Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 553-556
ราชันเร้นลับ 553 : ความพยายามของเดนิส
โดย
Ink Stone_Fantasy
ค่าหัวเพิ่มขึ้น…
กล้ามเนื้อแก้มของเดนิสพลันกระตุก มันทำได้เพียงฝืนยิ้มโดยกลบเกลื่อนว่าตนมิใช่เพลิงพิโรธ และไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน
จนกระทั่งไอร์แลนด์กลับไป เดนิสเดินวนไปมาอย่างกระวนกระวาย ก่อนจะหันไปพูดกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์
“ฉันคิดพวกเราควรย้ายไปพักโรงแรมอื่น ไม่สิ… ต้องรีบออกจากบายัมให้เร็วที่สุด!”
หากเรามีค่าหัวเกินกว่าห้าพันปอนด์ การเดินทางไปไหนมาไหนจะไม่ใช่เรื่องปลอดภัยอีกต่อไป! ไอ้พวกนักผจญภัยและโจรสลัดระดับเดียวกับเราจะโถมเข้าใส่ประหนึ่งฉลามหิวเลือด! สำหรับโจรสลัด ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะหมายหัวเหยื่อที่ตนคิดว่าล่าไหว นอกจากจะทำเงินก้อนโตได้เร็ว ยังเป็นการสร้างชื่อเสียงไปในตัว โจรสลัดที่มีค่าหัวเกินฝีมือจึงไม่ต่างอะไรกับหีบสมบัติ!
เดนิสจินตนาการถึงหายนะที่กำลังคืบคลานเข้าใกล้ตนทุกขณะ
ไคลน์มิได้เห็นด้วยหรือปฏิเสธ เพียงยิ้ม :
“ค่าหัวมากเกินฝีมือ… ก็เลยกังวล?”
เดนิสพยักหน้าหนักแน่น ยอมรับว่าคำพูดของชายเสียสติ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ มีเหตุผลเป็นอย่างยิ่งในคราวนี้
“นอกจากหลบหนี… ยังมีอีกหนึ่งวิธี”
ไคลน์กล่าวพลางเดินไปยังราวแขวนผ้าหน้าประตูห้อง
“วิธีอะไร…” เดนิสถามด้วยความสงสัย
ชายหนุ่มดึงหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูงออกจากราว และสวมลงบนศีรษะของตน
“เพิ่มลำดับพลัง”
ให้สอดคล้องกับค่าหัว…
ไคลน์สวมโค้ท บิดกลอนประตู และเดินออกจากห้องพักสุดหรู
เพิ่มเป็นลำดับ 6? นักวางแผน?
เดนิสชะงักไปหลายวินาที ก่อนจะขมวดคิ้วพลางเผยรอยยิ้มขื่นขม
ขณะดื่มโอสถลำดับ 9 นักล่า และลำดับ 8 นักยั่วยุเข้าไป เดนิสไม่พบปัญหาใดเลย จนถึงขั้นเคยวาดฝันว่า ตนอาจเติบโตและกลายเป็นผู้ค้นพบหนึ่งในสมบัติระดับตำนาน หรือไม่ก็ตามล่าสูตรผลิตและวัตถุดิบโอสถมาขายได้เป็นกอบเป็นกำ เลื่อนลำดับกลายเป็นครึ่งเทพ และก้าวขึ้นเป็นราชาโจรสลัดคนที่ห้า แต่ทุกสิ่งเปลี่ยนไปหลังจากดื่มโอสถลำดับ 7 นักวางเพลิง ความเจ็บปวดเจียนตายและความรู้สึกหวาดกลัวยังคงตามหลอกหลอนในบางคืน
เดนิสแทบไม่อยากเชื่อ ทั้งที่ตนทำตามคำแนะนำของกัปตันอย่างเคร่งครัด คอยยั่วยุศัตรูในทุกโอกาสสมัยยังเป็นลำดับ 8 แต่กลับลงเอยด้วยการเกือบคลุ้มคลั่งหลังจากดื่มโอสถลำดับ 7 เข้าไป
เดนิสไตร่ตรองอย่างจริงจังทันที ตนควรหยุดการเดินทางไว้เพียงเท่านี้ดีไหม เงินออมในปัจจุบันก็นับว่ามาก สามารถกลับไปเป็นเศรษฐีในสาธารณรัฐอินทิสได้สบาย
มันยืนนิ่งเป็นเวลานาน เหม่อลอยราวกับคนจิตหลุดหลายวินาที ก่อนจะตั้งคำถามกับตัวเอง
ถึงเราอยากดื่มโอสถลำดับ 6 ตอนนี้ แต่กว่าจะเตรียมการเสร็จก็คงอีกนานโข ต้องเสียเวลาค้นหาสูตรผลิต เสียเวลารวบรวมวัตถุดิบหลัก กิจกรรมข้างต้นล้วนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ค่าหัวของเราสามารถเพิ่มขึ้นได้ทุกวัน อาจเป็นพรุ่งนี้ วันมะรืน หรือแม้กระทั่งวันนี้!
ดังนั้น อย่างน้อยก็ต้องเปลี่ยนโรงแรม หรืออย่างมากก็ต้องรีบออกจากบายัมให้เร็วที่สุด!
…
หลังออกจากบริษัทการค้าราล์ฟ อัลเจอร์ทำตัวเสมือนว่ายุ่งมาก แต่ความจริงแล้วแค่ทำงานพอเป็นพิธี เดินไปนั่นมานี่เพื่อไถ่ถามเบาะแสจากคนในพื้นที่ จนกระทั่งใกล้ช่วงเที่ยงวัน มันได้รับข่าวด่วนกะทันหัน
“เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ผู้ที่นำใบประกาศมาแปะหน้าวิหารคือเพลิงพิโรธ เดนิส พยายามสืบหาแหล่งกบดานของมัน”
เพลิงพิโรธ เดนิส…
อัลเจอร์ยื่นแขนออกไปรับแผ่นกระดาษ พลางพึมพำทวนชื่อของบุคคลที่เป็นเป้าหมายภารกิจในใจ มุมปากบรรจงยกโค้งทีละนิด ความคลางแคลงทั้งหมดถูกขจัดจนเกลี้ยง
มันจินตนาการภาพตัวเองล่องเรือออกไปล่าวัตถุดิบอย่างมีความสุข อัลเจอร์เชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่า ตลอดการเดินทางจะประสบแต่ความราบรื่น
การล่องเรือของเราต้องไปได้สวยแน่ เพราะตัวตนใหม่ของมิสเตอร์ฟูลมีชื่อว่า…
เทพสมุทร!
…
เนื่องจากพลาดช่วงเวลาของดาวสีครามไปในตอนเช้า เดนิสจึงต้องรอจนถึงสี่โมงเย็น จึงสามารถประกอบพิธีกรรมวิญญาณสถิตขณะเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่อยู่ที่ห้อง
มันวาดสัญลักษณ์ของเทพปัญญาความรู้อย่างชำนาญ เป็นภาพดวงตาแห่งปัญญาลอยเหนือหนังสือที่กำลังกางออก ขณะเดียวกัน เดนิสจัดแจงประกอบแท่นบูชาด้วยท่าทางคล่องแคล่ว
ภายในกำแพงวิญญาณ มันจุดเทียนไข หยิบขวดสารสกัดลาเวนเดอร์และมินต์ เปิดฝาหยดลงบนเปลวเทียนที่กำลังลุกไหม้
ท่ามกลางกลิ่นสดชื่นและหอมหวนฟุ้งกระจาย เพลิงพิโรธ·เดนิสยังคงจุดเผาผงสมุนไพรอีกหลายชนิดอย่างต่อเนื่อง
เมื่อจัดการเสร็จทั้งหมด มันก้าวถอยหลังพลางเปล่งเสียงภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“ข้าขอวิงวอนเพื่อพลังแห่งความรู้… ข้าขอวิงวอนเพื่อพลังแห่งเหตุและผล… ข้าขอวิงวอนโดยปรารถนาความเมตตาจากเทพแห่งปัญญา… ข้าต้องการสื่อสารทางวิญญาณกับ อาจารย์ผู้แสวงหาความรู้ นักวิจัยสิ่งมีชีวิตโลกวิญญาณ พลเรือโทธารน้ำแข็งแห่งท้องทะเล เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ดแห่งลุนเบิร์ก”
…
ฟ้าว!
ท่ามกลางเสียงสวดภาวนาดังสะท้อนกังวาน บรรยากาศภายในกำแพงวิญญาณพลันเย็นยะเยือก นอกจากเทียนไขทั้งสามเล่ม ทุกสิ่งบนแท่นบูชาล้วนลอยขึ้นอย่างเชื่องช้า ไม่ว่าจะเป็นกริชทองเหลือง จานเกลือ ขวดน้ำค้างบริสุทธิ์ ปากกา หรือกระดาษ
เดนิสรอคอยอย่างประหม่า ไม่ทราบเลยสักนิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปบ้าง
ผ่านไปราวสิบวินาที แสงจากเทียนไขพลันโยกคลอนในจังหวะเดียวกัน พร้อมกับแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีเขียวอ่อน
ร่างกายเดนิสแข็งทื่อทันที พลังลึกลับในคราบความเย็นกำลังแทรกแซงร่างกาย มิอาจต่อต้านได้ด้วยประการทั้งปวง
มันเห็นขาของตนขยับไปเอง เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
มันเห็นแขนข้างซ้ายยกขึ้น จับปากกาสีดำและกระดาษสีขาว
มันเห็นตัวเองโน้มร่างกายท่อนบนลงเล็กน้อย มือซ้ายจับปากกา เขียนขยุกขยิกรวดเร็ว
“มีอะไร?”
ตัวอักษรบนกระดาษนับว่าวิจิตรงดงามและเป็นระเบียบ แตกต่างจากลายมือปรกติของเดนิสโดยสิ้นเชิง
มันเพิ่งรู้ตัวว่า ตนยังสามารถขยับอวัยวะตั้งแต่ส่วนลำคอขึ้นมาได้
“หัวหน้า เทพสมุทร·คาเวทูว่าตายแล้ว!” เดนิสแผดเสียงค่อนข้างแหบ คล้ายกับคนป่วยเป็นไข้หวัดรุนแรง
“รายละเอียด” แขนซ้ายยังคงตวัดเขียนหนังสืออย่างชำนาญ
เดนิสกำลังรอจังหวะนี้อยู่ มันรีบเล่าเรื่องราวตั้งแต่เริ่มโดยไม่แต่งเติม มีทั้งการเดินทางไปยังเกาะไซมีมของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เพื่อทำตามความปรารถนาสุดท้ายของนักผจญภัยคนหนึ่ง มีทั้งเรื่องที่อีกฝ่ายถูกคำสาปเทพสมุทรเล่นงาน แต่กลับขจัดได้หมดจดหลังจากปิดประตูไม่กี่วินาที มีทั้งเรื่องที่ชายเสียสติคนนี้เดาผิด เข้าใจว่าโบราณสถานของเอลฟ์คือโบราณสถานเทพสมุทร โดยผนวกเข้ากับเรื่องจิปาถะอีกเล็กน้อย
สรุปสุดท้าย เดนิสเสริมจุดประสงค์ที่แท้จริงของตนเข้าไป
“ผมไม่คิดว่าพลเรือเอกโลหิตจะวกกลับมายังบายัมในอนาคตอันใกล้ ไม่มีโจรสลัดชื่อดังหน้าไหนโง่ขนาดนั้นแน่! อย่างน้อยก็ครึ่งปี จนกว่าผลกระทบจากเหตุการณ์คราวนี้จะเริ่มซาลง กัปตัน คุณกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ควรพับเก็บแผนล่าเซนอลไปก่อน ผ…ผมอยากกลับฝันทองคำใจแทบขาดแล้ว!”
มือซ้ายของมันชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเขียน
“คุณอยู่กับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไปก่อน เป็นคนกลางช่วยประสานงานระหว่างฉันกับเขา”
“กัปตัน คุณสอนพิธีกรรมวิญญาณสถิตให้ชายคนนั้นไม่ได้หรือ…” เดนิสเปล่งเสียงแหบพร่าเจือความเศร้าสลด
มือซ้ายเริ่มเขียน
“พิธีกรรมนี้จะสำเร็จก็ต่อเมื่ออยู่ห่างกันไม่เกินห้าร้อยไมล์ทะเล จึงต้องคัดเลือกผู้ประกอบพิธีกรรมเป็นอย่างดี จะให้ใครทำส่งเดชไม่ได้ เพราะจะอันตรายกับเราทุกคน พวกเราจะไม่แจ้งตำแหน่งของฝันทองคำด้วยช่องทางอื่นนอกจากจุดนัดพบ และคุณเป็นคนที่รู้จักจุดนัดพบแทบทุกเกาะบนทะเลโซเนีย ฉันคงนำความลับของเราไปบอกกับคนนอกไม่ได้”
จริงด้วย…เกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นเพียงคนนอก…แต่ว่านะกัปตัน ผมอยากกลับไปขึ้นฝันทองคำแทบแย่แล้ว!
เดนิสเค้นสมองนึก ก่อนจะรีบกล่าว
“ชวนเขาขึ้นเรือได้ไหม? ไม่สิ น…นั่นคงไม่ดีแน่”
ทันใดนั้น มันเริ่มมองเห็นแสงสว่าง
“กัปตัน! ชายคนนั้นมีผู้ส่งสาร! ใช่แล้วผู้ส่งสาร! สิ่งมีชีวิตที่ท่องไปในโลกวิญญาณเพื่อส่งจดหมายให้เขา!”
นี่คือการติดต่อที่ปราศจากเงื่อนไข และจะไม่มีความลับใดถูกเปิดเผย เราจึงไม่ต้องคอยเป็นคนกลางอีกต่อไป!
เดนิสทำหน้าโล่งใจ
คราวนี้ แขนซ้ายลอยเหนือกระดาษนานหลายวินาที จึงค่อยเริ่มเขียนอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา หากสิ้นสุดวันหยุดยาวช่วงปีใหม่เมื่อไร คุณกลับมาขึ้นเรือได้ทันที จริงอยู่ คุณอาจมีพรสวรรค์ทางด้านภาษา แต่สาขาอื่นยังบกพร่องอยู่มาก จำเป็นต้องพยายามอย่างหนักเพื่อตามคนอื่นให้ทัน ฉันจะเพิ่มคาบเรียนพิเศษให้คุณตามความต้องการ”
เดนิสอ้าปากค้าง ไม่มีลมใดพ่นออกไป
มันเพิ่งตระหนักได้เมื่อสายว่า การกลับไปขึ้นเรือฝันทองคำ อาจไม่ใช่สิ่งที่ตนรอคอยสักเท่าไร
…
ตกเย็น ไคลน์กลับถึงโรงแรมวายุคราม
ความพยายามอย่างหนักตลอดทั้งวันไม่เป็นผล ไคลน์ไม่พบเป้าหมายการสวมรอย คงเป็นเพราะการสืบสวนแบบปูพรมในวันก่อน โจรสลัดและนักผจญภัยที่มีค่าหัวเกือบทั้งหมดจึงถูกจับกุม ส่วนที่ยังเหลือก็เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในที่พัก ไม่กล้าเตร็ดเตร่ส่งเดช หลังจากตระเวนไปตามผับ ซ่อง ย่านการค้า ย่านแออัด ไคลน์พบว่าลูกค้าของธุรกิจข้างต้นบางตาลงอย่างเห็นได้ชัด
“คือว่า…” เดนิสกระแอมล้างคอ พลางยิ้มแห้งและเริ่มเล่า “เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่เคยใช้พิธีกรรมวิญญาณสถิต ฉันจึงตัดสินใจทดสอบดูก่อน ฮะฮะ…โชคดีที่มันประสบความสำเร็จ ทำให้ฉันได้คุยกับกัปตันพอสมควร เธอเองก็มองว่า แผนการไล่ล่าพลเรือเอกโลหิตคงไม่เกิดขึ้นในช่วงนี้แน่ จึงเตรียมเรียกฉันกลับฝันทองคำ สำหรับการติดต่อในภายหลัง นายเองก็มีผู้ส่งสารไม่ใช่หรือ… ค่อยให้ผู้ส่งสารนำจดหมายไปมอบให้กัปตันโดยตรงก็ได้”
ผู้ส่งสารตนนั้นเป็นของลูกพี่ใหญ่ ไม่ใช่ของฉันสักหน่อย…ตามหลักแล้ว อุปกรณ์อัญเชิญผู้ส่งสารจะมีขอบเขตการใช้งานจำกัด สามารถส่งจดหมายกลับไปยังเจ้านายได้เพียงอย่างเดียว มิอาจออกนอกลู่นอกทางไปส่งให้เป้าหมายอื่น… การอัญเชิญผ่านพิธีกรรมก็ไม่ต่างกัน เหมือนกับกรณีของมาดามดาลีย์..
นึกขึ้นได้พอดี เรามีความคิดจะหาผู้ส่งสารของตัวเองนานแล้ว ถ้าทำสำเร็จ การใช้ชีวิตก็จะง่ายขึ้นมาก… ส่วนทำอย่างไรนั้น แน่นอน ไว้เขียนจดหมายถามมิสเตอร์อะซิก คงไม่มีใครชำนาญด้านนี้ไปกว่าเขาอีกแล้ว…
ไคลน์ดึงบรรจงดึงเก้าอี้ออก ทิ้งตัวนั่งลง และโน้มร่างกายท่อนบนไปข้างหน้าเล็กน้อย
มันกล่าวเสียงทุ้ม
“แจ้งให้กัปตันของนายทราบว่า ฉันมีวิธีตามหาตัวพลเรือเอกโลหิต”
“อ…เอ๋…?” เดนิสถึงกับผงะ ไม่คาดคิดว่าตนจะได้รับคำตอบเช่นนี้
ถัดมา มันเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์เริ่มฉีกยิ้มกว้างขึ้นทีละนิด พร้อมกับทวนคำซ้ำ
“แจ้งกัปตันของนาย”
ร่างกายเดนิสพลันสั่นเทา แต่ก็ไม่กล้าตั้งคำถามใด ทำได้เพียงฝืนยิ้ม
“ต…ต้องรอให้ถึงช่วงเวลาของดาวสีครามรอบถัดไป ห…ห้าทุ่มถึงเที่ยงคืนของวันนี้”
“เก่งมาก” ไคลน์ยังคงยิ้มเยือกเย็น
แม้จะได้รับคำชม แต่เดนิสกลับไม่มีความสุขเลยสักนิด
ไคลน์เหยียดตัวลุกขึ้นยืน เตรียมสวาปามอาหารสุดพิเศษสำหรับค่ำมื้อค่ำ
ชายหนุ่มเดินกลับเข้าห้องนอน
อาหารชนิดนี้มีชื่อว่า เทียทีว่า เป็นภาษาโลเอ็นที่มีความหมายว่า เนื้อในผลไม้ กรรมวิธีไม่ซับซ้อน เจาะเอาเนื้อผลไม้ด้านในออกจนหมด เหลือไว้เพียงเปลืองแข็ง จากนั้นก็ยัดเนื้อแกะและปลาเข้าไป ปรุงรสด้วยเกลือทะเลกับเครื่องเทศ นำไปอบซ้ำอีกหลายรอบ จะทำให้ได้เนื้อสัตว์รสอร่อย กลิ่นหอมหวน ผสานเข้ากับรสเปรี้ยวและหวานจากเปลือกผลไม้เป็นอย่างดี
เมื่อปิดประตูสนิท ชายหนุ่มลงมือเขียนจดหมายเป็นอันดับแรก เพื่อขอบคุณคำชี้แนะในคราวก่อน และถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการหาผู้ส่งสารมาครอบครอง
หลังจากพับกระดาษ ไคลน์ล้วงหยิบนกหวีดทองแดงออกมาเป่า
คล้ายกับผู้ส่งสารกำลังรีบ เมื่อรับจดหมาย มันหายตัวลงไปในพื้นห้องแทบจะทันที
ฟู่ว…
ไคลน์ถอนหายใจยาว เตรียมส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติสายหมอก เพื่อตรวจสอบว่ามีสาวกเทพสมุทรแจ้งเบาะแสสำคัญเข้ามาบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะเบาะแสให้ตนได้สวมรอยปลอมตัวเป็นใครสักคน
……………………
ราชันเร้นลับ 554 : สวมรอยเป็นเทพ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ณ ห้วงมิติเหนือสายหมอก ท่ามกลางวังอลังการที่มีลักษณะคล้ายกับถิ่นพำนักคนยักษ์
ไคลน์นั่งบนเก้าอี้เดอะฟูล ยกมือซ้ายขึ้น เสกให้คทาเทพสมุทรที่ปะปนอยู่กับกองขยะลอยขึ้นมาตกลงบนฝ่ามือ
เดิมที ชายหนุ่มต้องการวางสมบัติปิดผนึกซึ่งน่าจะมีระดับ 1 ไว้ข้างกายเพื่อเป็นการให้เกียรติวัตถุครึ่งเทพ แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบ มันพบว่าคทาเทพสมุทรยังไม่เหมาะสมกับฐานะและความยิ่งใหญ่ของเดอะฟูล ตัวตนซึ่งมีระดับทัดเทียมกับพระผู้สร้างแท้จริงและแม่มดบรรพกาล หากจะทำสิ่งใดมาวางเคียงข้าง ระดับของวัตถุต้องไม่ด้อยไปกว่าไพ่เย้ยเทพ ดังนั้น คทาเทพสมุทรจึงถูกกองสุมรวมกับเศษจิปาถะชิ้นอื่น
ขณะสายตาเพ่งมองจุดสีฟ้าเม็ดเล็กรอบคทาเทพสมุทรสีขาว ไคลน์นั่งครุ่นคิด พลางจินตนาการให้พวกมันแยกออกจากกัน
ผลลัพธ์เป็นไปตามคาด จุดสีฟ้าบนหัวคทาเริ่มกระจายตัวออก จากนั้น ละอองแสงที่เป็นของสาวกซึ่งสวดวิงวอนโดยไม่มีจุดหมาย หรือไม่มีสาระสำคัญ เริ่มจมดิ่งลงไปด้านล่าง จุดแล้วจุดเล่าเลือนลับไปจากสายตา แต่หากจุดใดเป็นการสารภาพบาปหรือสวดวิงวอนอย่างแรงกล้า จุดแสงจะค่อย ๆ ลอยขึ้นและเข้าใกล้ฝ่ามือไคลน์
ชายหนุ่มทำตามสัมผัสวิญญาณ เลือก ‘จิ้ม’ ไปยังจุดแสงหนึ่ง
ทันใดนั้น ฉากนิมิตคลื่นยักษ์พลันปรากฏ มาพร้อมกับเสียงโหยหวนของสายลม
เรือประมงลำหนึ่งกำลังโคลงเคลงท่ามกลางมหาสมุทรสีน้ำเงินเข้ม ชะตากรรมคล้ายเตรียมพลิกคว่ำในอีกไม่ช้า
บนดาดฟ้าเรือประมง ชนพื้นเมืองต่างกำลังกอดเสากระโดง ไม่ก็พยายามคว้าเชือก กระเสือกกระสนด้วยแรงเฮือกสุดท้ายของชีวิต ปากขยับพึมพำพระนามเต็มของเทพสมุทรด้วยอารมณ์ตื่นกลัว
ท่ามกลางเสียงวิงวอนอย่างต่อเนื่อง ไคลน์ยกคทากระดูกขึ้น
ณ ตำแหน่งหัวคทาที่มีอัญมณีสีฟ้าวางเรียงติดกันเม็ดแล้วเม็ดเล่า แสงสว่างส่องออกจากอัญมณีทั้งหมดโดยพร้อมเพรียง ก่อนจะพุ่งเป็นเส้นตรงเข้าไปในฉากนิมิต
ขณะกำลังสิ้นหวังและคิดยอมแพ้ต่อโชคชะตา กลุ่มชาวประมงพลันตระหนักว่าเรือของตนเริ่มหยุดโคลงเคลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ทุกคนรีบมองไปรอบตัวด้วยสีหน้าประหลาดใจสุดขีด และพบว่าคลื่นทะเลลูกเท่าภูเขาได้อันตรธานหายไปแล้ว สายลมเกรี้ยวกราดกลับกลายเป็นแผ่วเบา อ่อนแอและไร้ชีวิตชีวาราวกับเบียร์ซาร์ฮาร์
เมฆที่กำลังก่อตัวปกคลุมท้องฟ้ากว่าครึ่งและเกือบจะก่อพายุฝนฟ้าคะนองสำเร็จ ยามนี้กลับถูกพลังลึกลับแยกตัวออกจากกัน
เพียงไม่นาน ชาวประมงเริ่มตื่นจากภวังค์ความกลัวและลนลาน พร้อมกับตระหนักถึงต้นตนของความเปลี่ยนแปลงเมื่อครู่
ท่านเทพสมุทรปกป้องพวกเราทุกคน… พระองค์ทรงสำแดงฤทธิ์เดช!
ตึก. ตึก. ตึก.
ชาวประมงทุกคนหมอบกราบลงไปบนดาดฟ้าเรือ กางข้อศอกออก แบมือแนบติดกับพื้น ปลายนิ้วทั้งสองข้างชนกันบริเวณริมฝีปาก พลางเอ่ยพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยสีหน้าเปี่ยมความศรัทธา
“พระองค์จงเจริญ! ข้ารับใช้แห่งท้องทะเลและโลกวิญญาณ ผู้พิทักษ์แห่งหมู่เกาะรอสต์ ผู้ปกครองมวลหมู่สัตว์ทะเล เจ้าแห่งสึนามิและลมพายุ ท่านคาเวทูว่าผู้ยิ่งใหญ่!”
เหนือห้วงมิติสายหมอกเทา ไคลน์พลันเกิดอารมณ์หดหู่เหนือคำบรรยาย
ฉันเป็นคนช่วยพวกนาย แล้วทำไมถึงไปขอบคุณคาเวทูว่า…
ไอ้งูทะเลตัวนั้นมันเอาแต่เสกพายุและคลื่นยักษ์ขึ้นมาข่มขู่! พวกนายจะได้เกิดความหวาดกลัวและศรัทธา…
ไคลน์นิ่งไปสักพัก ก่อนจะฉุกคิดบางสิ่ง
“ในเมื่อคาเวทูว่าตายไปแล้ว ย่อมแปลว่า เจ้าของนามคาเวทูว่าคนปัจจุบันคือเรา… แล้วทำไมเราต้องอารมณ์เสียเมื่อมีคนสรรเสริญอีกหนึ่งตัวตน… นี่คือหนึ่งในแก่นสำคัญของเทคนิคสวมบทบาทผู้ไร้หน้า… ต้องผสานเป็นหนึ่งเดียวกับทุกตัวตน พร้อมกับซึมซาบอารมณ์และผลสะท้อนความรู้สึกจากคนรอบตัว แต่อย่าได้ลืมเด็ดขาดว่า แท้จริงแล้วตัวเองเป็นใคร… ยากชะมัด เพราะหากเสียสมาธิแม้เพียงเล็กน้อย เราจะกลายเป็นคนบ้าไปในทันที… และถ้าผู้วิเศษกลายเป็นบ้า ภาวะคลุ้มคลั่งก็อยู่ห่างแค่เอื้อมมือ”
หลังจากครุ่นคิดเป็นเวลานาน ไคลน์ถอนหายใจยาว เผยรอยยิ้มมุมปาก
“ได้สวมรอยเป็นเทพสมุทรก็ไม่เลว… ถึงแม้ห้วงมิติเหนือสายหมอกจะกีดขวางผลสะท้อนทางความรู้สึกของผู้คน จนเราสูญเสียโอกาสในการย่อยโอสถเพิ่มจากเดิมอีกเล็กน้อย แต่มันก็ช่วยมอบประสบการณ์และบทเรียนที่หาจากไหนไม่ได้ ช่วยให้เราสวมบทบาทเป็นเทพสมุทรได้อย่างปลอดภัยและน่าเชื่อถือ ถึงโอสถจะย่อยช้ากว่าเดิม แต่ก็เป็นไปอย่างมั่นคง”
เมื่อตัดสินใจได้ ไคลน์จิ้มอีกหนึ่งจุดแสง
คำสวดวิงวอนในคราวนี้มาจากสะพานแห่งหนึ่ง เครื่องแต่งกายทรุดโทรม ใบหน้าและผิวพรรณของหญิงสาวเต็มไปด้วยร่องรอยของโรคติดต่อร้ายแรง
เธอเอนแผ่นหลังแนบชิดมุมสะพาน ปากขยับพึมพำพระนามเต็มอันศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับเอ่ยความปรารถนาสุดท้าย
ฟังจากรายละเอียดที่เธอเล่า ไคลน์รู้สึกราวกับตนมองเห็นช่วงชีวิตแสนสั้นของเธอด้วยตาตัวเอง
หญิงสาวคนนี้เป็นชนพื้นเมือง พ่อและแม่ต่างศรัทธาในเทพสมุทร เธอจึงเกิดมาพร้อมกับศาสนาเทพสมุทร ในช่วงสิบปีแรกของชีวิต บิดาของเธอเป็นคนงานเหมือง คนงานซ่อมถนน คนงานวางหมอนรางรถไฟ มารดาทำงานไม่มั่นคงเป็นส่วนใหญ่ เช่นเย็บปัก รับจ้างซักผ้า ช่วยงานในท่าเรือ รวมถึงรับงานโสเภณีเป็นครั้งคราว ครอบครัวสามารถดำรงชีพได้อย่างเต็มกลืน
จนกระทั่ง การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน บิดาของเธอจากไปอย่างกะทันหันจากอุบัติเหตุขณะกำลังซ่อมถนน แต่บริษัทรถรางรอสต์กลับชดใช้เป็นเงินเพียงหางอึ่ง สถานการณ์ครอบครัวจึงดำเนินถึงทางตัน
ในเวลาถัดมา หญิงสาวถูกมารดาขายให้กับโรงละครแดง และกลายเป็นโสเภณีชอบด้วยกฎหมาย
แม้ว่าโรซายล์จะประดิษฐ์ถุงอนามัยแล้ว แต่นักผจญภัยและโจรสลัดจำนวนมากกลับเลือกที่จะลิ้มรสความสุขสมเพียงชั่วครู่ ส่วนใหญ่จึงไม่สวมถุงยาง และทางโรงละครแดงก็มิได้ออกกฎบังคับ การดิ้นรนของโสเภณีจึงไม่เคยประสบผลสำเร็จ สุดท้ายเธอก็ติดโรค โดยไม่มีทางทราบว่าใครนำมาแพร่ให้
ในช่วงแรก แม่เล้าของโรงละครแดงพยายามรักษาเบื้องต้น แต่เมื่อเห็นอาการลุกลาม หญิงสาวจึงถูกถีบหัวส่ง เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลแพงเสียจน การซื้อโสเภณีรายใหม่เป็นทางเลือกที่ประหยัดกว่า
หญิงสาวที่ป่วยเป็นโรคติดต่อย่อมไม่มีใครต้องการจ้างไปทำงาน ลืมเรื่องจ่ายค่าเช่าบ้านไปได้เลย ส่วนทางฝั่งมารดา น้องชาย และน้องสาวคนเล็ก เธอไม่ทราบว่าพวกเขาหายตัวไปไหน บางทีอาจตายไปแล้ว หรือบางทีอาจถูกจับไปขายเป็นทาส
หญิงสาวกลายเป็นคนจรจัด ซุกหัวนอนใต้สะพาน ประทังชีวิตด้วยอาหารและยาจากมูลนิธิการกุศล
แต่สถานการณ์ดังกล่าวคงอยู่ได้ไม่นาน อาการของเธอแย่ลงทุกวัน ร่างกายอ่อนเพลียและอ่อนแอ ใกล้ถึงจุดจบของชีวิตเต็มที
ในวารีสุดท้ายของชีวิต หญิงสาวหวนนึกถึงช่วงเวลาที่เธอเคยมีอาหารปรกติกิน เคยมีเสื้อผ้าปรกติที่อบอุ่นสวมใส่ พลางนึกถึงคำพูดติดปากของเหล่าโจรสลัดและนักผจญภัย
เธอตัดสินใจวิงวอนถึงเทพสมุทรด้วยกายและใจที่เปี่ยมความศรัทธา
“…ฉันอยากมีชีวิตเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง”
ไคลน์ยกไม้ค้ำขึ้นอีกครั้ง แต่หลังจากชะงักงันอยู่นาน มันพบว่าสมบัติปิดผนึกชิ้นนี้ไม่มีพลังในการรักษาโรคติดต่อ
ชายหนุ่มจึงวางแผนเตรียมใช้เดอะเวิร์ลเป็นฉากหน้า ส่งข้อความขอซื้อยารักษาโรคจำนวนหนึ่งจากเอ็มลิน·ไวท์ แต่เมื่อฉุกคิดได้ มันพบว่านิมิตการสวดวิงวอนถูกส่งมาตั้งแต่ช่วงเที่ยง ป่านนี้หญิงสาวคงไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว ตายไปท่ามกลางดินโคลนสกปรกใต้สะพาน ด้วยห้วงอารมณ์เจ็บปวดและหิวโหย
ไคลน์นั่งนิ่งเป็นเวลานาน ก่อนจะซูมภาพนิมิตวิงวอนออก จนกระทั่งมองเห็นภาพกว้างของสะพานดังกล่าว
หลังจากจดจำถนนและจุดเด่นใกล้เคียงจนขึ้นใจ ไคลน์เอนหลังพิงพนัก ถอนหายใจยาวโดยไม่ปรากฏรอยยิ้ม
“ทำไมความปรารถนาถึงเรียบง่ายนัก… ถ้าไม่มีงานสวมรอยอื่นให้ทำ… ฉันจะให้เธอได้ใช้ชีวิตแบบคนปรกติ”
ชายหนุ่มสลัดอารมณ์ทิ้ง กลับมามีสมาธิกับแสงวิงวอนจุดอื่นต่อ พยายามมองหาเป้าหมายสำหรับสวมรอย แต่หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน ความต้องการก็ยังไม่บรรลุผลเสียที
ระหว่างนั้น ไคลน์พบว่ากลุ่มต่อต้านอย่างไครัทและเอ็ดมันตันได้ประกอบพิธีกรรมถึงเทพสมุทรไว้อย่างน่าสนใจ โดยพวกมันจะวางวัตถุจำนวนมากไว้บนแท่นบูชา และสวดวิงวอนเพื่อขอพลังจากเทพสมุทร
วัตถุวิเศษที่พวกเขานำมาขาย หามาด้วยวิธีแบบนี้นี่เอง…ตัวตนครึ่งเทพแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด…หืม…ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเคยชินกับการไม่ตอบสนองทันทีของเทพสมุทร จึงเลือกที่จะวางวัตถุจำนวนมากไว้บนแท่นบูชาตลอดทั้งคืน…งูทะเลคาเวทูว่าคงมีพฤติกรรมคล้ายเรา ทักไม่ตอบสนองทันที อาจขึ้นอยู่กับอารมณ์หรือความพึงพอใจในเวลานั้น…แต่ไม่มีทางเป็นการตอบรับอัตโนมัติแน่นอน เพราะการปลุกเสกวัตถุวิเศษจำนวนมากพร้อมกัน จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณมหาศาล…
ไคลน์ยกคทาเทพสมุทรขึ้น ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปจนกลุ่มอัญมณีสีฟ้าเปล่งแสง
พลังวิญญาณระดับสูงเริ่มก่อตัวรวมกันเป็นเส้นแสงที่มีกลิ่นอายเทพเจือจาง จากนั้น แสงจากหัวคทาถูกถ่ายเข้าไปในฉากนิมิต แล่นต่อไปยังแท่นบูชา และผสานเข้ากับวัตถุหลากหลายชนิด
เกิดเป็นยันต์ช็อกไฟฟ้า รวมถึงวัตถุวิเศษที่ช่วยให้มนุษย์ว่ายน้ำได้เหมือนปลา และบางชิ้นก็ช่วยสร้างกระแสลม…แต่ภายในสามเดือน พลังวิญญาณจะทยอยเหือดแห้งจนไม่สามารถใช้การได้อีก…
ไคลน์หลับตาลง สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงจากวัตถุวิเศษบนแท่นบูชาทีละชิ้นอย่างตั้งใจ
เมื่อเสร็จสิ้น ชายหนุ่มพบว่าตนอ่อนเพลียอย่างผิดคาด แม้จะตอบสนองคำวิงวอนไปเพียงสองหน และจะเป็นการพึ่งพาพลังจากคทาเทพสมุทรเป็นหลัก แต่ทั้งสองครั้งล้วนเป็นกิจกรรมใช้พลังมาก เช่นการสลายพายุฝนฟ้าคะนอง การระงับคลื่นยักษ์ ส่วนครั้งที่สองคือการปลุกเสกวัตถุวิเศษจำนวนมากในคราวเดียว จนทั้งหมดแฝงไว้ด้วยพลังระดับครึ่งเทพ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะสิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปมาก
ถ้าเป็นแบบนี้ ถึงเราจะพกคทาเทพสมุทรไปไหนมาไหนบนโลกจริงได้อย่างอิสระ แต่การใช้พลังยังคงมีจำกัด… หากมีสถานการณ์ที่ผลข้างเคียงไม่สร้างความเดือดร้อน บางที เราควรลองทดสอบมันดูสักครั้ง…
“อา…กลุ่มต่อต้านยังช่วยเตือนสติด้วยว่า เราสามารถสวดวิงวอนถึงตัวเองได้ เพื่อสร้างเป็นยันต์หลากหลายประเภทพร้อมกันในคราวเดียว ผลของยันต์ส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นกิจกรรมทางทะเล หมายความว่าหลังจากนี้ การศึกในน้ำจะไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไป แต่เรายังไม่ทราบว่ายันต์ฟ้าผ่าสร้างอย่างไร ต้องรีบหาโอกาสเรียนสูตรได้โดยเร็ว เพราะถ้ามีมัน ศัตรูทางอากาศก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายทันที”
ไคลน์พึมพำกับตัวเองสักพัก ก่อนจะโยนคทาเทพสมุทรกลับไปยังกองขยะ และส่งตัวเองกลับสู่โลกความเป็นจริง
…
แคว้นเชสเตอร์ตะวันออก ท่ามกลางบรรยากาศแสนกว้างขวางและงดงามของเมืองชนบท
ณ ประตูฝั่งด้านข้างของคฤหาสน์หรู
ออเดรย์ปรากฏในชุดขี่ม้ารัดรูปสีดำ ด้านในสวมเชิ้ตเรียบง่ายสำหรับสตรี มีการตกแต่งเล็กน้อยอย่างพอเหมาะ โดยนั่งบนหลังม้าตัวเมียสีน้ำตาลแดงอย่างมั่นคง
รองเท้าหนังสีดำสอดเข้าไปในโกลนม้า ชายกางเกงสีขาวทั้งสองข้างสอดเข้าไปในรองเท้าเล็กน้อย ไม่ห่างออกไปมีซูซี่ สุนัขโกลเดนรีทรีเวอร์ตัวใหญ่ซึ่งสะพายกระเป๋าหนังไว้ด้านข้าง กำลังวิ่งตามมาไม่ห่าง
ออเดรย์กล่าว
“ฉันจะไปรอเธอที่สุดเขตป่าข้างหน้า!”
“…!”
เมื่อกล่าวจบ หญิงสาวสะบัดแส้ม้าในมือพลางโน้มตัวไปข้างหน้า ม้าตัวเมียสีน้ำตาลแดงพลันเร่งความเร็วในพริบตา ตะกุยเท้าวิ่งตรงไปยังทุ่งโล่งอันกว้างใหญ่อย่างร่าเริง
เมื่อเทียบกับคฤหาสน์สุดหรูของตระกูลที่เปี่ยมด้วยบรรยากาศอึมครึม ออเดรย์ชื่นชอบคฤหาสน์ตามแถบชนบทที่สดชื่นมากกว่า
ม้าตัวผู้สง่างามวิ่งตามหลังไปเป็นจำนวนมาก คนขี่ไม่ใช่ใคร ทั้งหมดคือผู้ติดตามและสาวใช้ประจำตัว ภารกิจเดียวของพวกมันคือการปกป้องคุณหนูออเดรย์แห่งบ้านฮอลล์
ซูซี่วิ่งตามอย่างมีความสุข เธอเองก็เช่นกัน กำลังดื่มด่ำไปกับบรรยากาศที่หาไม่ได้จากมหานครเบ็คลันด์
สำหรับวันนี้ เธอและออเดรย์มีแผนจะออกผจญภัยเล็กๆ น้อยๆ เป็นการสำรวจหอคอยโบราณที่ถูกทิ้งร้างในป่ามานาน แน่นอน สมบัติมีค่าถูกนำออกไปหมดแล้ว และตัวหอคอยก็ยังไม่มีพิษภัย ไม่เคยปรากฏข่าวเสียหายหรืออุบัติเหตุแม้แต่ครั้งเดียว ถือเป็นสถานที่ให้มือใหม่ฝึกฝีมือ
แต่ปัญหาเดียวก็คือ ท้องฟ้ากำลังจะมืดในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า บางที เวลาอาจไม่อำนวยให้พวกเธอทำเรื่องแบบนั้นสักเท่าไร
……………………
ราชันเร้นลับ 555 : ตึงเครียดยามวิกาล
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในช่วงเดือนมกราคม อากาศของแคว้นเชสเตอร์ตะวันออกยังค่อนข้างหนาว สามารถพบหิมะได้บ่อยครั้ง กิ่งก้านใบของต้นไม้เหี่ยวเฉาและมีหิมะปกคลุม เหล่าสัตว์ป่าต่างจำศีลซ่อนตัวมิดชิด ขาดแคลนชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง
ออเดรย์เดินนำซูซี่ โดยด้านหลังยังมีบุรุษรับใช้และสาวใช้อีกจำนวนหนึ่ง คณะสำรวจเดินตรวจตรารอบหอคอยโบราณอย่างละเอียด แต่กลับไม่พบสิ่งน่าสนใจ
มีเพียงอิฐสีเทาและเศษไม้เน่ากองสุม ถึงจะมองเข้าไปในช่องว่างของหอคอย ก็ไม่เห็นสิ่งสำคัญใดนอกจากซากสัตว์เล็กและวัชพืช
ออเดรย์คาดหวังว่าเธอจะได้พบจิตรกรรมฝาผนังสักภาพบนกำแพง เพื่อจะใช้แกะรอยไปถึงต้นกำเนิดของหอคอยโบราณแห่งนี้
ขณะเดียวกัน หญิงสาวต้องการทดสอบพลังชนิดใหม่ของตน นักจิตบำบัด กับบรรดาสัตว์ป่าทั่วไป เช่นพลังสร้างความเกรงขาม พลังก่อโรคประสาท และพลังปลอบโยน แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วย ออเดรย์ต้องพบกับความผิดหวังรุนแรง
นี่ไม่ใช่การผจญภัยสักหน่อย… ก็แค่ขี่ม้าเล่นเท่านั้น…
ออเดรย์เม้มปากอย่างไม่พอใจ กำแส้ม้าในมือแน่นกระชับ ก่อนจะเดินกลับไปขึ้นบังเหียน
เมื่อเกิดความคาใจ หญิงสาวหันกลับไปถามคนรับใช้และสาวใช้อย่างไม่ยอมแพ้
“แถวนี้มีตำนานหรือเรื่องเล่าอื่นบ้างไหม”
คนรับใช้กว่าครึ่งติดตามมาจากคฤหาสน์ของตระกูลฮอลล์ในกรุงเบ็คลันด์ ส่วนอีกครึ่งเป็นคนท้องถิ่นที่คอยดูแลคฤหาสน์หลังนี้เป็นประจำ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า คำถามของหญิงสาวเจาะจงไปยังกลุ่มหลัง
เหตุผลที่เธอตัดสินใจตามมายังคฤหาสน์หลังนี้พร้อมกับครอบครัวก็คือ เมืองในละแวกใกล้เคียงคฤหาสน์มีประเพณีโบราณที่ชาวบ้านกราบไหว้บูชามังกร
บุรุษรับใช้หนุ่มคนหนึ่งหันไปมองคุณหนูผู้เลอโฉมและสูงศักดิ์ ตามด้วยการก้าวออกมาอย่างกล้าหาญ และทำท่าโค้งคำนับนอบน้อม
“ในส่วนลึกของป่าแห่งนี้มีสัตว์ประหลาดซ่อนตัวอยู่ ทุกปีจะมีนายพรานหลงเข้าไปเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แต่ไม่เคยมีใครระบุได้ว่าสัตว์ประหลาดดังกล่าวมีหน้าตาเป็นเช่นไร เฉกเช่นบทกวีพื้นเมืองของที่นี่”
จากนั้น ชายหนุ่มเริ่มขับขานบทกวีโบราณของชาวบ้านให้ออเดรย์ฟัง
“เหล่าปีศาจ และมังกร ต่างหลบซ่อน”
“ภายในกลุ่ม ในก้อน มวลความฝัน”
“บ้างอาศัย บนวังฟ้า อย่างเมามัน”
“ล้วนหมกตัว อยู่ด้วยกัน จนอิ่มเอม”
“ภายในวัง พวกมันครอง ได้ทุกสิ่ง”
“สุขสมจริง สะดวกสบาย กายพักผ่อน”
“หากผู้ใด จิตอ่อน เผลอพัวพัน”
“คงลืมวัน ลืมเวลา ตลอดกาล”
ขอฝากถึง เหล่าเด็กน้อย ช่างสงสัย…
ขอฝากถึง นักผจญภัย สุดกล้าหาญ…
จงทำตาม เสียงร้อง จิตวิญญาณ…
จงทะยาน ออกตามล่า หามังกร…
บุรุษรับใช้มิได้ร้องบทหลังออกไปเสียงดัง ด้วยเกรงว่านายหญิงอาจเข้าใจผิด คิดว่าตนกำลังดูแคลนความอยากรู้อยากเห็นของเธอ
มังกรในความฝัน… ฝันมายา… วังลอยฟ้าในความฝัน…
ออเดรย์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะพบว่าบทกวีชนพื้นเมืองมิได้เหลวไหลไปทั้งหมด
ทบทวนความทรงจำเก่า ข้อมูลเกี่ยวกับมังกรที่เธอซื้อจากเดอะซันน้อยระบุว่า มังกรจินตภาพ? แอนเคอร์เวล ได้จินตนาการเมืองลอยฟ้าขึ้น ปกคลุมน่านฟ้าเบื้องบนเป็นบริเวณกว้าง ภายในนั้นมีเสาหินขนาดมหึมา คอยค้ำจุนมหาราชวังนาม ‘เลฟซิด’ ที่มีความหมายว่าเมืองแห่งปาฏิหาริย์
ความฝัน… เส้นทางผู้ชมมีต้นกำเนิดจากมังกรจิต เกี่ยวข้องกับสติ จิตใต้สำนึก ทะเลจิตใต้สำนึกรวม และแดนนภาวิญญาณ ไม่ว่าจะมองมุมใดก็เกี่ยวข้องกับความฝันทั้งสิ้น… หืม… บทกวีโบราณกำลังสื่อถึงอะไรกันแน่… หรือว่าเลฟซิดจะมิได้ตั้งอยู่ในทะเลจิตรวม แต่เป็นความฝัน… ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ความฝันผูกมัดกับจิตของแต่ละคนไม่ใช่หรือ…
ออเดรย์เต็มไปด้วยคำถาม ตลอดทางกลับคฤหาสน์เอาแต่ครุ่นคิดจนหัวแทบระบม แต่สุดท้ายก็ยังมองไม่เห็นคำตอบ
เมื่อกลับถึงห้อง หญิงสาวมองไปทางซูซี่ สุนัขขนทองตัวใหญ่ พลางต้องการปรึกษาคำถามคาใจกับใครสักคน
ซูซี่ไม่รู้จักมังกร เธอคงไม่ทราบความนัยแฝงของบทกวีโบราณแน่… ไม่สิ เราไม่ควรด่วนตัดสิน ซูซี่ฉลาดพอจะพบความปรกติที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเรา… เธอฉลาดพอจะเรียนกับมาดามเอสลันด์…
ออเดรย์เดินเข้าไปใกล้และนั่งลง ตามด้วยการถามอย่างอ่อนโยน
“ซูซี่ เธอคิดว่าบทกวีโบราณมีความนัยแฝงว่าอย่างไรบ้าง ฉันเชื่อว่า มันคงมิได้เรียบง่ายเหมือนที่ตาเห็นแน่”
ซูซี่พะงาบปากเงียบงัน โดยไม่ทราบว่าควรตอบเจ้านายกลับไปเช่นไร เพราะเธอไม่เข้าใจบทกวีเลยสักนิดเดียว
หลังจากครุ่นคิดสักพัก โกลเดนรีทรีเวอร์สีทองตัวใหญ่เปล่งเสียง
“ออเดรย์ ฉันเป็นแค่หมา”
…
ณ ป่าลึกบนเกาะภูเขาคราม
สืบเนื่องจากความตื่นเต้นยินดี ไครัทจึงนอนไม่หลับทั้งคืน มันหมุนวีลแชร์ไปรอบตัวด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ราวกับค้นพบเป้าหมายใหม่ของชีวิตนอกจากการแก้แค้น
หลังจากหมุนครบรอบ มันรีบมุ่งหน้าไปยังแท่นบูชาเพื่อเตรียมสวดวิงวอน
ไครัทจดจำบัญญัติสิบประการจนขึ้นใจ และตระหนักว่าตนไม่ควรเอ่ยนามของเทพอย่างพร่ำเพรื่อ ดังนั้น เมื่อทำการสวดวิงวอน มันจะเปลี่ยนวลี เทพสมุทร ให้กลายเป็นคำว่า ‘เทพ’ อย่างคลุมเครือ
เมื่อเข้าใกล้แท่นบูชา รูม่านตาไครัทพลันหดเกร็ง เนื่องจากวัตถุใจกลางแท่นล้วนแผ่ออร่าผิดไปจากเดิม ตัวอย่างเช่น กริชเล่มหนึ่ง ผิวโลหะของกริชมิได้กำลังสะท้อนแสงจันทร์แดงฉานอย่างที่ควร แต่เป็นแสงสีเงินสว่างสดใส หรืออย่างเช่น ใบไม้ใบหนึ่ง สีเขียวของมันเข้มขึ้นจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด เพียงจ้องมองก็หายใจได้คล่องจมูก
พระกรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน!
ไครัทคิดเป็นอื่นไปไม่ได้
ในวินาทีนี้ มันไม่เคลือบแคลงการเปลี่ยนแปลงของเทพสมุทรอีกแล้ว ปริศนาปมสุดท้ายภายในใจถูกคลี่คลายโดยสมบูรณ์
วิวรณ์ของพระองค์เมื่อหลายวันก่อน ที่ระบุว่าท่านจะกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง แท้จริงแล้วแฝงความนัยไว้ลึกซึ้ง สื่อว่าท่านกำลังวางแผนเปลี่ยนแปลงตัวเอง… พวกเราช่างโง่เขลาที่ตีความได้ไม่ฉะฉาน…
ไครัทถอนหายใจแผ่ว ก่อนจะหมอบกราบไปกับพื้นเพื่อแสดงความเคารพต่อองค์เทพ
ถัดมา มันปืนขึ้นวีลแชร์ ตรงไปยังที่พักของนักบวชใหญ่ เอ็ดมันตัน และสมาชิกกลุ่มต่อต้านคนอื่น ๆ
มันอดใจรอไม่ไหวที่จะสาธยายเรื่องราวสุดมหัศจรรย์ซึ่งตนได้ประสบพบเจอ อดใจรอไม่ไหวที่จะสรรเสริญว่า พระมหากรุณาธิคุณของเทพสมุทรนั้น ช่างกว้างใหญ่ยิ่งกว่ามหาสมุทร
…
กลางดึกสงัด ห้าทุ่มสิบห้านาที
ไคลน์กำลังนั่งบนเก้าอี้ จ้องมองเดนิสประกอบพิธีกรรมวิญญาณสถิต ด้วยสายตาเย็นชาและไร้อารมณ์ แต่สมองกำลังจดจำรายละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ปล่อยให้ตกหล่น
หรือจะมีความช่วยเหลือจากโลกวิญญาณ…
ชายหนุ่มเริ่มวิเคราะห์
น่าแปลก… ถ้าเป็นโลกวิญญาณ ขอเพียงระบุนามเต็มได้ถูกต้องครบถ้วน และเปล่งเสียงภาษาที่แฝงพลังธรรมชาติ ก็จะสามารถอัญเชิญตัวตนใดตัวตนหนึ่งออกมาพบได้ทันที หรือไม่ก็เรียกให้มาสถิตร่าง ไม่เกี่ยงว่าต้องอยู่ภายในระยะทางเท่าใด…
ในทางกลับกัน เหล่าทวยเทพล้วนมีความสามารถเช่นนี้เกือบทั้งหมด แถมยังเหนือกว่าเล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่น เทพสามารถหยั่งถึงคำสวดวิงวอนของสาวกในภาษาทั่วไปได้ นั่นอาจเป็นเพราะ สาวกจะได้รับความสนใจจากเทพมากกว่าคนนอกศาสนา…
สำหรับตัวตนระดับครึ่งเทพ พวกท่านจะส่งอิทธิพลต่อโลกวิญญาณบางส่วน ทุกคนจึงสามารถสวดวิงวอนไปถึงได้ ขอเพียงเอ่ยพระนามเต็มให้ถูกต้องและครบถ้วน… ครึ่งเทพจะมีพลังในการตอบสนองคำวิงวอนและพิธีกรรม แต่จำกัดระยะทางและขอบเขต เฉกเช่นคาเวทูว่า…
พลเรือโทธารน้ำแข็งคือผู้วิเศษลำดับกลางค่อนไปทางสูง แต่ก็คงไม่แข็งแกร่งพอจะตอบสนองพิธีกรรมวิญญาณสถิตด้วยตัวเอง… อาจต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากเทพหรือครึ่งเทพบางตน ด้วยการสวดวิงวอนไปหาท่านอีกทอดหนึ่ง จึงจะเข้ามาสิงร่างเดนิสได้ด้วยระยะทางจำกัด…
ขณะไคลน์ได้ข้อสรุปให้ตัวเอง สิ่งของทั้งหมดภายในแท่นบูชา ยกเว้นเทียนไขสามเล่ม เริ่มลอยขึ้นไปในอากาศอย่างเชื่องช้า
เนื้อตัวเดนิสสั่นกระตุกแผ่วเบา ก่อนที่สีหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชา
ทันใดนั้น เพลิงพิโรธเปล่งเสียงนุ่มนวลของหญิงสาว ลักษณะคล้ายพลเรือโทธารน้ำแข็ง
“สายัณห์สวัสดิ์”
เสียงเหมือนเธอกำลังโกรธเพราะถูกปลุก…
ไคลน์พบว่าร่างกายเดนิสกำลังถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายของบุคคลอื่น
หลังจากครุ่นคิดสักพัก มันตัดสินใจพูดเข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม
“ผมมีวิธีตามหาตัวพลเรือเอกโลหิต”
“อะไรนะ…” น้ำเสียงเอ็ดวิน่า? เอ็ดเวิร์ดกลับเป็นปรกติทันที ราบเรียบและไร้อารมณ์
ไคลน์อธิบายฉะฉาน
“พวกมันใช้เทคโนโลยีล่าสุดของเครื่องรับโทรเลขไร้สาย ผมมีช่องสัญญาณและข้อมูลการเข้ารหัส สองสิ่งนี้ได้มาจากฉลามขาว”
“โทรเลขไร้สาย… คุณรู้จัก?”
ดูเหมือนเอ็ดวิน่าจะคาดไม่ถึงว่า เกอร์มัน? สแปร์โรว์ ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์เร้นลับระดับสูงคนหนึ่ง จะมีความรู้ด้านเทคโนโลยีของโลกปรกติ ถึงขั้นรู้จักเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดอย่างเครื่องรับโทรเลขไร้สาย
ไคลน์ยิ้มอย่างสุภาพ
“ก็พอตัว”
เอ็ดวิน่าเงียบงันสักพัก ก่อนจะยืมใช้ปากเดนิสช่วยในการสนทนา
“พวกมันรู้เรื่องนี้ไหม”
หมายถึงการรั่วไหลของช่องสัญญาณและการเข้ารหัส? ในทางทฤษฎี พวกมันคงระแคะระคายอยู่บ้าง เนื่องจากหนึ่งในเจ้าหน้าที่สายข่าวคนสำคัญ เฒ่าควินน์ ถูกแฮงแมนเชือดทิ้งไปแล้ว… อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะเทคโนโลยีนี้ยังใหม่มาก มนุษย์จึงยังไม่ตระหนักถึงช่องโหว่ความปลอดภัยสักเท่าไร…
ไคลน์เลือกตอบแบบไม่กล้ารับปาก
“ก็อาจจะ… แต่ก็คุ้มที่จะลอง”
ขอเพียงจับสัญญาณแค่ครั้งเดียว โอกาสพบตัวพลเรือเอกโลหิตก็ไม่ไกลเกินเอื้อม!
ในฐานะเทพสมุทร ถึงจะเป็นแค่ครึ่งเทพ และไม่มีอิทธิพลในน่านน้ำอื่นมากนัก แต่พลังควบคุมสัตว์ทะเลยังคงอยู่ เราสามารถใช้พวกมันตามหาเรือโจรสลัดได้… ไคลน์เสริมในใจ
เอ็ดวิน่ากล่าวเสียงขรึม
“ให้เดนิสช่วยเฝ้าเครื่องก็แล้วกัน”
ไม่เลว… ผู้หญิงคนนี้รู้จักเครื่องรับโทรเลขไร้สายเป็นอย่างดี…
ไคลน์ฉีกยิ้ม
“ตกลง”
เมื่อการสนทนาจบลง เดนิสยืนจ้องเกอร์มัน? สแปร์โรว์ด้วยสีหน้าสุดประหลาดใจ เนื่องจากมันเห็นอีกฝ่ายกำลังถือเครื่องจักรขนาดค่อนข้างใหญ่ออกจากห้องนอน
“นี่คือ?” เดนิสซักถามงุนงง
ไคลน์ตอบห้วน
“เครื่องรับโทรเลขไร้สาย”
เดนิสอ้าปากค้างไปสักพัก จนกระทั่งมีบางคำหลุดออกมา
“ไปเอามาจากไหน…”
ไคลน์จ้อง
“ข้างนอก”
เมื่อกล่าวจบ ชายหนุ่มโยนคู่มือ ช่องสัญญาณ และข้อมูลการเข้ารหัสให้เดนิส ก่อนจะเดินเข้าห้องนอนตัวเองและปิดประตู
ออกไปข้างนอกบ่อยๆ เพราะตามหาไอ้เครื่องนี้เองหรือ…
เดนิสเริ่มเข้าใจในบางสิ่ง
หลังจากศึกษาและลองผิดลองถูกสักพัก มันเริ่มใช้งานเครื่องรับโทรเลขไร้สายได้อย่างชำนาญ จึงปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นและเดินไปนอนบนเก้าอี้เอนหลัง
หลับไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ แต่เดนิสสะดุ้งตื่นกลางดึกเนื่องจากได้ยินเสียงกุกกัก
เสียงอะไร…?
เพลิงพิโรธรีบหันไปทางต้นเสียง
ท่ามกลางแสงจันทร์แดงฉาน ภายในห้องบรรยากาศมืดสลัว เครื่องรับโทรเลขกำลังทำงานด้วยตัวมันเอง พ่นกระดาษมายาออกมาหนึ่งแผ่น
นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน…!
เดนิสรวบรวมเพลิงก้อนใหญ่ในมือ ขยับตัวเข้าไปใกล้ทีละนิดอย่างระมัดระวัง
ฉากตรงหน้าทำให้มันนึกถึงเรื่องเล่าสยองขวัญที่โจรสลัดมักโอ้อวดในวงเหล้า!
เครื่องรับโทรเลขเป็นอะไร… ถูกวิญญาณมารตนไหนสิงเข้ารึไง…
เดนิสไม่ด่วนสรุป เตรียมหันไปตะโกนเรียกเกอร์มัน? สแปร์โรว์ภายในห้องนอน
แต่ทันใดนั้น มันเหลือบเห็นข้อความบนกระดาษมายาสีขาว เขียนด้วยภาษาฟุซัคโบราณ ใจความว่า :
“สวัสดี ข้าแวะมาเยี่ยมเนื่องจากสัมผัสถึงออร่าที่คุ้นเคย แต่อีกไม่นานก็คงสลายไป”
“สวัสดี” เดนิสพยายามสนทนา
“นายเป็นใคร”
เครื่องรับโทรเลขทำเสียงกุกกักอีกครั้ง ก่อนจะพ่นกระดาษสีขาวออกมา :
“นามของข้าคืออาโรเดส เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เจ้าต้องตอบคำถามมาหนึ่งข้อ”
……………………
ราชันเร้นลับ 556 : เลือกปฏิบัติ
โดย
Ink Stone_Fantasy
คำถาม?
เป็นเครื่องรับโทรเลขที่ประหลาดชะมัด…
เดนิสกระแอมหนึ่งหนและกล่าว
“จะถามมาก็ได้ แค่ฉันอาจไม่ตอบ”
เฮ่อะ! คิดว่าฉันคนนี้เป็นพวกนักผจญภัยและนักโบราณคดีงี่เง่า ที่มักตายเพราะความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองรึไง…
เดนิสกำลังภูมิใจในความฉลาดของตน ขณะเดียวกันก็คอยระวังตัวจากเหตุไม่คาดฝัน
เครื่องรับโทรเลขเงียบงันนานหลายวินาที ก่อนจะเริ่มส่งเสียงกุกกักอีกครั้ง กระดาษมายาถูกพ่นแผ่นแล้วแผ่นเล่า ด้วยตัวอักษรสีแดงฉาน
“เจ้าหลงรักกัปตันของตัวเองใช่ไหม”
ไม่ใช่! เหลวไหลสิ้นดี! โทรเลขเชี่ยไรวะเนี่ย! ใครเป็นคนบอกแก! ใคร!
ใบหน้าเดนิสแดงก่ำทันที
ความลับในใจที่เก็บงำมานาน ยามนี้ถูกเผยออกมากะทันหัน เพลิงพิโรธถึงกับหมดคำจะกล่าวไปชั่วขณะ ความอับอายกำลังท่วมทะลักหัวใจ จิตใต้สำนึกตอบปฏิเสธเสียงแข็ง
ขณะเดียวกัน มันกำลังตกใจสุดขีด ความลับที่เก็บซ่อนมานาน เหตุใดถึงหลุดไปถึงหูคนนอกได้ มันไม่เคยบอกใครมาก่อน เป็นความลับที่เก็บซ่อนไว้อย่างดี!
เดนิสอ้าปากพลางยิ้มแห้ง
“คำถามน่าเบื่อ ไม่ตอบก็แล้วกัน”
เครื่องรับโทรเลขทำเสียงกุกกักอีกครั้ง พ่นกระดาษสีขาวออกมาเพิ่ม
“งั้นเปลี่ยนคำถาม ถ้าไม่รักจริง ก็คงไม่อดทนนั่งเรียนอย่างเบื่อหน่ายเป็นเวลานานหรอกใช่ไหม”
“ไม่ใช่โว้ย!! เป็นเพราะว่าหล่อนแข็งแกร่งกว่าต่างหาก ฉันไม่มีทางเลือก!” เดนิสโพล่งด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว
ยิ่งเสียงกุกกักดังถี่ขึ้น ข้อความบนกระดาษมายาก็ยิ่งเพิ่มความยาว
“โกหก งั้นเปลี่ยนคำถาม ผู้หญิงในฝันของเจ้าต้องมีใบหน้างดงาม แข็งแกร่ง ลึกลับน่าค้นหา ฉลาดหลักแหลม และสามารถกระทืบเจ้าให้จมดิน ใช่หรือไม่”
ริมฝีปากเดนิสเริ่มสั่นกระตุก ร่างกายร้อนรุ่มประหนึ่งเปลวไฟกำลังไหลเวียน เหนือศีรษะคล้ายกับมีควันขาวระเหยออก
ณ วินาทีนี้ จิตเดนิสกำลังกระเจิดกระเจิง มันอับอายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี ไม่ต่างอะไรกับการเดินเปลืองผ้าไปบนถนน
ด้วยจิตใต้สำนึก มันรีบมองไปรอบตัวอย่างประหม่า มองหาสายตาที่อาจกำลังจ้องเข้ามา
ทันใดนั้น ทันเห็นประตูห้องนอนใหญ่กำลังเปิดอยู่ และพบเกอร์มัน·สแปร์โรว์ผู้สวมเชิ้ตสีขาว ปล่อยชายเสื้อออกนอกเข็มขัด กางเกงขาวยาวสีดำค่อนข้างหลวม กำลังยืนจ้องตนอย่างเงียบงัน โดยไม่มีทางทราบเลยว่า อีกฝ่ายค้างอยู่ในท่านี้มานานแค่ไหน
“น…นายเห็นตั้งแต่ตอนไหน” เดนิสเริ่มหน้าซีดยิ่งกว่าเห็นผี คำพูดตะกุกตะกัก
ได้โปรดตอบว่า ฉันเพิ่งเปิดประตูออกมาเมื่อครู่…ได้โปรด! เพลิงพิโรธอ้อนวอนในใจ
ไคลน์เดินมาทางเครื่องรับโทรเลขที่กำลังส่งเสียกุกกักเป็นจังหวะถี่ พลางมอบคำตอบด้วยน้ำเสียงสุขุม
“ตั้งแต่แรก”
ในฐานะนักทำนาย จะฉันไม่ให้สัมผัสถึงเหตุการณ์ปรกติด้านนอกเลยหรือ และถึงจะหลับสนิทแค่ไหน แต่สัมผัสวิญญาณไม่มีทางปล่อยผ่านไปแน่… ไคลน์ตอบในใจ
เดนิสเริ่มหน้าม่วงเหมือนคนตาย มันรีบหมุนตัวเป็นครึ่งวงกลม พร้อมกับวิ่งตรงไปทางเครื่องรับโทรเลขที่น่าจะถูกวิญญาณมารสักตนสิงสู่ จากนั้นพยายามใช้มือฉีกกระดาษคำถามทั้งสามข้อ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ามือของมันทำได้เพียงทะลุผ่านตัวอักษรมายา มีอาจจับคว้าสิ่งใดไว้
ทันใดนั้น เหนือฝ่ามือเดนิสเริ่มส่องแสงสีแดงส้ม ก้อนเปลวเพลิงถูกบีบอัดหลายชั้น เตรียมทำลายเครื่องรับโทรเลขจังไรให้พินาศ
แต่ความตั้งใจก็ถูกหยุดลง เมื่อสัมผัสถึงสายตาอันเย็นชาจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์
จริงสิ… ทรัพย์สินของหมอนี่…
เดนิสยืนตัวแข็งทื่อในจุดเดิม ทำได้เพียงจ้องมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์เดินผ่านตน หยุดลงหน้าเครื่องรับโทรเลขพิสดาร
อาโรเดส… เจ้านั่นใช้วิธีใดเชื่อมต่อกับเครื่องรับโทรเลข… แถมยังบอกว่า สัมผัสถึงออร่าพิเศษที่ใกล้เหือดแห้ง… หมายถึงออร่าของมิติเหนือสายหมอก?
หืม… เครื่องรับโทรเลขอันนี้ถูกวางไว้บนมิติหมอกหลายวัน ถึงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงกายภาพ แต่ก็ถูกออร่าปนเปื้อน? และด้วยกลไกการทำงาน จึงมีความสามารถรับข้อมูลจากโลกวิญญาณ… อาโรเดส กระจกวิเศษที่ล่วงรู้ความลับมากมาย จึงฉวยโอกาสนั้น?
อ…อุ๊ฟ…ม…ไม่ได้เด็ดขาด… ตอนนี้เราคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ นักผจญภัยเลือดเย็นและเสียสติ ในฐานะผู้ไร้หน้ามืออาชีพ… จะมาหลุดขำกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้…
ไคลน์รำพัน สูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด
เดนิสชำเลืองด้วยหางตา ท่าทีคล้ายกับ นักโทษกำลังรอให้ผู้คุมปลดตรวนและมอบอิสรภาพ
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ยังไม่เปลี่ยนแปลง เพลิงพิโรธโล่งใจไปหลายส่วน มันรู้สึกยินดีที่ ผู้ค้นพบความลับของตนเป็นเพียงคนบ้า มิใช่คนสติดี
หมอนี่คงไม่สนใจเรื่องไร้สาระพรรค์นี้…
แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นโจรสลัดอื่น เราคงไม่มีหน้ากลับไปยังฝันทองคำอีก ไม่สิ ไม่มีหน้าออกทะเลอีกด้วยซ้ำ!
เดนิสกลับมาจ้องเครื่องรับโทรเลขด้วยสายตาเกลียดชังและหวาดกลัว ในใจกำลังเคียดแค้นปีศาจที่เรียกตัวเองว่าอาโรเดส
มันได้ยินเสียงกุกกักอีกครั้ง และพบว่าเครื่องระยำกำลังพ่นกระดาษขาวแผ่นใหม่ เนื้อหาเขียนด้วยภาษาโลเอ็นตัวบรรจง :
“ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และถ่อมตนของทาน อาโรเดส รายงานตัว…เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ติดตามรับใช้ท่านอีกครั้ง ข้ารอโอกาสเช่นนี้มานานแล้ว”
คนละอาโรเดสกับไอ้ตัวเมื่อครู่ใช่ไหมวะ…
เดนิสจิกกัดอย่างไม่ยำเกรง เริ่มคิดว่าเหตุการณ์ในค่ำคืนนี้เป็นเพียงภาพหลอน
ไคลน์ ผู้พยายามกลั้นขำสุดชีวิต เริ่มเอะใจถึงความไม่ปรกติในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยสิ่งนั้นก็คือ บทลงโทษที่อาโรเดสเคยทำมาตลอด แต่ได้ไม่ทำในคราวนี้
อาจเป็นเพราะความพิเศษของการเชื่อมต่อผ่านออร่าสายหมอก โดยมีเครื่องรับโทรเลขเป็นสื่อกลาง ส่งผลให้ เมื่อเดนิสเลือกไม่ตอบคำถาม หมอนี่จึงไม่มีอำนาจในการลงโทษ ทำได้แค่เปลี่ยนคำถามไปเรื่อยๆ …
น่าสนใจมาก… ถ้าเราวางเครื่องรับโทรเลขไว้บนมิติหมอกเป็นเวลานาน มันจะกลายเป็นวัตถุวิเศษที่สามารถรับข้อมูลจากผี? แต่ก็น่าเสียดาย ถึงจะทำได้จริง แต่ด้วยกฎความถาวรของพลังพิเศษ มันจะกลับไปเป็นเครื่องรับโทรเลขธรรมดาเมื่อพลังวิญญาณเสื่อมลง…
อา… จากความรู้ความเข้าใจในโลกวิญญาณของเรา หากไม่มีตะกอนพลังเป็นแก่นของวัตถุ วิธีเดียวที่จะทำให้วัตถุรักษาพลังวิญญาณไว้ได้นานก็คือ… สลักนามจริงของเทวทูต หรือเทพ ลงบนวัตถุ ด้วยภาษาที่สามารถกระตุ้นพลังธรรมชาติ… ลักษณะคล้ายกับการยืมเวทมนตร์จากอีกฝั่ง เป็นการยืมพลังชั่วคราว… แต่แน่นอน ต้องได้รับการยินยอมจากเป้าหมาย… สำหรับเทคนิคนี้ เรายังไม่สามารถใช้นามเต็มของเดอะฟูลกระทำได้ หลักฐานก็คือ กระดาษจดรหัสผ่านบัญชีธนาคารเบ็คลันด์ของเรา ถึงจะทำด้วยภาษาเฮอร์มิสโบราณ แต่สิ่งนั้นก็มิได้แปรเปลี่ยนเป็นกระดาษวิญญาณแต่อย่างใด…
จากบรรดาเทพทุกตน มีเพียงตนเดียวที่เราทราบนามจริง นั่นก็คือ แม่มดบรรพกาล ชีค…หากเราสลักนามจริง รวมถึงนามเต็มอันสูงส่ง ลงไปบนเครื่องรับโทรเลขอันนี้ด้วยภาษาเฮอร์มิสโบราณ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง…จะแพร่โรคระบาด หรือจะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นวัตถุแสนงดงามในเชิงอุตสาหกรรมเครื่องจักร…
เฮ่อ… ความน่าจะเป็นมากที่สุดคือ เมื่อเราสลักชื่อจริง รวมถึงนามเต็มอันสูงส่งของแม่มดบรรพกาลลงไป พลังบางส่วนของอีกฝ่ายจะลงมาสถิตภายในเครื่องรับโทรเลข และสร้างความพินาศแก่ทุกสิ่งโดยรอบ…เป็นปรากฏการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูงมาก…
ขณะไคลน์กำลังคิดไปไกล สายตาบังเอิญเหลือบเห็นคำทักทายจากอีกฝ่าย จึงเริ่มเรียกสติกลับมาไตร่ตรอง
ใช่แล้ว กระจกวิเศษบานนี้สามารถตอบคำถามได้ทุกเรื่อง…
ชายหนุ่มชำเลืองไปยังเดนิสด้านข้าง
“ออกไปข้างนอกและเฝ้าไว้”
“ตกลง!” เดนิสรีบเดินไปยังประตู โดยไม่คิดลังเลแม้แต่วินาทีเดียว
มันกำลังกังวลว่า อาโรเดสอาจพ่นคำถามสร้างความฉิบหายออกมาอีก!
เมื่อเดนิสออกไปยังทางเดินและปิดประตูห้องจากด้านนอก ไคลน์หันกลับมาจ้องเครื่องรับโทรเลขที่เชื่อมต่อกับกระจกวิเศษ อาโรเดส พร้อมกับกล่าวเสียงค่อย
“ข้ามีคำถาม”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งขอรับ จะให้กระผมเรียกท่านว่าเจ้านาย หรือสุดยอดตัวตนเหนือโลกวิญญาณดี” เครื่องรับโทรเลขพ่นกระดาษมายาสีขาว
ช่างประจบสอพลอ แถมยังไร้ยางอาย…นิสัยแบบนี้ อาจสร้างปัญหาเข้าสักวัน…
ไคลน์กล่าว
“จะเรียกอะไรก็เชิญ”
“ขอรับ เจ้านาย!” อาโรเดสเขียนข้อความโดยใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ “ท่านมีคำถามอันใดหรือ”
“จะพบนางเงือกได้ที่ไหนบ้าง”
ชายหนุ่มไม่อ้อมค้อม
กุกกัก. กุกกัก.
เครื่องรับโทรเลขมอบคำตอบ
“ทางตะวันออกของการ์กัส ล่องเรือไปบนเส้นทางหลักประมาณหนึ่งสัปดาห์ มีโอกาสปานกลางที่จะพบนางเงือก แต่นางเงือกทุกตนล้วนเป็นผู้ศรัทธาเทพธิดารัตติกาล”
นั่นแหละที่น่ากลัว… ค่อนข้างสมเหตุสมผล ถึงจะผิดคาดไปบ้าง…
ไคลน์ได้ทราบโดยบังเอิญว่า สมมติฐานก่อนหน้าของตนเป็นความจริง
อาโรเดสยังคง ‘พิมพ์’ ต่อเนื่อง
“หากท่านไม่สะดวก ก็สามารถล่องเรือไปทางตะวันออก เส้นทางดังกล่าวมีความอันตรายมากอย่างมาก เพราะแถบนั้นมิใช่เขตมหาสมุทรอีกแล้ว แต่เป็นซากสมรภูมิของศึกแห่งเทพ อย่างไรก็ตาม หากเป็นท่าน เรื่องนั้นคงไม่เป็นปัญหาสักเท่าไร”
ทำไมถึงคิดเอาเองว่าไม่เป็น…
เฮ่อ… เราเคยคิดมาตลอดว่า ในเมื่อมีคทาเทพสมุทรอยู่กับตัว ไม่ว่าจะเป็นจุดที่อันตรายสักเพียงใดในทะเล ก็คงพอมีโอกาสให้สำรวจได้บ้าง… กลับกลายเป็นว่า จุดหมายคือซากสมรภูมิแห่งเทพ… จะใช่ช่วงเวลาที่พระผู้สร้าง ไล่ทวงคืนอำนาจจากเทพบรรพกาลหรือไม่…
ไคลน์ยังไม่กล่าวสิ่งใด รอให้อาโรเดสพ่นคำตอบออกมาจนหมด
“นอกจากนั้น ณ ศูนย์บัญชาการใหญ่ของโบสถ์รัตติกาล รวมถึงมหาวิหารหลับใหลบนเกาะไดนอส ต่างก็มีนางเงือกถูกเลี้ยงไว้”
นอกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ ยังมีนางเงือกถูกเลี้ยงไว้บนเกาะไดนอสบนทะเลโซเนียด้วยหรือ…ที่แรกอันตรายเกินไป นอกจากสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ยังมีเทวทูตเดินเพ่นพ่านเต็มไปหมด อย่างหลังยังพอเป็นไปได้ ปลอมตัวเป็นเหยี่ยวราตรีหรือบิชอปในละแวกนั้น แฝงตัวเข้าไปฟังนางเงือกร้องเพลงและดื่มโอสถ…เดี๋ยว…! มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง จุดประสงค์ของการเลี้ยงนางเงือก อาจมีเพื่อล่อให้ผู้ไร้หน้าเข้าไปติดกับ คงมีมาตรการป้องกันหลายชั้น…
ต้องมองหาทางอื่นสินะ…
ขณะไคลน์เตรียมตั้งคำถามอีกข้อ สายตาเหลือบเห็นเครื่องรับโทรเลขพ่นกระดาษออกมาอีกหนึ่งแผ่น
“เจ้านาย กฎต้องเป็นกฎ ท่านต้องตอบคำถามของข้า”
คำถาม…?
หางคิ้วไคลน์กระตุกแผ่วเบา รอคอยคำถามจากอีกฝ่ายอย่างใจเย็น และเตรียมพิจารณาว่า จะรับกระจกพิสดารตนนี้เป็นทาสดีหรือไม่ โดยตัดสินใจจากคำถามของมัน
ท่ามกลางเสียงกุกกัก อาโรเดสเขียนคำถามไม่ยาวนัก
“ท่านจะรับประทานสิ่งใดเป็นอาหารเช้า”
ถามได้ดี… ไคลน์ยิ้ม ตอบอย่างสุขุม
“แล้วแต่ทางโรงแรมจะจัดให้”
“เป็นคำตอบที่ดีมากขอรับ!” ถ้าอาโรเดสสามารถปรบมือได้ มันคงทำไปแล้ว
โดยไม่รอให้ไคลน์พูด มันพ่นกระดาษออกมาอีกหนึ่งแผ่น
“ออร่าของโลกวิญญาณใกล้สลายเต็มที กระผมต้องขอตัวก่อน แล้วจะรอโอกาสรับใช้ท่านครั้งถัดไป …ท่านเจ้านายผู้ยิ่งใหญ่”
เมื่อกระดาษถูกพ่น เครื่องรับโทรเลขหยุดทำงานทันที กลิ่นอายความดำมืดอันลุ่มลึกพลันเลือนหาย
ถ้าต้องการติดต่อกับกระจกวิเศษอีกครั้ง เราต้องทิ้งเครื่องรับโทรเลขไว้บนมิติสายหมอกนานกี่วัน… คราวหน้า เราจะถามถึงวิธีนำจิตกัดกร่อนออกจากตะกอนพลัง… จริงสิ… การติดต่อรูปแบบนี้ ไม่ควรใช้บ่อยครั้ง ในเมื่ออาโรเดสสามารถจับออร่า และใช้วิธีพิเศษติดต่อกับเครื่องรับสัญญาณได้ ตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าก็ย่อมต้องทำได้เช่นกัน… หากใช้งานพร่ำเพรื่อ เกรงว่าในสักวัน เราอาจได้รับโทรเลขจากพระผู้สร้างแท้จริง หรือไม่ก็แม่มดบรรพกาล…
สมองไคลน์เริ่มประมวลผลอย่างรอบคอบ เพื่อมองหาอันตรายจากความสะดวกสบาย
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น