Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 557-560

 ราชันเร้นลับ 557 : ชี้นำตัวเอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

แคว้นเชสเตอร์ตะวันออก


คฤหาสน์ตระกูลฮอลล์


ออเดรย์นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง โดยมีเทียนไขกำลังส่องแสงสว่างไสว


จากนั้น ท่ามกลางเปลวเทียนวิบวับ หญิงสาวจ้องตัวเองในกระจก และเห็นดวงตาสีเขียวมรกตเริ่มทวีความดำมืด ใครผ่านมาเห็นเป็นต้องหยุดชะงัก ราวกับดวงวิญญาณถูกสะกดจนอยู่หมัด


“ออเดรย์ ในความฝันคืนนี้ เธอต้องตื่นตัวตลอดเวลา” หญิงสาวกล่าวกับตัวเองเสียงค่อย


นี่คือพลัง ‘ชี้นำทางจิต’ แสนพื้นฐาน


บทกวีที่เธอได้ยินในช่วงเย็น กลายเป็นแรงบันดาลใจให้หญิงสาวตัดสินใจสำรวจความฝัน เพื่อให้เห็นกับตาตัวเองว่า ทะเลจิตใต้สำนึกรวม และนภาวิญญาณของทุกสิ่งมีชีวิต มีลักษณะเป็นเช่นไรกันแน่


สำหรับการทดลองในคราวนี้ ออเดรย์พบว่าไม่เคยมีนักจิตบำบัดคนใดเคยทำมาก่อน โดยอ้างอิงจากเอกสารบันทึกของสมาคมแปรจิต


ขั้นตอนไม่ซับซ้อน เพียงฝังการชี้นำทางใจกับตัวเอง เพื่อให้สติตื่นตัวขณะกำลังหลับฝัน


บางที เราอาจได้พบมังกรจิตภายในนั้น หรืออาจถึงขั้นได้พบเลฟซิด เมืองแห่งปาฏิหาริย์…


ออเดรย์เบือนหน้าออกจากกระจก พลางถอด ‘คำลวง’ ที่ปัจจุบันอยู่ในรูปลักษณ์สร้อยคอทับทิมระยิบระยับ เก็บใส่กล่องอัญมณี


หญิงสาวกังวลว่า สมบัติวิเศษที่มีอำนาจกระตุ้นอารมณ์ให้พลุ่งพล่าน จะส่งผลด้านลบขณะทำการสำรวจความฝัน จนเกิดอาการบาดเจ็บที่ไม่จำเป็น จึงถอดเก็บไว้เพื่อความไม่ประมาท


เมื่อจัดการตัวเองเสร็จ ออเดรย์นั่งจ้องหน้าตัวเองในกระจกอีกครั้ง และพบว่าใบหน้าของตนไม่งดงามเท่าเมื่อครู่


ขณะสวม ‘คำลวง’ เธอจะมองเห็นตัวเองงดงามกว่าเป็นความจริง


“ตื่นได้แล้ว ออเดรย์! มันเป็นภาพลวงตา!”


หญิงสาวเลื่อนมือขวาขึ้นมาลูบแก้มอย่างทะนุถนอม


เธอรู้สึกดีใจที่ชื่อมันว่า ‘คำลวง’ จะได้คอยเตือนใจมิให้ลุ่มหลงไปกับภาพมายา ไม่อย่างนั้น ผู้สวมคำลวงจะเอาแต่พึ่งพามันจนกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เกิดความรู้สึกไม่ต้องการถอดออกและเผชิญใบหน้าแท้จริงของตัวเอง


หากไปถึงขั้นนั้น ภาวะคลุ้มคลั่งก็อยู่ไม่ไกล


“ถ้าเป็นผู้หญิงทั่วไป การสวมคำลวงจะทำให้ใบหน้างดงามจนแทบไร้จุดตำหนิ ในสภาพดังกล่าว บางที พวกหล่อนอาจไม่ต้องการถอดมันออกอีกเลย และขอยอมตาย เพื่อให้ได้สวมมันไว้ตลอดกาล… แต่โชคยังดี กับผู้วิเศษแล้วไม่ใช่ พวกเรามีพลังใจเข้มแข็งมากกว่ามาก”


ออเดรย์พึมพำพลางลุกขึ้นยืน


ในสภาพสวมชุดนอนผ้าไหมมันวาว หญิงสาวเดินไปทางห้องนอนบรรยากาศอบอุ่น และตรงไปหาเตียงอ่อนนุ่มแสนเบาสบายทันที


เธอกระตุกเชือกหัวเตียงแผ่วเบาหนึ่งครั้ง


เมื่อเสียงกริ่งดังแว่ว แอนนี่ สาวใช้ประจำตัวออเดรย์ เปิดประตูและเดินเข้ามาในห้องนอนเพื่อปิดไฟ ด้วยท่าทีระมัดระวัง


ผ่านไปสักพัก ออเดรย์เข้าสู่ภาวะหลับลึก



ท่ามกลางโลกใบที่ไม่คุ้นเคย หญิงสาวสะดุ้งตื่นกลางคัน พร้อมกับตระหนักว่าตนกำลังอยู่ในความฝัน


เธอมองไปรอบ ๆ อย่างสนใจ


ปากพึมพำกับตัวเอง


“นี่สินะ ‘ฝันรู้ตัว’ ที่สมาคมแปรจิตพูดถึง… ในเชิงศาสตร์เร้นลับ หลักการและนิยามก็ไม่ต่างกันมากนัก “เราทำสำเร็จ… เพียงอาศัยการชี้นำทางจิตกับตัวเอง ก็สร้างภาวะฝันรู้ตัวขึ้นได้… ออเดรย์ เธอมันอัจฉริยะ! ไม่สิ อย่าเพิ่งลำพองตัวเองไป ทั้งหมดเป็นผลจากพลังพิเศษต่างหาก”


ถัดจากนั้น หญิงสาวพยายามวิเคราะห์ว่า ตนกำลังอยู่ในความฝันแบบใด


เบื้องหน้าเป็นถนนแสนคับแคบและมีบรรยากาศมืดมน รอบตัวเป็นป่าทึบ ปลายทางของถนนคือปราสาทที่มียอดแหลม


เสียงหมาป่าเห่าหอนดังลากยาว เสียงหายใจกระเส่าดังแว่วอย่างเชื่องช้าจากทุกสารทิศ คล้ายกับอันตรายกำลังคุกรุ่นอยู่รอบตัว


หืม… เรายังคงฝังใจที่ดยุคนีแกนถูกลอบสังหาร จึงกลัวว่าสักวัน ผู้วิเศษจำนวนมากจะลงมือลอบสังหารท่านพ่อ ท่านแม่ และท่านพี่…


ออเดรย์วิเคราะห์ความฝันของตัวเองด้วยมุมมองของนักจิตบำบัด


ท่ามกลางความฝันที่เสมือนจริงจนแทบแยกไม่ออก หญิงสาวเดินตรงไปอย่างเชื่องช้า จุดหมายคือปราสาทหลังใหญ่ ที่เหมือนกับปราสาทตระกูลฮอลล์ของบรรพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว


เดิน เดิน แล้วก็เดิน เธอเดินจนกระทั่งเหลือบเห็นเงาลางของบางสิ่งตรงมุมด้านหน้า เงาดังกล่าวปรากฏตัวจากป่าทึบด้านข้าง ตามร่างกายห่อหุ้มด้วยเกล็ดสีทอง ดวงตาสีทอง รูม่านตาทรงรีแนวตั้ง


สิ่งนี้คือ มังกรตัวใหญ่ที่มีโคนหางขนาดมหึมา


ใบหน้าของมังกรเหมือนออเดรย์ทุกประการราวกับแกะ แต่ด้วยร่างกายที่เป็นมังกร ภาพดังกล่าวทำให้หญิงสาวเกิดความพะอืดพะอมจนอธิบายไม่ถูก!


เนื้อตัวออเดรย์เริ่มสั่นระริก จนเกือบเผลอตื่นจากความฝันตัวเอง แต่เนื่องจากเป็นผู้ชมมากประสบการณ์ สติจึงถูกรวบรวมกลับมาได้เร็ว


หญิงสาวเริ่มเข้าใจบางสิ่ง มังกรสีทองเกิดจากการที่เธอยังไม่ลืมความกลัวเมื่อครั้งดื่มโอสถนักจิตบำบัด ณ ตอนนั้น ภาวะการคลุ้มคลั่งได้ส่งสัญญาณเตือนเป็นครั้งแรก และเนื่องด้วยยังไม่ชำนาญพลังปลอบโยน ความหวาดกลัวในวินาทีดังกล่าวจึงประทับลงในความฝัน


แต่โชคยังดี ตอนนี้เราพบแล้วว่าตัวเองมีปัญหาตรงจุดใด ยังมีโอกาสรักษาให้หายขาด เพราะหากปล่อยเอาไว้จนลุกลามเรื้อรัง อุบัติเหตุที่ร้ายแรงกว่าเดิมอาจเกิดขึ้นขณะกำลังดื่มโอสถลำดับ 6 หรือ 5…


ออเดรย์สำรวจตัวเองอย่างระมัดระวัง


ระหว่างทาง ความฝันของหญิงสาวมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแบบไม่ปะติดปะต่อ โดยเนื้อหาก็ไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไร


จนกระทั่ง หญิงสาวเดินมาถึงหน้าปราสาทหลังใหญ่ เมื่อแหงนมองขึ้นไป เธอเห็นไม้กายาสิทธิ์เริ่มโบกกลางอากาศ พร้อมกับโปรยปรายประกายแสงระยิบระยับลงมาด้านล่าง


ปราสาทตรงหน้าเริ่มถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างสดใส บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนจากอึมครึมเป็นงดงามและน่าเกรงขามทันที กลิ่นอายหม่นหมองทั้งหมดเลือนลับไปอย่างสมบูรณ์


ตามด้วยเสียงขับร้องและสอดประสานของเครื่องดนตรีนานับชนิด ตะเกียงแก๊สบนกำแพงถูกจุดไล่ไปทีละดวง


“นี่คือความปรารถนาอย่างแรกของเราก่อนจะมาเป็นผู้วิเศษ… ความฝันของสาวน้อย”


ออเดรย์ยิ้มขื่นขม


แต่เธอยังคงไม่หยุดเดิน ส่งตัวเองผ่านปราสาทและตรงไปเรื่อยๆ เพื่อค้นหาขอบเขตของความฝัน ไม่ถูกเหนี่ยวรั้งด้วยฉากเรื่องราวที่ผันเปลี่ยนตลอดเวลา ไม่ว่าเรื่องนั้นจะน่าเจ็บปวดสักเพียงใด


ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ หญิงสาวเดินผ่านทุ่งรกร้างอันว่างเปล่า จนกระทั่งถึงยอดสูงชันของหน้าผาลึกลับแห่งหนึ่ง


เมื่อก้มมองลงไป ออเดรย์เห็นเพียงหมอกควันสีเทาและความว่างเปล่า


ประหนึ่งด้านล่างไม่มีก้นบึ้ง


เธอทราบทันทีว่า ขอบเขตความฝันของตนอยู่อีกไม่ไกล หากเดินพ้นออกไป ไม่มีใครรับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง


“แล้วเราจะออกไปยังไง… กระโดดลงไป? จะไม่ตายแน่หรือ…”


ออเดรย์ครุ่นคิดสักพัก สีหน้าเผยความกังวล ไม่กล้าสำรวจอย่างบุ่มบ่าม


หลังจากยืนครุ่นคิดเป็นเวลานาน หญิงสาวเริ่มผุดแนวคิดใหม่


ในเมื่อสถานที่แห่งนี้คือความฝัน เป็นโลกภายในจิตใจของเรา ด้วยฐานะเจ้าของ เราย่อมสร้างทางเดินของตัวเองขึ้นมาได้!


ทันใดนั้น ออเดรย์พยายามเพ่งจิตเพื่อเสกสิ่งของ ในแบบเดียวกับที่เคยกระทำบนมิติสายหมอก เพียงแต่ว่า คราวนี้ไม่มีมิสเตอร์ฟูลคอยอำนวยความสะดวก


หญิงสาวยื่นแขนออกไป ผายมือลง พร้อมกับเล็งไปยังหุบเหวสีเทาไร้ก้นบึ้ง


โดยไม่ต้องรอนาน หมอกสีเทาด้านล่างเริ่มกระเพื่อมและแหวกออก เผยให้เห็นขั้นบันไดทอดยาวลงไปยังเบื้องล่างอย่างไม่มีจุดหมาย


ออเดรย์สูดลมหายใจ จัดระเบียบเครื่องแต่งกายเล็กน้อย ก่อนจะก้าวขาลงบนขั้นแรก


ผ่านไปทีละขั้นอย่างใจเย็น เสียงรอบตัวเริ่มเงียบลงทุกขณะ เงียบจนได้ยินเสียงเต้นระรัวของหัวใจตัวเอง


นอกจากสายหมอกสีเทาก็มองไม่เห็นสิ่งใดอีก บรรยากาศเป็นไปอย่างอ้างว้างว้าเหว่


จนกระทั่ง เริ่มมีเสียงหวีดแหลมของสายลมดังแว่วรอบตัว ร่างกายออเดรย์สั่นเทาเล็กน้อย ความกลัวและความประหม่าเริ่มกัดกินจิตใจ


เพื่อมิให้ตัวเองคลุ้มคลั่ง ดวงตาสีเขียวของหญิงสาวส่องแสงอบอุ่นอ่อนโยน ราวกับสามารถมองทะลวงเข้าไปในจิตใจของผู้คน


ออเดรย์ใช้พลังปลอบโยนเพื่อสงบจิตใจ


หลังจากเดินต่อไปได้สักพัก จุดแสงพลันสว่างวาบท่ามกลางกลุ่มหมอกสีเทาด้านข้าง


ออเดรย์รีบหันไปมอง และเห็นฉากที่ตัวเองกำลังดื่มโอสถ แต่เกิดสัญญาณการคลุ้มคลั่งจนเกือบแปลงร่างเป็นสัตว์ประหลาดประเภทมังกร สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว กังวล อกสั่นขวัญแขวน และหดหู่ ทั้งหมดกำลังปรากฏอย่างแจ่มชัดในภาพฉาย


“หากที่นี่คือจิตใต้สำนึกของเรา… ฉากเมื่อครู่คือบาดแผลทางใจ?”


ออเดรย์เริ่มเข้าใจว่า ตนได้เห็นกับสิ่งใดหลังจากเดินพ้นขอบเขตความฝันตัวเอง


หญิงสาวไม่รีบรักษาบาดแผลทางใจ เพียงก้าวเดินต่อไปด้วยสีหน้าคาดหวัง


จากทฤษฎีของสมาคมแปรจิต ดินแดนที่อยู่ถัดจากจิตใต้สำนึกส่วนบุคคล คือทะเลจิตใต้สำนึกรวม!


ระหว่างทาง ออเดรย์มองสำรวจรอบตัวอย่างต่อเนื่อง และเห็นฉากของตัวเองในวัยเด็ก กำลังนั่งฟังพ่อแม่เล่านินทาก่อนนอน เหตุการณ์ทั้งหมดมีคุณค่าทางจิตใจ แม้ว่าตนจะไม่ได้งดงามเหมือนปัจจุบันก็ตาม นอกจากนั้น เธอเห็นภาพตัวเองเข้าร่วมชุมนุมทาโรต์ รวมถึงเห็นอีกหลายภาพจากแสงกะพริบสองข้างทาง


ภาพเหล่านี้คือจิตใต้สำนึกของเรา…


ทั้งหมดหล่อหลอมให้เรามีนิสัยแบบปัจจุบัน?


ออเดรย์วิเคราะห์จากความรู้ด้านจิตวิทยา


หลังจากฉากในอดีตภาพแล้วภาพเล่าแล่นผ่านสายตา หญิงสาวเริ่มถูกมวลอารมณ์อันหลากหลายเข้าถาโถมจนเกือบแสดงอาการคลุ้มคลั่งให้เห็น แต่สุดท้ายก็ถูกลบล้างด้วยพลังปลอบโยนได้ทันเวลา


ผ่านไปเนิ่นนาน ออเดรย์ลืมแล้วว่าตนเดินบนขั้นบันไดมานานแค่ไหน จนกระทั่ง เธอก้มลงไปเห็นบันไดขั้นสุดท้าย


ถัดจากบันไดชั้นล่างสุดเป็น ‘พื้น’ สีเทาที่พร่ามัวและกว้างใหญ่ พื้นดังกล่าวก่อตัวจากการซ้อนทับของลำธารแสงและเงาหลายชั้น จนมีลักษณะคล้ายทะเลมายา


ทะเลจิตใต้สำนึกรวม!


ออเดรย์เหยียบฝ่าเท้าบนผืนทะเลดังกล่าว จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสักพัก เงยศีรษะขึ้น และพบว่ากลุ่มหมอกสีเทาเบื้องบน ที่ควรจะบดบังการมองเห็น กลับเลือนหายไปโดยสมบูรณ์ แปรเปลี่ยนเป็นภาพของท้องฟ้ากระจ่างชัด


เธอเริ่มมองเห็นเงารางลึกลับหลายจุดกำลังล่องลอยไปบนฟ้า นอกจากนั้นยังมีริ้วแสงเจ็ดสีที่แตกต่างกัน ส่องสว่างระยิบระยับ และอัดแน่นไปด้วยองค์ความรู้มหาศาล


ออเดรย์เม้มปาก และกล่าวอย่างมีความสุข


“นภาวิญญาณ!”


ถัดมา หญิงสาวค่อย ๆ เดินตรงไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เริ่มต้นการผจญภัยอีกครั้ง


ณ เบื้องหน้า ฉากแล้วฉากเล่าถูกฉายลงบนทะเลที่ประกอบด้วยลำธารแสงและเงา


ทั้งหมดคือความทรงจำในอดีตของผู้อื่น บ้างเต็มไปด้วยเปลวเพลิงร้อนแรงกำลังแผดเผา บ้างอัดแน่นด้วยความเจ็บปวดเหนือพรรณนาจนมิอาจสาธยายเป็นคำพูด


เมื่อได้เห็นสัญลักษณ์เก่าแก่ที่เป็นของชนพื้นเมืองในอดีต หญิงสาวจ้องมองอย่างชื่นชมเป็นเวลานาน จนกระทั่งเห็นฉากการกราบไหว้มังกรของมนุษย์กลุ่มใหญ่


เธอเดินต่อไปโดยไม่หยุด และได้พบกับภูเขาสีเทาทางฝั่งซ้ายมือในจุดห่างไกล ยอดเขาสูงตระหง่านเสียงฟ้า ทะลวงขึ้นจากทะเลที่ประกอบด้วยลำธารแสงและเงา ปลายสุดด้านบนถูกบางสิ่งบดบังไว้อย่างคลุมเครือ


ห้วงสติของผู้อื่น? น่าแปลก… ภายในทะเลจิตใต้สำนึกรวม ทำไมถึงมีเพียงห้วงสติธรรมดา?


หืม… อีกฝ่ายกำลังฝันอยู่…


ทันใดนั้น ออเดรย์นึกอยากทดลองพลังของนักจิตบำบัดขึ้นมา


วิธีการไม่ซับซ้อน เพียงเดินเข้าไปใกล้ภูเขาลูกดังกล่าว และใช้พลังบิดเบือนจิตใต้สำนึกของอีกฝ่าย ให้ทำในสิ่งที่ตนต้องการโดยไม่รู้ตัว


แต่คงทำได้ไม่ง่าย แถมยังอันตรายมาก…


ออเดรย์ชะงักกลางคัน ไม่บุ่มบ่ามทดสอบ


หญิงสาวยังคงไม่ลืมว่า จุดประสงค์หลักในการสำรวจฝันคราวนี้ คือการตามหาร่องรอยของมังกรจิต หรือไม่ก็เบาะแสของเมืองเลฟซิด เมืองแห่งปาฏิหาริย์


ออเดรย์เดินผ่านภูเขาสติอีกหลายสิบและหลายร้อยลูก จนกระทั่งจิตเริ่มอ่อนเพลีย


“คงต้องกลับแล้วกระมัง” หญิงสาวแหงนหน้ามองท้องฟ้า เป็นอากัปกิริยาตามจิตใต้สำนึกขณะใช้ความคิด


ออเดรย์ยืนเงียบงันเป็นเวลานาน ออกท่าทางลังเลที่จะเดินกลับ


ทว่า ขณะตัดสินใจได้เด็ดขาดและกำลังหมุนตัวกลับหลัง เงาดำของบางสิ่งขนาดใหญ่พลันทอดยาวลงมาจากด้านบน


เป็นเงาของปีกมหึมาคู่หนึ่ง!


แหงนหน้ามองขึ้นไป หญิงสาวพบปีกสีเทาขนาดใหญ่สองข้าง ใต้ปีกเป็นร่างของสิ่งมีชีวิตลักษณะคล้ายกิ้งก่า


ตามลำตัวปกคลุมด้วยเกล็ดส่องแสงสีเทาสลับขาวคล้ายแผ่นหิน ข้าทั้งสี่ข้างบึกบึนและแข็งแรง มองผิวเผินจะเหมือนกับร่างกายของอีกฝ่ายกล่าวถูกฉาบด้วยแสงแดดมายา เป็นแสงอาทิตย์ขณะใกล้ลับขอบฟ้า


สัตว์ประหลาดมหึมาบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาของมันสีทองอ่อน รูม่านตาทรงรีแนวตั้ง แฝงความเย็นชาและองอาจ


เพียงไม่นาน สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่และสง่างามบินลับสายตาออเดรย์ หายไปจากทะเลจิตใต้สำนึกรวมของทุกสิ่งมีชีวิต


มังกร… มังกรจิต!


ออเดรย์ดีใจจนกระโดดโลดเต้น แต่จากนั้นก็รีบเหลียวซ้ายแลวาอย่างหวาดระแวง โดยเกรงว่าจะมีใครบังเอิญผ่านมาเห็นอากัปกิริยาอันไม่งามของตน


หญิงสาวรีบเร่งความเร็วเดินกลับ ย่างก้าวเป็นไปอย่างตื่นเต้นยินดี เป้าหมายคือการจบการผจญภัยอันแสนตื่นเต้นและเติมเต็มหัวใจครั้งนี้


ไม่ผิดแน่… ประเพณีบูชามังกรมิได้เกิดขึ้นอย่างส่งเดช แต่เป็นเพราะทะเลจิตใต้สำนึกรวมในละแวกนี้มีมังกรจิตอาศัยอยู่…


ออเดรย์อยากกล่าวชมตัวเอง แต่ก็ต้องยับยั้งชั่งใจไว้ก่อน ตอนนี้ต้องเพ่งสมาธิกับการเดินกลับโดยไม่ให้หลง และตื่นจากความฝันให้ได้


หญิงสาวไม่กล้าสำรวจต่อ เนื่องจากมิได้เตรียมตัวมากนัก เกรงว่าอาจประสบอันตรายที่ไม่คาดฝันเอาได้


ทางออกที่ดีที่สุดคือ เก็บเรื่องนี้ไปปรึกษากับแฮงแมนและเดอะฟูลในชุมนุมทาโรต์ของสัปดาห์ถัดไป และภาวนาให้มีคำแนะนำดีๆ จากพวกเขา


ออเดรย์รีบก้าวขึ้น ‘บันได’ ที่เธอสร้างขึ้นเอง จนกระทั่งเข้าสู่ขอบเขตความฝันของตน หญิงสาวเพ่งจิตส่งตัวเองกลับมายังโลกภายนอก



เมื่อเดนิสได้รับอนุญาตให้กลับเข้ามาในห้อง


มันรีบจ้องเกอร์มัน·สแปร์โรว์พลางยิ้มแห้ง


“นายคงไม่นำสิ่งที่เห็นในวันนี้ไปเล่าให้ใครฟังใช่ไหม…”


……………………


ราชันเร้นลับ 558 : มองหาความผิดปรกติ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไคลน์ไม่รับปาก เพียงชะงักฝีเท้าเล็กน้อยขณะเดินกลับเข้าห้องนอน ก่อนจะหันไปกล่าวกับเดนิสเสียงเรียบ


“ก็แค่คำถามไม่ใช่หรือ”


“ช… ใช่! ใช่! แค่คำถามเท่านั้น! แถมยังเป็นคำถามเชิงปรักปรำ! ทั้งที่ฉันพยายามปฏิเสธอย่างฉะฉานแล้ว!” เดนิสค่อนข้างโล่งใจเมื่อเห็นท่าทีตอบสนองของอีกฝ่าย และรู้สึกมีความสุขที่ตนปฏิเสธเสียงแข็งในทุกคำถาม


ไคลน์พยักหน้า


“ไม่ต้องห่วง ฉันจะช่วยอธิบายให้กัปตันของนายเข้าใจ ว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรในกอไผ่”


อธิบายให้กัปตันเข้าใจ…


เดนิสฉงนในตอนต้น แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก มันเริ่มอ้าปากค้างด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว


เดนิสไม่ได้โง่ถึงขนาดนั้น จึงตัดสินใจไม่โต้แย้งหรือหาข้ออ้างใด เพียงยิ้มแห้ง :


“…ให้ฉันช่วยอะไรไหม”


ไคลน์สูดลมหายใจยาว พลางฝืนกลั้นขำด้วยพลังของตัวตลก


“เฝ้าเครื่องไว้”


“ต…ตกลง!” เดนิสรีบตกปากรับคำ


เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์หันหลังกลับและเดินไปยังประตูห้องนอน เดนิสอดซักถามให้หาคาใจไม่ได้


“นายจะไม่อธิบายให้กัปตันฟังใช่ไหม…”


ไคลน์ใช้มือบิดกลอน พ่นคำตอบเสียงเรียบ


“เฝ้าเครื่องไว้”


เมื่อกล่าวจบ ชายหนุ่มผลักประตูเข้าไปพร้อมกับอ้าปากหัวเราะแบบไร้เสียง ก่อนจะรีบดึงประตูปิดตามหลัง



ช่วงเช้าวันถัดมา หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ไคลน์เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นกางเกงขาบานรัดหัวเข่า แจ็คเก็ตสีน้ำตาลตัวหนา สวมหมวกแก๊ป แปลงโฉมใบหน้า และเดินออกจากห้องพักสุดหรู ทิ้งให้เดนิสเฝ้าเครื่องรับโทรเลขตามลำพัง


ระหว่างทาง ไคลน์เปลี่ยนใบหน้าอีกครั้ง ให้เหมือนกับชนพื้นเมืองยิ่งกว่าเดิม


จากนั้น มันเดินหาร้านขายอุปกรณ์เฉพาะทางเพื่อซื้อถุงมือลินิน ผ้าห่อศพ และถุงบรรจุศพ ตามด้วยการสวดวิงวอนถึงตัวเอง เพื่อเรียกความทรงจำเกี่ยวกับสะพานที่หญิงสาวชนพื้นเมืองเสียชีวิตอย่างสงบ เมื่อจำจนขึ้นใจ ไคลน์ตระเวนหาจนพบจุดเกิดเหตุ รวมถึงพบศพของหญิงสาวนอนตายในพื้นโคลนตรงมุมสะพาน


ด้วยความที่เป็นฤดูหนาว อุณหภูมิจึงไม่สูง ส่งผลให้ศพไม่เข้าสู่กระบวนการเน่าเปื่อย แต่ลำพังกลิ่นศพและแผลพุพองจากโรคร้ายของหล่อน ก็ทำให้ไคลน์อยากอาเจียนออกมาทันใด


มันไม่จัดการศพให้เสร็จตั้งแต่เมื่อคืน เพราะเมืองบายัมยังอยู่ในกฎอัยการศึก ห้ามออกจากที่พักในยามวิกาล ยิ่งไปกว่านั้น ความปรารถนาสุดท้ายของเธอ คือการได้เป็นมนุษย์อีกครั้ง จึงต้องรอให้สุสานเปิดทำการในช่วงเช้ามืดเสียก่อน


ชายหนุ่มหยิบขวดโลหะขนาดเล็กออกมาหมุนเปิดฝา ชโลมน้ำมันครักซ์ลงมือฝ่ามือ และเลื่อนขึ้นมาป้ายปลายจมูก


กลิ่นกระแทกกระทั้นได้กระทุ้งเข้าไปในโพรงจมูกจนไคลน์ตาสว่าง กลิ่นของสะระแหน่ผสมกับน้ำยาฆ่าเชื้อช่วยให้ประสาทการดมกลับมาทำงานปรกติอีกครั้ง มันรู้สึกเย็นสดชื่นราวกับได้นอนแผ่ไปบนลำธารน้ำแข็ง กลิ่นศพไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว


ไคลน์ปิดฝาขวดโลหะและเก็บกลับตำแหน่งเดิม ตามด้วยการหยิบถุงมือลินินสวม โน้มตัวลงไปหาศพของหญิงสาว


ประการแรก มันคลี่ผ้าห่อศพออก จัดการนำศพมาวางและเริ่มห่อ ก่อนจะเก็บใส่ถุงศพอีกชั้น


หลังจากแบกศพขึ้นบ่า ไคลน์จงใจเดินไปบนถนนที่เนืองแน่นที่สุดของเมืองบายัม ตรงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งพ้นเขตเมือง ผ่านถนนเส้นเล็กและแคบจนรถม้าไม่สามารถเข้าออก ปิดท้ายด้วยการเดินขึ้นเขาจนมาถึงไหล่เขาฝั่งทะเล


ที่นี่มีสุสานสำหรับชนพื้นเมืองโดยเฉพาะ เกิดจากความร่วมมือระหว่างโบสถ์วายุสลาตันและเทศบาลเมือง


อีกฝั่งหนึ่งของเมืองบายัมจะมีสุสานสำหรับชาวโลเอ็น อินทิส เฟเนพ็อตโดยเฉพาะ รวมถึงคนนอกที่มาทำธุรกิจชั่วคราว มาผจญภัย หรือไม่ก็ย้ายมาลงหลักปักฐาน เป็นสุสานติดเขตป่าบนพื้นราบ มอบบรรยากาศแสนสงบสุขและร่มรื่น


ไคลน์ย่างกรายเข้าไปในสุสานที่ไม่มีแม้แต่ชื่อ และเดินหาจนคนเฝ้าสุสานกำลังงีบหลับ


“ต้องการฝังแบบไหน” คนเฝ้าสุสานชี้ไปทางถุงศพบนบ่า “ถ้าไม่อยากเสียเงิน ต้องรอสักพักให้ศพในสุสานมีมากกว่านี้ จะได้เผาพร้อมกันทีเดียว และเก็บขี้เถ้าไว้ที่เดียวกัน แน่นอน ถ้ารีบก็ต้องเสียเงิน ที่นี่มีนักบวชคอยสวดส่งวิญญาณตลอดเวลา ถ้าจ่ายห้าซูล ขี้เถ้าจะถูกเก็บแยกไหและมีชั้นวางเป็นสัดส่วน มีป้ายชื่อกับคำจารึก ถ้าจ่ายสองปอนด์ จะมีหลุมศพส่วนตัวและแผ่นหินไว้สลักคำจารึก หรือถ้าไม่อยากเผา อยากฝังแทน ก็ต้องซื้อโลงใส่ ราคาขึ้นอยู่กับคุณภาพไม้”


ไคลน์ยืนครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะควักธนบัตรห้าซูลยื่นให้อีกฝ่าย


“คนตายชื่ออะไร” คนเฝ้าสุสานก้มหน้าตรวจเงินเล็กน้อย ตามด้วยการหยิบปากกาขึ้นมาจุ่มหมึกและซักถามด้วยสีหน้าเป็นมิตร


มันไม่รู้หนังสือก็จริง แต่อย่างน้อยก็พอจะวาดสัญลักษณ์ให้ตัวเองเข้าใจคนเดียวได้


ไคลน์มอบคำตอบ


“บอร์ดีย์”


“บอร์ดีย์…” คนเฝ้าสุสานทวนเสียงด้วยค่อย พร้อมกับลงมือวาดสัญลักษณ์


มันกล่าวต่อไปโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง


“เขียนคำจารึกให้เธอไหม”


บอร์ดีย์คือชื่อที่ได้รับความนิยมในหมู่ชนพื้นเมืองเพศหญิงของหมู่เกาะรอสต์ คนเฝ้าสุสานจึงทราบเพศได้ทันที


ไคลน์เงียบขรึมสักพัก จึงค่อยตอบเสียงทุ้ม


“เธอเป็นมนุษย์”


“เธอเป็นมนุษย์…? คำจารึกประหลาดชะมัด”


คนเฝ้าสุสานพึมพำ


“มีรูปถ่ายไหม… ไม่น่ามีกระมัง”


ยังไม่ทันสิ้นเสียง มันเหลือบเห็นอีกฝ่ายยื่น ‘รูปถ่าย’ มาทางตนหนึ่งใบ


ความจริงแล้ว สิ่งนี้คือรูปวาดโดยฝีมือไคลน์ เป็นการวิงวอนถึงตัวเองและวาดออกมาจนเสมือนจริง แต่เพื่อมิให้ถูกสงสัย จึงทำลงบนกระดาษชนิดพิเศษ ผนวกกับเทคนิคส่วนตัวอีกเล็กน้อย รูปวาดจึงออกมาเหมือนกับรูปภาพจนยากจะแยกแยะ


คนเฝ้าสุสานประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม เพียงยัดกระดาษจดข้อมูลไว้ในกระเป๋าเสื้อและช่วยไคลน์แบกศพเดินเข้าไปหานักบวชด้านใน



ผ่านไปทีละขั้นตอน เริ่มจากสวดศพ เผาศพ เก็บเถ้าเข้ากรุ นำไปวางบนชั้น ติดแผ่นป้ายชื่อและคำจารึก เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ไคลน์สวมสีหน้าดำมืดขณะเดินออกจากสุสาน


ระหว่างทางเดินลงเขา มันหันไปเห็นภาพมุมกว้างของบายัมทั้งหมด


น้ำทะเลสีฟ้าอ่อนจนเกือบเขียว มหาสมุทรกว้างไกลไร้ขอบเขต แถบท่าเรือเต็มไปด้วยใบเรือและปล่องควัน ถนนตัดผ่านกันหลายเส้น ผู้คนเดินคลาคล่ำไปมา พืชพรรณเขียวขจีน้อยใหญ่ ถนนหลัก ถนนรอง และรางรถไฟที่ตรงยาว… องค์ประกอบทั้งหมดงดงามราวกับภาพวาดฝีมือจิตรกรชื่อดัง เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและพลังงาน เป็นความสดชื่นอันยากจะหาคำบรรยาย



เหนือหอนาฬิกาของมหาวิหารคลื่นสมุทร พระคาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตัน อาวุโสใหญ่แห่งทูตพิพากษา แยนน์·ค็อตแมน กำลังยืนริมระเบียง จ้องมองไปยังวิวทิวทัศน์ของทะเลกว้างใหญ่และภูเขาที่ทอดยาวไปตามแนวชายฝั่ง


ระดับมลพิษทางอากาศของเมืองบายัมจัดว่าค่อนข้างต่ำ เพราะเหมืองแร่และอุตสาหกรรมหนักทั้งหมดจะอยู่ในเมืองอื่นรอบเกาะ รายได้หลักของบายัมมาจากการค้าขายเครื่องเทศ สถานบริการ และบ่อนการพนัน แถมยังเป็นศูนย์รวมและกระจายสินค้าที่สำคัญบนทะเลโซเนีย จึงไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมแม้แต่แห่งเดียว ในส่วนของการเผาถ่านหิน หากอุณหภูมิต่ำเกินกำหนด เทศบาลเมืองจะอนุญาตให้เผาเตาผิงได้โดยจำกัดวัน


แยนน์·ค็อตแมน เจ้าสมุทร ชักสายตากลับเมื่อเหลือบเห็นทูตพิพากษาคนหนึ่งกำลังเดินขึ้นบันไดวนมาหา


“ท่านเจ้าคุณค็อตแมน มีข่าวใหม่ขอรับ”


ทูตพิพากษาโค้งศีรษะพร้อมกับใช้กำปั้นขวากระแทกหน้าอกซ้าย


“ว่ามา” แยนน์·ค็อตแมน นักบวชหุ่นกำยำ ย้อนถามเสียงขรึม


ทูตพิพากษายื่นกระดาษรายงานพร้อมกับอธิบายรายละเอียด


“สายข่าวจากกลุ่มต่อต้านรายงานเข้ามาว่า พวกมันได้รับวิวรณ์จากคาเวทูว่า และกำลังดำเนินการก่อสร้างเทวรูปใหม่ทั้งหมด”


“เทวรูปใหม่…” แยนน์·ค็อตแมนคลี่กระดาษรายงานอ่าน สายตากวาดชำเลืองรวดเร็ว


ทันใดนั้น มันจ้องเข้าไปในเขตป่าลึกบนเกาะภูเขาคราม พลางออกคำสั่ง


“จับตามองความผิดปรกติบนหมู่เกาะโดยรอบไว้ให้ดี”


จากข้อมูลเมื่อครู่ มันสามารถยืนยันได้หนึ่งเรื่อง นั่นก็คือ บุคคลปริศนาที่ขโมยมรดกของคาเวทูว่าไป ปัจจุบันยังไม่ออกจากน่านน้ำในแถบหมู่เกาะรอสต์ สิ่งนี้คือข้อเท็จจริง ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงไม่สามารถมอบวิวรณ์หรือตอบสนองพิธีกรรมของกลุ่มต่อต้านได้


ขณะเดียวกัน แยนน์·ค็อตแมนที่อยู่เส้นทางเดียวกันย่อมทราบเป็นอย่างดี ตะกอนพลังจากคาเวทูว่า ไม่ว่าจะหดตัวกลายเป็นสมบัติปิดผนึกแล้วหรือยัง แต่สิ่งนั้นจะมาพร้อมผลข้างเคียงรุนแรงจนยากจะรับมือ มิอาจหลีกเลี่ยงความผิดปรกติที่เกิดขึ้นรอบตัวได้


และมันยังเชื่อว่า อีกฝ่ายคงยังหาวิธีผนึกตะกอนพลังดังกล่าวได้ไม่ง่ายนัก ถึงจะลดอำนาจลงบางส่วน แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่าผนึกโดยสมบูรณ์


หรือต่อให้เกิดโอกาสหนึ่งในล้าน สามารถผนึกได้อย่างมิดชิด แต่การตอบสนองพิธีกรรมและมอบวิวรณ์ จำเป็นต้องคลายผนึกออกมาใช้งาน สุดท้ายก็จะเลี่ยงการสร้างความผิดปรกติต่อบริเวณโดยรอบไม่ได้อยู่ดี


นั่นคือเบาะแสในการสืบสวน!


“ขอรับ ท่านเจ้าคุณค็อตแมน! ขอพายุจงสถิตกับท่าน!” ทูตพิพากษาคนเดิมทำความเคารพอีกครั้งและเดินกลับไป



หลังจากกลับเข้าเขตบายัม ไคลน์ฉวยโอกาสในจังหวะที่ไม่มีใครเห็น แปลงโฉมกลับเป็นใบหน้าเดิม และโดยสารรถม้าเช่าไปยังโรงแรมวายุคราม


เมื่อเปิดประตูห้อง ชายหนุ่มเห็นเดนิสกำลังนั่งจ้องเครื่องรับโทรเลขด้วยสีหน้าพะอืดพะอมเจือความโศกเศร้า


“คืบหน้าบ้างไหม” ไคลน์ตามเสียค่อย


“ม…ไม่” เดนิสยกมือขวาที่ถือหนังสือพิมพ์ด้วยอากัปกิริยาสั่นเทา “ค่าหัวของฉัน… ค่าหัวของฉันกลายเป็นห้าพันห้าร้อยปอนด์แล้ว!”


อีกนิดเดียวก็จะเท่าเหล็กกล้า·แม็ควิตี้!


เรื่องนี้ส่งผลให้มันกลัวการออกไปดื่มข้างนอก ทำได้เพียงนั่งเฝ้าสัญญาณโทรเลขอย่างเหี่ยวเฉา


หืม… ระบบประเมินค่าหัวโจรสลัดค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว…


ไคลน์ตอบสนองไม่ถูก จึงพูดกลับไปด้วยสีหน้าเย็นชา


“นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น มิสเตอร์หมื่นปอนด์”


แม่เย็*!


ภายในใจเดนิสกำลังเดือดดาล แต่บนใบหน้ามิกล้าเผยอากัปกิริยาเสียมารยาท


ในเมื่อทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ก่อขึ้น แล้วทำไมค่าหัวเราถึงได้ขึ้นเอาขึ้นเอาฝ่ายเดียววะ! ไอ้พวกแม่เย็*โบสถ์วายุสลาตัน!


เพลิงพิโรธยิ้มแห้งพลางโบกมือ มุมปากกระตุกให้เห็นเล็กน้อย


ไคลน์พยายามกลั้นขำ ไม่พูดอะไรกับอีกฝ่าย เพียงหันหลังกลับและเดินเข้าห้องนอน เตรียมพักผ่อนชดเชยเวลาที่ขาดไป


ทันใดนั้น มันเห็นกระดาษจดหมายโผล่ขึ้นจากอากาศว่างเปล่า ก่อนจะร่วงหล่นลงตรงหน้าพอดิบพอดี


ไคลน์ยื่นมือขวาออกไปคว้าไว้ได้ทัน


ไม่แม้แต่จะโผล่หน้าออกมา… ส่งเสร็จก็กลับไปทั้งอย่างนั้นเลยหรือ…


ชายหนุ่มตัดพ้ออย่างไม่พอใจ พลางคลี่กระดาษจดหมายอ่าน


“มีสองวิธีในการครอบครองผู้ส่งสาร วิธีแรก คุณต้องทราบนามเต็มหรือบรรยายลักษณะพิเศษของเป้าหมายให้ถูก จากนั้นก็ประกอบพิธีกรรมอัญเชิญ และทำพันธสัญญาความตายร่วมกัน วิธีที่สอง เข้าไปในโลกวิญญาณเพื่อค้นหาผู้ส่งสารอย่างมีความหวัง ถ้าตกลงกันได้ก็ทำพันธสัญญาให้เสร็จ และถามนามเต็มหรือคำบรรยายลักษณะเฉพาะของอีกฝ่ายให้ชัดเจน เพื่อใช้ในการอัญเชิญครั้งถัดไป วิธีแรกค่อนข้างง่าย แต่ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยอันตราย เพราะคุณอาจบังเอิญอัญเชิญวิญญาณทรงพลังออกมา หรือไม่ก็วิญญาณมารเจตนาชั่วร้าย แทบไม่สามารถเดาล่วงหน้าได้ว่า ผลลัพธ์การอัญเชิญจะออกมาเป็นเช่นไร แน่นอน พลังทำนายก็ไม่มีข้อยกเว้น ส่วนวิธีที่สอง ข้อเสียก็คือ คุณจะหาผู้ส่งสารที่ถูกใจได้ยาก แถมยังมีโอกาสหลงทางในโลกวิญญาณได้ง่าย ถ้าคุณไม่ใช่ ‘นักท่องเที่ยว’ ผมไม่แนะนำให้ใช้วิธีที่สอง ในส่วนของวิธีแรก ผมสามารถมอบคำบรรยายลักษณะเฉพาะที่ยืนยันแล้วว่าปลอดภัย ขอเพียงประกอบพิธีกรรมได้ถูกต้อง อีกฝ่ายก็จะมาเป็นผู้ส่งสารทันที แต่คุณอาจไม่พอใจในคุณภาพของวิญญาณดังกล่าว… แล้วก็ การทำพันธสัญญาแห่งความตายจำเป็นต้องใช้พลังในขอบเขตเทพมรณา สำหรับในส่วนนี้ นกหวีดทองแดงของผมสามารถแก้ไขปัญหาได้ ขั้นตอนของพิธีกรรมอัญเชิญประกอบด้วย… …แน่นอน ถ้าคุณไม่ถือสา ผมสามารถย้ายผู้ส่งสารจากนกหวีดให้เป็นของคุณได้ ขอเพียงทำพันธสัญญาร่วมกัน”


ย้ายผู้ส่งสารในนกหวีดมาเป็นของเรา… เข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้ายักษ์กระดูกนั่นถึงไม่โผล่หน้าออกมาในคราวนี้… ไคลน์เริ่มกระจ่าง


จากเหตุการณ์ที่ไคลน์อัญเชิญผู้ส่งสารออกมาเป็นเกราะกำบัง จนโชคร้ายถูกมิสเตอร์ A ฆ่าตาย เรื่องนั้นส่งผลให้ผู้ส่งสารรายหลังทำตัวขาดความเกรงใจ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจปฏิเสธความหวังดีของอะซิก ไม่ใช้งานยักษ์กระดูกเพื่อส่งจดหมาย


“วิธีไหนดี…หนึ่งหรือสอง…วิธีแรกง่ายก็จริง แต่เราก็มีสิทธิ์ถูกว่าที่ผู้ส่งสารของตัวเองกระทืบตายคาที่เหมือนกัน…หากบรรยายลักษณะเฉพาะธรรมดาเกินไปก็คงไม่ได้ผล ต้องคิดคำบรรยายให้แตกต่าง แต่ก็ต้องกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการส่งจดหมายด้วย…วิธีที่สอง? เราไม่ต้องกลัวหลงทางบนโลกวิญญาณ เพราะสามารถกลับมิติสายหมอกได้ทันที แถมยังพกพาคทาเทพสมุทรติดตัวไปได้ด้วย สิ่งมีชีวิตภายในนั้นล้วนเป็นวิญญาณทั้งหมด ไม่มีทางโดนสูบเลือดอยู่แล้ว หืม…แต่เราคงต้องออกไปทำนอกหมู่เกาะรอสต์ ไม่อย่างนั้นคงถูกเสียงสวดวิงวอนของสาวกรบกวนจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด”


ไคลน์ตัดสินใจหนักแน่น


……………………


ราชันเร้นลับ 559 : เผชิญหน้าระหว่างทาง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไคลน์ตัดสินใจเตรียมสำรวจโลกวิญญาณในวันนี้เลย เพื่อหยั่งเชิงก่อนลงมือจริงนอกเขตหมู่เกาะรอสต์


หมายความว่า หากสำรวจโลกวิญญาณขณะยังอยู่ในเมืองบายัม ก็คงมิอาจนำคทาเทพสมุทรติดตัวไปด้วยได้ เพราะนั่นจะทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมามากมาย


แค่ไพ่จักรพรรดิมืดก็พอแล้ว…


ถ้าเราหลงหรือตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เพียงรีบสิ้นสุดพิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง ก็จะได้กลับสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกอย่างปลอดภัย แทบไม่มีความเสี่ยงในปฏิบัติการ…


ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเดินไปล็อกประตูห้องนอน เตรียมประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง


เมื่อเสร็จขั้นตอนพื้นฐาน จิตชายหนุ่มถูกส่งมายังมิติสายหมอกโดยสวัสดิภาพ แต่มันมิได้รีบร้อน ทำเพียงนั่งลงและเสกให้คทาเทพสมุทรลอยออกจากกองขยะ ร่อนลงบนฝ่ามืออย่างนุ่มนวล


ก่อนอื่น ไคลน์ลงมือสำรวจว่ามีสาวกคนใดสวดวิงวอนมาถึงเทพสมุทรบ้าง


ไม่คิดคาด มันได้พบสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับการสวดวิงวอนของสาวกบางคน ตามธรรมชาติแล้ว มนุษย์สามารถโกหกเพื่อนฝูง ครอบครัว หรือญาติพี่น้องได้ไม่ยาก แต่หากต้องสารภาพบาปต่อเทพที่ศรัทธา การเก็บซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงนั้นทำได้ค่อนข้างยาก อย่างมากก็แค่แต่งเติมเรื่องราวเล็กน้อย ให้ตัวเองรู้สึกผิดน้อยลง


ตำรวจเลือดผสมคนหนึ่งที่ไต่เต้าจนมียศปานกลางในสถานีตำรวจบายัม ถูกโน้มน้าวให้เปลี่ยนมานับถือเทพวายุสลาตันอย่างไม่เต็มใจ และเมื่อทำการสารภาพบาปต่อเทพสมุทร มันพยายามอธิบายว่า ตนต้องแบกรับความเจ็บปวดมากเพียงใดที่ต้องแสร้งทำเป็นศรัทธาเทพตนอื่น แต่มันยอมทน เพื่อแลกกับอนาคตและความเจริญรุ่งเรืองของชนพื้นเมือง โดยในตอนสุดท้าย ตำรวจคนดังกล่าววิงวอนให้เทพสมุทรคอยคุ้มครองตน และอวยพรให้ไต่เต้าหน้าที่การงานได้อย่างราบรื่น


อาจฟังดูสมเหตุสมผล แต่ความสั่นคลอนของจิตใจขณะสารภาพบาป รวมไปถึงห้วงอารมณ์ที่ไม่สงบนิ่ง ล้วนถูกฉายอย่างแจ่มชัดบนนิมิตภาพฉาย มิอาจปกปิดต่อหน้าเทพได้


หลอกตัวเองไม่ว่า แต่หลอกแม้กระทั่งเทพ… หากเปลี่ยนเป็นคาเวทูว่า เจ้างูทะเลนั่นคงหลงเชื่อโดยไม่เคลือบแคลง… หืม… เราควรเสกฟ้าผ่าใส่กบาลสักเส้น หรือเสกลมเฉือนสักสิบเส้นเพื่อลงทัณฑ์ให้สาสมกับโทษดี… แต่ว่า การเก็บชนพื้นเมืองที่เป็นตำรวจยศสูงเอาไว้ก่อนก็ไม่เลวเหมือนกัน พวกตีสองหน้ามักมีประโยชน์ให้ใช้งานได้เสมอ…


ไคลน์ยกคทาเทพสมุทรขึ้น เสกให้อัญมณีสีฟ้าเม็ดหนึ่งสองแสง


แสงสว่างถูกฉายเข้าไปในนิมิต ก่อนจะลอยไปฉาบร่างของสารวัตรนามบราญ่าโดยไม่มีใครสังเกตเห็น


สิ่งนี้ไม่ใช่คำสาป แล้วก็ไม่ใช่พร แต่เป็นออร่าแห่งเทพ ยากจะสัมผัสถึงด้วยวิธีการปรกติ


อธิบายให้เข้าใจง่ายก็คือ เป็นการ ‘หมายหัว’ ว่าจะจับตามองสาวกคนนี้เป็นพิเศษ… ไคลน์เสริมในใจ


ชายหนุ่มยังคงไล่ดูไปเรื่อยๆ จนได้เห็นสาวกวัยหนุ่มคนหนึ่ง ผิวสีแทน ผมหยักศกเล็กน้อย กำลังสวดวิงวอนให้เทพสมุทรลงทัณฑ์ชายที่ชื่อจังโม่ด้วยพายุหรือไม่ก็จมน้ำตาย โดยให้เหตุผลว่า จังโม่ทำการทรยศและไม่ศรัทธาต่อเทพสมุทร แต่ในความเป็นจริง ชาวประมงมากประสบการณ์นามว่าจังโม่ จงรักภักดียิ่งกว่าเด็กคนนี้เสียอีก


การได้มาเห็นทั้งหมด ช่วยให้เราตระหนักว่าจิตใจมนุษย์ล้ำลึกยากหยั่งถึงเพียงใด…


ไคลน์ขมวดคิ้วในตอนต้น ก่อนจะนั่งครุ่นคิดสักพักจนได้บทสรุปให้ตัวเอง


หากผู้ไร้หน้าต้องการ ‘สวมรอย’ ให้สมจริง องค์ประกอบทั้งหมดต้องครบถ้วน ตัวอย่างเช่น รูปลักษณ์ของเหยื่อต้องแม่นยำ บุคลิกและนิสัยประจำตัวต้องไม่ตกหล่น ห้ามหลุดบทบาทแม้แต่วินาทีเดียว โดยแต่ละเป้าหมายการสวมรอยก็จะมีอุปนิสัยแตกต่างกันไป


“การได้นั่งสำรวจคำวิงวอนของสาวกช่วยให้เราได้พบอุปนิสัยอันหลากหลาย แต่ละคนมีกระบวนการคิดแตกต่างกันไป รวมถึงสภาพจิตใจในขณะนั้น พันคนก็พันรูปแบบ มนุษย์มิได้แตกต่างกันแค่ใบหน้า นี่คือประสบการณ์แสนล้ำค่าสำหรับผู้ไร้หน้าอย่างเรา จะได้ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูกหรือสั่งสมประสบการณ์จริงด้วยตัวเอง”


ไคลน์เริ่มตระหนักว่า การสวมรอยเป็นเทพสมุทรให้อะไรมากกว่าที่คิด


ขณะปลอมตัวเป็นครึ่งเทพ ถึงจะไม่ได้รับความคืบหน้าของโอสถ แต่ผลประโยชน์ด้านอื่นก็ไม่น้อยเช่นกัน… เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในตัวตนธรรมดา…


ไคลน์เริ่มมีไฟกับการทำงาน มันไล่ดูคำสวดวิงวอนของทุกคนอย่างตั้งใจ


ผ่านไปฉากแล้วฉากเล่า สายตาชายหนุ่มสะดุดอยู่กับนักธุรกิจชื่อราล์ฟ


ชายคนนี้เลื่อมใสในปาฏิหาริย์ที่เทพสมุทรกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง จึงตัดสินใจบริจาคเงินจำนวนสองหมื่นปอนด์ หรือหนึ่งในสามของทรัพย์สิน ให้กับกลุ่มต่อต้าน ครึ่งหนึ่งเพื่อการทหาร และอีกครึ่งหนึ่งเพื่อสร้างเทวรูปขึ้นใหม่


ไม่เห็นต้องยุ่งยากขนาดนั้น แค่สังเวยเงินสดให้เทพสมุทรโดยตรงก็สิ้นเรื่อง… ไคลน์พึมพำติดตลก


หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มเสกคลื่นยักษ์และพายุให้ลอยอยู่ด้านหลัง พร้อมกับสร้างฝนตกโปรยปรายสลับกับฟ้าผ่า ก่อนจะตอบคำวิงวอนของพ่อค้าราล์ฟด้วยเสียงแผ่วเบา


“จงช่วยเหลือเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์และพวกพ้อง เพื่อสรรเสริญนามของเราให้กึกก้อง เหล่าแกะน้อยทั้งหลายล้วนต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือการศึกษา”


ไคลน์ต้องการให้ราล์ฟก่อตั้งกองทุนการกุศลมูลค่าสองหมื่นปอนด์ขึ้น จากนั้นก็พยายามระดมเงินบริจาคจากสังคม เพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนหน้า สิ่งนี้จะทำให้ชนพื้นเมืองกลับมากลมเกลียวกันอีกครั้ง แถมยังได้บริจาคอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และทุนการศึกษาแก่เด็กท้องถิ่นไปในตัว


ในส่วนของเงินบำรุงกำลังพลและสรรพาวุธของกลุ่มต่อต้าน ไคลน์ไตร่ตรองไว้แล้วเช่นกัน บนโลกผู้วิเศษที่รบกันด้วยพลังเป็นหลัก ลำพังคนของชนพื้นเมืองคงมิอาจต่อต้านรัฐบาลโลเอ็นมาได้นานขนาดนี้แน่ หมายความว่า กลุ่มต่อต้านคงได้รับความช่วยเหลือจากอาณาจักรอื่นมาโดยตลอด อาจเป็นได้ทั้งอินทิสหรือฟุซัค


แน่นอน หนึ่งในความช่วยเหลือก็คือเงิน


ดังนั้น แม้เงินของราล์ฟไปไม่ถึงงบการทหาร แต่กลุ่มต่อต้านก็คงไม่กระทบมากนัก


น่าเสียดาย เราไม่สามารถเพิ่มข้อกำหนดลงในบัญญัติสิบประการได้ว่า : จงใช้เงินอย่างสุจริตและชอบธรรม… ประเด็นนี้ขัดแย้งกับสภาพความเป็นจริงเกินไป… กลุ่มต่อต้านคงไม่ต้องการลดกำลังพลลง เพราะพวกมันมักส่งคนไปทำลายสาธารณูปโภคด้านการคมนาคมของเมืองบายัมอยู่เสมอ จนเจ้าหน้าที่ทำงานได้ยากลำบากขึ้น เป็นการสร้างข้อเรียกร้องด้วยการใช้กำลังจุดชนวน…


ในฐานะอดีตนักรบคีย์บอร์ด ไคลน์ย่อมมีความรู้พื้นฐานในด้านนี้พอสมควร


จากนั้น ชายหนุ่มเปลี่ยนประเด็นครุ่นคิด เริ่มหันมาทำนายว่า การสำรวจโลกวิญญาณในวันนี้จะมีอันตรายรออยู่หรือไม่


ผลลัพธ์ระบุว่าไม่อันตรายมากนัก


เมื่อทราบคำตอบ ชายหนุ่มทำการสอดไพ่จักรพรรดิมืดไว้ในร่างวิญญาณ เปลี่ยนแปลงรูปโฉมด้วยเกราะเหล็กสีดำและมงกุฎ ก่อนจะเดินออกจากประตูอัญเชิญที่ตัวมันสร้างรอไว้


กลับถึงโลกจริง ชายหนุ่มยัดบรรดาสมบัติวิเศษเกือบทั้งหมดใส่ไว้ในร่างวิญญาณ เผื่ออาจได้ใช้ในโอกาสสำคัญ


จากนั้น เฉกเช่นคราวก่อน ด้วยการเพ่งจิตขณะอยู่ในร่างวิญญาณ ไคลน์สามารถเข้าสู่โลกวิญญาณได้ทันที


ชายหนุ่มเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ร่างกายผ่านม่านล่องหน จนกระทั่งเริ่มลอยขึ้น


รอบตัวเต็มไปด้วยเส้นสีแดง เหลือง ฟ้า เขียว และแสงอื่นๆ สีสันฉูดฉาด คล้ายกับกำลังอยู่ในโลกของภาพสีน้ำมัน ขณะเดียวกัน สามัญสำนึกของมนุษย์ในเชิงทิศทางเช่นซ้าย ขวา หน้า หลัง บน และล่าง ล้วนไม่ตรงตามตำแหน่งจริงบนโลกปรกติ หากอาศัยหลังดังกล่าวในการเดินทาง จุดจบคงไม่พ้นการหลงทิศ


ไคลน์สำรวจไปเรื่อยๆ อย่างระมัดระวัง บางครั้งก็พบสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์สีเหลืองคล้ายฝีมือเด็กวาด บางครั้งก็พบลำธารมายาที่ไหลเวียนตลอดเวลาแต่จับต้องไม่ได้


นอกจากนั้นยังมีสัญลักษณ์ของผู้หญิงสองมิติร่างกายแบนลีบ ท่อนบนไม่สวมเสื้อ อีกทั้งยังมีสัญลักษณ์ดวงจันทร์ยิ้ม เรือพายตั้งตรง พุ่มเชือกแขวนลูกบอลจำนวนมาก และขั้นบันไดที่ขดเป็นวงกลม ม้วนขึ้นไปหาริ้วแสงเจ็ดสีด้านบน


ท่ามกลางโลกอันวุ่นวาย นอกจากสิ่งมีชีวิตวิญญาณแล้ว ข้อมูลทั้งหมดจะปรากฏในรูปแบบสัญลักษณ์ เป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใด การทำนายจึงได้รับคำตอบในเชิงสัญลักษณ์ ต้องไปตีความกันเอาเอง


โดยสัญลักษณ์เหล่านี้ หากพวกมันดำรงอยู่ต่อไปอีกสักนิด ก็อาจกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตวิญญาณขึ้นมาได้เช่นกัน


ในนี้คือโลกวิญญาณ สถานที่ซึ่งมิอาจใช้สามัญสำนึกของมนุษย์ทำความเข้าใจได้ด้วยประการทั้งปวง…


แต่สิ่งที่ทำให้ไคลน์ประหลาดใจมากที่สุดกลับเป็นเรื่องอื่น ในคราวก่อนที่มันมาเยือนโลกวิญญาณ การพบสิ่งมีชีวิตวิญญาณไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก พบได้ง่ายจนไคลน์หวนนึกถึงคำเตือนของบรรพบุรุษตระกูลอับราฮัม : ห้ามจ้องตาสิ่งมีชีวิตวิญญาณเกินสามวินาที


ตอนนั้นมีทั้งสายตาลึกลับที่มองไม่เห็นรอบตัว หญิงสาวไร้หัวที่ยืนบนปราสาท มือทั้งสองข้างหิ้วศีรษะอีกสี่เศียร ดวงตากลมโตที่มีเพียงสีขาวและดำโดยปราศจากอวัยวะอื่น รวมถึงแมงกะพรุนยักษ์ที่มีปลายหนวดเป็นกะโหลก


แต่สำหรับคราวนี้ แม้จะสำรวจโลกวิญญาณได้สักพัก ไคลน์กลับยังไม่พบสิ่งมีชีวิตวิญญาณแม้แต่ตนเดียว กระทั่งดวงตาที่จ้องมองมาจากมุมมืดก็ไม่มี ราวกับทั้งหมดพร้อมใจกันซ่อนตัว


อย่าบอกนะว่า เป็นเพราะเรากำลังมองหาผู้ส่งสาร พวกมันจึงหลบหน้า… เป็นไปได้… เราใช้ร่างวิญญาณของตัวเองเชื่อมต่อโดยตรง เจตนาของเราจึงอาจถูกฝังลงในร่างวิญญาณ และเปลี่ยนรูปเป็นสัญลักษณ์เมื่อย่างกรายเข้าสู่โลกวิญญาณแห่งนี้ ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตอื่นมองเห็นเจตนาของเราอย่างแจ่มชัด…


ไคลน์ใคร่ครวญอย่างไม่เข้าใจ และยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้


ขณะความคิดมากมายกำลังแล่นในหัว ร่างกายชายหนุ่มเกิดร่วงหล่นกะทันหัน เป็นการพุ่งตกอย่างอิสระราวกับที่นี่มีแรงโน้มถ่วง


จนกระทั่ง หลังจากไคลน์ท่องไปตามโลกวิญญาณได้สักพัก มันเห็นจุดแสงสีสันฉูดฉาดจากระยะไกลในรูปแบบของสัญลักษณ์ บางจุดเริ่มเปลี่ยนจากสัญลักษณ์กลายเป็นนามธรรม


เกิดอะไรขึ้นกันแน่…


ชายหนุ่มพิจารณาอย่างจริงจัง ว่าตนควรเขียนจดหมายถึงมิสเตอร์อะซิกเพื่อถามให้แน่ใจ หรือไม่ก็นำเครื่องรับโทรเลขไปแช่ไว้บนมิติเหนือสายหมอก ให้สัมผัสออร่าสักพัก จึงค่อยนำออกมาถามอาโรเดส


ขณะกำลังลอยตัวไปเรื่อย ๆ สัญชาตญาณของไคลน์ถูกกระตุ้นฉับพลัน ร่างวิญญาณจึงขยับตัวหลบไปไกลตามจิตใต้สำนึก


ทันใดนั้น แสงสีเหลืองสว่างวาบเข้ามาในมุมสายตา ตามด้วยท่อนขาขนาดมหึมา ใหญ่พอจะกระทืบไคลน์ให้แบนราบ เหยียบลงบนสีแดงและฟ้าฉูดฉาดในจุดที่ชายหนุ่มเคยยืน


ฝ่าเท้าค่อนข้างยาว ผิวหนังเต็มไปด้วยของเหลวสีเขียวและเหลืองปกคลุม ความสูงของเท้าไม่ต่ำกว่าสามเมตร เหนือขึ้นไปเป็นร่างกายอันใหญ่โตที่มีผ้าพันศพรัดไว้คล้ายกับมัมมี่


อีกฝ่ายชะงักงันสักพัก ก่อนที่ขาซึ่งเต็มไปด้วยหนองสีเหลือเขียว จะลอยขึ้นจากจุดเดิมอย่างเชื่องช้า และพุ่งหายเข้าไปในส่วนลึกของโลกวิญญาณ


ไคลน์กำลังที่ซ่อนตัวในจุดห่างไกล ไม่กล้าส่งเสียงใดออกมาเป็นเวลานาน


จนกระทั่งยืนยันได้ว่าปลอดภัย จึงยืนครุ่นคิดเช่นนั้นสักพัก ก่อนจะยิ้มแห้ง


โลกวิญญาณน่ากลัวชะมัด… บังเอิญหลงมาพบกับตัวตนทรงพลังเข้าจนได้… สัตว์ประหลาดนั่นเป็นสิ่งมีชีวิตวิญญาณแน่หรือ…


ไคลน์ส่ายหน้า ก่อนจะเริ่มสำรวจต่อ


ณ ตอนนี้ มันไม่รู้อีกแล้วว่าตนกำลังอยู่บริเวณใดบนโลกวิญญาณ


ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มเริ่มพบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตวิญญาณมากขึ้น


แต่ขณะไคลน์เตรียมหมุนตัวพุ่งไปทางซ้าย ร่างวิญญาณของมันกลับถูกดูดไปข้างหน้าอย่างมิอาจขัดขืน และด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นทุกขณะ


เมื่อมองตรงไป กลุ่มแสงสีฉูดฉาดและสายหมอกสีเทาขาวพลันแหวกออกอย่างกะทันหัน เพียงพริบตา เรือใบลำใหญ่พุ่งพรวดออกจากจุดฟุ้งกระจายดังกล่าว รอบลำเรือถูกฉาบด้วยสีดำสนิททุกซอกมุม


เรือสีดำมีความยาวกว่าหนึ่งร้อยเมตร ใบเรือดำสนิททั้งสามผืนอยู่ในลักษณะกางออกและชักขึ้น มองผิวเผินจะดูคล้ายกับผืนธง


กราบเรือทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยปืนใหญ่หลายกระบอก บนดาดฟ้ามีลูกเรือประจำการพร้อมทำศึกจำนวนนับไม่ถ้วน


สำหรับไคลน์ ภาพทั้งหมดคมชัดเป็นอย่างยิ่ง สามารถเห็นลึกไปถึงรายละเอียดปลีกย่อยทุกจุด แตกต่างจากลักษณะทั่วไปของสิ่งมีชีวิตวิญญาณโดยสิ้นเชิง


แต่เนื่องจากเรือลำดังกล่าวกำลังอยู่ในโลกวิญญาณ สีดำของมันจึงฉูดฉาดและเข้มกว่าปรกติมาก จนคล้ายภาพสีน้ำมัน


ใจกลางดาดฟ้าเรือมีบัลลังก์หินสูงราวสองสามเมตร ตั้งหันหลังให้ห้องเครื่อง บนบัลลังก์มีคนผู้หนึ่งกำลังนั่งด้วยท่วงท่าสง่างาม ส่วนสูงทัดเทียมกับคนยักษ์ในตำนาน


บุคคลดังกล่าวมีเคราสีดำยาวเลยคอ เหนือศีรษะสวมมงกุฎยอดสูง สวมชุดคลุมหรูหราซึ่งมีพื้นหลังสีดำ และตามขอบเป็นสีเงินแวววาว


ริ้วรอยบนใบหน้าทั้งชัดและลึก เปี่ยมด้วยความน่าเกรงขามเหนือพรรณนา ใครก็ตามที่ได้เห็นเป็นต้องอยากก้มศีรษะคำนับ


ภายใต้หน้าผากที่กว้างและมีริ้วรอยร่องลึก กระจกตาสีแดงเข้มกำลังสะท้อนภาพไคลน์ในชุดเกราะและมงกุฎสีดำ


ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มยังมิอาจขัดขืนการลอยเข้าหาชายคนนั้นอย่างเชื่องช้า


ทั้งคู่ประสานสายตาท่ามกลางสีสันฉูดฉาดอันเป็นเอกลักษณ์ของโลกวิญญาณ จนกระทั่งไคลน์หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและเป็นปริศนา


บุรุษร่างยักษ์บนบัลลังก์หินโบราณ ยังคงจ้องมองไปยังจุดเดิมเป็นเวลานานโดยไม่ขยับเขยื้อนร่างกาย บรรยากาศรอบตัวมีเพียงความเงียบงันเป็นเวลานาน


……………………


ราชันเร้นลับ 560 : แฮงแมนถูกรีดไถ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ณ ห้วงมิติเหนือสายหมอก ไคลน์ในท่านั่ง ทำการดึงไพ่จักรพรรดิมืดออกจากร่างวิญญาณจนรูปลักษณ์กลับคืนสู่ความปรกติ


ระบบสลับไอเท็มในเกมด้วยปุ่มเดียว…


ชายหนุ่มรำพันติดตลก พลางเพ่งสมาธิวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น


ไคลน์มั่นใจมาก ชายร่างยักษ์ที่สวมมงกุฎยอดแหลมยาว ไม่ใช่ใครนอกจากนาสต์ ราชาห้าห้วงสมุทร และเรือผีสิงที่แล่นบนโลกวิญญาณ ก็คงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก ‘เรือจักรพรรดิมืด’ สมบัติโบราณจากจักรวรรดิโซโลมอน


“เราเคยคิดมาตลอด ว่าเรือผีสิงคงมีความเพียงแล่นได้เองและไม่มีวันจม คล้ายกับสัตว์วิเศษตัวหนึ่ง คาดไม่ถึงเลยว่า เรือผีสิงที่ทรงพลังเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก จะมีร่างวิญญาณและสามารถแล่นไปในโลกวิญญาณได้ ฟังดูเหมือนกับครึ่งเทพ… สมแล้วที่เป็นจักรพรรดิมืดอันโด่งดังแห่งห้าห้วงสมุทร… อา… บางที อาจมีการสังเวย ‘นักท่องเที่ยว’ ไปสักคนสองคนระหว่างกระบวนการสร้างเรือ หรือว่า… เรือผีสิงที่อยู่ในตำนานขุมทรัพย์อันโด่งดัง ‘จักรวรรดิผีสิง’ มรดกของจักรวรรดิทรันซอสต์ในอดีต ก็มีพลังในลักษณะเดียวกัน เป็นเหตุให้ยังหาไม่พบจนกระทั่งทุกวันนี้…?”


ไคลน์นั่งครุ่นคิดสักพัก โดยไม่เคลือบแคลงเลยสักนิดว่า เพราะเหตุใด ตนถึงบังเอิญได้พบกับราชาห้าห้วงสมุทร นาสต์ ในโลกวิญญาณ


คำตอบเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากกฎการดึงดูดระหว่างพลังพิเศษในเส้นทางเดียวกัน!


แม้ว่าไพ่จักรพรรดิมืดจะมิได้ฝังตะกอนพลังของเส้นทางไว้ข้างใน แต่ไคลน์ก็ยังไม่ทราบว่า โรซายล์ใช้วิธีใดหรือฝังสิ่งใดลงไปบ้าง จึงทำให้ไพ่เย้ยเทพมีคุณสมบัติการ ‘หยั่งถึง’ ตะกอนพลังของลำดับสูงในเส้นทางเดียวกันได้ง่ายขึ้น


มีคำกล่าวไว้ว่า เมื่อผู้ใช้งานไพ่เย้ยเทพกลายเป็นลำดับครึ่งเทพ พวกเขาสามารถใช้ไพ่เย้ยเทพเพื่อหยั่งถึงตะกอนของลำดับถัดไปได้


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปฏิกิริยาเช่นนี้เกิดกับขึ้นทั้งสองฝั่ง หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มสัมผัสถึงก่อน อีกฝั่งก็จะสัมผัสกลับมาได้เช่นกัน


โดยในส่วนของผู้ที่ยังไม่เป็นครึ่งเทพ ไพ่เย้ยเทพจะช่วยบิดเบือนโชคชะตาเล็กน้อยให้กลายเป็นครึ่งเทพได้เร็วกว่าคนปรกติ


กล่าวถึงเรื่องกฎการดึงดูด ไคลน์ค่อนข้างมีประสบการณ์ เพราะมันนึกสงสัยมาตลอดว่า ห้วงมิติสายหมอกพยายามชักนำให้เหตุการณ์ใหญ่มาเกิดขึ้นรอบตัวบ่อยครั้ง


“การพกไพ่จักรพรรดิมืดติดตัวและท่องไปตามโลกวิญญาณ จะทำให้เราเผชิญเหตุการณ์เมื่อครู่ได้ง่ายกว่าบนโลกความจริง เนื่องจากโลกความจริงมีขีดกำจัดที่มิอาจฝ่าฝืนหลายข้อ รวมไปถึงพลังด้านโชคชะตาของแต่ละบุคคล ยกตัวอย่างเช่น ถึงเราจะควักไพ่เย้ยเทพออกมาขณะอยู่ในกรุงเบ็คลันด์ แต่นาสต์กับเรือก็ไม่มีทางบังเอิญแล่นมาโผล่ตรงหน้าแน่นอน หรือต่อให้อีกฝ่ายสัมผัสตัวตนของไพ่จักรพรรดิมืดบนโลกความจริงได้ แต่กว่าจะระบุพิกัดจนพบ กว่าจะเดินทางข้ามโลกวิญญาณมาถึงตัว ก็คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง หรือไม่ก็นานเป็นวัน ยิ่งถ้าเกิดนาสต์สัมผัสถึงตัวตนไพ่เย้ยเทพไม่ได้ โอกาสได้พบกันก็ยิ่งน้อยลง เพราะกว่าจะบังเอิญแล่นเรือเข้าเขตทะเลโซเนีย กว่าจะบังเอิญแล่นเข้าใกล้อาณาจักรโลเอ็น ก็คงกินเวลาไม่ต่ำกว่าหลายเดือนหรือครึ่งปี นั่นคือขีดจำกัดของความบังเอิญบนโลกความจริง แต่ถ้าเป็นในโลกวิญญาณ กฎภายในนั้นผิดแผกไปจากทุกสามัญสำนึก ทิศทางทั้งหมดล้วนใช้การไม่ได้ ไม่ว่าจะซ้าย ขวา หน้า หลัง บน ล่าง สูง ต่ำ หรือจำพวกระยะทาง สรุปก็คือ มีโอกาสเป็นไปได้ที่ความบังเอิญจะชักนำให้คนสองคนมาพบกันบนโลกวิญญาณ บางที นาสต์อาจแค่ต้องการเข้ามาในโลกวิญญาณตามประสา แต่บังเอิญโผล่ตรงหน้าเราที่กำลังอยู่ในร่างจักรพรรดิมืดเข้าพอดี สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปรกติ เพราะโลกวิญญาณไม่แบ่งแยกภูมิประเทศ ไม่สนว่าจะอยู่ห่างกันสักเพียงใดบนโลกความจริง”


ไคลน์ครุ่นคิด พลางเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย และใช้ปลายนิ้วเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาวเป็นจังหวะ


มีอยู่หนึ่งสิ่งที่มันมั่นใจ การที่ร่างกายของตนลอยไปหาอีกฝ่ายเองโดยมิอาจควบคุมหรือยับยั้ง ไม่ได้เป็นผลมาจากกฎการดึงถูกระหว่างพลังพิเศษแน่นอน เพราะอำนาจของกฎการดึงดูดคงไม่ส่งผลในเชิงกายที่เป็นรูปธรรมขนาดนี้ อย่างมากก็แค่บิดเบือนโชคชะตา เพิ่มพลังการหยั่งถึง เพิ่มความปรารถนาและแรงกระหาย ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้


เพราะหากไม่แล้ว ผู้วิเศษลำดับสูงทุกคนคงถูกดูดเข้าหา ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางตัวเองและเสียชีวิตกันทั้งหมด


ไคลน์มั่นใจว่าสิ่งนั้นคือพลังพิเศษ อาจเป็นพลังในการเพิ่ม ‘เจตนา’ ที่จะพุ่งตัวไปด้านหน้าของเรา ให้รุนแรงขึ้นกว่าเดิม ร่างกายจึงเอาแต่ลอยตรงไปโดยมิอาจขัดขืน


เรามั่นใจมากว่า ในตอนนั้น ต่อให้ถอดไพ่จักรพรรดิมืดออกจากร่างวิญญาณ แต่แรงดูดก็จะไม่หยุดลงแน่นอน…


พลัง ‘นักกฎหมาย’ ในเส้นทางจักรพรรดิมืด?


ไคลน์เอนหลังครุ่นคิด พร้อมกับตัดสินใจว่าตนจะไม่นำไพ่จักรพรรดิมืดออกมาใช้ในช่วงนี้


หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ แผนการท่องโลกวิญญาณเพื่อค้นหาผู้ส่งสารต้องถูกพับเก็บไปโดยปริยาย


และหากไม่มีไพ่จักรพรรดิมืดคอยช่วยกีดกัน ‘การถูกทำนายถึง’ เราคงมิอาจถือคทาเทพสมุทรท่องไปทั่วโลกวิญญาณที่อัดแน่นด้วยข้อมูลและวิวรณ์มหาศาลได้ หากยังฝืนกระทำเช่นนั้น ร่องรอยจำนวนมากจะถูกทิ้งไว้ตามทาง และสามารถใช้เป็นเบาะแสในการทำนายถึงตัวเราได้ทุกเมื่อ


จริงอยู่ นกหวีดทองแดงของมิสเตอร์อะซิกอาจมีอำนาจพอสมควร แต่ถ้าเป็นในด้านการต่อต้านพลังทำนาย จะไม่มีสิ่งใดเข้มแข็งไปกว่าไพ่จักรพรรดิมืดอีกแล้ว…


หากยังฝืนสำรวจโลกวิญญาณ บางที ขณะกำลังเดินไปสั่งเบียร์ในผับสักแก้ว อาจมีชายกำยำนับสิบคนเดินเข้ามาทักและถามว่า ‘นายเอาคทาเทพสมุทรไปไว้ที่ไหน?’ ก็เป็นได้…


หืม… แต่ผลการทำนายของพวกมันคงเห็นเพียงไคลน์·โมเร็ตติจากทิงเก็น ไม่เกี่ยวอะไรกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์สักหน่อย หึหึ…


ไคลน์หัวเราะในลำคอพร้อมกับส่ายหน้า และตัดสินใจไม่เสี่ยงสำรวจโลกวิญญาณ เตรียมประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสารออกมาคัดเลือกจนพึงพอใจ จากนั้นก็ทำพันธสัญญา


ชายหนุ่มคว่ำไพ่จักรพรรดิมืดลงบนโต๊ะ ก่อนที่ร่างของมันจะหายไปจากมิติลึกลับเหนือสายหมอกสีเทาอย่างไร้ร่องรอย



ช่วงเช้าตรู่ เมืองบายัม


อัลเจอร์เตรียมเดินทางออกจากตัวเมืองด้วยรถม้าเช่า จากนั้นก็อ้อมไปยังท่าเรือส่วนตัวด้านหลังหน้าผา ก็จะถึงจุดจอด ‘โทสะสีคราม’ ซึ่งพร้อมแล่นออกทุกเมื่อ


แม้จะเป็นกัปตันเรือโจรสลัดที่เป็นสายข่าวของทางการ แต่อัลเจอร์ก็ไม่กล้าจอดในท่าเรือหลักของบายัมอย่างเปิดเผย เพราะนั่นจะทำให้ตัวมันถูกสงสัยว่ามีเส้นสายกับทางการบนเกาะ


โจรสลัดกลุ่มอื่นก็ล้วนทำแบบเดียวกัน ต้องคิดหาท่าจอดเรือก่อนจะขึ้นมาเทียบท่าและปล่อยของที่ปล้นมาได้ ตัวเลือกสำหรับจอดเรือมีมากมาย ทั้งท่าเรือขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่รอบเกาะ หรือไม่ก็ท่าเรือลับที่ควบคุมโดยกลุ่มต่อต้านและผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น


ไม่มีภารกิจเพิ่มเติม เราสามารถออกทะเลได้ทุกเมื่อ… ก่อนอื่น ต้องหาซื้อสมบัติวิเศษที่ช่วยเสริมความสามารถ พร้อมกับปรับบัญชีธนาคารให้กลับมาแนบเนียน จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังเกาะนอกอาณานิคมเพื่อล่าเหยี่ยวเงาฟ้ามาปรุงเป็นโอสถลำดับ 6…


ขณะอัลเจอร์เตรียมเดินเข้าไปในห้องโดยสารรถม้า มุมสายตาบังเอิญเหลือบเห็นคนคุ้นเคย


ราล์ฟ อดีตโจรสลัด ปัจจุบันเป็นพ่อค้า


ราล์ฟเดินลงจากรถม้าโดยเอาแต่มองไปทางสภาเทศบาลเมืองซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไป สีหน้าและแววตากำลังตื่นเต้นผิดจนวิสัย


เกิดอะไรขึ้นกับหมอนั่น…


อัลเจอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปทักทาย


ในสายตาของมัน ราล์ฟคือหนึ่งในพวกเดียวกัน เพราะตนกับอีกฝ่ายต่างก็เป็นบริวารของมิสเตอร์ฟูลทั้งคู่


เพียงแต่คนหนึ่งเป็นสมาชิกหลักในรุ่นก่อตั้ง ส่วนอีกคนเป็นสายข่าวจากองค์กรภายนอก…


อัลเจอร์แบ่งลำดับบริหารในใจ


“มีเรื่องน่ายินดีงั้นหรือ”


หลังจากทักทายสภาพอากาศตามมารยาท มันเข้าประเด็นทันที


ราล์ฟฉีกยิ้มกว้าง พลางตอบด้วยดวงตาเปล่งประกาย


“ถ้าฉันบอกว่าตัวเองได้รับความรักจากพระองค์ นายจะยอมเชื่อไหม”


เชื่อสิ… อัลเจอร์ตอบในใจโดยไม่ลังเล


มันพยายามระงับความสงสัย ก่อนจะถามเบี่ยงประเด็นอย่างแนบเนียน


“แล้วมาทำอะไรแถวนี้”


ขณะราล์ฟกำลังจะตอบ มันหรี่ตาลงกะทันหันและมองไปรอบตัว เมื่อยืนยันว่าไม่มีใครได้ยิน จึงมอบคำตอบด้วยเสียงแผ่วเบา


“นายก็เป็นผู้เชื่อในพระองค์ใช่ไหม”


แต่ไหนแต่ไร เพื่อที่จะตีสนิทอีกฝ่าย อัลเจอร์จึงหลอกราล์ฟว่าตนนับถือศาสนาเทพสมุทร สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับโจรสลัด เพราะถ้าเป็นการล่องเรือ สภาพอากาศอันเลวร้ายจะน่ากลัวยิ่งกว่าศัตรูแข็งแกร่งหลายเท่านัก ส่งผลให้โจรสลัด นักผจญภัย และลูกเรือส่วนใหญ่ มอบความศรัทธาแก่เทพในขอบเขตพลังดังกล่าวไม่มากก็น้อย


“ใช่” คำตอบของอัลเจอร์ในหนนี้ หนักแน่นกว่าที่เคยตอบในอดีตหลายเท่า


เพราะมันทราบเป็นอย่างดีว่า ‘พระองค์’ ในความหมายของราล์ฟ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากร่างจำแลงของเดอะฟูล


ราล์ฟพยักหน้าพึงพอใจ ก่อนจะกระซิบ


“ฉันได้รับพระวิวรณ์มาเมื่อวาน พระองค์บอกให้คอยดูแลเหล่าลูกแกะน้อย ดังนั้น ฉันมีความคิดที่จะตั้งองค์กรการกุศลเพื่อคอยช่วยเหลือเด็กยากไร้โดยเฉพาะ นี่คือพระประสงค์ของท่าน ในฐานะผู้เชื่อ นายก็ควรร่วมบริจาคอย่างเบิกบานใจ”


ราล์ฟแบมือขวาและเหยียดออกมา รอเงินบริจาคของอัลเจอร์


อัลเจอร์ทำหน้าเครียด ไม่แน่ใจว่าควรตอบสนองเช่นไร


ปัจจุบัน มันมีเงินออมทั้งสิ้น 3,245 ปอนด์ แต่ส่วนนี้กันไว้สำหรับซื้อสมบัติวิเศษ มิอาจนำไปใช้ฟุ่มเฟือยอย่างการบริจาค


จริงอยู่ ถ้าบริจาคในจำนวนน้อย อาจยังพอรักษาสภาพคล่องไว้ได้


หากเทพสมุทรยังเป็นคาเวทูว่า สาวกกำมะลออย่างอัลเจอร์คงหาข้ออ้างปฏิเสธในทันที แต่ในเมื่ออีกฝ่ายคือมิสเตอร์ฟูล มันจำเป็นต้องคิดหนัก เพราะไม่ทราบว่าเทพของตนวางแผนอะไรไว้


เมื่อเห็นสีหน้าลังเลจากอีกฝ่าย แววตาของราล์ฟเปลี่ยนไปเล็กน้อย


“เงินบริจาคในส่วนนี้จะนำไปช่วยเหลือเด็กที่ถูกเลือกปฏิบัติเพียงเพราะเกิดมาในครอบครัวชนพื้นเมืองหรือลูกผสม ให้เด็กเหล่านั้นได้มีชีวิตและการศึกษาที่ดีขึ้น”


อัลเจอร์ยังคงเงียบอีกหลายวินาที ก่อนจะล้วงหยิบธนบัตรปึกหนึ่งให้อีกฝ่าย


“หนึ่งร้อยปอนด์”


ราล์ฟรับไว้ด้วยรอยยิ้ม


“ความใจบุญของในวันนี้ จะย้อนกลับมาตอบแทนนายนับร้อยเท่าพันเท่าแน่นอน พระองค์จะต้องคุ้มครองนาย”



ณ โกดังร้างหลังหนึ่ง ประตูทางเข้าปิดสนิท


ปัจจุบัน ไคลน์พร้อมแล้วที่จะประกอบพิธีกรรมอัญเชิญสิ่งมีชีวิตจากโลกวิญญาณ บรรยากาศรอบตัวคุกรุ่นไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรและน้ำมันสกัด


ชายหนุ่มกังวลว่า หากประกอบพิธีกรรมภายในโรงแรม อาจก่อให้เกิดความโกลาหลวุ่นวาย มันมิได้กลัวตัวเองได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ต้องการให้คนบริสุทธิ์โดนลูกหลง จึงเลือกประกอบพิธีกรรมในโกดังร้างที่เคยใช้สังเวยกล่องบุหรี่ให้คาเวทูว่า


ในส่วนของเดนิส หลังจากค่าหัวเพิ่มขึ้นเป็นห้าพันห้าร้อยปอนด์ มันเป็นฝ่ายอาสาเฝ้าเครื่องรับโทรเลขอยู่ภายในห้อง


ขั้นต่อไปก็คือ จุดเทียนแทนตัวเอง และอัญเชิญสิ่งมีชีวิตวิญญาณด้วยคาถาที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าปลอดภัย…


สมองไคลน์กำลังนึกทบทวนคาถาสามบรรทัดเพื่ออัญเชิญสิ่งมีชีวิตวิญญาณของมาดามดาลีย์ รวมถึงคาถาที่มิสเตอร์อะซิกยืนยันแล้วว่าไม่เป็นอันตราย


การจะเอ่ยคาถาเพื่อนิยามถึงลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิตวิญญาณ บรรทัดแรกต้องเริ่มต้นด้วย ‘ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า’ หรือไม่ก็ ‘ผู้เตร็ดเตร่ในดินแดนเบื้องบน’ เพราะสองนิยามนี้หมายถึงโลกวิญญาณ โดยเสริมคำขยายเพิ่มเติมต่อท้ายว่า ต้องการอัญเชิญสิ่งมีชีวิตประเภทวิญญาณ หรือสิ่งมีชีวิตประเภทมีเลือดเนื้อ สำหรับบรรทัดที่สองและสามจะเป็นการกำหนดให้ผู้ส่งสารมีคุณสมบัติตรงตามความต้องการ แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดของรูปแบบ จึงไม่สามารถกำหนดนิยามได้ยาวเกินไป ต้องเป็นประโยคสั้นกระชับ ส่งผลให้ผู้ประกอบพิธีกรรมมิอาจคาดเดาผลลัพธ์ของการอัญเชิญล่วงหน้า


ในกรณีปรกติ การใช้นิยามที่ยืนยันแล้วว่าปลอดภัย จะเสี่ยงอันตรายน้อยกว่า


หลังจากทำพันธสัญญาต่อกันเสร็จ บรรทัดที่สามจะถูกเพิ่มต่อท้ายไปว่า ‘ผู้เป็นบริวารของ…’ หรือไม่ก็ ‘ผู้อยู่ในพันธสัญญากับ…’ เพื่อใช้อัญเชิญในครั้งถัดไป


และด้วยสามบรรทัดที่เสร็จสมบูรณ์ การอัญเชิญผู้ส่งสารก็จะราบรื่นไร้ปัญหา


“หืม… ผู้ส่งสารของเราต้องวิ่งเร็วมาก ไม่อย่างนั้นคงถูกวิญญาณมารชั่วร้ายฆ่าตายกลางทาง ส่งผลให้จดหมายสำคัญไม่ถึงมือ สิ่งนี้ถือเป็นคุณสมบัติสำคัญที่จะขาดไม่ได้”


ชายหนุ่มก้าวถอยหลัง เปล่งคาถาด้วยภาษาเฮอร์มิสโบราณ


“ตัวข้า! ขออัญเชิญด้วยนามของข้า… ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและสามารถรับคำสั่ง สิ่งมีชีวิตที่รวดเร็วเหนือจินตนาการ!”


ฟ้าว!


สายลมรุนแรงพลันพัดผ่าน เทียนไขถูกย้อมด้วยแสงสีเขียวอ่อน มาพร้อมกับบรรยากาศเย็นยะเยือกรอบตัว


ไคลน์พบว่ามีบางสิ่งพุ่งออกมาจากเปลวเทียนไข แต่อีกฝ่ายว่องไวจนมองไม่ทันว่ามีหน้าตาเป็นเช่นไร


และหลังจากนั้น ไคลน์ก็ไม่ได้พบมันอีกเลย


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)