทองเหลืองและปรอท


ไคลน์เตรียมตัวติดต่อพลเรือโทธารน้ำแข็งมาสักพักแล้ว พิธีกรรมวิญญาณสถิตจึงถูกจัดขึ้นอย่างชำนาญโดยไม่ต้องเสียเวลาหาวัสดุ เมื่อเตรียมการพื้นฐานเสร็จ ผงสมุนไพรถูกเผาจนเกิดกลิ่น ตามด้วยการหยดลาเวนเดอร์ สะระแหน่ และน้ำค้างบริสุทธิ์ลงไป


กลิ่นลึกลับอันสดชื่น น่าหลงใหล และเงียบสงบลอยฟุ้ง ไคลน์ก้าวถอยหลัง ปากขยับพึมพำคาถาเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ


“ข้าวิงวอนขอพลังแห่งความรู้ ข้าวิงวอนขอพลังแห่งเหตุและผล ข้าวิงวอนขอความสนใจจากเทพปัญญาความรู้ ข้าปรารถนาที่จะสื่อสารทางวิญญาณกับอาจารย์ผู้แสวงหาความรู้ นักวิจัยสัตว์วิญญาณ พลเรือโทธารน้ำแข็งแห่งท้องทะเล เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ดแห่งลุนด์เบิร์ก”



หลังจากเสียงไคลน์ก้องกังวานไปได้สักระยะ บรรยากาศภายในแท่นบูชาเริ่มเย็นขึ้น ไม่ว่าจะกริชทองเหลืองหรือวัสดุชนิดอื่น ๆ เริ่มลอยขึ้นไปในอากาศ


สำเร็จ…! ฝันทองคำยังอยู่ไม่ห่างจากเราเกินห้าร้อยไมล์ทะเล…


ไคลน์เริ่มตื่นเต้น จากนั้นก็เห็นเปลวไฟบนเทียนไขทั้งสามเล่มยืดยาวขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะถูกย้อมด้วยสีเขียวซีด


ชายหนุ่มทราบหลักการของพิธีกรรมวิญญาณสถิตเป็นอย่างดี แก่นสำคัญคือการปล่อยสังขารตนเป็นอิสระ ยอมให้วิญญาณของเป้าหมายลงมาสถิตในสังขารแทน เกิดเป็นการเชื่อมต่อทางวิญญาณสมบูรณ์แบบที่ปราศจากการป้องกัน ในกรณีนี้ ไคลน์มีสิทธิ์ถูกอีกฝ่ายโจมตีได้ง่าย จึงต้องมีการทำนายถึงอันตรายล่วงหน้าไว้ก่อน โดยผลลัพธ์ระบุว่าไม่เลวร้ายนัก


เมื่อผนวกเข้ากับอุปนิสัยของพลเรือโทธารน้ำแข็งตามมุมมองของไคลน์ มันเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะมีเจตนาร้าย


ถึงจุดนี้ เสียงสายลมภายในกำแพงวิญญาณเริ่มหวีดร้องอย่างโศกเศร้า อากาศเย็นเฉียบที่มองไม่เห็นเริ่มรุกล้ำร่างกายอย่างท่วมท้น พยายามยึดครองสิทธิ์ในการควบคุมสังขาร


ทว่า ชายหนุ่มพลันประหลาดใจเมื่อพบว่าตนสามารถขัดขืนมิให้วิญญาณของเอ็ดวิน่าเข้ามาสิ่งร่าง และมีสิทธิ์จัดการกับดวงวิญญาณของเธอได้อย่างอิสระ


เกิดอะไรขึ้น…?


ขณะครุ่นคิด สายตาไคลน์เหลือบเห็นหมอกล่องหนอันเลือนรางรอบตัว


สำหรับหมอกล่องหนเหล่านี้ มันเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่งสมัยเพิ่งเลื่อนลำดับเป็นผู้ไร้หน้าได้ไม่นาน เป็นหลักฐานยืนยันว่า มิติหมอกเริ่มส่งอิทธิพลกับโลกความจริงมากขึ้นทีละนิด


ชายหนุ่มรีบตัดสินใจโดยไม่ลังเล โบกแขนไปทางตู้เสื้อผ้าที่มีโค้ทยาวแขวนอยู่ โอนถ่ายพลังลึกลับและเย็นเฉียบตรงไปยังทิศทางดังกล่าว


ทันใดนั้น โค้ทสีดำตัวใหญ่ของไคลน์เริ่มเกิดการขยับเขยื้อน แขนเสื้อโบกขึ้นลงอย่างงุ่มง่ามประหนึ่งมีคนพยายามสวมใส่


ราวกับตรงนั้นมีมนุษย์ล่องหนยืนอยู่!


โค้ทดำที่ลอยตัวกลางอากาศเดินมาข้างหน้าราวสองก้าว จากนั้นก็หยุด


แขนเสื้อทั้งสองข้างไขว้กันเป็นรูปตัว ‘X’


หมายความว่ายังไง…?


ไคลน์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเข้าใจความนัยที่พลเรือโทธารน้ำแข็งต้องการจะสื่อ


ไม่มีปาก พูดไม่ได้ ไม่มีมือ เขียนไม่ได้


ให้ตายสิ…


ไคลน์ครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบกลับฉะฉาน


“ผมต้องการสมบัติวิเศษที่สามารถช่วงชิงพลังพิเศษ ไม่ทราบว่าคุณมีหรือไม่ หากไม่มี รบกวนถามผู้ช่วยรองกัปตันให้หน่อยได้ไหม ผมหมายถึง ‘หูกระต่ายบุปผา’ มิสเตอร์โจเดอร์สัน ส่งคำตอบโดยการเขียนใส่จดหมายและอัญเชิญผู้ส่งสารของผม”


เสื้อโค้ทสีดำเริ่มคลายแขนลง กลับไปแนบชิดข้างลำตัวอย่างเรียบร้อยอีกครั้ง


ถัดมา ประหนึ่งวิญญาณล่องหนสลายไปกับความว่างเปล่า โค้ทสีดำของไคลน์หล่นลงพื้นโดยปราศจากแรงต้าน มิได้ตั้งตรงคงสภาพเหมือนเมื่อครู่


สรุปว่า ‘ตกลง’ ใช่ไหม?


ไคลน์ถอนหายใจเงียบ สิ้นสุดพิธีกรรม แขวนโค้ทสีดำกลับคืนราวผ้า ทำความสะอาดมันด้วยแปรงและผ้าเช็ดหน้า


ถัดมา ชายหนุ่มเขียนจดหมายถึงอะซิก สอบถามในประเด็นเดียวกัน


ไคลน์เป่านกหวีดทองแดง อัญเชิญผู้ส่งสาร หลังจากโครงกระดูกรับจดหมาย ชายหนุ่มพลันฉุกคิดถึงอีกหนึ่งช่องทางข้อมูลของตน


ไคลน์นำนกกระเรียนกระดาษออกจากกระเป๋าสตางค์ คลี่ออกอย่างระมัดระวัง เขียนด้วยดินสอ :


“ฉันจะหาสมบัติวิเศษที่สามารถช่วงชิงพลังพิเศษได้จากที่ไหน”


วางดินสอลง ไคลน์พับกระดาษกลับไปตามรอยเก่าจนคืนรูปทรงนกกระเรียน พลางชื่นชมฝีมือสุดแสนประณีตของตัวเองในใจ



ตกกลางคืน ไคลน์เข้ามิติหมอกไปตรวจสอบคำวิงวอนจากสาวกเทพสมุทร จากนั้นก็กลับสู่โลกความจริง เดินเข้าห้องน้ำและชำระล้างร่างกายด้วยน้ำอุ่นแสนสบาย


สิ่งนี้ช่วยให้ไคลน์หลับสนิททันทีเมื่อหัวถึงหมอน จนกระทั่ง ความฝันถูกใครบางคนบุกรุก


ภูมิประเทศในความฝันเป็นที่ราบ รกร้างว่างเปล่า และมียอดหอคอยสีดำเช่นเดิม ไคลน์เดินอย่างชำนาญผ่านประตูและกำแพงพิศวง จนมาถึงห้องลึกสุดด้านในหอคอย


ยังคงมีไพ่ทาโรต์วางกระจัดกระจายเช่นเคย ส่วนใหญ่ถูกกองรวมกันรอบพื้นยกสูงกลางห้อง ลักษณะคล้ายกำลังบอกใบ้บางสิ่ง


ในฐานะนักทำนาย มันตีความว่าสัญลักษณ์ดังกล่าวหมายถึงความสับสนและขัดแย้ง


เหนือพื้นยกสูง ข้อความสีเงินเปลี่ยนไปจากคราวก่อน หนนี้มีด้วยกันสามประโยค


ประโยคแรก :


“ข้าเป็นเพียงทารกที่ยังไม่คลอด”


ไคลน์พลันชะงัก รู้สึกราวกับได้ยินเสียงทารกร้องกระจองอแงว่า ‘ได้โปรดอย่ารบกวนข้าอีก การสื่อสารด้วยวิธีนี้ทำให้ข้าเหนื่อยมาก’


ประโยคที่สองสั้นกระชับ


“เบาะแสอยู่ในตัวเจ้า”


ประโยคที่สาม :


“อย่าได้ถามว่าเบาะแสคือสิ่งใด เพราะข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน”


หรือก็คือ วิล·อัสติน อสรพิษแห่งชะตา มองเห็นเบาะแสบางอย่างในตัวเรา แต่เห็นไม่ชัดเจนว่าเป็นเบาะแสเกี่ยวกับอะไร… คำตอบเหมือนกับพวกนักต้มตุ๋น… ไม่สิ ไม่ควรนำนิสัยของตัวเองไปเทียบกับอสรพิษแห่งชะตา…


ไคลน์จดจำคำแนะนำ ออกจากความฝัน หลับสนิทอีกครั้งจนกระทั่งรุ่งสาง


เสร็จสิ้นอาหารเช้า มันเริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเพิ่งประสบในช่วงหลัง มองหาเบาะแสที่วิล·อัสตินกำลังหมายถึง


ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณพลันถูกกระตุ้น ชายหนุ่มรีบเปิดเนตรวิญญาณสอดส่อง


โครงกระดูกสีขาวยังคงตัวใหญ่เหมือนเคย แต่มีความแตกต่างจากครั้งก่อน ศีรษะของมันมิได้เลยทะลุเพดานขึ้นไปตามปรกติ


สาเหตุเพราะว่า ผู้ส่งสารเริ่มปรากฏตัวจากชั้นล่าง ทำให้ร่างกายครึ่งบนอยู่ระดับเดียวกับห้องพักของไคลน์


อีกฝ่ายสบตาชายหนุ่ม นำจดหมายวางลงบนฝ่ามืออย่างมีมารยาท


เมื่อเห็นผู้ส่งสารหล่นลงไปด้านล่างในลักษณะคล้ายกับน้ำตกโครงกระดูก ไคลน์ยืนเงียบงันราวสองวินาที พึมพำด้วยน้ำเสียงขบขันเจือความโกรธเคืองเล็กน้อย


“มารยาทดีขึ้นนี่… เริ่มรู้จักกาลเทศะบ้างแล้วหรือ นับตั้งแต่ทราบว่าจะไม่ถูกส่งมาเป็นผู้ส่งสารประจำตัวเรา มันก็เปลี่ยนไปมาก…”


ไคลน์ถอนสายตากลับ คลี่จดหมายอ่านคำตอบจากมิสเตอร์อะซิกอย่างใจเย็น


“การขโมยพลังพิเศษคือลักษณะเฉพาะของเส้นทาง ‘นักจารกรรม’ หากเป็นในยุคสมัยที่สี่ เส้นทางดังกล่าวจะอยู่ในความควบคุมของตระกูลอามุนด์ ตระกูลโซโรอาสเตอร์ และตระกูลเจคอป… แต่หลังจากสงครามสี่จักรพรรดิจบลง พวกเขาก็แทบไม่ปรากฏตัวอีกเลย กล่าวกันว่า สมาชิกบางส่วนของตระกูลข้างต้นจัดตั้งพันธมิตรขึ้น เรียกตัวเองว่า ‘ผู้สันโดษแห่งชะตา’ ผมจำรายละเอียดได้แค่นี้ คุณสามารถเริ่มสืบจากทายาทของทั้งสามตระกูลดังกล่าว”


อามุนด์… เข้าใจแล้ว ฉายา ‘ผู้เย้ยเทพ’ ได้เพราะพลังนี้เองหรือ… ตระกูลเจคอปคือหนึ่งในห้าตระกูลเทวทูตแห่งราชวงศ์ทูดอร์ ร่วมกันกับอับราฮัม อามุนด์ อันทีโกนัส และทามาร่า… ส่วนตระกูลโซโรอาสเตอร์มาจากจักรวรรดิโซโลมอน…


ผู้สันโดษแห่งชะตา…ชะตา…ผู้สันโดษ…เบาะแสอยู่กับตัวเรา…


ทันใดนั้น ไคลน์พลันเหยียดหลังตรง ในใจหวนนึกถึงสิ่งของชิ้นหนึ่ง


มันคือเข็มกลัดปริศนาที่ได้จากการรื้อค้นศพลาเนวุส ผิวเข็มกลัดสลักสัญลักษณ์ของ ‘ชะตา’ และ ‘การปกปิด’ ไว้อย่างชัดเจน!


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)