Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 561-564

 ราชันเร้นลับ 561 : นิทรรศการสมัครงาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

สงสัยจะรวดเร็วเกินไป…


มันกำลังวิ่งวนรอบโลกอยู่รึไง…


หรือว่ากำลังอยู่ข้างหน้าเรา เพียงแต่เคลื่อนไหวได้เร็วเกินไป ก็เลยมองตามไม่ทัน…


ไคลน์รำพัน อดทนรออย่างใจเย็นอีกสักพัก เพื่อดูว่าสิ่งมีชีวิตวิญญาณ ‘รวดเร็วเหนือจินตนาการ’ ของตนจะปรากฏตัวตอนไหน


ชายหนุ่มไม่กังวลว่า ‘รวดเร็วเหนือจินตนาการ’ ของตนจะหลุดไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์ในบริเวณใกล้เคียง เพราะแค่ตนสิ้นสุดพิธีกรรมอัญเชิญ ไม่ว่า ‘รวดเร็วเหนือจินตนาการ’ จะหนีไปไกลได้แค่ไหน แต่มันก็จะถูกส่งกลับโลกวิญญาณทันที


ผ่านไปหลายวินาที เมื่อมั่นใจว่าคงไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอีก ไคลน์ถอนหายใจยาวและเปล่งถ้อยคำเฮอร์มิสโบราณ


“ต้วข้า! ขอสิ้นสุดการอัญเชิญในนามแห่งข้า!”


บรรยากาศเย็นเฉียบรอบตัวพลันเลือนลับ เกลียวสายลมหมุนค่อยๆ จางหาย แสงเปลวเทียนกลับคืนสีปรกติ


ไคลน์เดินไปข้างหน้า ดับเทียนไข และเตรียมคิดคำนิยามใหม่เพื่อใช้อัญเชิญว่าที่ผู้ส่งสาร


ในส่วนของบรรทัด ‘ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า’ และ ‘สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและสามารถรับคำสั่ง’ นั้นยังไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยน บรรทัดแรกมีไว้อ้างอิงถึงสิ่งมีชีวิตบนโลกวิญญาณ สามารถเปลี่ยนให้เป็นคำคล้ายกันได้ แต่ผลลัพธ์จะยังคงเหมือนเดิม ส่วนบรรทัดที่สองมีไว้เพื่อรับประกันความปลอดภัยให้ตัวไคลน์เอง ไม่อย่างนั้น การเฟ้นหาผู้ส่งสารแสนสนุกสนาน อาจกลายเป็นโศกนาฏกรรมสยองขวัญ


อา… เราใช้วลี ‘เหนือจินตนาการ’ เสริมท้ายประโยคไม่ได้ แต่ถ้าเป็นแบบนั้น คุณภาพของผู้ส่งสารอาจไม่ตรงตามใจ… หรือเราควรมองในมุมใหม่… ผู้ส่งสารไม่จำเป็นต้องวิ่งเร็วจนมองตามไม่ทัน ขอเพียงมีความเร็วปานกลาง แต่ไม่ถูกแย่งชิงจดหมายไปก็พอ…


ไม่ถูกแย่งชิงจดหมาย… หมายความว่าไม่ตกเป็นเป้าของนักล่า…


ไคลน์ครุ่นคิดราวสามนาที ก่อนจะเริ่มประกอบพิธีกรรมอีกครั้ง


เมื่อดำเนินขั้นตอนพื้นฐานเสร็จ ชายหนุ่มท่องคาถาบทใหม่


“ตัวข้า! ขออัญเชิญด้วยนามแห่งข้า! ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและพร้อมรับคำสั่ง สิ่งมีชีวิตอ่อนแอที่นักล่าไม่สนใจ!”


ความเงียบปกคลุมโกดังร้างเป็นเวลานานอากาศรอบตัวไคลน์มิได้เย็นขึ้น ไม่มีสายลมหมุนวนเป็นเกลียว แม้กระทั่งเทียนไขก็ไม่เปลี่ยนสี


ไคลน์รอคอยอย่างใจเย็น ด้วยความหวังว่าจะมีผู้ส่งสารดีๆ โผล่ออกมาจากเปลวเทียน


ผ่านไปราวสิบวินาที ชายหนุ่มทำได้เพียงถอนหายใจห่อเหี่ยว พลางกวาดตามองไปรอบตัว


“ล้มเหลว… นิยามนี้ใช่ไม่ได้…”


มันไม่รีรอ รีบสิ้นสุดพิธีกรรมและดับเทียน


แต่ไคลน์ก็ต้องประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเปลวเทียนไหววูบสองสามหนก่อนจะดับมอด


หรือเรามองข้ามอะไรไป…


ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็คลายออกแทบจะในทันที และไม่เก็บมาคิดให้ปวดหัวอีก


สมาธิย้อนกลับมาใคร่ครวญว่า ตนควรดัดแปลงคาถาไปในทิศทางใด โดยไม่สนใจบรรทัดที่หนึ่งและสอง มุ่งเน้นเพียงบรรทัดสุดท้ายเท่านั้น


เราต้องเปลี่ยนมุมมอง อาจไม่จำเป็นต้องถูกนักล่าเพิกเฉย แต่ต้องทนมือทนเท้าได้ดี หรือไม่ก็หลบหลีกเก่ง…


ผู้ส่งสารที่ดีคือผู้ส่งสารที่ทำงานสำเร็จ…


ไคลน์ครุ่นคิดอีกสักพัก ก่อนจะเริ่มประกอบพิธีกรรมเป็นครั้งที่สาม


ท่ามกลางกลิ่นหอมรัญจวนของผงสมุนไพรและน้ำมันสกัด แสงจากเทียนไขกำลังฉาบใบหน้าชายหนุ่มครึ่งหนึ่งจนเกิดแถบเงาดำ


เสียงท่องคาถาดังกังวานภายในโกดังร้าง


“ตัวข้า! ขออัญเชิญด้วยนามแห่งข้า! ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและพร้อมรับคำสั่ง สิ่งมีชีวิตวิเศษที่มีความทนทานเป็นเลิศ!”


ทันใดนั้น เปลวไฟเทียนไขเริ่มขยายตัว สีสันแปรเปลี่ยนเป็นแดงฉาน


ภายในเนตรวิญญาณของไคลน์ กระดูกสีขาวจำนวนมากผุดขึ้นจากพื้นดิน และกองสุมก่อตัวกันเป็นรูปทรงคล้ายตู้นิรภัย


อัญเชิญสิ่งมีชีวิตปรกติออกมาได้สักที…


หืม… น่าจะมีความทนทานทางร่างกายสูง… ด้วยสภาพราวกับตู้นิรภัยเช่นนี้ มองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าทนมือทนเท้า…


ไคลน์เริ่มหายใจทั่วท้อง พลางกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยเฮอร์มิสโบราณ


“เจ้าเป็นผู้ส่งสารให้ข้าได้หรือไม่”


ตู้นิรภัยกระดูกขาวพยักหน้ารับเล็กน้อยเพื่อยืนยันเจตจำนง จากนั้น บางสิ่งคล้ายกระดูกที่อยู่ใต้กล่องนิรภัยเริ่มขยับอย่างเชื่องช้า ร่างกายของมันกำลังคืบคลานเข้าหาไคลน์ด้วยความเร็วสุดอืดอาด


เพียงระยะทางหนึ่งเซนติเมตร มันใช้เวลานานเกือบสิบวินาที!


ช้าฉิบหาย…


ไคลน์ยิ้มแห้ง


จริงอยู่ ผู้ส่งสารสามารถเดินทางผ่านโลกวิญญาณได้ภายในพริบตา แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่า พวกมันไม่ต้องใช้ความเร็ว


ท่ามกลางโลกวิญญาณอันปั่นป่วนและไม่สมเหตุสมผล สิ่งสำคัญในการเดินทางก็คือ ต้องระบุพิกัดปลายทางอย่างแม่นยำ


ขอเพียงระบุตำแหน่งล่วงหน้าได้อย่างชัดเจน ผู้ส่งสารสามารถปรากฏตัวบนโลกความจริงได้ทันที ยกตัวอย่างเช่น หากอัญเชิญผู้ส่งสารจากพิธีกรรม หรือแม้กระทั่งการเป่านกหวีดของแดงของมิสเตอร์อะซิกที่มีลักษณะเหมือนกับพิธีกรรม ผู้ส่งสารก็จะมาปรากฏตัวตรงหน้าแท่นบูชาในพริบตา โดยไม่สนว่าจะอยู่ในส่วนใดของโลกวิญญาณ


แต่ถ้าตำแหน่งของปลายทางไม่แน่นอน ไม่มีพิกัดระบุเหมือนกับแท่นบูชา มีเพียงสายสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างเลือนราง ผู้ส่งสารจำเป็นต้องตระเวนหาปลายทางภายในโลกวิญญาณสักพัก และขั้นตอนนี้จำเป็นต้องใช้ความเร็ว


หากเราใช้เจ้านี่เป็นผู้ส่งสาร เกรงว่าคนรับอาจแก่ตายก่อนจดหมายจะถึงมือ…


ไคลน์ครุ่นคิด พลางจ้องตู้นิรภัยกระดูกขาวที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า


ชายหนุ่มฉีกยิ้มอ่อนโยน


“หลังจากลองทบทวนดูใหม่ ข้าคิดว่าคงเป็นการดีกว่า หากจะไม่รบกวนเวลาของเจ้า ขอบคุณที่เต็มใจช่วยเหลือ”


ได้ยินเช่นนั้น สิ่งมีชีวิตกระดูกมายาพลันหยุดเดินกลางคัน ถึงจะเรียกว่าเดิน แต่ถ้านำไปเทียบกับตอนแรกที่ปรากฏตัว มันแทบไม่ได้ออกจากจุดเดิมเลยสักนิด


ไคลน์รีบยกเลิกพิธีกรรมอัญเชิญ ตามด้วยการเลื่อนมือขึ้นมาก่ายหน้าผาก


ชายหนุ่มรู้สึกหดหู่ไปสักพัก ก่อนจะตัดสินใจละทิ้งอุดมการณ์เก่า และคิดหาวิธีทำให้ขั้นตอนมีความซับซ้อนน้อยลง


ทันใดนั้น มันบังเอิญหวนนึกถึง ‘นิทรรศการสมัครงาน’ สมัยยังอยู่โลกเก่า จึงเริ่มผุดไอเดียหนึ่งขึ้นมา


นัดสัมภาษณ์เป็นกลุ่ม!


ไคลน์สูดลมหายใจยาวเข้าเต็มปอด พยายามสงบจิตใจ และเริ่มประกอบพิธีกรรมอีกครั้ง


ขณะสายตาจ้องเทียนไขที่กำลังลุกไหม้อย่างอ่อนโยน มันเปล่งเสียงกังวานคมชัด


“ตัวข้า! ขออัญเชิญด้วยนามแห่งข้า! ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและพร้อมรับคำสั่ง สิ่งมีชีวิตที่ต้องการเป็นผู้ส่งสารของข้า!”


ฟ้าว!


สายลมพลันพรั่งพรูเข้ามาในกำแพงวิญญาณอย่างท่วมท้น จนหมวกทรงกึ่งสูงเหนือศีรษะชายหนุ่มเกือบปลิวหลุด


เปลวเทียนไขสั่นไหววูบวาบ ตามด้วยการขยายขนาดจนเท่ากับสมองของมนุษย์ โดยสีของไฟเริ่มซีดจางลงราวกับสูญเสียอุณหภูมิ


ทันใดนั้น ศีรษะมายาลอยออกจากเปลวเทียนที่ขยายตัวออกเป็นแผ่นบาง เผยให้เห็นเส้นผมสีทองอ่อนยาวสลวย ดวงตาสีแดงสดราวกับเลือด แถมยังเปล่งประกายอย่างสง่างามตลอดเวลา


ทำไมถึงได้คุ้นหน้านัก…


ไคลน์พึมพำ


เมื่อศีรษะโผล่พ้นเปลวเทียนโดยสมบูรณ์ อวัยวะถัดมามากลับไม่ใช่ลำคอ แต่เป็นฝ่ามืออันขาวเนียนของหญิงสาว ปลายนิ้วมายาทั้งห้ากำลังจับศีรษะไว้แน่นกระชับ


ถัดจากฝ่ามือเป็นชายเสื้อแขนยาวสีเข้ม สลักลวดลายซับซ้อนแต่สง่างาม


สิ่งมีชีวิตวิญญาณที่ถูกอัญเชิญเริ่มโผล่ออกจากเปลวไฟด้วยความรวดเร็ว จนกระทั่งไคลน์มองเห็นร่างสมบูรณ์ของอีกฝ่ายอย่างเต็มสองตา


ถูกต้อง เป็นคนที่ไคลน์เคยเห็นมาก่อน หล่อนคือหญิงสาวไร้หัวที่ยืนบนปราสาทขณะชายหนุ่มกำลังตามหาซากศพของคาเวทูว่า


แต่ร่างกายมิได้ใหญ่โตเท่าปราสาทเหมือนคราวก่อน ส่วนสูงและสัดส่วนเทียบเท่ามนุษย์เพศหญิงธรรมดาคนหนึ่ง


แน่นอน ศีรษะยังคงด้วน รอยตัดรอบลำคอยังคงเรียบเนียนเหมือนเคย โดยแขนทั้งสองข้างกำลังหิ้วศีรษะสี่เศียรแบ่งข้างละสอง


ใบหน้าของทุกหัวเหมือนกันราวกับแกะ


“เจ้า… เรียก… ข้า… หรือ…”


สตรีไร้หัวผู้สวมชุดเดรสดำรุงรังแต่สง่างาม ร่างมายาของเธอยังคงยืนนิ่งในจุดเดิม แต่ศีรษะทั้งสี่ของเธอสลับกันพูดทีละคำเป็นภาษาฟุซัคโบราณ


สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้… ระดับของตัวตนต้องไม่ธรรมดาแน่… ถ้าจำไม่ผิด หล่อนมีปราสาทเป็นของตัวเองไม่ใช่หรือ… ในเมื่อเป็นถึงเจ้าของที่ดิน แล้วทำไมถึงมาสมัครเป็นผู้ส่งสารให้เรา…


ไคลน์รำพันพลางตั้งคำถาม ก่อนจะหันไปมองเปลวเทียนด้านหลังหญิงสาวอย่างผิดหวัง เนื่องจากไม่มีวิญญาณดวงอื่นลอยออกมาเพิ่ม


มันเคยคิดว่า การอัญเชิญด้วยคาถาแบบหว่านแห จะทำให้วิญญาณมากมายต่อคิวกันมาสมัครเป็นผู้ส่งสาร แต่ในความเป็นจริง ผู้ตอบสนองพิธีกรรมกลับมีเพียงหนึ่ง


ปัญญาน่าจะอยู่ที่ระดับพิธีกรรม…


พิธีกรรมอัญเชิญของเราเรียกได้ว่าเป็นพื้นฐานของพื้นฐาน คงไม่มีอำนาจมากพอจะอัญเชิญวิญญาณได้มากกว่าหนึ่ง…


ไคลน์จ้องเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวไร้หัว ตามด้วยการมอบคำตอบ


“ใช่ครับ”


โดยไม่รอให้อีกฝ่ายซักถาม มันรีบตั้งคำถามเพิ่มเติมสองข้อ


“คุณเคลื่อนที่บนโลกวิญญาณได้เร็วแค่ไหน… แล้วร่างกายทนทานหรือไม่…”


หญิงไร้หัวตอบกลับด้วยศีรษะในมือ


“แน่… นอน… ค่อน… ข้าง… เร็ว…”


ขณะกล่าว เธอลอยตัวขึ้นและพุ่งลงมาด้วยความเร็วสูง เพื่อพิสูจน์ให้เห็นด้วยการกระทำ


ไม่เลว…


ไคลน์ไม่ซักถามให้มากความ ตัดสินใจพูดเข้าประเด็นทันที


“อยากทำพันธสัญญากันไหม… มาเป็นผู้ส่งสารให้ผม”


กระโปรงของหญิงไร้หัวกระพือเล็กน้อย ก่อนที่ศีรษะทั้งสี่จะพยักหน้าพร้อมกัน


“ตก… ลง… หนึ่ง… เหรียญ…. ทอง… ต่อ… หนึ่ง… ครั้ง…”


หือ… หนึ่งเหรียญทองต่อหนึ่งครั้ง?


มิสเตอร์อะซิกไม่เห็นจะเคยเล่าให้ฟังว่า สิ่งมีชีวิตวิญญาณมีงานอดิเรกแบบนี้ด้วย… แต่เขากำชับมาว่า ก่อนจะทำพันธสัญญา ควรมีการพูดคุยข้อตกลงกับอีกฝ่ายให้ชัดเจนเสียก่อน… นี่คงเป็นขั้นตอนดังกล่าวกระมัง…


ไคลน์ตกใจจนเกือบยกเลิกพิธีกรรมกลางคัน


ใจเย็นก่อน… หล่อนไม่ได้ระบุว่าเราต้องจ่ายเสมอไป… หากเราโน้มน้าวและพูดคุยอย่างใจเย็น บางทีอาจมีระบบเก็บเงินปลายทาง…


หลังจากเค้นสมองวิเคราะห์หาข้อดีข้อเสียอย่างรอบคอบ ไคลน์ตัดสินใจใช้บริการหล่อน


“ตกลง มาทำพันธสัญญากัน”


ชายหนุ่มหยิบปากกาหมึกซึมสีแดงและกระดาษหนังสีน้ำตาลที่เตรียมไว้ขึ้นมา จากนั้นก็เขียนด้วยตัวอักษรเฮอร์มิสโบราณ ภาษาซึ่งมีอำนาจในการกระตุ้นพลังธรรมชาติ


รายละเอียดของพันธสัญญาถูกเขียนขึ้นตามคำแนะนำของมิสเตอร์อะซิก เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ เงื่อนไขประกอบด้วย ผู้ส่งสารห้ามเปิดอ่านเนื้อหา ห้ามทิ้งจดหมาย และห้ามทำอันตรายแก่คู่สัญญา แน่นอน ถ้าเป็นจดหมายถึงผู้ส่งสาร คู่สัญญาจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้า


สุดท้าย ไคลน์เพิ่มเข้าไปอย่างชัดเจนว่า ทุกการส่งจดหมายจะมีค่าบริการทั้งสิ้นหนึ่งเหรียญทอง โดยผู้จ่ายจะเป็นฝั่งคู่สัญญาหรือฝั่งปลายทางก็ได้ทั้งนั้น


เพื่อให้พันธสัญญามีผลบังคับใช้ พลังของตัวตนระดับสูงคือสิ่งจำเป็น ท้ายจดหมายจึงต้องลงนามด้วยชื่อของเทพในขอบเขตดังกล่าว


ตามปรกติแล้ว เมื่อเป็นพันธสัญญาในอำนาจของมรณา นามของเทพก็ควรเป็นมรณา แต่เนื่องจากเทพมรณาร่วงหล่นไปเป็นเวลานานและไม่เคยตอบสนองพิธีกรรม อะซิกจึงแนะนำให้ไคลน์ระบุถึงนามของตัวตนอื่นบนเส้นทางความตายแทน หรือไม่ก็ระบุถึงนามของโลกแห่งความตายโดยตรง ส่วนนี้เป็นเพียงพลังผูกมัดผิวเผิน ไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองอะไรนัก


ไคลน์ตัดสินใจเลือกระบุนามของโลกแห่งความตาย เพราะฟังดูเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่


“สถานที่หวนกลับสำหรับทุกชีวิตที่แตกดับ โลกแห่งความตายที่ซ่อนเร้นในโลกวิญญาณ ประจักษ์พยานการเน่าเปื่อยของทุกชีวิต อาณาจักรแห่งเทพมรณาเพียงผู้เดียว!”


หลังจากเขียนนามเต็มของโลกแห่งความตายครบสี่บรรทัด ตัวอักษรภาษาเฮอร์มิสโบราณเริ่มส่องแสงสีเขียวไล่จากต้นจนจบ บรรยากาศรอบตัวชายหนุ่มพลันอึมครึมทันใด


เมื่อตรวจทานความถูกต้องเป็นครั้งสุดท้ายจนมั่นใจ ไคลน์หยิบนกหวีดทองแดงของอะซิกซึ่งมาวางลงบนกระดาษหนัง และลงนามด้วยชื่อของตัวเอง :


“เกอร์มัน·สแปร์โรว์”


ตรงจุดนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อจริง เพราะพันธสัญญาจะสมบูรณ์ด้วยออร่าของทั้งสองฝ่าย ชื่อจะมีไว้เพื่อประกอบพิธีกรรมอัญเชิญให้สมบูรณ์


ตัวอย่างเช่น หากลงนามด้วยชื่อเกอร์มัน คาถาการอัญเชิญจะต้องลงท้ายด้วยคำว่า ‘ผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แต่เพียงผู้เดียว’ เท่านั้น ถ้าเปลี่ยนเป็น ‘สิ่งมีชีวิตที่เป็นคู่สัญญาของไคลน์·โมเร็ตติ’ จะไม่สามารถใช้การได้


เมื่อไคลน์ลงนามเสร็จ กระดาษหนังลอยขึ้นพร้อมกับนกหวีดทองแดง ก่อนจะบินไปหาหญิงสาวไร้เศียรมาดสง่างาม


เจ้าของเส้นผมสีทองสว่างและดวงตาสีแดงสดส่องประกาย ทำการลงนามด้วยชื่อ :


“ไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์”


ทันใดนั้น เปลวเพลิงสีเขียวอ่อนพลันลุกโชนขึ้นจากตัวหนังสือ เผาไหม้กระดาษหนังไปพร้อมกับคลอกนกหวีดทองแดง


ผ่านไปหนึ่งอึดใจ กระดาษหนังแปรเปลี่ยนเป็นละอองขี้เถ้าโดยสมบูรณ์ ส่วนนกหวีดทองแดงของอะซิกหล่นลงบนฝ่ามือไคลน์อย่างนุ่มนวลและไร้รอยขีดข่วน


ศีรษะทั้งสี่ของไรเน็ตต์ขยิบตาให้ไคลน์พร้อมเพรียง ก่อนจะหายตัวกลับเข้าไปในเปลวเทียนหน้าแท่นบูชาอย่างเงียบงัน


เมื่อพันธสัญญาจบลง ชายหนุ่มไม่ต้องเปลืองแรงสิ้นสุดพิธีกรรมด้วยตัวเอง อีกฝ่ายสามารถหายตัวกลับไปได้ดั่งใจ


อา… เรามีผู้ส่งสารเป็นของตัวเองสักที… คาถาอัญเชิญเธอก็คือ ‘ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า ; สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและพร้อมรับคำสั่ง ; ผู้ส่งสารของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แต่เพียงผู้เดียว’ …


หลังจากนี้ เราคงต้องหาโอกาสติดต่อช่างฝีมือ และให้อีกฝ่ายช่วยสร้างสมบัติวิเศษที่คล้ายกับนกหวีดทองแดงอะซิก จะได้ไม่ต้องเสียเวลาประกอบพิธีกรรมทุกครั้ง…


ไคลน์เก็บข้าวกองอย่างอารมณ์ดี



ผ่านมาหลายวัน เมืองบายัมเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปรกติ กฎอัยการศึกถูกยกเลิก


แต่ถึงอย่างนั้น เดนิสที่คอยเฝ้าเครื่องรับโทรเลขไร้สายเกือบตลอดทั้งวัน ก็ยังไม่พบข้อความใดจากฝ่ายพลเรือเอกโลหิต



วันอาทิตย์ช่วงเช้า เดนิสนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ พลางหันมากล่าวกับไคลน์ด้วยเสียงที่ถูกบีบให้เบาลง


“คืนนี้มีชุมนุมผู้วิเศษ นายสนใจไหม”


……………………


ราชันเร้นลับ 562 : เอลเลน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชุมนุมผู้วิเศษ?


ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะพยักหน้ารับ


“ตกลง”


ถึงเวลารวบรวมวัตถุดิบรองของโอสถนักเชิดหุ่นไว้บ้างแล้ว อีกทั้งยังมีโอกาสได้พบช่างฝีมือ…


ชายหนุ่มวางแผนในใจเสร็จสรรพ


เมื่อได้ยินเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตอบรับ เดนิสเริ่มหายใจทั่วท้อง มันมิอาจเก็บซ่อนรอยยิ้มแฝงความพึงพอใจไว้ได้


พักหลังมานี้ นับตั้งแต่ค่าหัวเพิ่มขึ้นเกินกว่าฝีมือของตน เดนิสเลือกหมกตัวอยู่แต่ในห้องและเฝ้าเครื่องรับโทรเลข ความเบื่อหน่ายและสิ้นหวังกำลังกัดกร่อนจิตใจหนักหน่วง มันจึงอดใจรอให้ถึงช่วงค่ำของคืนนี้ไม่แทบไม่ไหว


ชุมนุมผู้วิเศษที่เดนิสหมายถึงนั้นถูกจัดขึ้นที่ผับใบไม้หอม อุดมไปด้วยโจรสลัด สายข่าว และนักผจญภัยมากมาย เป็นตัวเลือกแรก ๆ สำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลและวัตถุดิบ


ไคลน์ในโค้ทสีดำ หมวกผ้าไหม เดินตามเดนิสผ่านผับอันเนืองแน่นเข้าไปด้านใน จนกระทั่งถึงห้องเล่นไพ่ เมื่อถูกสายตาแฝงความกดดันจากผู้คุมหลายคน เดนิสพูดรหัสผ่าน และได้รับอนุญาตให้เดินลงบันไดไปยังลานกว้างชั้นใต้ดิน


บรรยากาศด้านล่างคล้ายกับผับมังกรชั่วของเมืองทิงเก็น สินค้าในตลาดมืดมีทั้งสมุนไพร น้ำมันสกัด หนังสือโบราณ ยันต์ และอุปกรณ์เวทมนตร์ชนิดต่างๆ แต่จุดที่ไม่เหมือนก็คือ ที่นี่มีอาวุธปืนขาย รวมถึงเครื่องกระสุนอีกหลายชนิด ไคลน์พบกระทั่งปืนคาบศิลาและกระสุนตะกั่วที่แทบไม่มีใครใช้กันแล้วในปัจจุบัน


หือ… แม้แต่บัตรยืนยันตัวตนปลอมและตราประทับปลอมก็ยังมี… แปลว่าอุตสาหกรรมที่นี่เจริญก้าวหน้ากว่าทิงเก็นพอสมควร สมกับเป็นเมืองอาณานิคมใหญ่… ไว้เราค่อยกลับมาซื้อวัตถุดิบสำหรับสร้างยันต์เทพสมุทร ของแบบนี้ ถ้ายิ่งซื้อในปริมาณมาก ราคาก็จะยิ่งถูกลง…


ไคลน์เหลียวซ้ายแลขวาหนึ่งรอบ หวังเก็บรายละเอียดภาพรวมของตลาดมืดให้ครบถ้วน


สำหรับเดนิสด้านข้าง เนื่องจากเริ่มไม่มั่นใจฝีมือการแปลงโฉมของตัวเอง จึงต้องสวมหมวกแก๊ปเพื่อกันพลาด เดินไปไหนมาไหนก็เอาแต่กดปีกหมวกลงต่ำ ปกปิดใบหน้าไว้เกินกว่าครึ่ง จนกระทั่งผ่านไปสักพัก ด้วยความชำนาญพื้นที่ เพลิงพิโรธเดินนำไคลน์ไปถึงประตูอีกฝั่งของตลาดมืด และเคาะประตูด้วยจังหวะยาวสองครั้งสั้นสี่ครั้ง ยืนรอให้คนข้างใดเปิดออกมา


ด้านหลังประตูเป็นห้องขนาดเล็ก แสงสว่างมาจากเทียนไขเพียงเล่มเดียวซึ่งตั้งอยู่บนราวเชิงเทียนข้างกำแพง


เดนิสชี้ไปยังสิ่งของมากมายที่วางระเกะระกะภายในห้อง มีทั้งหน้ากากเหล็ก ผ้าคลุม บางชิ้นแขวนบนราว บางชิ้นวางบนโต๊ะ ก่อนจะหันมาพูดกับไคลน์


“จะปลอมตัวเพิ่มหรือไม่ต้องก็ได้ ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล”


ชายหนุ่มกวาดสายตามอง หางตาชำเลืองผู้คุมเล็กน้อย


“ไม่จำเป็น”


ปัจจุบัน เราคือสายข่าวของ MI9… โบสถ์วายุสลาตันก็ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล… หรือหากโจรสลัดกับพวกนักผจญภัยเกิดอยากโจมตีเพียงเพราะเราไม่ปกปิดตัวตน…


หึหึ… สมองไคลน์กำลังจินตนาการภาพเงินค่าหัวลอยมาหาตนก้อนแล้วก้อนเล่า


มุมปากเดนิสกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวหยิบหน้ากากเหล็กขึ้นมาสวม


จากนั้น ผู้คุมเดินนำเดนิสและไคลน์ไปตามทางเดินที่มืดจนแทบมองอะไรไม่เห็น จนกระทั่งมาถึงอีกห้องหนึ่ง


ตกแต่งได้หรูหรามาก… บนพื้นมีพรมแผ่นใหญ่จากทวีปใต้ ข้างกำแพงมีเชิงเทียนระยิบระยับที่น่าจะทำจากทอง เทียนไขมีกลิ่นใหม่ มอบเปลวไฟสีเข้มข้น…


ไคลน์กวาดตามอง และเดินไปนั่งบนโซฟาหนังสีน้ำตาลโดยไม่ปรึกษาเดนิส ชายหนุ่มเอนหลังพิงเบาะนุ่มสบายพร้อมกับยกขาขวาขึ้นมาไขว่ห้างทับขาซ้าย


ภายในห้องมีสมาชิกไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว คละเพศและช่วงอายุ บ้างสวมหน้ากากเหล็ก บ้างสวมผ้าคลุม และบ้างไม่ปกปิดตัวตนเหมือนไคลน์ อ้างอิงจากคำอธิบายของเดนิสในช่วงเช้า สมาชิกของชุมนุมลับแห่งนี้อาจไม่ใช่ผู้วิเศษเสมอไป เป็นได้ทั้งสายข่าว ตัวแทนของกลุ่มกองกำลัง หรือคนคลั่งศาสตร์เร้นลับที่ต้องการกลายเป็นผู้วิเศษ


ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน กระแสเวลาไหลผ่านอย่างรวดเร็ว ราวเจ็ดแปดนาทีถัดมา ชายชราบนเก้าอี้เอนหลังพลันเหยียดตัวตรง สองมือประสานด้านหน้า และตะโกนกล่าวกับทุกคนด้วยเสียงฉะฉาน


“เริ่มได้”


ใบหน้าแก่ชรา ผมสีเทา เส้นผมบางจนแทบไม่เหลือบนศีรษะ แต่ดวงตาสีน้ำตาลกลับไม่ขุ่นมัวเหมือนคนแก่ทั่วไป ยังคงสดใสกระจ่างชัด


“เจ้าของชุมนุมคือ ‘ชายฉกรรจ์’ โอซิล เคยเป็นโจรสลัดโด่งดังในอดีต ปัจจุบันเป็นบอสลับของผับใบไม้หอม” เดนิสขยับตัวเข้ามาใกล้เพื่อกระซิบบอก


มันเคยเล่าให้ฟังไปแล้วเมื่อเช้า แต่กังวลว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์อาจไม่รู้ว่าเป็นคนไหน จึงต้องอธิบายซ้ำเพื่อป้องกันอีกฝ่ายเข้าใจผิดและโมโหใส่ตน


การปล่อยให้คนอื่นรู้ความลับไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด… โดยเฉพาะกับคนบ้า…


เดนิสถอนหายใจยาว


ไคลน์พยักหน้ารับเล็กน้อย และนั่งจ้องสมาชิกคนอื่นดำเนินการค้าขายอย่างเงียบงัน


สินค้ามีมากมาย แม้กระทั่งสูตรผลิตโอสถ ‘นักรบ’ ‘ลูกเรือ’ และ ‘ผู้ส่องความลับ’ แต่ข้อเสนอก็เกือบทั้งหมดไม่ถูกตอบสนอง เหล่าพ่อค้าจึงพากันผิดหวังไปตามๆ กัน


เดนิสหันมาจ้องสีหน้าไร้อารมณ์ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้านข้างพลางกระซิบ


“ชุมนุมแห่งนี้ไม่มี ‘ผู้รับรอง’ รวมถึงไม่มี ‘นักทำนาย’ ลำดับสูง ส่งผลให้สูตรผลิตโอสถมักขายไม่ออก เนื่องจากสินค้าประเภทนี้มีราคาสูงและปลอมแปลงได้ง่าย ต่อให้ซื้อไปแล้วทราบทีหลังว่าเป็นของปลอม ก็ไม่สามารถเอาความกับคนขายได้ เพราะทางนั้นก็อาจถูกหลอกมาอีกทอดเหมือนกัน”


ฉันรู้… นี่คือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่สูตรโอสถไม่ถูกเผยแพร่เป็นวงกว้าง…


ไคลน์ลดขาขวาลง เอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยและเปล่งเสียงฉะฉาน


“ฉันต้องการซื้อเศษเสี้ยววิญญาณอาฆาตโบราณ”


ชายหนุ่มมิได้กล่าวถึงผลึกแก่นของการ์กอลย์หกปีก รวมถึงน้ำจากน้ำพุทองคำบนเกาะโซเนียและวัตถุดิบรองชนิดอื่น เพราะอาจมีใครสักคนทราบว่าตนคือผู้ไร้หน้าที่กำลังจะเลื่อนลำดับเป็นนักเชิดหุ่น


ย้อนกลับไปสมัยทิงเก็น ไคลน์เคยอาศัยข้อมูลเกี่ยวกับสูตรผลิตโอสถผู้ชม ตรวจพบความผิดปรกติเกี่ยวกับจิตแพทย์ดักซ์เตอร์ จนสืบทราบในภายหลังว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชม แถมยังเป็นสมาชิกสมาคมแปรจิต


แต่หากขอซื้อเศษเสี้ยววิญญาณอาฆาตโบราณเพียงอย่างเดียว การจะคาดเดาทิศทางแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากสิ่งนี้มักถูกใช้บ่อยครั้งในพิธีกรรมขอบเขตความตาย


ถึงไคลน์จะไม่ปลอมตัว แต่ก็มิได้หมายความว่ามันจะประมาท


ห้องเงียบงันราวสองวินาที ก่อนที่สุ้มเสียงเจือความแหบพร่าจะดังขึ้น


“ต้องการมากแค่ไหน”


มีคนขายด้วยหรือ…


ภายนอก ไคลน์ยังคงทำหน้านิ่ง แต่ภายในใจกำลังออกอาการยินดี


เมื่อหันไปมองตามต้นเสียง ไคลน์พบว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มชนพื้นเมือง อายุราวสามสิบ


ผิวสีแทน แต่ผิวพรรณไม่เรียบเนียน คล้ายกับขาดสารอาหารเป็นเวลานาน ใบหน้าซูบตอบ โหนกแก้มสูง เบ้าตาจมลึก ดวงตามีสีขาวมากกว่าดำ


“เท่าขวดนี้” ไคลน์หยิบขวดโลหะในกระเป๋าเสื้อออกมาแสดงเป็นตัวอย่าง


ชายผิวสีแทนแก้มซูบกล่าวต่อ


“ห้าร้อย”


สมเหตุสมผล…


ขณะไคลน์คิดจะต่อราคาอีกสักนิด มุมสายตาเหลือบไปเห็นเดนิสด้านข้างเข้า


เราคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์… นักผจญภัยเลือดเย็นและป่าเถื่อน…


ไคลน์ท่องซ้ำในใจสามรอบ ก่อนจะผ่อนลมหายใจยาวด้วยสีหน้าเจือความเจ็บปวด


สุดท้ายก็ต้องยอมปล่อยวาง


“ตกลง”


ชายหนุ่มนำปึกธนบัตรที่เตรียมไว้ ออกมานับให้ครบห้าร้อยปอนด์


ชายแก้มตอบล้วงหยิบหลอดทดลองแก้วออกจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะโยนมาทางไคลน์ในทันที


“เก็บรักษาได้ราวหนึ่งปี หลังจากนั้นพลังวิญญาณจะเสื่อมลง”


มันไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะรับไม่ทันจนขวดหล่นแตก เพราะถึงจะเป็นแบบนั้น แต่สินค้าภายในก็จะไม่เสื่อมสลาย เพียงหาภาชนะใหม่มาบรรจุก็เป็นอันใช้ได้


ไคลน์ยกมือขวาและคว้าไว้อย่างชำนาญ


จากนั้น ชายหนุ่มหยิบขวดขึ้นมาจ้อง และพบว่าด้านในมีจุดเรืองแสงลอยอยู่ เมื่อจุดแสงเลื่อนไปแตะด้านในขวดแก้ว ก้อนกลมจะขยายตัวออกเป็นรูปทรงใบหน้าบิดเบี้ยวที่อ้าปากตะโกนบางสิ่งอย่างเงียบงัน


ของจริง…


ไคลน์พยักหน้ากับตัวเอง พลางยื่นปึกธนบัตรห้าร้อยปอนด์ให้กับผู้ช่วย และนั่งมองผู้ช่วยนำไปส่งถึงมือคนขาย


ถัดจากนั้น ข้อเสนอของสมาชิกคนแล้วคนเล่าดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่ก็แทบไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้น


จนกระทั่งใกล้จบชุมนุม ‘ชายฉกรรจ์’ โอซิลหันมายิ้มกับทุกคน


“ฉันมีงานให้ทำ”


มันกล่าวพลางล้วงรูปถ่ายออกจากช่องกระเป๋าเสื้อด้านใน


“ตามหาบุคคลในภาพให้พบ รางวัลตอบแทนคือหนึ่งพันปอนด์หรือวัตถุดิบวิเศษมูลค่าใกล้เคียง แต่จงจำไว้ว่า ห้ามทำอันตรายหล่อนโดยเด็ดขาด”


หนึ่งพันปอนด์เชียว?


ราคาสูงเอาเรื่อง… พวกโจรสลัดและนักผจญภัยต้องพลิกแผ่นดินหาแน่… ชักอยากรู้แล้วว่าใครอยู่เบื้องหลังภารกิจนี้…


ไคลน์ไม่ประหลาดใจเมื่อเห็นสมาชิกส่วนใหญ่ภายในห้องต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม


รูปถ่ายของเป้าหมายถูกส่งผ่านมือต่อมือในทิศทางทวนเข็นนาฬิกา จนกระทั่งมาถึงมือไคลน์ในอีกไม่กี่นาทีถัดมา


หลังจากชำเลืองสักพัก ความประหลาดใจได้ผุดขึ้นท่ามกลางห้วงความรู้สึก


หญิงสาวในภาพจัดว่าหน้าตาสวย ด้วยเส้นผมสีแดงสว่างและดวงตาสีฟ้าคราม แม้ผิวพรรณจะไม่ขาวเนียนเหมือนหิมะ แต่ก็มีสัญญาณของสุขภาพดีและการบำรุง


ขณะกำลังถ่ายภาพนี้ เธอสวมเดรสยาวสีทะเลสาบ บริเวณสะโพกมัดด้วยริบบิ้นชิ้นใหญ่จนทำให้ดูเอวคอดและผอม อย่างไรก็ตาม ถึงใบหน้าจะกำลังเผยรอยยิ้ม แต่กลับแฝงความรู้สึกกระอักกระอ่วนไว้เจือจาง


ลูกคุณหนูแน่นอน…


หืม… ยอมจ่ายมากถึงหนึ่งพันปอนด์แถมยังห้ามทำอันตราย…


เธอถ่ายรูปด้วยรอยยิ้มไม่เต็มใจ…


สมองไคลน์เริ่มเต็มไปด้วยบทหนังรักโรแมนติกเจอความเศร้าและผิดหวัง


ตัวอย่างเช่น เรื่องราวของโจรสลัดคนหนึ่งที่ได้ปล้นเรือซึ่งมีลูกคุณหนูโดยสารมาด้วย มันเกิดรักแรกพบและจับเธอไปขัง แต่หญิงสาวหนีรอดมาได้ หรือไม่ก็ เรื่องราวของลูกคุณหนูใจแตกคนหนึ่งที่ผันตัวเองเป็นโจรสลัด แต่วันหนึ่งถูกจับกุมและควบคุมตัว อย่างไรก็ตาม เธอตกหลุมรักกับทูตพิพากษาระดับกลางจนสามารถหลบหนีออกมาสำเร็จ หรือไม่ก็ เรื่องราวของแม่มดสุขสมที่ไปหลับนอนกับคนอื่นเรี่ยราดเพื่อย่อยโอสถ แต่ดันเกิดตกหลุมรักเหยื่อเข้า…


หลังจากความคิดพลุ่งพล่านผ่านไปได้สักพัก ไคลน์เกือบเลื่อนมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง


ชาติก่อนเราคงอ่านนิยายมากไป… แถมมาโลกนี้ก็ยังถูกแม่มดตามหลอกหลอนไม่รู้จบ…


ชายหนุ่มถอนหายใจยาว ก่อนจะเงยหน้าและหันไปถามเจ้าของงาน ชายฉกรรจ์·โอซิล


“หล่อนชื่ออะไร”


“เอลเลน” โอซิลตอบห้วน “แต่ตอนนี้คงใช้ชื่อปลอมและเปลี่ยนไปเรื่อยๆ”


เอลเลน ชื่อยอดนิยมของอินทิส…


ไคลน์ถามเพิ่ม


“มีสิ่งของที่เธอพกติดตัวเป็นประจำบ้างไหม …เส้นผมก็ได้”


มันจะนำไปใช้ทำนายระบุตำแหน่ง


ไคลน์ตัดสินใจไม่ถามออกไปว่า มีเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซักของหล่อนเหลือบ้างไหม เพราะมันเกรงว่าเจ้าของภารกิจตัวจริงจะโยนกางเกงในของเธอมาทางตน นั่นยิ่งจะทำให้สถานการณ์กระอักกระอ่วน


โอซิลส่ายหน้า


“ไม่มี… เธอพลังต่อต้านการแกะรอยในระดับสูง”


“ฝีมือประมาณไหน” สมาชิกคนอื่นในชุมนุมเริ่มถามบ้าง


โอซิลตอบเสียงขรึม


“ผู้ว่าจ้างไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เพียงยืนยันได้ว่า เธอมิได้แข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังเก่งกว่าลำดับ 9 ไม่จำเป็นต้องจับตัวมาส่ง ขอเพียงยืนยันที่อยู่ของเธออย่างแม่นยำ พวกนายก็จะได้รับรางวัลเต็มจำนวน”


……………………


ราชันเร้นลับ 563 : ‘พร’ จากเดอะฟูล

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ขอเพียงระบุแหล่งกบดานได้ ก็รับเงินไปเลยทันทีหนึ่งพันปอนด์… ฉันไม่เคยเห็นภารกิจที่ง่ายและจ่ายหนักขนาดนี้มาก่อน!”


บนถนนด้านนอกผับใบไม้หอม เดนิสกำลังถูมือไปมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น ก่อนจะกำหมัดชกใส่เสาเหล็กสีดำของโคมไฟริมถนน มันรอไม่ไหวแล้วที่จะเดินไปรอบเมืองเพื่อตามหาสาวผมแดงนามว่าเอลเลน


สำหรับเดนิส เงินหนึ่งพันปอนด์ไม่ใช่จำนวนที่น้อย มากพอจะซื้อบ้านเพิ่มในบายัมได้อีกหนึ่งหลัง เพียงแต่ไม่ใช่ในทำเลทอง


พรมวิเศษที่มันได้รับมาก่อนหน้า ยังตีมูลค่าได้เพียงสองถึงสามพันปอนด์เท่านั้น ทั้งที่ได้จากการเสี่ยงชีวิตต่อสู้กับเหล็กกล้า·แม็ควิตี้ และพุ่มหนามสีเลือด·เฮนดรี้ เทียบไม่ได้เลยกับภารกิจสุดแสนสบายอย่างการตามหาคนหาย


ไคลน์ที่กำลังเดินนำหน้าเดนิส ในมือชายหนุ่มถือหนังสือพิมพ์ซึ่งกำลังห่อกล่องบรรจุวัสดุสำหรับสร้างยันต์มูลค่ารวมสิบห้าปอนด์ มันลดความเร็วลงเล็กน้อย ก่อนจะชำเลืองหางตามองเดนิส และพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์


“ห้าพันห้าร้อยปอนด์”


เดนิสที่กำลังตื่นเต้น พลันยิ้มแข็ง


คำพูดดังกล่าวทำให้เพลิงพิโรธหวนนึกถึงปัญหาสำคัญที่ตนกำลังประสบมาในช่วงหลายวันหลัง


ในสายตาของบรรดาโจรสลัดและนักผจญภัย ชื่อของเราก็ยั่วยวนไม่ได้แตกต่างจากเอลเลนผมแดงเลยสักนิด!


พวกมันไม่จำเป็นต้องสู้และเอาชนะ ขอเพียงนำข่าวของเดนิสไปรายงานให้โบสถ์ กองทัพ หรือกรมตำรวจทราบ ถ้าหากลงเอยด้วย เดนิสถูกจับกุมตัว ค่าตอบแทนของผู้แจ้งข่าวจะไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันปอนด์แน่นอน เพราะค่าหัวรวมของเดนิสสูงถึงห้าพันห้าร้อยปอนด์!


ดังนั้น หากมันเตร็ดเตร่ไปทั่วเมืองเพื่อค้นหาสาวผมแดงนามเอลเลน ตัวเดนิสจะไม่ต่างอะไรกับหญิงงามที่เดินเข้าไปในโรงละครสีแดงเพื่อหาชายหนุ่มมาดับกระหาย


แม่… เย็*…


เดนิสพ่นคำสบถโดยลากเสียงเล็กน้อย


ทันใดนั้น ตามสัญชาตญาณ มันรีบกดปีกหมวกแก๊ปให้ต่ำกว่าเดิม


หลังจากราดน้ำเย็นใส่เดนิส ไคลน์กลับไปเดินด้วยความเร็วปรกติ สมองครุ่นคิดว่าตนควรทำอย่างไรกับเรื่องของเอลเลนผมแดง


เนื่องจากไม่มีทรัพย์สินติดตัวของเป้าหมาย รวมถึงมีข้อมูลไม่มากพอ เทคนิคการทำนายจึงถูกพับเก็บอย่างไม่มีทางเลือก


สั่งให้ลูกน้องค้นหาแบบปูพรมรอบเมือง…? วิธีการแบบนั้นคงมีแต่โบสถ์กับกองทัพที่ทำได้ แม้แต่กลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นก็ยังยาก…


เดี๋ยวก่อน… ถ้าเป็นเราก็ไม่แน่…


เราคือคาเวทูว่า เทพสมุทร มีสาวกอยู่รอบบายัม รอบเกาะภูเขาคราม และรอบเขตหมู่เกาะรอสต์ทั้งหมด หากเราส่ง SMS… ไม่สิ ส่งพระวิวรณ์ให้กับสาวกทุกคนถ้วนหน้า กำชับให้ช่วยสอดส่องมองหาสตรีผมแดงนามว่าเอลเลน ภารกิจก็ไม่น่าจะยากเย็นอะไรนัก… แต่แบบนี้ถือว่าทำเกินกว่าเหตุไหม… เพียงเพื่อเงินแค่หนึ่งพันปอนด์…


หรือควรรักษามาดของเทพไว้บ้าง…


หากเราเป็นเทพและสั่งในนามของตัวเอง เรื่องนี้คงไม่ต้องเก็บมาคิด แต่ในเมื่อกำลังสวมรอยเป็นคาเวทูว่า เพื่อให้สวมบทบาท ก็คงต้องรักษาความน่าเกรงขามไว้สักหน่อย…


แม้แต่เทพสติปัญญาน้อยอย่างคาเวทูว่า ขณะกำลังเกรี้ยวกราดและต้องการตามหาตัวเลติเซีย·โดเรล่า มันก็ยังมีศักดิ์ศรี ไม่ส่งวิวรณ์ไปหาสาวกทุกคนบนเกาะ แต่เลือกบอกกับสมาชิกระดับสูงของกลุ่มต่อต้านเท่านั้น… จริงอยู่ เราสามารถอ้างได้ว่าเป็นบุคลิกใหม่หลังจากปฏิรูปตัวเอง แต่ก็ควรคงสามัญสำนึกขั้นต่ำไว้บ้าง…


ขณะเดียวกันก็เพื่อให้โอสถย่อยได้เร็วขึ้น…


ถ้าส่งวิวรณ์ไปหาเฉพาะไครัท เอ็ดมันตัน และสมาชิกระดับสูงคนอื่น คำสั่งจะถูกถ่ายทอดออกไปได้ค่อนข้างช้า ต้องใช้เวลาหลายวันในการดำเนินงาน แถมพวกเขาอาจปรุงแต่งเรื่องราวให้รุนแรงขึ้น จนเหตุการณ์บานปลายเกินควบคุม…


ยังมีอีกหนึ่งวิธี นำเครื่องรับโทรเลขไปไว้บนมิติเหนือสายหมอก รอสักสองสามวัน จากนั้นก็ติดต่อกับกระจกวิเศษอาโรเดส และถามว่าเอลเลนผมแดงอยู่ที่ไหน… แต่วิธีนี้มีความเสี่ยง ต้องทำนายยืนยันล่วงหน้าให้แน่ใจว่าปลอดภัย การได้รับโทรเลขจากพระผู้สร้างแท้จริงหรือแม่มดบรรพกาลคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ลำพังการเห็นร่างจริงพวกมัน ก็มากพอจะทำให้คลุ้มคลั่ง…


เมื่อไคลน์ตัดสินใจได้ มันเร่งฝีเท้าตรงไปยังมุมถนนเพื่อเช่ารถม้า โดยมีเดนิสเดินตามหลังในสภาพกดปีกหมวกลง


หลังจากกลับถึงโรงแรมวายุคราม ไคลน์ถอนหมวกกับโค้ทออก และหันไปพูดกับเดนิสที่ยืนอยู่ด้านข้าง


“ถ้ากัปตันเข้าฝันนายอีก อย่าลืมถามหล่อนเรื่องเอลเลนผมแดง”


“ได้… แต่เธอคงไม่รู้จัก ไม่อย่างนั้นฉันก็ต้องเคยได้เห็นหรือเห็นหน้าเอลเลนบ้างแล้ว”


เดนิสเล่าพลางยิ้ม


“เฮ่อ… พวกเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครอยู่เบื้องหลังการว่าจ้าง ยอมทุ่มทุนมากถึงหนึ่งพันปอนด์เพียงเพื่อตามหาเบาะแสเชียวนะ…”


สมองเดนิสกำลังประมวลผล มันนึกไปถึงนิยายรักชื่อดังที่โรซายล์เคยแต่งขึ้น


ไคลน์จ้องอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวเสียงขรึม


“คืนนี้ฉันจะเฝ้าเอง”


“นายจะเฝ้าเอง…?” สติเดนิสพลันถูกดึงกลับ มันทำสีหน้าเคลือบแคลงเสียเต็มประดา


“ใช่” ไคลน์พยักหน้า


เกอร์มัน·สแปร์โรว์เห็นว่าเราเหนื่อยล้า ก็เลยอาสาทำแทน…?


ถึงหมอนี่จะบ้า แต่ในบางครั้งก็เป็นคนดีจนน่าเหลือเชื่อ… เช่นเหตุการณ์บนท่าเรือแบนชี คนปรกติแทบไม่มีเหตุผลให้ลงไปช่วยผู้โดยสารอื่น…


เดนิสครุ่นคิด


ชายหนุ่มยกเครื่องรับโทรเลขและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเข้าไปในห้องนอน ลงกลอนจนมิดชิด ก่อนจะส่งทุกสิ่งกลับขึ้นมิติสายหมอกผ่านพิธีกรรม


เมื่อจัดการเสร็จ ไคลน์ไม่รีบร้อนลงจากวังสายหมอกสุดโอ่โถง เพียงโบกมือเล็กน้อยเพื่อเสกให้คทาเทพสมุทรลอยออกจากกองขยะมาตกบนฝ่ามือ และเริ่มการสำรวจคำวิงวอนจากเหล่าสาวก เพื่อเรียนรู้อุปนิสัยใหม่ๆ ของมนุษย์


ระหว่างกำลังไล่ดู ไคลน์เลือกตอบกลับบางส่วนตามใจชอบ ประหนึ่งเด็กเล็กกำลังสนุกไปกับของเล่นใหม่


ขณะการไล่ดูใกล้จบลง จุดแสงพลันปรากฏใกล้กับที่นั่งของเดอะฟูลในลักษณะคล้ายคลื่นน้ำ


ใครบางคนกำลังสวดวิงวอนถึงเดอะฟูล…


มิใช่เทพสมุทร…


ไคลน์เลิกคิ้วเล็กน้อย พลางถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในจุดแสงเพื่อรับชมภาพนิมิต



ณ ท่าเรือเอ็นมาร์ต ภายในห้องที่ถูกขึงผ้าม่านมิดชิด


เอ็ดชีแรน ชายในชุดคลุมยาวสีดำทรงโบราณ พยายามข่มความกระหายในใจ และกล่าวกับหญิงสาวนามว่าดีไนส์


“ของขวัญจากพระองค์อยู่ในร่างกายพวกเราทุกคนนับตั้งแต่เกิดมา หากต้องการนำออกมาใช้ จำเป็นต้องได้รับการชี้แนะอย่างถูกต้อง ดวงวิญญาณของเธอบริสุทธิ์ผุดผ่องมาก พระองค์ต้องชื่นชอบแน่ ดังนั้น ฉันจะเป็นคนชี้แนะให้เธอด้วยตัวเอง จงทำตามคำสั่งโดยห้ามสงสัยหรือตั้งคำถาม ก่อนจะเริ่ม เธอยังมีคำถามอีกไหม”


เอ็ดชีแรนเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ มักฉ้อโกงชาวบ้านด้วยการตั้งลัทธิเพื่อหลอกลวงเหยื่อ หวังฮุบทั้งเงินทองและการล่วงละเมิดทางเพศ โดยเมื่อเรื่องราวเริ่มบานปลายจนใกล้ถึงหูตำรวจ มันจะรีบชิ่งหนีอย่างจมูกไว


โดยในคราวนี้ มันหนีมาก่อเรื่องภายในกรุงเบ็คลันด์ เริ่มด้วยการปลอมตัวเป็น ‘ข้ารับใช้’ ของเดอะฟูลที่กลุ่มอันธพาลในเมืองกำลังตามหา


มันเลือกสาวกรุ่นแรกจากกลุ่มเป้าหมายหญิงสาวเป็นหลัก


เอ็ดชีแรนโกหกกับทุกคนว่า เดอะฟูลคือร่างอวตารของเทพวายุสลาตัน และจะมาโปรดเหล่าสาวกของตนในวันสิ้นโลก แต่ก่อนหน้านั้น ความลับห้ามถูกเปิดเผยโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกเทพองค์อื่นเพ่งเล็ง และมีเพียงสาวกเดอะฟูลที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในดินแดนของท่านเมื่อวันสิ้นโลกเริ่มต้นขึ้น


เพื่อความสมจริงและน่าเชื่อถือ เอ็ดชีแรนลงทุนซื้อกระดาษที่เขียนนามเต็มอันสูงส่งของเดอะฟูลในราคาสูง


เมื่อได้อ่านเนื้อหาเป็นครั้งแรก ความคิดในหัวของมันคือ : สมจริงชะมัด…


ดีไนส์ซักถามด้วยสีหน้าประหวั่นเจือความคาดหวัง


“ท่านเจ้าคุณคะ ทำไมพวกเราถึงไม่ได้รับการตอบสนองหลังจากเอ่ยพระนามเต็มของพระองค์? พวกเรามิได้ถูกเลือกให้อาบพรของท่านอย่างท่วมพ้นหรือคะ”


ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจะให้ ‘พร’ กับเธอเอง…


เอ็ดชีแรนเริ่มหายใจกระเส่า สติกำลังฝืนระงับจินตนาการสุดลามก


“เกิดจากสองเหตุผล ข้อแรก เธอยังไม่ได้รับการชี้แนะและปลุกของขวัญของพระองค์ในตัวให้ตื่นขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันกำลังจะช่วย ข้อสอง เธอยังศรัทธาพระองค์ไม่มากพอ อย่าได้คิดปฏิเสธเด็ดขาด ฉันมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อเธอบรรลุเงื่อนไขทั้งหมด การเอ่ยพระนามเต็มอันสูงส่งของพระองค์ จะช่วยให้เธอได้รับพระวิวรณ์ เหมือนกับฉันคนนี้”


ท่ามกลางสายตาแฝงความใคร่รู้ของดีไนส์ เอ็ดชีแรนเดินไปยังโต๊ะด้านข้าง หยิบปากกากับกระดาษออกมาเขียนข้อความ


เป็นภาษาเฮอร์มิสที่นิยมในพิธีกรรม


เพื่อให้การหลอกลวงเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ เอ็ดชีแรนศึกษาพิธีกรรมทางศาสนาค่อนข้างมาก แถมยังเคยลอบเข้าไปในมหาวิทยาลัย เพื่อแอบฟังคาบเรียนของนักศึกษาคณะประวัติศาสตร์และโบราณคดี


สองมือยกแผ่นกระดาษขึ้น และอ่านข้อความต่อหน้าดีไนส์


“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”


จากนั้น เอ็ดชีแรนหลับตาลง กางแขนออก และกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมศรัทธา


“อา… ข้าสัมผัสได้ถึงพรจากพระองค์!”


ทันใดนั้น สายฟ้าสีเงินพลันผ่าลงมาจากความว่างเปล่าเบื้องบน ตรงเข้ากึ่งกลางกบาลของเอ็ดชีแรนพอดิบพอดี


ท่ามกล่างเสียง ‘ฉ่า’ เกลียวสายฟ้าแล่นไปตามอวัยวะบนร่างกายคล้ายอสรพิษสีเงิน แผดเผาผิวหนังภายนอกจนไหม้เกรียม กล้ามเนื้อร่างกายทุกส่วนสั่นกระตุกอย่างมิอาจยับยั้ง


ภายในไม่กี่วินาที เอ็ดชีแรนหยุดการเคลื่อนไหวโดยสมบูรณ์


ดีไนส์เห็นดังนั้นจึงรีบโพล่งอย่างตื่นเต้น


“ท่านเอ็ดชีแรนคือข้ารับใช้ของพระองค์ตัวจริง! ท่านได้รับพรจากพระองค์!”


หญิงสาวพูดพลางหายใจหอบ


จนกระทั่งผ่านไปสักพัก ดีไนส์เริ่มพบความไม่ชอบมาพากล จึงนั่งยองในท่าสวมกระโปรงและเหยียดปลายนิ้วจ่อจมูกเอ็ดชีแรน


ตายแล้ว… ข…เขาตายแล้ว!


หญิงสาวผงะถอยหลัง พร้อมกับล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปนั่งอย่างหวาดกลัว


เธอร้องเสียงสั่น ก่อนจะรีบวิ่งไปยังสถานีตำรวจใกล้เคียง



เหนือมิติสายหมอก ไคลน์ลดคทาเทพสมุทรลงพลางพึมพำกับตัวเอง


กล้านำชื่อของเราไปหาเงินเข้ากระเป๋า แถมยังหลอกฟันหญิงสาวไปทั่ว…


มุมปากไคลน์กำลังสั่นกระตุก มันอยากจะเสกสายฟ้าใส่เอ็ดชีแรนอีกสักเส้นสองเส้น


แต่ก็มิได้ทำ เพราะนั่นถือเป็นการดูหมิ่นศพ ผิดทั้งกฎหมายและศีลธรรม


ผู้หญิงคนนั้นคงแจ้งตำรวจแล้ว… หน่วยไหนจะเป็นเจ้าของคดีกัน… เหยี่ยวราตรี จิตแห่งจักรกล หรือทูตพิพากษา… จากเหตุการณ์มิสเตอร์ A ชื่อของเดอะฟูลคงไม่ธรรมดาในกรุงเบ็คลันด์ บางที บรรดาหน่วยพิเศษคงพยายามรวบรวมข้อมูลของเดอะฟูลอยู่ หืม… ถ้าเป็นเหยี่ยวราตรี พวกเขาคงรวมเอกสารไว้ในที่เดียวกัน และส่งเรื่องให้ถุงมือแดงจัดการ…


ไคลน์อาศัยประสบการณ์สมัยยังเป็นเหยี่ยวราตรีเมืองทิงเก็น ช่วยคำนวณอนาคตที่อาจส่งผลกระทบมาถึงตน


แต่เพียงไม่นานก็เลิกใส่ใจ เพราะมันมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีทางสาวถึงตัวได้แน่


ไคลน์โบกมือเพื่อโยนคทาเทพสมุทรกลับไปเก็บในกองขยะ และเตรียมส่งจิตตัวเองกลับสู่โลกความจริง


แต่ทันใดนั้น ดวงดาวสีแดงเข้มพลันปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าภายในมิติ พร้อมกับส่องแสงกระเพื่อมในลักษณะคลื่นน้ำ


ดาวแดงยุบพองตัวเองเป็นจังหวะ


มิใช่ดาวแดงของใครในชุมนุมทาโรต์


ทำไมวันนี้ถึงได้ยุ่งวุ่นวายนัก…


หืม… อีกฝ่ายคงเป็นเหมือนจัสติส แฮงแมน และเดอะซันกระมัง… ที่เชื่อมต่อกับมิติสายหมอกแห่งนี้ด้วยสมบัติวิเศษบางชนิด…


……………………


ราชันเร้นลับ 564 : ผู้ไล่ล่าความรู้

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไคลน์แผ่พลังวิญญาณเข้าไปในดวงดาวสีแดง มิได้มีเจตนาตอบสนอง หวังเฝ้ามองฝ่ายเดียว


เมื่อพลังวิญญาณสัมผัส ดวงดาวที่กำลังยุบพองพลันถ่ายทอดภาพและเสียง


สตรีผมดำผู้หนึ่ง สวมชุดคลุมทรงโบราณ กำลังนอนเกลือกกลิ้งบนพื้นพร้อมกับดิ้นทุรนทุรายด้วยสีหน้าเจ็บปวดแสนสาหัส


มือข้างหนึ่งถือลูกแก้วดวงดาว อีกข้างถือคทาที่สั้นกว่าหนึ่งศอก ความปรารถนาที่ต้องการจะมีชีวิตรอด ได้ทะลุทะลวงผ่านการเชื่อมต่อของดาวแดง เข้าสู่สมองไคลน์อย่างคมชัด


เฉกเช่นเมื่อครั้งก่อนจัสติสและเดอะซันจะถูกดึงเข้าสู่มิติสายหมอก รูปร่างของหญิงสาวปริศนาผมดำค่อนข้างเลือนราง ยากจะจดจำจุดเด่นบนร่างกาย แต่บางส่วนกลับแจ่มชัดผิดปรกติ เช่น เค้าโครงใบหน้า เช่น ผิวหนังปริแตกบนโหนกแก้มที่ด้านในมีดวงตาประหลาดฝังอยู่ เช่น ใบหูถูกที่ยืดยาวออกเป็นทรงแตร เช่น เล็บทั้งสิบที่พยายามข่วนขูดพื้นห้องจนเกิดรอยแดงเป็นทางยาว และ ดวงตามายาแสนเย็นชา ปราศจากขนตา กำลังลอยอยู่กลางอากาศ


อาการของเธอยังไม่เข้าขั้นเลวร้าย ร่างกายยังคงต่อต้านความผิดปรกติ และพยายามฟื้นฟูกลับคืนสภาพเดิมด้วยอัตราความเร็วที่น่าทึ่ง รอยปริแตกบนแก้มถูกสมานและเลือนหายไปพร้อมกับดวงตาประหลาด และใบหูหดกลับ แต่เพียงไม่นาน สภาวะแปลงร่างได้เกิดขึ้นซ้ำสอง วนเวียนเป็นวัฏจักรไม่รู้จบสิ้น


ทางด้านไคลน์ มันกำลังตกตะลึงกับดวงตามายาไร้ขนตาที่ลอยกลางอากาศ ภาพดังกล่าวทำให้ความทรงจำสมัยอยู่ทิงเก็นย้อนกลับมา


ขณะกำลังหัดใช้งานเนตรวิญญาณครั้งแรก ชายหนุ่มเคยเห็นดวงตามายาคู่นี้ลอยอยู่ด้านหลังลุงนีลล์!


“ปราชญ์เร้นลับ…?” ไคลน์เอนหลังพิง เหยียดแขนเล็กน้อย เสกให้คทาเทพสมุทรลอยจากกองขยะกลับมาอยู่บนมือ


มันต้องการช่วยเหลือหญิงสาว ด้วยการซัดสายฟ้าใส่ดวงตามายาบัดซบนั่นสักเส้น


แต่หลังจากพิจารณาสักพัก ชายหนุ่มเริ่มตระหนักว่า แหล่งกำเนิดความผิดปรกติของสตรีผมดำมิได้มาจากดวงตามายา แต่เป็นเสียงลึกลับในหัวของเธอ เสียงเพรียกที่ไม่มีใครได้ยินนอกจากโสตประสาทและวิญญาณของเธอเอง


สถานการณ์คล้ายกับเมื่อครั้งมิสเมจิกเชี่ยนได้ยินเสียงเพรียกในคืนจันทร์เต็มดวง… โชคยังดี เราเคยมีประสบการณ์มาแล้ว จึงมิได้แก้ปัญหาผิดสาเหตุ…


ไคลน์ครุ่นคิดจนมั่นใจว่า วิธีเดียวที่จะช่วยเหลือเธอก็คือ ต้องดึงจิตเข้ามาอยู่บนมิติสายหมอก เพราะหลังจากเสียงเพรียกต้นตอของปัญหาจบลง ความผิดปรกติด้านอื่นก็จะหายไปด้วยเช่นกัน และร่างกายที่มีอัตราการฟื้นฟูสูงก็คงรักษาตัวเองจนหาย


ส่วนเรื่องที่ว่า อีกฝ่ายคุ้มค่าแก่การช่วยเหลือหรือไม่ และมีเจตนาร้ายแอบแฝงไหม นี่ไม่ใช่เรื่องที่ไคลน์ในปัจจุบันต้องกังวลเหมือนเมื่อก่อน


หากสตรีผู้นี้มีเจตนาร้าย แต่ถ้าเชื่อมต่อกับดาวแดงของมิติสายหมอกผ่านสมบัติวิเศษแล้ว ไม่ว่าจะอยู่หนแห่งใด แต่ไคลน์ก็สามารถสร้างสายฟ้า ‘อวยพร’ ถึงเธอได้ทุกเมื่อ


หรือถ้าอีกฝ่ายคิดลอบจู่โจมบนมิติสายหมอก ด้วยไพ่จักรพรรดิมืด คทาเทพสมุทร และพลังจากมิติแห่งนี้ เราไม่มีทางเสียท่าแน่นอน…


ไคลน์ครุ่นคิดพลางกำคทากระดูกขาวในมือแน่นกระชับ พร้อมกับส่งลำแสงเข้าไปในดาวแดงที่อยู่ห่างออกไป


พลังวิญญาณชายหนุ่มเริ่มถ่ายเทและสร้างการเชื่อมต่อกับดาวแดง


ในคราวนี้ ด้วยความช่วยเหลือจากหลายปัจจัย กระแสการเชื่อมต่อของดวงดาวทั้งเข้มแข็งและมีเสถียรภาพอย่างง่ายดาย


ร่างของหญิงหญิงสาวผมดำเริ่มปรากฏขึ้นบนที่นั่งหนึ่งข้างโต๊ะทองแดงยาว เป็นเก้าอี้ตัวที่ยังไม่เคยถูกสมาชิกคนใดใช้งาน


ภาพสุดท้ายบนนิมิตดาวแดงได้แสดงให้ไคลน์เห็นว่า ความผิดปรกติบนร่างกายหญิงสาวผมดำเริ่มบรรเทาลงมากแล้ว


ชายหนุ่มพยักหน้าเงียบงัน รอคอยให้อีกฝ่ายเปิดปากพูดก่อนอย่างอดทน


ขณะเดียวกัน หญิงสาวผมดำกำลังนั่งสับสนสุดขีด ราวหนึ่งวินาทีก่อน ตนเพิ่งเจ็บปวดเจียนตาย และเมื่อภาพตัดไปเพียงครู่เดียว หนึ่งวินาทีถัดมา ตนกลับกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางวังสายหมอกที่หลังคาด้านบนเป็นโดมสูง ใครจะไม่มึนงงบ้าง


หลังจากเงียบงันสักพัก หญิงสาวหันไปมองบุคคลที่กำลังนั่งบนเก้าอี้สุดปลายโต๊ะทองแดง ตามด้วยการซักถามเสียงล่องลอย


“ที่นี่คือโลกหลังความตายหรือคะ”


“เจ้ายังไม่ตาย” ไคลน์ยิ้ม


ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่า สัญลักษณ์ด้านหลังพนักเก้าอี้ของหล่อนมีการเปลี่ยนแปลง กลายเป็นภาพของเนตรไร้ขนตาคู่หนึ่ง ด้านในเต็มไปด้วยประกายดวงดาวระยิบระยับจำนวนมาก แฝงกลิ่นอายความเย็นชาและไม่แยแส


จากประสบการณ์ ไคลน์เดาได้ไม่ยากว่านี่คือสัญลักษณ์ของเส้นทาง ‘ผู้ส่องความลับ’


หญิงสาวผมดำผงะเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มได้สติ


เธอมองไปรอบตัวอย่างเงียบงัน จนกระทั่งวนกลับมาบรรจบที่บุรุษผู้ถูกกลุ่มหมอกรายล้อม


เสื้อเชิ้ตสีขาว สวมทับด้วยทักซิโด้ ไม่ผูกไทหูกระต่าย สวมบูทหนังสีดำ เส้นผมน่าจะสีดำ รูปลักษณ์และสัดส่วนร่างกายถูกหมอกสีเทาปกคลุมเลือนราง แต่ไม่มีส่วนใดผิดแผกไปจากสามัญสำนึก… ในมือกำลังถือคทาสีขาวด้ามหนึ่ง ยาวกว่าหนึ่งศอกเล็กน้อย ควงเล่นอย่างไม่แยแส… คทานั่น…


ดวงตาของหญิงสาวพลันสั่นระริกเมื่อเห็นอัญมณีมากมายรายล้อมหัวคทา ทุกเม็ดอัดแน่นด้วยกลิ่นอายของทะเลและพายุอย่างเต็มเปี่ยม ไม่เพียงเท่านั้น รอบหัวคทายังมีละอองแสงสีขาวจำนวนมาก มอบความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์และน่าเกรงขามเหนือพรรณนา


คทาครึ่งเทพ!


เขาทำเหมือนกับมันเป็นเพียงของเล่น… มิได้แยแสว่าจะเผลอทำหล่นเสียหายเลยสักนิด…


สตรีผมดำกะพริบตาถี่ พลางซักถาม


“ดิฉันควรเรียกท่านว่าอย่างไร”


“เดอะฟูล” ไคลน์ตอบฉะฉาน


เดอะฟูล…


หญิงสาวทวนคำ และก้มหน้าครุ่นคิดสักพักก่อนย้อนถามกลับ


“ดิฉันเคยได้ยินนามของท่านจากมิสเตอร์ Z แห่งชุมนุมแสงเหนือ”


เธอรอคำยืนยันจากอีกฝั่ง


เคยพบมิสเตอร์ Z แห่งชุมนุมแสงเหนือด้วยหรือ… คงเป็นสหายเก่ากระมัง…


ไคลน์ยิ้ม แต่ยังไม่ตอบ


“จะไม่แนะนำตัวสักหน่อยหรือ เราเรียกมันว่ามารยาทพื้นฐาน”


เมื่อถูกเตือนสติ หญิงสาวผมดำเงียบไปสักพัก


ราวสองสามวินาทีถัดมา เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงค่อนข้างขึงขัง


“ดิฉันมีนามว่าแคทลียา ชื่อเล่นคือ ‘พลเรือเอกดวงดาว’ มิสเตอร์ฟูล คุณช่วยชีวิตดิฉันไว้ใช่ไหม”


พลเรือเอกดวงดาว?


หนึ่งในเจ็ดพลเรือโจรสลัด พลเรือเอกดวงดาวผู้มีค่าหัวสามหมื่นเจ็ดพันปอนด์คนนั้น… นี่เราเพิ่งช่วยชีวิตหีบสมบัติ… ไม่ใช่ เพิ่งช่วยชีวิตคนใหญ่คนโตในท้องทะเลเอาไว้… ไคลน์เปลี่ยนท่านั่งเล็กน้อย ภายในใจรำพันติดตลก


มันตอบพลางหัวเราะในลำคอ


“ถ้าไม่ใช่ แล้วจะเป็นใคร”


ได้ยินเช่นนั้น พลเรือเอกดวงดาวรีบลุกขึ้นยืนและคำนับอย่างนอบน้อม


“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตดิฉันเอาไว้ หากต้องการให้ตอบแทนในเรื่องใด สามารถเอ่ยปากบอกมาได้ทุกเมื่อ ขอเพียงไม่ขัดต่อหลักการของดิฉัน และยังอยู่ในขอบเขตที่สามารถเอื้อมถึง”


เป็นงานทีเดียว…


คงมีประสบการณ์ไม่น้อย… สมฉายาพลเรือเอกดวงดาวที่โด่งดังในทะเลมานานหลายปี…


ไคลน์ครุ่นคิดพลางแอบถอนหายใจ


สมาชิกชุมนุมทาโรต์ของตน หากไม่นับแฮงแมนและเดอะเวิร์ลที่เป็นอวตาร ทุกคนค่อนข้างอ่อนต่อโลกก่อนจะได้เข้าร่วมชุมนุม


จัสติสพยายามศึกษาศาสตร์เร้นลับ แต่ยังไม่ได้ก้าวเข้ามาเต็มตัว เดอะซันมีความรู้พื้นฐานครบถ้วน แต่ด้วยสภาพแวดล้อมจำกัดของเมืองเงินพิสุทธิ์ และด้วยความที่ยังเด็ก จึงซื่อตรงไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคนสักเท่าไร สำหรับเมจิกเชี่ยน ถึงเธอจะเป็นผู้วิเศษมาหลายปี แต่ก็ไม่พัฒนาจากลำดับ 9 เลย และด้วยความที่เป็นผู้วิเศษนอกกฎหมาย จึงไม่มีใครคอยให้ความรู้เหมือนกับหน่วยลับ ประสบการณ์ยังต่ำกว่าที่ควรจะเป็นมาก เดอะมูน เอ็มลิน ถึงจะเป็นสมาชิกของตระกูลสัตว์วิเศษ และมีคนใหญ่คนโตคอยหนุนหลัง แต่เนื่องด้วยรสนิยมส่วนตัวที่ชอบหมกอยู่แต่ในบ้านและเล่นกับตุ๊กตา จึงยังขาดประสบการณ์และถูกหลอกได้ง่าย


ถึงหมอนั่นจะหัวไว แต่ถ้าบังเอิญได้เจอกับทริส… ไม่สิ แม่มดทริสซี่ คงไม่แคล้วถูกยั่วยวนจนต้องขายตุ๊กตาทิ้ง…


ไคลน์ล้อเลียนมิสเตอร์แวมไพร์ เพื่อนบนโลกความจริงเพียงไม่กี่คนของตน


ชายหนุ่มจ้องหน้าพลเรือเอกดวงดาว โดยยังไม่ตอบในประเด็นหนี้บุญคุณ เพียงแสยะยิ้มและเลือกถามในสิ่งอื่น


“เป็นสมาชิกนิกายมอสส์ใช่ไหม”


“ค่ะ” แคทลียาเชื่อว่า เธอไม่สามารถปกปิดความลับใดต่อหน้าเดอะฟูล


ไคลน์ยิ้มและพูดต่อ


“ไปทำอะไรมา เจ้านั่นถึงขุ่นเคืองเข้า”


มันยังไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะใช่ปราชญ์เร้นลับหรือไม่ จึงเลือกใช้คำว่า ‘เจ้านั่น’ ที่ฟังดูคลุมเครือและไม่ให้เกียรติ ดังนั้น ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบใด แต่เดอะฟูลก็ไม่มีวันพูดผิด แถมยังเป็นการเสริมความน่าเกรงขามไปในตัว


แคทลียาตอบเสียงแผ่ว


“เปล่าค่ะ ดิฉันมิได้ล่วงเกินท่าน”


เธอเว้นวรรคเล็กน้อย


“หลักการของนิกายมอสส์ก็คือ พวกเราเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกมีความสัมพันธ์ในเชิงตัวเลข และพยายามไล่ล่าความรู้จากทั่วทั้งจักรวาล แต่จักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวไว้ว่า พวกเรามิได้ไล่ล่าความรู้ หากเป็นฝ่ายถูกความรู้ไล่ล่า มวลความรู้ทั้งหมดคือปราชญ์เร้นลับ และปราชญ์เร้นลับกำลังไล่ล่าสมาชิกทุกคนของนิกาย เมื่อความมวลความรู้มหาศาลล้นทะลักเข้ามาจนร่างกายย่อยไม่ทัน เหตุการณ์แบบเดียวกับดิฉันก็จะเกิดขึ้น จุดจบมีเพียงสองทางเลือก หนึ่ง ยอมรับการปรับแต่งร่างกายจากปราชญ์เร้นลับโดยไม่ขัดขืน หรือไม่ก็ พยายามขัดขืนอย่างสุดความสามารถ แต่หากล้มเหลว ก็จะลงเอยด้วยการคลุ้มคลั่ง”


เข้าใจแล้ว… เธอไม่ได้ถูกเจาะจงโดยปราชญ์เร้นลับเป็นพิเศษ แต่ทุกคนโดนเหมือนกันหมดอย่างเท่าเทียม… ความหนักเบาของอาการจะเป็นไปตามปริมาณข้อมูลที่ถูกถ่ายเข้าไป และถึงจะเอาชีวิตรอดมาได้ ก็จะไม่ถือสาอีกฝ่าย…


ดูจากสภาพอันน่าสมเพชเมื่อครู่ เธอคงได้ครอบครองความรู้ในปริมาณมหาศาล…


นั่นสินะ ลุงนีลล์เริ่มเชื่อในปราชญ์เร้นลับเพราะต้องการความรู้สำหรับประกอบพิธีกรรมเสริมแกร่งชีวิต เพื่อคืนชีพให้คนรัก…


ไคลน์พลันห่อเหี่ยว แต่ไม่เผยทางสีหน้า


ชื่อเสียงของพลเรือเอกดวงดาวเป็นไปในทิศทางที่ค่อนข้างดี ถึงจะเป็นกลุ่มโจรสลัด แต่ก็แทบไม่เคยได้ยินข่าวเสียหาย…


ชายหนุ่มไตร่ตรอง ก่อนจะกล่าวอย่างสุขุม


“หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นอีก เจ้าสามารถวิงวอนถึงนามเต็มของเราได้ทุกเมื่อ”


วิงวอนถึงนามเต็ม…


ริมฝีปากแคทลียาพลันสั่นเทา คล้ายกับต้องการปฏิเสธตามสัญชาตญาณ


แต่เธอมิได้กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน บรรยากาศรอบวังสายหมอกจึงมีเพียงความเงียบงันราวกับชั่วนิรันดร์


หลังจากชั่งน้ำหนักจนมั่นใจ เธอลุกขึ้นยืน และคำนับด้วยท่าสองมือทาบหน้าอกในลักษณะไขว้กากบาท


“…ดิฉันจะทำอะไรเพื่อท่านได้บ้างคะ”


ไคลน์ยิ้มอย่างผ่อนคลาย


“ช่วยเหลือข้ารับใช้ของเราในอนาคต”


“น้อมรับบัญชา” แคลียานั่งลงอีกครั้ง ตามด้วยการซักถามเพื่อให้แน่ใจ “นามเต็มของท่านเหมือนกับที่มิสเตอร์ Z มีใช่ไหม…”


เธอทวนให้ไคลน์ฟัง


ชายหนุ่มพยักหน้า ยืนยันว่าถูกต้อง


แคทลียากวาดสายตามองไปยังที่นั่งโดยรอบโต๊ะทองแดง ก่อนจะซักถามเจือความสงสัย


“มิสเตอร์ฟูล ที่นี่มีคนอื่นด้วยหรือ”


ไคลน์ยิ้ม


“คนแบบเดียวกับเจ้า พวกเขาจัดชุมนุมเป็นประจำ โดยมีเราเป็นประจักษ์พยาน”


หญิงสาวเงียบงันราวสิบวินาที


“ดิฉันเข้าร่วมด้วยได้ไหม”


เธอประเมินว่า ในเมื่อตนติดหนี้บุญคุณกับบุคคลปริศนานามว่าเดอะฟูล การศึกษาข้อมูลอีกฝ่ายให้มากขึ้น ก็คงไม่ใช่เรื่องเสียหาย


ต้องได้อยู่แล้ว เธอมีทั้งเงินทอง ความรู้ อิทธิพล และกำลังซื้อ…


ไคลน์เอนหลัง


“ไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด ห้ามแพร่งพรายจนกว่าเราจะอนุญาต”


“สุดแล้วแต่ท่าน” แคทลียาขานรับไม่ลังเล


ไคลน์ใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะทองแดงยาว เสกให้ไพ่ทาโรต์ที่ยังเหลือปรากฏตรงหน้าหญิงสาวผมดำ


“สมาชิกทุกคนแทนตัวเองด้วยไพ่ทาโรต์ นี่คือใบที่ยังไม่ถูกเลือก หยิบขึ้นมาหนึ่ง”


แคทลียาชำเลือง ก่อนจะเลือกหนึ่งใบโดยปราศจากความลังเล


“เดอะเฮอร์มิท”


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)