Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 571-581

 ราชันเร้นลับ 571 : แรงกดดันมหาศาล

โดย

Ink Stone_Fantasy

ออเดรย์เล่าเพียงบทกวีพื้นเมือง มิได้ลงลึกในด้านรายละเอียด ด้วยกังวลว่าอาจทำให้มาดามเฮอร์มิทผู้รอบรู้ทราบถึงสถานที่


หญิงสาวเล่าเฉพาะประเด็นสำคัญ และแนวคิดในการใช้พลัง ‘ชี้นำทางจิต’ กับตัวเอง เพื่อให้ตื่นขึ้นขณะกำลังหลับฝัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยทั้งหมด


ชี้นำทางจิต? เธอมีพลังชี้นำทางจิตด้วยหรือ… ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นลำดับ 7 นักจิตบำบัด…


เฮอร์มิท·แคทลียาวิเคราะห์ตามความเคยชิน แต่นั่นทำให้เธอเผชิญข้อสงสัยที่น่าฉงนกว่าเก่า


แล้วทำไมมิสจัสติสถึงต้องการซื้อตะกอนพลังนักจิตบำบัดจากเดอะเวิร์ล…


การดื่มโอสถซ้ำไม่เพียงจะเพิ่มโอกาสคลุ้มคลั่ง แต่ยังทำให้ย่อยโอสถได้ยากขึ้น…


นำไปสร้างเป็นสมบัติวิเศษ? นั่นจะซ้ำซ้อนกับพลังของเธอ ไม่มีคุณค่าอันใด…


มอบให้คนอื่น…?


ขณะแคทลียาคาดเดาเรื่อยเปื่อย ออเดรย์ยังคงเล่าถึงความฝันอันวุ่นวายของตน เล่าถึงการเดินไปยังจุดสิ้นสุดความฝัน และใช้วิธีที่มิสเตอร์ฟูลสอน สร้างบันไดลงไปยังทะเลจิตใต้สำนึกรวม ระหว่างทางได้พบจุดแสงฉายภาพอดีตมากมาย


เธอมิได้เล่ารายละเอียดของฉากเหล่านั้น เพราะส่วนใหญ่เป็นความลับอันน่าอับอายที่ไม่ต้องการให้ใครทราบ


ออเดรย์เน้นอธิบายความโดดเดี่ยวขณะเดินลงจากขั้นบันไดที่มองไม่เห็นปลายทาง อธิบายความรู้สึกที่คล้ายกับถูกสัตว์ประหลาดจ้องมองจากหมอกสีเทารอบตัว เล่าถึงการดำดิ่งของห้วงอารมณ์ที่เกินกว่าจะทนไหว หากไม่มีพลัง ‘ปลอบโยน’ ก็คงมิอาจฝ่าฟันลงไปสำเร็จ เล่าถึงการเดินลงไปยัง ‘ทะเลมายา’ ที่เกิดจากจิตใต้สำนึกรวมของทุกสิ่งมีชีวิต


รายละเอียดมากมายพรั่งพรูออกจากปากหญิงสาว มีทั้งซากความทรงจำของบรรพบุรุษเผ่าพันธุ์มนุษย์ และความทรงจำของสัตว์หลากหลายชนิดที่ดำเนินไปอย่างสอดคล้อง จนกระทั่ง เรื่องราวจบลงเมื่อสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่บินลัดท้องฟ้าของทะเลจิตใต้สำนึกรวม


มังกร เจ้าของเกล็ดสีเทาคล้ายกับแผ่นหิน


เห… มีมังกรตัวเป็น ๆ อาศัยอยู่ในทะเลจิตใต้สำนึกรวมด้วยหรือ… วิเศษมาก! ถึงแม้มิสจัสติสจะไม่ได้รับอันตราย แต่ความตื่นตระหนกทางใจคงไม่น้อยแน่…


ชื่อนิยายใหม่พลันผุดขึ้นในหัวฟอร์ส :


“มิสจัสติสท่องความฝัน!”


เมื่อเล่าจบ จัสติส·ออเดรย์มองไปรอบตัว


“สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย พวกท่านมีความเป็นเห็นเช่นไรบ้าง คิดว่าในทะเลจิตใต้สำนึกรวม จะมีเมืองแห่งปาฏิหาริย์ของเผ่ามังกร ‘เลฟซิด’ อยู่จริงหรือไม่ หากถ้าดิฉันต้องการสำรวจลึกเข้าไป จะต้องคอยระวังสิ่งใดบ้าง และต้องเตรียมตัวในด้านใดเป็นพิเศษหรือไม่”


อัลเจอร์ชำเลืองเฮอร์มิทเล็กน้อย ก่อนจะมอบคำตอบด้วยสีหน้าครุ่นคิด


“ผมคิดว่าคุณควรหยุดแค่นี้ก่อน มันอันตรายเกินไป จากบันทึกประวัติศาสตร์ สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมีเลือดเนื้อ โดยเฉพาะมังกรจิตที่สามารถอาศัยอยู่ในทะเลจิตใต้สำนึกรวม และการที่พวกมันดำรงชีวิตได้เป็นเวลานาน ลำดับพลังจะต้องสูงมากแน่ อย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าครึ่งเทพ หากคุณยังไม่เป็นลำดับ 5 คำแนะนำของผมคือ ยังไม่ควรสำรวจทะเลจิตใต้สำนึกรวม”


เฮอร์มิท·แคทลียาพยักหน้าเป็นเชิงเห็นพ้อง


“ทะเลจิตใต้สำนึกรวมมิได้มีแต่สิ่งดี ยังมีปัจจัยอันตรายซ่อนอยู่นับไม่ถ้วน ทั้งความคิดด้านลบของมนุษย์ปริมาณมหาศาล สิ่งเหล่านั้นสามารถกัดกร่อนดวงวิญญาณคุณ… ความทรงจำของผู้คนสมัยโบราณทั้งบ้าคลั่งและเกรี้ยวกราดดุจดังคลื่นทะเล รุนแรงพอจะสร้างแผลใจบนตัวคุณ หรือแม้กระทั่งทำให้คุณมิอาจตื่นจากความฝันได้อีกเลย ในเมื่อเป็นทะเลจิตรวมของทุกสิ่งมีชีวิต หมายความว่ามิได้มีแต่ความทรงจำของมนุษย์ ยังรวมไปถึงจิตของวิญญาณมาร เทพมาร หรือจิตของสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวที่กำลังซ่อนตัวในเงามืด พวกมันเป็นราวกับวังวนความมืดที่พร้อมจะดูดเรือใหญ่ได้ทั้งลำ จนกว่าจะมีพลังสำหรับท่องไปในทะเลจิตใต้สำนึกรวมโดยเฉพาะ คุณไม่ควรลงไปสำรวจที่นั่นอีก”


ออเดรย์ค่อนข้างผิดหวัง แต่ก็สัมผัสถึงความจริงใจจากแฮงแมนและเฮอร์มิท คำพูดของทั้งคู่ล้วนมีเหตุผล จึงน้อมรับคำแนะนำไว้แต่โดยดี


เธอเงียบงัน พลางรำพันในใจ :


ออเดรย์ ห้ามใจร้อนเด็ดขาด ต้องรอให้ถึงลำดับ 5 เสียก่อน!


หญิงสาวมิได้คำนึงเลยว่า การพัฒนาไปเป็นลำดับ 5 ระดับเดียวกับพลเรือโจรสลัด จะมีอุปสรรคมากมายเพียงใดรออยู่ ถึงขั้นคิดว่า การก้าวไปเป็นพลเรือโจรสลัดคนที่แปดก็มิได้ยากเย็นอะไรนัก


ในสายตาเธอ ตราบใดที่ยังมีมิสเตอร์ฟูล ยังมีชุมนุมทาโรต์ ขอเวลาไม่เกินสองปี ตนสามารถไปอยู่จุดนั้นได้อย่างราบรื่น


กำแพงที่แท้จริงคือครึ่งเทพต่างหาก…


เฮ่อ… ถ้าแม้แต่มาดามเฮอร์มิทผู้มากด้วยความรู้และประสบการณ์ยังห้ามปราม…


ออเดรย์ตัดสินใจชำเลืองไปทางที่นั่งประธานโต๊ะทองแดงยาว เดอะฟูล โดยหวังว่าบุคคลระดับทัดเทียมเทพผู้นี้ จะมีทางออกที่แตกต่างจากแฮงแมนและเฮอร์มิท


อย่ามองด้วยสายตาเช่นนั้น…


ฉันช่วยอะไรเธอไม่ได้…


ไคลน์นั่งตัวเกร็ง พยายามไม่กะพริบตา


ความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาของตนจำพวกการเข้าฌาน สติสัมปชัญญะ จิตใต้สำนึก และทะเลจิตใต้สำนึกรวม ล้วนเป็นเรื่องที่ฟังมาจากมาดามดาลีย์ทั้งสิ้น ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น


จริงอยู่ ชายหนุ่มอาจเคยถูกบุกรุกความฝันบ่อยครั้ง แต่ถึงจะมีสติแจ่มชัดในความฝันตัวเอง ไคลน์ก็ไม่เคยอุตริเดินไปจนสุดขอบเขตความฝันเหมือนที่จัสติสทำ จึงไม่มีประสบการณ์ใดไปสอน


ทฤษฎีในหัวอาจพอมี เป็นแนวคิดที่เกิดจากการปะติดปะต่อข้อมูล แต่ยังไม่เคยปฏิบัติจริงเลยสักครั้ง จึงไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จ


ถ้าเป็นเมื่อก่อน เรื่องใดที่ไม่มั่นใจ ไคลน์จะตอบอย่างคลุมเครือในลักษณะของนักต้มตุ๋น เพราะบางที อีกฝ่ายอาจนำไปตกผลึกจนเข้าใจได้เอง แต่ปัจจุบัน พลเรือเอกดวงดาว·แคทลียากำลังจ้องมองอยู่ ยิ่งไคลน์พูดมาก โอกาสผิดพลาดก็ยิ่งเพิ่มขึ้น จึงควรพูดให้น้อยเข้าไว้


การมีสมาชิกใหม่ทำให้เราขยับตัวลำบาก…


ไคลน์รำพันขื่นขม มิได้ตอบสิ่งใดกลับไป เพียงนั่งอมยิ้มให้จัสติสอย่างมีเลศนัย


หากไม่ใช่เพราะที่นี่คือมิติสายหมอก และหากไม่ใช่เพราะทุกคนเป็นเพียงร่างจิต ไคลน์เชื่อว่า การฝืนเกร็งยิ้มเป็นเวลานานของตน อาจทำให้เกิดอาการตะคริวที่มุมปาก


มิสเตอร์ฟูลไม่มีคำแนะนำ…


ออเดรย์ยอมจำนนต่อชะตากรรม และสาบานกับตัวเองว่า เธอจะพับเก็บแผนสำรวจทะเลจิตใต้สำนึกรวมไว้ก่อน


จากนั้น เดอะมูน·เอ็มลินกระแอมในลำคอ


“ข้าศึกษาประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกโดยตระกูลผีดูดเลือดมาอย่างละเอียดแล้ว…”


ผีดูดเลือด… แวมไพร์สินะ… นึกแล้วเชียว โบสถ์พระแม่ธรณีมีธรรมเนียมพิสดารในการจับแวมไพร์มาเปลี่ยนให้เป็นผู้ศรัทธา…


แคทลียาพยักหน้ารับพลางตั้งใจฟัง


ในเวลาเดียวกัน เธอต้องปรับเปลี่ยนมุมมองต่อชุมนุมทาโรต์อีกครั้ง


เดอะมูนไม่คิดปกปิดตัวตนแม้แต่น้อย… ตีความได้ว่า มิสเตอร์ฟูลมีอิทธิพลต่อโลกความจริงค่อนข้างมาก อาจถึงขั้นสามารถลงโทษสมาชิกทุกคนจากที่ห่างไกล พวกเขาจึงไม่ต้องคอยระแวงกันเอง…


ถ้าอย่างนั้น เราก็คงไม่ต้องปิดบังสถานะตัวเองมากเกินไป…


ขณะแคทลียากำลังครุ่นคิด เอ็มลินหันไปทางเดอะซันและเชิดคางเล่าต่อ :


“ก่อนจะถึงยุคสมัยมหาภัยพิบัติ โลกนี้ไม่มีสถานที่ชื่อว่าเมืองเงินพิสุทธิ์! มีเพียงอาณาจักรเงินพิสุทธิ์เท่านั้น!”


ด้วยเกรงว่า สมาชิกคนอื่นอาจกำลังคลางแคลงใจ เดอร์ริคจึงต้องการแก้ต่างพร้อมกับอธิบายให้ชัดเจนว่า เมืองเงินพิสุทธิ์เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเงินพิสุทธิ์มาก่อน


แต่เมื่อหันไปเห็นท่าทีแสนโอหังของเดอะมูน เดอร์ริคตัดสินใจเบือนหน้าหนี พลางรำพันอย่างเหยียดหยัน :


กับบัวใต้น้ำเช่นนี้ เราจะมัวเสียเวลาอธิบายให้เข้าใจไปทำไม…


เมื่อเห็นท่าทีตอบสนองของอีกฝ่าย เอ็มลินพอจะเดาออกว่า เมืองเงินพิสุทธิ์มีความเกี่ยวข้องกับอาณาจักรเงินพิสุทธิ์จริง


มันเริ่มเล่าต่อไป


“เดิมที อาณาจักรเงินพิสุทธิ์มิได้กราบไหว้ราชาคนยักษ์·เออร์เมียร์ หากแต่เป็นราชินีคนยักษ์·โอมีเบล่า!”


โอมีเบล่า…?


เดอะซัน·เดอร์ริครีบหันไปมองด้านข้างพร้อมกับพ่นโทสะ :


“เมืองของผมไม่เคยมีบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่เคยทราบมาก่อนว่า พระนามของราชินีคนยักษ์คือโอมีเบล่า!”


เอ็มลินยกมุมปากพร้อมกับผายมือสองข้าง


“นั่นจึงแปลว่า ประวัติศาสตร์ของพวกเจ้าไม่สมบูรณ์ยังไงล่ะ… ข้าพูดผิดรึเปล่า”


“ต้องผิดอยู่แล้ว! ประวัติศาสตร์ของผีดูดเลือดต่างหากที่บิดเบือน!”


ยอมลงทุนเสียเวลาศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อพิสูจน์ความจริง… จะบอกว่าเอ็มลินเป็นแวมไพร์ที่ยึดถือความถูกต้อง หรือเป็นเด็กหนุ่มเจ้าคิดเจ้าแค้นดี…


ไคลน์พยายามกลั้นขำ สายตามองตรงโดยไม่จ้องหน้าใครเป็นพิเศษ


การโต้เถียงระหว่างเดอะมูนและเดอะซันทำให้ชายหนุ่มได้รับผลประโยชน์ทางอ้อม นั่นคือการได้ทราบว่า ชื่อจริงของราชินีคนยักษ์ เทพธิดาแห่งฤดูเก็บเกี่ยว คือโอมีเบล่า


ขณะเดอะซัน·เดอร์ริคเตรียมโต้แย้ง เฮอร์มิทพูดแทรกขึ้น :


“โอมีเบล่าคือเทพธิดาแห่งฤดูเก็บเกี่ยว ขณะเดียวกันก็เป็นราชินีแห่งวังราชาคนยักษ์ มีข่าวลือว่า ท่านร่วงหล่นหลังจากเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ แต่ก็ไม่มีใครยืนยันในเรื่องนั้นได้ เนื่องจากยังไม่พบศพหรือซากมรดก”


เทพธิดาแห่งฤดูเก็บเกี่ยวคือโอมีเบล่า…


เดอะซัน·เดอร์ริคถึงกับผงะ จิตใต้สำนึกต้องการโต้เถียง แต่หลังจากข้อมูลได้รับการยืนยันจากสองฝ่าย มันจำต้องยอมรับว่าประวัติศาสตร์ของเมืองเงินพิสุทธิ์มีช่องโหว่ และไม่สามารถเถียงกลับในประเด็นดังกล่าวได้


ฉากตรงหน้าทำให้เอ็มลินเกิดความพึงพอใจจากก้นบึ้ง ร่างกายซาบซ่านอย่างมีความสุข


จากนั้น บรรดาสมาชิกได้พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอีกเล็กน้อย จนกระทั่งชุมนุมทาโรต์ในสัปดาห์นี้ดำเนินมาถึงจุดจบ


ไคลน์ยิ้ม


“ไว้พบกันสัปดาห์หน้า”


“สุดแล้วแต่ท่าน” จัสติส·ออเดรย์รีบลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับ


คนอื่นรีบทำตาม ไม่เว้นแม้แต่แคทลียา



เมื่อกลับสู่โลกความจริง พลเรือเอกดวงดาวยืนจ้อง ‘ลูกแก้วดวงดาว’ ที่ชำรุดบนโต๊ะทำงาน พร้อมกับประสบอาการเหนื่อยล้าทางจิตรุนแรง


รายละเอียดปลีกย่อยทำให้เธอมั่นใจว่า ชุมนุมทาโรต์ไม่ธรรมดา และมีศักยภาพในอนาคตสูงมาก โดยเฉพาะมิสเตอร์ฟูลผู้รายล้อมด้วยม่านหมอก ชายคนนั้นทำตัวราวกับกำลังจ้องมองความเป็นไปของโลกจากในเงามืด


เธอมิอาจมองเห็นแก่นแท้ และมิอาจคาดเดาจุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้เลย


แคทลียายืนใคร่ครวญราวสิบวินาที ก่อนจะหยิบปากกาและกระดาษออกมาเขียน :


“ใครบางคนกำลังรวบรวมไดอารีของท่านมหาจักรพรรดิ”


เธอไม่กล้าเอ่ยชื่อชุมนุมทาโรต์ ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดเผยข้อมูลสมาชิกคนใด ด้วยกังวลว่าจะถูกมิสเตอร์ฟูลลงโทษ จึงทำเพียงเขียนอธิบายโดยไม่เจาะจง คล้ายกับส่งคำเตือนถึงปลายทาง


หลังจากเขียนเสร็จ หญิงสาวหยิบฮาร์โมนิก้าทองคำออกมาเป่า


เพียงพริบตา จดหมายที่เธอเพิ่งเขียนเสร็จ พลันอันตรธานหายไปกับความว่างเปล่า


ทั้งที่มิได้สวมแว่นตาเพื่อสยบพลังเนตร แต่พลเรือเอกดวงดาวกลับมองไม่เห็นตัวผู้ส่งสาร


ฟู่ว…


แคทลียาเป่าปาก และเริ่มตระหนักว่าหน้าผากตนมีเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้น


“ชุมนุมลับที่มีเทพคอยสอดส่อง แรงกดดันช่างมหาศาลอะไรเช่นนี้…”



ฟู่ว…


ชุมนุมลับที่มีพลเรือเอกดวงดาวเข้าร่วม แรงกดดันช่างมหาศาลอะไรเช่นนี้…


ไคลน์นั่งนวดขมับสักพัก ก่อนจะส่งตัวเองกลับสู่โลกความเป็นจริง


แผนการถัดไป มันต้องการทดสอบบางสิ่ง เป็นการทดลองที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก เรื่องเล่าการผจญภัยในความฝันสุดอลังการของจัสติส


……………………


ราชันเร้นลับ 572 : จงเอ่ยนามเต็มของเรา

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากช่วงเวลาอันวุ่นวายจบลง ไคลน์เปิดประตูห้องนอน มองไปทางห้องนั่งเล่น และพบว่าเดนิสกำลังนอนหลับสนิทบนเก้าอี้เอนหลัง


ถึงจะได้ยินเสียงกรนมาสักพักแล้ว แต่เมื่อได้เห็นด้วยตาตัวเอง ชายหนุ่มกล่าวตำหนิในใจพลางส่ายหัว


บ่ายสามโมงกว่าแล้ว แต่กลับยังไม่ตื่นมาเฝ้าเครื่องรับโทรเลขอีก ลืมหน้าที่ตัวเองแล้วรึไง…


ทว่า หลังจากยืนใช้ความคิดสักพัก ไคลน์เริ่มฉีกยิ้มกว้าง เนื่องจากพบว่า นี่คือสิ่งที่ตนกำลังตามหาอยู่


สำหรับไคลน์ การจะมีสติภายในความฝันของตัวเองได้ จำเป็นต้องให้ใครสักคนบุกรุกความฝันเสียก่อน มันไม่สามารถนอนหลับและตื่นอย่างมีสติในความตัวเองได้ เพราะปราศจากพลัง ‘ชี้นำทางจิต’ เหมือนกับมิสจัสติส


ดังนั้น ไคลน์จึงต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกเพื่อให้การทดลองสำเร็จ นั่นก็คือ มันต้องเป็นฝ่าย ‘บุกรุก’ เข้าสู่ความฝันผู้อื่นเสียเอง ลักษณะคล้ายกับการใช้พลังฝันร้าย


เดิมที ชายหนุ่มต้องการออกไปข้างนอกและหาเหยื่อที่เหมาะสมเพื่อทดลอง แต่เมื่อได้เห็นเดนิสกำลังหลับในท่าสบาย ไม่ยอมทำงานทำการ จึงเกิดความรู้สึกอยากเตะก้นสักป้าบ


ลองวิธีนี้ดีกว่า… ไคลน์ผุดแนวคิดใหม่


เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ชายหนุ่มเล็งเห็นว่าการใช้ยันต์ห้วงความฝันนั้นไม่ปลอดภัย


เดนิสคือผู้วิเศษลำดับ 7 นักวางเพลิง ชื่อโบราณคือจอมอาคมอัคคี ไคลน์จึงพอเดาได้ว่าอีกฝ่ายมีสัมผัสวิญญาณค่อนข้างเฉียบแหลม หากตนท่องคาถาด้วยเฮอร์มิสโบราณที่กระตุ้นพลังธรรมชาติ เดนิสอาจสะดุ้งตื่นขึ้นมาเสียก่อน


และถ้าเป็นเช่นนั้น ไคลน์ก็ไม่มั่นใจว่าตนจะบุกรุกความฝันเดนิสได้ทัน


เมื่อได้ข้อสรุป ชายหนุ่มล้วงหยิบวัตถุสีดำสนิท ผิวแข็งเหมือนอัญมณี แต่มีรูปทรงและความมันวาวคล้ายเจล ออกมาถือ


สิ่งนี้คือตะกอนพลังฝันร้าย


ช่วยให้ไคลน์ยืมใช้พลังฝันร้ายได้โดยตรง เหมือนที่เคยทำกับตะกอนพลังโรซาโก้ เพียงแต่ ประสิทธิภาพจะด้อยกว่าการนำไปทำเป็นสมบัติวิเศษหลายเท่า ยกตัวอย่างเช่น ด้วยตะกอนพลังฝันร้ายในมือ ไคลน์มิอาจบุกรุกความฝันผู้คนทั้งเมืองบายัมได้เหมือนฝันร้ายตัวจริง ไม่สามารถลากเป้าหมายเข้าสู่ห้วงความฝัน แต่ถ้าเป็นคุณสมบัติพื้นฐานอย่างการเข้าฝันเป้าหมายในระยะใกล้ เรื่องนี้ยังพอทำได้


ไคลน์ยืนถืออัญมณีสีเข้ม พลางถ่ายทอดพลังวิญญาณเข้าไป


ทันใดนั้น ทัศนวิสัยชายหนุ่มถูกความมืดมิดครอบงำโดยสมบูรณ์ ไม่เหลือแม้แต่ภาพเดนิสกำลังนอนกรนตรงหน้า


จนกระทั่ง จุดแสงสว่างทรงรี สีขาว ได้สว่างแทนจุดที่เดนิสเคยนอน


ขณะไคลน์เตรียมแผ่พลังวิญญาณออกไปสัมผัส วิวทิวทัศน์รอบตัวพลันแปรเปลี่ยนกะทันหัน ทุกสิ่งหมุนวนว่องไว จนกระทั่งหยุดลงที่ฉากของเรือใหญ่ลำหนึ่ง ตัวเรือมีความยาวหลายสิบเมตร ปล่องควันด้านบนพ่นกลุ่มหมอกเจือจางตลอดเวลา ใบเรือกางเต็มผืนทุกต้นเสา พื้นดาดฟ้าถูกขัดจนแวววาว เมื่อสะท้อนกับแสงแดด จะส่องแสงประหนึ่งเหรียญทองคำ


เดนิสกำลังยืนกอดอกใต้ปืนใหญ่กระบอกหลัก ปากตะโกนออกคำสั่งลูกเรือเป็นระยะ


“ขัดให้สะอาดกว่านี้! ไอ้พวกแม่เย็*! อยากคัดพจนานุกรมภาษาฟุซัคโบราณร้อยจบนักรึไงวะ!”


หืม… ถ้าเป็นบนฝันทองคำ หมอนี่เบ่งเอาเรื่องเหมือนกัน…


ไคลน์ไม่แยแสเจ้าของความฝัน เพียงบินไปยังท้ายเรือและหาจุดซ่อนตัวเพื่อทำการทดลอง


สิ่งที่มันต้องการพิสูจน์นั้นไม่ซับซ้อน แค่ต้องการทราบว่า ด้วยภาวะ ‘มีสติ’ ภายในความฝันตัวเอง หากเปล่งนามเต็มเดอะฟูล คำวิงวอนดังกล่าวจะถูกส่งมาถึงตนหรือไม่


ถ้าใช่ หมายความว่า มิสจัสติสสามารถเปล่งนามเต็มเดอะฟูลเพื่อขอความช่วยเหลือขณะสำรวจห้วงทะเลจิตรวม…


ชายหนุ่มเอนหลังเล็กน้อย สีหน้าเป็นไปอย่างเคร่งขรึม :


“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”



เมื่อสิ้นเสียงภาษาเฮอร์มิส นามเต็มเดอะฟูลถูกเอ่ยอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีข้อผิดพลาด แต่ไคลน์กลับยังไม่ได้ยินเสียงเพรียกมายาในหัว


ไม่สำเร็จ…?


ชายหนุ่มขมวดคิ้วไตร่ตรอง โดยยังไม่พบคำตอบว่าทำไมการทดลองถึงล้มเหลว


หรือว่า… การเปล่งเสียงในความฝัน มิได้ทำให้เกิดเสียงภายในโลกจริง ลำพังภาษาเฮอร์มิสจึงไม่เพียงพอต่อการวิงวอน… เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ เราต้องใช้ภาษาที่กระตุ้นพลังธรรมชาติอย่างเฮอร์มิสโบราณ เป็นหลักการเดียวกับรหัสผ่านบัญชีธนาคารเบ็คลันด์…


ไคลน์พยักหน้ารับ ตามด้วยการเปล่งนามเต็มเดอะฟูลด้วยเฮอร์มิสโบราณอย่างระมัดระวัง


มันมิได้กลัวอุบัติเหตุ แต่กำลังกังวลว่า ตนอาจถูกพลังธรรมชาติปลุกให้ตื่นจากฝัน


บรรทัดแล้วบรรทัดผ่านไป จนกระทั่งไคลน์ท่องนามเต็มครบ โสตประสาทชายหนุ่มพลันได้ยินเสียงเพรียกมายาชวนวิงเวียนศีรษะ


แต่ในทางกลับกัน ความฝันเดนิสเริ่มสั่นคลอน เรือฝันทองคำเริ่มพังถล่ม


ไคลน์ไม่รีรอ รีบออกจากความฝันและปิดประตูกลับเข้าห้องนอนก่อนเดนิสจะตื่น


ราวเจ็ดแปดวินาทีถัดมา เดนิสลุกนั่งบนเก้าอี้ด้วยสีหน้ามึนงงสุดขีด ริมฝีปากขยับพึมพำ


“ทำไมเราถึงฝันว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ชายเสียสติคนนั้น มาก่อความวุ่นวายบนฝันทองคำ… ฝันร้ายฉิบหาย! แม่เย็*! ต้องเป็นเพราะเราเอาแต่กังวลเกี่ยวกับหมอนั่นแน่!”


ภายในห้องนอน ไคลน์เดินทวนเข็มสี่ก้าวและส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก โดยผลลัพธ์ไม่ผิดไปที่คาดมากนัก มีการกระเพื่อมของวงแสงใกล้กับที่นั่งเดอะฟูล


ได้ผล… ภายในความฝัน หากเปล่งนามเต็มเดอะฟูลด้วยเฮอร์มิสโบราณหรือคนยักษ์ เราสามารถตอบสนองคำวิงวอนได้… เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงมีคนจำนวนไม่น้อย เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุขณะหลับฝัน ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด… พวกเขาเหล่านั้นคงศึกษาศาสตร์เร้นลับมากเกินไป จนเกิดอาการละเมอในความฝัน และเผลอวิงวอนถึงใครสักคนเข้า… อันตรายลักษณะนี้ ไม่มีทางป้องกันล่วงหน้าได้เลย…


ไคลน์สลายจุดแสงที่กระเพื่อม พลางครุ่นคิดว่าตนควรบอกให้จัสติสทราบดีหรือไม่


ถ้าบอกไปตามตรง ภาพลักษณ์เดอะฟูลอาจเสียหาย… แต่มิสจัสติสมีนิสัยอยากรู้อยากเห็น ถึงจะได้รับคำเตือนจากแฮงแมนกับเฮอร์มิท และแม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่เธอก็อาจซุกซนเสี่ยงอันตรายเข้าไปสำรวจ… แน่นอน มันคือความรับผิดชอบของตัวเธอเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา…


ขณะไตร่ตรอง ไคลน์หวนนึกถึงความใสซื่อและจงรักภักดีของจัสติส หวนนึกถึงความสดใสร่าเริงที่ทำให้ตนอารมณ์ดีในหลายโอกาส


อีกทั้ง เธอยังเป็นหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของชุมนุมทาโรต์ เป็นผู้คอยอำนวยความสะดวกให้ ‘ข้ารับใช้เดอะฟูล’ หนแล้วหนเล่า


ลงเอยด้วย ไคลน์ยิ้มกับตัวเอง


“คงต้องตักเตือนกันสักหน่อย ถือเป็นสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า VIP”



แคว้นเชสเตอร์ตะวันออก


ภายในห้องหรูหราประจำคฤหาสน์


ออเดรย์กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในสภาพหันข้าง สมองใคร่ครวญคำเตือนจากแฮงแมนและเฮอร์มิท


หลังจากได้ยินคำอธิบายของรุ่นพี่ในวงการทั้งสองคน หญิงสาวพลันกระจ่างในหนึ่งเรื่อง นั่นก็คือ เธอมิได้เป็นอัจฉริยะที่สามารถคิดค้นวิธีใช้พลัง ‘ชี้นำทางจิต’ เพื่อให้มีสติขณะฝันและสำรวจทะเลจิตใต้สำนึกรวม


แต่ที่ไม่มีใครเคยทำก็เพราะมันเต็มไปด้วยอันตราย


แล้วทำไมสมาคมแปรจิตถึงไม่เตือนเรา?


เหตุการณ์ในลักษณะนี้จะต้องเป็นเรื่องใหญ่ และมีคนตายไปไม่น้อยระหว่างการทดสอบ… อย่างน้อยก็ควรเตือนกันบ้าง… อ๊ะ! จริงสิ… พวกเขาเข้าใจว่าเรายังเป็นแค่ลำดับ 8 นักอ่านใจที่ไม่มีพลัง ‘ชี้นำทางจิต’ จึงไม่จำเป็นต้องเตือน…


ออเดรย์กระจ่าง


ขณะเธอเตรียมให้ซูซี่เข้ามาในห้องเพื่อบรรเทาอาการผิดหวัง ทัศนวิสัยรอบตัวพลันถูกห้อมล้อมด้วยทะเลหมอกไร้ขอบเขต


ท่ามกลางความว่างเปล่าสีเทา บุคคลผู้หนึ่งกำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูง และเปล่งเสียงโดยก้มมองลงมาเล็กน้อย


“อย่าได้ทดลองโดยไม่เตรียมพร้อมเด็ดขาด”


ขณะออเดรย์กำลังมึนงง น้ำเสียงแสนสง่างามและน่าเกรงขามดังขึ้นต่อเนื่อง


“แต่หากเผชิญหน้ากับอันตรายในความฝัน เจ้าจงเอ่ยนามเต็มของเรา”


เอ่ยนามเต็มของท่าน…


ดวงตาออเดรย์พลันลุกวาว ใบหน้าเปี่ยมความสุขล้นปรี่


“ค่ะ! มิสเตอร์ฟูล”


เมื่อเห็นว่าจัสตินไม่แสดงท่าทีเคลือบแคลง อีกทั้งยังแสดงอาการยินดี ไคลน์เริ่มรู้สึกเบาใจ


ชายหนุ่มกล่าวเสริม :


“ด้วยภาษาเฮอร์มิสโบราณ”


เมื่อสิ้นเสียงดังกล่าว ภาพมายาของเดอะฟูลและสายหมอกพลันเลือนหาย


ออเดรย์นั่งนิ่งหลายวินาที ก่อนจะรีบเม้มปากอย่างรักษากิริยา


มิสเตอร์ฟูลตักเตือนเราด้วยตัวเอง! อีกทั้งยังอนุญาตให้เอ่ยนามเต็มของท่านในความฝัน!


ออเดรย์เดินวนไปรอบห้องอย่างตื่นเต้น พลางเชื่อเอาเองว่า เธอได้กลายเป็นหนึ่งในข้ารับใช้ของเทพเรียบร้อยแล้ว


อย่างไรก็ตาม เธอนำคำเตือนจากทุกคนมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด รอจนกว่าจะพร้อม จึงค่อยสำรวจทะเลจิตใต้สำนึกรวมอีกครั้ง


หญิงสาวยกมุมปากขึ้น ตามด้วยการทำสัญลักษณ์ส่งเดชกลางหน้าอกและพึมพำ :


“มิสเตอร์ฟูลจงเจริญ!”



ณ วังสายหมอก ไคลน์กำลังใช้ความคิดอยู่กับเรื่องอื่น


เอลเลนผมแดง เป้าหมายภารกิจแจ้งเบาะแสที่มีมูลค่าหนึ่งพันปอนด์ แท้จริงแล้วมีความเกี่ยวข้องกับพลเรือโทโรคภัย เทรซี่!


เทรซี่ได้ฮุบกลุ่มโจรสลัดคีลิงเกอร์ไปเป็นของตัวเอง และเปลี่ยนชื่อเรือธงเป็น ‘กาฬมรณะ’ … คีลิงเกอร์เคยจับตัวพ่อค้ามั่งคั่งนาม ‘จิมมี่·เน็ค’ เป็นตัวประกัน… พ่อค้าคนดังกล่าวครอบครองเอกสารโบราณบางส่วนที่เกี่ยวกับเทพมรณา โดยสมบัติชิ้นดังกล่าวถูกขโมยมาจากอนุสาวรีย์บรรจุศพราชวงศ์ไบลัมแห่งทวีปใต้… ข้อมูลข้างต้นอ้างอิงจากดวงวิญญาณฝันร้ายในยุบพองหิวโหย สามารถเชื่อถือได้… เรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับมิสเตอร์อะซิก เราควรลงมือตรวจสอบ…


ไคลน์ได้อีกหนึ่งข้ออ้างในการตามหาเอลเลนผมแดง


มันจึงเปลี่ยนแผน จากแต่เดิมที่จะรอถามกระจกวิเศษอาโรเดส เป็นการมอบวิวรณ์แก่สาวกเทพสมุทรทันที หวังใช้อิทธิพลและอำนาจของกลุ่มต่อต้านให้เกิดประโยชน์สูงสุด


ในตอนแรก ด้วยเงินตอบแทนเพียงหนึ่งพันปอนด์ ภารกิจตามหาเอลเลนผมแดงจึงเล็กน้อยเกินกว่าจะพึ่งพาสาวก แต่ปัจจุบันไม่ใช่อีกต่อไป เพราะเริ่มมีพลเรือโทโจรสลัดเข้ามาเอี่ยว…


ไคลน์เสกภาพเหมือนเอลเลน พร้อมกับสั่งให้คทาเทพสมุทรลอยมาอยู่บนมือ


ชายหนุ่มมิได้กระจายวิวรณ์ไปยังสาวกทุกคนในคราวเดียว ด้วยเกรงว่าพลังวิญญาณของตนอาจไม่เพียงพอ


ไคลน์ตัดสินใจเลือกส่งวิวรณ์เฉพาะกับไครัท เอ็ดมันตัน และสมาชิกระดับสูงคนอื่น


จากนั้น มันสร้างฉากหลังเป็นคลื่นทะเลและพายุเกรี้ยวกราด พร้อมกับเปล่งเสียงกังวาน


“ค้นหาเธอ และปกป้องเธอ คอยระวังอันตรายจากเทรซี่ให้ดี”


ไคลน์ไม่อธิบายเพิ่มเติม เพียงคัดลอกภาพเหมือนของเอลเลนจำนวนหนึ่ง และส่งเข้าไปในละอองแสงสีขาวตัวแทนสมาชิกที่กำหนด


……………………


ราชันเร้นลับ 573 : โลกความจริงมอบบทเรียน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ป่าลึกบนเกาะภูเขาคราม


ณ ฐานลับกลุ่มต่อต้าน


ไครัทหัวล้านเงยหน้าขึ้น มองไปยังแสงแดดที่ลอดผ่านช่องว่างบนเพดานถ้ำ ดวงตาท่วมท้นด้วยความสุขชนิดมิอาจเก็บงำ


มันมั่นใจโดยไม่เคลือบแคลงว่า นับตั้งแต่วินาทีที่เทพกลับมายังโลกและมอบวิวรณ์เกี่ยวกับบัญญัติสิบประการ พิธีกรรมนองเลือดและดิบเถื่อนในอดีตจะเลือนหายไป และในอนาคต พระองค์จะมอบสติปัญญาและแสงสว่างที่แท้จริงให้แก่ชนพื้นเมืองทุกคน ขณะเดียวกันก็คอยแทรกแซงเหตุการณ์ในทะเลอย่างชาญฉลาด สร้างผลประโยชน์ให้กลุ่มต่อต้าน สร้างผลประโยชน์ให้ชาวรอสต์ นำพาทุกคนไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง แม้จะไม่ราบรื่นสักเท่าไร


ท่านคงกลับมาด้วยเหตุผลนี้กระมัง…


ไครัทหลับตาลงและหวนนึกถึงวิวรณ์ที่ตนเพิ่งได้รับจากเทพสมุทร พลางคาดเดาว่า เอลเลนผมแดงจะต้องเป็นคนที่สำคัญต่อเทรซี่อย่างมาก อาจเป็นกุญแจที่คอยรักษาสมดุลในท้องทะเล หรือไม่ก็คอยรักษาสมดุลระหว่างอาณาจักร


หากสูญเสียกุญแจดังกล่าวไป โลกจะกลับเข้าสู่ความวุ่นวาย และนั่นคือโอกาสให้ชนพื้นเมืองของเกาะรอสต์ชิงลงมือ!


ไครัทสูดลมหายใจยาว ก่อนจะรีบประกอบพิธีกรรมวิงวอนต่อเทพสมุทร เพื่อคัดลอกภาพเหมือนของเอลเลนผมแดงไว้แจกจ่าย


เมื่อจัดการเสร็จ ไครัทหันหน้าไปยังอีกฝั่ง พลางเผยสีหน้าซับซ้อนยากจะอธิบาย


ทิศทางดังกล่าวคือที่พักของนักบวชประจำศาสนาเทพสมุทร รวมถึงสมาชิกเคร่งศาสนาคนอื่นที่ล้วนเป็นสมาชิกระดับสูงของกลุ่มต่อต้าน


แม้พวกเขาจะมิอาจขัดขืนต่อวิวรณ์โฉมใหม่ที่เปลี่ยนไปจากเดิมมาก แต่ภายในใจ เราทราบดีว่าคนเหล่านี้ยังคงยึดติดกับโบสถ์แบบเก่า ยึดติดกับพิธีกรรมป่าเถื่อน รุนแรง นองเลือด และเสื่อมถอย โดยไม่ยอมเปิดใจมอบความศรัทธาต่อโบสถ์เทพสมุทรโฉมใหม่… หากเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาคงได้ถูกเทพทอดทิ้งเป็นแน่…


ไครัทเผยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มเจือความเศร้า



ไคลน์ไล่ตรวจสอบคำวิงวอนจากเหล่าสาวกรอบคทาเทพสมุทร โดยเลือกตอบสนองในรายที่ตนมองว่าสำคัญ จึงค่อยส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง


แผนถัดไปของชายหนุ่มคือ ออกไปสำรวจรอบเมืองเพื่อตามหาว่า มีเป้าหมายใดเหมาะแก่การสวมบทบาทผู้ไร้หน้าหรือไม่


แต่ขณะมือขวาสัมผัสลูกบิดประตูห้องนอน ไคลน์ผุดแนวคิดน่าสนใจแกมตลกขบขัน


เป้าหมายของเราไม่ใช่การหาเอลเลนผมแดงให้พบสักหน่อย แต่เป็นการลอบเข้าใกล้เทรซี่ และหาเบาะแสของพ่อค้าจิมมี่·เน็ค เพื่อสืบค้นร่องรอยเอกสารโบราณเกี่ยวกับเทพมรณา…


หรือก็คือ หากเราสามารถหาคนหน้าเหมือนเอลเลนผมแดงมาได้ การเข้าใกล้เทรซี่ พลเรือโทโรคภัย ก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ไม่จำเป็นต้องเป็นเอลเลนผมแดงตัวจริง…


ดังนั้น เราสามารถปลอมตัวเป็นเอลเลนผมแดงเสียเอง และให้เดนิสพาไปส่ง ‘ชายฉกรรจ์’ โอซิลเพื่อรับเงินรางวัล หลังจากนั้นก็จะถูกนำตัวไปส่งพลเรือโทโรคภัย·เทรซี่ถึงที่ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว…


น่าสนใจมาก…


แต่หลังจากไตร่ตรองสักพัก ไคลน์ส่ายหน้าพร้อมกับพับเก็บแนวคิดดังกล่าว


ถึงจะเป็นผู้ไร้หน้า… แต่เราก็ไม่มีวันแต่งหญิงเด็ดขาด!


หรือกำลังจะบอกว่า… การก้าวข้ามกำแพงทางจิตใจ ก็เป็นหนึ่งในกฎหลักของผู้ไร้หน้า?


ยิ่งไปกว่านั้น เราไม่เคยรู้จักอุปนิสัยเอลเลนผมแดงมาก่อน ลำพังเปลือกนอกคงหลอกคนใกล้ตัวไม่ได้แน่ และนั่นจะทำให้เราถูกจับก่อนได้เข้าถึงตัวเทรซี่…


นั่นสินะ… ยังไม่มีหลักประกันใดบ่งชี้ว่า เจ้าของภารกิจคราวนี้จะเป็นเทรซี่ อาจเป็นฝีมือขั้วอำนาจฝ่ายตรงข้ามก็ได้…


ขณะเดียวกัน เรายังมีข้อมูลพลเรือโทโรคภัยไม่มากนัก การลงมือจู่โจมอย่างบุ่มบ่าม อาจนำพาไปสู่อันตรายร้ายแรง…


ไม่ควรประมาท คงต้องทำตามสัญชาตญาณตัวเองไปก่อน ตามหาเอลเลนให้พบ ซักถามรายละเอียดจากเธอ จึงค่อยเริ่มคิดแผนถัดไป…


ทันใดนั้น ไคลน์สัมผัสถึงความผิดปรกติในห้องนั่งเล่น เสียงกรนเดนิสลดจำนวนลง แถมยิ่งแผ่วเบาเมื่อเวลาผ่านไป


พลเรือโทธารน้ำแข็งบุกรุกความฝัน?


ไคลน์เปิดประตูห้องนอนออกไป


ท่ามกลางบรรยากาศเงียบเชียบที่แทบจะไร้สุ้มเสียง เดนิสพยุงตัวนั่งพร้อมกับลืมตาขึ้น


มันกล่าวโดยพยายามเก็บซ่อนรอยยิ้ม


“กัปตันเพิ่งมาหาฉัน เธอแจ้งว่า กองเรือของพลเรือเอกโลหิตปรากฏตัวขึ้นที่เกาะหางยาว และกำลังมุ่งหน้าไปยังทิศใต้ คาดว่าเป้าหมายคือทะเลคลั่ง แหล่งข่าวมีความน่าเชื่อถือระดับสูงสุด!”


เกาะหางยาว… สุดเขตทางใต้น่านน้ำรอสต์?


ดูเหมือนพลเรือเอกโลหิตจะมีแผนเข้าเทียบท่าที่บายัมจริง แต่กลับต้องผิดคาดเมื่อทราบว่า คาเวทูว่ากับแยนน์·ค็อตแมน—เจ้าสมุทร กำลังเผชิญหน้ากันอย่างดุเดือด ลงเอยด้วย มันเลือกหนีลงไปทางทะเลคลั่ง… อา… อีกเหตุผลหนึ่งก็คงเป็น การขาดการติดต่อกับ ‘เฒ่าควินน์’ หัวหน้าสายข่าวในบายัม…


ไคลน์เผยสีหน้าอึมครึม บ่งบอกชัดเจนว่า เหตุการณ์ดำเนินผิดไปจากแผนเดิมค่อนข้างมาก


ชายหนุ่มหวังใช้เหตุการณ์สังหารพลเรือเอกโลหิต เซนอล เป็นเวทีเปิดตัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างยิ่งใหญ่อลังการ


ลำพังการฆ่าแม็ควิตี้ คงยังไม่พอจะสร้างแรงกระเพื่อมออกไป…


ไคลน์เงียบงัน พลางหันไปจ้องเดนิส


เพลิงพิโรธถึงกับสะดุ้ง มันเริ่มรู้สึกอึดอัดจากสายตาไม่เป็นมิตรของอีกฝ่าย


เดนิสยิ้มแห้ง


“ในเมื่อพลเรือเอกโลหิตเผ่นหนีไปแล้ว ความร่วมมือระหว่างกัปตันและนายก็คงถูกพักไว้ก่อนใช่ไหม? ฉ…ฉันกลับฝันทองคำได้หรือยัง! ติดต่อกันผ่านผู้ส่งสารของนายไม่ได้หรือ”


ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะนำปากกาและกระดาษออกมาเขียนพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสาร


จากนั้น ชายหนุ่มสะบัดข้อมือ ขว้างกระดาษที่แข็งตัวราวกับแผ่นโลหะไปหาอีกฝ่าย


ลำดับ 9 ของเดนิสคือ ‘นักล่า’ การจับคว้าวัตถุความเร็วสูงไม่ใช่เรื่องยากเย็น


หลังจากก้มหน้าอ่านสองรอบ เปลวเพลิงลุกท่วมฝ่ามือเดนิส แผดเผาแผ่นกระดาษจนเหลือเพียงผงถ่าน


“ฮะฮะ! ถึงฉันจะลืม แต่กัปตันก็มีวิธีเรียกความทรงจำกลับมา”


เดนิสเว้นวรรค ตามด้วยคำถาม


“ตกลงว่า.. ฉันกลับฝันทองคำได้แล้วใช่ไหม”


ไคลน์พยักหน้า


“อือ”


เยี่ยม… เยี่ยมมาก! ต้องแบบนี้สิวะ!


เดนิสฝืนระงับการทำท่าดีใจ ด้วยเกรงว่า อาจไปยั่วยุให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์หงุดหงิด


มันยิ้มและกล่าวต่ออย่างผ่อนคลาย


“ฉันจะลงไปจ่ายค่าเช่าโรงแรมตลอดช่วงเวลาที่พวกเราพัก จากนั้นก็ออกไปซื้อบัตรโดยสารเรือ… นายคงทราบดีอยู่แล้ว บายัมยังไม่กลับสู่ภาวะปรกติ กัปตันไม่ต้องการเสี่ยงนำเรือมาจอดเทียบท่า”


ไม่เลว… รู้จักจ่ายค่าห้องด้วย…


ไคลน์ไม่ขานรับ เพียงสวมโค้ทกับหมวก และเดินออกจากห้องพักสุดหรูของโรงแรม


เมื่อแผ่นหลังของนักล่าสมบัติเลือดเย็นหายไปจากมุมบันได เดนิสเดินกลับเข้ามาในห้อง พร้อมกับกำหมัดแน่นและชกลมอย่างสะใจ


“เยี่ยม! เยี่ยมฉิบหาย! เป็นอิสระแล้วโว้ย!”


มันไม่รีรอ รีบสวมหมวกแก๊ปและเดินลงไปชำระค่าห้องที่ชั้นล่าง โดยกำชับว่ายังไม่เช็กเอาต์


เดนิสรีบออกมายังถนน เตรียมมุ่งหน้าไปยังสถานที่ชื่อว่า ‘ผับสาหร่ายทะเล’ แต่ก่อนอื่น มันยืนสูดลมหายใจแสนสดชื่นให้ชุ่มปอด


หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ข้าว ขณะเลี้ยวผ่านตรงหัวมุม เดนิสชำเลืองเห็นป้ายประกาศจากทางการบนกำแพง


“เพลิงพิโรธ·เดนิส ค่าหัวห้าพันห้าร้อยปอนด์”


มันยืนห่างจากป้ายเพียงสามก้าว ใบหน้าบนแผ่นกระดาษ เหมือนกับใบหน้าใต้หมวกแก๊ปทุกประการ


เดนิสผงะเล็กน้อย เผยรอยยิ้มขื่นขม


มันรีบกดปีกหมวกแก๊ปลงให้ต่ำลง จนมองไม่เห็นแม้แต่ดวงตา


แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังไม่วางใจ รีบเดินย้อนกลับไปซื้อผ้าพันคอสีเทาจากร้านที่เพิ่งผ่านมา และใช้สิ่งนั้นม้วนทบรอบลำคอ ปกปิดส่วนปากและจมูกอย่างมิดชิด


เดนิสเริ่มหายใจทั่วท้อง จึงรีบเดินไปยังจุดหมายปลายทางของตน


ผับสาหร่ายทะเลคือสถานที่นัดรวมตัวของกลุ่มอันธพาลท้องถิ่น ขณะเดียวกันก็มีโจรสลัดชื่อดังเข้าไปใช้บริการบ่อยครั้ง


จริงอยู่ ที่นั่นอาจไม่เหมือนผับปลาบินหรือผับใบไม้หอมซึ่งเต็มไปด้วยข้อมูล ผับสาหร่ายทะเลมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง นั่นคือช่องทางสำหรับซื้อขายของเถื่อน!


ที่เดนิสต้องทำมีเพียงการตรงเข้าไปในร้าน และซื้อตั๋วผีเที่ยวไปกีรากัส โดยไม่ต้องใช้เอกสารยืนยันตัวตน


มันทราบดี ไม่ว่าจะตอนนี้หรือเมื่อก่อน ตัวเลขค่าหัวและใบหน้าตนจะถูกปิดไว้บนผนังห้องขายตั๋วเรือโดยสารทุกเสมอ จึงต้องซื้อตั๋วผีผ่านนายหน้าคนกลางเท่านั้น เฉกเช่นในกรณีโมราขาว


ภายในผับ เดนิสไม่ถอดหมวกแก๊ปและผ้าพันคอออก เพียงมองไปรอบตัวอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งพบเดอเนียร์—คนขายตั๋วผี


แต่มันไม่ตรงเข้าไปหาทันที รีบเบือนหน้าออกจากชายร่างผอม ผิวคล้ำ อายุราวสามสิบ และมองหาเหยื่อที่ใบหน้าไม่คุ้นเคย


หลังจากเลือกเป้าหมายได้ เดนิสเดินแหวกฝูงชนตรงไปทางเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งคนเดียวบนเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม ปิดท้ายด้วยการตบบ่าและส่งเสียงกระซิบ


“ฉันวานอะไรหน่อย”


“ว่ามา” เด็กหนุ่มหันมามองด้านข้าง และได้พบกับบุคคลน่าสงสัยสุดขีด : ใบหน้าครึ่งบนถูกบดบังมิดชิดด้วยปีกหมวกแก๊ป ครึ่งล่างตั้งแต่จมูกลงไป ถูกปกปิดด้วยผ้าพันคอสีเทาผืนหนา


พูดได้เต็มปากว่า ผิดปรกติขั้นสุดยอด


หมู่เกาะรอสต์ในฤดูหนาวนั้นมิได้หนาวจัดเหมือนกับสถานที่อื่น อุณหภูมิประมาณสิบองศาเซลเซียส


เดนิสชี้ไปทางเดอเนียร์


“เห็นหมอนั่นไหม ซื้อตั๋วไปกีรากัสเที่ยวพรุ่งนี้ให้ฉัน”


มันยื่นธนบัตรมูลค่าหนึ่งปอนด์จำนวนสามใบให้เด็กหนุ่ม พลางอมยิ้มและกระซิบ


“ที่เหลือทิป”


ตั๋วผีอาจแพงกว่าตั๋วปรกติมากก็จริง แต่ปลายทางอย่างกีรากัสนั้นอยู่ไม่ไกล สามปอนด์จึงนับว่าเหลือเฟือ และเนื่องจากเป็นการเดินทางระยะสั้น จึงไม่จำเป็นต้องนั่งเฟิร์สคลาส


เหตุผลที่เดนิสไม่ซื้อเอง เพราะมันกังวลว่าเดอเนียร์อาจจำตนได้ และนั่นจะทำให้เกิดความโกลาหล


สมัยเดนิสยังมีค่าหัวสามพันปอนด์ กลุ่มโจรสลัดและนักผจญภัยส่วนใหญ่ไม่กล้ารุมทำร้าย เพราะถ้าใช้วิธีหมาหมู่ เวลาหารจะเหลือส่วนแบ่งต่อหัวไม่มาก ไม่คุ้มกับการเสี่ยงชีวิต จึงเรียกได้ว่า ถ้าเป็นตลาดมืด เดนิสค่อนข้างปลอดภัย


แต่ปัจจุบัน เนื่องด้วยค่าหัวที่เพิ่มขึ้นมาเกือบสองเท่า ถึงจะมีตัวหารมาก แต่ส่วนแบ่งกลับยังล่อตาล่อใจให้เสี่ยงชีวิต โดยไม่เกรงกลัวชื่อเสียงของพลเรือโทธารน้ำแข็ง เหล่าอาชญากรหิวเงินจำนวนไม่น้อยจึงกล้าเสี่ยงลงมือ


นอกจากนั้น บรรดาโจรสลัดที่คิดว่าค่าหัวตัวเองต่ำเกินไป ต้องการจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นโดยการโค่นเดนิส ผู้มีชื่อเสียงและฝีมือน้อยกว่าคนอื่นในหมู่โจรสลัดค่าหัวไล่เลี่ยกัน


ด้วยเหตุผลข้างต้น เดนิสจึงไม่เสี่ยงนำพาตัวเองไปสู่อันตราย และเลือกให้คนอื่นไปซื้อแทน


เด็กหนุ่มรับเงินไว้ จ้องหน้าเดนิสสักพัก ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินไปทางเดอเนียร์


แต่เมื่อผ่านขี้เมากลุ่มหนึ่ง เด็กคนดังกล่าวกลับลดความเร็วลงและกระซิบกระซาบบางสิ่ง


ได้เห็นดังนั้น เดนิสตั้งท่าเตรียมสู้ทันที ภายในใจเริ่มฉุกคิดถึงต้นตอปัญหา


เป็นเพราะเราแต่งตัวมิดชิดเกินไป ไม่ว่าจะมองมุมใดก็ผิดปรกติ จึงตกเป็นเป้าการรุมกระทืบและไถเงิน!


เฮ่อะ! พวกแกคิดว่าฉันได้ฉายาเพลิงพิโรธมาจากการจับสลากรึไง!


เดนิสเตรียมสั่งสอนให้คนเหล่านี้ได้รับบทเรียนหลาบจำ จากนั้นค่อยชิงตั๋วเรือโดยสารเที่ยวกีรากัสด้วยกำลัง


ทว่า มันบังเอิญเหลือบไปเห็นคนรู้จัก กำลังเดินเข้ามาจากประตูด้านหน้าผับ อีกฝ่ายคือโจรสลัดชื่อดังเจ้าของค่าหัวสองพันแปดร้อยปอนด์


‘เนตรสีฟ้า’ มีธ


และแน่นอน มีธย่อมเป็นพวกเดียวกับกลุ่มอันธพาลซึ่งกำลังจะรีดไถเดนิส


เนตรสีฟ้ามีลูกน้องแข็งแกร่งหลายคน…


เดนิสไม่ลังเล รีบลุกพรวดพร้อมกับตรงดิ่งไปยังประตูหลังของผับ


มันเร่งความเร็วเพื่อแทรกตัวผ่านกลุ่มขี้เมาตลอดทาง ใช้เวลาไม่นานก็หนีออกจากผับสำเร็จ และอาศัยพลังต่อต้านการแกะรอย สลัดหลุดจากศัตรูโดยสมบูรณ์


เดนิสไม่กล้าเดินเตร็ดเตร่บนถนนนานนัก เนื่องจากท้องฟ้าเริ่มมืด และตำรวจใกล้ออกลาดตระเวนยามวิกาล


มันรีบตรงดิ่งกลับโรงแรมวายุครามและกลับขึ้นไปยังห้องพักสุดหรู เมื่อเปิดประตู เดนิสเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังนั่งชมฉากตะวันตกดินด้วยบรรยากาศสุนทรี


เดนิสครุ่นคิด พลางยิ้มแห้ง


“ฉันลืมบอกเรื่องสำคัญกับนาย กัปตันถามว่า นายต้องการจะไปพบหล่อนที่กีรากัสหรือไม่”


เดิมที เดนิสคิดจะปิดบังคำถามนี้ไว้จนวันตาย และกลับไปบอกเอ็ดวิน่าว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่สนใจจะพบเธอ แต่สำหรับวินาทีนี้ มันตระหนักได้อย่างถ่องแท้ หากตนไม่มีนักผจญภัยเสียสติคอยคุ้มครองข้างกาย ก็คงมิอาจออกจากบายัมได้แบบมีลมหายใจ


……………………


ราชันเร้นลับ 574 : ลองดู

โดย

Ink Stone_Fantasy

พลเรือโทธารน้ำแข็งนัดเจอเราที่กีรากัส?


ไคลน์ผงะเล็กน้อย เกือบหลุดขมวดคิ้ว


สำหรับมัน ข้อเสนอนี้ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะสิ่งที่มิอาจถามได้ในจดหมายเนื่องจากต้องอธิบายซับซ้อน สามารถนำมาถามต่อหน้าและได้รับคำตอบทันที การแลกเปลี่ยนข้อมูลคราวนี้อาจกระตุ้นให้ไคลน์เกิดแรงบันดาลใจใหม่ หรืออาจได้รับข้อมูลที่สำคัญสำหรับโอสถลำดับถัดไป


การมีเพื่อนเพิ่มหนึ่งคน ย่อมหมายถึงการมีเครือข่ายข้อมูลเพิ่มอีกหนึ่งช่องทาง…


ไคลน์พึมพำ ตามด้วยการหยิบเหรียญทองออกมาดีดทำนายต่อหน้าเพลิงพิโรธ·เดนิส


เหรียญทองระยิบระยับลอยไปในอากาศ ก่อนจะตกลงบนฝ่ามือโดยด้านตัวเลขหงายขึ้น


ผลลัพธ์ออกมาเป็น ‘ไม่’ หมายถึง การพบกับพลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ด ที่ท่าเรือกีรากัส จะไม่ทำให้ไคลน์เกิดอันตราย


ชายหนุ่มเงยหน้ามอง จ้องเดนิสค้างไว้สักพัก


“ตกลง”


“ในนามตัวแทนกัปตัน ฉันขอขอบคุณที่นายตอบรับคำเชิญชวน”


เดนิสเริ่มหายใจทั่วท้อง คิ้วที่เคยตึงเครียดคลายปมลง


ไคลน์ชำเลืองนาฬิกาแขวนผนัง


“ขอเข้าห้องน้ำก่อน”


เข้าห้องน้ำก่อน… หมายความว่า นายจะออกไปข้างนอกและใช้บัตรประชาชนตัวเอง ซื้อตั๋วขึ้นเรือเผื่อฉันอีกหนึ่งใบ?


เดนิสมองตามแผ่นหลัง พลางวิเคราะห์ความนัยที่แฝงมากับคำพูดอีกฝ่าย


หลังจากยืนยันด้วยเทคนิคลูกตุ้มวิญญาณบนมิติสายหมอก ไคลน์กลับลงมาโลกจริง ยืนล้างมืออีกสักพัก และเปิดประตูออกมาพูดกับเดนิส


“เราจะไปข้างนอกกัน”


“ฉันก็ด้วย?” เดนิสชี้หน้าตัวเอง


ไคลน์สวมโค้ท ผงกศีรษะยืนยัน


“จำเป็นด้วยหรือ… นายก็แค่ไปหาไอร์แลนด์ และให้เขาช่วยหาตั๋วให้พวกเราสองใบก็พอ…”


ไคลน์ชำเลืองเงียบ ไม่กล่าวสิ่งใด เพียงสวมหมวกทรงกึ่งสูงและเดินไปเปิดประตูห้อง


เดนิสยืนสั่นเทา คำพูดที่เตรียมไว้พลันถูกกลืนลงคือในทันที มันกำลังจะเสนออีกหนึ่งวิธี นั่นคือการปลอมบัตรประชาชน และให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์แปลงโฉมไปซื้อตั๋ว


เพลิงพิโรธรีบสวมผ้าพันคอ สวมหมวกแก๊ป และวิ่งตามหลังเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างลนลาน



ผ่านไปราวยี่สิบนาที ไคลน์ชี้นิ้วไปยังสถานที่อันเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกตรงหน้า


“ข้างในนั้น?”


ทั้งสองกำลังยืนหน้าผับสาหร่ายทะเล สถานที่ซึ่งเดนิสเคยซื้อตั๋วผีล้มเหลวมาแล้วหนึ่งหน


“ช…ใช่” เดนิสไม่คาดคิดว่าตนจะได้กลับมายังจุดเดิมอีก จึงออกอาการสับสนทางใบหน้า


ระหว่างทาง มันเล่าประสบการณ์ขณะออกมาซื้อตั๋วผีตามลำพังให้อีกฝ่ายฟัง เดนิสจึงไม่เข้าใจว่า ทำไมเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถึงยังต้องการแวะเข้าไปในผับ


หลังจากสมองประมวลผลได้สักพัก มันคาดเดาได้หนึ่งเหตุผล นั่นคือ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ต้องการย้อนกลับมาแก้แค้นให้ตน!


“น…นายกำลังจะเอาคืนพวกที่โกงฉัน?”


ถึงหมอนี่จะเสียสติ แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพื่อน บางครั้งก็ใจดีจนน่าเหลือเชื่อ ตัวอย่างเช่น การออกไปช่วยไอร์แลนด์และคนอื่นขณะเรือจอดเทียบท่าที่แบนชี


ไคลน์ชำเลืองเดนิสด้วยหางตา ไม่กล่าวคำใด เพียงย่างกรายเข้าไปในผับ


“ม…ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้!” เดนิสเดินตามโดยพยายามโน้มน้าว


หากไม่ใช่เพราะมันไม่ต้องการให้เรื่องราวลุกลามบานปลาย ป่านนี้ไอ้พวกระยำโกงที่ตั๋วผีทุกคน คงถูกเผาจนเกรียมและเอาซากขี้เถ้าโยนลงทะเลไปแล้ว!


บรรยากาศภายในผับเนืองแน่นไปด้วยเสียงอึกทึกและดนตรีท้องถิ่น ชวนให้วิงเวียนโสตประสาทพอสมควร


เดนิสกวาดสายตาอย่างตั้งใจ มองหากลุ่มคนเจ้าเล่ห์ที่หลอกขายตั๋วผี รวมไปถึงโจรสลัดชื่อดังอย่างเนตรสีฟ้า·มีธ ที่เป็นพวกเดียวกัน


“นั่นคือเดอเนียร์” เดนิสเริ่มชี้ตัวพ่อค้าของเถื่อนเป็นคนแรก


น่าเสียดาย ผับกำลังวุ่นวาย เราจึงไม่เห็นว่าเจ้าพวกนั้นอยู่ด้วยรึเปล่า… เดนิสรำพันเจ็บใจ


ไคลน์เดินตาม มือขวาเลื่อนไปจับยุบพองหิวโหยที่มือซ้าย


จากนั้น ชายหนุ่มหันไปมองเดนิสและกล่าวเสียงเรียบ


“ถอดผ้าพันคอ”


โทนเสียงคล้ายกับกำลังสั่งให้เดนิสไปซื้อเบียร์


หือ…? เดนิสยืนผงะ คลางแคลงใจว่าตนอาจได้ยินคำสั่งผิด


มุมปากไคลน์ยกขึ้นเล็กน้อย


“ถอดผ้าพันคอ ฉันจะไม่พูดเป็นครั้งที่สาม”


“ทำไม…” ถ้อยคำเดนิสพลันขาดห้วงเมื่อหันไปเห็นสายตาแสนอำมหิต


มันบรรจงถอดผ้าพันคอด้วยท่าทีสับสนเจือความกังวล คนในผับอาจจดจำได้ว่า ตนคือเพลิงพิโรธเจ้าของค่าหัวห้าพันห้าร้อยปอนด์!


ไคลน์ฉีกยิ้มกว้างขึ้น ออกคำสั่งเพิ่มเติม


“ถอดหมวกด้วย แล้วเดินไปซื้อตั๋วผี”


ในวินาทีนี้ เดนิสรู้สึกราวกับร่างกายถูกสายฟ้าสีเงินผ่าใส่อย่างจัง มันต้องการเผ่นหนีไปให้ไกลที่สุด


“แต่พวกมันจะจำหน้าฉันได้…”


สายตาอำมหิตของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ได้บีบให้เสียงเดนิสค่อย ๆ แผ่วเบา


ในเวลากัน เดนิสเริ่มเข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่าย


หมอนี่ต้องการให้เรา ผู้มีค่าหัวห้าพันห้าร้อยปอนด์ เป็นเหยื่อล่อโจรสลัดหิวเงิน! แม่เย็*! ทำไมเราดันไปคิดว่ามันเป็นเพื่อนที่ดี… ไม่สิ ทำไมเราถึงมองว่าคนแบบนี้เป็นเพื่อน! ไอ้ลูกกะหรี่! สารเลวเอ้ย!


เดนิสเกรี้ยวกราดในใจ


แต่มันก็ไม่คัดค้าน เพราะทราบดีว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นคนเช่นไร


ชายเสียสติคนนี้คิดจะล่าแม้กระทั่งพลเรือเอกโจรสลัด!


เดนิสเผยรอยยิ้มขื่นขม หมุนคอให้กระดูกลั่นเล็กน้อย ก่อนจะถอดหมวกและเดินตรงไปหาเดอเนียร์อย่างไม่รีบร้อน


ตลอดทาง ขี้เมาทั่วผับต่างแหวกช่องให้เดนิสเดินสะดวก ประหนึ่งโมเสสกำลังแหวกน้ำทะเล


ฉากตรงหน้าอาจทำให้เดนิสลนลาน แต่ขณะเดียวกันก็สร้างความพึงพอใจเหนือคำบรรยาย


โจรสลัดที่ยิ่งใหญ่คงรู้สึกแบบนี้สินะ… ได้รับความยำเกรงจากผู้คน! …บัดซบ! ใครบางคนกำลังพูดชื่อเรา… บางคนกำลังกระซิบกระซาบคำว่าเพลิงพิโรธ!


เมื่อตระหนักว่ามีคนรู้ความจริง เดนิสก้าวเดินด้วยท่าทีประหม่า สองมือลดต่ำลง เตรียมต่อสู้ในทุกสถานการณ์


“เพลิงพิโรธ·เดนิส!”


เนตรสีฟ้า·มีธ โพล่งขึ้นจากกลุ่มฝูงชน


ทันใดนั้น ลูกน้องของมันหันมามองตาม ก่อนจะตะโกนอย่างตื่นเต้น


“ไม่ผิดแน่! บอส เจ้านั่นคือเพลิงพิโรธค่าหัวห้าพันห้าร้อยปอนด์! เล่นมันเลยไหม?”


มีธหรี่ดวงตาสีฟ้าลง พลางใช้มือซ้ายตบใส่ท้ายทอยลูกน้องหนึ่งฉาดใหญ่


“เจ้าโง่! ถ้าเพลิงพิโรธมันโง่เหมือนแก ป่านนี้คงได้ตายเป็นร้อยรอบแล้ว! มันไม่มีทางปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนโดยไม่เตรียมรับมือการโจมตีได้แน่นอน… หรือจะมีบุคคลแข็งแกร่งคอยคุ้มกัน?”


มีธรีบมองไปรอบตัวอย่างลนลาน


ข้อสงสัยอันดับหนึ่งก็คือ พลเรือโทธารน้ำแข็ง ได้ลอบเข้ามาในบายัมเรียบร้อยแล้ว!


ขณะกำลังกวาดสายตา มีธบังเอิญเหลือบเห็นสุภาพบุรุษหนุ่มที่กำลังยืนใกล้ทางเข้าผับ สวมเสื้อโค้ทกระดุมสองแถวสีดำ หมวกทรงกึ่งสูง ผมดำสนิท ดวงตาสีน้ำตาล ใบหน้าผอมเพรียวและมีสัดส่วนคมชัด


ไม่ต้องมีคำอธิบายใดเพิ่มเติม ลำพังสัมผัสวิญญาณอันเฉียบแหลมของมัน สามารถระบุได้ทันทีว่านี่คือสัตว์ประหลาดอันน่าสะพรึง!


ในอดีต ความเฉียบคมของสัมผัสวิญญาณเคยนำพาหายนะให้มีธบ่อยครั้ง แต่ขณะเดียวกันก็ช่วยให้มันรอดพ้นจากอันตรายได้เสมอ


“รีบหนี!” มันลดเสียงลงพลางออกคำสั่ง จากนั้นก็เดินนำลูกน้อง แหวกผ่านกลุ่มขี้เมาไปทางหลังร้าน สภาพเหมือนกับเดนิสเมื่อช่วงเย็นทุกประการ


เดนิสเดินเข้าใกล้เดอเนียร์ด้วยอาการประหม่า ตามด้วยการซื้อตั๋วเรือโดยสารเที่ยวกีรากัสจำนวนสองที่นั่ง จากชายผู้กำลังยืนสั่นเทา


เดนิสหันหลังกลับ เดินผ่านหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์และตรงออกประตูผับ โดยไม่มีใครกล้าโจมตีเข้ามาแม้แต่คนเดียว


ไหนบอกว่าเป็นจุดรวมตัวของบรรดาโจรสลัดชื่อดังและมีค่าหัว… ดูเหมือนกับดักจะได้ผลดีเกินคาด… ยิ่งเหยื่อทำตัวผิดปรกติมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความลับซ่อนอยู่มากเท่านั้น… บางครั้ง ความผิดปรกติก็สามารถนำมาใช้เขียนเสือให้วัวกลัว..


เฮ่อ… น่าเสียดายฉิบ… ไคลน์กดปีกหมวก เดินตามเดนิสออกไปอย่างเงียบงัน


ที่ด้านนอก เดนิสกำลังยืนรอริมโคมไฟถนน เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์กลับออกมา มันฉีกยิ้มกว้างพลางหายใจโล่งคอ


“ฉันสวมผ้าพันคอได้รึยัง? ฮะฮะ! สนุกชะมัด ไอ้พวกขี้ขลาดนั่น”


“อือ” ไคลน์ไม่หยุดรอ รีบเร่งความเร็วให้พ้นจากถนนเส้นเดิม


“…!” รูม่านตาเดนิสพลันหดเกร็ง มันรีบเดินตามหลังพลางซักถามอย่างฉงน


“ทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้”


ไคลน์กล่าวโดยไม่หันหลังกลับมามอง


“จะรอให้ทูตพิพากษาชวนไปดื่มชาหรือ”


ขณะพูด ไคลน์หยิบกระดาษรูปคนออกมาสะบัดและเผาทิ้ง


ประโยคดังกล่าวทำให้เดนิสตาสว่าง จริงอยู่ บรรดาโจรสลัดอาจขี้ขลาดไม่กล้าโจมตีบุ่มบ่าม แต่ถ้าเป็นการแจ้งข่าวให้ทางการทราบ พวกมันทำแน่นอน! เพราะถ้าเดนิสถูกจับ คนแจ้งเบาะแสก็จะได้รับส่วนแบ่ง


คนทั้งสองวิ่งสลับเดินจนมาถึงตรอกเปลี่ยวแห่งหนึ่ง เมื่อเดนิสเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์หยุดพัก มันอาศัยจังหวะดังกล่าวรีบสวมผ้าพันคอและหมวกแก๊ป


“แล้วเราจะไปไหนต่อ” เดนิสถามพลางหายใจหอบ


ไคลน์ชำเลืองด้วยหางตา


“ตามหาไอร์แลนด์”


ได้ยินเช่นนั้น มุมปากเดนิสสั่นกระตุกเล็กน้อย คล้ายกับต้องการขว้างไฟบอลใส่อีกฝ่ายสักก้อน


“ซื้อตั๋วไปดีลินุส” ไคลน์อธิบายพลางเดินออกจากตรอก


ดีลินุสคือชื่อของเกาะแรกทางตอนใต้ของหมู่เกาะรอสต์


“จริงด้วย… บนเกาะดีลินุสก็มีเรือไปกีรากัส! ตอนนี้ความสนใจของทุกฝ่ายกำลังมุ่งไปยังเส้นทางบายัม-กีรากัสโดยตรง… ส่วนพวกเราก็แอบไปขึ้นเรือที่เกาะดีลินุสเพื่ออ้อมไปยังกีรากัส!”


เดนิสรีบเดินตามด้วยสีหน้าเบิกบาน



อังคารช่วงเช้า ไคลน์ลงมือแปลงโฉมใบหน้าเดนิสด้วยตัวเอง จนอีกฝ่ายมีลักษณะคล้ายกับลูกครึ่งที่สวมแว่นตากรอบทอง


จริงอยู่ ชายหนุ่มอาจใช้พลังผู้ไร้หน้ากับเดนิสไม่ได้ แต่เท่านี้ก็ดีกว่าที่เดนิสแต่งเองนับสิบเท่า


คนทั้งสองขึ้นเรืออย่างราบรื่น เข้าสู่การเดินทางอันยาวนานกว่าสิบชั่วโมง โดยมีจุดหมายเป็นท่าเรือทางตอนใต้ของเกาะดีลินุส


ปู๊น!


เรือเดินสมุทรแล่นออกจากท่า เข้าสู่เขตทะเล


แสงแดดอบอุ่น เมฆก้อนบาง ท้องฟ้าสีคราม


ท่ามกลางสายลมเย็นสบาย เรือพลังงานผสมกำลังแล่นไปบนคลื่นลูกเล็กอย่างราบรื่น


ภายในห้องพัก ไคลน์กำลังนั่งศึกษาเนื้อหาของหนังสือแห่งความลับ เตรียมนำประเด็นสำคัญไปปรึกษาพลเรือโทธารน้ำแข็ง ส่วนเดนิสเอาแต่เดินวนเวียนในห้อง สมองครุ่นคิดถึงคำโอ้อวดที่จะเล่าให้พวกพ้องบนฝันทองคำฟัง


ทันใดนั้น ทั้งสองหันหน้าพร้อมกัน เพราะท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างเกิดมืดลงกะทันหัน ประหนึ่งเมฆก้อนใหญ่เคลื่อนตัวมาบดบังดวงอาทิตย์


เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ไคลน์ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่า เรือโบราณสีดำลำใหญ่ที่มีความยาวกว่าร้อยเมตร แล่นเข้ามาในระยะสายตาของตนตั้งแต่เมื่อไร


ใบเรือถูกกางและยกสูง กราบเรือเต็มไปด้วยปืนใหญ่รูปทรงน่าเกรงขามหลายกระบอก


แต่มันไม่เข้าใกล้ เรือปริศนาเพียงหันหัวแล่นไปยังทิศทางอื่น ถึงกระนั้นก็ยังทำให้บรรยากาศโดยรอบมัวหมองราวกับมีบางสิ่งบดบังดวงอาทิตย์ไว้


เดนิสเผยสีหน้าหวาดกลัวเจือความรังเกียจ พลางพึมพำชื่อเรือด้วยเสียงล่องลอย


“จักรพรรดิมืด…”


……………………


ราชันเร้นลับ 575 : ฝันทองคำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อได้เห็นเรือจักรพรรดิมืดเต็มสองตา ไคลน์พลันเกิดความระแวงและหวาดผวา เนื่องจากกำลังคิดในใจว่า หนึ่งในสี่ราชาโจรสลัด ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร นาสต์ มาที่นี่เพื่อตามหาตน


แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ไคลน์ตัดสมมติฐานดังกล่าวทิ้งทันที เหตุผลไม่ซับซ้อน เพราะมันแทบไม่เคยนำไพ่จักรพรรดิมืดลงมายังโลกความจริงเลย ส่วนใหญ่จะถูกใช้งานภายในโลกวิญญาณเสียมากกว่า เคยปรากฏตัวบนโลกความจริงแค่ไม่กี่หน และทุกครั้งก็เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ หลังจากพิธีกรรมอัญเชิญ ก่อนจะรีบเข้าไปในโลกวิญญาณทันที


เมื่อผนวกกับเรื่องที่ว่า มิติสายหมอกมีพลังแทรกแซงผลการทำนายพอสมควร อีกทั้ง ไพ่เย้ยเทพทุกใบของโรซายล์ จะมีระบบป้องกันการทำนายถึงและแกะรอยทุกรูปแบบ ฉะนั้น ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นนาสต์ แต่ก็ไม่มีทางระบุพิกัดของเราได้แม่นยำแน่นอน!


เมื่อเรือลำมหึมาแล่นไปทางเงาดำสุดขอบฟ้า ฉากเหตุการณ์บนดาดฟ้าของเรือลำดังกล่าวเริ่มชัดเจน ลูกเรือหลายคนกำลังขัดถูกทำความสะอาดพื้น หลายคนเมามาย และหลายคนยืนโอ้อวดที่กราบเรือ ไม่มีใครชักดาบถือปืน บ่งบอกชัดเจนว่าเจตนาไม่ใช่การปล้น


ใกล้กับห้องเครื่อง ไคลน์เห็นบัลลังก์ขนาดใหญ่ที่สร้างจากหิน ลวดลายกระดำกระด่างเผยกลิ่นอายความเก่าแก่ และสูงราวสามเมตร


บนเก้าอี้มีชายร่างยักษ์กำลังนั่งผ่อนคลาย


ทว่า ยังไม่ทันที่เดนิสจะได้เห็นว่านาสต์หน้าตาเป็นเช่นไร ร่างกายของมันพลันสั่นเทาหนักหน่วง เกิดความรู้สึกอยากคุกเข่าเสียเต็มประดา ศีรษะก้มต่ำอย่างมิอาจหักห้าม


ไคลน์เองก็สัมผัสถึงความน่าเกรงขามที่กำลังท่วมท้นห้วงมิติได้ไม่ต่างกัน


ชายหนุ่มไม่ขัดขืน ปล่อยศีรษะให้ก้มต่ำลงตามธรรมชาติ ด้วยเกรงว่า หากทำเป็นเก่งยืนจ้องโดยไม่เกรงกลัว อีกฝ่ายอาจเอะใจและหันหัวเรือกลับ นั่นจะเป็นนำพาความฉิบหายมาถึงตัว


ถ้าเก็บงำความลับไว้มาก ก้มหัวได้ก็ต้องก้ม!


ไคลน์ก้มหน้าพลางเกร็งคอ จ้องพรมในห้องราวกับมันงดงามเสียเต็มประดา


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ จนกระทั่งแสงอาทิตย์ส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างอีกครั้ง โลกอันมืดมิดเมื่อครู่เลือนหายไปโดยสมบูรณ์


ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น เรือใบสีดำลำใหญ่ไม่อยู่อีกแล้ว เหลือเพียงสายลมเอื่อยและคลื่นเรียบเงียบสงบ รวมถึงท้องฟ้าอันกว้างใหญ่และมหาสมุทรที่มีขอบเขตกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา


“ทำไมถึงมาโผล่ที่นี่ได้… สายข่าวเพิ่งจะรายงานเข้ามาว่า นาสต์ปรากฏตัวใกล้กับทะเลหมอกเมื่อไม่กี่วันก่อน” เดนิสขมวดคิ้ว


เรือจักรพรรดิมืดสามารถท่องโลกวิญญาณ การเดินทางจากทะเลหมอกมาถึงตรงนี้ภายในไม่กี่วัน คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก… และนี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไม นาสต์ถึงเป็นราชาโจรสลัดอันดับหนึ่งแห่งท้องทะเล…


ไคลน์พึมพำเงียบ


มันเชื่อว่า สาเหตุที่นาสต์ ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร ปรากฏตัวในละแวกนี้ เป็นเพราะอีกฝ่ายกำลังตามหาเบาะแสอันเลือนรางของไพ่จักรพรรดิมืด เพียงแต่ว่า นาสต์มิอาจระบุตำแหน่งได้ชัดเจน จึงแล่นเรือค้นหาแบบเดาสุ่ม


ไคลน์กลับมานั่ง ทำหน้าเย็นชาประหนึ่งไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น


ระยะทางจากบายัมไปดีลินุสไม่ไกลมาก ถ้าเดินทางเป็นเส้นตรงจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ทว่า เส้นทางเดินเรือที่ปลอดภัยนั้นวกวน ส่งผลให้กว่าจะถึงก็เป็นช่วงพลบค่ำ


จากนั้น ไคลน์แปลงโฉมและซื้อตั๋วโดยสารไปยังกีรากัสด้วยบัตรประชาชนปลอม ทุกสิ่งถูกจัดการเสร็จเรียบร้อยก่อนฟ้ามืด ทั้งสองจึงทันขึ้นเรือเที่ยวสุดท้ายในวันเดียวกัน และไปถึงกีรากัสในช่วงเช้ามืดของวันถัดไป


เดนิสไม่พาไคลน์เข้าเมือง เพียงเดินนำทางไปยังท่าเรือส่วนตัวแห่งหนึ่ง และขับเรือประมงลำเล็กออกจากท่า


ผ่านไปสองชั่วโมง ไคลน์มองเห็นเรือลำใหญ่ซึ่งมีความยาวหลายสิบเมตร ผิวเรือสะอาดและมันเงา เมื่อสะท้อนแสงแดดจะมอบความรู้สึกคล้ายทองคำ


ลักษณะภายนอกแตกต่างจากเรือประเภทเดียวกันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะปืนใหญ่กระบอกมหึมาที่พาดยาวตั้งแต่กลางลำเรือไปจนถึงหัวเรือ ผิวโลหะของปืนมีอักษรเวทมนตร์สลักอย่างซับซ้อน ขณะเดียวกันก็มีละอองแสงไหลเวียนตลอดเวลา


“นั่นคือปืนใหญ่ชำระล้าง! ยิงได้เพียงสิบนัด จากนั้นก็ต้องให้นักบวชอาวุโสหกคนช่วยกันประกอบพิธีกรรมถึงเทพบางองค์ เพื่อเติมพลังวิญญาณกลับเข้าไปใหม่” เดนิสยืดอกเล่า


ยันต์ขนาดใหญ่สินะ… แบบนี้ก็หมายความว่า พลังวิญญาณจะเสื่อมถอยตามกาลเวลา… หืม… โบสถ์สุริยันเจิดจรัสคือผู้อยู่เบื้องหลังพลเรือโทธารน้ำแข็ง? หรือว่าจะเป็นองค์กรลับใดสักแห่งที่มีนักบวชเส้นทางสุริยัน…


ไคลน์วิเคราะห์ในใจ ใบหน้ายังคงเย็นชา


ขณะได้เห็นฝันทองคำครั้งแรกในความฝันเดนิส ไคลน์ไม่คิดว่านั่นจะเป็นเรื่องจริง เพราะสิ่งที่เห็นในความฝัน อาจไม่ตรงกลับความเป็นจริงเสมอไป ขึ้นอยู่กับว่า ช่วงนั้นได้รับอิทธิพลจากสิ่งใดมากเป็นพิเศษ บางที เดนิสอาจชื่นชอบเรือรบหุ้มเกราะเป็นทุนเดิม


แต่เมื่อได้เห็นของจริง ปืนใหญ่สุดพิสดารของฝันทองคำ ตรงตามความฝันเดนิสทุกประการ


ชายหนุ่มค่อนข้างผิดคาด ไม่คิดว่าฝันทองคำจะถูกสร้างด้วยวิธีการซับซ้อนทั้งทางด้านกลไกและเวทมนตร์เช่นนี้ เชื่อได้เลยว่า องค์กรลับเบื้องหลังจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน


เพียงไม่นาน ฝันทองคำปล่อยเรือเล็กออกมาหนึ่งลำ เดนิสรีบขับเรือประมงแล่นเข้าไปใกล้


จากนั้น เดนิสกางแขนกว้าง กำหมัดแน่น และกระโดดลงไปบนเรือเล็กอย่างชำนาญโดยไม่สูญเสียการทรงตัว


มันผิวปากอย่างมีความสุข ใช้มือตบบ่าคนขับเรือเล็กพลางเกิดความรู้สึกที่ว่า ชีวิตอันน่าปลาบปลื้มบนท้องทะเลได้หวนคืนมาอีกครั้ง!


อย่างไรก็ตาม ห้วงอารมณ์ดังกล่าวคงอยู่ได้ไม่นานนัก เรือเล็กทรุดตัวลงเล็กน้อย ตีความได้ว่า มีอีกหนึ่งคนกระโจนตามขึ้นมาบนเรือ


จริงสิ… เราลืมคนบ้าเสียสนิท…


เดนิสหุบยิ้มและนั่งลง


ไคลน์กวาดตามองโจรสลัดรอบตัว จึงค่อยกดหมวกลงและทิ้งตัวนั่งโดยไม่กล่าวสิ่งใด


เพียงไม่นาน ทุกคนก็มาถึงดาดฟ้าเรือฝันทองคำ ณ ที่นั่น ไคลน์เห็นเอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ดกำลังยืนตรงมุมหนึ่งของกราบเรือ


พลเรือโจรสลัดสาวสวยแทบไม่มีจุดใดเปลี่ยนไปจากความฝัน การแต่งหน้าทำผมยังเหมือนเดิมทุกประการ เปลี่ยนเพียงกระโปรงเป็นกางเกงขายาวรัดรูปสีดำ รองเท้าบูตหนัง


ด้วยใบหน้าอันงดงามแฝงความทรงปัญญา บรรยากาศรอบตัวเธอเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน


รอบนี้ดูเหมือนโจรสลัดมากกว่าคุณครู…


ไคลน์ยิ้ม ทักทายอย่างสุภาพ


“อรุณสวัสดิ์ มาดามกัปตัน”


“อรุณสวัสดิ์ มิสเตอร์เกอร์มัน” เอ็ดวิน่าทักทายกลับด้วยรอยยิ้ม


จากนั้น หญิงสาวหมุนตัวกลับหลัง และเดินไปทางอวนดักปลาที่ถูกตากจนแห้ง พลางส่งสัญญาณบอกให้โจรสลัดคนอื่นรีบไปสะสางงานตัวเองให้เสร็จ


อวนดักปลา… ยังเป็นกลุ่มโจรสลัดอยู่อีกหรือ ถ้าไม่บอกนึกว่าเป็นนักล่าสมบัติ… เพื่อแก้ปัญหาความจำเจของอาหาร?


ไคลน์เดินตามเอ็ดวิน่าโดยไม่ซักถามมากเรื่อง ส่วนเดนิสเริ่มมองหาพรรคพวกที่สนิทกัน และเดินเข้าไปเตรียมดื่มพลางโอ้อวด


แน่นอน มันยังไม่วางใจ คอยแอบชำเลืองอย่างสม่ำเสมอ ด้วยเกรงว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์และกัปตันของตนอาจสาวหมัดใส่หน้ากันและกันได้ทุกเมื่อ หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว มันจะได้ตามเพื่อนไปช่วยกันรุมกระทืบ


ไคลน์ไม่ถามว่าทำไมเอ็ดวิน่าถึงชักชวนตน เพียงยืนใคร่ครวญสักพักและถามออกไป


“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเทรซี่บ้าง”


มันชิงเป็นฝ่ายถามก่อน เพราะหากปล่อยให้อีกฝ่ายขอร้องก่อน ถ้าตนตอบปฏิเสธ ถึงตอนนั้นก็คงเกรงใจที่จะซักถามข้อมูลจากอีกฝ่าย


“เทรซี่?” เอ็ดวิน่าขยับดวงตาเล็กน้อย “แม่มด… ลำดับ 5 แม่มดทุกข์ระทม”


เชี่ย… แม่มด!


ไคลน์เกือบหลุดอุทาน มันประหลาดใจอย่างมากที่ตนมีชะตาต้องพัวพันกับแม่มดมากมาย ไล่ตั้งแต่แม่มดทริสซี่ แม่มดสุขสม มาดามเชอรอน แม่มดสุขสม ทริสซี่·ชีคที่เติบโตขึ้น แม่มดลำดับสูงสักคนที่ได้ยินแต่เสียงในนิมิต


และรายสุดท้าย แม่มดทุกข์ระทม เทรซี่


เอ็ดวิน่ามิอาจสัมผัสถึงความสั่นคลอนภายในจิตใจไคลน์ จึงเล่าต่อด้วยเสียงเรียบเฉย


“เธอแตกต่างจากแม่มดคนอื่น มีคติพจน์และการวางตัวผิดไปจากธรรมเนียม ถือเป็นตัวประหลาดของนิกายโดยแท้จริง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทำงานให้องค์กรโดยไม่บกพร่อง เป็นงานจำพวกการค้ามนุษย์และพฤติกรรมชั่วร้าย”


แตกต่างจากแม่มดคนอื่น? หรือเจ้านั่นจะยังไม่ละทิ้งความเป็นชาย และเลือกสร้างความสุขสมแต่กับเพศหญิง…


ไคลน์วิเคราะห์ถึงกรณีของเอลเลนผมแดง


อย่างไรก็ตาม มันยังไม่กล้าฟันธง เนื่องจากเส้นทางแม่มดไม่จำว่าเป็นต้องถูกเปลี่ยนจากชายเป็นหญิงเท่านั้น เพราะหญิงแท้จำนวนไม่น้อยก็ชื่นชอบการเป็นนักลอบสังหาร


ไคลน์เล่าเรื่องราวต่อ เป็นการหยั่งเชิงอีกฝ่าย


“พวกเราพบนาสต์และจักรพรรดิมืดของเขาระหว่างทางมายังที่นี่ ในช่วงหนึ่งเดือนหลัง ทั้งคุณ เซนอล เทรซี่ และนาสต์ ต่างเข้ามาพัวพันกับทะเลแถบนี้ในเวลาไล่เลี่ยกัน ในสายตาผม เรื่องนี้ไม่ปรกติสักเท่าไรนัก”


จากบรรดาสี่ราชาโจรสลัดและเจ็ดพลเรือโจรสลัด มีมากถึงสี่คนที่เข้ามาพัวพันกับน่านน้ำรอบหมู่เกาะรอสต์ นี่ยังไม่ได้นับรวมสมาชิกใหม่ของชุมนุมทาโรต์ พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา


หากมองในมุมความน่าจะเป็น เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นได้ยากมาก


แน่นอน ไคลน์มีคำตอบในใจแล้ว เพียงแต่ต้องการทราบความเห็นของหญิงสาวทรงปัญญาและมากไปด้วยข้อมูล


เอ็ดวิน่าเงียบงันสักพัก ก่อนจะเดินไปหยิบอวนตาเล็กตรงมุมกราบเรือขึ้นมาขึงให้ตึง จากนั้น เธอล้วงเข้าไปในเสื้อและช่องลับเข็มขัด พลางหยิบปากกาหมึกซึม กริชทองแดง ขวดโลหะ และสิ่งของติดตัวอีกจำนวนหนึ่ง ออกมาวางลงบนอวนตาเล็กที่ถูกดึงจนตึงแน่น โดยปลายอีกฝั่งกำลังยึดติดกับกราบเรือ


จนกระทั่ง สิ่งของและอวนอยู่ในสภาพคงที่เป็นเวลานาน ไม่มีอะไรขยับเขยื้อน


ถัดมา เอ็ดวินาโน้มตัวลงไปหยิบก้อนหินที่ใช้ถ่วงอวนเป็นประจำ และโยนมันลงไปยังกึ่งกลางอวนตาเล็กที่ถูกขึงจนตึง


อวนยุบตัวลงทันที พร้อมกับทำให้ปากกาหมึกซึม กริชทองแดง รวมถึงสิ่งของชนิดอื่นไหลไปรวมรอบก้อนหิน


“คำตอบของดิฉันก็คงประมาณนี้ ท่ามกลางตาข่ายแห่งโชคชะตา บุคคลลึกลับได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับดึงดูดผู้คนมากมายเข้าไปใกล้” เอ็ดวิน่าอธิบายด้วยการสาธิต


นี่คงเป็นหลักการทำงานของกฎการดึงดูดพลังพิเศษในเส้นทางใกล้เคียง…ไคลน์พยักหน้า


คำอธิบายของเอ็ดวิน่าทำให้ชายหนุ่มเกิดความคลางแคลงเล็กน้อย จริงอยู่ มันและเธออาจคิดเหมือนกัน แต่หลักการดังกล่าวกลับไม่ช่วยให้ทุกข้อสงสัยได้รับคำตอบ


ในกรณีของนาสต์ เราดึงดูดเข้าหาด้วยไพ่จักรพรรดิมืด เรื่องนี้พอเข้าใจได้ ส่วนในกรณีของเทรซี่ ลองคิดเข้าข้างตัวเองให้มากที่สุด เรื่องนี้อาจเกิดขึ้นเพราะเราเกี่ยวข้องกับทริสซี่·ชีค… ทว่า ทั้งเซนอลและเอ็ดวิน่าไม่เข้าข่ายข้างต้น… หรือจะเป็นความบังเอิญโดยแท้จริง? หรือจะเป็นผลสืบเนื่องจากสองเหตุการณ์แรก?


ไคลน์เว้นวรรคพลางวิเคราะห์ปัญหา


จากนั้น มันตัดสินใจถามเข้าเรื่อง


“มาดามกัปตัน คุณต้องการให้ผมช่วยอะไร”


เอ็ดวิน่าจ้องไคลน์ด้วยสายตาลุ่มลึก


“บัตรประชาชนระบุว่าคุณมาจากเบ็คลันด์ แต่จากข้อมูลของดิฉัน ตัวตนดังกล่าวไม่ตรงกับความเป็นจริงสักเท่าไร เพราะเบ็คลันด์ไม่มีนักล่าค่าหัวมือฉมังนามเกอร์มัน·สแปร์โรว์”


องค์กรลับของเธอแข็งแกร่งมาก แถมยังมีเครือข่ายในเบ็คลันด์พอสมควร ทราบทันทีว่าตัวตนเกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นของปลอม…


ไคลน์ไม่สั่นคลอน เพียงยิ้มอย่างสุขุม


“ทุกคนล้วนมีความลับ”


เอ็ดวิน่าเปลี่ยนหัวข้อสนทนา


“…ก่อนคาเวทูว่าจะตาย คุณประกอบพิธีกรรมสังเวยบางสิ่งถึงมัน”


ไคลน์หมุนคอเล็กน้อย หางตาชำเลืองเดนิสที่กำลังดื่มเบียร์


พรวด! แค่ก! แค่ก!


เดนิสพลันสะดุ้ง ความหวาดผวาทำให้มันสำลักเบียร์กะทันหัน


ไคลน์เบือนหน้ากลับ ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธคำพูดของอีกฝ่าย


เอ็ดวิน่ากล่าวต่อไปด้วยท่าทีเยือกเย็น


“หลังจากคาเวทูว่าตาย เทพสมุทรยังคงตอบสนองคำวิงวอนของสาวกตามปรกติ”


……………………


ราชันเร้นลับ 576 : ห้องคอลเลกชั่นของพลเรือโทธารน้ำแข็ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

เธอกำลังสงสัยเรา?


ไคลน์จ้องตาเอ็ดวิน่าโดยไม่เบือนหนี


หลังจากได้ยินว่าเดนิสเปิดเผยเรื่องที่ตนสังเวยบางสิ่งให้คาเวทูว่าก่อนตาย ไคลน์เตรียมพร้อมรับมือแรงกระแทกทางจิตใจทุกรูปแบบ หากตอนนี้กำลังนั่งบนโซฟา มันคงยกเท้าขวาขึ้นมาไขว่ห้าง เอนหลังพิงเบาะ สองมือประสานด้านหน้า และมอบคำตอบด้วยเสียงทุ้มลึก


ชายหนุ่มเผยรอยยิ้ม ยกแขนซ้าย และกล่าวอย่างเป็นกันเอง


“ถุงมือข้างนี้มีชื่อว่า… ยุบพองหิวโหย”


ไคลน์เชื่อว่า เดนิสที่เคยเห็นตนต่อสู้หลายครั้ง คงอธิบายรายละเอียดถุงมือให้พลเรือโทธารน้ำแข็งทราบอย่างต่อเนื่อง และด้วยความที่เธอรู้จักกับพลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์ การจะเดาให้ถูกว่าเป็นยุบพองหิวโหยก็คงไม่ใช่เรื่องยาก ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ไคลน์มองว่าการชิงเปิดเผยความลับก่อน ดีกว่าการถูกอีกฝ่ายเปิดโปง


ชายหนุ่มจงใจกล่าวถึงยุบพองหิวโหยเพราะหวังผลสองประการ หนึ่ง บอกเป็นนัยว่า ตนมีองค์กรลับอยู่เบื้องหลัง เป็นองค์กรที่สามารถจัดการกับพลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์ อย่างง่ายดาย ขณะเดียวกันก็คอยชักใยอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์คาเวทูว่าร่วงหล่น และมีตัวตนระดับที่สามารถมอบวิวรณ์แก่สาวกเทพสมุทรได้ สอง ตักเตือนเอ็ดวิน่า ว่าอย่าริอ่านสืบสวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่าพยายามขุดคุ้ยอดีต มิฉะนั้น จุดจบจะไม่ต่างกับเจ้าของถุงมือคนก่อน พลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์


ไคลน์ยังคงรักษาภาพลักษณ์เกอร์มัน·สแปร์โรว์ที่มันสร้างมานาน ไม่ข่มขู่คุกคามอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ยอมถูกกระทำฝ่ายเดียว เป็นท่าทีตอบสนองที่เรียบง่ายแต่ได้ผล อีกทั้งยังแฝงความบ้าบิ่นอันเป็นเอกลักษณ์


เอ็ดวิน่าผงกศีรษะ เปลี่ยนหัวข้อสนทนา


“ฉันมีแผนจะให้ความช่วยเหลือกลุ่มต่อต้านบนหมู่เกาะรอสต์ โดยมุ่งเน้นด้านอาหารและเครื่องนุ่งห่ม”


ช่วยเหลือ…? องค์กรลับเบื้องหลังเธอเป็นศัตรูกับอาณาจักรโลเอ็น? หรือเป็นอริกับโบสถ์วายุสลาตัน?


ไคลน์ยิ้ม ตอบกลับอย่างสุภาพ


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผม”


อย่าหลอกถามให้ยาก… มันเสริมในใจ


เอ็ดวิน่ามองไปด้านข้าง ชี้ปลายนิ้วไปทาง ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิส ผู้กำลังดื่มเบียร์พลางแอบชำเลืองการสนทนาเป็นระยะ


“ฉันจะให้เขาเป็นตัวแทนคอยประสานงานกับกลุ่มกบฏ หน้าที่หลักคือการนัดแนะเวลาและสถานที่ รวมถึงการจัดหาท่าเรือส่วนตัว… หวังว่าทางคุณจะช่วยมอบความคุ้มครองให้เขาได้”


พรวด… น้ำตกสีทองพวยพุ่งจากปากเดนิส


ฮ่าฮ่า! พรวด! โครม! โครม!


โจรสลัดสองคนด้านข้างหัวเราะอย่างสะใจจนหงายหลังล้มตึง ปากพ่นเบียร์ที่เพิ่งดื่ม ศีรษะฟาดพื้นดาดฟ้าเรือจนเกิดเสียงโครม


คนหนึ่งผิวเข้ม มันวาวเหมือนกับโลหะ อีกคนค่อนข้างอวบ อาจมิได้อ้วนไปทั้งตัว แต่บริเวณเอวปราศจากส่วนเว้า


เอ็ดวิน่าเบือนสายตากลับ จ้องไคลน์ และอธิบายเสริมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


“ในฐานะนักผจญภัย คุณคงไม่ปฏิเสธงานที่มีค่าตอบแทนน่าสนใจหรอกใช่ไหม”


เป็นข้ออ้างที่ดี… ไคลน์ยิ้มรับ


“แน่นอน”


ชายหนุ่มมิได้ตั้งคำถามว่าอีกฝ่ายจะจ้างเท่าไร และดูเหมือนเอ็ดวิน่าก็ลืมแจ้งราคาเช่นกัน


โจรสลัดสาวสวยทรงปัญญาเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาอีกครั้ง


“เซนอลส่งข้อความมาว่า เขาต้องการซื้อกุญแจยักษ์ที่ฉันค้นพบ ในราคาห้าพันปอนด์”


ชื่อของมันคือ ‘กุญแจแห่งมรณา’ มีลักษณะเป็นกุญแจสีดำสนิท ขนาดใหญ่ เกือบทำให้เดนิสต้องสิ้นชีวิตในบายัม ไคลน์สันนิษฐานว่า ไม่เพียงกุญแจดอกดังกล่าวจะเป็นสมบัติของยุคสมัยที่สอง แต่ยังอาจเกี่ยวพันกับวังราชาคนยักษ์


เธอกำลังพูดเพื่อหยั่งเชิงเรา เผื่อว่าทางนี้จะเสนอราคาแข่งกับเซนอล…


ไคลน์ครุ่นคิด ภายในใจพึมพำ :


ห้าพันปอนด์… ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากุญแจดอกดังกล่าวจะเกี่ยวกับวังราชาคนยักษ์จริงไหม ถ้าผลออกมาว่าไม่ใช่ เรานำมาคืนได้รึเปล่า?


อีกทั้ง ตอนนี้ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ การนำขึ้นไปทำนายบนห้วงมิติเหนือสายหมอก ก็คงไม่ได้รับคำตอบใดกลับมา…


…หากวิเคราะห์จากเหตุและผล ถ้ากุญแจดอกดังกล่าวไม่เกี่ยวกับวังราชาคนยักษ์ แต่เป็นสมบัติชิ้นอื่น นั่นคงไม่เกิดประโยชน์อันใดกับเรา ไม่สิ ยังมีประโยชน์อยู่หนึ่งข้อ คือการได้ขัดแข้งขัดขาพลเรือเอกโลหิต ออกแนวสุนัขหวงก้าง… ในทางกลับกัน ถ้ากุญแจเกี่ยวข้องกับวังราชาคนยักษ์จริง เซนอลก็จะไม่มีวันใช้ประโยชน์จากกุญแจได้เลย เพราะวังราชาคนยักษ์อยู่ในดินแดนเทพทอดทิ้ง… ในเมื่อเรามีแผนล่ามันอยู่แล้ว หากเซนอลซื้อไป และเราฆ่ามันได้ในภายหลัง ก็จะหมายความว่า เราได้กุญแจดอกนี้ฟรีโดยที่มันช่วยเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี…


อาจฟังดูเพ้อฝัน แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้


ไคลน์ก้มหน้าประมวลผล


“มันอาจเกี่ยวข้องกับความลับที่สำคัญมาก”


ชายหนุ่มพูดเพื่อบอกเป็นนัยว่า อย่าได้ขายให้พลเรือเอกโลหิตเด็ดขาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับความสงบสุขของโลก หากเซนอลซื้อกุญแจไปและได้กอบโกยผลประโยชน์ จนสามารถยกระดับตัวเองกลายเป็นครึ่งเทพ หายนะอีกหลายเรื่องคงได้ตามมาเป็นพรวน


เอ็ดวิน่ายืนไตร่ตรองหลายวินาที แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่พูดประเด็นเก่า เพียงหมุนครึ่งตัวและชี้ไปทางห้องโดยสาร


“ดิฉันเตรียมอาหารเช้าให้คุณแล้ว”


“ขอบคุณมาก” ไคลน์ถอดหมวก โค้งศีรษะ


ระหว่างทาง ชายหนุ่มนึกทบทวนบทสนทนาเมื่อครู่ไปพลาง เพื่อสืบหาว่า เอ็ดวิน่าชักชวนตนขึ้นมาบนเรือทำไม


เธอทราบว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นตัวตนปลอม เธอสงสัยว่าถุงมือของเราน่าจะเป็นยุบพองหิวโหย เธอทราบว่าเราสังเวยบางสิ่งให้คาเวทูว่าก่อนมันจะตาย เธอทราบว่าสาวกเทพสมุทรยังคงได้รับวิวรณ์หลังจากนั้น เมื่อนำปัจจัยทั้งหมดมารวมกัน เธอคงเดาได้ไม่ยาก ว่ามีองค์กรใหญ่สักแห่งคอยหนุนหลังเราอยู่…


องค์กรลับเบื้องหลังเอ็ดวิน่าอาจกำลังสนใจในตัวเรา หรืออาจเป็นความระแวง จึงส่งเธอมาลองสัมภาษณ์เพื่อหยั่งเชิง?


อย่างไรก็ตาม ท่าทีของพวกเขายังเป็นมิตร ดูได้จากการยอมสนับสนุนกลุ่มต่อต้านบนหมู่เกาะรอสต์ ประหนึ่งต้องการร่วมมือกับองค์กรลับที่อยู่เบื้องหลังเรา… ความไม่รู้คือบ่อเกิดของความหวาดกลัวเสมอ… จนกว่าสถานการณ์จะชัดเจน มีโอกาสน้อยมากที่พลเรือโทธารน้ำแข็งจะลงมือกับเราอย่างบุ่มบ่าม…


ฮะฮะ… แต่ใครจะไปคิดว่า องค์กรลับที่ทุกคนเกรงกลัว แท้จริงแล้วเพิ่งก่อตั้งได้ประมาณครึ่งปี และมีสมาชิกยังไม่ถึงสิบคน ต่อให้รวมเดอะเวิร์ลกับมิสซิล ผู้ที่มีพันธะดวงดาวแต่ไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมเข้าไปแล้วก็ตาม…


หากคนเหล่านั้นรู้เข้า คงได้สติแตกจนคลุ้มคลั่งคาที่เป็นแน่แท้…


ขณะสมองกำลังโลดแล่น ไคลน์เดินเข้าไปในห้องโดยสาร ผ่านทางเดินมืดสลัว สองฝั่งมีประตูไม้บานแล้วบานเล่า


ชายหนุ่มเดินตามเอ็ดวิน่าขึ้นไปยังชั้นสองที่มีบรรยากาศสว่างเดิมพอสมควร


แต่ก่อนจะถึงห้องอาหารโจรสลัด ไคลน์เห็นห้องห้องหนึ่งมีประตูเปิดค้างไว้ครึ่งบาน


ชายหนุ่มมองเข้าไปตามปรกติ และพบกับกุญแจสีดำขนาดใหญ่ถูกวางอยู่บนโต๊ะไม้อย่างเรียบง่าย


“ที่นี่คือหลักฐานยืนยันความสำเร็จในการล่าสมบัติพวกเรา ส่วนใหญ่เก็บไว้เพื่อระลึกความทรงจำ แต่ก็มีบางส่วนถูกเก็บไว้เพื่อศึกษาวิจัยเพิ่มเติม เนื่องจากยังไม่ทราบคุณค่าที่แท้จริง”


แม้สีหน้าของเอ็ดวิน่าจะค่อนไปทางเย็นชา แต่เธอตั้งใจอธิบายอย่างถี่ถ้วน คล้ายกับกังวลว่าผู้ฟังจะเข้าใจไม่กระจ่าง


ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเธอพูดคำว่า ‘วิจัย’ ออกมา ดวงตาของหญิงสาวราวกับกำลังส่องประกาย


ห้องเก็บหลักฐานการล่าสมบัติ?


ไคลน์มองเข้าไปข้างใน


เอ็ดวิน่าผลักประตูจนเปิดกว้าง จากนั้นก็ไล่เดินอธิบาย


“นี่คือเหรียญทองจากจักรวรรดิโซโลมอนแห่งยุคสมัยที่สี่”


ไคลน์มองตาม และพบเหรียญทองถูกเก็บรักษาไว้ในกรอบอย่างดี


ผิวโลหะมีสีทองเข้ม ลักษณะคล้ายกับถูกประกอบจากแผ่นครึ่งวงกลมสองชิ้นที่มีขนาดไม่เท่ากัน หน้าเหรียญสลักภาพมงกุฎยอดแหลม แบบเดียวกับที่นาสต์ ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร สวมใส่ทุกประการ


เอ็ดวิน่าอธิบายทุกสิ่งภายในห้องอย่างละเอียดและตั้งใจ ราวกับเธอเป็นเจ้าของคอลเลกชั่นที่ชื่นชอบการอวดโอ่ ทำเอาไคลน์นึกถึงคนรู้จักคนหนึ่ง มิสเตอร์เนตรแห่งปัญญาเฒ่า นักสืบเอกชนคนดัง ไอเซนการ์ด·สแตนธอน


มีนิสัยชอบอวดสมบัติเหมือนกัน… พวกคนบ้าสะสมเป็นแบบนี้กันหมดเลยหรือ… ไม่สิ มิสเตอร์ไอเซนการ์ดเคยเล่าว่า เขาย้ายไปเรียนที่ลุนเบิร์กนานถึงสี่ปี ขณะเดียวกัน พลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ด ก็ถูกระบุว่ามีพื้นเพมาจากอาณาจักรลุนเบิร์กเช่นกัน… ถ้าจำไม่ผิด ศาสนาหลักของลุนเบิร์กคือโบสถ์ปัญญาความรู้ ไอเซนการ์ดเป็นคนเล่าว่า เขาตัดสินใจเปลี่ยนศาสนาหลังจากได้ศึกษาที่ลุนเบิร์ก…


โบสถ์ปัญญาความรู้คือองค์กรลับเบื้องหลังพลเรือโทธารน้ำแข็ง…?


ไคลน์ยืนใช้ความคิดพลางแสร้งฟังคำอธิบายของอีกฝ่าย จนกระทั่ง เอ็ดวิน่าเดินมาหยุดหน้ากุญแจสีดำดอกยักษ์


ขนาดเท่ากับในความฝันเมื่อคราวก่อน ประมาณพิณใหญ่หนึ่งหลัง ผิวดำด้าน ลวดลายเก่าแก่โบราณ…


การตกแต่งคล้ายคลึงเอกลักษณ์เด่นของเมืองเงินพิสุทธิ์ อาจมีความเกี่ยวข้องกับวังราชาคนยักษ์จริง…


ไคลน์พยักหน้ารับ แต่ขณะกำลังจะหันไปสำรวจสมบัติชิ้นอื่น เอ็ดวิน่ากล่าวขึ้น


“คุณอยากลองศึกษาดูไหม”


ให้เราศึกษา? เธอคงไม่รู้สินะว่าฉันเคยซุกซนจนสร้างความฉิบหายมาแล้วกี่ครั้ง… บางที วันพรุ่งนี้อาจไม่มีฝันทองคำอีกต่อไป…


ไคลน์รำพันติดตลก มือขวาเอื้อมจับกุญแจสีดำซึ่งน่าจะเป็นของคนยักษ์อย่างระมัดระวัง


ชายหนุ่มสัมผัสได้เพียงความเย็นชืด ไม่ว่าจะถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปมากเพียงใด ก็ไม่สัมฤทธิผลแม้แต่หนเดียว


น่าเสียดายที่เรานำขึ้นไปศึกษาบนห้วงมิติเหนือสายหมอกไม่ได้…


ไคลน์ชักมือกลับพร้อมกับส่ายหน้าเล็กน้อย


ชายหนุ่มกลอกตา และพบหนังสือปกหนังสัตว์เล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะไม้ตัวเดียวกัน หน้าปกสีน้ำตาลเข้มมีอักษรฟุซัคโบราณเขียนไว้ว่า


“การเดินทางของกรอซาย”


“ถูกค้นพบในซากเรืออับปาง แม้จะจมก้นทะเลนานหนึ่งร้อยหกสิบห้าปี แต่กลับไม่มีร่องรอยชำรุดทรุดโทรมให้เห็น” เอ็ดวิน่าเริ่มเล่า “เนื้อหาด้านในเป็นบันทึกเรื่องราวของคนยักษ์นามกรอซาย จุดหมายการเดินทางอาณาจักรน้ำแข็ง เพื่อกำจัดราชาแดนเหนือ—มังกรน้ำแข็งทรงพลังตนหนึ่ง ระหว่างทางได้พบพวกพ้องมากมาย มีทั้งเอลฟ์เพศหญิง นักบวชผู้มีศรัทธาแรงกล้า ขุนนางจากจักรวรรดิโซโลมอน ทหารของโลเอ็น เรื่องราวดำเนินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพวกเขาเผชิญหน้ากับราชาแดนเหนือ แต่กลับจบลงเพียงแค่นั้น…


“ไม่สิ ระบุให้ชัดก็คือ ฉันไม่สามารถเปิดอ่านหน้าถัดไปได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม คุณลองดูสักหน่อยไหม”


ไม่ใช่บันทึกการเดินทาง แต่เป็นนิยาย?


เป็นนิยายที่แปลกมาก สร้างตัวละครจากยุคสมัยที่แตกต่างกัน คงเป็นนิยายสมัยใหม่…


ไคลน์เดินเข้าไปใกล้และพลิกหน้าอ่าน เปิดผ่านกระดาษสีน้ำตาลแผ่นแล้วแผ่นเล่า


เนื้อหาไม่แตกต่างจากคำบอกเล่าของเอ็ดวิน่า เพียงแต่ ชายหนุ่มสัมผัสถึงความไม่สมเหตุสมผลชนิดชวนให้หงุดหงิด จนอดคิดไม่ได้ว่า ตนอ่านข้ามไปตรงไหนหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ตัวเอกของเรื่องจะเกิดความสนิทสนมทันทีที่ได้พบหน้ากันและกัน โดยที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนยังเป็นคนแปลกหน้าต่อกันอยู่เลย


จนกระทั่ง ไคลน์เปิดไปถึงหน้าสุดท้าย และเห็นแผ่นกระดาษที่ติดกันจนไม่สามารถแกะออก


มิติสายหมอกอาจแก้ไขเรื่องนี้ได้… แต่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรตามมา…


ไคลน์ชำเลืองพลเรือโทธารน้ำแข็งด้านข้าง


เอ็ดวิน่ากระซิบ


“หากคุณต้องการ ดิฉันก็ยินดีขายให้ เพราะอ่านอย่างทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว มิอาจตักตวงผลประโยชน์ใดจากหนังสือได้อีก แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขหนึ่งข้อ”


“เงื่อนไข?” ไคลน์ถาม


เอ็ดวิน่ายังคงกระซิบ


“เงื่อนไขก็คือ หากคุณซื้อไปและวิจัยจนพบความพิเศษของหนังสือ คุณต้องเล่ามันให้ฉันฟัง จะได้หายคาใจเสียที ถ้าคุณรับปาก ขอสัญญาว่าจะขายให้ในราคาที่ถูกมาก”


เมื่อได้ยินคำว่า ‘ถูกมาก’ ไคลน์เริ่มสนใจ


“เท่าไร”


“แปดพันปอนด์” เอ็ดวิน่าตอบเสียงขรึม


“หืม…” ไคลน์แสร้งทำหน้านึก ตามด้วยการผงกศีรษะรับ “ขอคิดดูก่อน”


คิดดูก่อนว่าจะทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นยังไงดี…


……………………


ราชันเร้นลับ 577 : หนังสืออายุกว่าสามพันปี

โดย

Ink Stone_Fantasy

พลเรือโทธารน้ำแข็ง·เอ็ดวิน่า มิได้คิดมากนักหลังจากได้ยินเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตอบว่า ‘ขอคิดดูก่อน’ เพียงพยักหน้ารับอย่างใจเย็น


“ไม่มีปัญหา”


เธอคงคิดว่าเราไม่สามารถตัดสินใจเรื่องใหญ่แบบนี้ได้เอง ต้องกลับไปถามองค์กรเบื้องหลังก่อน… ผิดแล้ว… ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนตัดสินใจ แต่อยู่ที่เงินต่างหาก!


ไคลน์รำพัน พลิกมือปิดหนังสือ ‘การเดินทางของกรอซาย’ และหันไปถามเสียงค่อย


“ผู้แต่งเป็นใคร? เจ้าของคนก่อนมีจุดจบอย่างไร?”


เอ็ดวิน่าเดินผ่านไคลน์พร้อมกับใช้ปลายนิ้วลูบไล้อักษรบนปกหนังสืออย่างนุ่มนวล


“เกี่ยวกับเจ้าของคนก่อน เป็นเพราะข้อมูลของอดีตยังคลุมเครือ ทางเราจึงมิอาจระบุตัวเจ้าของคนก่อนจากเบาะแสภายในซากเรืออับปางได้ เช่นเดียวกันกับผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ เนื่องจากไม่มีการลงนามไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เราจึงไม่ทราบว่าใครเป็นคนแต่ง แต่ทางเราใช้เทคนิคพิเศษตรวจสอบจนสามารถยืนยันได้ว่า เนื้อกระดาษมีอายุไม่ต่ำกว่าสามพันปี เป็นเหตุผลว่าทำไม ราคาแปดพันปอนด์จึงนับว่าถูกมากในสายตาของฉัน”


หนังสืออายุกว่าสามพันปี… หากไม่นับคนยักษ์และเอลฟ์ ในนั้นมีการเขียนถึงนักบวชเคร่งศาสนา ขุนนางจักรวรรดิโซโลมอน และทหารของโลเอ็น… เรื่องพวกนี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน…


เป็นหนังสือทำนายอนาคต? หรือใครบางคนจงใจแต่งนิยายสมัยใหม่ลงบนกระดาษเก่า?


แต่จะทำไปเพื่ออะไร…


ไคลน์กล่าวพลางยิ้ม


“ในเมื่อคนยักษ์ที่เป็นตัวเอกชื่อกรอซาย… คนแต่งอาจเป็นจักรพรรดิโรซายล์ก็ได้”


“ไม่น่าใช่ เหตุผลที่ชื่อคล้ายคลึงกันเพราะคำว่า ‘โรซายล์’ มีรากศัพท์มาจากภาษาคนยักษ์ ภาษาดังกล่าวเกิดวิวัฒนาการสองครั้ง กลายเป็นฟุซัคโบราณ จนกระทั่งเป็นอินทิสในปัจจุบัน และความหมายเพี้ยนไปจากเดิมพอสมควร”


เอ็ดวิน่าอธิบายรากของภาษาให้ฟังอย่างละเอียด จนไคลน์รู้สึกราวกับตนย้อนวัยกลับไปยังสมัยเรียนอีกครั้ง


ชายหนุ่มพยักหน้ารับ กล่าวเสียงแผ่ว


“หากนี่มิใช่นิยายสมัยใหม่ แต่เป็นสมุดบันทึกเหตุการณ์จริงในอดีต ผมสงสัยว่า มังกรเจ้าของฉายา ‘ราชาแดนเหนือ’ จะมีชื่อจริงว่าอย่างไร และอยู่บนเส้นทางไหน”


เอ็ดวิน่าเงยศีรษะ ดวงตาเพ่งไคลน์


“ก่อนที่ศิลาเย้ยเทพแผ่นแรกจะปรากฏขึ้น โลกของเรายังไม่มีระบบเส้นทางและลำดับ สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ในช่วงนั้นจึงมิได้เดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง กล่าวกันว่า เป็นยุคสมัยอันเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและวุ่นวาย บางที คนยักษ์และมังกรอาจพยายามรวบรวมตะกอนพลังที่เกี่ยวข้องกับน้ำแข็งไว้เป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น ออร่าเยือกแข็งของซอมบี้ หอกน้ำแข็งของแม่มด เวทมนตร์น้ำแข็งของจอมอาคมสภาพอากาศ ส่งผลให้พลังธาตุน้ำแข็งรุนแรง และมีระดับพลังวิญญาณอยู่ในระดับเทียบเท่าครึ่งเทพ… แน่นอนว่า การกินตะกอนพลังส่งเดชเช่นนี้จะนำไปสู่ภาวะเสียสติและคลุ้มคลั่ง หรือก็คือ หากพวกมันไม่ตายคาที่ ก็จะกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด แต่ในเมื่อมังกรเป็นสัตว์ประหลาดอยู่แล้ว ตรงนี้จึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผลข้างเคียงจึงมีเพียงการเสียสติ”


หากเรื่องราวทำนองนี้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในหมู่มังกร คนยักษ์ และเอลฟ์ ก็ไม่ต้องแปลกใจแล้วว่า เหตุใดยุคสมัยที่สองจึงถูกเรียกว่ายุคมืด…


ไคลน์ครุ่นคิด เปล่งเสียงพึมพำกึ่งตั้งคำถาม


“หมายความว่า ตะกอนพลังส่วนใหญ่ถูกใช้ไปอย่างเสียของสินะ”


เอ็ดวิน่าจ้องตาชายหนุ่มสักพัก


“จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวเอาไว้ สิ่งใดเคยที่แยกจาก สักวันกลับมารวมตัว สิ่งใดที่รวมตัว สักวันจะต้องแยกจาก”


จักรพรรดิเคยพูดแบบนี้ด้วยหรือ… เราพอจะเข้าใจประโยคแรก เพราะนั่นคือกฎความถาวรของพลังพิเศษ แต่ประโยคหลังหมายถึงอะไร…


หากตะกอนพลังรวมตัวกันมากเข้า จะเกิดการแยกตัวออกมาเอง? หรือจะเกี่ยวกับระบบเส้นทางและลำดับ หากกินตะกอนพลังที่ไม่กลมกลืนกับเส้นทางเข้าไปเป็นจำนวนมาก แรงผลักต่อกันก็จะยิ่งสูง ส่งผลให้เกิดการแยกตัว?


คำพูดลึกซึ้งเช่นนี้ จักรพรรดิไม่น่าจะพูดออกมาต่อหน้าสาธารณชน เพราะเป็นความลับสำคัญที่ไม่ควรหลุดออกมาภายนอก…


คราวก่อน เราเคยสันนิษฐานจากพิธีกรรมวิญญาณสถิต และจากนามสกุลของเธอ ว่าพลเรือโทธารน้ำแข็งอาจเป็นทายาทของหนึ่งในจตุรอาชาแห่งวันสิ้นโลก เอ็ดเวิร์ด… บทสนทนาเมื่อครู่ยิ่งทำให้ชัดเจนขึ้น..


หลังจากสิ้นสุดยุคสมัยของจักรพรรดิโรซายล์ ตระกูลเอ็ดเวิร์ดได้ย้ายถิ่นฐานมายังลุนเบิร์ก และเปลี่ยนไปนับถือศาสนาปัญญาความรู้?


แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เธอช่างเป็นคุณครูที่น่ายกยกย่อง ไม่อยากเชื่อว่าจะยอมอธิบายทุกคำถาม!


ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงเดินตามเอ็ดวิน่าและยืนฟังเธออธิบายเกี่ยวกับของสะสม


ระหว่างนั้น ชายหนุ่มผุดแนวคิดหนึ่ง นั่นคือการถามเดอะซันในชุมนุมทาโรต์ ว่าอีกฝ่ายรู้จักหนังสือที่ชื่อ การเดินทางของกรอซาย หรือไม่


และเพื่อมิให้แฮงแมนมองว่าเดอะเวิร์ลบกพร่องทางความรู้ และอาจลามไปเคลือบแคลงเดอะฟูล ไคลน์เตรียมใช้การสนทนาแบบส่วนตัวกับเดอะซัน


หลังจากอธิบายจนครบทุกชิ้น เอ็ดวิน่านำทางไคลน์ออกจากห้องเก็บของสะสม ตรงไปยังห้องรับประทานอาหารของกัปตัน ที่ถูกแบ่งเป็นสัดส่วนภายในห้องอาหารของเรือ


“อาหารพิเศษของที่นี่คือโยเกิร์ต คุณสามารถกินกับแยมสตรอว์เบอร์รี่หรือไม่ก็น้ำผึ้ง” เอ็ดวิน่าอธิบายพลางชี้ไปยังห้องอาหารด้านนอกประตู “ปลาแห้งของที่นี่ก็ไม่เลว จับได้จากทะเลลึก ยังไม่มีชื่อสายพันธุ์ที่แน่ชัด”


ขณะกำลังเล่า เธอทำท่าทางเพื่อบอกให้ไคลน์เดินออกไปสั่ง และถือเข้ามากินในห้อง


จากนั้น เอ็ดวิน่าลุกขึ้นยืนและแสดงให้ดูเป็นตัวอย่าง โดยมีไคลน์เดินตามออกไป


ขณะกำลังต่อแถวสั่งอาหารของตัวเอง ไคลน์เห็นโจรสลัดคนหนึ่งเดินเข้าไปทักทายเอ็ดวิน่า


อีกฝ่ายสวมเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีดำ ติดหูกระต่ายดอกไม้ บรรยากาศคล้ายพนักงานประจำมากกว่าโจรสลัด โดยกำลังกระซิบกระซาบบางสิ่งให้เอ็ดวิน่าฟัง


หน้าตาค่อนข้างหล่อเหลา ผมสีทองอ่อน โคนผมมีสีดำแซม หวีด้านข้างจนเรียบแปล้


ดวงตาสีอ่อน คลายทะเลสาบสีเขียว ดั้งโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง มอบความรู้สึกน่าไว้วางใจ


“อย่าถูกเจ้านั่นหลอกด้วยรูปลักษณ์เด็ดขาด! หมอนั่นก็เหมือนกับปลาหมาป่ากระป๋อง! เหม็นบัดซบเข้าไปถึงข้างใน!”


เดนิส ผู้ที่เข้ามาในห้องอาหารตอนไหนไม่มีใครทราบ เดินมาด้านหลังไคลน์และกระซิบ


ไคลน์เพียงชำเลืองโดยไม่กล่าวสิ่งใด เพราะทราบดีว่า อีกสักเดี๋ยวเดนิสก็คงเล่าออกมาเอง


โดยไม่รอให้เดนิสพูด ชายพุงใหญ่ด้านข้างกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแหลม


“เจ้านั่นคือผู้ช่วยรองกัปตัน โจเดอร์สัน เคยเป็นเสือผู้หญิงและโจรสลัดพาร์ตไทม์ แต่เกิดตกหลุมรักกัปตัน จึงพยายามช่วงชิงหัวใจเธอ ถึงผลลัพธ์จะล้มเหลวไม่เป็นท่า ถูกกัปตันอัดจนน่วม แต่มันกลับก็ขออยู่บนเรือต่อโดยอ้างเหตุผลว่า ขอศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม… ไอ้แม่เย็*!”


“สรุปโดยสั้นคือ แม่งระยำ!” เดนิสสบถ


“แม่งระยำ!” โจรสลัดอีกคนที่มีผิวสีดำคล้ายเหล็กกล่าวเสริม


แต่ฉันกลับคิดว่า พวกนายก็ไม่ต่างกันนัก…


ไคลน์รำพันพลางหันไปถาม


“หูกระต่ายบุปผา·โจเดอร์สัน…? ลำดับ 6?”


ถามได้สมกับเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์… เดนิสรีบหันไปทางอื่นด้วยสีหน้าเจือความหวาดผวา


“หมอนั่นไม่เก่งเท่าไร แต่มีพลังสุดพิสดาร ตอนที่ฉันสู้กับมันในการฝึกซ้อม อยู่ดี ๆ ก็ใช้บอลไฟไม่ได้ แถมเจ้านั่นยังลอกเลียนแบบพลังไฟของฉันได้อีก”


คำอธิบายแบบนี้ เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน…


ไคลน์หันไปมองโจเดอร์สัน สมองพยายามนึกให้ออกว่า ความคุ้นเคยดังกล่าวมาจากไหน


นึกออกแล้ว… คล้ายกับ ‘เส้นเลือดหัวขโมย’ สมบัติปิดผนึกหลังประตูยานิสเมืองทิงเก็น!


ชายหนุ่มอาจจดจำรหัสไม่ได้ แต่ยังไม่ลืมว่า สมบัติปิดผนึกชิ้นดังกล่าวมีคุณสมบัติในการขโมยพลังพิเศษเป้าหมายมาใช้งานชั่วขณะ


คงอยู่บนเส้นทางเดียวกัน…


เมื่ออาหารที่สั่งไว้ถูกปรุงเสร็จ ไคลน์หันกลับไปมองด้านหลัง เห็นเดนิสกับอีกโจรสลัดอีกสองคนกำลังยืนดื่มเบียร์พลางชำเลืองไปทางพลเรือโทธารน้ำแข็งเป็นระยะ


ชายหนุ่มนึกขึ้นได้ว่า เดนิสเคยนำความลับเรื่องที่ตนสังเวยบางสิ่งถึงคาเวทูว่า ไปแอบบอกให้เอ็ดวิน่าทราบ


หลังจากรับเบียร์มาถือ ไคลน์จงใจเดินผ่านหน้ากลุ่มของเดนิสและกล่าวอย่างเป็นกันเอง


“พวกนายทุกคนชอบเธอสินะ”


พรวด… พรวด… พรวด…


ด้านหลังไคลน์ เสียงเบียร์ถูกพ่นจากปากดังอย่างพร้อมเพรียง


จากมุมสายตา ชายหนุ่มเห็นเดนิสกำลังเผยสีหน้าลนลาน ก่อนจะโล่งใจเมื่อหันไปเห็นอากัปกิริยาของพวกพ้อง


จากนั้น ทั้งสามคนเริ่มเดินถอยห่างออกจากกันโดยมิได้นัดหมาย ดวงตาแฝงไว้ด้วยอารมณ์หลากหลาย หนึ่งในนั้นมีความโกรธเคือง


ไคลน์ไม่หยุดเดิน มันถือถาดอาหารตรงไปยังห้องรับประทานอาหารกัปตัน และจัดการมื้อเช้าอย่างเอร็ดอร่อย


ผ่านไปสักพัก เอ็ดวิน่าเดินกลับเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ


เธอจิบนม เว้นวรรคสองวินาที จึงค่อยเริ่มบทสนทนา


“เดนิสอธิบายพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสารของคุณให้ฟังแล้ว ในนั้นมีการระบุว่า พิธีกรรมต้องใช้เหรียญทองเป็นเครื่องสังเวยทุกครั้ง ดิฉันยังคาใจ เหรียญทองที่ว่า เป็นเหรียญทองของโลเอ็น อินทิส ฟุซัค หรือเป็นเหรียญทองชนิดอื่น? เหรียญแต่ละประเภทมีน้ำหนักไม่เท่ากัน มูลค่าจึงต่างกัน”


ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก


“โลเอ็น”


เพราะเหรียญทองของโลเอ็นมีน้ำหนักและมูลค่ามากที่สุด… และเราก็ไม่ใช่คนจ่าย… ชายหนุ่มเสริมในใจ


เอ็ดวิน่าผงกศีรษะ


“…ต้องจ่ายตอนรับจดหมายด้วยใช่ไหม”


“สิ่งมีชีวิตวิญญาณแต่ละตนย่อมมีงานอดิเรกแตกต่างกัน” ไคลน์อธิบายคลุมเครือ


มันทราบดี พลเรือโทธารน้ำแข็งคงเคยศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตวิญญาณมาบ้าง และต้องเข้าใจในเรื่องที่ตนพูด


เหนือสิ่งอื่นใด ไคลน์มิได้โกหก เพียงปิดบังเรื่องที่เหรียญทองสามารถจ่ายโดยเจ้าของได้


“ถูกต้อง” เอ็ดวิน่าพยักหน้าเชิงเห็นพ้อง “ฉันเองก็เคยพยายามหาผู้ส่งสารประจำตัว แต่การคิดนิยามไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากต้องคอยระวังอันตราย ยังต้องให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกใจ


“ลงเอยด้วย ฉันตัดสินใจล้มเลิกกลางคัน ไม่เพียงเท่านั้น อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การครอบครองผู้ส่งสารเป็นไปได้ยากคือ พันธสัญญาต้องถูกกระตุ้นด้วยพลังในขอบเขตความตายที่รุนแรงมากพอ ต้องยอมรับว่า คาถาอัญเชิญผู้ส่งสารของคุณช่วยให้ฉันเกิดแนวคิดใหม่”


ไคลน์ยังคงนั่งกินอาหารเช้าอย่างเงียบงัน ไม่คิดอธิบายสิ่งใดให้อีกฝ่ายฟัง เพราะความรู้ทั้งหมดได้รับมาจากมิสเตอร์อะซิก หากจะเผยแพร่หรือส่งต่อ ก็ต้องได้รับความยินยอมจากชายคนนั้นก่อน


หลังจากอาหารมื้อเช้าอันยอดเยี่ยมจบลง ฝันทองคำแล่นมาจอดเทียบท่าเรือแห่งหนึ่ง เพื่อส่งเดนิสและไคลน์ลง


เดนิสชำเลืองฝันทองคำที่กำลังแล่นจากไป พลางถอนหายใจห่อเหี่ยว


“มิตรภาพของพวกฉันจมก้นทะเลไปแล้ว”


ไคลน์กดหมวก กล่าวเสียงขรึม


“มีแต่ไก่อ่อนเท่านั้น ที่เลือกสุมหัวอยู่กับพวกไก่อ่อนด้วยกัน”


ได้คำดังกล่าว เดนิสทำตัวไม่ถูก ไม่แน่ใจว่าตนควรเสียใจหรือดีใจ


หลังจากแปลงโฉมและสร้างบัตรประชาชนปลอม ไคลน์ซื้อตั๋วเดินทางกลับบายัม และขึ้นเรือในวันเดียวกัน


มีเวลาส่วนตัวสักที…


ชายหนุ่มเข้าห้องน้ำ ส่งจิตเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก และรีบไล่ตรวจสอบคำวิงวอนจากสาวกเทพสมุทรเป็นอันดับแรก


ในคราวนี้ ภาพที่เด่นสะดุดตามาจากไครัท สมาชิกกลุ่มต่อต้านผู้มีศีรษะล้านและนั่งวีลแชร์


“ท่านมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ พวกเราพบตัวเอลเลนผมแดงแล้ว หล่อนกำลังหลบซ่อนอยู่ในสถานทูตอินทิส… ข่าวนี้ได้รับการยืนยันจากคนสวนและสาวซักผ้า”


……………………


ราชันเร้นลับ 578 : ‘ลักพาตัว’

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมืองแห่งการให้ บายัม


ณ สถานทูตอินทิส


เอลเลนกำลังนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จ้องใบหน้าอันงดงามแต่ค่อนข้างซูบผอมของตนนานหลายนาที


การหลบหนีออกจาก ‘กาฬมรณะ’ ทำให้เธอเกิดความคาดหวัง แต่ก็เจือหวาดกลัว โดยกังวลว่าจะถูกเหล่านักผจญภัย โจรสลัด หรือพลเรือโทโรคภัย เทรซี่ พบตัวเข้า หากเป็นเช่นนั้น เธอจะสูญเสียอิสรภาพโดยสมบูรณ์ ไม่มีวันได้กลับบ้านและพานพบชีวิตอันเป็นปรกติอีกเลย


เอลเลนอาศัยเส้นสายเล็ก ๆ ของครอบครัว ซ่อนตัวในสถานทูตของอาณาจักรบ้านเกิด รวมถึงการใช้เส้นสายดังกล่าว ซื้อบัตรเรือโดยสารเพื่อหนีไปออกนอกเกาะ หลังจากเตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้น หญิงสาวเริ่มผ่อนคลายตัวเองลง


แต่ถึงอย่างนั้น เอลเลนก็ยังไม่วางใจเต็มร้อย รอให้ได้ประทับฝ่าเท้าลงบนแผ่นดินใหญ่ของทวีปเหนือเสียก่อน


ครุ่นคิดถึงจุดนี้ เอลเลนอดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือขึ้นมาลูบไล้ผิวแก้ม


แก้มของเธออาจมิได้ขาวเนียนหรือเต่งตึงเหมือนหญิงสาวเลอโฉมคนอื่น แต่ก็มีสุขภาพดีขึ้นจากสมัยทำการค้าขายกลางทะเลมาก ถึงขั้นมองเห็นภาพตัวเองซ้อนทับกับวัยเด็ก


อันที่จริง หลังจากเริ่มซ่อนตัวในอินทิส เธอยังมีสารพัดวิธีในการเอาชีวิตรอด เช่น ร่วมมือกับโบสถ์วายุสลาตัน กองทัพโลเอ็น หรือคนของสถานทูต โดยการใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ให้พลเรือโทโรคภัยลอบแทรกซึมเข้ามาในบายัม


แต่หลังจากไตร่ตรองเป็นเวลานาน เอลเลนตัดสินใจพับเก็บแผนดังกล่าว และทำถึงขั้น ขอร้องให้ทุกคนช่วยปิดข่าวว่าเธอหลบอยู่ในนี้


จะว่าไป เธอก็ไม่เคยทำร้ายเราสักครั้ง… ตรงกันข้าม ยังคอยตามใจและสร้างความพึงพอใจให้เราเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคืนนั้น… คืนนั้น… แล้วก็คืนนั้นด้วย… เมื่อขุดคุ้ยความทรงจำเก่า ใบหน้าของหญิงสาวเริ่มแดงก่ำ


ค่ำคืนเหล่านั้นช่างแสนวิเศษ อุณหภูมิร่างกายอันเกิดจากการกอดก่ายของอวัยวะ รวมถึงความสุขสมขั้นสูงสุด ทั้งหมดคละคลุ้งในความทรงจำหญิงสาวจนยากจะลืมเลือน


เอลเลนสูดลมหายใจเข้าลึก ตามด้วยพ่นออก


หญิงสาวส่ายหน้า ปล่อยให้ความปรารถนาที่จะกลับบ้าน ความปรารถนาในอิสรภาพ ความปรารถนาที่จะได้พบครอบครัว เข้าครอบงำจิตใจแทนจินตนาการอันฟุ้งซ่าน


เธอมองเข้าไปในกระจก ตามด้วยรวบผม


ถัดมา เอลเลนใช้เครื่องสำอางวาดคิ้วสีเข้ม ลักษณะยาวตรง ต่อด้วยการแต่งหน้าเพื่อเน้นอวัยวะ ให้เค้าโครงคมชัดขึ้นกว่าเดิม


เมื่อแต่งหน้าเสร็จ ใบหน้าเอลเลนยากจะระบุได้ชัดเจนว่าเป็นชายหรือหญิง เหลือไว้เพียงสายตาอันเด็ดเดี่ยวที่เป็นเอกลักษณ์


เอลเลนถอดเสื้อผ้าออก นำเศษผ้ามาพันหน้าอกให้แบนราบ ตามด้วยการสวมเชิ้ตขาว เสื้อกั๊กสีดำ และเสื้อโค้ทกระดุมสองแถวตัวใหญ่


ถัดมา เธอสวมหมวกผ้าไหมทรงสูง โดยนำผมสีแดงที่มัดรวบไว้อย่างเรียบร้อยซ่อนด้านใน


ถึงตรงนี้ เอลเลนในกระจกเริ่มมีบรรยากาศคล้ายคลึงชายหนุ่มหน้าหวานมากกว่าหญิงสาว โดยเฉพาะดวงตาสีมรกตที่เข้ากันได้ดีกับภาพลักษณ์ในปัจจุบัน แฝงกลิ่นอายลุ่มลึกอ่อนโยน


เอลเลนรอคอยอย่างใจเย็น จนกระทั่งใครบางคนมาเคาะประตู


หญิงสาวถือกระเป๋าสัมภาระ ออกจากห้อง และเดินตามเพื่อนสนิทของญาติผู้ใหญ่ในตระกูลไปยังประตูฝั่งด้านข้างของสถานทูต


ที่นั่นมีรถม้าจอดรออยู่ มันจะนำพาเธอไปยังท่าเรือของบายัม โดยมีจุดหมายปลายทางคือท่าเรือพริสต์แห่งโลเอ็น หลังจากนั้น การหาทางกลับอินทิสก็จะไม่ยากเย็นแต่อย่างใด


เอลเลนมีพลังต่อต้านการแกะรอย แถมยังมีสายตาเฉียบแหลม เธอมองไปรอบตัวโดยไม่ปล่อยให้รายละเอียดเล็กน้อยตกหล่น ไม่เว้นแม้แต่คนขับรถม้า


ชายชาวพื้นเมือง รูปร่างผอมแต่แข็งแกร่ง ไม่ชอบสวมหมวก ใบหน้าเหมือนกับคราวก่อน… ประหม่าเล็กน้อย แต่นั่นก็ปรกติ…


เอลเลนหายใจทั่วท้อง ก่อนจะหันมากล่าวขอบคุณเพื่อนสนิทของญาติผู้ใหญ่ และยกกระเป๋าสัมภาระเข้าไปในห้องโดยสาร


เมื่อล้มรถม้าเริ่มหมุน หญิงสาวเม้มปากมองออกไปด้านนอก และพบใบเมเปิ้ลตลอดสองข้างทางขณะยังอยู่ในเขตสถานทูต


หญิงสาวรู้สึกประหนึ่งได้กลับไปยังกรุงทรีอาร์


ทรีอาร์คือเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายความเจริญรุ่งเรือง มักถูกฉาบด้วยแสงแดดแสนอบอุ่นตลอดทั้งวัน ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำไลอ้อนและแม่น้ำเซอเรนโซ่ ทัศนียภาพงดงาม เต็มไปด้วยกุหลาบ ต้นเมเปิ้ล ตึกรามบ้านช่องถือเป็นจุดสูงสุดของสถาปัตยกรรมมนุษย์ องค์ประกอบทั้งหมดล้วนงดงาม ถือเป็นแดนสวรรค์ของจิตรกร นักดนตรี และนักเขียนนิยาย


เมืองหลวงของอินทิสแห่งนี้ถูกปฏิรูปครั้งใหญ่โดยจักรพรรดิโรซายล์ พัฒนากลายเป็นเมืองหลวงอันสมบูรณ์แบบเฉกเช่นปัจจุบัน และยังเป็นบ้านเกิดเอลเลนอีกด้วย ในบางครั้ง หากเธอบังเอิญฝันถึงทรีอาร์ น้ำตาก็จะไหลรินออกมาเอง


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ แต่เอลเลนเริ่มรู้สึกผิดสังเกต เพราะวิวทิวทัศน์รอบตัวห่างไกลจากความเจริญขึ้นทุกขณะ


เธออาจทำธุรกิจค้าขายอยู่แต่ฝั่งทะเลหมอกจนไม่รู้จักทะเลโซเนียกับเมืองบายัมมากนัก แต่สัญชาตญาณของลำดับ 9 นักล่า ช่วยกระตุ้นให้ทราบถึงความไม่ชอบมาพากล


“ไม่ได้มาผิดทางใช่ไหม” เอลเลนขยับตัวไปถามคนขับรถม้าอย่างใจเย็น


เธอเตรียมกระโดดออกจากรถ รวมถึงเตรียมสร้างบอลไฟขึ้นบนฝ่ามือ


คนขับรถม้าไม่หันกลับมามอง เพียงจ้องไปยังถนนด้านหน้าและมอบคำตอบด้วยรอยยิ้ม


“คุณหนู ถนนเส้นนี้เป็นทางลัด และการจราจรก็ไม่ติดขัด คุณเองก็คงทราบ ถนนของเมืองบายัมสร้างขึ้นนานแล้ว ตอนนั้นยังมีคนไม่มาก ไม่ต้องพูดถึงรถม้า ถนนหนทางจึงมีลักษณะคับแคบ การจราจรจะติดขัดอย่างมากในช่วงเที่ยงวันและช่วงเย็นหลังเลิกงาน เดินด้วยเท้ายังจะถึงจุดหมายเร็วกว่ารถม้าเสียอีก”


งั้นหรอกหรือ… เอลเลนไตร่ตรองสักพัก ก่อนจะยอมเชื่อคำอธิบาย เพราะเธอเคยเผชิญสถานการณ์แบบนี้กับหลายเมืองใหญ่


ไม่มีที่ไหนยอดเยี่ยมเท่าทรีอาร์ นับตั้งแต่จักรพรรดิโรซายล์รื้อเมืองเก่าทิ้งและสร้างใหม่ ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของท่าน ถนนหนทางจึงถูกขยายขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัว ปัจจุบันก็ยังใหญ่พอจะใช้งานได้โดยไม่เกิดภาวะการจราจรแออัด…


ขณะกำลังคิดเรื่อยเปื่อย เอลเลนพลันได้ยินเสียงร้องจากม้าตัวที่กำลังวิ่งลากห้องโดยสาร


เสียงร้องมีลักษณะคล้ายบาดเจ็บ


“รอสักครู่นะครับ ดูเหมือนว่ามันจะเหยียบบางสิ่งเข้า” คนขับรถม้ารีบหยุดรถ ตามด้วยการกระโดดลงไปตรวจสอบ


ในตอนแรก เอลเลนมิได้คิดอะไรมาก จนกระทั่งบังเอิญมองออกไปเห็นว่า สภาพแวดล้อมในปัจจุบันค่อนข้างเปลี่ยวจนผิดวิสัย


หัวใจหญิงสาวพลันถูกบีบรัด เธอเตรียมม้วนตัวและกระโดดออกจากห้องโดยสารทันที


โดยไม่สนว่าจะเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ แต่หญิงสาวเชื่อว่า กันไว้ย่อมดีกว่าแก้


ทันใดนั้น ความหวาดกลัวจากก้นบึ้งพลันกัดกันจิตใจอย่างไร้เหตุผล เอลเลนรู้สึกราวกับตนกำลังถูกจ้องด้วยสายตาของสัตว์ป่าหิวกระหาย


แรงกดดันทางวิญญาณปริมาณมหาศาลทำให้เธอลังเล และไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม


ทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงลุ่มลึก


“ผมจะไม่ทำร้ายคุณ เพียงต้องการซักถามเล็กน้อย”


สมองเอลเลนเริ่มเต็มไปด้วยความสับสน แต่ก็ยังชั่งน้ำหนักเหตุการณ์อย่างใจเย็น


ลงเอยด้วย หญิงสาวไม่เผ่นหนีอย่างสิ้นคิด เพียงเอนตัวและใช้หลังพิงเบาะ


เธอวางแผนประเมินสถานการณ์เพิ่มเติมอีกสักนิดก่อนลงมือ ถึงตอนนั้นก็ยังไม่สาย


ประตูห้องโดยสารเปิดออก ชนพื้นเมืองหนุ่มร่างผอมเดินเข้ามานั่งฝั่งตรงข้าม ไม่ใช่ใครนอกจากไคลน์ในสภาพแปลงโฉม


ก่อนจะปลอมตัวเป็นคนขับรถม้า ไคลน์ถึงขั้นฝึกการขี่ม้าของจริง ขี่แบบลากห้องโดยสาร เป็นทักษะที่มันไม่มีโอกาสได้ร่ำเรียนสมัยเหยี่ยวราตรีเมืองทิงเก็น แต่เนื่องจากเวลาค่อนข้างกระชั้นชิด ไคลน์จึงต้องใช้ออร่าของยุบพองหิวโหย ช่วยกดดันให้ม้ายอมเชื่อง


ขณะเดียวกัน เดนิสที่ซุ่มอยู่ไม่ไกล รีบพุ่งตัวมานั่งแทนตำแหน่งคนขับ


มันกดหมวกปีกกว้างลงต่ำ การแต่งกายคล้ายคลึงคนรับรถม้าทุกประการ


เอลเลนโน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย อากัปกิริยาคล้ายเสือชีตาร์พร้อมกระโจนเข้าหาเหยื่อ


หญิงสาวสัมผัสได้ว่า สายตาของอีกฝ่ายกำลังสำรวจหน้าผาก คิ้ว ตา จมูก ปาก คอ หน้าอก สะโพก ท้อง และต้นขาของตน เกิดเป็นความรู้สึกอึดอัดเหนือคำบรรยาย


ด้วยสายตาทำนองนี้ ด้วยตำแหน่งที่จ้องมอง เอลเลนเคยเผชิญมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะสมัยอยู่ทรีอาร์หรือเป็นนักธุรกิจกลางทะเล


มันคือสายตาอันน่ารังเกียจของคนหื่นกาม


แต่ในวินาทีปัจจุบัน เธอกลับสัมผัสแรงกระหายจากอีกฝ่ายไม่ได้เลย ไม่มีความรู้สึกอยากฉีกกระชากเสื้อผ้า และมิได้กำลังจินตนาการภาพวิตถาร


ราวกับว่าเขากำลังศึกษาอาหาร… เป็นสายตาแบบเดียวกับอสรพิษเลือดเย็น…


เอลเลนทนไม่ไหว เป็นฝ่ายเริ่มการสนทนา


“คุณอยากถามอะไร”


ไคลน์เอนตัวมาด้านหน้าอย่างผ่อนคลาย สองมือวางทาบลงบนต้นขาในลักษณะคว่ำ


“คุณรู้จักจิมมี่·เน็คไหม”


เอลเลนขมวดคิ้ว ก่อนจะส่ายหน้าหนักแน่น


หญิงสาวถามอย่างสับสน


“คุณถามผิดคนรึเปล่า…”


“เขาเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยและชอบสะสมของ เทรซี่เคยเล่าอะไรทำนองนี้ให้ฟังบ้างไหม” ไคลน์ยังคงถามย้ำ


เทรซี่… เอลเลนถอนหายใจยาว พยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม


“ไม่ เธอไม่เคยพูดถึงพ่อค้าที่ชอบสะสมของ”


ไคลน์จ้องเข้าไปในดวงตาเอลเลนผมแดง ก่อนจะถามด้วยเสียงเจือความผิดหวัง


“ในห้องของเทรซี่มีเอกสารโบราณเกี่ยวกับจักรวรรดิไบลัมของทวีปใต้หรือไม่”


“ไม่มี เธอไม่ชอบอ่านหนังสือ เกลียดการอ่านมากอย่าง กระทั่งนิยายก็ต้องให้ฉันอ่านให้ฟัง”


ขณะตอบ เอลเลนยิ้มขื่นขม


“เทรซี่ชอบคุณให้อ่านนิยายแบบไหน” ไคลน์ถามด้วยเสียงเดิม


“นิยายคลาสสิกของโรซายล์ รวมถึงนิยายความรักร่วมสมัย” เอลเลนตอบห้วน


ไคลน์พยักหน้า


“เทรซี่มีห้องสะสมของหรือไม่”


“มี แต่นอกจากตัวเธอและผู้มาเยือนปริศนา ไม่เคยมีใครเข้าห้องนั้นได้ แม้กระทั่งฉัน”


เอลเลนเล่าพลางทำหน้านึก


ไคลน์นั่งเงียบขรึมในท่าเดิม


“เล่าประวัติของคุณให้ฟังหน่อย”


“ประวัติของฉัน?” เอลเลนชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยสีหน้าประหลาดใจ


ไคลน์พยักหน้า ไม่พูดซ้ำ


เอลเลนขมวดคิ้ว


“ประวัติของฉันไม่ซับซ้อน บิดาเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลเซารอน อดีตราชวงศ์กษัตริย์แห่งอินทิส เดิมทีค่อนข้างร่ำรวย แต่เป็นเพราะติดสุรา การพนัน ผู้หญิง และยาเสพติด ชีวิตจึงพังทลาย กลายเป็นหนี้ก้อนโต เพื่อจะชดใช้หนี้ ฉันตัดสินใจรับข้อเสนอของตระกูล กลายเป็นผู้วิเศษและออกเดินทางค้าขายในทะเลหมอก”


……………………


ราชันเร้นลับ 579 : คำถามเชิงวิชาการ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะเล่า ดวงตาเอลเลนเจือปนความเศร้าเล็กน้อย คล้ายกับกำลังหวนนึกถึงความทรงจำอันมีค่าเมื่อครั้งอดีต


“ฉันเริ่มจากการนำเหล็กกล้ากับถ่านหินจากชายฝั่งตะวันตกไปขายที่เฟเนพ็อต และนำยาสูบ กาแฟ และโกโก้จากเฟเนพ็อตกลับมาขายที่อาณาจักรอินทิส แต่เนื่องจากเป็นเส้นทางเดินเรือปลอดภัย การแข่งขันจึงสูงมาก ฉันต้องการถีบตัวเองออกจากตลาดดังกล่าวโดยเร็ว จึงรีบเก็บเงินและเลื่อนลำดับพลัง เพื่อจะได้เปลี่ยนไปค้าขายกับเกาะอาณานิคมแทน แต่โชคร้าย หลังจากฉันเริ่มคุ้นเคยกับเส้นทางเดินเรือและพอจะทำเงินได้บ้าง ขณะกำลังเดินทางไปยังไบลัมตะวันตกครั้งที่สอง เรือของฉันถูกเทรซี่ดักปล้น ในตอนนั้น เธอยังเป็นเพียงสตรีแห่งโรคภัยและมีเรือแค่ลำเดียว มิใช่พลเรือโทโรคภัยเหมือนทุกวันนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทรงพลังมาก การขัดขืนของฉันและพวกพ้องกลายเป็นสิ่งไร้ค่า เทรซี่ไม่ฆ่าคนส่งเดช เพียงปล้นทรัพย์สินของพวกเราไปทั้งหมด รวมถึงตัวฉัน”


สมแล้วที่ได้ชื่อว่าพิสดารกว่าแม่มดคนอื่น…


ไคลน์นั่งฟังอย่างตั้งใจ อาศัยพลังตัวตลกในการควบคุมอารมณ์และระงับความเขินอาย และซักถามออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“พวกคุณกำลังคบกันใช่ไหม”


“ไม่ใช่!” เอลเลนปฏิเสธเสียงแข็ง “เธอใช้กำลังบังคับฉัน! ฉันก็แค่ไม่อยากตาย ท…ทำได้เพียงกัดฟันอดทนเอาไว้ และเหนือสิ่งอื่นใด


“…เธอเป็นผู้หญิง!”


มาดาม ไม่ต้องเสียงดังขนาดนั้นก็ได้ ผมแค่ถามว่าคุณมีความสัมพันธ์มากกว่าเพื่อนรึเปล่า… ทำไมต้องออกอาการขนาดนี้… เธอต้องของคุณฉันต่างหาก ที่ยังคงความเป็นสุภาพบุรุษและไม่ถามตรงประเด็นเกินไป…


เฮ่อ… ถึงเกอร์มัน·สแปร์โรว์จะเป็นโจรสลัดอำมหิตและบ้าบิ่น แต่ก็ยังให้เกียรติสตรี… ในจุดนี้คือนิสัยของเราเอง…


ไคลน์ถามต่อโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


“คุณชอบกินอาหารประเภทใด? อาหารจานโปรดคืออะไร? ชอบหวานหรือเค็ม? หรือตรงกลาง? ไม่ชอบอาหารประเภทใดเป็นพิเศษไหม? แพ้อาหารรึเปล่า? คำพูดติดปากล่ะ? คุณชอบพูดว่าอะไร”


“…”


ชุดคำถามข้างตนทำให้เอลเลนรู้สึกราวกับตนกำลังอยู่ในความฝัน มิใช่ความจริง


เธอคาดไม่ถึงว่าจะมีใครกล้าถามเรื่องส่วนตัวซอกแซกขนาดนี้ ประหนึ่งโรคจิตที่กำลังตามจีบหญิงสาวสักคนก็มิปาน


ไม่ใช่… คนร้ายลักพาตัวคงไม่ถามไถ่เพื่อหวังผลในเชิงชู้สาว… ต้องแฝงความนัยบางอย่างไว้ อาจเป็นการนำข้อมูลของเราไปใช้ทำบางสิ่ง…


ฮึม! ไม่มีผู้หญิงที่ไหนชอบให้ถามแบบนี้กันหรอกนะ! ไม่ต่างอะไรกับแบบสอบถามของจักรพรรดิโรซายล์เลยสักนิด!


เขาเล็งอะไรไว้กันแน่ ทั้งที่เพิ่งถามเรื่องพวกนั้นออกมา ทำไมถึงยังทำหน้าไร้อารมณ์ได้อีก…


น่ากลัวชะมัด…


เอลเลนเงียบงันไปพักใหญ่ จากนั้น ท่ามกลางสายตาเย็นชาของไคลน์ หญิงสาวตัดสินใจไล่ตอบไปทีละคำถามโดยไม่ตกหล่น


ชายหนุ่มโน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย เริ่มถามในประเด็นถัดไป


“มีท่านั่งประจำบ้างไหม ทำให้ดูหน่อย”


ยิ่งเอลเลนตอบ เธอก็ยิ่งรู้สึกหวาดหวั่น กังวลว่าตนจะหายไปโดยมีใครสักคนมาแทนที่!


จนกระทั่ง ‘แบบสอบถาม’ จบลง แต่หญิงสาวก็ยังไม่ผ่อนคลาย ด้วยเกรงว่าภัยคุกคามอาจยังไม่หมดแค่นี้


เราควรกระโดดออกจากรถม้าในตอนที่เขาเผลอดีไหม? เอลเลนคิดเป็นจริงเป็นจัง


อย่างไรก็ตาม หลังจากพิจารณาจนมั่นใจว่าอีกฝ่ายปราศจากท่าทีคุกคาม หญิงสาวจึงพับเก็บแผนดังกล่าวไปก่อน ภาวนาให้การสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่นและสันติ


เมื่อไคลน์เสร็จสิ้นขั้นตอนการเก็บรายละเอียดรูปลักษณ์ภายนอก อุปนิสัย บุคลิก ความชอบส่วนตัว และงานอดิเรก มันวกกลับเข้าเรื่องพลเรือโทโรคภัยทันที


“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเทรซี่บ้าง”


เอลเลนเงียบงันเป็นเวลานาน ริมฝีปากสั่นระริกหลายหน คล้ายกับต้องการกล่าวบางสิ่ง


จนกระทั่งรถม้าเคลื่อนตัวเป็นระยะทางไกล หญิงสาวมอบคำตอบด้วยสีหน้าขื่นขม


“เธอแข็งแกร่งในการต่อสู้ เชี่ยวชาญการพรางตัวและคำสาป สามารถลบตัวตนอย่างสมบูรณ์ได้ชั่วขณะ รวมถึงการเปลี่ยนร่างกายให้เบาเหมือนขนนก สามารถสลับตำแหน่งกับกระจกเงาหรือคทาได้ในพริบตา เชี่ยวชาญเพลิงทมิฬและพลังหอกน้ำแข็ง ขณะต่อสู้ ศัตรูในรัศมีใกล้ตัวจะป่วยไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นได้ทั้งไข้หวัดธรรมดา ปอดบวม กระเพาะอาหารอักเสบ และอีกมาก ยิ่งการต่อสู้ยืดเยื้อ อาการป่วยก็ยิ่งทรุดหนัก เคยมีผู้วิเศษบางรายหัวใจวายตายเฉียบพลันมาแล้ว อีกทั้งยังมีพลังสร้างด้ายล่องหน ใช้เพื่อรัดรึงศัตรูให้แน่นิ่ง เธอรู้จักร่างกายมนุษย์เป็นอย่างดี และสามารถมอบความสุขได้ด้วยการสัมผัส เป็นความสุขในเรื่องอย่างว่า เธอสามารถหว่านเสน่ห์ได้ตามใจชอบ โจรสลัดที่พยายามเข้าใกล้ส่วนมากมักหักห้ามใจไว้ไม่อยู่ เธอค่อนข้างเป็นมิตรกับพวกพ้อง แต่จะโหดเหี้ยมและป่าเถื่อนกับศัตรู มีงานอดิเรกชอบทำลายสิ่งสำคัญของอีกฝ่าย มอบความเจ็บปวดและสิ้นหวังแสนสาหัสเข้าไปถึงดวงวิญญาณ”


เอลเลนมิได้ลงลึกว่าเทรซี่ทำลายสิ่งสำคัญของผู้อื่นอย่างไรบ้าง แม้จะมีเรื่องน่าขันอยู่บ้าง แต่เรื่องราวส่วนใหญ่มักโหดร้ายเกินกว่าจะเปล่งออกจากปาก ตัวอย่างเช่น เทรซี่เคยบังคับให้สองพ่อลูกร่วมสายเลือดต้องเข่นฆ่ากันเอง หรือกระทั่ง เคยกระตุ้นให้ภรรยาของศัตรูนอกใจ และกระทำเรื่องอย่างว่าต่อหน้าสามี


สมแล้วที่เป็นลำดับ 5 แม่มด ‘ทุกข์ระทม’ ถัดจาก ‘สุขสม’ ขึ้นมาหนึ่งขั้น…


ไคลน์วิเคราะห์รูปแบบการต่อสู้ของเทรซี่ ก่อนจะเริ่มถามข้อถัดไปอย่างสุขุม


“เทรซี่มีสมบัติวิเศษไหม”


“มี เป็นกำไลข้อมือเลี่ยมเพชร เพียงสวมไว้ เทรซี่ก็ยากจะได้รับบาดเจ็บ” เอลเลนออกท่าทางลังเลเมื่อต้องเปิดเผยความลับของพลเรือโทโรคภัยให้คนแปลกหน้าฟัง


ไคลน์ยิงคำถามต่อไปอีกสักพัก จนกระทั่ง ชายหนุ่มเว้นวรรคหนึ่งลมหายใจและเอนตัวมาข้างหน้า


“เทรซี่ค้าช่วยนิกายแม่มดค้ามนุษย์ใช่ไหม”


ไคลน์คาใจประเด็นนี้มานาน นับตั้งแต่ได้ยินข้อมูลจากปากพลเรือโทธารน้ำแข็ง


นิกายแม่มดร่วมมือกับอินซ์·แซงวิลล์เพื่อทำงานบางอย่างให้ราชวงศ์โลเอ็น เรื่องนี้มีความเกี่ยวพันกับอาคารโบราณที่ยังระบุไม่ได้ว่าอยู่ตรงไหน…


เทรซี่ร่วมขบวนการนี้ในฐานะนักค้ามนุษย์…


ขณะเดียวกัน ‘บาลุน’ ที่แฮงแมนระบุว่าอยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของทาสจากทวีปใต้ และชนพื้นเมืองจำนวนมากบนเกาะอาณานิคม ได้ปรากฏตัวในอาคารโบราณหลังดังกล่าวด้วย


รวมถึงประเด็นที่บอดี้การ์ดของคาพิน นักค้ามนุษย์ชื่อดังแห่งกรุงเบ็คลันด์ ล้วนมาจากเส้นทาง ‘ผู้ตัดสิน’ ทั้งหมด โดยเส้นทางดังกล่าวอยู่ในความควบคุมของราชวงศ์โลเอ็นและเฟเนพ็อต


ข้อมูลข้างต้นอยู่ในมือไคลน์มาสักระยะแล้ว แต่กลับยังมิอาจปะติดปะต่อเข้าด้วยกันได้อย่างราบรื่น จนกระทั่งพบเบาะแสเพิ่มเติมจากพลเรือโทโรคภัย


“อะไรคือนิกายแม่มด?” เอลเลนสับสน


“คุณไม่จำเป็นต้องทราบ” ไคลน์ตอบสุขุม


หากเธอรู้ความจริงว่าแม่มดคืออะไร และเกิดคำถามตามมาว่า พลเรือโทแห่งโรคภัยผู้เลอโฉม แท้จริงแล้วอาจเคยเป็นโจรสลัดสกปรก ป่าเถื่อน และหื่นกามมาก่อน เมื่อถึงตอนนั้น เธออาจเกิดภาวะคลุ้มคลั่งฉับพลันก็เป็นได้…


โชคดีว่าฉันเป็นคนดี ไม่ต้องขอบใจกัน…


ไคลน์รำพันประหนึ่งผู้มีพระคุณ


เอลเลนระงับความสงสัย เริ่มเล่าต่อ


“ในปีที่แล้ว เทรซี่แล่นเรือไปขายทาสอยู่หลายเที่ยว โดยอีกฝั่งของการค้าขายเป็นกัปตันคลั่ง คอร์เนอร์·วิกเตอร์ มีข่าวลือว่า ชายคนนั้นมีเส้นสายกับนักค้ามนุษย์ชื่อดังในโลเอ็น”


กัปตันคลั่ง คอร์เนอร์·วิกเตอร์… ไคลน์จดจำชื่อและฉายาอีกฝ่าย


ชายหนุ่มพยักหน้ารับ น้ำเสียงมิได้ขึงขังเหมือนตอนแรก เป็นการกล่าวอย่างอ่อนโยน


“คุณเคยร่วมมือกับเทรซี่ไหม ผมหมายถึง เคยทำในสิ่งที่โจรสลัดกระทำหรือไม่”


น้ำเสียงแสนสุภาพและอ่อนโยนทำให้เดนิสรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก มันมองว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์ในสภาพเช่นนี้ น่ากลัวกว่าตอนที่ทำตัวเย็นชาหลายเท่า!


“ไม่เคย” เอลเลนส่ายหน้าหนักแน่น “ฉันมีสายเลือดอันยิ่งใหญ่ของตระกูลเซารอน จะไม่ทำให้ชื่อเสียงของบรรพชนต้องเสื่อมเสียเด็ดขาด! และเหนือสิ่งอื่นใด เทรซี่เป็นคนบอกเองว่า เธอจะไม่ยอมให้มือของฉันเปื้อนเลือด เรื่องชั่วช้าและดำมืดให้เป็นหน้าที่ของเธอเอง”


นิยายรักน้ำเน่ารึไง… ไคลน์รำพันพลางล้วงเหรียญทองออกมาดีดต่อหน้าเอลเลน


ชายหนุ่มไม่หลบซ่อน จงใจให้อีกฝ่ายทราบว่าตนกำลังทำนายถามหาความจริง


ผลลัพธ์ออกมาเป็น เอลเลนค่อนข้างซื่อสัตย์


นั่นเพราะว่าเราไม่ถามถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างเธอและเทรซี่ ไม่อย่างนั้น คำตอบของเอลเลนคงไม่ตรงตามความจริงสักเท่าไร…


ไคลน์ถอนหายใจยาว เก็บเหรียญทองกลับ


มาถึงจุดนี้ รถม้ายังคงแล่นไปยังท่าเรือ แต่มิใช่เรือลำเดียวกับที่เอลเลนจองไว้


ไคลน์มองออกไปนอกหน้าต่าง หยิบขวดโลหะออกมาและยื่นให้หญิงสาว


“ลบเครื่องสำอางด้วยของเหลวข้างใน”


“ทำไม?” เอลเลนขมวดคิ้ว


“คุณไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถาม” ไคลน์เอนตัวมาด้านหน้าอีกครั้ง กล่าวด้วยเสียงเย็นชา


เอลเลนค่อนข้างไม่พอใจ แต่ก็ไม่อยากขัดคำสั่งของอีกฝ่ายในจังหวะสำคัญ ทำเพียงเปิดฝาขวดและสูดดมกลิ่นของเหลวอย่างระมัดระวัง ด้วยเกรงว่าอาจเป็นยาพิษ


“ทาตรง ๆ เลยหรือ” เธอถาม


ไคลน์พยักหน้ารับเรียบง่าย


หญิงสาวหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาถือในมือข้างหนึ่ง อีกข้างเทของเหลวในขวดลงไป และใช้มันเช็ดล้างเครื่องสำอางบนใบหน้า


ความสง่างามแบบไม่แบ่งแยกเพศพลันเลือนหาย อวัยวะบนใบหน้าเริ่มไม่คมชัด เผยให้ความงามที่แท้จริงของเธอ


ไคลน์จ้องอย่างตั้งใจ ออกคำสั่งเพิ่มเติม


“ถอดหมวก ปล่อยผมลง”


เอลเลนเริ่มขมวดคิ้ว เธอกังวลว่า คำสั่งถัดไปอาจรุกล้ำความเป็นส่วนตัวหนักกว่านี้ ตัวอย่างเช่น การสั่งให้เธอถอดเสื้อผ้า


หญิงสาวถอนหายใจยาว พลางบรรจงถอดหมวกและปล่อยเส้นผมสีแดงอ่อนนุ่ม ให้ทิ้งตัวลงตามธรรมชาติ


เมื่อสำรวจจนพึงพอใจ ไคลน์เอนหลังพิงเบาะห้องโดยสารด้วยท่าทีผ่อนคลาย


“แต่งกลับไปเป็นเหมือนเดิม”


หมอนี่เป็นบ้ารึไง?


เราเสียเวลาแต่ง เสียเวลาลบตั้งนาน เพื่อให้แต่งกลับไปใหม่เนี่ยนะ…


อย่างไรก็ตาม เอลเลนไม่กล้าออกท่าทีโมโห ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ จากนั้น หญิงสาวหยิบกระเป๋าแต่งหน้าออกมาวางบนเบาะด้านข้าง และหยิบกระจกเงาขึ้นมาส่องใบหน้า


ลบได้สะอาดมาก…


เอลเลนผงะเล็กน้อย กำลังทึ่งในประสิทธิภาพของน้ำยาลบเครื่องสำอาง แต่จากนั้นก็รีบแต่งกลับคืนใบหน้าเดิมโดยไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า


เมื่อรถม้าหยุดลง เอลเลนกลับกลายเป็นเด็กหนุ่มรูปงามเจ้าของมาดสำอางอีกครั้ง


ไคลน์มองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าเอลเลนด้วยบรรยากาศอึมครึม


“คำถามสุดท้าย”


“อะไรอีก…” เอลเลนค่อนข้างเกร็ง


ไคลน์เชิดคาง กล้ามเนื้อบนใบหน้ามีร่องรอยการเคลื่อนไหว


“ขนาดหน้าอกเท่าไร”


“…” เอลเลนอึ้งจนหมดคำพูด


ใบหน้าหญิงสาวเริ่มแดงก่ำ มิได้แดงเพราะเขินขาย แต่เป็นความเดือดดาลที่ต้องการสาวกำปั้นใส่ปลายคางอีกฝ่ายสักหมัดให้สาแก่ใจ


ชายหนุ่มยังคงสบตาโดยไม่เบือนหนี พลางอธิบายเพื่อแก้ตัว


“คำถามเชิงวิชาการ”


“…” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่เปลี่ยนสีหน้าหรือแฝงความหื่นกาม เอลเลนหลับตาลง ถอนหายใจยาว และมอบคำตอบด้วยเสียงตะกุกตะกัก


ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลาย ตามด้วยการยื่นตั๋วใบหนึ่งพร้อมกับปึกกระดาษ


“เอกสารตัวตนใหม่ และบัตรโดยสารเรือเดินสมุทรไปยังท่าเรือเทียน่า ที่นั่น คุณสามารถเดินทางต่อไปยังท่าเรือพริสต์ได้ไม่ยาก”


เอลเลนมองอย่างเคลือบแคลง แต่สุดท้ายก็รับเอกสารตัวตนใหม่และตั๋วเดินทางไป จากนั้นเธอ หิ้วสัมภาระลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง และมองหาเรือลำที่ตนต้องโดยสาร


ขณะไคลน์เดินตามหลังไปส่ง มุมสายตาบังเอิญเหลือบเห็นว่า เดนิสกำลังพยายามกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ


……………………


ราชันเร้นลับ 580 : นักเจรจา

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไคลน์ค่อยๆ หันไปจ้องเดนิส


ทันใดนั้น โจรสลัดชื่อดังเจ้าของค่าหัวห้าพันห้าร้อยปอนด์ พลันหุบยิ้มและรีบเบือนหน้าหนี แสร้งว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น


เมื่อยืนยันว่าเอลเลนขึ้นเรือโดยสวัสดิภาพ ชายหนุ่มหมุนตัวกลับหลังและซักถามเดนิส


“นายได้ยินบทสนทนาแล้วใช่ไหม”


“ไม่… เอ่อ… ก็นิดหน่อย” เดนิสยิ้มแห้งพร้อมกับส่ายศีรษะ


ไคลน์พยักหน้ารับ


“นายควรจดจำรายละเอียดให้ครบถ้วน ไม่อย่างนั้นความจะแตกเอาได้”


“ความแตก… ฉัน?” เดนิสเลื่อนมือขึ้นมาชี้ปลายจมูกตัวเองด้วยสีหน้ามึนงง


ไคลน์อธิบายหน้านิ่ง


“เธอเป็นคนของตระกูลเซารอน มีทักษะต่อต้านการแกะรอย เมื่อผนวกเข้ากับการเคลื่อนไหวขณะอยู่บนรถ ฉันมั่นใจว่าเธอคือลำดับ 7 นักวางเพลิง… เหมือนกับนาย ฉะนั้น ไม่มีใครเหมาะจะปลอมเป็นเธอเท่ากับนายแล้ว”


“ฉัน? ไม่มีทาง! ฉันปลอมตัวไม่เก่ง! แค่มองจากร้อยเมตรก็ยังรู้ว่าเป็นตัวปลอม!” เดนิสยืนกรานเสียงสั่น


ไคลน์หัวเราะ


“ไม่ต้องห่วง ฉันจะให้ยืมยุบพองหิวโหย”


“ไม่! ฉ…ฉันไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน! ต้องถูกลูกน้องของพลเรือโทโรคภัยจับได้แน่!” เดนิสยังคงหาข้ออ้าง


ในสายตามัน ภารกิจนี้ทั้งน่าอับอายและเต็มไปด้วยความแม่เย็* มีเพียงคนโรคจิตเท่านั้นที่กระทำได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ


ไคลน์พยักหน้าโดยไม่เปลี่ยนอารมณ์


“ไม่เอาไหนจริง ๆ”


เดนิสยิ้มแห้ง


“ช…ใช่! ฉันมันไม่เอาไหน…”


ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใด เพียงเดินผ่านเดนิสกลับมายังประตูห้องโดยสารรถม้า


เพลิงพิโรธชำเลืองมองตามปรกติ แล้วก็ต้องพบว่า เส้นผมของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เริ่มกลายเป็นสีแดง


มันกะพริบตาถี่ด้วยสีหน้าตกตะลึง ระหว่างนั้นก็สำรวจอีกฝ่ายอย่างละเอียด เดนิสมองเห็นดวงตาสีเขียวมรกต ริมฝีปากที่ถูกเม้มอย่างอ่อนโยน บรรยากาศรอบตัวคล้ายกับกระต่ายอ่อนแอ


ปัจจัยทั้งหมดส่งเสริมให้ใบหน้าของอีกฝ่ายงดงามจนโดดเด่น เหมือนกับเอลเลนหน้าสดราวกับแกะ


เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์เดินขึ้นห้องโดยสารรถม้า เดนิสเบือนหน้ากลับ มุมปากเริ่มสั่นกระตุกสองสามหน


มันนั่งเงียบงันสักพัก ระหว่างนั้นก็รำพัน :


สมกับเป็นคนบ้า! นึกจะแปลงโฉมเป็นผู้หญิงก็ทำทันทีโดยปราศจากความลังเล!


แต่ว่า เอลเลนหน้าสดสวยชะมัด…


จะว่าไป พลังแปลงโฉมช่างสะดวกสบาย… ถ้าเรามีบ้าง คงพยายามค้นหาผู้ชายในอุดมคติของกัปตัน แปลงโฉมให้คล้ายกัน และเดินเข้าไปจีบเธอ…


แต่ถ้าเป็นแบบนั้น คนที่เธอรักก็ไม่ใช่เรา…


ขณะเดนิสกำลังดำดิ่งในห้วงแห่งปรัชญา เสียงกระแอมเยือกเย็นพลันดังมาจากด้านหลัง


เมื่อถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ มันรีบขับรถม้าออกจากเขตท่าเรือ วางแผนขับอ้อมและวกกลับเข้าท่าเรือด้วยเส้นทางหลัก


ภายในห้องโดยสาร ไคลน์มิได้ใจเย็นเหมือนภายนอก แม้จะอยู่ในเครื่องแต่งกายของผู้ชาย ซึ่งช่วยกลบเกลื่อนความอับอายได้บางส่วน แต่นั่นก็ยังไม่ช่วยให้มันชินกับใบหน้าผู้หญิง อีกทั้ง ยังมีความอึดอัดที่เกิดจากการโกยเนื้อมารวมกันตรงหน้าอก สภาพในปัจจุบันทำเอาชายหนุ่มรู้สึกกระสับกระส่ายและอับอาย


เฮ่อ… สำหรับผู้ไร้หน้า การแปลงโฉมให้เหมือนใครสักคนไม่ใช่เรื่องยาก จุดยากคือการทำใจยอมรับสภาพ… แต่ถ้าต้องการย่อยโอสถให้เสร็จโดยเร็ว ก็มีแต่ต้องพังกำแพงทางจิตใจและอาศัยทางลัด… หากมัวแต่ตั้งเงื่อนไขให้ตัวเอง กว่าจะย่อยโอสถด้วยวิธีการปรกติคงต้องใช้เวลานานหลายปี หรือถ้าเร่งรีบ ก็ต้องปลอมตัวเป็นใครสักคนจนญาติสนิทและคนใกล้ตัวแยกไม่ออก สวมรอยเป็นบุคคลดังกล่าวสักครึ่งปี… แต่นั่นก็ยังนานเกินไปสำหรับเรา…


การท้าทายขีดจำกัดของตัวเองจะทำให้มนุษย์พัฒนาขึ้น แม้อาจต้องอดทนต่อความบิดเบี้ยวและบ้าคลั่งมากกว่าปรกติก็ตาม…


ทางลัดย่อมมีขวากหนามเสมอ…


ไคลน์ดึงกระเป๋าเดินทางจากใต้เบาะนั่งและหยิบเศษผ้ากับเครื่องแต่งกายผู้ชายชุดใหม่ออกมาสวม ตามด้วยการลงเครื่องสำอางให้เหมือนกับเอลเลน


อันที่จริง อีกหนึ่งแผนของไคลน์คือ ขอยืมสมบัติวิเศษที่มีพลังแปลงโฉมจากมิสจัสติสสักสองสามวัน จากนั้นก็ให้เดนิสปลอมเป็นเอลเลนแทนตน


อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจทำให้เดนิสเผชิญหน้ากับเทรซี่ตามลำพัง และเนื่องจากไม่มีพลังควบคุมสีหน้าของตัวตลก เดนิสคงถูกพลเรือโทโรคภัยพบความผิดปรกติได้ไม่ยาก จนอาจนำพาไปสู่ความตาย


ไคลน์จะไม่ยอมให้ผู้ใดเสี่ยงชีวิตเพราะปัญหาส่วนตัวเด็ดขาด จึงลงเอยด้วย มันตัดสินใจปลอมตัวเป็นเอลเลนเอง


เมื่อแต่งหน้าเสร็จ ไคลน์ในร่างเอลเลนเริ่มเผยเสน่ห์แบบไม่แบ่งแยกเพศ เป็นความสง่างามแบบหญิงก็ได้ชายก็ดี ดวงตาสีเขียวภายใต้หมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูงกำลังส่องประกายคล้ายอัญมณี


ไคลน์อาศัยพลังตัวตลก สำรวจร่างกายตัวเองในมุมมองบุคคลที่สาม


ก็ไม่เท่าไร ไม่ได้รู้สึกแย่ขนาดนั้น… ถ้าเราไม่ต้องแต่งหญิง ความรู้สึกก็จะคล้ายกับตอนที่ปลอมตัวเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์หรือเดนิส เพียงแค่มีใบหน้าสวยขึ้น และอึดอัดหน้าอกเพิ่มจากเดิมเล็กน้อย… ถ้าเป็นโลกเก่า ด้วยหน้าตาแบบนี้ เราคงไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีแฟน…


ไคลน์พยายามติดตลกเพื่อให้ตัวเองคลายความกังวล


อย่างไรก็ตาม อุปนิสัยชอบรำพันติดตลกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ยามนี้กลับเจือความหดหู่และขื่นขมเหนือพรรณนา


บัดซบ…!


ไคลน์สบถ พยายามปรับอารมณ์ให้คงที่


จนกระทั่งเวลาผ่านไป ชายหนุ่มเริ่มสัมผัสว่า จิตใจของตนเริ่มปรับตัวให้เข้ากับสภาพปัจจุบันทีละนิด แรงต่อต้านทางใจบรรเทาลง หัวสมองเริ่มผ่อนคลาย และตระหนักถึงพัฒนาของโอสถได้เล็กน้อย


ทฤษฎีของเราถูกต้อง… ทางลัดมีอยู่จริง…


ไคลน์พึมพำ ระหว่างนั้นก็ลุกยืน เดินถอยหลังสี่ก้าวทวนเข็มนาฬิกา ส่งจิตเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกเพื่อยืนยันระดับความอันตรายของปฏิบัติการ


เมื่อกลับมายังโลกจริง ไคลน์พูดกับเดนิสด้วยเสียงของเอลเลน


“ไปท่าเรือที่หก”


เดนิสไม่ได้คิดอะไรมากในตอนแรก จนกระทั่งมันหักเลี้ยวรถม้า จึงนึกขึ้นได้เมื่อสาย


เชี่ย…! จะเหมือนจริงเกินไปแล้ว! หากวันใดหมอนี่ปลอมตัวเป็นกัปตันมาหลอกเรา ก็คงไม่มีทางจับได้เลย…


ผ่านอีกไปสักพัก รถม้าแล่นมาถึงท่าจอดเรือลำที่เอลเลนมีกำหนดต้องไปขึ้น แต่เดนิสมิได้ขับเข้าใกล้ เลือกหักเลี้ยวเข้าไปในโกดังในบริเวณใกล้เคียงแทน


เพลิงพิโรธกระโดดลงจากม้า เดินไปเคาะประตูโกดังตามสัญญาณที่นัดแนะ


คนงานท่าเรือกลุ่มหนึ่งที่เป็นชนพื้นเมือง เดินออกมาล้อมเดนิสไว้ทุกด้าน


เมื่อยืนยันว่าไม่พบความผิดปรกติ ไครัทเข็นวีลแชร์ตามออกมา


“เธออยู่ไหน” มันจ้องเดนิส


สืบเนื่องจากภารกิจตามหาตัวเอลเลน เดนิสจึงกลายเป็นผู้ประสานงานกับกลุ่มต่อต้านอย่างเป็นทางการ


เดนิสหัวเราะ


“ในรถม้า เธอดื่มยาอ่อนแรงเข้าไป ฤทธิ์ยาจะอยู่ได้นานสิบชั่วโมง แต่ห้ามลืมเด็ดขาด เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของเงินรางวัลจะต้องเป็นของฉัน”


ไครัทยกมือขวาโบก ทันใดนั้น ชนพื้นเมืองจำนวนสองคนเดินเข้าไปตรวจสอบรถม้า


“ถูกตัวครับบอส” พวกมันชะโงกหน้าออกมาทางหน้าต่าง ตะโกนเป็นภาษานักเลงท้องถิ่น


“พาเธอลงมา หน้าที่ของเราคือคุ้มครอง”


ไครัทย้ำเตือน


กลุ่มต่อต้านทั้งสองพยายามพยุงเอลเลนในเครื่องแต่งกายผู้ชายลงจากรถม้า


ไคลน์อาศัยพลังตัวตลก ควบคุมกล้ามเนื้อให้อ่อนแรงในลักษณะสมจริง


จากนั้น ชายหนุ่มถูกพาตัวไปยังห้องแห่งหนึ่งในละแวกชุมชนของเมืองบายัม โดยระหว่างนั้น ไครัทสั่งให้ลูกน้องที่เป็นสาวกเทพสมุทร ตามหาตัว ‘ชายฉกรรจ์’ โอซิลและแจ้งว่าพวกตนพบเป้าหมายแล้ว รวมถึงกำชับให้เตรียมเงินหนึ่งพันปอนด์มาจ่ายทันที ในส่วนของเดนิส มันกลับไปยังโรงแรมเพื่อรอฟังข่าวดี


ยามเที่ยงตรง โอซิลส่งข้อความถึงไครัทว่า พวกมันยังไม่มั่นใจว่าเป็นเอลเลนตัวจริง จึงขอส่งคนมาตรวจสอบก่อน


ไครัทไม่ปฏิเสธ


จนกระทั่งใกล้ตกเย็น บุคคลผู้หนึ่งปรากฏตัวหน้าบ้านหลังที่เอลเลนถูกกักตัว


สวมกางเกงขาบานสีขาว แจ็คเก็ตสีน้ำตาล ลักษณะคล้ายชาวโลเอ็นที่แต่งกายเป็นชนพื้นเมือง ขนคิ้วสั้นราวครึ่งหนึ่งของคนปรกติ เบ้าตาจมลึก ดวงตาสีน้ำตาล กรามแหลมชัด


ไครัทเข็นวีลแชร์ไปยังหน้าประตูและสำรวจผู้มาเยือนตั้งแต่หัวจรดเท้า ตามด้วยคำถาม


“มีซอร์·คิง?”


“โฮ่… รู้จักด้วยหรือ ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” ชายลึกลับเผยรอยยิ้ม


มีซอร์คืออดีตกัปตันเรือย่อยของพลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์ แต่หลังจากถูกพลเรือโทโรคภัยฮุบกลืนกลุ่มโจรสลัด มีซอร์ เจ้าของฉายา ‘นักเจรจา’ ค่าหัวห้าพันสี่ร้อยปอนด์ ได้กลายเป็นผู้ช่วยรองกัปตันแห่งเรือหลัก กาฬมรณะ


ไครัทไม่ตอบ เพียงขยับวีลแชร์หลบ เป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายเข้ามาข้างใน


กลุ่มต่อต้านเดินนำทางมีซอร์ไปยังห้องหนึ่ง จนกระทั่งมันพบเอลเลนในเครื่องแต่งกายผู้ชายกำลังนั่งบนขอบเตียง สายตาจ้องมองกลับมาอย่างดุร้าย ฟันกัดกรอด เผยให้เห็นถึงโทสะและความไม่พอใจ


“ก็ดูเหมือนจะใช่ แต่ในสภาพแต่งหน้าจัดเต็มแบบนี้คงยืนยันไม่ได้ พวกนายต้องล้างเครื่องสำอางออกก่อน… ว่าแต่ ทำไมถึงไม่ใส่กุญแจมือ? ไม่รู้หรือว่าหล่อนอันตรายมากแค่ไหน!”


หลังจากตรวจสอบเบื้องต้น มีซอร์ผงะถอยหลังอย่างหวาดระแวง


“เธอถูกมอมยาจนแทบไม่มีแรง… แต่ในเมื่อนายต้องการแบบนั้น” ไครัทเชิดคางออกคำสั่งกับลูกน้อง


กลุ่มต่อต้านแยกย้ายไปหากุญแจมือจนพบ และเดินกลับมาใส่กุญแจมือไคลน์


ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นขัดขืนอย่างเต็มกำลังในสภาพปราศจากเรี่ยวแรง


ถัดมาไม่นาน กลุ่มต่อต้านคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับผ้าชุบน้ำสะอาด และใช้ลบเครื่องสำอางออกจากใบหน้าเอลเลน


โชคยังดีที่เครื่องสำอางยุคนี้สามารถล้างออกด้วยน้ำเปล่า… ไคลน์ปล่อยให้อีกฝ่ายเช็ดด้วยผ้าสะอาด จนกระทั่งความคมชัดของอวัยวะบนใบหน้าเริ่มเลือนราง


มีซอร์เริ่มเห็นหน้าสดของเอลเลนชัดเจน มันพบว่าความงามของหญิงสาวเข้าขั้นน่าหลงใหล ดวงตาสีเขียวเจือความสับสนและโกรธแค้นของหล่อนช่วยกระตุ้นให้มันเกิดอารมณ์


น่าเสียดาย หล่อนเป็นของกัปตัน… มีซอร์กลืนน้ำลายอึกใหญ่


ในฐานะโจรสลัด ในฐานะชายคนหนึ่ง มีซอร์ย่อมเคยจินตนาการว่า ทั้งพลเรือโทโรคภัยและเอลเลนผมแดงกำลังนอนเปลือยกายในอ้อมแขนของตน ซึ่งแน่นอน มันทำได้เพียงจินตนาการ


สายตาน่าขยะแขยงฉิบหาย… ไคลน์แทบอ้วก


จริงอยู่ ชายหนุ่มย่อมทราบว่าสายตาดังกล่าวกำลังมองเอลเลนผมแดง ไม่ใช่ไคลน์·โมเร็ตติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยากจะปรับอารมณ์ได้ทัน


ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้น นั่นก็คือ มันจะไม่อดทนกับสิ่งที่ขัดแย้งต่อจิตใต้สำนึกอย่างรุนแรงเด็ดขาด


“ตัวจริง” มีซอร์หันไปทางไครัท “รางวัลตอบแทน”


มันโยนถุงเงินในมือให้อีกฝ่าย


ไครัทรับไปตรวจสอบจนแน่ใจ ก่อนจะโยนต่อไปให้ลูกน้อง และกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด


“เราอาจต้องพึ่งพาพวกนายอีกหลายเรื่อง”


“ไม่มีปัญหา ติดต่อผ่านทางโอซิลได้ทุกเมื่อ” มีซอร์ชี้ไปทางเอลเลนผมแดง “ฉันพาตัวหล่อนไปได้เลยใช่ไหม”


“อา” ไครัทขยับเปิดทางอีกครั้ง


ไคลน์ไม่ต้องการให้มีซอร์พยุงตัว จึงทำทีว่าได้รับเรี่ยวแรงกลับมาบางส่วน


เนื่องจากมีซอร์หวาดกลัวเทรซี่ มันจึงไม่กล้าล่วงเกินเอลเลนมากนัก ทำได้เพียงจับไหล่ประคอง และเดินนำไปยังรถม้าด้านนอก


รถม้าแล่นเป็นเวลานานจนกระทั่งถึงท่าเรือส่วนตัวแห่งหนึ่ง จากนั้น มีซอร์เดินนำทางไคลน์ ผู้แปลงโฉมเป็นเอลเลน ขึ้นเรือประมงที่เตรียมไว้ล่วงหน้า และแล่นออกจากท่าโดยอาศัยความมืดมิดยามค่ำคืนอำพรางตัว


ผ่านไปราวสองชั่วโมง ทั้งคู่เริ่มมองเห็นเรือลำใหญ่กำลังจอดหลบในเงามืดของหน้าผา เหนือลำเรือมีธงผืนใหญ่โบกสะบัด ลายบนธงเป็นสัญลักษณ์กระดูกสีขาว


กาฬมรณะ!


……………………


ราชันเร้นลับ 581 : เข้าถึงแต่ไม่หลอมรวม

โดย

Ink Stone_Fantasy

มีแค่กาฬมรณะลำเดียว… เรือย่อยลำอื่นกลัวว่าจะถูกพบและหนีไม่ทัน จึงไปจอดรออยู่เขตน่านน้ำหมู่เกาะรอสต์? ถือเป็นข่าวดี…


ไคลน์เริ่มเบาใจ แต่สีหน้าภายนอกยังคงเม้มปากอย่างโกรธแค้น คล้ายกับยังไม่ยอมจำนน


มีซอร์ชำเลืองเอลเลนเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มโบกคบเพลิงเพื่อส่งสัญญาณไปถึงเรือหลัก


จากนั้นไม่นาน เรือเล็กลำหนึ่งแล่นตรงมาทางเรือประมงของมีซอร์และไคลน์ที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเอลเลน ตามด้วยการพาคนทั้งสองกลับไปยังกาฬมรณะ


เมื่อเรือเล็กถูกยกขึ้นดาดฟ้า ไคลน์ที่ได้ขึ้นเรือของพลเรือโจรสลัดอีกครั้ง ถูกมีซอร์นำทางไปยังห้องห้องหนึ่ง


ที่นั่นมีสาวใช้ผมทองกำลังยืนรออยู่ เธอจ้องเอลเลนด้วยสายตาเย็นชาเจือความขุ่นเคือง พลางชี้ไปยังประตูห้องด้านข้าง


“เข้าไป”


ความรู้สึกแบบนี้ คงมองเอลเลนเป็นศัตรูหัวใจสินะ… ดูเหมือนเสน่ห์ของพลเรือโทโรคภัยจะใช้ได้กับทุกเพศ…


ไคลน์ตั้งการ์ดในสภาพสวมกุญแจมือ ก่อนจะเดินตามสาวใช้ผมทองเข้าไปในห้อง


ตามแผนเดิม ชายหนุ่มคิดว่าตนจะได้อยู่กับเทรซี่แบบสองต่อสองทันที แต่กลับกลายเป็นว่า ต้องถูกตัวพามายังห้องที่มีเพียงพรมผืนเล็ก ตู้เสื้อผ้า และกระจกเงาเต็มบาน


เทรซี่แสร้งทำเป็นเย็นชาเพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังโกรธ?


ไคลน์คาดเดาพฤติกรรมอีกฝ่ายจากบทนิยายรักโรแมนติกและละครทีวี


สาวใช้ผมทองเหลือบมองเอลเลนที่สวมเครื่องแต่งกายเพศชาย แต่ปราศจากเครื่องสำอางจนขาดความงดงามแบบสหเพศ ก่อนจะเดินสองก้าวไปเปิดตู้เสื้อผ้าและใช้นิ้วชี้เข้าไป


“กัปตันไม่ชอบชุดของหล่อน เปลี่ยนซะ”


เชี่ย…!


ไคลน์ถึงกับสบถหัวเสีย


มันเคยคิดว่า ตนจะได้พบกับเทรซี่ขณะสวมเครื่องแต่งกายผู้ชาย จากนั้นก็รีบลงมือลอบสังหารให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อจะได้ไม่ต้องอยู่ในสภาพน่าสมเพชนานนัก


แต่กลับลงเอยด้วย ไคลน์มิอาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมที่มันหวาดกลัวที่สุด


เมื่อเห็นเอลเลนยืนเหม่อลอย สาวใช้ผมทองเริ่มขึ้นเสียงตวาด


“หล่อนมีแค่สองทางเลือก หนึ่ง เปลี่ยนชุดด้วยตัวเอง หรือสอง ให้ฉันช่วยแต่งตัวให้!”


ไคลน์แสดงภาษากายประจำตัวเอลเลน ตามด้วยการพ่นลมหายใจหงุดหงิด


“ถอดกุญแจมือสิ”


เมื่อพูดจบ ไคลน์หมุนตัวและใช้คางชี้ประตู


“จากนั้นก็ไสหัวออกไป”


“นังแพศยา!” สาวใช้ผมทองพึมพำอย่างโกรธแค้น ระหว่างนั้นก็นำลูกกุญแจที่มีซอร์มอบให้ ปลดกุญแจมือของเอลเลนออก


รอจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูห้อง ไคลน์เดินมาหยุดยืนหน้าตู้เสื้อผ้าและยืนเหม่อนานกว่ายี่สิบวินาที


ชายหนุ่มหลับตาลง เหยียดแขนขวาออกไปด้วยท่าทีสั่นระริก



ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ไคลน์กำลังยืนหน้ากระจกเงาเต็มบาน สายตามองเห็นเอลเลนในเดรสสีแดงสลับทอง ดวงตาเขียวมรกต รอบสะโพกผู้โบดอกไม้ชิ้นใหญ่และรัดแน่น ช่วยเสริมสัดส่วนให้ชัดเจน


ผิวหน้าของเอลเลนมีสีแดงเลือดฝาด ริมฝีปากเม้มชิด สีหน้าหม่นหมองอึมครึม เผยให้เห็นความไม่เต็มใจ คล้ายกับรูปถ่ายที่ชายฉกรรจ์·โอซิลแจกจ่ายในชุมนุมลับเมื่อวันก่อน


เมื่อเห็นตัวเองมีสภาพไม่ต่างจากเอลเลนในภาพถ่าย ไคลน์เริ่มเกิดอารมณ์หดหู่


แต่การอยู่ในห้องนี้เป็นเวลานานก็ช่วยปรับสภาพจิตใจชายหนุ่มให้เย็นลงด้วยเหตุผลสองข้อ


หนึ่ง ที่นี่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย และสอง การได้อยู่กับตัวเองในชุดผู้หญิง ช่วยให้มันค้นพบมุมมองใหม่ของผู้ไร้หน้า


มิได้หมายความว่าไคลน์เริ่มชอบการแต่งหญิง เพียงแต่เป็นการค้นพบวิธีเอาชนะความตึงเครียดทางจิต


วิธีการไม่ซับซ้อน แค่นำจิตตัวเองออกจากร่างกายในเชิงนามธรรม และมอง ‘เอลเลน’ ในเครื่องแต่งกายผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับทำภารกิจก็พอ


สรุปโดยสั้น สมองต้องยืนกรานความเชื่อของตัวเองให้ชัดเจน นี่มิใช่ไคลน์·โมเร็ตติแต่งหญิง แต่เป็นไคลน์·โมเร็ตติที่กำลังบังคับหุ่นยนต์นามว่าเอลเลน เพื่อทำภารกิจของตนให้ลุล่วง


ไคลน์พยายามตรึกตรองว่าความรู้สึกแบบนี้คล้ายคลึงกับสิ่งใด จนกระทั่งผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มจึงเริ่มนึกออก


สิ่งนี้เหมือนกับการเล่นเกม RPG โดยเลือกเล่นตัวละครผู้หญิง ไคลน์พบว่าตนสามารถตกแต่งตัวละครให้สวยงามได้โดยไม่เกิดความคิดด้านลบ เป็นการควบคุมจากมุมมองพระเจ้าแทน



เมื่อเปลี่ยนความคิด อาการสะอิดสะเอียนเริ่มบรรเทาลงจนแทบไม่หลงเหลือ เป็นการเข้าถึงบทบาทของตัวละคร แต่จะไม่นำจิตตัวเองหลอมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายโดยเด็ดขาด


อาศัยภาพจำสมัยเล่นเกมเข้าช่วย ไคลน์สามารถรักษาสมดุลของสองความรู้สึกได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่เกิดการต่อต้านทางจิต


ชายหนุ่มลืมตาขึ้นและพบว่า สภาวะในปัจจุบันคือคำตอบของทุกคำถามที่มันเคยสงสัยมานานหลังจากกลายเป็นผู้ไร้หน้า


นี่คือผู้ไร้หน้าที่แท้จริง…


หลังจากนี้ เราจะปลอมตัวเป็นใครก็ได้ตามใจต้องการ โดยไม่เกิดการต่อต้านทางอารมณ์!


จะปลอมตัวเป็นใครก็ได้ แต่ต้องไม่ลืมตัวเอง


เข้าใจอย่างถ่องแท้ก็วันนี้…


เราคือเรา… ที่กำลังบังคับตัวละครในเกม…


เมื่อสามารถรักษาความสมดุลระหว่างการเข้าถึงบทบาทตัวละคร และการแยกจิตออกจากร่างกายได้อย่างมีเสถียรภาพ ไคลน์พบแก่นแท้ของการ ‘ไม่ลืมตัวตน’


นี่คือหลักสำคัญอันดับหนึ่งของผู้ไร้หน้า…


ชายหนุ่มหายใจทั่วท้องพลางตระหนักว่า ความอับอายส่วนสุดท้ายได้หายไปโดยสมบูรณ์


อาศัยมุมมองคล้ายกับกำลังเล่นเกม ไคลน์สำรวจตัวเองในกระจกเพื่อมองหาจุดบกพร่อง


โชคดีที่เราบอกให้เดนิสช่วยหาเสื้อผ้าผู้หญิงมาศึกษาองค์ประกอบดูก่อน ไม่อย่างนั้นคงสวมใส่ได้ไม่ชำนาญ และอาจเกิดพิรุธในรายละเอียดเล็กน้อย นี่คือทัศนคติของมืออาชีพ…


เฮ่อ เสื้อผ้าสตรีช่างซับซ้อน โดยเฉพาะในมุมมองของผู้ไร้หน้า…


สำหรับไคลน์ หน้าสดของเอลเลนยังมีจุดบกพร่องให้เห็นประปราย เธอมิได้เลอโฉมถึงขนาดต้องเหลียวหลังมองตาม…


หืม… โอสถมีพัฒนาการขึ้นทันที แปลว่าเรากำลังมาถูกทาง…


ไคลน์มองตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกเดียวกับขณะกำลังเล่นเกม RPG สักเกม โดยเอลเลนเป็นเพียงตัวเอกของเรื่องที่ตนต้องควบคุมเพื่อผ่านด่าน


ก็อก! ก็อก! ใครบางคนเคาะประตู


สาวใช้ผมทองซักถามเสียงหงุดหงิด


“ยังไม่เสร็จอีกรึไง!”


สีหน้าไคลน์พลันอึมครึม ประหนึ่งอีกฝ่ายยืมเงินไปหนึ่งหมื่นปอนด์แล้วไม่คืน


ชายหนุ่มเดินไปเปิดประตูโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


สาวใช้ผมทองเดินเข้ามาจับข้อมือไคลน์พร้อมกับยกกุญแจมือขึ้นมาถือ


“เอามือไพล่หลัง! หล่อนยังมีสถานะเป็นนักโทษ!”


เป็นเพราะเอลเลนกำลังอยู่บนกาฬมรณะ สาวใช้ผมทองจึงไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะอาละวาดส่งเดช ส่งผลให้กล้าพูดจาหยามเกียรติ


ไคลน์พ่นลมหายใจ แต่ก็ยอมหันหลังและนำมือไพล่แต่โดยดี เนื่องจากในท่านี้ อีกฝ่ายจะไม่สนใจข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อยของตน


เมื่อสวมกุญแจมือเสร็จ สาวใช้ผมทองนำทางไปยังห้องกัปตันเรือ


บานประตูอยู่ในสภาพเปิดแง้มแต่แรก กลิ่นหอมหวนลอยโชยออกมาพร้อมกับความอบอุ่นอ่อนโยน เป็นกลิ่นที่ไม่ฉุนมาก ปริมาณพอเหมาะชวนให้เคลิบเคลิ้ม


ขณะสาวใช้ผมทองยกมือเตรียมเคาะประตู เสียงอ่อนหวานและนุ่มนวลของหญิงสาวดังแว่วจากด้านใน


“ให้เธอเข้ามาคนเดียว”


สีหน้าสาวใช้ผมทองพลันดำมืด ก่อนจะผลักประตูเปิดอ้าและหันมาจ้องไคลน์อย่างเจ็บแค้น


ถัดจากนี้คือของจริง… ไคลน์สูดลมหายใจสั้น สองเท้าขยับก้าวเข้าไปในห้อง


ประตูด้านหลังพลันปิดสนิท ตัดขาดสิ่งที่อยู่ภายในและภายนอกห้องโดยสมบูรณ์


ไคลน์ย่ำเท้าลงบนพรมหนา อาศัยแสงเทียนจากเชิงเทียนสีทอง ช่วยให้มองเห็นเรือนร่างของสาวงามคนหนึ่ง สวมกางเกงขายาวสีน้ำตาลอ่อน กำลังนั่งหลังโต๊ะทำงานในท่าไขว่ห้างอย่างผ่อนคลาย


คิ้วยาวตรง ดวงตาสีฟ้าเรียวคม ลำตัวท่อนบนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ติดกระดุมหลวมในลักษณะวาบหวิว


ฉากตรงหน้าทำให้ไคลน์เริ่มอึดอัด


เมื่อเห็นเอลเลนผมแดงเดินเข้ามาในห้อง พลเรือโทโรคภัย เทรซี่ ยกมือซ้ายพลางเผยรอยยิ้มเจือความเย็นชา


“ไหนลองบอกฉันที… เธอคิดว่าตัวเองสมควรโดยลงโทษแบบไหน”


เทรซี่ถือแส้สีดำในมือ


มาดาม พวกเราเจรจากันได้…


ไคลน์ติดตลกเพื่อบรรเทาอาการประหม่า


จากนั้น ชายหนุ่มกลอกตามองบนเล็กน้อย ก่อนจะจ้องหน้าอีกฝ่ายและกล่าวเสียงขึงขัง


“ไม่มีสิ่งใดทรมานกว่าการกลับมาที่นี่แล้ว นอกเหนือจากนั้นเป็นแค่ของแถม”


“ยังเย็นชาไม่เปลี่ยน… แต่ไม่ต้องห่วง ฉันจะทำให้ความแน่วแน่นั่นสั่นคลอนอีกครั้งเอง”


เทรซี่ลุกยืนด้วยกิริยาสง่างาม ท่ามกลางแสงเทียนสลัว เงาดำริมผนังไหววูบอย่างทรงเสน่ห์


เธอฉีกยิ้มกว้าง พร้อมกับเดินเข้าหาเอลเลนผมแดงโดยถือแส้ในมือซ้าย สีหน้าแววตายากคาดเดาความคิด


ระหว่างนั้น ไคลน์สังเกตเห็นกำไลข้อมือเลี่ยมเพชรบนแขนขวา


นี่คือสมบัติวิเศษที่เอลเลนเล่าให้ฟัง…


มีพลังช่วยลดความเสียหาย?


ตามแผนเดิม ไคลน์เตรียมจู่โจมเทรซี่ทันทีเมื่อสบโอกาส แต่เห็นทีคงต้องทบทวนดูใหม่


“หึหึ… ใส่กุญแจมือมาด้วยหรือ ชักน่าสนุกแล้วสิ พวกเรายังไม่เคยทำขณะสวมกุญแจมือเลยสักครั้งใช่ไหม?”


เทรซี่กล่าวพลางฉีกยิ้ม ภายในดวงตาคล้ายมีคลื่นทะเลหมุนวนตลอดเวลา


มาดาม… พูดจาไม่น่ารักเลยนะ…


ไคลน์เพียงเม้มปาก ไม่กล่าวสิ่งใด


เมื่อเทรซี่เข้ามาใกล้ เธอใช้มือขวาลูบไปบนผิวแก้มของเอลเลนอย่างอ่อนโยน


“เมื่อครู่เธอพูดว่า ไม่มีสิ่งใดทรมานกว่าการได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว… สินะ?”


ขณะซักถาม ดวงตาเทรซี่เริ่มพร่ามัว แฝงเสน่หาไว้เปี่ยมล้น


“แต่ฉันไม่คิดเช่นนั้น เพราะในทุกครั้ง ตอนแรกเธออาจดิ้นรนขัดขืน แต่ท้ายที่สุด กลับเป็นเธอเสียเองที่กระหายยิ่งกว่าฉัน…”


ยังไม่ทันสิ้นเสียง ไคลน์ใช้มือขวากระตุกกำไลข้อมืออย่างแม่นยำฉับไว จนสมบัติวิเศษชิ้นสำคัญร่วงหล่นลงพื้น


พร้อมกันนั้น มือซ้ายชายหนุ่มพลันส่องแสงสีทองสุกสว่าง ภายในดวงตาสองข้างปรากฏสายฟ้าสีเงินสองเส้น


‘ทะลวงจิต’ จากยุบพองหิวโหย!


สำหรับพลังในการสลัดหลุดจากกุญแจมือ มิใช่สิ่งใดนอกจากเวทมนตร์ ‘กระดูกอ่อน’ ของนักมายากลที่ไคลน์แทบไม่เคยใช้งาน


ตนต้องลงมืออย่างไรและใช้พลังใดบ้าง ไคลน์คำนวณในหัวไว้เสร็จสรรพนานแล้ว เตรียมทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปิดบัญชีเทรซี่ให้เร็วที่สุด


มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่จะช่วยให้โค่นศัตรูระดับพลเรือโจรสลัดลงได้ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่ทำให้ไคลน์สร้างความเสียหายหนักหน่วงจนเทรซี่ปางตายได้ และนั่นจะทำให้จับหล่อนมาสอบปากคำง่ายขึ้น


หรือต่อให้ไม่มีโอกาสสอบปากคำ แต่ไคลน์ก็ไม่ลังเลที่จะดับลมหายใจเธอ มันมีประสบการณ์สื่อวิญญาณบนมิติสายหมอกหลายหน ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่ได้รับข้อมูลสำคัญ


ศัตรูเป็นถึงนักค้ามนุษย์จิตใจต่ำช้า ไม่ควรมอบความปรานีด้วยประการทั้งปวง!


เหนือสิ่งอื่นใด เพื่อให้การปลอมตัวเป็นไปอย่างแนบเนียน ไคลน์ไม่พกสมบัติวิเศษชิ้นอื่นนอกจากยุบพองหิวโหยที่มีพลังพรางตัว ส่งผลให้ไม่สามารถต่อสู้ด้วยเงื่อนไขที่ดีที่สุดของตัวเอง


นอกจากนั้น กาฬมรณะลำนี้มิได้มีเพียงตนกับเทรซี่ตามลำพัง โจรสลัดลำดับ 7 หรือ 6 คนอื่นก็ทรงพลังไม่ต่างกัน จะรอให้พวกมันเข้ามาช่วยไม่ได้เด็ดขาด


อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ต้องรีบลงมือก็คือ พลังป่วยไข้ของหล่อน ยิ่งการต่อสู้ยืดเยื้อ ฝ่ายเสียเปรียบจะกลายเป็นตนแทน


เมื่อไคลน์ยืนยันว่าอีกฝ่ายไม่สามารถใช้กำไลข้อมือเลี่ยมเพชรได้ สายฟ้าในดวงตาพลังส่องสว่างพร้อมกับจู่โจมใส่จิตใจเทรซี่โดยตรง


อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ค่อนข้างผิดคาด เนื่องจากพลเรือโจรสลัดสาวสวยเพียงออกอาการชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหลุดจากทะลวงจิตเร็วกว่าปรกติและรีบหลบหลีกตามสัญชาตญาณ


เธอไม่เชื่อว่าเอลเลนจะจู่โจมเข้าใส่ และไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะมีความกล้าหรือมีฝีมือมากพอ


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)