Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 585-591

 ราชันเร้นลับ 585 : ซื้อยา

โดย

Ink Stone_Fantasy

โบสถ์วายุสลาตันเริ่มลงมือสืบสวนเมืองท่าแบนชีแล้วหรือ…


ไคลน์เลื่อนกำปั้นขึ้นมาจ่อปากพลางกระแอมสองหน จากนั้นก็ซักถามตรงไปตรงมา


“แล้วเกิดเหตุการณ์แบบไหน”


ไอร์แลนด์ไม่พบความผิดปรกติในอากัปกิริยาของไคลน์ จึงมองไปรอบตัวและกล่าว


“ผมเองก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่มั่นใจว่า เหตุการณ์นี้มีสมาชิกระดับสูงของโบสถ์วายุสลาตันเข้าร่วมด้วยแน่นอน ก่อนหน้าจะเกิดเหตุการณ์สองสามวัน เที่ยวเรือขาเข้าแบนชีทั้งหมดถูกยกเลิก นั่นคงเป็นสัญญาณก่อนเริ่มลงมือ”


สมาชิกระดับสูง? ผิดแล้ว… ต้องเป็นสมาชิกระดับสูงสุดต่างหาก บางที สันตะปาปาของโบสถ์วายุสลาตัน เทวทูตเดินดิน อาจออกโรงเองด้วยซ้ำ หรือแม้กระทั่งนำสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ออกมาใช้งาน… เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ศัตรูถูกคาดหมายว่าจะเป็นราชาเทวทูตจากยุคสมัยที่สี่ แถมยังมีทายาทของมันอีกกลุ่มหนึ่ง…


ไคลน์พยักหน้ารับ ซักถามเสียงเรียบ


“ผลลัพธ์ล่ะ”


ส่วนคำถามที่ว่าทำไมโบสถ์วายุสลาตันถึงเพิ่งลงมือเอาป่านนี้ ชายหนุ่มไม่แปลกใจนัก เพราะถึงหน่วยทูตพิพากษาจะได้ชื่อว่าหุนหันใจร้อน แต่พวกมันก็มิอาจลัดขั้นตอนระเบียบราชการได้ คงต้องมีการสืบข่าวเบื้องต้นเพื่อยืนยันระดับอันตราย รวมถึงการอพยพย้ายชาวเมืองบริสุทธิ์ออกจากพื้นที่ ปิดกั้นน่านน้ำใกล้เคียง ขั้นตอนเหล่านี้ล้วนใช้เวลามาก


ไอร์แลนด์ยังคงไม่พบความผิดปรกติทางอารมณ์ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ จึงทำเพียงถอนหายใจยาวและยิ้ม


“ผลลัพธ์หรือ… คงไม่มีเมืองท่าแบนชีไปอีกนาน”


สมกับเป็นโบสถ์วายุสลาตัน…


ไคลน์ผุดคำถามมากมาย ภายในใจนึกอยากทราบรายละเอียดของเหตุการณ์ทันที


มันอยากรู้ว่า เทวทูตสีชาด เมดีซี ปรากฏตัวออกมาหรือไม่ และอาศัยในละแวกเมืองท่าแบนชีจริงไหม มันถูกโบสถ์วายุสลาตันกวาดล้างโดยสมบูรณ์แล้วหรือยัง เกิดอะไรขึ้นกับชนพื้นเมืองแบนชีบ้าง โดยเฉพาะกลุ่มชอบที่พูดจาลากเสียง รวมไปถึงความลับของภัตตาคารมะนาวและสำนักงานโทรเลข


แต่น่าเสียดาย เมืองท่าแบนชีแปรสภาพกลายเป็นความพินาศย่อยยับ ยากจะตามไปสืบสวนในภายหลัง…


จริงอยู่ ในรายงานของทูตพิพากษาอาจมีรายละเอียดเขียนไว้ แต่เราไม่มีสิทธิ์อ่าน และเมื่อประเมินจากตำแหน่งของแฮงแมน เขาก็คงไม่มีสิทธิ์อ่านเช่นกัน…


ต้องรีบปลุกปั้นให้มิสเตอร์แฮงแมนกลายเป็นคนใหญ่คนโตของโบสถ์โดยเร็ว ลำดับอย่างต่ำคือครึ่งเทพ จึงจะเพียงพอต่อการอ่านเอกสารลับในคดีเมืองท่าแบนชี…


ไคลน์ถอนหายใจเงียบงัน ก่อนจะกล่าวต่อไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


“ที่นั่นอันตรายจริงๆ … แค่ก! แค่ก!”


ยังไม่ทันสิ้นเสียง ไคลน์ไอกระแอมอย่างรุนแรงหลายหนติดต่อกัน


“คุณป่วยหรือ” ไอร์แลนด์ซักถามด้วยสีหน้าค่อนข้างประหลาดใจ


มันเข้าใจมาตลอดว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์เหมือนกับตน คือเป็นผู้วิเศษบนเส้นทางที่มีสมรรถภาพร่างกายสูง คงไม่ป่วยไข้ได้ง่ายจนกว่าจะแก่ชรา แต่ภาพตรงหน้าทำให้มันต้องเปลี่ยนความคิด


ไคลน์เพียง ‘อือ’ โดยไม่อธิบาย


ถามไม่คิด… หลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือดกับพลเรือโทโรคภัย หากไม่ป่วยคงจะแปลกมากกว่า! เดนิสพึมพำในลำคอ


เอลเลนยิ้มและกล่าว


“ผมแนะนำนักปรุงยาให้เอาไหม ได้ผลดีกว่าการไปโรงพยาบาลหรือคลินิกแน่นอน อีกฝ่ายเป็นผู้วิเศษ ร้านขายสมุนไพรตั้งอยู่ในซอยเยื้องกับโรงละครแดง โด่งดังด้านการขายยาปลุกความฮึกเหิมในตัวบุรุษ แต่นั่นไม่ใช่ความถนัดเพียงอย่างเดียวของเขา”


นักปรุงยาบนโลกนี้ต้องขายยาหำแข็งทุกคนเลยรึไง… นั่นสินะ คงไม่มียาตัวไหนทำกำไรและขายง่ายกว่านี้แล้ว ได้เห็นเงินก้อนโตอยู่ตรงหน้า ใครบ้างจะอดใจไหว…


ไคลน์พยักหน้าเชิงรับทราบ


“เดี๋ยวก่อน! ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยิน?” เดนิสถามด้วยน้ำเสียงแฝงความประหลาดใจ


“เขาเพิ่งย้ายมาอยู่บายัมเมื่อเดือนก่อน ส่วนนายกลับมายังบายัมครั้งสุดท้ายตอนไหน?” ไอร์แลนด์ย้อนถามพลางหัวเราะ


ก็ตอนที่นั่งเรือเส็งเคร็งของแกไง… เดนิสตอบในใจ


มันนึกทบทวนตาม ในช่วงไม่กี่เดือนหลัง หากไม่นับครั้งที่มาถึงบายัมพร้อมเกอร์มัน·สแปร์โรว์ วันหยุดพักผ่อนส่วนใหญ่ของตนจะหมดไปกับการล่องทะเล สำมะเลเทเมา หรือไม่ก็ล่าสมบัติ มีแวะบายัมแค่ครั้งเดียว และมิได้เก็บรายละเอียดมากนัก


“ฉันพักอยู่ที่บายัมสามวัน และแวะเวียนไปที่โรงละครสีแดงอยู่บ้าง แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีนักปรุงยาหน้าใหม่มาก่อน ถ้ายากระตุ้นอารมณ์ของเจ้านั่นเจ๋งจริง คนข้างในก็ต้องพูดกันบ้าง!” เดนิสโต้แย้งพลางโอ้อวด


ไอร์แลนด์เผยรอยยิ้ม ไม่คิดโต้เถียงกับโจรสลัดผู้ยิ่งใหญ่ให้เปลืองน้ำลาย เพียงหันมาทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“หากเป็นอาการป่วยทั่วไป นักปรุงยาจะคิดราคาสูงกว่าปรกติไม่มาก และสำหรับคุณ ราคาถูกแพงไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่เป็นสุขภาพต่างหาก ผู้วิเศษอย่างเราต้องรีบรักษาร่างกายให้เป็นปรกติโดยเร็ว เพราะอันตรายอาจถามหาได้ทุกเมื่อ เช่นการถูกลอบจู่โจมโดยไม่คาดหมาย หรือกระทั่งโอกาสในการคลุ้มคลั่งที่เพิ่มขึ้น”


กล่าวได้ถูกต้อง สิ่งสำคัญของผู้วิเศษคือการรักษาร่างกายให้เป็นปรกติ แต่ใครบอกว่าราคาไม่สำคัญ? มันสำคัญมากต่างหาก! ถ้านักปรุงยาคิดเงินหนึ่งพันปอนด์ ขอไปเสี่ยงกับโรงพยาบาลและคลินิกดีกว่า หรือไม่ก็ อธิบายอาการเบื้องต้นกับเอ็มลิน ให้อีกฝ่ายปรุงยาและสังเวยผ่านห้วงมิติเหนือสายหมอก… จริงอยู่ เราอาจมีเงินเก็บมากถึงหกพันปอนด์ ยังไม่นับรวมตะกอนพลังอีกจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อคิดถึงอนาคต เราต้องมีสมบัติวิเศษที่สามารถโจมตีได้หนักหน่วง และยังต้องตามหาเบาะแสของสูตรโอสถครึ่งเทพ…


ไคลน์พึมพำ


สูตรผลิตโอสถครึ่งเทพขึ้นไปย่อมมิอาจประเมินค่าเป็นเงินทอง ลำพังเบาะแสน้อยนิดก็มีราคาสูงมากแล้ว


เมื่อไอร์แลนด์จากไป ไคลน์หยิบเงินเจ็ดร้อยปอนด์ออกมาและแบ่งให้เดนิสสองร้อยปอนด์


ชายหนุ่มสวมหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง ยกไม้ค้ำขึ้นพลางไอกระแอม จากนั้นก็เช็ดน้ำมูกด้วยผ้าสะอาดและเตรียมตัวเดินทางไปยังย่านโรงละครแดงด้วยรถม้าเช่า


เดนิสเองก็เกิดความสงสัยในตัวนักปรุงยาหน้าใหม่ จึงทำการติดหนวดปลอม สวมหมวกแก๊ป และเดินตามไคลน์ไม่ห่าง มันอาศัยคำแนะนำของไคลน์ที่บอกว่า การปลอมตัวด้วยผ้าพันคอผืนใหญ่เป็นพฤติกรรมที่ไม่ฉลาด ควรติดหนวดปลอมแทนมากกว่า เดนิสจึงยอมเชื่อฟังมืออาชีพและทำตามแต่โดยดี



ณ ตรอกเยื้องโรงละครแดง ขณะไคลน์กำลังจะเดินเข้าไปในร้านสมุนไพรที่ไม่แขวนป้าย มันเห็นชายคนหนึ่งเดินสวนออกมาด้วยท่าทีมีพิรุธ และเมื่อถูกคนแปลกหน้าพบเข้า อีกฝ่ายรีบก้มตัวและเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว


สหาย ฉันไม่รู้เลยว่านายซื้อยาอะไรมา…


ไคลน์ไอแห้งอีกสองครั้ง ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในร้านสมุนไพรบรรยากาศค่อนข้างสลัว


หลังจากกวาดตามองหนึ่งรอบ ไคลน์พลันชะงักสายตา เนื่องจากมันจำเจ้าของร้านได้


เจ้าของร้านสวมชุดคลุมสีดำยาวคล้ายกับหมอชนบท อายุราวสามสิบ ผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล หน้ากลมค่อนไปทางท้วม ไม่ใช่ใครนอกจากนักปรุงยาในชุมนุมลับของเนตรแห่งปัญญาที่ปากเสียแต่จริงใจ นอกจากนั้น ไคลน์ยังเคยพบมันนอกรอบในคณะละครสัตว์


การที่เขาไม่ปรากฏตัวที่ชุมนุมลับของมิสเตอร์เนตรแห่งปัญญาในช่วงหลัง เป็นเพราะเดินทางออกจากกรุงเบ็คลันด์แล้วนี่เอง…


ไคลน์ยืนครุ่นคิด ไอแห้ง และเดินไปข้างหน้าสองก้าว


“ขอยาหน่อย”


บนหัวไหล่นักปรุงยาร่างท้วมมีนกฮูกตากลมตัวหนึ่งยืนเกาะอยู่ เมื่อได้ยินเสียงทักทาย หนึ่งคนหนึ่งสัตว์หันหน้ามามองไคลน์พร้อมเพรียง


หลังจากจ้องสำรวจไคลน์สักพัก นักปรุงยาร่างท้วมฉีกยิ้มด้วยสีหน้ามั่นใจ


“สหาย ข้างนอกอากาศเย็นมาก ไม่ควรทำเรื่องอย่างว่าบ่อยครั้ง ถึงมันจะตื่นเต้นดีก็เถอะ”


เชี่ยไรอีกเนี่ย…


ไคลน์มึนงงในตอนแรก แต่เพียงไม่นานก็เริ่มพบสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายพูดเช่นนั้น


ขณะสู้กับเทรซี่ เราได้รับอิทธิพลจากเสน่ห์ของเธอจนเลือดลมสูบฉีดผิดปรกติ เลือดตามร่างกายไหลลงไปรวมตัวที่อวัยวะเบื้องล่าง ส่งผลให้ร่างกายขาดภูมิคุ้มกันจนเกิดอาการป่วย… จริงอยู่ เราไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำทะเลเย็นจัดเนื่องจากพรของ ‘เทพสมุทร’ แต่ลมหนาวของเมืองบายัมได้กระตุ้นให้ไข้กำเริบ…


หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ อาการป่วยของเรามีสาเหตุเดียวกับคนที่มีเพศสัมพันธ์ท่ามกลางอากาศเย็นจัด… สมกับเป็นเส้นทางนักปรุงยา สายตาเฉียบแหลมมาก…


ไคลน์ยืนจ้องนักปรุงยาร่วมท้วมโดยไม่ตอบโต้ ทำเพียงเงียบงัน รอให้อีกฝ่ายจัดยา


เดนิสมองเข้าไปในร้านสมุนไพรพลางหัวเราะเยาะเหยียดหยัน


เป็นนักปรุงยาประสาอะไร แค่อาการป่วยจากสตรีแห่งโรคภัยก็แยกแยะไม่ถูก!


เพลิงพิโรธรำพันอย่างโอหัง


เมื่อนักปรุงยาร่างท้วมเห็นว่าไม่มีใครสานต่อบทสนทนา จึงหันหลังกลับไปเปิดตู้เก็บของและหยิบสมุนไพรประหลาด เปลือกแมลง รวมถึงวัตถุดิบหายากชนิดอื่นๆ ออกมาวาง จากนั้นก็นำทั้งหมดบรรจุใส่ถุงกระดาษและส่งให้ไคลน์


“นำทั้งหมดแช่น้ำพร้อมกัน ต้มทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง และดื่มของเหลวที่เกิดจากการต้ม… สี่ซูล”


ค่อนข้างแพง… ไคลน์ชำเลืองเดนิสด้านข้าง


ฝ่ายหลังรีบกุลีกุจอล้วงหยิบเงินออกมาจ่าย


นักปรุงยาร่างท้วมรับธนบัตรไปนับพลางเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย กดเสียงให้ต่ำลง และกล่าวด้วยรอยยิ้มแฝงเลศนัย


“ฉันมียาดีที่จะทำให้นายปึ๋งปั๋งบนเตียงยิ่งกว่าเดิม มีส่วนผสมหลักเป็นผงมัมมี่ ว่าไง? สนใจไหม? ขอรับประกันความพึงพอใจ ฉันรู้ว่านายคงเจ๋งในเรื่องอย่างว่าอยู่แล้ว แต่บุรุษทุกคนล้วนต้องการเป็นเลิศ…”


จะทำแบบนั้นได้ ฉันต้องหาแฟนก่อน…


ไคลน์ส่ายหน้าเย็นชา ปฏิเสธข้อเสนอแสนเย้ายวนจากนักปรุงยาร่างท้วม


เมื่อเห็นภาษากายขอชายหนุ่ม เจ้าของร้านเหยียดตัวตรงด้วยสีหน้าเจือความผิดหวัง


ถัดมา มันเริ่มชักชวนลูกค้าคุยนอกเรื่อง


“พวกนายเป็นนักผจญภัยใช่ไหม”


“อือ” ไคลน์ตอบห้วน


นักปรุงยาถูฝ่ามือและกล่าว


“ฉันมีภารกิจมาให้ทำ จะจ่ายเงินก็ต่อเมื่องานเสร็จแล้วเท่านั้น”


“เท่าไร?” ไคลน์ถามพลางจับจมูก


“หนึ่งร้อยปอนด์!” เจ้าของร้านกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความระทม “งานตามหาคน ชื่อของเขาคือรอย·คิง เป็นอาจารย์ของฉัน และเป็นคนนัดแนะให้ฉันมาหาที่นี่ แต่ผ่านมานานนับเดือน กลับยังไม่พบเบาะแสของเขาแม้แต่น้อย”


“มีรูปวาดไหม แค่ก! รูปถ่ายก็ได้”


ไคลน์ไอแห้ง ตั้งคำถาม


นักปรุงยาร่างท้วมล้วงหยิบภาพหนึ่งออกจากกระเป๋าสีเข้มข้างเอว จากนั้นก็ส่งให้ไคลน์


บุคคลในภาพเป็นเด็กหนุ่มมาดสง่างาม ผมหวีเรียบ บรรยากาศรอบตัวอ่อนโยน


“นี่คืออาจารย์ของนาย?” ไคลน์ถามย้ำ


บอกว่าอีกฝ่ายเป็นศิษย์ยังน่าเชื่อกว่าเลย…


นักปรุงยาร่างท้วมกระแอมในลำคอ


“ถึงจะเห็นแบบนี้ แต่ชายคนนั้นอายุหกสิบกว่าแล้ว แค่มีรูปลักษณ์เหมือนเด็กด้วยเหตุผลบางอย่าง”


เป็นพลังจากเส้นทาง หรือจากสมบัติวิเศษ?


ไคลน์พยักหน้ารับ ทำสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นก็ซักถามข้อมูลที่เกี่ยวข้อง


เมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีสื่อกลางใดให้ทำนายถึงเป้าหมาย ชายหนุ่มจึงถือถุงกระดาษเดินออกจากร้านสมุนไพรพร้อมเดนิส


จนกระทั่งแผ่นหลังทั้งสองหายไปจากตรอก นกฮูกที่ยืนบนไหล่นักปรุงยาร่างท้วมพูดขึ้น


“ดัควีลล์ ชายคนนั้นอาจรู้จักนาย”


……………………


ราชันเร้นลับ 586 : บอกลาและพบกันใหม่

โดย

Ink Stone_Fantasy

“อะไรนะ… เขารู้จักฉัน?”


ขณะหรี่เสียงถาม นักปรุงยาร่างท้วม ดัควีลล์ ทำหน้าตกใจราวกับเห็นผี


นกฮูกมองไปข้างหน้าด้วยดวงตากลมโต


“ข้าสังเกตเห็น ขณะที่เขาเดินเข้ามาในร้านแล้วมองเจ้า เขาชะงักไปสองวินาที”


“บางที เขาอาจจะคิดว่า ‘น้ำหน้าอย่างไอ้อ้วนนี่จะขายยาได้จริงหรือ’ ก็ได้นะ”


นักปรุงยาร่างท้วมโต้แย้ง


นกฮูกกระพือปีกสองครั้งก่อนจะหุบ


“อยากจะคิดแบบนั้นก็ตามใจ”


“…แล้วช่วงนี้แกอ่านหนังสืออะไรอยู่”


ขณะดัควีลล์ตั้งคำถามถาม ไขมันบนหน้าสั่นกระเพื่อมเล็กน้อย


นกฮูกตอบเสียงขรึม


“ขีดจำกัดของข้าขึ้นอยู่กับสติปัญญาของเจ้า หากเจ้านายไม่สามารถสอนหนังสือข้าได้ คำศัพท์ในสมองย่อมมีจำกัด จึงต้องลดมาตรฐานความยากของหนังสือลง แถมยังไม่มีให้เลือกมากนัก ข้าฝึกฝนการอ่านได้จากหนังสือพิมพ์รายวันเท่านั้น”


นักปรุงยาร่างท้วม ดัควีลล์ หัวเราะ


“ฉันคิดว่าจะซื้อตำราปรุงอาหารมาให้แกอ่าน ชื่อของมันคือ ‘อาหารตำรับไบลัมตะวันออก’ ”


โดยไม่รอคำตอบจากนกฮูก ดัควีลล์สวมสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวพึมพำกับตัวเอง


“ชายคนนั้น… เขาอาจจะรู้จักฉันสินะ… หืม… มองผิวเผินเหมือนกับชาวโลเอ็น หรืออย่างน้อยก็ลูกครึ่งโลเอ็น สมัยก่อน ฉันเคยปลอมตัวตระเวนขายยาไปทั่วโลเอ็น ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีชาวโลเอ็นสักคนจำหน้าได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรประมาท หากถึงเดือนมีนาคมแล้วยังไม่มีข่าวคราวของตาแก่เพิ่มเติม ฉันคงต้องย้ายออกจากที่นี่”


กล่าวจบ มันหันไปมองนกฮูกบนไหล่


“ในบางครั้ง แกก็มีประโยชน์เหมือนกัน”


“ไม่จริงเลยสักนิด ภาษากายของเจ้ากำลังพูดออกมาว่า ‘บัดซบเอ้ย! ฉันต้องการสัตว์เลี้ยงที่ช่วยจัดการกับสัตว์ประหลาดดุร้ายและพวกอันธพาลคุมถิ่น อุตส่าห์รวบรวมวัตถุดิบปรุงโอสถเส้นทางมังกรทั้งที กลับได้แค่นกโง่ที่ทำได้เพียงอ่านหนังสือและช่างสังเกต! รู้แบบนี้น่าจะยัดโอสถใส่ปากไปอีกสักขวด!’ ” นกฮูกทำท่าทางคล้ายนกแก้ว พยายามพูดเลียนเสียงของนักปรุงยาร่างท้วม


มันยืนชะงักไปสองวินาที หัวเราะแห้ง และเผยรอยยิ้ม


“ก็รู้นี่… ไอ้นกโง่! ถ้าไม่ใช่เพราะฉันเป็นนักฝึกสัตว์ แกก็คงดื่มโอสถไม่ได้แม่แต่ขวดเดียว!”


บรรยากาศภายในร้านขายสมุนไพรพลันอึมครึมทันที หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ต่างไม่มีใครส่งเสียง


จนกระทั่งผ่านไปสักพัก นกฮูกทำตัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ดัควีลล์ จะไม่เป็นอะไรแน่หรือ กับการฝากให้นักผจญภัยหลายคนช่วยตามหาอาจารย์”


“ฉันไม่ถนัดตามหาคน นอกจากจ้างวานก็ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว แต่ไม่ต้องห่วง ฉันระบุเงื่อนไขไว้ชัดเจน จะจ่ายเงินให้กับคนที่สามารถระบุตำแหน่งของตาแก่ได้เท่านั้น หรือก็คือ ฉันจะเสียเงินจ้างแค่คนเดียว!” กล่าวจบ นักปรุงยาร่างท้วมถอนหายใจยาวอย่างหดหู่ “ตาแก่มักอวดอ้างว่าเป็นคนโชคดีเสมอ เขาคงไม่เป็นอะไรนัก”



“ยาที่ปรุงจากของแบบนี้จะได้ผลจริงหรือ..”


ระหว่างกำลังเดินทางกลับโรงแรมวายุครามด้วยรถม้าเช่า เดนิสจ้องถุงกระดาษสีน้ำตาลที่วางข้างตัวไคลน์


ด้านในประกอบด้วยสมุนไพรนิรนามชนิดหนึ่ง สีดำสนิทจนน่าขนลุก รวมถึงเปลือกแข็งของแมลงปริศนา กลีบดอกไม้ประหลาด และส่วนผสมอื่น ๆ ที่ไม่น่าไว้วางใจ


ไคลน์พยักหน้า


“ได้ผล”


“แต่นายก็ยังไม่เคยกิน…” เดนิสโต้แย้งตามจิตใต้สำนึก


ไม่ต้องกังวล ฉันเชื่อใจนักปรุงยาร่างท้วม ถึงเจ้านั่นจะปากเสียไปบ้าง แต่จริงใจมากทีเดียว… อีกทั้ง กัปตันไอร์แลนด์ก็ยังยืนยันด้วยตัวเอง…


ด้วยมาดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ไคลน์ตัดสินใจไม่อธิบายเดนิส เพียงหยิบถุงกระดาษขึ้นมาและโยนไปหาอีกฝ่าย


โดยไม่ต้องมีคำสั่งใด เดนิสทราบทันทีว่านักผจญภัยเสียสติต้องการให้ตนทำอะไรของในถุง


ถูกต้อง นำมันไปปรุง


ในพักหลัง มันคอยจัดการเรื่องจิปาถะให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์บ่อยครั้ง จึงมิได้แสดงท่าทีต่อต้าน


เมื่อถึงโรงแรม ไคลน์เดินไปนั่งบนโซฟาหรู เอียงคอมองเดนิสจุดเตาไฟ ยกหม้อมาวาง และเติมน้ำเปล่ากับสมุนไพรลงไป


ชายหนุ่มเอนหลังพิงอย่างผ่อนคลาย แต่สมองกลับวิงเวียนกะทันหัน มาพร้อมอาการเหน็ดเหนื่อย สามารถวูบหลับได้ทุกเมื่อ


เพื่อครองสติไว้จนกว่ายาจะต้มเสร็จ ไคลน์ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเค้นสมองอย่างหนัก เพื่อมิให้สติเลือนรางและหลับไปก่อน


พอมาลองคิดดูให้ดี… การต่อสู้กับพลเรือโทโรคภัย เทรซี่ หากไม่เพราะเราแฝงตัวเข้าไปอย่างราบรื่น ปลดสมบัติวิเศษได้ตั้งแต่ต้น และเป็นฝ่ายเปิดฉากบุกเข้าใส่โดยไม่ปล่อยให้เธอตอบโต้จนกระทั่งมีโอกาสล่องหน คงพ่ายแพ้ในการดวลหนึ่งต่อหนึ่งอย่างราบคาบ…


พลังล่องหนกับโรคระบาด เมื่อใช้พร้อมกันจะไม่ต่างอะไรกับบั๊กในเกม… ด้วยพลังเสน่ห์หาอันรุนแรง ด้วยพลังการเข้าประชิดตัวในพริบตาของนักลอบสังหาร เราไม่สามารถหาเธอพบ และไม่สามารถวิ่งหนีไปไหนได้… ร่างกายมีแต่จะอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งป่วยเป็นโรคร้ายแรงและหมดสิทธิ์ขัดขืน…


สมกับเป็นลำดับ 5… เปิดประตูอีกบานเดียวก็จะถึงครึ่งเทพ… แต่เหตุการณ์นี้ก็ช่วยให้เรามองเห็นจุดอ่อนของยุบพองหิวโหย ถึงจะมันมีพลังหลากหลายชนิด แต่ก็ห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบพอสมควร…


ถ้าจำไม่ผิด พลังของลำดับ 5 บนเส้นทางนักทำนาย ‘นักเชิดหุ่น’ ชนะทางพลังล่องหนของนักลอบสังหารอย่างเต็มพิกัด…


ช่วงนี้ว่างพอดี สงสัยต้องช่วยนักปรุงยาร่างท้วมตามหาอาจารย์ไปก่อน… แต่เนื่องจากมีข้อมูลค่อนข้างน้อย แทบจะรูปถ่ายใบเดียว โอกาสหาพบคงไม่ง่ายเท่าไร…


แล้วแบบนี้เมื่อไรจะหาพบ เราไม่ใช่เทพสักหน่อย จะได้นั่งทางในแล้วตรัสรู้ว่าบุคคลในรูปหลบอยู่ตรงไหนของโลก…


เดี๋ยวก่อน… เราก็เป็นเทพไม่ใช่หรือ ถึงจะแค่ในบางโอกาสก็เถอะ!


เราสามารถระดมพลค้นหาแบบปูพรมโดยสาวกเทพสมุทร ตราบใดที่สุภาพบุรุษนาม ‘รอย·คิง’ เคยอยู่ในบายัม จะต้องมีคนเคยเห็น เคยพูดคุย ชนพื้นเมืองส่วนใหญ่เป็นสาวกเทพสมุทรอยู่แล้ว แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับทะเลมนุษย์…


ไม่เพียงเท่านั้น ก่อนกัปตันไอร์แลนด์จะออกจากบายัม เราสามารถสอบถามจุดแจ้งข่าวกับกองทัพจากเขาได้ หากมีเบาะแสใดเพิ่มเติมในอนาคต เราจะแจ้งกองทัพเพื่อแลกกับเงินรางวัลก้อนใหญ่… อีกทั้ง เรายังให้เขาช่วยตรวจสอบประวัติผู้โดยสารของเรือเดินสมุทรทุกลำได้ ดูว่าตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา รอย·คิงขึ้นเรือลำใดบ้างหรือไม่…


ยังมีอีกหนึ่งวิธี เครื่องรับสัญญาณโทรเลขไร้สายที่ถูกแช่ทิ้งไว้บนห้วงมิติเหนือสายหมอกมาได้สักพัก หากนำกลับมายังโลกจริง เราสามารถติดต่อกับกระจกวิเศษอาโรเดสได้ เดิมที แผนนี้เตรียมไว้สำหรับถามเบาะแสของเอลเลนผมแดงอยู่แล้ว ก็แค่เปลี่ยนเป็นรอย·คิง…


หึหึ… สำหรับงานยาก ๆ ที่นักผจญภัยคนอื่นมืดแปดด้านและแทบไม่มีโอกาสทำสำเร็จ เรากลับคิดหาทางออกได้ถึงสามวิธี!



ท่ามกลางความคิดมากมาย ไคลน์กัดฟันอดทนจนกระทั่งยาถูกปรุงเสร็จ


เมื่อเห็นขวดบรรจุของเหลวที่เดนิสถือมาให้ ชายหนุ่มชะงักนานสองวินาที ก่อนจะยื่นแขนไปรับและยกกระดกสายฟ้าแลบ


อึกอึก!


ไคลน์รู้สึกราวกับลำคอถูกไฟลวก ใบหน้าแดงก่ำไปถึงใบหู


รสชาติที่ชวนให้นึกถึงอาหารรสเผ็ดพิสดารจากโลกเก่ากำลังปะทุในท้อง


ทันใดนั้น สติชายหนุ่มพลันกลับมากระจ่าง จมูกที่เคยตันกลับมาหายใจโล่งและคล่องอีกครั้ง


อึกอึก! อึกอึก! ไคลน์รีบกระเดือกลงคอจนเกือบหมดขวด สัมผัสได้อย่างแจ่มชัดว่าอาการป่วยบรรเทามาก อีกนิดเดียวก็จะหายขาด



ในค่ำคืนเดียวกัน ไคลน์หายจากไข้โดยสมบูรณ์ ความคลางแคลงเล็ก ๆ ที่เคยมีต่อนักปรุงยาพลันจางหาย


สมแล้วที่โอสถมีชื่อว่านักปรุงยา…


ไคลน์สวมหมวก เดินออกจากโรงแรมวายุครามพร้อมเดนิส ตระเวนไปตามค่ำคืนอันเงียบสงัดของเมืองบายัม จนกระทั่งถึงท่าเรือส่วนตัวที่ซ่อนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของป่าลึก


ณ ค่ำคืนนี้ ฝันทองคำจะแล่นมาเทียบท่าลับเพื่อมอบความช่วยเหลือแก่กลุ่มกบฏ


หลังจากประสานงานและเตรียมการเสร็จ เดนิสประกอบพิธีกรรมวิญญาณสถิตเพื่อติดต่อกับพลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ด



ไม่กี่นาทีถัดมา เรือลำใหญ่ที่ฉาบด้วยผิวโลหะสีทองอร่ามและติดปืนใหญ่กลไกซับซ้อน แล่นเข้ามาจอดเทียบท่าส่วนตัวของกลุ่มต่อต้านอย่างเงียบงัน เหนือใบเรือมีธงสัญลักษณ์ที่เป็นภาพของเหรียญห้าชนิด ประกอบด้วยเหรียญทองปอนด์ของโลเอ็น เหรียญทองเฟิร์ลของอินทิส เหรียญทองโฮร์นของฟุซัค เหรียญทองริโซ่ของเฟเนพ็อต และเหรียญทองซาเซ็นของลุนเบิร์ก


สิ่งนี้คือธงโจรสลัดของฝันทองคำ และยังเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มโจรสลัดธารน้ำแข็ง


ยังมืออาชีพไม่พอ… ถ้าเป็นเราจะเพิ่มเหรียญทองพ็อตเตอร์ของมาซิน เหรียญทองซูลาทีของเซกัล เหรียญทองของจักรวรรดิไบลัม และอีกหลายเหรียญเข้าไปด้วย…


ไคลน์ยืนมองตรง สองมือสอดกระเป๋ากางเกง จ้องเอ็ดวิน่าที่กำลังปรากฏตัว ณ หัวเรือ


เธอมาในหมวกนายพราน เสื้อเชิ้ตขี่ม้ารัดรูปและโค้ทสีดำตัวใหญ่ ภาพลักษณ์สอดคล้องกับพลเรือโจรสลัดสาวสวยในอุดมคติกลุ่มต่อต้าน


ทุกทีจะแต่งตัวเป็นครูสอนพิเศษแท้ๆ …


ไคลน์พึมพำ ก้าวถอยหลัง ปล่อยให้เดนิสทำงานกรรมกรไปตามลำพัง


เป็นเพราะความขยันขันแข็งของโจรสลัดค่าหัวห้าพันห้าร้อยปอนด์ อาหารและเครื่องนุ่งห่มจำนวนมากจึงถูกลำเลียงถึงมือกลุ่มต่อต้าน และเป็นอันสิ้นสุดการสนับสนุนระลอกแรก


เดนิสสูดลมหายใจยาว เดินมาทางไคลน์และเผยรอยยิ้มเจือความเศร้า


“เสร็จแล้วใช้ไหม… ฉันกลับฝันทองคำได้หรือยัง เอ่อ… แล้ว… ต้องจ่ายค่าจ้างนายเท่าไร”


สหาย นั่นเป็นแค่ข้ออ้างที่กัปตันของนายกุขึ้นเพื่อมิให้คนอื่นสงสัย ในความเป็นจริง อาหารและเครื่องนุ่งห่มเหล่านี้คือค่าจ้าง…


ไคลน์พยักหน้า


“กัปตันคนสวยจ่ายครบแล้ว …เชิญกลับไปได้”


“จ…จริงหรือ?” เดนิสแทบไม่อยากเชื่อหู


แม้ว่าพลเรือโทธารน้ำแข็งจะกำลังยืนห่างออกไปไม่ไกล แต่เดนิสก็ยังหวาดกลัวอารมณ์แปรปรวนของชายเสียสติที่ชื่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์


ไคลน์ไม่ตอบ เพียงหันหลังกลับ ตรงไปยังถนนที่พาออกจากท่าเรือส่วนตัว


เดนิสหายใจกระเส่า พยายามข่มความตื่นเต้นขณะวิ่งกลับไปยังฝันทองคำ


รอจนกระทั่งเรือแล่นออกจากท่าในยามค่ำคืน และได้เห็นท่าเรือส่วนตัวมีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ จนเกือบลับขอบฟ้า เดนิสจึงค่อยมั่นใจว่า ตนได้กลับมายังฝันทองคำอย่างแท้จริง


เมื่อลองนึกทบทวน มันพบว่าตนได้ผ่านประสบการณ์พิสดารมากมายภายในระยะเวลาเพียงครึ่งเดือน อารมณ์อันซับซ้อนกำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่าง คล้ายกับเพิ่งลืมตาตื่นจากความฝันอันยอดเยี่ยมและเปี่ยมความสุข


ทันใดนั้น ลูกเรือคนหนึ่งวิ่งเข้ามาใกล้และซักถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น


“บอสเป็นคนฆ่าเหล็กกล้าจริงหรือ…?”


เดนิสระเบิดเสียงหัวเราะชอบใจ ชำเลืองหางตามองเอ็ดวิน่าเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาพูดกับลูกน้องตน


“เข้าใจถูกต้องแล้ว! ในเหตุการณ์ดังกล่าว ฉันกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่จนนำพาไปสู่ความตายของเหล็กกล้า! เอ้า! เข้าไปดื่มกันเถอะ แล้วฉันจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียด!”


ท่ามกลางทะเลสีดำ ฝันทองคำแล่นออกไปไกลขึ้นทุกขณะ



เมื่อกลับถึงโรงแรมวายุคราม ไคลน์เข้านอนทันที แต่กลับถูกปลุกให้ตื่นกลางคันด้วยแสงสีสันอันฉูดฉาดรอบตัว


ผ้าปูเตียงสีขาวกลายเป็นขาวเจิดจ้า พื้นห้องสีน้ำตาลกลายเป็นน้ำตาลสว่าง ผ้าม่านสีแดงเข้มกลายเป็นสีเลือดสด


ขณะสีสันฉูดฉาดกำลังซ้อนทับในทัศนวิสัยอย่างเข้มข้น อะซิก·อายเกสโผล่ออกจากความว่างเปล่าที่กระเพื่อมคล้ายคลื่นน้ำ


อีกฝ่ายสวมเชิ้ตขาว หูกระต่าย ทักซิโด้ และหมวก ผิวพรรณสีแทน ใบหน้าอ่อนโยน


น่าอิจฉาชะมัด… เราเองก็อยากมีพลังเดินทางผ่านโลกวิญญาณบ้าง…


ไคลน์ถอนหายใจสั้น พยุงตัวนั่งบนเตียงและกล่าวทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม


“สายัณห์สวัสดิ์ มิสเตอร์อะซิก”


อะซิกถอดหมวก ชำเลืองใบหน้าที่มันไม่คุ้นเคยนัก แต่ก็มิได้เผยความประหลาดใจ ยังคงยิ้มอย่างอบอุ่น


“ต้องขอโทษด้วย ผมคงรีบเกินไป จึงไม่ได้เคาะประตู ช่วยเล่ารายละเอียดของเอกสารโบราณแห่งเทพมรณาให้ฟังหน่อย”


ไคลน์เชิญอีกฝ่ายนั่ง อธิบายรายละเอียดที่มิอาจเขียนยัดใส่กระดาษจดหมายได้หมด ปิดท้ายด้วยการเล่าถึงเหตุการณ์ในเมืองท่าแบนชี เล่าถึงเบาะแสของราชาเทวทูต เมดีซี และทายาท


อะซิกเอนหลังพิงโซฟา ขมวดคิ้วเล็กน้อย


“ถ้าจำไม่ผิด ชายคนนั้นถูกเรียกด้วยสองสมญานาม ‘เทวทูตสีชาด’ และ ‘เทวทูตสงคราม’ แต่เขาร่วงหล่นไปนานมากแล้ว”


“นานมากแล้ว?” ไคลน์ย้อนถามอย่างประหลาดใจ


อะซิกพยักหน้ารับ เค้นสมองนึก


“เท่าที่ผมจำได้คือ ชายคนนั้นถูกสังหารโดย ‘จักรพรรดิโลหิต’ อลิสต้า·ทูดอร์”


ถูกสังหารโดยจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์?


รูม่านตาไคลน์หดลีบทันที สมองย้อนนึกถึงคำพูดของวิญญาณมารที่ถูกผนึกในซากอาคารใต้ดินกลางกรุงเบ็คลันด์


มันเคยบอกกับไคลน์และชารอนว่า ตนคือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือจักรพรรดิโลหิต!


……………………


ราชันเร้นลับ 587 : มิอาจทำความเข้าใจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หรือวิญญาณมารตนนั้นจะเป็นเทวทูตสีชาด เมดีซี ที่รับใช้พระผู้สร้างแท้จริง และยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง ‘กุหลาบไถ่บาป’ ?


ไคลน์ปะติดปะข้อมูลเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว ตามด้วยการคิดย้อนกลับ เพื่อมองหาร่องรอยและเบาะแสของเรื่องราว


หืม… อดีตเจ้าของไพ่นักบวชสีชาดถูกกฎแรงดึงดูดของเส้นทางเดียวกัน นำพาไปยังอาคารโบราณใต้ดิน และเสียชีวิตลงข้างกายทายาทของตระกูลทูดอร์?


หากจำไม่ผิด เราเคยเห็นในฝัน สมัยวิญญาณมารตนนั้นยังมีชีวิตอยู่ มันสามารถจัดการกับมังกรทรงพลังได้ง่ายดาย…


อีกทั้ง มันมีสูตรโอสถลำดับ 4 ‘หุ่นกระบอก’ หรืออาจสูงกว่านั้นอยู่ในมือ…


ค่อนข้างแน่ชัดว่า มันมีความเกี่ยวข้องกับองค์กรลับนามกุหลาบไถ่บาป…


โบสถ์หลักที่มีตัวตนมาตั้งแต่ยุคสมัยมหาภัยพิบัติ ก็ยังไม่ทราบว่าบนเกาะบินซี่ในชื่อเก่า หรือเกาะแบนชีในชื่อใหม่ มีทายาทของตระกูลเมดีซีซ่อนตัวอยู่จนกระทั่งไม่กี่วันก่อน แต่วิญญาณมารตนนั้นกลับสามารถระบุได้ชัดเจน…


เจ้านั่นคงเป็นวิญญาณมารของเทวทูตสีชาด เมดีซี… น่าจะใช่… และในเมื่อราชาเทวทูตผู้น่าจะเป็นลำดับ 1 ถูกสังหารโดยฝีมือจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์ มีโอกาสมากที่ฝ่ายหลังจะพัฒนาพลังจนมีลำดับสูงกว่า 1… กลายเป็นเทพแท้จริงลำดับ 0 ผู้มิอาจจ้องมองได้โดยตรง…


วิญญาณมารยังเล่าอีกว่า ในช่วงปลายยุคสมัยที่สี่ จักรพรรดิมืดแห่งจักรวรรดิโซโลมอน จักรพรรดิโลหิตแห่งจักรวรรดิทูดอร์ และจักรพรรดิรัตติกาลแห่งจักรวรรดิทรันซอสต์ ต่างทำสงครามเพื่อชิงตำแหน่งลำดับ 0 แต่สงครามได้จบลงเมื่อจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์ เข้าสู่ภาวะกึ่งฟั่นเฟือน… หมายความว่า ‘จักรพรรดิโลหิต’ ได้เลื่อนลำดับกลายเป็นเทพฟั่นเฟือน?


ไม่เพียงเท่านั้น มิสเตอร์อะซิกยังเคยเขียนอธิบายไว้ในจดหมายว่า เพียงจ้องมองเข้าไปในดวงตาจักรพรรดิโลหิต เขาก็หมดสติไปทันที… ในสมัยนั้น มิสเตอร์อะซิกน่าจะเป็นครึ่งเทพผู้มีลำดับไม่ต่ำกว่า 4… หากจักรพรรดิโลหิตมิใช่เทพแท้จริง ก็คงไม่มีคำอธิบายใดอีกแล้ว…


ในจดหมาย มิสเตอร์อะซิกยังเขียนอธิบายเกี่ยวกับ ‘จักรพรรดิมืด’ ตัวจริงที่กลับมาจากการคืนชีพ โดยอีกฝ่ายนั่งบนบัลลังก์ยักษ์ ก้มมองโลกทั้งใบอย่างเหยียดหยัน… หากสามารถคืนชีพได้จริง จักรพรรดิมืดคนดังกล่าว คงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากลำดับ 0… จึงหมายความว่า สงครามสี่จักรพรรดิในช่วงปลายยุคสมัยที่สี่มีระดับสูงกว่าจินตนาการเดิมของเรามาก มิได้เป็นแค่การช่วงชิงลำดับ 0 ของเหล่าลำดับ 1 อีกแล้ว…


ไคลน์ปะติดปะต่อเรื่องราวพร้อมกับมองประวัติศาสตร์ของยุคสมัยที่สี่ในมุมใหม่


แต่นั่นก็ทำให้ชายหนุ่มผุดคำถามอีกหลายข้อ


หากวิญญาณมารตนดังกล่าวคือราชาเทวทูต เมดีซี ตัวจริง เหตุใดถึงถูกผนึกในซากอาคารโบราณใต้ดินซึ่งสันนิษฐานว่าจะเป็นของจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์?


ทำไมบัลลังก์ภายในนั้นถึงมีสองที่นั่งเสมอกัน? เทวรูปของหกเทพจารีตเกี่ยวพันอย่างไร?


จักรพรรดิโลหิตกึ่งฟั่นเฟือนลงมือสังหารเทวทูตสีชาดไปเพื่อสิ่งใด? หลังจากกลายเป็นลำดับ 0 เขาอยู่บนเส้นทางไหน? ตัดเส้นทางจักรพรรดิมืดทิ้งไปได้เลย…


คงไม่ใช่เส้นทางนักบวชสีชาดหรอกใช่ไหม… หรือว่าการฆ่าเทวทูตสีชาด ก็เพื่อช่วงชิงตะกอนพลังลำดับ 1 ของเส้นทางนักบวชสีชาดมาครอง…?


แต่เส้นทางนักบวชสีชาดและจักรพรรดิมืดมิได้อยู่บนสายเดียวกัน… ไม่สามารถสลับไปมาได้ เราค่อนข้างมั่นใจในเรื่องนี้ เพราะนักบวชสีชาดอยู่ในกลุ่มเดียวกับเส้นทางแม่มด…


หืม… ถ้าจำไม่ผิด หัวหน้าเคยเล่าว่า การดื่มโอสถข้ามเส้นทางไม่จำเป็นต้องลงเอยด้วยความตายเสมอไป อาจตกอยู่ในภาวะฟั่นเฟือน กลายเป็นคนบ้าสุดแสนทรงพลัง…


สอดคล้องกับคำอธิบายของจักรพรรดิโลหิต!


หรือว่า… เมื่ออสิสต้า·ทูดอร์หมดหวังที่จะได้เป็นเทพบนเส้นทางจักรพรรดิมืดหรือใกล้เคียง เขาจึงเลือกเดินบนเส้นทางอันบ้าบิ่น ยอมแลกมากับภาวะกึ่งฟั่นเฟือน ยอมดื่มโอสถลำดับ 0 ของเส้นทางอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง…


แต่นั่นก็ยังมีข้อสงสัย… ก่อนจะกลายเป็นลำดับ 0 นักบวชสีชาด อลิสต้า·ทูดอร์ยังเป็นเพียงลำดับ 1 เทียบเท่าเมดีซี ไม่น่าจะฆ่าอีกฝ่ายเพื่อช่วงชิงตะกอนพลังมาได้… นอกเสียจากจะมีใครยื่นมือเข้าช่วย และผู้ช่วยต้องมีพลังอย่างน้อยลำดับ 1… หรือบางทีอาจเป็นลำดับ 0…


คิดมาถึงจุดนี้ ภาพของเทวรูปของหกเทพจารีตในอาคารโบราณใต้ดิน ผุดขึ้นมาในความทรงจำไคลน์


เทวรูปเทพธิดารัตติกาลกำลังนอนหนุนจันทราต่างหมอน พระแม่ธรณีกำลังอุ้มทารก เทพวายุสลาตันมีพายุสายฟ้ารายล้อม เทพสุริยันเจิดจรัสผู้หล่อเหลาและแข็งแกร่ง… เทพสงครามบนบัลลังก์ใหญ่ เทพปัญญาความรู้สวมชุดคลุมทรงโบราณ มองลอดออกจากผ้าด้วยดวงตาแสนเย็นชา


ร่างกายไคลน์เริ่มสั่นเทา


อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มยังจำได้แม่น ตามประวัติศาสตร์แล้ว หกเทพจารีตคอยหนุนหลังจักรวรรดิทรันซอสต์ มีใช่ฝ่ายทูดอร์ โดยในภายหลัง ทรันซอสต์คือผู้ชนะสุดท้ายในสงครามทวีปเหนือ และตระกูลขุนนางที่คอยสนับสนุนได้กระจัดกระจายออกไปปกครองอาณาจักรต่าง ๆ บนทวีป ไม่ว่าจะเป็นไอน์ฮอร์น ออกัสตัส เซารอน หรือกาสตีญ่า


ยิ่งได้รับข้อมูลของยุคสมัยที่สี่เพิ่มมากเท่าไร เราก็ยิ่งทวีความสับสนและหวาดกลัว…


ไคลน์ถอนหายใจยาว


“กำลังคิดอะไรอยู่หรือ” อะซิก·อายเกสสังเกตเห็นอาการชะงักของ ‘ลูกศิษย์’


ไคลน์ตอบอย่างเป็นกันเอง


“ผมแค่นึกสงสัย ในเมื่อเทวทูตสีชาด เมดีซี ร่วงหล่นด้วยฝีมือของจักรพรรดิโลหิตตั้งแต่หลายพันปีก่อน แล้วใครกันที่เป็น ‘เทพสภาพอากาศ’ ซึ่งชนพื้นเมืองบนเกาะแบนชีกราบไหว้บูชามาตลอด ความผิดปรกติของพวกเขามาจากสิ่งใด…”


เล่าถึงตรงนี้ ไคลน์ชะงักเล็กน้อย เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเมืองท่าแบนชีผิดไปจากสามัญสำนึกของตนมาก


มันเคยคิดว่าผู้อยู่เบื้องหลังความพิสดารบนเกาะคือเทวทูตสีชาด เมดีซี แต่เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายร่วงหล่นเมื่อนานมาแล้ว สาเหตุของเรื่องราวจึงยิ่งทวีความคลุมเครือ


ความผิดปรกติในภัตตาคารมะนาวและสำนักงานโทรเลขยิ่งถูกหมอกดำปกคลุมจนยากจะคาดเดาเบื้องหลัง หากไม่มีข้อมูลอื่นเพิ่มเติม ก็คงมิอาจคาดเดาอะไรได้มากกว่านี้


ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าหวาดหวั่น


การที่วิญญาณมารบอกใบ้ข้อมูลเมืองบินซี่ให้เราและชารอนฟัง เป็นแผนของมันมาตั้งแต่แรก? การบุกถล่มของโบสถ์วายุสลาตันช่วยให้มันหลุดพ้นจากผนึก? ควรเล่าให้มิสเตอร์อะซิกฟังดีไหม แล้วถามความเห็นจากเขา…


ก่อนอื่น คงต้องให้มิสเมจิกเชี่ยนช่วยจับตามองความผิดปรกติในละแวกใกล้เคียงอย่างต่อเนื่อง หากไม่พบ ไว้กลับไปยังกรุงเบ็คลันด์เมื่อไร เราค่อยติดต่อมาดามชารอนและถามความเห็นจากเธอ ว่าควรปรึกษามิสเตอร์อะซิกหรือไม่… ในเมื่อสำรวจอาคารใต้ดินมาด้วยกัน ก็ควรรับฟังความเห็นของอีกฝ่าย แต่ถ้าเกิดความผิดปรกติขึ้น ถึงตอนนั้นก็ต้องรีบตัดสินใจ… ไคลน์วางแผน


ได้ยินคำถาม อะซิกตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


“ผมคิดว่าคุณไม่ควรเป็นกังวลกับเรื่องนั้นมากเกินไป เบาะแสเกือบทั้งหมดถูกฝังกลบโดยฝีมือโบสถ์วายุสลาตันเรียบร้อยแล้ว หากพยายามขุดคุ้ย ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะไม่เป็นอันตราย แม้คุณจะกลายเป็นระดับเทวทูต แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้รอดจากการร่วงหล่น ถ้าเผลอไปล้ำเส้นใครบางคนเข้า”


ในโลกของเวทมนตร์และศาสตร์เร้นลับ ความอยากรู้อยากเห็นมักนำพาไปสู่ความตายเสมอ…


ไคลน์ครุ่นคิดเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ตนเคยพบเจอในอดีต


มันหันไปพูดโดยไม่สนใจประเด็นเดิม


“มิสเตอร์อะซิก ผมมีผู้ส่งสารส่วนตัวแล้ว”


“เร็วกว่าที่ผมคิดไว้มาก” อะซิกยิ้มและตอบ


ไคลน์อธิบายอย่างคร่าวว่าตนดัดแปลงคาถาในส่วนใด ประกอบพิธีกรรมอย่างไร และพบกับสิ่งมีชีวิตโลกวิญญาณที่น่าทึ่งได้อย่างไร


“ในพิธีกรรมอัญเชิญสิ่งมีชีวิตวิญญาณ หากไม่ใช่เส้นทางที่ชำนาญโดยเฉพาะ เหตุการณ์เช่นนี้มักเกิดขึ้นเป็นประจำ ต้องลองผิดลองถูกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสี่ยงต่อการเผชิญอันตราย และถึงคุณจะกำชับด้วยนิยาม ‘เป็นมิตร’ แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้ปลอดภัยโดยสมบูรณ์ บางที สิ่งมีชีวิตวิญญาณที่ถูกอัญเชิญออกมาอาจไม่มีเจตนาทำร้ายคุณ แต่ออร่าของมันจะเปลี่ยนให้คุณกลายเป็นก้อนเนื้อในพริบตา” หลังจากอะซิกฟังไคลน์เล่าถึงคาถาที่นิยามว่า ‘ว่องไวเหนือจินตนาการ’ ‘ไม่ตกเป็นเหยื่อของนักล่า’ และ ‘ทนมือทนเท้า’ มันกล่าวตักเตือน พลางยิ้มและซักถามต่อไปในสิ่งที่กำลังคาใจ “แล้วสรุปว่า คุณอัญเชิญสำเร็จด้วยนิยามใด?”


ไคลน์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ


“ผมเปลี่ยนประโยคสุดท้ายเป็น ‘ยินยอมที่จะเป็นผู้ส่งสารของข้า’ ”


อะซิกผงะเล็กน้อย มองไปทางไคลน์ด้วยสีหน้าเคลือบแคลง


“เป็นนิยามที่กว้างเกินไป โดยปรกติแล้ว มันไม่ควรประสบความสำเร็จ…”


“ผมอาจโชคดีเป็นพิเศษ” ไคลน์อธิบายรูปลักษณ์ของผู้ส่งสาร โดยไม่ลืมเล่าว่า อีกฝ่ายต้องการเหรียญทองทุกครั้งที่ทำงาน


อะซิกใคร่ครวญสักพัก


“ผมไม่รู้จักสิ่งมีชีวิตวิญญาณดังกล่าว แต่ไม่ต้องกังวล ในเมื่อพันธสัญญาเสร็จสิ้นและมีโลกแห่งความตายเป็นสักขีพยาน เธอไม่มีทางทำร้ายคุณได้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรประมาท จนกว่าจะทราบรายละเอียดอีกฝ่ายดีกว่านี้ ไม่ควรใช้ทำอย่างอื่นนอกจากส่งจดหมาย”


“ครับ” ไคลน์ต้องการจะตอบกลับไปว่า ตนไม่เคยใช้งานผู้ส่งสารในรูปแบบอื่นนอกจากส่งจดหมายอยู่แล้ว แต่เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ขณะต่อสู้กับมิสเตอร์ A ในยามที่ใช้ผู้ส่งสารของอีกฝ่ายเป็นกำบัง


ความเงียบงันครอบงำห้องนอนสักพัก ก่อนที่ไคลน์จะตัดสินใจวกกลับไปยังประเด็นหลัก


“มิสเตอร์อะซิก พวกเราจะบุกไปยังกาฬมรณะตอนไหน?”


ยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปนาน ยิ่งมีโอกาสที่เส้นผมและกระดุมของตนจะถูกเก็บกวาดหลังจากการทำความสะอาดประจำวัน


“เดี๋ยวนี้” อะซิกยืนขึ้น สวมหมวก


ไคลน์รีบแต่งตัว เตรียมหาข้ออ้างเข้าห้องน้ำ เพื่อทำนายถึงระดับอันตรายบนห้วงมิติเหนือสายหมอก แต่อะซิก·อายเกสได้จับบ่าชายหนุ่มและพาเข้าสู่โลกวิญญาณโดยไม่ให้ตั้งตัว


หลังจากชั้นของสีสันอันฉูดฉาดซ้อนทับเต็มทัศนวิสัย ไคลน์ได้ยินเสียงอะซิกกำชับ


“ไปกันเถอะ”


ไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ… คุณควรทำนายยืนยันอันตรายเสียก่อน… ไม่สิ เขาอาจมีวิธีประเมินความเสี่ยงในแบบฉบับตัวเอง…


ไคลน์พึมพำเงียบงัน หยิบไม้ค้ำ ทำนายระบุพิกัดสิ่งของที่ตนเหลือทิ้งไว้


ไม้ค้ำเริ่มออกบิน หมุนควงและพุ่งไปด้านหน้า


อะซิกบินตามไคลน์ไม่ห่าง สถานการณ์เป็นไปอย่างราบรื่นตลอดทาง


ใช้เวลาไม่นาน ไม้ค้ำเนื้อแข็งสีดำพลันหยุดนิ่งในจุดหนึ่ง ด้านหน้ายังคงเป็นทัศนียภาพของสีดำผสมผสานของสีสันฉูดฉาดเช่นเคย


ประเมินจากภาพเชิงสัญลักษณ์รอบตัว ไคลน์เริ่มสัมผัสถึงเค้าลางของกาฬมรณะ


อะซิกหยุดบิน กล่าวเสียงเคร่งขรึม


“ดวงวิญญาณที่นี่บอกกับผมว่า ข้างนอกมีอันตรายรออยู่”


อันตราย? คนอย่างมิสเตอร์อะซิกพูดว่าอันตราย? สตรีแห่งโรคภัยติดต่อขอความช่วยเหลือจากใครบางคนแล้ว?


หัวกะทิจากนิกายแม่มด?


ไคลน์ขมวดคิ้ว


ชายหนุ่มเชื่อในการประเมินของอะซิก เนื่องจากลำดับ 7 บนเส้นทางมรณาคือ ‘ผู้สื่อวิญญาณ’ ที่สามารถคุยกับวิญญาณ เมื่อยกระดับตัวตนไปถึงครึ่งเทพ พลังดังกล่าวคงพัฒนาขึ้นจากเดิมมาก


อะซิกหลับตาลงสองวินาที ก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้งและหันมาพูด


“…ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ไปกันเถอะ”


ไม่ใช่ปัญหาใหญ่… สำหรับคุณคนเดียวน่ะสิ!


ไคลน์รำพัน ตัดสินใจแปลงโฉม


กันไว้ดีกว่าแก้ หากแผนการคราวนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่าและต้องหลบหนีเยี่ยงสุนัข เราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครจำหน้าจริงได้!


เพียงพริบตา ใบหน้าไคลน์กลายเป็นบุรุษคางเหลี่ยม ดวงตาสีเขียวเข้มเย็นชา ด้านหลังศีรษะมีกระจุกผมถูกรวบมัด


ชายหนุ่มแปลงโฉมเป็นอดีตเจ้าของยุบพองหิวโหย พลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์!


อะซิกชำเลืองเล็กน้อย ทันใดนั้น ฉากนั้นรอบตัวคนทั้งสองพลันดำดิ่ง สีสันฉูดฉาดบรรเทาลงอย่างรวดเร็ว


ถัดมาไม่นาน ไคลน์พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในห้องกัปตันเรือของเทรซี่


โจรสลัดสาวสวมเชิ้ตสีขาวตัวใหม่ ไหล่ซ้ายมีร่องรอยการพันผ้าปฐมพยาบาลชัดเจน ผมเกล้ามวยขึ้นไปข้างบน มิได้ปล่อยลงมาอย่างสง่างามและทรงเสน่ห์


แม้จะเผชิญหน้าผู้บุกรุกอย่างกะทันหัน แต่หญิงสาวกลับมิได้เผยความตื่นตระหนักแม้แต่เศษเสี้ยว กระทั่งส่งยิ้มตอบ


ทันใดนั้น น้ำเสียงอันงดงามของสตรีที่มิอาจระบุตำแหน่งได้ชัดเจน พลันกังวานจากทุกทิศ


“เป็นคุณเองหรือ”


……………………


ราชันเร้นลับ 588 : คนรู้จักเก่าแก่

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เป็นคุณเองหรือ”


เมื่อได้ยินเสียงเจือความประหลาดใจและสับสนของสตรีลึกลับ หัวใจไคลน์แทบหยุดเต้นกะทันหัน เนื่องจากคิดว่ามีใครบางคนมองตัวตนที่แท้จริงของมันออก


แต่ไม่นานก็กลับมาสุขุมตามเดิม เพราะรูปลักษณ์ในปัจจุบันคือคีลิงเกอร์ พลเรือโทวายุที่ไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว โดยภายใต้คีลิงเกอร์ยังมีนักผจญภัยเลือดเย็น เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ภายใต้เกอร์มันยังมีเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ และภายใต้นักสืบเชอร์ล็อกยังมีไคลน์·โมเร็ตติ


ยังเพียงเท่านั้น ลึกลงไปยังมีมิสเตอร์ฟูล รวมไปถึงโจวหมิงรุ่ย


ต้องไม่ใช่แน่… ไม่สมเหตุสมผลที่เธอจะมองตัวจริงของเราออก อีกฝ่ายไม่มีทางรู้จักปลาซิวปลาสร้อยอย่างไคลน์·โมเร็ตติ… และเธอก็น่าจะทราบว่าเราไม่ใช่คีลิงเกอร์ตัวจริง เป็นถึงผู้คุ้มครองพลเรือโจรสลัดลำดับ 5 อย่างเทรซี่ทั้งที ลำดับพลังของเธอไม่น่าจะต่ำกว่าครึ่งเทพ…


หมายความว่า คำถามดังกล่าวเจาะจงไปยังมิสเตอร์อะซิก ไม่ใช่เรา… แม่มดลำดับสูงอาจจดจำมิสเตอร์อะซิกได้ในฐานะผู้ทำลายแผนการของนิกายแม่มดกับอินซ์·แซงวีลล์ในเบ็คลันด์…


หรือจดจำเขาได้จากตัวตนในชีวิตก่อนหน้า?


ไคลน์รีบปรับความคิด เฝ้าระวังการลอบโจมตีจากเทรซี่และผู้ช่วยของเธอ ขณะเดียวกันก็ชำเลืองมิสเตอร์อะซิกด้วยมุมสายตา


เกี่ยวกับการปรากฏตัวของบุคคลทรงพลังฝ่ายเทรซี่ ชายหนุ่มไม่ประหลาดใจสักเท่าไร เพราะมิสเตอร์อะซิกเคยเตือนล่วงหน้าไว้แล้ว ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งคือ ไคลน์เชื่อว่าเทรซี่มิใช่คนที่มั่นใจในตัวเองสูงเกินเหตุ หากถูกลอบสังหารจนเกือบเสียท่า โดยยังไม่ทราบว่าอีกฝั่งเป็นใครและมีจุดประสงค์ใด เธอต้องรีบออกจากน่านน้ำหมู่เกาะรอสต์เพื่อติดต่อให้สมาชิกระดับสูงของนิกายแม่มดช่วยคุ้มครอง


แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายไคลน์ก็คือ กำลังเสริมมาถึงเทรซี่เร็วเกินไป คล้ายกับพร้อมให้ความช่วยเหลือตลอดเวลา หรือไม่ก็อาศัยทางลัดผ่านโลกวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นสมบัติวิเศษหรือพลังที่คล้ายกับ ‘นักท่องเที่ยว’


เมื่อฟังจากเสียงอันไพเราะและอ่อนหวานของอีกฝ่าย ไคลน์เชื่อว่า คนที่หนุนหลังเทรซี่ในคราวนี้ต้องเป็นแม่มดระดับครึ่งเทพขึ้นไป


อะซิกยืนบนพรมหนากลางห้อง ทำสีหน้าลังเลราวสองสามวินาที


“คุณรู้จักผม?”


น้ำเสียงไม่มั่นใจ… หรือว่าก่อนจะสูญเสียความทรงจำ ลูกพี่ของเราเคยมีอดีตอันเร่าร้อนกับแม่มดบนเตียง?


ไม่สิ ทำไมเราถึงคิดแต่เรื่องแบบนี้…


ไคลน์เผลอจินตนาการอกุศลชั่วครู่ ก่อนจะรีบลบภาพออกจากหัวด้วยความรู้สึกผิด


ขณะเดียวกัน มันสัมผัสถึงความประหลาดใจของพลเรือโทโรคภัย เทรซี่ ความเยือกเย็นและเหยียดหยันในตอนแรก จางหายไปจากสีหน้าแววตาอย่างชัดเจน


จากนั้น เสียงกังวานไพเราะของหญิงสาว ที่ไม่มีใครทราบว่าดังจากจุดใด ยังคงกล่าวต่อไป


“แน่นอน ฉันรู้จักคุณ และคุณก็น่าจะรู้จักฉันเช่นกัน”


อะซิกยืนฟังพลางครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกับเผยรอยยิ้มขื่นขม


“เสียใจด้วย แต่ผมสูญเสียความทรงจำสมัยอดีตไปมากมาย อยู่ระหว่างการรวบรวมกลับคืน หากคุณยังจำผมได้ รบกวนช่วยปลุกความทรงจำบางส่วนกลับมาด้วย นั่นจะเป็นพระคุณอย่างมาก”


ได้ฟังบทสนทนา สีหน้าที่เคยสับสนและสงสัยของเทรซี่เริ่มบรรเทา


เธอค่อย ๆ ชำเลืองมาทางไคลน์อย่างระมัดระวัง แต่ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อพบกับใบหน้าพลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์


หญิงสาวลึกลับถอนหายใจยาวอย่างอ่อนโยน


“พวกเราพบกันครั้งสุดท้ายเมื่อหนึ่งพันสามร้อย ปีก่อน ขณะนั้น ‘แม่มดบรรพกาล’ และ ‘เทพมรณา’ ร่วมมือกันสร้าง ‘โรคระบาดไร้ชีวิตชีวา’ ขึ้นบนทวีปเหนือ คุณอาจลืมไปแล้ว แต่พวกเราเคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่โดยมีศัตรูเป็นนักบุญและเทวทูตจำนวนมากจากโบสถ์รัตติกาล”


เราเคยได้ยินเรื่องดังกล่าว มันถูกบันทึกไว้ในไดอารีจักรพรรดิโรซายล์… มิสเตอร์ประตูได้กล่าวไว้ว่า เหตุการณ์นั้นทำให้แม่มดบรรพกาลได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่มีทีท่าว่าจะปรากฏกายบนโลกได้ในเร็ววัน ส่วนเทพมรณาร่วงหล่นทันที โดยใช้พลังเฮือกสุดท้ายสร้างทะเลคลั่งขึ้น กั้นแบ่งระหว่างทวีปเหนือและใต้…


ในเหตุการณ์ดังกล่าว นิกายแม่มดและกองทัพมรณาร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้น จึงไม่แปลกหากแม่มดครึ่งเทพรู้จักกับมิสเตอร์อะซิกมาก่อน..


อา… เธอเองก็เป็นสัตว์ประหลาดที่มีชีวิตยาวนานกว่าหนึ่งพันสี่ร้อยปีเหมือนเขา…


ไคลน์ยืนใคร่ครวญ


ทันใดนั้น มันผุดคำถามใหม่ เพราะไคลน์เคยเข้าใจมาตลอดว่า หลังจากมิสเตอร์อะซิกจ้องมองจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์ โดยตรงจนหมดสติไป ร่างกายของเขาก็ไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกเลย ความทรงจำขาดหายและต้องคืนชีพใหม่เป็นวัฏจักร แต่ถ้อยคำเมื่อครู่ของแม่มดครึ่งเทพได้บอกเป็นนัยว่า ไม่เพียงอะซิกจะเอาชีวิตรอดจากสงครามสี่จักรพรรดิมาได้ แต่ยังมีโอกาสเข้าร่วมเหตุการณ์ ‘ภัยพิบัติไร้ชีวิตชีวา’ ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นอีกหลายปี และดูเหมือนว่าจะมิได้สูญเสียพลังไประหว่างทาง…


อะซิกหลับตาลง นึกเค้นความทรงจำ


ผ่านไปสักพักใหญ่ มันถามอย่างลังเล


“คาร์เทอริน่า·เปลเล่? คุณเป็น ‘แม่มดยุพนิรันดร์’ แล้วหรือ”


“ฉันดีใจที่คุณยังจำได้ เพราะเทียบกับคุณในช่วงเวลานั้น ฉันได้เป็นเพียงตัวตนแสนอ่อนแอ”


เมื่อสิ้นเสียง หญิงงามนางหนึ่งปรากฏกายข้างเทรซี่ สวมชุดคลุมสีขาวเรียบง่าย แต่ส่วนขาทั้งสองข้างผ่าลึกขึ้นมาเกือบถึงสะโพก เผยให้เห็นเรียวขาอันงดงามไร้จุดตำหนิ ผิวพรรณอ่อนเยาว์ไม่ต่างจากเด็กสาวแรกรุ่น


ผมสีดำ ดวงตาสีฟ้า กิริยามารยาทสง่างามและชดช้อย รอบกายเปี่ยมด้วยกลิ่นอายความน่าหลงใหลเกินกว่าจะพรรณนา


เธอจ้องอะซิก·อายเกส มุมปากยกโค้งด้วยรอยยิ้มอ่อนละมุน


“แม้จะผ่านมากว่าพันปี แต่พวกเรากลับได้พบกันแบบยังมีชีวิต สิ่งนี้ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองอย่างมาก …คุณไม่คิดแบบนั้นบ้างหรือ? กงสุลมรณะแห่งจักรวรรดิไบลัม”


มิสเตอร์อะซิกคือ ‘กงสุลมรณะ’ แห่งจักรวรรดิไบลัม? เป็นชื่อโอสถระดับสูงบนเส้นทางเทพมรณา?


หืม… แม่มดยุพนิรันดร์ คาร์เทอริน่า·เปลเล่ มีรูปโฉมงามวิจิตรราวกับสตรีอายุสามสิบตอนต้น สง่างามและน่าหลงใหลในแบบฉบับของผู้ใหญ่…


ด…เดี๋ยวก่อน ในเวลาแบบนี้ ทำไมเราถึงเอาแต่คิดเรื่องอย่างว่า… เสน่ห์ที่เป็นพลังของ ‘แม่มดสุขสม’ ถูกยกระดับขึ้นถึงเพียงนี้เชียว?


ไคลน์รีบหลบหน้าหลบตา ตั้งสติเข้าฌานเพื่อรักษาสมาธิมิให้กระเจิดกระเจิง


โดยไม่รอให้อะซิกโต้ตอบ แม่มดยุพนิรันดร์ คาร์เทอริน่า·เปลเล่ กล่าวด้วยเสียงไพเราะประหนึ่งขับขานบทเพลง


“แต่ฉันไม่เข้าใจ ทำไมคุณถึงยังสูญเสียความทรงจำอยู่อีก หากจำไม่ผิด คำสาปดังกล่าวจะเกิดขึ้นเฉพาะกับโอสถ ‘อมรณา’ บนเส้นทางของคุณเท่านั้น ต้องเวียนว่ายตายเกิดทุกหกสิบปี โดยจะสูญเสียความทรงจำในอดีตเสมอ… แต่คุณเลื่อนลำดับผ่านโอสถดังกล่าวมานานแล้ว ไม่น่าจะถูกผลของคำสาปเล่นงานเอาได้อีก เกิดอะไรขึ้นกับคุณหลังจากสิ้นสุดสงครามภัยพิบัติไร้ชีวิตชีวา? หึหึ… ย้อนกลับไปในช่วงนั้น เจ็ดเทพจารีตมิได้สามัคคีกันในตอนแรก บ้างแตกแยก บ้างกำลังเป็นศัตรู พวกเราฝ่ายแม่มดบรรพกาลและเทพมรณาจึงเชื่อว่าแผนการจะสำเร็จได้ด้วยดี ใครจะไปคิดว่า สุริยันเจิดจรัสแสนโอหังจะยอมก้มหัว วายุสลาตันแสนเกรี้ยวกราดจะยอมก้มหัว ร่วมมือกันปราบปรามพวกเรา… หากไม่เพราะฉันบังเอิญเลื่อนลำดับพอดี คงเป็นอีกหนึ่งร่างที่ร่วงหล่นในสงครามดังกล่าว… คุณเองก็คงได้รับบาดเจ็บจากสงครามไม่ต่างกัน เพราะเหนือสิ่งอื่นใด คงไม่มีการสูญเสียใด หนักหน่วงไปกว่าการสูญเสียเทพมรณาอีกแล้ว”


อะซิกยังคงเงียบงัน แต่ใบหน้าเริ่มเผยความเจ็บปวดเจือจาง


“ผ….ผมจำอะไรไม่ได้เลย”


ขณะเดียวกัน ไคลน์เพิ่งตระหนักได้ว่า ตนเคยเห็นแม่มดยุพนิรันดร์ คาร์เทอริน่า·เปลเล่ จากที่ไหนมาก่อน คำตอบคือ หญิงสาวผู้นี้คือคนเดียวกับแม่มดปริศนา ผู้ชักนำให้มาดามเชอรอนในเมืองทิงเก็น เข้าสู่เส้นทางแม่มดเต็มตัว!


คาร์เทอริน่าหันมาจ้องไคลน์ ส่งเสียงคิกคักพลางซักถามอะซิก


“ถ้าอย่างนั้น กลับเข้าจุดประสงค์ที่พวกคุณมาเยือนในวันนี้กันดีกว่า ฉันมีคำถาม ทำไมเขาถึงต้องการฆ่าเทรซี่? เพื่อผดุงคุณธรรมอย่างนั้นหรือ”


สายตาของแม่มดยุพนิรันดร์เปี่ยมด้วยความซุกซน เฉลียวฉลาด และอ่อนหวานของหญิงสาวแรกรุ่น โดยไม่ว่าจะภาษากาย อารมณ์ การแสดงสีหน้า ไม่มีจุดใดเลยที่มองแล้วขัดหูขัดตา แตกต่างจากผู้ใหญ่ที่แสร้งทำตัวเป็นเด็ก


ในวินาทีนี้ ไคลน์หลงเชื่ออย่างสนิทใจว่า คาร์เทอริน่า·เปลเล่คือหญิงสาววัยสิบหกสิบเจ็ดตัวจริงเสียงจริง


บริหารเสน่ห์ของสาวแรกรุ่นได้อย่างหมดจดและสมบูรณ์แบบ… ไม่ว่าจะสีหน้า แววตา บุคลิก ภาษากาย ผิวพรรณ หรือบรรยากาศ… ไม่แปลกใจว่าทำไมโอสถถึงชื่อแม่มดยุพนิรันดร์..


ไคลน์พยายามใช้เทคนิคการเข้าฌานเพื่อเอาชนะเสน่ห์อันเหลือล้นเกินห้ามใจ


มันหันไปทางสตรีแห่งโรคภัย เทรซี่


“เธอรู้จักพ่อค้ามั่งคั่งนามจิมมี่·เน็คหรือไม่”


เทรซี่พะงาบปากเล็กน้อย หุบกลับลงไป ก่อนจะขยับขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้ามึนงง


“ใครล่ะนั่น?”


“เธออาจไม่รู้จัก แต่ชายคนนั้นเคยรวบรวมเอกสารโบราณที่เกี่ยวกับเทพมรณา เขาเสียชีวิตภายใต้เงื้อมมือพลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์”


ไคลน์กล่าวด้วยใบหน้าคีลิงเกอร์


ดวงตาสีฟ้าของเทรซี่กลอกไปมาเล็กน้อย เผยความสับสนในตอนแรก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความโกรธเคืองในตอนหลัง


“นายคิดฆ่าฉันเพราะต้องการเอกสารนั่น…?”


อยู่ในมือหล่อนจริงด้วย… อย่างน้อยคราวนี้ก็ไม่เสียเที่ยว… ไคลน์คาดเดาจากน้ำเสียงและสีหน้าอีกฝ่าย


มันมอบคำตอบกลับไป


“ถูกต้อง”


เทรซี่สูดลมหายใจยาวเข้าปอด


“เอลเลนอยู่ที่ไหน? นายทำอะไรกับเธอบ้าง? ฉันรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ สัมผัสวิญญาณบอกมาว่าอย่างนั้น”


ไคลน์ไม่กลบเกลื่อนด้วยถ้อยคำคลุมเครือ เลือกอธิบายไปตามตรงโดยไม่ปกปิด


“กำลังกลับอินทิสและเริ่มต้นชีวิตใหม่”


สีหน้าเทรซี่พลันจมดิ่ง ภายในดวงตาคล้ายกับมีลมพายุก่อตัว พลเรือโทโรคภัยเผยจิตคุกคามรุนแรงออกมาชั่วขณะ จนกระทั่งอะซิกชำเลืองด้วยหางตา โทสะหญิงสาวจึงสงบลง


มุมปากหญิงสาวสั่นระริก


“ถูกต้อง เอกสารโบราณเกี่ยวกับเทพมรณาตกมาถึงมือฉันจริง แต่ฉันไม่ได้ใส่ใจนัก หลังจากอ่านไปสองสามหน้าก็เกิดเบื่อหน่าย จึงส่งมอบให้นิกาย ฮิฮิ… ถึงนายจะลอบสังหารฉันสำเร็จและสื่อวิญญาณ ก็คงไม่ได้ข้อมูลใดกลับไปอยู่ดี เพราะหัวสมองฉันไม่มีเรื่องเหล่านั้นเลย น่าเสียดาย ฉันชักอยากเห็นสีหน้าแสนสิ้นหวังขณะที่นายพบว่าตัวเองคว้าน้ำเหลว ติดตรงที่ฉันยังต้องการมีชีวิตอยู่”


ไคลน์โต้แย้ง


“ผิดแล้ว ฉันมิได้คว้าน้ำเหลว เพราะเจ้าสิ่งนี้สามารถเขมือบดวงวิญญาณ เลือดเนื้อ และตะกอนพลังของแม่มดทุกข์ระทมได้อย่างหมดจด พลังของเธอจะกลายเป็นของฉัน”


เมื่อกล่าวจบ ชายหนุ่มยกกำปั้นซ้ายขึ้นมาโอ้อวด ยุบพองหิวโหยกำลังอยู่ในรูปลักษณ์ของถุงมือหนังสีดำธรรมดา


เทรซี่หรี่ตาลง เริ่มแผ่จิตคุกคามเข้มข้นออกมาอีกครั้ง ประหนึ่งพยัคฆ์กำลังถูกยั่วยุจากเหยื่อ หากไม่เพราะมีสองครึ่งเทพกำลังยืนรายล้อม เธอคงลงมือจู่โจมสายฟ้าแลบ


เมื่อไคลน์พูดจบ มันเริ่มพบความผิดปรกติเกี่ยวกับตัวเอง


เราไม่ใช่เกอร์มัน·สแปร์โรว์สักหน่อย แต่กำลังสวมบทบาทเป็นคีลิงเกอร์ แล้วทำไมถึงเอานิสัยของเกอร์มันมาใช้…?


ไคลน์เริ่มประหวั่น กังวลว่าตนอาจอยู่ในร่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์นานเกินไปจนถูกครอบงำ


ห้ามลืมเด็ดขาด… ต้องเป็นตัวเองเท่านั้น!


หากปล่อยตัวปล่อยใจ ไม่เพียงจะถูกอุปนิสัยของตัวละครครอบงำ แต่ยังจะเพิ่มโอกาสคลุ้มคลั่งขึ้นจากเดิม…


มันรีบประเมินตัวเองใหม่ กำชับให้สมองจดจำกฎเหล็กของผู้ไร้หน้า


เมื่อเห็นลูกศิษย์ของตนเงียบงัน อะซิกมองไปทางคาร์เทอริน่า·เปลเล่และกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง


“ช่วยคัดลอกเอกสารให้ผมได้ไหม”


“ไม่มีปัญหา” พูดจบ คาร์เทอริน่าหันไปยังเทรซี่ด้านข้างและถาม “เธออยากได้อะไรไหม”


เทรซี่จ้องไคลน์ พูดด้วยน้ำเสียงกึ่งแหบพร่า


“ตอบฉันมา ตอนนี้เอลเลนอยู่ที่ไหน!”


ไคลน์จ้องหน้าเทรซี่ ก่อนจะย้ายไปมองแม่มดยุพนิรันดร์ คาร์เทอริน่า·เปลเล่ ที่ยืนด้านข้าง


มันมีคำตอบในใจแล้ว แต่ไม่กล้าพูดออกไป


ชายหนุ่มหันมามองมิสเตอร์อะซิกด้านข้างตน และได้พบรอยยิ้มอ่อนโยน ปราศจากท่าทีบังคับหรือเร่งให้มอบคำตอบ


ไคลน์เบือนหน้ากลับ ตอบสั้นกระชับ


“ขอปฏิเสธ”


……………………


ราชันเร้นลับ 589 : ยุแยง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในวินาทีนี้ ไคลน์คาดหมายว่าเทรซี่จะจู่โจมเข้ามาทันที เพราะใบหน้าอีกฝ่ายกำลังแดงก่ำไปด้วยโทสะเดือดดาล ดวงตาสีฟ้าทวีความเข้มคล้ายกับคลื่นทะเลก่อนพายุตั้งเค้า


แต่ท้ายที่สุด เทรซี่มิได้ลงมือบุ่มบ่าม เพียงชำเลืองไปด้านข้าง มองคาร์เทอริน่า·เปลเล่ รอให้อีกฝ่ายช่วยตัดสินใจ


เธอทราบดี แม้ลำดับ 4 และ 5 จะต่างกันเพียงหนึ่งขั้นพลัง แต่ความแตกต่างในเชิงคุณภาพนั้นมากมายราวฟ้ากับเหว มิอาจเอาชนะได้ด้วยกลยุทธ์อันแยบคายหรือพลังใจ ฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงมนุษย์ที่มีพลังพิเศษมากหน่อย แต่อีกฝ่ายหนึ่งคือครึ่งเทพ สิ่งมีชีวิตชั้นสูง ลำพังระดับตัวตนก็เหนือกว่าอย่างเทียบไม่ติด


ยิ่งไปกว่านั้น เทรซี่ทราบดี ระดับพลังของทั้งสองมิใช่แค่เพียงลำดับ 4 เธอจึงรู้สึกราวกับตนเป็นเพียงผู้วิเศษปลายแถว


แม่มดยุพนิรันดร์ คาร์เทอริน่า·เปลเล่ มิได้แสดงท่าทีโกรธเคืองไคลน์ เพียงจ้องมองชายหนุ่มที่สวมรูปลักษณ์พลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์ ด้วยดวงตาซึ่งคล้ายกับมีพายุหมุนวนอยู่ด้านใน


คาร์เทอริน่าหัวเราะคิกคักก่อนจะกล่าว


“เป็นเด็กหนุ่มที่น่าสนใจมาก… หากมิได้มาพร้อมท่านกงสุลมรณะ ฉันคงไม่ระงับอารมณ์ที่กำลังวูบวาบอยู่ในใจ และชวนคุณพูดคุยเกี่ยวกับความรักแสนบริสุทธิ์ตามลำพังสักพัก”


มาดาม คุณจะทำแบบนั้นไม่ได้…


เชี่ย! แค่ฟังก็ขนลุกไปทั้งตัว…


ไคลน์ไม่กล้าจ้องตาอีกฝ่ายโดยตรง รีบเบือนหน้าไปหาเทรซี่ด้านข้าง


คาร์เทอริน่ามิได้กล่าวสิ่งใดกับอะซิก·อายเกส หล่อนเบือนหน้ากลับ พูดกับเทรซี่ด้วยน้ำเสียงชวนหลงใหลราวกับบทเพลง


“จงโอบกอดความเจ็บปวดเหล่านั้นเอาไว้ มันจะดีกับตัวเธอในบางแง่มุม”


ถัดมา แม่มดยุพนิรันดร์หันมาจ้องอะซิกด้วยสายตาเคารพนับถือ


“ฉันพอจะจำเนื้อหาในเอกสารได้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความพยายามในการคืนชีพเทพมรณาของอดีตราชวงศ์ไบลัม แต่น่าเสียดาย ทุกการทดลองล้วนประสบความล้มเหลว ในท้ายที่สุด พวกเขายอมถอดใจและเปลี่ยนไปคิดเรื่องการสร้างมรณาเทียมแทน คุณยังสนใจอยู่ไหม?”


มรณาเทียม? มนุษย์สามารถสร้างเทพมรณาเทียมได้ด้วยหรือ… แล้วจะไปหา ‘เอกลักษณ์’ กับ ‘ตะกอนพลัง’ ที่เป็นสิ่งสำคัญในการเลื่อนลำดับ 0 มาจากไหน? ของแบบนั้นไม่น่าจะมีอยู่อีกแล้ว ไม่ใช่กะหล่ำปลีบนแผงผักในตลาดสักหน่อย… ราชวงศ์ไบลัมในอดีตและนิกายวิญญาณ มีแต่พวกเสียสติมารวมตัวกันหรือไง…


ไคลน์พึมพำ ระหว่างนั้น ยังไม่มีบทสนทนาเพิ่มเติมจากสองครึ่งเทพ


อะซิกครุ่นคิดหลายวินาที ก่อนจะถามอีกครั้ง


“ผมต้องจ่ายด้วยอะไร”


คาร์เทอริน่าเผยรอยยิ้มซุกซนของเด็กสาว


“ไม่จำเป็น ฉันไม่ต้องการ ฉันแค่คิดว่าคงน่าสนุกไม่น้อย หากจะช่วยคุณฟื้นฟูความทรงจำทีละนิดจนกลับมาเป็น ‘กงสุลมรณะ’ ได้อีกครั้ง… โลกจะน่าตื่นเต้นมากขึ้นหลายเท่า และเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ไม่มีใครคาดเดาได้”


ฟังดูเหมือนกับ… เด็กผู้หญิงในวัยต่อต้อนพ่อแม่ที่ต้องการเห็นทุกสิ่งพังพินาศ… อย่าบอกนะว่าโอสถแม่มดยุพนิรันดร์ ไม่เพียงทำให้ร่างกายกลับสู่ความอ่อนเยาว์ แต่รวมไปถึงสมองและจิตใจด้วย?


ไคลน์ตระหนักว่า ตนมิอาจไล่ตามความคิดและอารมณ์ของอีกฝ่ายทันแม้แต่น้อย


คงมีแต่เส้นทาง ‘ผู้ชม’ ลำดับ 6 กระมัง… หรืออาจต้องเป็นลำดับ 5 ไม่ก็ 4 จึงจะทราบว่าหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่…


ชายหนุ่มตัดพ้อห่อเหี่ยว


อะซิกพยักหน้า มือขวาเหยียดออก กระดาษและปากกาภายในห้องลอยมาอยู่บนฝ่ามืออย่างเป็นปริศนา ราวกับมีวิญญาณล่องหนคอยรับใช้


เมื่อขีดเขียนเสร็จ มันพับและโยนกระดาษไปทางคาร์เทอริน่า


“ส่งมาทางผู้ส่งสารของผม”


เขามีนกหวีดทองแดงแค่อันเดียว และนั่นอยู่กับเรา… ผ่านมานานกว่าพันปี แต่ยังใช้งานได้เหมือนของใหม่ ต้องไม่ใช่สมบัติธรรมดาแน่…


ไคลน์เกิดอยากจะใช้มือล้วงนกหวีดทองแดงในกระเป๋าเสื้อ แต่สุดท้ายก็หักห้ามใจไว้


แม่มดยุพนิรันดร์ คาร์เทอริน่า รับกระดาษพร้อมกับกวาดสายตาอ่านอย่างคร่าว


เธอหัวเราะคิกคัก


“นึกว่าคุณจะบอกพิกัดของโลกแห่งความตายให้ฉันเสียอีก”


หญิงสาวเชิดคาง ดวงตาสีฟ้าที่อัดแน่นด้วยความอ่อนโยนเหนือพรรณนามองตรงมาข้างหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ฉันยังคงไม่ลืมความไร้เทียมทาน อำมหิต และเย็นชาของกงสุลมรณะเมื่อพันปีก่อน ชายคนนั้นทำให้ฉันรู้สึกประทับใจมิรู้ลืม ฉันจึงค่อนข้างประหลาดใจ ที่เห็นคุณในปัจจุบันสุภาพอ่อนโยนขึ้นมาก”


อะซิกยกกำปั้นจ่อปลายคางในท่าครุ่นคิด เผยรอยยิ้มขื่นขมพลางส่ายหน้า


“ถึงผมจะเป็นอมตะ แต่มิได้ไม่แก่เฒ่า เมื่อผู้ชายเราอายุมากขึ้น ความสุขุมลุ่มลึกและอ่อนโยนก็ยิ่งเพิ่มตาม”


“ผิดแล้ว” คาร์เทอริน่าหรี่ตาลง กล่าวความรู้สึกที่แท้จริงโดยไม่ปิดบัง “ฉันจะเฝ้ารอจนถึงวันที่คุณฟื้นฟูความทรงจำอย่างสมบูรณ์และกลับเป็นคนเก่า ฉันอยากเห็นว่า คุณจะยังคิดเหมือนกับตัวเองในวันนี้หรือไม่… คิคิก”


เมื่อกล่าวจบ หญิงสาวยกมุมปากเล็กน้อย หันมาขยิบตาให้ไคลน์


“บางที… พวกเราอาจกำลังปลดปล่อยอสุรกายที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าจอมมารออกมาก็ได้นะ”


กำลังยุแยงให้พวกเราแตกคอ? เป็นนิสัยของนักกระตุ้น หรือว่าแผนอะไรไว้กันแน่…


ไคลน์พึมพำ แต่ถึงอย่างนั้นก็สลัดคำพูดของเธอไม่หลุด ย้อนกลับไปในอดีต เหตุการณ์ ‘ภัยพิบัติไร้ชีวิตชีวา’ ได้ถูกบันทึกลงบนเอกสารเชิงประวัติศาสตร์ของโบสถ์หลักอย่างละเอียด ถูกตีแผ่ออกไปอย่างแพร่หลาย ทำให้ชนรุ่นหลังได้ทราบว่า มีผู้คนมากมายล้มตายไปในเหตุการณ์คราวนั้น ทวีปเหนือทั้งหมดกลายเป็นนรกบนดิน


ต้นตอของเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่ใครนอกจาก ‘เทพมรณา’ จากทวีปใต้ และ ‘แม่มดบรรพกาล’ จากนิกายแม่มด จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า มิสเตอร์อะซิกผู้เป็นทายาทโดยตรงของมรณา และมีศักดิ์เป็นกงสุลมรณะ ต้องเป็นหนึ่งในแกนนำสำคัญของภัยพิบัติดังกล่าว


อะซิกยืนนิ่งหลายวินาที ก่อนจะจับไหล่ไคลน์และพาเข้าสู่โลกวิญญาณ ทิ้งให้เทรซี่ถูกทิ้งให้อยู่กับคาร์เทอริน่าตามลำพังในห้องกัปตันเรือกาฬมรณะ


สตรีแห่งโรคภัยยืนจ้องจุดที่ทั้งสองหายตัวไปเป็นเวลานาน กัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ


“ฉันจะไม่ลืมหนี้แค้นในวันนี้แน่!”


คาร์เทอริน่าเผยรอยยิ้มสง่างาม


“ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ระทมหรือความทรมาน ยิ่งเจ้าได้ลิ้มรสมากเพียงใด ก็ยิ่งสัมผัสถึงความอ่อนแอของตัวเองได้ชัดเจนเท่านั้น หากเจ็บปวดเจียนตายจนถึงระดับหนึ่ง จิตใต้สำนึกจะบอกให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงตัวเอง สิ่งนั้นจะเป็นผลดีต่อการดื่มโอสถลำดับถัดไป เจ้าจะกลายเป็นครึ่งเทพได้ง่ายขึ้น กลายเป็นผู้ครอบครองส่วนหนึ่งของพลังเทพ”


ได้ยินคำดังกล่าว พลเรือโทโรคภัย เทรซี่ พลันฉุกคิดบางสิ่งได้ จึงรีบหันไปถามโดยไม่ปิดบังอารมณ์บิดเบี้ยวบนใบหน้า


“หรือสาเหตุที่เอลเลนหลบหนีออกจากกาฬมรณะได้ในตอนแรก จะเป็นเพราะ…”


คาร์เทอริน่ายิ้ม


“แม้เจ้าจะเป็นทายาทคนเล็กของแม่ แต่ก็มีโอกาสกลายเป็นครึ่งเทพมากกว่าใคร ฉะนั้น หน้าที่ของแม่คือการช่วยสนับสนุนลูกให้ถูกทาง”


มุมปากเทรซี่พลันสั่นกระตุก ใบหน้าทวีความบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเก่า


“ใช่… คุณเป็นแม่ของฉัน… เป็นแม่คนเดียว แล้วทำไมถึงไม่ยอมบอกความจริงแต่แรก! ในฐานะครึ่งเทพ คุณต้องรู้จักโอสถเส้นทางอื่นอีกนับไม่ถ้วน! ต้องมีสูตรโอสถตั้งแต่ลำดับ 9 จนถึงลำดับกลางอีกหนึ่งหรือสองเส้นทาง! แล้วทำไมถึงปิดบังเอาไว้!”


คาร์เทอริน่ามองไปรอบห้อง ชุดคลุมสีขาวสะบัดพลิ้วแผ่วเบา ตามด้วยเสียงล่องลอย


“พวกเราทุกคนต้องเข้าใกล้ ‘ท่านแม่มดบรรพกาล’ ให้มากที่สุด เราทุกคนคือทายาทของท่าน”


ขณะกำลังพูด เพลิงทมิฬเกิดลุกโชนอย่างเงียบเชียบรอบเรือใบลำใหญ่ที่มีความยาวหลายสิบเมตร เพลิงปกคลุมทุกส่วนของเรือ แต่มิได้ทำร้ายโจรสลัดคนใด เพียงแผดเผาสิ่งของชิ้นเล็ก ๆ ตามพื้นและมุมทางเดินให้กลายเป็นขี้เถ้า



ขณะทัศนียภาพกำลังถูกซ้อนทับด้วยชั้นสีสันฉูดฉาด สัมผัสวิญญาณของไคลน์พลันถูกกระตุ้น


ชายหนุ่มสัมผัสได้อย่างแจ่มชัดว่า ‘เบาะแส’ ที่ตนทิ้งไว้บนกาฬมรณะถูกทำลายจนหมดสิ้น


สมกับเป็นแม่มดยุพนิรันดร์…


ไคลน์ถอนหายใจยาว ขณะเตรียมกล่าวสิ่งใด ภาพรอบพลันตัวแปรเปลี่ยนเป็นดำดิ่งอีกครั้ง


มันเดินทางออกจากโลกวิญญาณพร้อมอะซิก


ทั้งสองโผล่ออกมาท่ามกลางหุบเขา มีลำธารหลายสายพาดผ่าน ใจกลางเป็นทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ ไม่ห่างออกไปเป็นซากเมืองขนาดเล็ก รวมถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งมีสถาปัตยกรรมแบบโลเอ็น


ไคลน์มองไปรอบตัว พบว่าตนกำลังยืนอยู่ ณ กลางสุสานร้างบรรยากาศหม่นหมองแห่งหนึ่ง คล้ายกับที่นี่ถูกทอดทิ้งมานานมาก


“มิสเตอร์อะซิก…” ชายหนุ่มร้องเรียกด้วยสีหน้าประหลาดใจ


อะซิกเดินไปยังหินใหญ่ก้อนหนึ่งและยกออก เบื้องล่างเป็นวัชพืชปกคลุมหลุมศพใครบางคน


กงสุลมรณะกล่าวด้วยเสียงแผ่ว


“หลังจากได้พบคาร์เทอริน่า·เปลเล่ ผมนึกบางสิ่งขึ้นได้ เคยเล่าให้ฟังแล้วใช่ไหม หนึ่งในความฝันของผม ภายในช่วงชีวิตหนึ่ง ผมเคยมีลูกสาวผมสีดำยาวสลวย เธอชอบนั่งบนชิงช้าที่ผมสร้าง และมักขอลูกอมจากผมเสมอ เมื่อครู่ ระหว่างกำลังท่องโลกวิญญาณ ผมได้ยินเสียงเรียกจากสายเลือดตัวเอง”


ไคลน์เริ่มซึมซับอารมณ์ของอีกฝ่าย ซักถามด้วยเสียงต่ำ


“นี่คือเธอ?”


อะซิกพยักหน้า นั่งยอง ใช้มือลูบไปบนแผ่นหินของสุสาน ผิวสีแทนบนใบหน้าเผยความอ่อนโยนเจือความเศร้าและสับสน


“นี่คือหลุมศพของเธอ… ถ้าผมจำไม่ผิด เธอเสียชีวิตมาแล้วเก้าร้อยหกสิบสองปี”


“เก้าร้อยหกสิบสอง…” ไคลน์ต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงเว้นวรรคเป็นเวลานาน


หากไม่เพราะโบสถ์หลักออกกฎหมายให้ศพของทุกคนต้องเผาหรือฝังในสุสาน รวมถึงการผลัดเปลี่ยนคนมาคอยดูแล และหากไม่เพราะนับตั้งแต่ยุคสมัยที่ห้า ยังไม่เคยเกิดสงครามเต็มรูปแบบเลยสักครั้ง หลุมศพของลูกสาวอะซิกคงไม่หลงเหลือจนกระทั่งทุกวันนี้


มนุษย์มีอายุขัยเพียงไม่กี่สิบปี แต่สุสานกลับยังคงอยู่นานถึงเก้าร้อยยี่สิบหกปี


บรรยากาศของสุสานร้างเงียบงันอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งอะซิกลุกขึ้น จับบ่าไคลน์


“ผมจะส่งคุณกลับไปก่อน”


หลังจากท่องโลกวิญญาณอีกไม่กี่นาที ไคลน์มองเห็นผ้าปูเตียงสีขาวและพื้นสีน้ำตาลอีกครั้ง


อะซิกกดหมวกลง กล่าวด้วยเสียงต่ำ


“ผมจะยังคงเดินไปบนเส้นทางของตัวเอง ส่วนคุณก็ต้องผจญภัยในเส้นทางของคุณต่อไป”


ไคลน์พยักหน้ารับ ขณะเตรียมตอบกลับ มันเห็นอะซิกยกมุมปาก เผยรอยยิ้ม และกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้า


“คุณกังวลไหม? หากความทรงของผมจำฟื้นคืนมาอย่างสมบูรณ์ และกลายเป็นบุคคลชั่วร้ายตามที่แม่มดคนนั้นพูด”


โดยไม่รอคำตอบจากไคลน์ มันถอนหายใจ


“ผมเองก็กังวล… แต่ผมต้องการค้นหาตัวตนในอดีตให้พบ”


เมื่อกล่าวจบ รอบกายอะซิกเกิดคลื่นน้ำกระเพื่อมอย่างอ่อนโยน กงสุลมรณะหายตัวไปจากห้องนอนโรงแรมโดยสมบูรณ์


ไคลน์ยืนนิ่งเช่นนั้นเป็นเวลานาน


ก่อนจะส่ายหน้าและรำพันกับตัวเองแผ่วเบา


“บางที หากเรากลายเป็นเทวทูตที่แข็งแกร่งในอนาคต อาจก่อตั้งโรงพยาบาลจิตเวชขึ้น เจาะจงรักษากลุ่มคนที่มีบุคลิกภาพต่อต้านสังคม และให้มิสจัสติสเป็นหัวหน้าจิตแพทย์”


เมื่อคืนสติ ไคลน์นั่งลง ทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาตามอุปนิสัย


“ในตอนแรก เราวางแผนจะใช้ยุบพองหิวโหยเขมือบตะกอนพลังของแม่มดทุกข์ระทม รวมไปถึงการหาเอกสารโบราณแห่งมรณา และเบาะแสของการลักพาตัวทาสตามเกาะอาณานิคมและทวีปใต้… ใครจะไปคิดว่าเหตุการณ์ดันกลับตาลปัตร สำเร็จแค่จุดมุ่งหมายเดียว เฮ่อ… เราบังคับให้มิสเตอร์อะซิกลงมือไม่ได้ พลังของเขายังฟื้นฟูไม่สมบูรณ์ อีกฝ่ายเป็นถึงแม่มดยุพนิรันดร์… บนโลกแห่งความรุนแรงใบนี้ ความแข็งแกร่งสำคัญเหนือสิ่งใด เราต้องการพลังสำหรับจัดปัญหาของตัวเองได้ทุกเรื่อง… ฮะฮะ… เมื่อลองคิดดูให้ดี ในระยะหลัง เราก็จัดการปัญหาด้วยตัวเองแทบทุกเรื่องอยู่แล้ว สำหรับคดีค้ามนุษย์ เราสามารถเบนเป้าไปยังผู้ซื้อ… กัปตันคลั่ง คอร์เนอร์·วิกเตอร์”


ไคลน์เปลี่ยนอิริยาบถ พยักหน้ากับตัวเองพลางพึมพำในใจ


รางวัลที่ดีที่สุดคือในคราวนี้คือ การได้ตระหนักถึงเทคนิคแปลงโฉมโดยไม่นำจิตใจเข้าไปพัวพัน เข้าถึงแต่ไม่หลอมรวม อีกทั้งยังได้ทลายกำแพงทางใจที่เคยต่อต้านมานาน ไม่เพียงเท่านั้น เรายังได้ตื่นตัวกับผลด้านลบหากสวมบทบาทเป็นใครสักคนนานเกินไป…


ถ้าเป็นผู้ไร้หน้าคนอื่น ด้วยเทคนิคสวมบทบาทตามปรกติ กว่าโอสถจะย่อยสมบูรณ์ก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งปี แต่ในกรณีของเราจะใช้เวลาอีกเพียงสามถึงสี่เดือนเท่านั้น หรือก็คือ ภายในครึ่งปีหลัง โอสถจะถูกย่อยโดยสมบูรณ์…


เมื่อเสร็จสิ้นการวิเคราะห์ทบทวน ไคลน์เตรียมเข้านอน วางแผนไว้ว่าเมื่อรุ่นอรุณวันพรุ่งมาถึง มันจะนำเครื่องรับโทรเลขออกจากห้วงมิติสายหมอก และติดต่อกับกระจกวิเศษอาโรเดส


แน่นอน ต้องมีการทำนายยืนยันระดับอันตรายล่วงหน้าเสียก่อน


……………………


ราชันเร้นลับ 590 : ขีดจำกัดล่างของอาโรเดส

โดย

Ink Stone_Fantasy

เช้าตรู่ ณ ห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา


ไคลน์พร้อมด้วยปากกาและกระดาษ บรรจงเขียนประโยคทำนายอย่างระมัดระวัง


“การใช้เครื่องรับโทรเลขจะนำไปสู่อันตราย”


ข้อความถูกตรวจสอบซ้ำสองหน ตามด้วยการปลดจี้บุษราคัมออกจากข้อมือซ้าย และเริ่มใช้เทคนิคการทำนายด้วยลูกตุ้มวิญญาณ


ระหว่างทำนาย สติของไคลน์ตื่นตัวตลอดเวลา เจือปนความหวาดกลัวไว้หลายส่วน คล้ายกับเด็กเล็กที่จุดชนวนประทัดและอุดหูขณะรอให้มันระเบิด เพราะหากมีพระผู้สร้างแท้จริงและแม่มดบรรพกาลมาเกี่ยวข้อง เพียงการทำนายถึงก็มากพอจะสร้างความฉิบหายแก่ตัวเอง ลองเปลี่ยนเป็นผู้วิเศษคนอื่น พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการรนหาภาวะคลุ้มคลั่งหรือความตายอย่างทุกข์ทรมาน แต่สำหรับไคลน์ที่ถูกกีดกันโดยห้วงมิติเหนือสายหมอก การทำนายถึงเทพมารเหล่านั้นมิได้นำพาไปสู่ผลลัพธ์เลวร้ายที่สุด


จริงอยู่ ร่างกายอาจบอบช้ำไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าต้องเสียชีวิตอย่างน่าสมเพช สิ่งที่น่ากังวลมากกว่าก็คือ หลังจากทดลองซ้ำ ๆ หลายหน อีกฝ่ายอาจจับตำแหน่งของมิติสายหมอกได้แม่นยำ และตัดสินใจแวะมาหาด้วยตัวเอง


ไคลน์เข้าฌาน พึมพำประโยคทำนายด้วยเสียงแผ่วเบา


เมื่อครบเจ็ดครั้ง ไคลน์ไม่ต้องลืมตาขึ้นก็ทราบผลลัพธ์ เพราะมันยังคงนั่งบนเก้าอี้เดอะฟูลได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน มิได้เผชิญความทรมาทรกรรมเหมือนในอดีต


ลืมตามองจี้บุษราคัมสีเหลือง ไคลน์พบว่าลูกตุ้มวิญญาณกำลังหมุนในทิศทางทวนเข็ม


รอดตัวไป…


ชายหนุ่มเริ่มหายใจทั่วท้อง รีบส่งตัวเองกลับโลกความจริง เตรียมประกอบพิธีกรรมอัญเชิญร่างวิญญาณเพื่อนำเครื่องรับโทรเลขออกจากห้วงมิติเหนือสายหมอก


รอประมาณครึ่งชั่วโมง ในที่สุดเครื่องรับโทรเลขก็เริ่มส่งเสียงกุกกัก กระดาษมายาสีขาวถูกพ่นออกจากช่องเขียนข้อความ เป็นการเขียนตัวอักษรภาษาโลเอ็นหนึ่งบรรทัด :


“ข้ามาแล้ว! นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ เป็นท่านใช่ไหม?”


ทำไมถึงรู้สึกว่าเจ้านี่กำลังชะโงกหน้ามอง…


ไคลน์หวนนึกถึงอีโมติค่อนจากโลกเก่า เป็นรูปของตัวอัลปาก้ากำลังชะโงกหน้ามองคนอ่าน


ชายหนุ่มเดินสองก้าวและ ‘อืม’ พร้อมกับผงกศีรษะรับ


กุกกัก.


กระดาษมายาสีขาวพิมพ์ข้อความต่อจากเดิม


“ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนของท่าน อาโรเดส รอโอกาสที่จะได้รับใช้ท่านทุกลมหายใจ!”


ไคลน์พยายามเก็บซ่อนความอึดอัด ซักถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง


“อาโรเดส เราอยากทราบว่า รอย·คิงแห่งโรงเรียนชีวิตอยู่ที่ไหน”


จากคำอธิบายจิปาถะของนักปรุงยาร่างท้วม ไคลน์ได้ทราบว่า องค์กรลับของอีกฝ่ายมีโครงสร้างเป็นแบบศิษย์อาจารย์ และครอบครองเส้นทาง ‘สัตว์ประหลาด’ กับ ‘นักปรุงยา’ ด้วยข้อมูลข้างตน ชายหนุ่มเดาได้ทันทีว่านี่คือโรงเรียนชีวิต


ขณะเดียวกัน ไคลน์เตรียมภาพเหมือนของรอย·คิงไว้พร้อม เป็นการวาดโดยอาศัยเทคนิคสวดวิงวอนถึงตัวเอง


เสียงกุกกักยังคงดังอย่างต่อเนื่อง กระจกวิเศษอาโรเดสใช้เครื่องรับโทรเลขวาดภาพของรอย·คิงบนกระดาษมายาจนเสร็จ เป็นภาพบุรุษหวีผมเรียบแปล้ สวมแว่นตากรอบปรกติ


“ใช่ชายคนนี้หรือไม่ขอรับ” อาโรเดสเขียนถามเป็นภาษาโลเอ็น


ไคลน์พยักหน้า


“ใช่”


กระจกวิเศษ อาโรเดส ยังคงทำเสียงกุกกัก แต่จังหวะการพิมพ์เร็วขึ้นจากเดิมมาก


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ บุคคลที่ท่านกำลังตามหา ถูกขังอยู่ในบ้านพักนายกเทศมนตรีเมืองบายัม”


ถูกขังในบ้านพักนายกเทศมนตรี?


ไคลน์ขมวดคิ้ว ไม่รีบร้อนซักถามต่อ เพียงกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงมั่นใจ


“ตามกฎของเจ้า เชิญถามมาได้”


กุกกัก. กุกกัก. อาศัยกลไกของเครื่องรับส่งโทรเลข อาโรเดสวาดหน้ายิ้มพร้อมกับเขียนข้อความหนึ่งบรรทัด


“ข้าถามไปแล้ว และท่านก็ตอบแล้วด้วย”


เมื่อไร? ไคลน์ยืนมึนงง ก่อนจะชำเลืองอ่านข้อความก่อนหน้าบนแผ่นกระดาษมายาสีขาว จนพบประโยคที่อาโรเดสเคยถามไว้ว่า :


“ใช่ขายคนนี้หรือไม่ขอรับ”


แบบนี้ก็ได้หรือ…


ในวินาทีนี้ ไคลน์เริ่มตระหนักถึงความยืดหยุ่นของสิ่งที่กระจกวิเศษ อาโรเดส พร่ำบอกกับผู้อื่นว่าเป็น ‘กฎเหล็ก’


หากคนทั่วไปต้องการถามสิ่งใด คำถามและบทลงโทษจะถูกกำหนดอย่างเคร่งครัด อีกทั้งยังต้องใช้งานต่อหน้าผู้อื่นอีกหนึ่งคน แต่หากไคลน์เป็นคนถาม กฎดังกล่าวสามารถยืดหยุ่นได้จนน่าตกใจด้วยข้ออ้างสุดพิสดาร


ไปเอานิสัยแบบนี้มาจากไหน…


ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก เริ่มคำถามต่อไป


“อาโรเดส เจ้ารู้จักหนังสือ ‘การเดินทางของกรอซาย’ หรือไม่”


อาโรเดสเงียบงันครู่หนึ่ง จากนั้น เครื่องรับโทรเลขส่งเสียงกุกกัก พ่นกระดาษมายาสีขาวออกมาเพิ่มเติม


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ท่านใจดีกับข้าเกินไปแล้ว สำหรับคำถามเมื่อครู่ หากข้าตอบว่า ‘ใช่’ มันคงจะง่ายเกินไป ข้าจึงถือวิสาสะเปลี่ยนคำถามให้เป็น ‘อาโรเดส จงเล่าทุกสิ่งเจ้าที่รู้เกี่ยวกับหนังสือการเดินทางของกรอซายให้เราฟัง’ มันคือหนังสือประหลาด เจ้าของคนก่อนมักหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาเสมอ ข้ามิอาจบอกได้ว่าใครเป็นผู้สร้าง แต่ค่อนข้างแน่ชัดว่า หนังสือเล่มดังกล่าวปรากฏตัวครั้งแรกในหมู่ตระกูลมังกร หลังจากเหตุการณ์การหายตัวไปของ ‘เมืองแห่งปาฏิหาริย์’ เลฟซิด”


หลังจากการหายไปของเมืองแห่งปาฏิหาริย์ เลฟซิด… เมืองที่กล่าวกันว่า สร้างโดยมหามังกรจินตภาพ แอนเคอร์เวล?


บางที เราอาจนำไปขายให้มิสจัสติสได้ เธอต้องสนใจแน่ ในฐานะพ่อค้าคนกลาง เรามีสิทธิ์อ่านอย่างทะลุปรุโปร่งก่อนส่งมอบให้เธอ… ถ้าเกิดอุบัติเหตุกลางคันจนทำให้หนังสือชำรุดหรือหายไป ก็แค่บอกว่าคนขายเกิดเปลี่ยนใจกะทันหันและคืนเงินให้… การได้เป็นเจ้าของระบบมันดีแบบนี้นี่เอง!


ไคลน์ครุ่นคิด กล่าวกับเครื่องรับโทรเลข


“เชิญถาม”


ชักอยากรู้แล้วว่า เจ้ากระจกขี้ประจบตนนี้จะตั้งคำถามได้พิสดารแค่ไหน… ชายหนุ่มคิดในใจ


อาโรเดสส่งเสียงกุกกักไม่หยุด ตามด้วยคำตอบเป็นภาษาโลเอ็นหนึ่งบรรทัด


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้าได้ถามไปแล้ว และท่านก็ตอบแล้วเช่นกัน”


ตอนไหนอีกวะ…


ไคลน์ประหลาดใจเล็กน้อย สายตากวาดมองกระดาษมายาสีขาวทั้งหมดอย่างละเอียด จนกระทั่งพบอีกหนึ่งคำถามที่คาดไม่ถึง :


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ เป็นท่านใช่ไหม?”


ต้องยอมรับว่า กระจกวิเศษไร้ยางอายตนนี้พยายามประจบประแจงจนน่าขนลุก ไม่มีขีดจำกัดล่างบ้างหรือไง… แต่ว่า สำหรับผู้ที่ชื่นชอบความสมบูรณ์แบบอย่างเรา การจับคู่คำถามของหมอนี่ทำได้น่าพึงพอใจทีเดียว รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับยังโลกเก่า สมัยเรียนวิชาเขียนโปรแกรมและต้องจับคู่เครื่องหมาย ‘{’ กับ ‘}’ ให้ครบ ไม่อย่างนั้นโปรแกรมจะเออร์เร่อ…


ไคลน์กระแอมแห้ง ซักถามต่อไป


“แล้วทำไมรอย·คิงถึงถูกขังในบ้านพักนายกเทศมนตรีเมืองบายัม”


เครื่องรับโทรเลขส่งเสียงกุกกัก


“นับตั้งแต่อสรพิษปรอทหายตัวไปจากโรงเรียนชีวิต ภายในองค์กรจึงเกิดการแตกแยกอย่างรุนแรง โรงเรียนชีวิตตกอยู่ในสภาพสั่นคลอนสุดขีด สมาชิกบางส่วนถูกคนของโรงเรียนกุหลาบโจมตีจนถึงแก่ความตาย โรงเรียนชีวิตมีโครงเป็นแบบศิษย์อาจารย์ แต่ยังมีระบบสภาอาวุโสสำหรับบริหารภายใน มีหน้าที่คอยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างแต่ละขั้วอำนาจในองค์กร หลังจากเข้าสู่ยุคสมัยที่ห้า ชื่อของสภาอาวุโสได้ปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยมากขึ้น กลายเป็น ‘สภาแห่งชะตา’ มีสมาชิกทั้งหมดเจ็ดคน โดยมีอสรพิษปรอทเป็นประธาน อาจารย์ของรอย·คิงคือหนึ่งในเจ็ดสภาแห่งชะตา เมื่ออสรพิษปรอทหายตัวไป เขาเริ่มสัมผัสถึงอันตรายใกล้ จึงตัดสินใจมอบสมบัติปิดผนึกชิ้นสำคัญของโรงเรียนชีวิตให้รอย·คิงช่วยเก็บรักษาแทน และนั่นคือสาเหตุที่รอย·คิงถูกกองทัพโลเอ็นจับตัวไปคุมขังอย่างลับ ๆ”


อสรพิษปรอทหายตัวไป?


ไคลน์พลันนึกถึงวิล·อัสติน ผู้เลือกซ่อนตัวภายในกรุงเบ็คลันด์ และยังนึกถึงอสรพิษปรอทนิรนามอีกตนที่กำลังไล่ล่าวิล·อัสติน ซึ่งไคลน์คาดเดาว่าเป็น ‘เทวทูตโชคชะตา’ โอโรเลอุส


ตัวจริงของอสรพิษปรอทที่หายตัวไปจากโรงเรียนชีวิตยังคงคลุมเครือ… แต่เรามั่นใจ… อสรพิษปรอทที่ตามล่าวิล·อัสตินไม่ใช่ตนที่หายไปจากโรงเรียนชีวิตแน่นอน เพราะการให้องค์กรคอยช่วยตามหาวิล·อัสตินอีกแรง คงสะดวกกว่าตามหาคนเดียว ไม่ควรจะหายตัวไปเฉย ๆ …


หมายความว่า อสรพิษปรอทที่หายตัวไปจากโรงเรียนชีวิต หากไม่ใช่วิล·อัสตินเอง ก็ต้องเป็นอสรพิษปรอทตัวที่สาม ไม่มีทางเป็นโอโรเลอุสไปได้… แต่เราไม่มีข้อมูลมากกว่านี้ ไม่สามารถฟันธงว่าเป็นใคร…


ไคลน์พยักหน้า กล่าวกับเครื่องรับโทรเลข


“เชิญถาม”


ไม่มีคำถามก่อนหน้าเหลือแล้ว ฉันอยากรู้นักว่านายจะ ‘แถ’ แบบไหน… คงต้องยอมรับตามตรงว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ค่อนข้างแปลก คนอื่นมักหวาดกลัวคำถามของอาโรเดสจนอุจจาระขึ้นสมอง แต่สำหรับเราที่มันพยายามหลีกเลี่ยงการถามไปแล้วสองครั้ง กลับอยากถูกถามจริง ๆ ขึ้นมาสักครั้ง…


ไคลน์รอคอยอย่างคาดหวัง


กุกกัก! กุกกัก!


เสียงของเครื่องรับโทรเลขหนักแน่นและชัดเจนขึ้นกะทันหัน ตามด้วยการพ่นแผ่นกระดาษมายาสีขาว


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้าอยากทราบว่า ต้องทำตัวเช่นไร ท่านจึงจะพอใจในตัวข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนคนนี้มากกว่าเดิม”


เราประเมินขีดจำกัดล่างของเจ้านี่ผิดไป…


ไคลน์หัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก มอบคำตอบด้วยเสียงต่ำ


“ทำเหมือนที่เคยทำก็พอ”


“ขอรับ!” เสียงกุกกักดังตามมา “ออร่าพิเศษใกล้หมดลงเต็มที ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนของท่าน อาโรเดส รอโอกาสที่จะได้กลับมารับใช้ท่านอีกครั้ง!”


อาโรเดสยังอารมณ์ดี วาดภาพโบกมืออำลาไว้ท้ายกระดาษ


อเนกประสงค์ชะมัด… แต่ก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไรที่กระจกวิเศษจะรอบรู้เช่นนี้…


ไคลน์รำพันพลางยืนจ้องเครื่องรับโทรเลขที่กลับคืนสู่ความเงียบงัน


มันเดินสองสามก้าว นั่งลงบนขอบเตียงนอน ไตร่ตรองเรื่องราวกับเกี่ยวกับรอย·คิง


แน่นอน ไคลน์ไม่คิดลอบเข้าไปในบ้านของนายกเทศมนตรีบายัมที่มีการอารักขาแน่นหนา มันยังไม่รู้จักอีกฝ่ายดีพอ ไม่แม้แต่จะเคยพบหน้า ความเชื่อมโยงเดียวมาจากนักปรุงยาร่างท้วม


หนึ่งในฐานสำคัญของโบสถ์วายุสลาตันคงมีผู้วิเศษซ่อนตัวอยู่ไม่น้อย… บุกเข้าไปก็โง่แล้ว…


ไคลน์ยิ้มพลางส่ายหน้า


ข้อมูลจากอาโรเดสช่วยให้มันค้นพบความจริงบางอ่าง นั่นคือสมบัติวิเศษที่ ‘พลเรือเอกโลหิต’ พกติดตัว สมบัติวิเศษที่ช่วยให้ประสบความโชคดีเป็นพิเศษ จะต้องมาจากโรงเรียนชีวิตแน่ บางที โรงเรียนกุหลาบอาจคอยหนุนหลังพลเรือโจรสลัดรายนี้อยู่ อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายไม่มีอสรพิษปรอทคอยปกป้องคุ้มครอง สังหารสมาชิกโรงเรียนชีวิตไปเป็นจำนวนมาก


ขณะเดียวกันก็ยังเป็นการเตือนสติเราว่า ห้ามลงมือกับพลเรือโจรสลัดอย่างบุ่มบ่ามเด็ดขาด แม้แต่เทรซี่ก็ยังมีคาร์เทอริน่า·เปลเล่คอยคุ้มครองอย่างลับ ๆ โดยที่ไม่มีใครรู้มาก่อน…


พลเรือโจรสลัดคนอื่นก็คงไม่ต่างกัน ทุกคนน่าจะเป็นตัวแทนองค์กรลับ หรือไม่ก็โบสถ์หลัก… เบื้องหลังพลเรือเอกโลหิตคือโรงเรียนกุหลาบ เบื้องหลังพลเรือเอกดวงดาวคือนิกายมอสส์ รวมไปถึงชุมนุมทาโรต์ของเรา เบื้องหลังพลเรือเอกขุมนรกอาจเป็นนิกายวิญญาณ ไม่แน่อาจรวมถึงราชาแห่งห้าห้วงสมุทร เบื้องหลังพลเรือโทธารน้ำแข็งน่าจะเป็นโบสถ์ปัญญาความรู้…


ส่วนพลเรือโททะเลลึกและพลเรือโทสนธยายังคงเป็นปริศนา แต่การครองอำนาจในทะเลได้นานหลายปี ไม่มีทางที่จะไม่มีคนหนุนหลัง…


คิดถึงตรงนี้ แล้วองค์กรลับใดอยู่เบื้องหลังพลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์? องค์กรที่มอบยุบพองหิวโหยให้มัน หรือองค์กรที่มิอาจเอ่ยนาม ผู้จ้างวานฆ่าดยุคนีแกน?


อา… ในการล่าพลเรือโจรสลัดครั้งถัดไป ต้องห้ามป่าวประกาศให้ใครทราบล่วงหน้าเด็ดขาด ลงมืออย่างเงียบเชียบและเด็ดขาดเพียงหนเดียว หากล้มเหลวก็ต้องรีบถอยหนีให้ไกล…


ไคลน์ครุ่นคิด ก่อนจะนึกบางสิ่งขึ้นได้


เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิล·อัสติน ชายหนุ่มจำได้ว่า นกกระเรียนกระดาษที่อสรพิษปรอทพับกับมือ ยังอยู่กับตนจนถึงทุกวันนี้!


……………………


ราชันเร้นลับ 591 : ใช้ประโยชน์จากสิ่งของ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เกี่ยวกับนกกระเรียนกระดาษ ไคลน์ยังคงจดจำรายละเอียดได้แม่นยำ เนื่องจากครั้งหนึ่งในอดีต อสรพิษปรอทเคยอาศัยสิ่งนี้ระบุตำแหน่งวิญญาณดาราของศัลยแพทย์อลัน และเมื่ออลันล่องลอยไปในโลกวิญญาณขณะนอนหลับฝัน อสรพิษปรอททำการฉีด ‘ฝันเทียม’ เข้าไปจนอีกฝ่ายฝันร้ายในเรื่องที่ตนต้องการ


จากนั้น ไคลน์สับเปลี่ยนนกกระเรียนกระดาษของวิล·อัสตินด้วยของปลอมที่ตัวเองพับ และเอานกกระดาษต้นตำรับมาทำนายหาเบาะแสบนห้วงมิติเหนือสายหมอก แต่ก็ไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากนัก


จนกระทั่งภรรยาของนายแพทย์อลันตั้งครรภ์ ไคลน์จึงเริ่มเข้าใจเกี่ยวกับวัฏจักรของลำดับ 1 และลำดับ 0 ของเส้นทางสัตว์ประหลาด โดยวัฏจักรจะเริ่มต้นใหม่เมื่ออสรพิษกินหางตัวเอง


ชายหนุ่มยังคาดเดาอีกว่า อสรพิษปรอททั้งสามกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อแย่งชิงตำแหน่งลำดับ 0 โดยฝันร้ายเทียมที่วิล·อัสตินสร้างแก่นายแพทย์อลันเป็นแค่ประเด็นรอง จุดประสงค์หลักคือการระบุพิกัดและเข้าไปเกิดใหม่ในครรภ์ของภรรยาอลัน


ระหว่างเหตุการณ์ดังกล่าว เรื่องน่าขันก็คือ นกกระดาษที่ไคลน์พับขึ้นเอง ถูกเหยี่ยวราตรีกรุงเบ็คลันด์เข้าใจผิดว่าเป็นของจริง และสับเปลี่ยนด้วยนกกระดาษที่พับได้ห่วยยิ่งกว่าของไคลน์


ส่วนนกกระดาษของวิล… เราเก็บไว้ในมิติหมอกจนเกือบลืมไปแล้ว… การใช้มันเป็นสื่อกลางเพื่อทำนายคงไม่เกิดประโยชน์มากนัก ระดับตัวตนของอีกฝ่ายสูงเกินไป ผลลัพธ์การทำนายคงออกมาคลุมเครือจนคล้ายกับล้มเหลว ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ทารกในครรภ์ภรรยาศัลยแพทย์อลันคือวิล·อัสตินตัวจริงหรือไม่…


แต่ในทางกลับกัน วิล·อัสตินสามารถใช้นกกระดาษระบุพิกัดปัจจุบันของเราได้… เหมือนที่เคยทำกับอลันในอดีต และเหมือนกับที่อาโรเดสใช้ออร่าสายหมอกระบุตำแหน่งเรา จากนั้นก็ติดต่อกับเครื่องรับโทรเลขผ่านโลกวิญญาณ…


จริงสิ… ยังมีวิธีนั้นอยู่!


ไคลน์เหยียดหลังตั้งตรง สมองผุดแนวคิดใหม่ที่น่าสนใจ


มันวางแผนจะใช้นกกระดาษตัวนี้ เป็นสื่อกลางในการพูดคุยกับวิล·อัสตินผ่านความฝัน!


จริงอยู่ การติดต่อกับอสรพิษปรอท อาจยังไม่เกิดประโยชน์อันใดกับตัวเราในปัจจุบัน อีกทั้งยังถือเป็นการเสี่ยงอันตราย… แต่ถ้าวิล·อัสตินเป็นอสรพิษแห่งชะตาจากโรงเรียนชีวิตจริง เรามั่นใจมาก ว่าการแจ้งเบาะแสที่เป็นประโยชน์ในวันนี้ จะทำให้อีกฝ่ายตระหนักถึงบุญคุณ และตอบแทนกลับคืนมาหลายเท่าในอนาคต…


ในเมื่อวิล·อัสตินคือตัวตนระดับเดียวกับราชาเทวทูต การลงทุนหว่านเมล็ดพันธุ์ล่วงหน้าเพื่อรอเก็บเกี่ยวคือสิ่งจำเป็น ไว้อสรพิษปรอทคลอดจากครรภ์มารดาเมื่อไร เราคงได้รับการช่วยเหลือไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง… เหนือสิ่งอื่นใด การเสี่ยงติดต่อในคราวนี้ก็ไม่ทำให้เราถึงตาย… หรือถ้าเกิดถึงตาย ก็น่าจะยังคืนชีพกลับมาได้…


ไคลน์ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ถึงขั้นกลับขึ้นห้วงมิติเหนือหมอกเทาเพื่อทำนายยืนยันว่า การเสี่ยงติดต่อกับวิล·อัสตินมีอันตรายหรือไม่ จึงค่อยวางแผนตามผลลัพธ์ดังกล่าว


หลังจากจัดการตัวเองเสร็จ ชายหนุ่มยืนยันว่าระดับอันตรายอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ จึงรีบประกอบพิธีกรรมเพื่อนำนกกระดาษออกจากห้วงมิติเหนือสายหมอก


บางที อาจเพราะว่ามันคือนกกระดาษที่พับโดยลำดับ 1 อสรพิษปรอท จึงไม่ถูกออร่าของมิติปนเปื้อนเหมือนกับวัตถุชนิดอื่น ยังคงเป็นเพียงนกกระดาษแสนธรรมดา


หวังว่าออร่าของมิติหมอก จะไม่สลายความพิเศษของมันไปเสียก่อน ไม่อย่างนั้นวิล·อัสตินคงระบุตำแหน่งเราไม่ได้… หืม… ถ้าจำไม่ผิด ลำดับก่อนหน้าอสรพิษปรอทมีชื่อว่า ‘นักพยากรณ์’ หรือวิล·อัสตินมองเห็นอนาคตในวันนี้ล่วงหน้า?


หรือที่เขาเลือกอลันเป็นบิดา เพราะอลันเป็นเพื่อนกับเรา จะได้ติดต่อเราสะดวก?


เราคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปไหม…


ไม่เลย… ประเด็นนี้มีน้ำหนักพอให้วิเคราะห์! เมื่อพิจารณาจากการกระทำของวิล·อัสติน มีบางจุดไม่สมเหตุสมผล เช่น ในเมื่อระบุตำแหน่งของศัลยแพทย์อลันได้แล้ว ก็น่าจะเข้าไปเกิดในครรภ์มารดาได้เลยไม่ใช่หรือ ไม่มีความจำเป็นต้องสร้างฝันร้ายเลยสักนิด และเนื้อหาของฝันร้ายก็ยังค่อนข้างซับซ้อน เป็นการบอกใบ้ว่าอสรพิษปรอทสองตนกำลังต่อสู้กัน ไม่มีทางที่คนธรรมดาอย่างอลันจะเข้าใจความนัยแฝง และไม่มีทางมอบความช่วยเหลือใดได้ ไม่ต่างอะไรกับการโยนแว่นขยายให้คนตาบอด…


หมายความว่า ฝันร้ายของวิล·อัสติน มีเจตนาเพื่อแจ้งข่าวกับเราตั้งแต่แรก?


ไคลน์ขมวดคิ้วชนกัน ในหัวกำลังผุดสมมติฐานมากมาย


จนกระทั่ง ชายหนุ่มสลัดความคาใจ หยิบปากกาหมึกซึมขึ้นมาใส่หมึก ครุ่นคิดหาข้อความที่จะเขียนลงบนนกกระเรียนกระดาษ เพื่อดึงดูดความสนใจของอสรพิษปรอท


เขียนว่าอะไรดี…


ไคลน์พิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันจากข้อมูลที่อาโรเดสมอบให้ จนกระทั่งนึกออกหนึ่งประโยคที่สั้นกระชับ และสามารถสรุปทุกสิ่งอย่างรวบรัดชัดถ้อยชัดคำ ความหมายตรงประเด็น อัดแน่นด้วยความรู้สึก และเนื้อหาครอบคลุม


ประโยคดังกล่าวก็คือ :


“บ้านเอ็งบึ้มแล้ว!”


แต่ความหมายออกจะห่ามและขาดความยำเกรงไปสักหน่อย อีกฝ่ายเป็นถึงลำดับ 1… และถ้าวิล·อัสตินเกิดไม่ใช่คนของโรงเรียนชีวิต เราก็จะหน้าแตกทันที…


ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเขียนตัวอักษรลงบนนกกระดาษจำนวนหนึ่ง ประกอบกันเป็นประโยคสั้นใจความว่า


“รอย·คิงถูกจับ”


เมื่อจัดการเสร็จ ไคลน์เก็บปากกา พับนกกระดาษใส่กระเป๋าสตางค์ แบบเดียวกับที่นายแพทย์อลันเคยทำ



ณ เขตรอบนอกหมู่เกาะรอสต์ บนเกาะขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่มีหมอกหนาปกคลุม อยู่ห่างจากเส้นทางเดินเรือหลักค่อนข้างมาก


ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน เหยี่ยวสีฟ้ากำลังร่วงหล่นจากผืนนภาอย่างรวดเร็วจนเห็นเพียงเส้นเงาดำ ร่างตกกระแทกพื้นหนักหน่วง ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย โลหิตสาดกระเซ็น


อัลเจอร์·วิลสันไม่ประมาท ยืนรักษาระยะห่างพลางยกมือซ้าย เผยให้เห็นแหวนเหล็กสีดำบนนิ้วหัวแม่มือ โดยใช้มันเล็งเป้าไปยังสิ่งชีวิตอันน่าสะพรึง—เหยี่ยวเงาฟ้า


บนแหวนมีหนามแหลมงอกยาว เกรอะกรังไปด้วยคราบเลือดแห้ง แผ่กลิ่นอายโบราณแฝงความชั่วร้าย


นี่คือสมบัติวิเศษที่อัลเจอร์ใช้เงินค่าหัวของเหล็กกล้า·แม็ควิตี้ซื้อจากช่างฝีมือ มันบอกกับทุกคนว่าสิ่งนี้มีราคาห้าพันสองร้อยปอนด์ ทั้งที่ราคาจริงเพียงสามพันหนึ่งร้อยปอนด์เท่านั้น


ชื่อของแหวนคือ ‘แส้จิต’ มีสรรพคุณในการสร้างความเสียหายทางจิตแก่เป้าหมาย นอกจากนั้นยังช่วยให้ผู้สวมชำนาญอาวุธทุกชนิด และเหนือสิ่งอื่นใด ราคาของมันไม่แพง


ย้อนกลับไปในตอนนั้น ช่างฝีมือยังมีอีกหนึ่งตัวเลือกนอกจาก ‘แส้จิต’ (แหวน) ให้อัลเจอร์ สิ่งนั้นคือ ‘แหวนมนตร์คาถา’ โดยอย่างหลังมีความสามารถหลากหลายกว่า แถมยังเป็นพลังที่มีประโยชน์ และมีราคาต่างกันไม่มาก ไม่ว่าจะมองมุมใดก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบ อัลเจอร์กลับเลือกแส้จิต โดยเชื่อว่าหากไม่มีเจ้าสิ่งนี้ การล่าวัตถุดิบโอสถอย่าง ‘เหยี่ยวเงาฟ้า’ จะยากขึ้นจากเดิมหลายเท่า เพราะการโจมตีสัตว์วิเศษประเภทบิน ต้องอาศัยท่าเกี่ยวกับจิตใจเป็นหลัก และผลลัพธ์ก็พิสูจน์แล้วว่าอัลเจอร์คิดถูก


ลงเอยด้วย อัลเจอร์ต้องยอมทนกับผลข้างเคียงที่เป็นอาการปวดหัวรุนแรง ชนิดอยากจะโขกกำแพงให้รู้แล้วรู้รอด


ยืนรอสักพัก จนกระทั่งเห็นจุดแสงลอยขึ้นจากเหยี่ยวเงาฟ้า เป็นผลึกขนนกจำนวนหกเส้นที่ควบแน่นตรงตำแหน่งปีก อัลเจอร์เริ่มหายใจทั่วท้อง ย่างกรายเข้าไปหยิบ


ตั้งแต่ก่อนเริ่มออกล่า มันใช้ผ้าลินินผืนหนึ่งผูกอัญมณีเม็ดสีแดงสดไว้กึ่งกลางหน้าผาก ส่องแสงคล้ายกับคืนจันทร์สีแดงนวล


สิ่งนี้คือตะกอนพลังแวมไพร์บารอนที่เป็นสินค้าของเอ็มลิน·ไวท์ แต่อัลเจอร์ยังไม่รีบส่งมอบสินค้าทันทีที่ได้รับ เนื่องจากต้องการยืมใช้พลังบางส่วนจากผลึกตะกอนโดยตรง เพื่อเป็นหลักประกันว่า การล่าเหยี่ยวเงาฟ้าจะผ่านไปอย่างราบรื่น


เป็นคนกลางมีแต่กำไร… อัลเจอร์เก็บผลึกปีกนกเข้ากระเป๋าเสื้อ พึมพำภายในใจ


มันเหยียดตัวยืนตรง จ้องไปทางยอดเขาสูงตระหง่าน ณ ใจกลางเกาะลึกลับที่อยู่ไกลออกไป รอบภูเขาเต็มไปด้วยผืนป่าเขียวขจี หนาทึบจนยากจะมองเข้าไป ไม่ต้องบอกก็ทราบว่า ภายในนั้นเต็มไปด้วยอันตรายมากเพียงใด


เรายังไม่แข็งแกร่งพอจะสำรวจที่นั่น…


อัลเจอร์เบือนหน้ากลับ เดินไปยังขอบเกาะพลางระมัดระวังตัวจาก ‘นักล่า’ โดยรอบ


ถัดมา มันกระโดดลงทะเล อาศัยพลังของ ‘กะลาสี’ ว่ายน้ำเป็นระยะทางไกล จนกระทั่งถึงเรือผีสิงที่จอดแอบไว้ ลูกเรือทุกคนด้านในกำลังหลับสนิทเนื่องจากถูกวางยาสลบของผีดูดเลือด


การจะมาถึงเกาะลึกลับแห่งนี้ได้ ต้องเดินเรือออกจากร่องน้ำหลักเป็นระยะทางไกลโข ผ่านฝูงมอนสเตอร์ดุร้ายและพายุสายฟ้าเกรี้ยวกราดนานกว่าหกชั่วโมง ตลอดทางเต็มไปด้วยอันตรายที่มากพอจะจมเรือ มีเพียงนักเดินเรือมือฉมังเท่านั้นจึงจะมาจอดในจุดเดียวกับอัลเจอร์สำเร็จ



กลางดึกสงัด หลังจากหมดไปหนึ่งวันโดยแทบไม่ได้ทำอะไร ไคลน์วางหนังสือพิมพ์ลง มุดผ้าห่มบนเตียงเพื่อเตรียมนอน


ขณะใกล้หลับสนิท คำถามหนึ่งผุดขึ้นในหัว


ในเมื่อเดนิสกลับฝันทองคำไปแล้ว การเช่าห้องหรูหราขนาดนี้อยู่คนเดียว ไม่เป็นการสิ้นเปลืองไปหน่อยหรือ…


ไคลน์พยักหน้าตอบตัวเอง เตรียมเช็กเอาต์พรุ่งนี้เช้าและเปลี่ยนโรงแรม


เมื่อตัดสินใจได้ ชายหนุ่มหลับสนิทภายในเวลาไม่นาน จนกระทั่งผ่านไปอีกสักพัก มันเริ่มได้สติท่ามกลางความฝันของตัวเอง


มีใครบางคนบุกรุกความฝัน!


แม้อีกฝ่ายจะเป็นถึง ‘อสรพิษแห่งชะตา’ แต่เรากลับยังมีสติคมชัดเหมือนทุกที ทางนี้เองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน… ไม่สิ ที่ต้องชมคืออำนาจของห้วงมิติเหนือสายหมอกต่างหาก…


ไคลน์มองไปรอบตัว พบว่าตนกำลังยืนท่ามกลางทุ่งโล่งกว้างบรรยากาศมืดสลัว ถัดไปไม่ไกลมีหอคอยสีดำสูงเด่นสง่า


เป็นฉากเดียวกับที่ไคลน์เคยเห็นในความฝันของศัลยแพทย์อลัน เพียงแต่คราวนี้ไม่มีอสรพิษสีเงินเลื้อยพันรอบหอคอย


ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิด เร่งฝีเท้าเดินเข้าไป และพบว่าสภาพภายในหอคอยยังคงผุพังและทรุดโทรมเช่นเดิม การตกแต่งไม่เป็นระเบียบ ขั้นบันไดวกวนและสับสน เดี๋ยวม้วนขึ้นบน เดี๋ยวม้วนคดลงด้านล่าง บางห้องปรกติ บางห้องกลับหัวกลับหาง บางห้องซ้อนทับอยู่ในอีกห้อง


เดินผ่านประตูบ้านแล้วบานเล่า กำแพงผืนแล้วผืนเล่า จนกระทั่งไคลน์มาถึงส่วนลึกสุดของหอคอยสีดำ


ภายในห้องเต็มไปด้วยไพ่ทาโรต์วางกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ ส่วนใหญ่ถูกกองสุมรอบพื้นยกระดับใจกลางห้อง


จุดดังกล่าวมีข้อความสีเงินเขียนไว้หนึ่งบรรทัด พร้อมกับภาพเหมือนอีกหนึ่งใบ


เป็นภาพของนักปรุงยาร่างท้วม


ตัวอักษรสีเงินมีใจความว่า :


“นำไปบอกดัควีลล์”


นักปรุงยาร่างท้วมชื่อดัควีลล์… วิล·อัสตินคืออสรพิษแห่งชะตาจากโรงเรียนชีวิตจริง! และเราสามารถใช้นกกระดาษติดต่อสื่อสารกับเขาได้..


ไคลน์หยุดรออีกสักพัก จนกระทั่งพบว่าไม่ได้รับข้อมูลใดเพิ่มเติม ชายหนุ่มรีบออกจากความฝันและเข้าสู่ภาวะหลับสนิทอีกครั้ง



หลังจากรุ่งเช้า ไคลน์ลงไปยืนยันกับทางโรงแรมแล้วว่า การเช็กเอาต์ช่วงเที่ยงจะไม่ทำให้เสียเงินเพิ่มจากปรกติ มันจึงสวมหมวกและเดินไปขึ้นรถม้า จุดมุ่งหมายคือโรงละครแดง


ซ่องชื่อก้องของทะเลโซเนียกำลังอยู่ในช่วงซบเซาที่สุดของวัน เรียกได้ว่า เงียบงันราวกับบ้านผีสิง


ไคลน์ชำเลืองเล็กน้อย ก่อนจะเดินตรงไปยังตรอกที่อยู่เยื้องออกไป และเตรียมเข้าไปในร้านขายสมุนไพรของดัควีลล์


ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณของชายหนุ่มพลันตื่นตัว จึงแหงนมองไปบนหลังคา และพบนกฮูกตัวอ้วนกำลังยืนจ้องลงมา


ถ้าจำไม่ผิด ในคณะละครสัตว์ นักปรุงยาร่างท้วมพยายามใช้พลังพิเศษทำให้สัตว์เชื่อง คงเป็นเส้นทางที่เกี่ยวกับการฝึกสัตว์วิเศษ…


ไคลน์เบือนหน้ากลับ ลงมือเคาะประตู


ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก… ก๊อก! ก๊อก!


มันยืนรอสักพัก จนกระทั่งเห็นนักปรุงยาร่างท้วม ดัควีลล์ เปิดประตูด้วยสีหน้าง่วงเหงาหาวนอน


“นาย… ไม่ได้ป่วย…” ดัควีลล์เพ่งมองพลางวินิจฉัยอาการ


ไคลน์สวมสีหน้าเย็นชาของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพ


“อรุณสวัสดิ์ มิสเตอร์นักปรุงยา ฉันพบอาจารย์ของนายแล้ว”


“จ…จริงหรือ…?” นักปรุงยาร่างท้วมย้อนถามด้วยสีหน้าเคลือบแคลงสุดขีด “แต่นายเพิ่งได้รับภารกิจไปเมื่อวานซืน…”


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)