Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 548-552
ราชันเร้นลับ 548 : ลูกเล่นล้มพวกตัวใหญ่
โดย
Ink Stone_Fantasy
รอบตัวไคลน์เต็มไปด้วยน้ำทะเลสีครามและซากโบราณสถานที่ผสานเข้ากับโลกวิญญาณครึ่งหนึ่ง ในสภาพสวมชุดเกราะสีดำเต็มอัตราศึก ชายหนุ่มกำลังยืนหน้าประตูทางเข้าห้องโถงใหญ่ ด้านในมีศพงูทะเลยักษ์สีฟ้าที่โดนกัดกิน และนักบวชท้องป่องอีกหนึ่งคน
ด้วยผิวพรรณสีเทาเข้ม ดวงตาสีฟ้าของรายหลังพลันส่องสว่างยิ่งกว่าเดิม โดยมันกำลังจ้องมอง ‘ผู้มาเยือน’ ที่สวมมงกุฎสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับไม่แน่ใจว่าควรเริ่มเขมือบจากส่วนใดก่อนดี
โดยไม่ลังเล ไคลน์คิดไวทำไว ใช้มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในตัว และหยิบขวดแก้วสีน้ำตาลออกมา
จากนั้น มันเหยียดแขนซ้ายออก ใช้ปลายนิ้วหมุนเกลียวขวดและโยนออกไปอย่างคล่องแคล่ว เป็นการทิ้ง ‘ขวดพิษชีวภาพ’ ไว้ตรงมุมห้องโถงใหญ่ของซากปรักหักพัง
ภายใต้สภาพแวดล้อมพิเศษของสนามรบกึ่งทะเลกึ่งโลกวิญญาณ นอกจากเพลิงมายาศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้จัดการอันเดดและมาร จะไม่มีเพลิงชนิดใดสามารถถูกจุดให้ติดได้ ส่งผลให้สองเวทมนตร์สำคัญของนักมายากลต้องกลายเป็นหมันไปโดยปริยาย ด้วยเหตุผลดังกล่าว ชายหนุ่มจึงต้องเร่งสร้างความได้เปรียบกับตัวเองให้มากที่สุด
ขณะขว้างขวดพิษชีวภาพ ถุงมือข้างซ้ายของไคลน์เริ่มส่องแสงอย่างรวดเร็ว สว่างจ้าประหนึ่งแสงตะวันยามเที่ยงตรง
น้ำทะเลโดยรอบเริ่มถูกฉาบด้วยแสงทองอร่าม ขอบเขตของแสงค่อย ๆ กระจายตัวออกไปทีละนิด
นี่คือหนึ่งในพลังของ ‘นักบวชแสง’ จากถุงมือยุบพองหิวโหย ‘แสงชำระล้าง’
นักบวชชราที่กินเนื้อศพคาเวทูว่าเข้าไปย่อมปราศจากมารยาท มันมิได้ถือเกียรติของอัศวินและรอให้ไคลน์เตรียมตัวให้เสร็จจึงค่อยลงมือ แสงสีฟ้าในดวงตาทวีความเข้มข้น ช่องท้องที่บวมพองเริ่มนูนยื่นเด่นชัดกว่าเก่า
“วี๊~”
สุ้มเสียงอันล่องลอยแต่แหลมเล็กดังจากลำตัวนักบวชเฒ่า ปกคลุมซุกซอกมุมของโบราณสถานอย่างทั่วถึง
เสียงเมื่อครู่ฟังดูคล้ายกับเสียงร้องของนกไนติงเกล ทั้งงดงาม ไพเราะ อ่อนโยน และสันติสุข แต่แฝงด้วยบรรยากาศเย็นเฉียบ กัดกร่อนทะลวงเข้าไปถึงกระดูกสันหลัง
ไคลน์พลันชะงัก ร่างกายแข็งทื่อ ห้วงความคิดเหลือเพียงความรู้สึกเย็นยะเยือกสุดขีด กัดกินกายและใจในเวลาเดียวกัน
ทันใดนั้น ร่างกายนักบวชเฒ่าเริ่มพองออก ประหนึ่งเป็นร่างจุติของคาเวทูว่าหรือไม่ก็เผ่าพันธุ์คนยักษ์ในตำนาน
ภายใต้ชุดคลุมสภาพฉีกขาด หนวดสัตว์สีฟ้ามันเลื่อมหลายเส้น ทุกเส้นรายล้อมด้วยประกายสายฟ้าสีเงิน กำลังเคลื่อนที่อย่างพลิ้วไหวใต้สายน้ำ ก่อนจะพุ่งปรี่เข้าหาไคลน์ผู้อยู่ในสภาพยืนมึนงง
เปรี้ยง!
เกิดแสงระเบิดสีเงินสว่างเจิดจ้า ไคลน์กระเด็นกระแทกใส่บานประตูห้องโถงด้วยแผ่นหลัง ผิวเกราะเหล็กมันวาวเริ่มอับแสงและปรากฏรอยร้าวจำนวนมาก ไม้ค้ำในมือหลุดกระเด็นไปยังมุมห้องอย่างไม่ได้สติ
ในจังหวะเมื่อครู่ ขณะร่างกายกำลังชะงักจากเสียงเพรียกพิสดาร ไคลน์ไม่เหลือสติพอจะใช้งานกระดาษคนตัวแทนได้ทัน จึงต้องรับกรรมเป็นความเสียหายอันหนักหน่วง
หากไม่เพราะมีไพ่จักรพรรดิมือและนกหวีดทองแดงอะซิกช่วยเสริมความแกร่งของร่างวิญญาณ ด้วยแกนพลังที่เป็นเพียงผู้วิเศษลำดับ 6 การโจมตีเมื่อครู่สามารถทำให้ร่างวิญญาณหายไปได้ภายในหนึ่งวินาที
หนวดสัตว์จำนวนมากวกกลับลงมาหาเหยื่ออีกครั้งด้วยความเร็วสูง
เมื่อไคลน์ได้สติ มันรีบกลิ้งตัวหลบฉิวเฉียด
หางตาชายหนุ่มชำเลืองร่างกายอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวกลับ วิ่งตรงไปทางประตูหน้าสุดของโบราณสถานโดยปราศจากความลังเล พฤติกรรมดังกล่าวแฝงจุดประสงค์บางอย่างเอาไว้
กึก. กึก. กึก.
ไคลน์กึ่งวิ่งกึ่งเหาะ สีหน้าอึมครึม ด้านหลังมีหนวดสัตว์อาบสายฟ้าจำนวนมากของนักบวชกำลังพุ่งตามมา จุดประสงค์เพื่อกีดขวางเส้นทางและนำตัวไคลน์กลับไปยังห้องโถง แต่การโจมตีทั้งหมดล้วนพลาดเป้า เป็นผลจากความคล่องแคล่วสลับกับเทคนิคนักกายกรรมอันยอดเยี่ยม
ทันใดนั้น ท้องของนักบวชเฒ่าบวมพองเล็กน้อยจนยากจะสังเกตเห็น มาพร้อมกับเสียงเพรียกดังกังวานไปทั่วโบราณสถาน
แต่ราวนี้ ไคลน์มีสติมากพอจะเตรียมรับมือ แม้ร่างกายอาจเชื่องช้าลงไปบ้างเนื่องจากยังฟื้นฟูได้ไม่สมบูรณ์ แต่ก็เร็วพอจะใช้กระดาษคนตัวแทนให้รอดพ้นจากเสียงเพรียกอันน่าสะพรึงกลัว
ในที่สุด นักบวชเฒ่าเริ่มเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งเดิม ทุกย่างก้าวของมันเป็นไปอย่างหนักแน่นแต่ว่องไว โดยหวังไล่จับศัตรูให้ทัน
แต่เมื่อนักบวชร่างยักษ์วิ่งตรงมาถึงประตูหน้าสุดของโบราณสถาน ศีรษะของมันกลับพุ่งชนหลังคาและกำแพงเข้าอย่างจัง!
อันที่จริง ประตูบานนี้มีไว้สำหรับให้คาเวทูว่าร่างยักษ์ผ่านเข้าออกเป็นประจำ ขนาดตัวของนักบวชเฒ่าจึงไม่ควรเป็นปัญหา อย่างไรก็ตาม หลังจากคาเวทูว่าอาละวาดเกรี้ยวกราดเป็นหนสุดท้ายก่อนตาย อาคารที่เป็นซากปรักหักพัง ก็ยิ่งพังถล่มมากกว่าเก่า เศษหินดินตกลงมาปิดทางออกจนเหลือความสูงเพียงสองเมตร และกว้างหนึ่งเมตร ส่งผลให้นักบวชเฒ่าในสภาพเสียสติโดยสมบูรณ์ วิ่งเข้าใส่ประตูด้วยความเคยชิน โดยคิดว่าจะผ่านไปได้เหมือนทุกครั้ง
ร่างกายของนักบวชพลันชะงักงัน
ไคลน์ที่รอคอยสิ่งนี้มาตลอด หยุดฝีเท้าและรีบหมุนตัวกลับหลัง
ชายหนุ่มหรี่ตาลง เหยียดตัวตรง กางแขนสองข้างออกกว้างจนเกือบสุด
เสาลำแสงสว่างเจิดจ้าที่รายล้อมด้วยเพลิงสีทองมายา สาดเทลงจากเบื้องบนและปะทะร่างของนักบวชเฒ่าอย่างแม่นยำ
เสื้อผ้าบางส่วนถูกแผดเผาทันที ผิวหนังสีเทาเริ่มหลอมละลายคล้ายโคลน บางจุดระเหิดหายภายใต้แสงสว่างอันบริสุทธิ์
ในวินาทีนี้ ไคลน์เพิ่งจะเห็นว่าภายในท้องของนักบวชเฒ่ามีสิ่งใดซ่อนอยู่
ท่ามกลางผิวหนังตึงแน่น บางส่วนแนบชิดมากกว่าจุดอื่น และเผยให้ไคลน์เห็นสองดวงตาและหนึ่งปาก
ราวกับในท้องของนักบวชเฒ่า มีใบหน้าของใครบางคน พยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้ออกมาสู่โลกภายนอก!
โครม!
แม้ขาทั้งสองข้างของนักบวชเฒ่าจะถูกปกคลุมด้วยเกล็ดไหม้ แต่มันก็สามารถหลุดพ้นจากประตูทางเข้าคับแคบสำเร็จ เศษหินกระเด็นกระดอน ท้องทะเลปั่นป่วนโกลาหล
อย่างไรก็ตาม ถึงจะหลุดจากเสาลำแสงสุริยันมาได้ แต่ผิวหนังส่วนใหญ่ได้ละลายจนเกิดบาดแผลฉกรรจ์ บน ‘ใบหน้า’ ตรงช่องท้องก็ไม่มีข้อยกเว้น ยังคงปรากฏให้เห็นรอยไหม้เจือจางเหมือนจุดอื่น
ฟุุ่บ!
หนวดสัตว์ของนักบวชที่รายล้อมด้วยสายฟ้า โหมกระหน่ำพุ่งโจมตีไคลน์อย่างเกรี้ยวกราดจากทุกทิศทาง โดยมี ‘ใบหน้า’ บนช่องท้องคอยสร้างเสียงหวีดร้องอย่างต่อเนื่อง หวังให้เหยื่อเสียจังหวะและชะงักงัน
ไคลน์พยายามหลบหลีกสุดฝีมือ ทั้งเร่งความเร็ว กลิ้งม้วนตัว หรือวิ่งเป็นวงกลมอย่างใจเย็น โยกหลบซ้ายทีขวาที อีกฝ่ายวิ่งไปทางไหน ไคลน์จะหนีไปทางตรงกันข้าม เป็นภาพที่ไม่ต่างอะไรกับเพลงเต้นของอินเดีย
ตลอดกระบวนการ ชายหนุ่มอาศัยความช่วยเหลือจากกระดาษคนตัวแทน ในการเอาตัวรอดจากเสียงเพรียกของ ‘ท้อง’ หนเล่า และหากเป็นไปได้ มันจะขัดขวางการ ‘ร้อง’ ของอีกฝ่ายด้วยเสียงหวีดแหลม อันเป็นพลังเฉพาะตัวของทุกร่างวิญญาณ
ผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า จนกระทั่งนักบวชเฒ่ายกแขนขึ้นมาจับท้องของตน
มันออกแรงฉีกเนื้อท้องบริเวณรอยปากจนเกิดเป็นรูโหว่
ของเหลวข้นสีฟ้าพลันสาดกระเซ็น เผยให้เห็นฟันคมหลายซี่เรียงชิดติดกัน
‘ปาก’ คำรามอีกหนึ่งหน คราวนี้น้ำทะเลโดยรอบถูกดูดเข้าไปในปากดังกล่าว เกิดเป็นวังวนเกลียวคลื่นน้ำอันน่าสะพรึง คอยดูดกลืนทุกสรรพสิ่งเหมือนกับที่คาเวทูว่าเคยทำ
ไคลน์ จักรพรรดิมืด มิอาจต้านทานแรงดูดอันมหาศาล ร่างกายไถลเข้าหานักบวชเฒ่าอย่างเชื่องช้า หนวดสัตว์สีฟ้ากำลังรายล้อมพร้อมกับปล่อยประจุ เตรียมโฉบโจมตีอย่างพร้อมเพรียงจากทุกทิศในคราเดียว
แต่ชายหนุ่มมิได้ตื่นกลัว ถุงมือข้างซ้ายแปรเปลี่ยนเป็นสีทองคำ
ในสภาพเท้าไม่ติดพื้น ดวงตาไคลน์เพ่งมอง ‘ใบหน้า’ ตรงช่องท้องของนักบวชเฒ่าไม่กะพริบ ก่อนจะมองเลยลงไปยังวังวนเกลียวคลื่นภายในปาก ทันใดนั้น รูม่านตาของไคลน์พลันปรากฏแสงสายฟ้าสีเงินกะพริบวิบวับ
‘ทะลวงจิต’ ของนักสอบสวน!
นักบวชเฒ่าพลันชะงัก ‘ใบหน้า’ ตรงท้องน้อยเริ่มบิดเบี้ยวคล้ายกับเริ่มเจ็บปวด พร้อมกันนั้น วังวนเกลียวคลื่นที่คอยดูดกลืนทุกสรรพสิ่ง พลันหยุดการทำงานและปิดตัวเองลงในทันที
อาศัยเกลียวคลื่นม้วนกลับ ไคลน์ทำตัวแบนราบและว่ายตรงเข้าไปยังจุดที่คลื่นดีดกลับออกมาไม่รุนแรง พลางหลบหลีกหนวดประกายสายฟ้าจำนวนมากรอบตัว
ท่ามกลางแสงสีเงินกะพริบ ชายหนุ่มเข้าประชิดนักบวชเฒ่าร่างใหญ่อย่างง่ายดาย ส่วนถุงมือข้างซ้าย ผิวของมันเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดอมเขียวตั้งแต่ตอนไหนไม่มีใครทราบ
ไคลน์เกร็งกล้ามเนื้อหลัง สองกำปั้นกระหน่ำชกไปยังต้นขาของนักบวชเฒ่าในบริเวณใกล้กับข้อต่อหัวเข่า
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
หมัดอันเย็นเฉียบสร้างความเสียหายใส่อีกฝ่ายอย่างไร้ความปรานี ขาข้างขวาของศัตรูถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็งบาง น้ำทะเลรอบตัวถูกแช่แข็งโดยสมบูรณ์
พลัง ‘ควบคุมน้ำแข็ง’ ของซอมบี้!
ท่ามกลางเสียงร้องของนักบวชเฒ่า หนวดสัตว์จำนวนมากเริ่มวกกลับมาฟาดใส่ไคลน์ต่างแส้หนัง แสงสีเงินรอบหนวดส่องสว่างจนน้ำทะเลระยิบระยับ
ไคลน์ไม่ฝืนเกินตัว มันหยุดเมื่อต้องหยุด และรีบกลิ้งตัวหลบการโจมตีธาตุสายฟ้าระลอกใหญ่ของนักบวชเฒ่า เกิดเป็นเสียงดัง ‘เปรี้ยะ’ กระแทกกระทั้นใส่พื้นหินสีเทาอย่างต่อเนื่อง
ชายหนุ่มเหยียดตัวตรง ก่อนจะทำท่าสรรเสริญดวงอาทิตย์ด้วยมาดสง่างาม
ชิ้ง!
เป็นอีกครั้งที่เสาลำแสงสาดทอดลงมาจากเบื้องบน อาบร่างนักบวชเฒ่าทุกซอกมุมร่างกายโดยทั่วถึง
ไคลน์เห็นผิวหนังสีเทาเข้มของอีกฝ่ายเริ่มละลายจนเละเทะ โดยผิวหนังรอบ ‘ใบหน้า’ ตรงช่องท้องก็ไม่มีข้อยกเว้น เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในอย่างชัดเจน อวัยวะเกือบทั้งหมดอันประกอบด้วยหัวใจ กระเพาะอาหาร ลำไส้ ปอด ตับ ไต ม้าม ทั้งหมดผสมเป็นเนื้อเดียวกันและก่อตัวเป็นรูปใบหน้าของงูทะเล
คาเวทูว่ายังเหลือหลงจิต… พลังใจของสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพเหนือกว่าที่เราคิดไว้มาก..
ไคลน์ม้วนตัวอีกครั้ง หลบพายุการกระหน่ำโจมตีจากแส้สายฟ้าหนวดสัตว์
เมื่อหนวดข้างใดสัมผัสกับเสาลำแสงศักดิ์สิทธิ์เข้า หนวดนั้นจะขาดสะบั้นและลงไปดิ้นชักกระตุกบนพื้นอย่างสิ้นฤทธิ์
เมื่อเสาแสงสุริยันเลือนหาย ใบหน้างูทะเลอันชั่วร้ายในท้องนักบวชเฒ่าเริ่มอ้าปากกว้าง เตรียมส่งเสียงเพรียกก่อกวนประสาทอีกครั้ง
ทว่า นักบวชเฒ่าพลันกุมท้องงอตัวกะทันหัน ตามด้วยการไออย่างรุนแรงและต่อเนื่อง เสียงเพรียกของงูทะเลจึงถูกระงับ
ขวดพิษชีวภาพเริ่มทำงาน!
ไคลน์ไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือ รีบเหยียดตัวตรงและกางแขนออกในท่าโอบกอดดวงอาทิตย์
แสงสุริยันสาดเทลงมาอีกครั้งพร้อมกับทะเลเพลิงมายาสีทอง ร่างกายของนักบวชเฒ่าถูกแผดเผาหยุดทำงานโดยสมบูรณ์ ตามด้วยการงอตัวลงไปนอนกองบนพื้นหินในสภาพผิวหนังเริ่มละลาย ขณะเดียวกัน ใบหน้างูทะเลชั่วร้ายได้ส่งเสียงโหยหวนเป็นหนสุดท้าย ก่อนจะเลือนหายลับสายตาไปอย่างสมบูรณ์
จนกระทั่งแสงสุริยันดับลง ร่างกายอันใหญ่โตของนักบวชเฒ่ากลับสู่ขนาดเดิม กระดูกสีขาวละลายไปเกือบหมด เหลือเพียงเศษเนื้อสีเทาเข้มแห้งกรังเกาะตามลำตัวประปราย
ลมหายใจของมันรวยรินและเริ่มขาดห้วง ดวงวิญญาณเริ่มระเหิดด้วยความเร็วสูง
ไคลน์รีบปรี่เข้าไปใกล้ และสื่อวิญญาณในรางวิญญาณโดยไม่ต้องผ่านพิธีกรรม
ชายหนุ่มต้องการยืนยันให้แน่ใจว่า นักบวชเฒ่ารายนี้เป็นคนชั่วช้าสามานย์สมควรได้รับความตายอย่างไร้ความปรานี
ชายหนุ่มกำหนดมาตรฐานศีลธรรมขั้นต่ำสุดของตนเอาไว้แล้ว สิ่งนี้เกิดจากความรู้สึกในส่วนลึกของจิตใจ ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือช่วยให้ไม่ถลำลึกเข้าสู่ความบ้าคลั่งจนยากจะถอนตัวกลับ
เพียงพริบตา ภาพเหตุการณ์มากมายผุดขึ้นในสมองไคลน์ หนึ่งในนั้นคือฉากที่นักบวชเฒ่ากำลังเป็นแกนนำจัดพิธีกรรมสังเวยชีวิตมนุษย์
ได้เห็นภาพดังกล่าว ไคลน์ไม่ลังเลอีกต่อไป แขนซ้ายถูกเหยียดตรงแนบกับศพ ปล่อยให้ถุงมืออันหิวโหยลิ้มรสอาหารมื้ออร่อยจนเสร็จ
เนื้อหนัง วิญญาณ และกระดูกถูกสูบเข้าไปในปากที่อ้ากว้างกึ่งกลางฝ่ามือ ระหว่างนั้นก็มีละอองแสงสีฟ้าอ่อนลอยออกมาเล็กน้อย
ไคลน์ยังได้ข้อมูลมาอีกว่า นักบวชคนดังกล่าวอยู่ในลำดับ ‘นักปลอบวิญญาณ’ สมัยยังมีชีวิต สูตรโอสถและวัตถุดิบมาจากโบสถ์เทพสงครามแห่งจักรวรรดิฟุซัค โดยหลังจากกลายเป็นองครักษ์เทพสมุทร มันสูญสิ้นสตินึกคิดโดยสิ้นเชิง รู้จักเพียงการทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด แต่หลังจากการร่วงหล่นของคาเวทูว่า สัญชาตญาณได้สั่งให้มันกินเลือดเนื้อของเทพที่ตนศรัทธา จนกระทั่งตะกอนพลังสองเส้นทางปะปนกันในร่างเดียว กลายเป็นสัตว์ประหลาดขาดสติ
เมื่อยุบพองหิวโหยอิ่มเอมใจ ละอองพลังงานบนพื้นและรอบโบราณสถานทั้งหมดพลันเกิดปฏิกิริยารุนแรง แปรเปลี่ยนตัวเองกลายเป็นพายุเฮอริเคน หมุนวนใจกลางห้องโถงใหญ่ ก่อนจะไหลไปรวมตัวภายในเขี้ยวสีขาวนมสดและไม่โค้งงออีกต่อไป
ไคลน์หันไปมองและพบว่า ศพของคาเวทูว่าไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว ลักษณะคล้ายกับก้อนโคลนเหนียวข้น ในส่วนของเขี้ยวงูทะเลที่ดูดซึมละอองพลังทั้งหมดเข้าไป สิ่งนี้แปรสภาพกลายเป็นคทาสั้น ถูกสอดไว้ท่ามกลางเศษหินถล่มของเสาต้นใหญ่ใจกลางโบราณสถาน
หัวคทาสีขาวถูกเลี่ยมด้วย ‘อัญมณี’ สีฟ้าจำนวนมาก บ้างเป็นสีฟ้าเข้มหม่นหมอง บ้างเป็นสีฟ้าสว่างเจิดจ้า
เมื่อเห็นยุบพองหิวโหยหยุดกิน ไคลน์รีบรุดหน้าไปยังใจกลางห้องโถง และค่อยๆ ขยับเข้าใกล้คทาดังกล่าวอย่างระมัดระวัง
แต่ยังไม่ทันได้สัมผัส เสียงวิงวอนของผู้คนจำนวนมากพลันพรั่งพรูเข้าสู่หัวสมอง ภาพมายาถูกฉายในดวงตา ไคลน์ได้เห็นสาวกจำนวนมากกำลังหมอบกราบภาวนา ได้เห็นกลุ่มต่อต้านกำลังร่ำไห้ต่อหน้าเทวรูปแตกหัก
……………………
ราชันเร้นลับ 549 : เอลฟ์ครึ่งเทพ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เสียงสวดวิงวอนจำนวนมากกำลังซ้อนทับก้องกังวาน ไคลน์รู้สึกราวกับร่างกายจองตนถูกสิงสู่ ศีรษะปวดแปลบเหนือคำบรรยาย จนต้องการเอาหัวโขกกำแพงเต็มแรง เพื่อข่มความเจ็บด้วยความเจ็บที่มากกว่า
ฉากการสวดวิงวอนจากหลากหลายบุคคลกำลังทำให้หัวสมองของมันวิงเวียนหนักหน่วง คล้ายกับตนกำลังเดินบนขอบเหว พร้อมจะตกลงไปด้านล่างได้ทุกเมื่อ
ต้องขอบคุณไพ่จักรพรรดิมืดและนกหวีดทองแดงอะซิกที่ช่วยเสริมความแกร่งให้ร่างวิญญาณ ผนวกกับการที่เราเคยชินกับเสียงสวดวิงวอนของสมาชิกชุมนุม…แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาที่มีลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพ ป่านนี้คงเข้าสู่ภาวะคลุ้มคลั่งโดยสมบูรณ์ ความเจ็บปวดจะถาโถมจากทุกทิศ กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดก่อนเนื้อ…
อา…ละอองพลังงานทั้งหมดในโบราณสถานได้ควบแน่นจนกลายเป็นสมบัติปิดผนึกชิ้นใหม่ โดยมีเขี้ยวของคาเวทูว่าเป็นแกนกลาง ดูเหมือนผลข้างเคียงจะรุนแรงยิ่งกว่าสมบัติปิดผนึกระดับ 2 เสียอีก…
ไคลน์ไม่กล้าเดินเข้าไปส่งเดช ตัดสินใจถอยหลังกลับจนกระทั่งห่างจากจุดที่ได้ยินเสียงสวดวิงวอนของสาวก ความเจ็บปวดเริ่มบรรเทาลง อาการวิงเวียนที่สามารถทำให้ร่างวิญญาณแตกสลายเริ่มจางหาย
ชายหนุ่มยืนข้างก้อนเนื้อศพคาเวทูว่า จ้องมองคทาสั้นสีขาวนมสดเสียบคาในซากเสาหิน สมองกำลังครุ่นคิดถึงวิธีการนำมันออกมา
ขณะเดียวกัน ไคลน์ทำการตั้งชื่อสมบัติชิ้นดังกล่าวให้เสร็จสรรพ :
“คทาเทพสมุทร!”
อา…จากสัมผัสและปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อครู่ เรายังพอใช้มือจับโดยตรงไหว แต่แช่ค้างไว้ได้เพียงไม่กี่วินาที ลืมเรื่องการทดลองกวัดแกว่งไปได้เลย…แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงคว้าไว้ในมือสำเร็จ เราจะสิ้นสุดพิธีกรรมอัญเชิญและส่งตัวเองกลับสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกทันที…หากเป็นที่นั่น เสียงสวดวิงวอนนับพันจากสาวกจะถูกขัดขวาง รวมถึงผลข้างเคียงที่เรายังไม่ทราบ…จากนั้นค่อยนั่งศึกษาข้อมูลอย่างใจเย็น…
ไคลน์วางแผนเสร็จสรรพ
มันไม่จำเป็นต้องดีดเหรียญ ด้วยความพิเศษของร่างวิญญาณ ชายหนุ่มสามารถรับคำทำนายได้ในรูปแบบ ‘สัญชาตญาณ’
โดยผลลัพธ์ออกมาเป็น : ไม่อันตรายมาก
เมื่อตัดสินใจได้ ไคลน์เริ่มสำรวจบริเวณโดยรอบจนทั่ว ระหว่างนั้นก็มองหาจิตรกรรมฝาผนังของเอลฟ์ไปพลาง
ก่อนอื่น ไคลน์เดินไปที่มุมห้อง หยิบขวดพิษชีวภาพสีน้ำตาลขึ้นมาปิดฝา สอดเข้าไปในร่างกาย และเมื่อหันหลังกลับ ชายหนุ่มพบกล่องบุหรี่โลหะ กำลังนอนแน่นิ่งอยู่ใต้ก้อนเนื้อศพคาเวทูว่า ในลักษณะโผล่ออกมาเพียงครึ่งเดียว
นี่มัน… เรานึกว่ากล่องบุหรี่สลายไปแล้วหลังจากถูกคาเวทูว่ากลืนลงท้อง…
ไคลน์เผยสีหน้าประหลาดใจ พลางเร่งฝีเท้าเดินไปยังจุดดังกล่าว
แต่เนื่องจากร่างกายยังมีอาการชาด้วยผลของกระแสไฟฟ้านักบวชเฒ่า แขนขวาไคลน์จึงอยู่ในสภาพอ่อนแรง และเผลอทำกล่องหลุดมือไปครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังคว้าไว้ได้ทันก่อนจะร่วงหล่น
หลังจากชำเลืองมองหนึ่งครั้ง ไคลน์พบว่าผิวของกล่องบุหรี่โลหะมีร่องรอยการถูกกัดกร่อน แต่ยังพอใช้การได้ แต่งวัตถุชิ้นอื่น ๆ ที่ถูกคาเวทูว่าดูดเข้าปากไปพร้อมกันด้วยวังวนน้ำทะเล กลับไม่พบร่องรอยใดเลย
“หืม…ออร่าสายหมอกทำให้คาเวทูว่าระคายเคือง ก็เลยพ่นออกมา หรือเป็นเพราะคุณสมบัติของกล่องบุหรี่โลหะเปลี่ยนไป จึงถูกกัดกร่อนได้ช้ากว่าวัตถุชิ้นอื่น ทำให้ยังคงรูปร่างไว้ได้จนกระทั่งคาเวทูว่าร่วงหล่น?”
ขณะไคลน์ตั้งคำถาม กล่องบุหรี่โลหะถูกสอดเก็บเข้าไปในลำตัว ชายหนุ่มเตรียมลงมือสำรวจหาร่องรอยอื่นๆ อย่างตั้งใจ
ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ไลน์ต้องเร่งมือแข่งกับเวลา จะมัวชักช้าไม่ได้ เพราะมิอาจทราบได้ว่า คนของโบสถ์วายุสลาตันและกองทัพจะหาที่นี่พบเมื่อไร!
ชายหนุ่มเดินวนรอบเสาหินกึ่งกลางโดยรักษาระยะห่างพอสมควร อ้อมไปยังส่วนลึกสุดของห้องโถงใหญ่ที่พังพินาศจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม
บางที ที่นี่อาจเคยมีจิตรกรรมฝาผนังจำนวนมากมาก่อน แต่ด้วยการพังถล่มของกำแพง ทุกสิ่งจึงสูญหายไปถาวร…
ไคลน์เหาะไปจนสุดขอบห้องโถง และพบบัลลังก์อันงดงามถูกฝังใต้ซากเสาหิน เผยให้เห็นเพียงหนึ่งส่วนสาม
ฝั่งซ้ายของบัลลังก์มีจิตรกรรมฝาผนังที่ยังคงสภาพไว้ได้ราวครึ่งหนึ่ง เนื้อหาเกี่ยวกับการเผชิญหน้าระหว่างสองบุคคล
ผู้หนึ่งกำลังมองเหยียดยามศัตรูขณะตนยืนเหยียบคลื่นทะเล เหนือศีรษะมีเมฆดำ รอบกายมีพายุรายล้อม ใบหน้าอ่อนโยน เค้าโครงคล้ายชาวเอเชียจากโลกเก่าของไคลน์ ถือหอกที่ทำจากสายฟ้าบริสุทธิ์ พื้นหลังเป็นคลื่นทะเลที่พร้อมกลืนกินทุกสรรพสิ่ง
ด้านล่างเป็นบุรุษสวมชุดคลุมทรงโบราณสีขาวสว่าง ใบหน้าอึมครึม ไม่ทราบอายุ ยืนยันได้เพียงว่าเป็นเพศชาย
บริเวณศีรษะของชายสวมชุดคลุมขาวแผ่แสงทรงกลดสีทอง ส่องสว่างอย่างเงียบงัน ประหนึ่งดวงอาทิตย์ยามเช้าแสนอ่อนโยน
ใต้ฝ่าเท้ามีวงกลมมายาถูกแบ่งออกเป็นสิบสองส่วน แต่ละส่วนมีลักษณะของช่วงเวลา
ด้านหลังมีบางสิ่งที่คล้ายกับม่านเงาสีดำ คล้ายกับภายในม่านเงามีดวงตาขนาดใหญ่กำลังจ้องมองออกไปอย่างเงียบงัน
ไคลน์อาศัยความชำนาญและประสบการณ์ในด้านศาสตร์เร้นลับ มอบคำตอบให้ตัวเอง :
คลื่นทะเล พายุ เมฆดำ สายฟ้า…คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหนึ่งในแปดเทพบรรพกาล ‘ราชเอลฟ์’ ซอนญาธริม…หืม…ใบหน้าของราชาเอลฟ์ดูเป็นมิตรและสง่างามกว่าในตำนานจริงค่อนข้างมาก มิได้บิดเบี้ยวหรือมีกลิ่นอายของความชั่วร้าย…หึหึ…ที่นี่เป็นโบราณสภาพเอลฟ์ พวกมันย่อมเทิดทูนเทพของตนให้สง่างามอยู่แล้ว…
แสงทรงกลดคล้ายดวงอาทิตย์ วงแหวนสัญลักษณ์แทนกาลเวลา นี่มัน…บิดาแห่งอามุนด์และอาดัมไม่ใช่หรือ? ผู้ที่เคยถูกเรียกขานว่าเทพสุริยันบรรพกาล…พระผู้สร้างที่ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์เทิดทูนบูชา…ด้านหลังมีม่านเงาดำ ละดวงตาภายใน…หืม…ถ้าจำไม่ผิด ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ แห่งชุมนุมแสงเหนือเองก็ใช้สัญลักษณ์ม่านเงาและดวงตาในบางครั้ง
ไม่ผิดแน่ นี่คงเป็นศึกที่พระผู้สร้างไล่ทวงคืน ‘อำนาจ’ จากเหล่าเทพบรรพกาลตนอื่น… ชักอยากรู้แล้วว่า เหล่าแปดราชาเทวทูตได้ติดตามไปต่อสู้ด้วยหรือไม่…และผลการต่อสู้ระหว่างราชาเอลฟ์ ซอนญาธริม กับพระผู้สร้างจะออกมาเป็นเช่นไร…
ไคลน์ก้าวถอยหลัง พยายามมองหาสิ่งมีค่าชิ้นอื่นๆ รอบตัว
อาศัยการนำทางของสัมผัสวิญญาณ มันเดินกลับมาที่บัลลังก์ โน้มตัวลงไปยังโคนต้นเสาที่พังถล่ม และหยิบวัตถุขึ้นมาหนึ่งชิ้น
แก้วโลหะ ลักษณะคดงอ
ผิวแก้วสลักลวดลายซับซ้อนและประณีต ขาแก้วที่เคยเรียวยาวมีสภาพบิดงอเล็กน้อย ข้อความภาษาเอลฟ์เขียนไว้ว่า :
“ภัยธรรมชาติ โคฮีเน็ม”
หมายความว่า เจ้าของโบราณสถานแห่งนี้คือเอลฟ์ครึ่งเทพนามว่าโคฮีเน็ม? เขา…หรือที่เราควรเรียกว่าท่าน คือผู้ครองสมญานาม ‘ภัยธรรมชาติ’ …อา…สิ่งนี้สอดคล้องกับหนังสือแห่งภัยธรรมชาติที่เลติเซียหาพบ ถ้าทั้งสองสิ่งเป็นของเอลฟ์ครึ่งเทพจริง เรื่องราวทั้งหมดก็จะลงตัวอย่างน่าอัศจรรย์…แต่น่าเสียดาย แก้วทองคำใบนี้ไม่มีความพิเศษใดเลย แค่สลักชื่อของเอลฟ์ครึ่งเทพ จึงมีละอองวิญญาณเจือปนเล็กน้อย…แต่หากโคฮีเน็มยังไม่ร่วงหล่น แม้จะสลักเพียงชื่อ แก้วใบนี้จะต้องมีความพิเศษแน่นอน เฮ่อ…
ไคลน์สันนิษฐานเบื้องต้นว่าโคฮีเน็มน่าจะตายไปแล้ว เพราะเทพสมุทร·คาเวทูว่าคือผู้สืบทอดพลังและอำนาจคนถัดไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน เพราะหลังจากผ่านมาราวหนึ่งพันปี หนังสือแห่งภัยธรรมชาติกลับยังมีอำนาจสามารถกัดกร่อนเลติเซีย ผู้วิเศษลำดับค่อนข้างสูงจนเสื่อมทรามและประสบภาวะคลุ้มคลั่ง
“จุดจบของเลติเซียไม่น่าจะเป็นฝีมือของคาเวทูว่า… หืม… เอลฟ์ครึ่งเทพมีเทคนิคในการแบ่งตะกอนพลังออกเป็นสองส่วน? …คาเวทูว่าสืบทอดไปเพียงหนึ่งส่วน? และตะกอนพลังส่วนใหญ่ถูกฝังอยู่ในหนังสือแห่งภัยธรรมชาติ? หรือโคฮีเน็มยังร่วงหล่นไม่สมบูรณ์? อีกหนึ่งความเป็นไปได้ก็คือ ด้วยความที่คาเวทูว่าเคยเป็นเพียงสัตว์ทะเลสติปัญญาต่ำ มันจึงกินตะกอนพลังของโคฮีเน็มเข้าไปไม่หมด ส่วนที่เหลือได้ควบแน่นกลายเป็นสมบัติปิดผนึกสักชิ้น แต่ถูกโบสถ์วายุสลาตันช่วงชิงไปแล้วเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน หลังจากคาเวทูว่าพ่ายแพ้ให้กับพระคาร์ดินัลสองคน… อา… ในชุมนุมทาโรต์คราวหน้า เราจะให้เดอะเวิร์ลถามเดอะซันน้อย เด็กคนนั้นน่าจะทราบว่าโคฮีเน็มเป็นใคร หรือบางที อาจไม่จำเป็นต้องถาม เพราะเขายังติดค้างตำนานโบราณกับเราอีกสองหน้า เนื้อหาในแผ่นถัดไปอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับเอลฟ์…”
ไคลน์ครุ่นคิด ตามด้วยการยัดแก้วทองคำเข้าไปในตัว เหนือสิ่งอื่นใด วัตถุชิ้นนี้ทำจากโลหะทอง
ไม่เพียงเท่านั้น หากเอลฟ์ครึ่งเทพ โคฮีเน็ม ยังร่วงหล่นไม่สมบูรณ์ เราอาจเชื่อมต่อกับอีกฝ่ายผ่านแก้วไวน์ใบนี้ได้ แน่นอน ต้องกระทำบนมิติสายหมอกเพื่อปิดกั้นผลข้างเคียง…
เมื่อกวาดตามองรอบตัวและไม่พบสิ่งใดอีก ไคลน์บินกลับไปหยิบไม้ค้ำสีดำ และทำการลบร่องรอยการต่อสู้เมื่อครู่
จากนั้น มันล้วงหยิบกระดาษคนตัวแทน สะบัดข้อมือและโยนออกไป ปล่อยให้น้ำทะเลกัดกร่อนจนกลายเป็นเพียงเศษผง
เราสามารถ ‘ลบ’ เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้ก็จริง แต่เหตุการณ์หลังจากนี้ เราไม่มีเวลามากพอให้จัดการ…แต่ไม่น่ากังวลสักเท่าไร ปัจจุบันเราคือจักรพรรดิมืด…อา…สำหรับศพของคาเวทูว่า เศษเนื้อของมันไม่มีมูลค่าอันใด และกระดูกก็หนักเกินไป อาจส่งผลให้เราไม่สามารถถือ ‘คทาเทพสมุทร’ …
ไคลน์เริ่มเข้าฌาน เพ่งสมาธิแน่วแน่ ก่อนจะพุ่งตัวไปทางคทาสั้นสีขาวที่ฝังท่ามกลางซากเสาหินถล่ม
เหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นซ้ำสอง เสียงสวดวิงวอนของสาวกเสียดแทงโสตประสาท ภาพของผู้คนกำลังหมอบกราบ ร่ำไห้ คลั่งไคล้ และเหม่อลอย กำลังปรากฏในหัวสมองอย่างพร่ามัว ความเจ็บปวดและวิงเวียนเริ่มทวีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ
ไคลน์อาศัยประสบการณ์ รวมถึงความแกร่งของร่างวิญญาณที่ถูกเสริมด้วยไพ่จักรพรรดิมือและนกหวีดทองแดง กัดฟันเสียงดังกรอด พุ่งตัวเข้าไปจนกระทั่งคทาเทพสมุทรอยู่แค่เอื้อม
ชายหนุ่มเหยียดแขนขวายืดตรง จับคว้ากึ่งกลางด้ามคทาสีนมสดแน่นกระชับ
เพียงปลายนิ้วสัมผัส ภาพอันพร่ามัวทั้งหมดพลันคมชัดเสมือนจริง เสียงวิงวอนจากดังแว่วกลายเป็นกึกก้อง
ไคลน์เห็นไครัท สมาชิกกลุ่มต่อต้านหัวล้านที่เคยนั่งวีลแชร์ ล้มลงไปนอนกับพื้น พยายามตะเกียกตะกายตัวเองให้ไปถึงเทวรูปขนาดเล็กของคาเวทูว่าที่แตกหัก ปากขยับพึมพำนามเต็มอันสูงส่ง ดวงตาเผยความสิ้นหวัง
ไคลน์เห็นเอ็ดมันตัน เจ้าของรอยสักงูทะเลสีฟ้าน่าเกรงขาม กำลังหมอบกราบหน้าอีกหนึ่งเทวรูปขนาดย่อมคาเวทูว่าที่แตกหัก พลางนำศีรษะโขกพื้นหนแล้วหนเล่าจนกระทั่งชุ่มโชกไปด้วยเลือดสด
ไคลน์เห็นบรรยากาศภายในชุมชนแออัด สาวกจำนวนมากกำลังซ่อนตัวอยู่ในบ้านของตน พร้อมกับสวดวิงวอนทั้งน้ำตา
…
ชุดเกราะสีดำเต็มอัตราศึกมิอาจทนรับแรงปะทะทางใจอันหนักหน่วง จึงสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน ‘กล้ามเนื้อ’ มัดใหญ่บนท่อนแขนไคลน์กำลังสั่นกระตุก ฝ่ามือข้างขวาเริ่มชักเกร็ง
ท่ามกลางฉากนิมิตอันคมชัด ไคลน์กัดฟันดึงคทาสั้นสีขาว สิ่งแทนพลังเทพสมุทร ออกจากซากกองปรักหักพังในคราวเดียว
ซ่า!
น้ำทะเลทั่วโบราณสถานเริ่มหมุนวนอย่างเกรี้ยวกราด หรือหากจะอธิบายให้เห็นภาพ สามารถพูดได้ว่า พวกมันกำลังก่อตัวเป็นพายุเกลียวคลื่น
ไคลน์ในสภาพสวมมงกุฎสีดำ เพ่งสมาธิกำคทาเทพสมุทรอย่างใจเย็น จนกระทั่งร่างวิญญาณเลือนหายจากจุดเดิมโดยสมบูรณ์
แผ่นหลังกลับมาแนบอิงที่นั่งเดอะฟูลบนห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาอีกครั้ง
เมื่อทัศนวิสัยของวังโบราณสง่างามปรากฏในการมองเห็น เสียงสวดวิงวอนภายในโสตประสาท รวมถึงนิมิตของสมาชิกกลุ่มต่อต้านและชาวบ้าน เลือนหายไปราวกับเป็นเพียงเรื่องโกหก
ไคลน์ ผู้กำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูงประจำตัวเดอะฟูล เลื่อนฝ่ามือขวาขึ้น จ้องมองเข้าไปในคทาที่ส่วนหัวเลี่ยมด้วย ‘อัญมณี’ สีฟ้าจำนวนมาก บ้างสีฟ้าเข้ม บ้างสีฟ้าสว่าง
คทาเทพสมุทร
รอบสมบัติปิดผนึกชิ้นใหม่มีละอองแสงจำนวนมากกำลังห้อมล้อมระยิบระยับ คล้ายกับทุกจุดแสงแทนการสวดวิงวอนของสาวกหนึ่งคน บรรยากาศข้างต้นให้ด้ามคทาสว่างไสว แฝงกลิ่นอายความงดงามและศักดิ์สิทธิ์ไว้เต็มเปี่ยม
ในวินาทีนี้ ไคลน์สัมผัสได้ว่า คทาสั้นในมือของตน สามารถทำให้ใครก็ตามที่ใช้มัน กลายเป็นเทพสมุทรตัวจริง!
……………………
ราชันเร้นลับ 550 : ผลข้างเคียงของสมบัติปิดผนึก
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากปลุกปล้ำสักพัก ไคลน์เริ่มมองเห็นภาพรวมของพลัง ‘คทาเทพสมุทร’
สามารถสร้างสึนามิ สร้างพายุเฮอร์ริเคน สร้างฝนฟ้าคะนอง สร้างพายุฟ้าผ่า ทำให้คนบินไปบนฟ้า เดินใต้ทะเล ได้โดยแทบไม่มีขีดจำกัดเหนี่ยวรั้ง
ตัวคทาแทบไม่มีโอกาสถูกทำลาย สามารถใช้ทุบหัวศัตรูได้โดยตรง หากไม่มีการรบกวนจากตัวตนระดับสูงกว่า ผู้ถือคทาแทบไม่มีวันหลงทาง มอบสมดุลทางร่างกายอันเป็นเลิศ สามารถออกคำสั่งกับสัตว์ทะเล ตอบสนองคำสวดวิงวอนของสาวก และสามารถมอบพลังระดับเดียวกับสัตว์ทะเลให้เป้าหมาย หรือสรุปโดยสั้น เจ้าของคทาด้ามนี้สามารถปกครองส่วนหนึ่งของท้องทะเลได้ไม่ยากเย็น
สำหรับไคลน์ พลังมากมายข้างต้นนับว่าเข้าข่ายขอบเขตของครึ่งเทพ เพราะแม้แต่ในสมรภูมิบนบก มันก็มั่นใจว่าตนสามารถหยุดยั้งการรุกรานจากฝูงบินรบกองทัพข้าศึกได้!
ย้อนกลับมามองตัวเอง ผู้วิเศษลำดับ 6 ที่เปี่ยมด้วยพลังพิเศษชั้นยอดมากมาย บางที ในสายตาคนทั่วไป ไคลน์สามารถกลายเป็นบุคคลในตำนานได้ไม่ยาก แต่สำหรับโลกผู้วิเศษ ตัวมันช่างเปราะบาง ใกล้เคียงกับคำว่า ‘มนุษย์’ มากกว่า ‘เทพ’ หากไม่ระวังให้ดี ลำพังปืนลูกโม่ธรรมดากระบอกเดียวก็สามารถปลิดชีพตนได้ แน่นอน การคลานขึ้นจากหลุมศพนั้นค่อนข้างเป็นกรณีพิเศษ
อย่างไรก็ตาม หากใครได้ครอบครองคทาเทพสมุทร ระดับตัวตนของมันจะเข้าใกล้กับเทพมากกว่ามนุษย์ทันที เป็นพลังระดับเดียวกับในนิทานก่อนนอนปรัมปรา พบได้เฉพาะสิ่งมีชีวิตประเภทเทพและมาร
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม บุคคลตั้งแต่ลำดับ 4 ขึ้นไปถึงถูกเรียกว่าครึ่งเทพ เพราะระดับของตัวตนใกล้เคียงกับเทพมากกว่ามนุษย์…
ไคลน์ถอนหายใจเงียบ หัวเราะกับตัวเอง
หากเราสามารถใช้คทาเทพสมุทรได้อย่างอิสระ ตอนนี้ก็คงสมัครเป็นหนึ่งในอาวุโสใหญ่ของเหยี่ยวราตรีได้ทันที กลายเป็นสุดยอดสี่สิบสองบุคคลทรงอำนาจแห่งโบสถ์รัตติกาล…หรือถ้าอินซ์·แซงวิลล์ไม่มี 0-08 อยู่กับตัวและหลงเข้ามาในทะเล เราสามารถลงมือแก้แค้นได้ทันที แถมโอกาสสำเร็จก็ยังไม่น้อย…
แต่คำถามคือ มันใช้คทาเทพสมุทรได้อย่างอิสระหรือไม่?
“ไม่…”
ไคลน์เพิ่งพบว่า ผลข้างเคียงของคทาเทพสมุทรนั้นร้ายแรงจนน่าขนลุก ชนิดที่ว่าถ้าเป็นโบสถ์รัตติกาล สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้จะต้องถูกจัดอยู่ในความอันตรายระดับ 1 แน่นอน และไม่ทางเดาได้เลยว่า ทีมวิจัยจะต้องสังเวยชีวิตไปมากเท่าไร กว่าจะพบวิธีผนึกคทาด้ามนี้ให้ไม่มีพิษภัย
คทาเทพสมุทรมีผลเสียใหญ่ๆ อยู่สามข้อ
ข้อแรก คทาจะทำให้ผู้ใช้งานฉุนเฉียวง่าย โมโหง่าย และมักทำอะไรบุ่มบ่าม
ข้อสอง คทาจะค่อยๆ แช่แข็งความคิดของสิ่งมีชีวิตในรัศมีรอบตัวทั้งหมด พร้อมกับสูบเลือดและความชุ่มชื้นออกจากร่างกายจนเหือดแห้ง รวมถึงตัวผู้ใช้งานด้วย หากถามถึงรัศมีการแสดงผล ไคลน์ไม่ใช่นักวิจัยมืออาชีพ ยังมิอาจระบุขอบเขตเป็นตัวเลขได้แม่นยำนัก แต่ก็พอจะกะเกณฑ์ได้อย่างคร่าว รัศมีการแสดงผลนั้นกว้างราวหกร้อยเมตรถึงหนึ่งกิโลเมตร และรอบการสูบเลือดจะวนมาทุกๆ ยี่สิบถึงสามสิบห้านาที
ข้อสาม ได้ยินการสวดวิงวอนจากสาวกทุกคนภายในรัศมี แน่นอน ทั้งภาพและเสียง เป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้ผู้วิเศษลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพซึ่งมีจิตใจไม่เข้มแข็ง เกิดภาวะคลุ้มคลั่งในบันดลเพราะได้รับข้อมูลปริมาณมหาศาลเข้าไป
“ข้อแรกยังพบรับได้ หากเราใช้งานไม่นานนัก อาการฉุนเฉียวก็จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หลังจากนั้นค่อยนำไปผนึกให้แน่นหนา เพียงเท่านี้ก็ปราศจากผลข้างเคียงแล้ว ในส่วนของข้อสาม เราพอจะหาวิธีหลีกเลี่ยงได้ การสวดวิงวอนถึงเทพสมุทรจะมีระยะทางจำกัด หรือในอีกความหมายหนึ่ง ขอเพียงเดินทางออกจากหมู่เกาะรอสต์ ไปยังสักอาณาจักรบนบก เสียงสวดวิงวอนของสาวกก็จะส่งไปไม่ถึง เรียกว่าไม่มีผลข้างเคียงก็ยังได้ อา…การเก็บเอาไว้ในมิติเหนือสายหมอกก็คงได้ผลแบบเดียวกัน สามารถกีดขวางเสียงสวดวิงวอนได้ชะงักงัน โดยจะปรากฏในรูปแบบของละอองแสงรอบคทาแทน ไม่ส่งผลใดต่อเราทั้งนั้น จะตอบหรือไม่ตอบก็ได้ เลือกตอบใครก็ได้ และตอบอย่างไรก็ได้ โดยขณะตอบสนอง เรายังสามารถใช้พลังอื่นจากคทาเทพสมุทรได้ด้วย”
“แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือข้อสอง ตัวเราเองยังไม่เท่าไร เพราะในร่างจักรพรรดิมืดวิญญาณอาฆาต จะไม่มีเลือดให้สูบ แต่ปัญหาคือผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตรอบข้างทั้งหมด ไม่แบ่งแยกมิตรหรือศัตรู แถมยังกะเกณฑ์ระยะเวลาสูบเลือดได้ลำบาก…หรือถ้าไม่ต้องการสร้างอันตรายให้คนบริสุทธิ์ เราควรเจรจากับศัตรูเพื่อขอเปลี่ยนสถานที่ต่อสู้…ดีไหม?”
ไคลน์ครุ่นคิด ภาพการใช้คทาเทพสมุทรในรูปแบบต่างๆ ถูกจำลองในหัว แต่ไม่ว่าจะด้วยสภาพแวดล้อมแบบใด การนำคทาเทพสมุทรไปใช้งานจริงก็แทบไม่มีโอกาสเกิดขึ้น
“เฮ่อ…เห็นที ชะตากรรมของมันคงต้องอยู่บนมิติสายหมอกเพียงอย่างเดียว รอให้คนแบบอามุนด์แทรกซึมเข้ามา จากนั้นค่อยใช้คทาเขกกะโหลก…ไม่สิ ต้องสร้างสายฟ้าลงมาผ่ากบาล…แต่อย่างน้อยก็ยังพอมีวิธีใช้งานในรูปแบบอื่น ตัวอย่างเช่น เมื่อมิสเตอร์แฮงแมนหรือมิสจัสติสขอความช่วยเหลือ ตัวเลือกจะมิได้จำกัดเพียงเทวทูตกระดาษอีกต่อไป เรายังสามารถเสกฝน เสกพายุ… แน่นอน วิธีการทำนั้นไม่ซับซ้อน ลักษณะเดียวกับการใช้แสงชำระล้างจากเข็มกลัดสุริยัน ส่งพลังผ่านเทวทูตกระดาษไปอีกทอดหนึ่ง เมื่อลองนึกดูให้ดี ด้วยความช่วยเหลือจากคทาเทพสมุทร การรับบทบาทครึ่งเทพบนมิติสายหมอกก็ยิ่งสมจริงมากขึ้น…”
อารมณ์ของไคลน์เริ่มกลับมาสดชื่น เพราะอย่างน้อยก็พบว่า คทาเทพสมุทรมิได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว อาจช่วยให้งานของตนหลายด้านสะดวกสบายขึ้นในอนาคต
มันเพ่งสมาธิอีกครั้ง สายตาจ้องมองคทาด้ามสีขาวที่ส่วนหัวเลี่ยมด้วยอัญมณีสีฟ้าเม็ดเล็กจำนวนมาก พลางผุดคำถามใหม่ :
เราควรตอบสนองต่อคำสวดวิงวอนของสาวกเทพสมุทรหรือไม่…?
“คาเวทูว่าตายไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องให้คนเหล่านั้นยึดเหนี่ยวในเทพที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง…แต่ถึงนักบวชและหัวหน้ากลุ่มต่อต้านพบความผิดปรกติหรือไม่ได้รับการตอบสนองเป็นเวลานาน พวกเขาคงไม่ล้มเลิกความเชื่อของตนโดยง่าย มนุษย์มักหาทางปลอบใจตัวเองอยู่เสมอ สะกดจิตให้ตัวเองเชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ โดยเฉพาะช่วงเวลายากลำบากของชีวิต ตัวอย่างที่ชัดเจนไม่ต้องหาจากไหนไกล เมืองเงินพิสุทธิ์ แม้จะผ่านมาแล้วกว่าสองพันปี พวกเขากลับยังคงประกอบพิธีกรรมสังเวยให้พระผู้สร้างอย่างต่อเนื่อง โดยเลือกจะเชื่อว่า พระองค์เพียงทอดทิ้งพวกตนไป และอาจกลับมาเหลียวแลในสักวัน ด้วยหลักการเดียวกัน เมื่อสาวกคลั่งไคล้ของเทพสมุทรไม่ได้รับการตอบสนอง นอกจากพวกเขาจะไม่เชื่อว่าคาเวทูว่าเสียชีวิตไปแล้ว พิธีกรรมสังเวยคงยิ่งดุเดือดและเพิ่มจำนวนขึ้นจากเดิม โดยหวังจะได้รับความรักจากเทพอีกครั้ง…ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีหรือไม่กี่สิบปี ไม่มีทางเยียวยาให้ตาสว่าง…เมื่อกลุ่มต่อต้านไม่มีเทพพื้นเมืองอย่างคาเวทูว่าคอยหนุนหลัง เกรงว่ากองทัพฟุซัคหรืออินทิสจะเข้ามาล้างสมอง ถึงตอนนั้น กลุ่มต่อต้านอาจทำในสิ่งที่ขัดต่อหลักศีลธรรมยิ่งกว่าเดิมเพื่อให้เทพพึงพอใจ ตัวอย่างเช่น การบุกถล่มเขตชุมชน หรือการฝึกฝนเด็กหนุ่มตัวเล็กขึ้นมาเป็นโล่มนุษย์ เราควรชี้นำให้พวกเขาเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง ควรสอนสั่ง และสาธิตให้เห็นว่าความศรัทธาที่ถูกต้องเป็นเช่นไร ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ทำเกินตัว ช่วยได้เท่าที่ช่วย เราไม่มีหน้าที่ต้องรักษาชีวิตคนเหล่านี้”
ไคลน์เคาะโต๊ะทองแดงยาวลายโบราณ พลางเผยรอยยิ้มตรงมุมปาก
“แบบนี้ก็ดีเลยไม่ใช่หรือ…คาเวทูว่าถือเป็นเป้าหมายอันยอดเยี่ยมสำหรับเทคนิคสวมบทบาทผู้ไร้หน้า เราสามารถ ‘สวมรอย’ แทนคนเดิมได้อย่างแนบเนียน…แต่เราไม่รู้ว่าการสวมบทบาทบนมิติสายหมอกจะถูกขัดขวางหรือไม่ และได้รับการตอบสนองจากโอสถไหม ฮะฮะ… ของแบบนี้ ไม่ลองก็คงไม่รู้”
เมื่อตัดสินใจได้ ไคลน์รู้สึกผ่อนคลาย
หลังจากวางแผนเสร็จ มันทำการแสดงภาพที่ต้องการให้อีกฝ่ายเห็น จากนั้นก็ถือคทาเทพสมุทร แผ่พลังวิญญาณเข้าไป สัมผัสกับหนึ่งในละอองแสงที่รายล้อม
…
ในป่าลึกแห่งหนึ่งบนเกาะภูเขาคราม
ณ ถ้ำลึกลับ
สมาชิกกลุ่มต่อต้าน หัวล้าน·ไครัท กำลังนอนหมอบไปบนพื้นใกล้กับวีลแชร์ ดวงตาสับสนและสิ้นหวัง พยายามตะเกียกตะกายไปหาเทวรูปคาเวทูว่าที่แตกหักด้วยตัวเอง
มันสัมผัสถึงบางสิ่ง แต่เลือกที่จะไม่เชื่อ เพราะนั่นหมายความว่า ความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมา การเสียสละ การสังเวย ความเจ็บปวด จะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าทันที
ไม่…มันคำรามเงียบงัน ปากขยับพึมพำพระนามเต็มอันสูงส่งของเทพสมุทรโดยมิได้หยุดหย่อน หวังได้รับคำตอบสนองจากเทพ
ไครัทพยายามตะกายด้วยศอก เคลื่อนตัวไปทางเทวรูปได้ทีละหนึ่งคืบ จนกระทั่งสามารถใช้มือคว้าศีรษะของงูทะเลที่สลักจากหิน และพบว่าบริเวณดวงตาทั้งสองข้าง แตกยุบเข้าไปจนเกิดโพรงลึกสีดำสนิท เขี้ยวทุกซี่ร่วงหล่นหมดปาก
หัวใจไครัทแทบหยุดเต้น อนาคตของมันช่างริบหรี่เหลือเกิน
แต่ทันใดนั้น ทัศนียภาพรอบตัวไครัทพลันแปรเปลี่ยน มันเห็นร่างพร่ามัวของใครบางคน ด้านหลังเป็นกำแพงคลื่นสึนามิสูงเสียดท้องฟ้า พร้อมกับพายุอัสนีคำรามแผ่กิ่งก้านสีเงินคล้ายกับต้นไม้
ท่ามกลางความตกตะลึง ไครัทรีบก้มศีรษะลงตามสัญชาตญาณ ความยินดีปรีดาและไม่เชื่อสายตากำลังเบ่งบานในใจ
ณ เบื้องล่าง มันเห็นคลื่นทะเลใต้ฝ่าเท้าของบุคคลปริศนา รายล้อมด้วยลมพายุกระโชกหมุนวนเป็นเกลียว องค์ประกอบทั้งหมดส่งเสริมให้อีกฝ่ายแผ่กลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์ สูงส่ง และมากด้วยบารมี
ถัดมาไม่นาน ไครัทได้ยินเสียงอันเย็นชาแต่เปี่ยมด้วยพลานุภาพ
“เรากลับมาแล้ว”
ไครัทพรั่งพรูน้ำตาออกมาเป็นสายน้ำ
…
ณ โบราณสถานก้นทะเลที่ผสานเข้ากับโลกวิญญาณเพียงครึ่งหนึ่ง ผ่านไปสิบนาทีเต็มหลังไคลน์จากไป
ทันใดนั้น ม่านล่องหนด้านบนพลันถูกทำลายจากภายนอก น้ำทะเลที่เคยเติมเต็มห้วงมิติเริ่มไหลย้อนกลับและรั่วออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงยี่สิบสามสิบวินาทีถัดมา โบราณสถานเอลฟ์ได้แห้งเหือดราวกับเป็นเพียงดินแดนรกร้าง
พายุเฮอริเคนเกรี้ยวกราดกำลังร่อนลง มาพร้อมมวลอากาศสำหรับให้มนุษย์หายใจ
เงาของบุคคลจำนวนหนึ่งกระโดดลงจากพายุเฮอริเคน นำโดยชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อบึกบึนกำยำ ดูผิวเผินจะเหมือนชายอายุกว่าสี่สิบ ใบหน้าชัดลึก มอบบรรยากาศแข็งกร้าว ชุดคลุมนักบวชที่ควรจะหลวมกลับตึงแน่นจากกล้ามเนื้อขนาดมหึมาทุกส่วนของร่างกาย
หนึ่งในพระคาร์ดินัลของโบสถ์วายุสลาตัน อาร์ชบิชอปแห่งหมู่เกาะรอสต์ อาวุโสใหญ่แห่งทูตพิพากษา เจ้าสมุทร แยนน์·ค็อตแมน
ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม เส้นผมสีเดียวกันแต่มีขนาดใหญ่กว่าคนทั่วไป ราวกับเป็นตัวหนอนขนาดเล็ก หรือไม่ก็หนวดสัตว์ทะเล
ด้านหลังแยนน์·ค็อตแมนคือกลุ่มหัวกะทิจากทูตพิพากษาและสมาชิกกองทัพ ทุกคนกวาดสายตาไปรอบตัวอย่างระแวดระวัง ไม่กล้าประมาทระบบความปลอดภัยของสิ่งมีชีวิตประเภทครึ่งเทพ
ทันใดนั้น พวกมันได้ยินเสียง ‘ฟ้าว’ หนึ่งระลอก ก่อนจะถูกลมพายุพัดพาร่างกายและร่อนลงจอดบริเวณหน้าทางเข้าห้องโถงหลัก
ทุกคนเห็นเศษก้อนเนื้อ ศพของงูทะเลที่เหลือเพียงกระดูกสีขาว วางพาดยาวใจกลางห้องพร้อมด้วยชิ้นเนื้ออีกไม่มาก
“ฝีมือใคร!”
แยนน์·ค็อตแมนคำรามต่ำ พยายามระงับโทสะมิให้ปะทุออก
เมื่อสิ้นเสียงตะโกน ม่านน้ำตกพลันสาดเทลงมาจากความว่างเปล่าเบื้องบน
เสียงคลื่นทะเลดังสะท้อนจนกังวานไปทั่วห้องโถงซึ่งพังไปเกินกว่าครึ่ง ก่อนที่กระแสน้ำตกแนวตั้งจะเริ่มไหลเงียบเชียบด้วยผิวเรียบเนียนประหนึ่งทะเลสาบยามสงบ
ผิวน้ำตกฉายภาพเหตุการณ์ก่อนหน้า :
ใครบางคนที่แทบจะมองไม่ออก ทำการดึงคทาสีขาวซึ่งส่วนหัวเลี่ยมอัญมณีสีฟ้าจำนวนมาก ออกจากซากเสาหินถล่ม เป็นเหตุให้น้ำทะเลโดยรอบหมุนวนจนโบราณสถานสั่นสะเทือนหนักหน่วง
แยนน์·ค็อตแมนสูดลมหายใจยาว หันไปออกคำสั่งกับทุกคน
“หามันให้พบ”
…
ในคราวนี้ ไคลน์เลือกสาวกคนสำคัญเพิ่มอีกราวสิบราย จากนั้นก็ตอบสนองกลับไปแบบตัวต่อตัว จุดประสงค์เพื่อให้ช่วยกันเผยแพร่บัญญัติศาสนาข้อใหม่
“ข้ากลับมาเพื่อยกโทษให้กับบาปในอดีตของทุกคน ขณะเดียวกันก็เพื่อช่วยมอบแสงสว่างและความจริงแก่พวกเจ้า บัญญัติประการแรก : ห้ามสังเวยสิ่งมีชีวิตอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะมนุษย์”
……………………
ราชันเร้นลับ 551 : บัญญัติสิบประการ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“บัญญัติประการที่สอง : ห้ามนำชื่อของเราไปแอบอ้าง”
“บัญญัติประการที่สาม : ห้ามศรัทธาในเทพองค์อื่น”
“บัญญัติประการที่สี่ : จงมอบความรักแก่บุพการี คู่สมรส บุตรธิดา เฉกเช่นที่รักเรา”
“บัญญัติประการที่ห้า : ห้ามประพฤติผิดในกาม”
“บัญญัติประการที่หก : ห้ามเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์”
“บัญญัติประการที่เจ็ด : ห้ามเพิกเฉยต่อการกระทำความผิด การใส่ร้าย การผิดสัญญา”
“บัญญัติประการที่แปด : จงรับใช้เราด้วยหัวใจ มิใช่การสังเวย”
“บัญญัติประการที่เก้า : หากกระทำความผิดเล็กน้อย จงชดใช้บาปให้เรียบร้อยเสียก่อน จึงค่อยมาขอขมาต่อเรา”
“บัญญัติประการที่สิบ : จงช่วยเหลือพวกพ้อง เพื่อนร่วมชาติ และพี่น้องร่วมสายเลือด ไปพร้อมกับสรรเสริญนามของเราให้กึกก้อง”
บัญญัติศาสนาชุดใหม่กำลังดังกังวานในห้วงความคิดของ ‘หัวล้าน’ ไครัท หนึ่งในสมาชิกกลุ่มต่อต้าน สิ่งนี้ยิ่งทำให้มันหมอบกราบแนบไปกับพื้น ร่างกายสั่นเทาอย่างมิอาจยับยั้ง เป็นความรู้สึกซาบซ่านจนมิอาจสรรหาคำใดมาอธิบาย
ในฐานะผู้วิเศษลำดับกลางและสมาชิกกลุ่มกบฏผู้เคยได้รับการศึกษาจากฟุซัค ไครัทย่อมมีโลกทัศน์กว้างพอสมควร จึงตระหนักว่าศาสนา ‘เทพสมุทร’ ถือกำเนิดด้วยความหวาดกลัวเป็นที่ตั้ง หวาดกลัวในพลังอันยิ่งใหญ่ของเทพ หวาดกลัวในภัยธรรมชาติที่มนุษย์มิอาจต่อต้านขัดขืน หวาดกลัวต่อพิธีกรรมดิบเถื่อนและโชกเลือด เป็นการถอยหลังทางวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ในอีกไม่ช้าก็เร็ว ศาสนาเทพสมุทรอาจต้องถูกแรงกดดันจากภายนอกทำลาย
ไครัทเชื่อเช่นนั้นมาตลอด แต่ด้วยความที่ถูกบังคับให้ศรัทธาตั้งแต่ยังเล็ก มันมิกล้าขัดขืนต่อวิวรณ์ที่ตนได้รับจากเทพสมุทรโดยตรง จึงต้องฝังกลบความปรารถนาจากใจจริงของตน ความคิดที่จะยกเลิกพิธีกรรมสังเวยชีวิต โดยปรับปรุงใหม่ให้ดีขึ้นตามสมัยนิยมของโลก
แต่ในตอนนี้ การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของเทพสมุทรกำลังทำให้มันเกิดความยินดีปรีดาจากก้นบึ้งหัวใจ เหตุเพราะ ‘เทพป่าเถื่อน’ ตามคำเรียกขานของคนภายนอก ได้วิวัฒนาการกลายเป็นเทพจิตใจงดงามเต็มตัว
พวกเราทุกคนถูกอวยพร…กลุ่มต่อต้านทุกคนถูกอวยพร สาวกทุกคนถูกอวยพร…
ไครัทยกศีรษะเล็กน้อย แขนทั้งสองข้างนำมาประนมใต้ริมฝีปาก
“กระผมจักปฏิบัติตามคำสอนของท่านอย่างเคร่งครัด! และกล่าวสรรเสริญพระนามของท่านไปตราบจนชีวิตหาไม่!”
ภาพของบุคคลอันเลือนรางเริ่มจางหายไปจากการมองเห็นไครัท ไม่หลงเหลือแม้แต่สุ้มเสียงลุ่มลึกกังวาน ฉากภายในถ้ำกลับคืนสู่ความปรกติ
แต่ไครัททราบดี ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ทุกสิ่งจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
มันรีบคลานด้วยศอก ตรงไปยังวีลแชร์อย่างคล่องแคล่วและมีกำลังวังชา ปืนขึ้นนั่ง และหมุนหันทิศทางไปยังอีกฝั่งของถ้ำ
เพียงไม่นาน ไครัทได้พบเอ็ดมันตัน และเห็นว่าชายผู้สักงูทะเลยักษ์ไว้บนท่อนแขน กำลังยืนจ้องมองเทวรูปที่ชุ่มไปด้วยเลือด โดยกึ่งกลางหน้าผากเอ็ดมันตันก็กำลังชุ่มเลือดเช่นกัน แต่บาดแผลค่อนข้างลึกและน่าหวาดเสียว
อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเอ็ดมันตันกลับเผยความอิ่มเอม เบิกบาน และพึงพอใจอย่างสุดขีด มันหันกลับมาจ้องไครัทและถาม
“ได้รับพระวิวรณ์เหมือนกันใช่ไหม…”
“อา…แฝงด้วยกลิ่นอายของพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม เป็นท่านไม่ผิดแน่” ไครัทพยักหน้ารับอย่างตื่นเต้น “ไม่เพียงพระองค์จะกลับมายังโลกของเราอย่างปลอดภัย แต่ยังบัญญัติหลักการใหม่ขึ้นมาด้วย”
เอ็ดมันตันยิ้มอย่างยินดี
“ฉันคิดว่าตัวเองเห็นภาพหลอนเสียอีก…ดูเหมือนว่า เพียงให้คนนอกสัมผัสดาบกระดูก พระองค์ก็สามารถกลับมายังโลกมนุษย์ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องยกมันขึ้น”
ไครัทพยักหน้า
“คงเป็นเช่นนั้น…เทวรูปที่แตกหักของพระองค์คงกำลังสื่อว่า ท่านได้วิวัฒนาการและมีการเปลี่ยนแปลงรูปโฉม…ทางเราเองก็ต้องสร้างเทวรูปขึ้นใหม่เช่นกัน! ให้เหมือนกับที่เห็นในพระวิวรณ์!”
“ไม่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังสำแดงตราสัญลักษณ์ใหม่ให้ข้าประจักษ์ เป็นรูปคทาสายฟ้าลอยอยู่เหนือสัญลักษณ์คลื่น ฉากหลังรายล้อมด้วยพายุ” เอ็มมันตันเล่าพลางทำหน้านึก
ไครัทตบที่เท้าแขนวีลแชร์หนึ่งฉาด :
“รีบตามหาท่านนักบวชเร็ว! ท่านต้องได้รับพระวิวรณ์แบบเดียวกับเราแน่ ถึงเวลาเริ่มต้นยุคสมัยใหม่แล้ว!”
…
ณ ห้วงมิติเหนือสายหมอก ไคลน์วางคทาเทพสมุทรลง บีบนวดหน้าผากด้วยสีหน้าอิดโรย
ชายหนุ่มเพิ่งตระหนักถึงจุดอ่อนของคทาเทพสมุทร จริงอยู่ คทาด้ามนี้อาจสามารถตอบสนองต่อพิธีกรรมเวทมนตร์ และยังสำแดงฤทธิ์เดชให้อีกฝ่ายได้บางส่วน ช่วยเติมเต็มความปรารถนาของผู้ประกอบพิธีกรรม แต่พลังที่สำแดงได้จะต้องอยู่ในขอบเขตอำนาจเท่านั้น ไม่สามารถข้ามขีดจำกัดได้ จึงมิอาจช่วยเหลือสาวกได้ทุกเรื่อง
ยกตัวอย่างเช่น เทพธิดารัตติกาลสามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ในขอบเขตของ ‘โชค’ ให้แก่เป้าหมาย ช่วยให้ผู้ประกอบพิธีกรรมได้รับเงินก้อนหนึ่งโดยบังเอิญสำหรับนำไปชดใช้หนี้สิน แต่หากสาวกเทพสมุทรคนใดขอร้องในสิ่งเดียวกัน อย่างมาก ไคลน์ก็ทำได้เพียงเปลี่ยนสิ่งของบนแท่นบูชาให้มีรูปลักษณ์คล้ายธนบัตร แต่ไม่นานก็จะกลับคืนสภาพเดิมและมิอาจนำมาใช้การได้
“นั่นคือข้อแตกต่างระหว่างเทพกำมะลอกับเทพตัวจริง…ที่แย่ไปกว่านั้น หากใช้งานคทาด้ามนี้ด้านนอกห้วงมิติเหนือสายหมอก ทุกครั้งที่มีการประกอบพิธีกรรมจากสาวก พลังของคทาจะบังคับให้ผู้ถือเข้าสู่ขั้นตอนตอบสนองพิธีกรรมโดยอัตโนมัติ และเมื่อจบหนึ่งพิธีกรรม พลังวิญญาณก็แทบไม่หลงเหลือ…คงเป็นเหตุผลว่าทำไม เหล่าเทพจารีตถึงเลือกตอบสนองเฉพาะพิธีกรรมเวทมนตร์ที่สำคัญเท่านั้น แต่ถ้าใช่งานบนห้วงมิติเหนือสายหมอก คำสวดวิงวอนทั้งหมดจะถูกปิดกั้นและบีบอัดในรูปของละอองแสง ไม่จำเป็นต้องตอบสนองทุกพิธีกรรมโดยอัตโนมัติ…แต่ปัญหาคือ เราต้องคอยนั่งตอบสนองทุกพิธีกรรมทีละคน…เราก็ไม่สามารถแช่อยู่บนสายหมอกได้ตลอดทั้งวันสักหน่อย แต่นั่นก็ถือเป็นข้อดี โดยไม่ว่าพิธีกรรมจะถูกประกอบอย่างหยาบสักเพียงใด แต่เป้าหมายของพิธีกรรมจะมุ่งหน้ามายังคทาด้ามนี้เท่านั้น ไม่ใช่ตัวเรา หากไม่มีอารมณ์ตอบกลับ ก็ไม่มีใครมาบังคับได้ หืม…ถ้ามีเวลาว่าง เราควรคิดค้นระบบตอบรับอัตโนมัติให้กับคทาเทพสมุทร…ใช้เทวทูตกระดาษได้ไหม? คงไม่ ของแบบนั้นไม่มีวิญญาณ…หรือสร้างหุ่นเชิดแบบกลไกเพื่อคอยตอบสนองคำสวดวิงวอนจิปาถะ? อา…เรายังไม่แน่ใจว่า ‘นักเชิดหุ่น’ มีความสามารถแบบนั้นหรือไม่ เพราะโรซาโก้แสดงให้เห็นแค่การเปลี่ยนมนุษย์เป็นหุ่นเชิด”
สมองไคลน์เริ่มดำดิ่ง ดวงตาเพ่งมองกล่องบุหรี่โลหะ
หลังจากทดสอบดูสักพัก มันพบว่ากล่องบุหรี่โลหะที่ผิวด้านนอกถูกกัดกร่อนด้วยน้ำย่อยคาเวทูว่าอย่างรุนแรง มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงกายภาพอย่างเห็นได้ชัด เนื้อโลหะแข็งขึ้นมาก เหนียวขึ้น จนสามารถต้านทานการกัดกร่อนจากน้ำย่อยได้ แต่ยังคงอยู่ในขอบเขตจินตนาการของมนุษย์
ยังไม่มีพลังพิเศษแฝง…แต่ถ้าเก็บไว้ในนี้อีกสักสองสามปี หลายสิบปี หรือนานกว่านั้น บางที มันอาจแปรสภาพกลายเป็นสมบัติวิเศษ…หรืออาจถึงขั้นกลายเป็น ‘กล่องผนึก’ ที่พลังวิญญาณจะเสื่อมลงทีละนิดหากนำออกไปด้านนอกมิติ…
มุมปากไคลน์กระตุกแผ่วเบา สายตามองไปยัง ‘กองขยะ’ ด้านข้าง
สมบัติทุกชิ้นของชายหนุ่ม ถูกสายหมอกปกคลุมอย่างมิดชิดจนแทบจะกลมกลืนไปกับสถานที่แห่งนี้
หึหึ…
ไคลน์หัวเราะในลำคอ เบือนหน้ากลับ
ชายหนุ่มลงมือสำรวจแก้วทองคำของเอลฟ์ครึ่งเทพอีกครั้ง เพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าตนมิได้มองข้ามสิ่งใดไป
หลังจากจัดการทั้งหมดเสร็จสรรพ มันส่งจิตกลับสู่โลกความจริง ประกอบพิธีกรรมอัญเชิญอีกครั้ง เพื่อนำเข็มกลัดสุริยันและสมบัติวิเศษชิ้นอื่นกลับไปยังโรงแรม
ในตอนนี้ ท้องฟ้าและจันทราสีแดงฉานเบื้องบน กำลังมอบบรรยากาศเงียบสงบชวนฝันหวานให้กับบายัม เมืองแห่งการให้
…
เก้าโมงเช้า วิหารคลื่นสมุทร
อัลเจอร์ถูกเรียกพบเป็นการด่วน มันใช้การสารภาพบาปบังหน้า เพื่อเข้าไปนั่งสนทนากับบิชอปโชโกรี
“ตามหาชายคนนี้” โชโกรีส่งภาพเหมือนของบุคคลผู้หนึ่งให้
งานใหม่อีกแล้ว… เกิดอะไรขึ้นกันแน่…
อัลเจอร์พึมพำในใจพลางคลี่กระดาษ
เมื่อได้เห็นเนื้อหา มันเกือบควบคุมตัวเองไม่อยู่และหลุดขำเสียงดัง
ในทางทฤษฎี ไม่มีใครในโลกสามารถตามหาบุคคลในภาพได้ เนื่องจากรูปของเป้าหมายคลุมเครือเป็นอย่างมาก ไม่ทราบแม้กระทั่งเพศหญิงหรือชาย หน้าตาเป็นเช่นไร ภายในหัวอัลเจอร์อุทานทันทีว่า ‘จะหาพบได้ยังไง?’
กัปตันหนุ่มไม่ปกปิดสีหน้าประหลาดใจ พลางซักถามออกไปตามความรู้สึก
“ใครกันครับ”
หากพึ่งพาได้เพียงภาพแสนคลุมเครือ มันคงไม่มีจุดเด่นใดสำหรับใช้ตามมา จึงต้องการข้อมูลเพิ่ม
เมื่อวานไม่มีงานนี้…แต่พอถึงช่วงเช้าของวันถัดมา เรากลับถูกเรียกตัวพบด่วน และมอบหมายงานตามหาคนให้ทันที…เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่? อา…ป่านนี้คาเวทูว่าจะร่วงหล่นไปแล้ว โบสถ์และกองทัพคงกำลังตามหามรดกของมัน…จากเบาะแสเบื้องต้น รังของคาเวทูว่าน่าจะอยู่แถวเกาะไซมีมสินะ…หรือบุคคลในภาพไปถึงที่เกิดเหตุก่อน และขโมยสิ่งสำคัญตัดหน้าท่านเจ้าคุณไป?
เป็นฝีมือของใครกัน?
หัวใจอัลเจอร์เริ่มเต้นระรัว จนแทบไม่กล้าหันไปสบตาอีกฝ่าย
โชโกรีพยักหน้ารับ
“ก็แค่หนูสกปรกตัวหนึ่ง แถมยังเป็นหัวขโมยต่ำช้า! น่าจะมาจากฟุซัคหรือไม่ก็อินทิส อาจเป็นสมาชิกโบสถ์สุริยันหรือเทพสงคราม”
อินทิสหรือฟุซัค? สุริยันหรือเทพสงคราม? ทำไมกรอบการสันนิษฐานถึงกว้างเช่นนี้…
หรือจะเป็นเพราะผลการทำนายของท่านเจ้าคุณถูกขัดขวาง จึงแทบไม่พบเบาะแสใดของคนร้ายเลย? แต่จากสามัญสำนึก การสันนิษฐานว่ามาจากฟุซัคหรือไม่ก็อินทิสนั้นไม่ใช่เรื่องผิด ในฐานะที่พวกมันคอยสนับสนุนกลุ่มต่อต้านมานาน ย่อมมีโอกาสทราบแหล่งกบดานของคาเวทูว่า…หึหึ มีความเป็นไปได้มากทีเดียว พวกมันอาจรู้เรื่องนี้มานานแล้ว…นับว่าสอดคล้องกับสมมติฐานก่อนหน้าของเรา…
แต่เรื่องราวราวอาจไม่เป็นไปตามนี้ก็ได้…
อัลเจอร์เริ่มใจเย็นลง หันไปซักถาม
“มันก่อเรื่องอะไรไว้?”
“คุณยังไม่จำเป็นต้องทราบ แค่คอยตรวจตราความผิดปรกติของพวกอินทิสและฟุซัคในบายัมไว้ก็พอ อา…รวมถึงชนพื้นเมืองที่เป็นผู้วิเศษด้วย…แล้วก็ พยายามสืบหาเบาะแสของผู้ที่นำใบประกาศมาติดหน้าประตูวิหาร พวกมันน่าจะมีข้อมูลในมือ…ไว้คดีมีความคืบหน้าเมื่อไร ผมจะเล่าให้คุณฟังเพิ่มเติม”
โชโกรีกล่าวเสียงทุ้ม
ยิ่งไม่ยอมเล่า ก็ยิ่งตรงกับที่เราคิด…
อย่าบอกนะว่า บุคคลในภาพมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มปิดป้ายประกาศที่ระบุว่า เทพสมุทร·คาเวทูว่ากำลังขาดเสถียรภาพ…ชักอยากรู้แล้วว่า ตะกอนพลังของคาเวทูว่าจะตกอยู่ในมือใคร…
จริงสิ เดอะเวิร์ลยังอยู่ในบายัม…เขาเพิ่งมาเยือนไม่นาน แต่กลับเกิดเรื่องใหญ่ทันที หรือนี่จะเป็นพระประสงค์ของมิสเตอร์ฟูล?
เหตุการณ์ครั้งนี้ช่วยคลายผนึกของท่าน และกำลังฟื้นฟูพลังกลับมาทีละนิด?
เมื่อจินตนาการว่าข้อสันนิษฐานของตนเป็นความจริง รูม่านตาอัลเจอร์พลันสั่นเทา
…
หลังจากลืมตาตื่น ไคลน์ ผู้กอบโกยผลประโยชน์มากมายจากเหตุการณ์เมื่อคืน เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาและอารมณ์สดใส
มันเตรียมให้รางวัลตัวเองเป็นอาหารเช้า อาหารเที่ยง และอาหารเย็นชุดใหญ่สุดหรูหรา
ชายหนุ่มเปิดประตูออกไปยังห้องนั่งเล่น และเห็นว่าเดนิสลุกจากเตียงแล้ว โดยกำลังวุ่นวายอยู่กับการถอดผ้าพันแผลและเฝือก
หายเร็วจังแฮะ…ไคลน์ชะงักเล็กน้อย
เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์เดินออกจากห้องนอน เดนิสหันมายิ้มให้
“ฉันมีพลังในการฟื้นตัวเป็นเลิศ ลำดับ 9 ชื่อว่านักล่า สมรรถภาพร่างกายโดยรวมจะถูกยกระดับอย่างมาก เหนือกว่ามนุษย์ปรกติหลายเท่าตัว ยิ่งเป็นด้านศิลปะการต่อสู้ยิ่งเชี่ยวชาญ และปัจจุบัน ฉันอยู่ในลำดับ 7”
ลำดับ 9 นักล่า? เชือดทิ้งไปแล้วคนนึง และยังรู้ด้วยว่าลำดับ 6 ชื่อนักวางแผน…
ไคลน์หวนนึกถึงศัตรูคนแรกที่ตนพบในกรุงเบ็คลันด์ เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ผลักให้ชายหนุ่มตกลงไปในวังวนความวุ่นวาย จนเกือบเอาชีวิตตัวเองไม่รอด
“ลำดับ 8…นักยั่วยุ?”
ไคลน์ซักถามด้วยเสียงเหยียดหยัน
มันเคยเดาเส้นทางของเดนิสไว้นานแล้ว จากพลังในการสร้างลูกไฟ โอกาสเป็นไปได้มากที่สุดคือเส้นทาง ‘นักบวชสีชาด’ หรือที่โรซายล์เรียกติดตลกว่า ‘เส้นทางแห่งลูกผู้ชาย’ ลำดับ 7 คือ ‘นักวางเพลิง’ โดยชื่อโบราณคือ ‘จอมอาคมอัคคี’
เดนิสชะงักเล็กน้อย เมื่อตระหนักว่าอีกฝ่ายกำลังสบประมาทตน มันขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว
“นายคิดว่าฉันยั่วยุไม่เก่งหรือ? ผิดแล้ว! ฉันชำนาญในเรื่องนี้มาก!”
……………………
ราชันเร้นลับ 552 : คิดการใหญ่
โดย
Ink Stone_Fantasy
เดนิสโยนผ้าพันแผลและเฝือกทิ้งถังขยะ ก่อนจะเลื่อนมือลงไปจัดระเบียบท่อนแขนซ้าย
“โดยทั่วไปแล้ว ถ้อยคำยั่วยุของโจรสลัดมักเป็นการด่าทอเป้าหมาย แต่ของฉันแตกต่างออกไป จะเป็นการพูดเพื่อให้ตัวเองถูกด่าเสียมากกว่า สิ่งนี้ถือเป็นศาสตร์ชั้นสูง ต้องพึ่งพาสติปัญญาและข้อมูลในมือจำนวนมาก ต้องรู้จุดอ่อนของเป้าหมายเป็นอย่างดี หากบรรลุถึงขั้นสูงสุด เพียงหนึ่งคำพูดและหนึ่งภาษากาย ก็มากพอจะทำให้อีกฝ่ายสิ้นสติ พร้อมกับเดือดดาลไปด้วยโทสะ”
มันเว้นวรรค
“ตัวอย่างเช่น ‘เหล็กกล้า’ ถึงนายจะเรียกหมอนั่นว่าไอ้แม่เย็*! หรือด่าทอบุพการี แม็ควิตี้ก็จะไม่แยแส แต่ว่า แค่นายทำแบบนี้พร้อมกับกล่าวหนึ่งคำ เจ้านั่นจะเปลี่ยนเป็นกระทิงคลั่ง ตาแดงก่ำ วิ่งไล่ขวิดอย่างโง่เขลาทันที”
เมื่อพูดจบ เดนิสเลื่อนมือลง ทำท่าเต้น ‘ลูบเป้า’ พลางกระตุกสะโพก และกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามเสียเต็มประดา :
“ไอ้ตูดบาน!”
แม้แต่เราก็ยังอยากซัดหน้าสักหมัด…สมแล้วที่เป็นนักยั่วยุ…อา…นับว่าสมเหตุสมผล เพราะดูเหมือนเหล็กกล้า·แม็ควิตี้จะมีงานอดิเรกและรสนิยมทำนองนั้น…
ไคลน์คลายหมัดที่กำแน่น
“นี่คือนักยั่วยุมืออาชีพ” เดนิสเสริม “หากฉันพบสัตว์ป่า มอนสเตอร์ หรือพวกเสียสติที่สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ก็ยังทำให้อีกฝ่ายเกลียดชังได้ด้วยภาษากาย นี่คือผลของพลังพิเศษ”
ใครก็ตามที่มีพลังแบบนี้ หากไม่ถูกกระทืบจนตาย ก็ต้องมีวิธีพิเศษในการเอาตัวรอดจากทุกสถานการณ์ และหมอนี่คืออย่างหลัง…
ไคลน์วิเคราะห์
เดนิสเลิกเป็นกังวลกับแขนซ้าย หันมาพูดกับไคลน์อย่างอารมณ์ดี
“ด้วยความสัตย์จริง ฉันวางกับดักเก่งมาก! แต่น่าเสียดายที่นายไม่เห็นด้วยกับแผนการล่าเหล็กกล้าของฉัน”
ไคลน์พยายามระงับมุมปาก พลางตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ก็ยังมีโอกาสนี่”
“โอกาสอะไร…?” เดนิสเริ่มขมวดคิ้ว
“โอกาสหลอกล่อผู้วิเศษเส้นทางเดียวกับเหล็กกล้าให้กับมาติดกับดักของนาย จากนั้น ก็ดวลกันตัวต่อตัวให้สมใจอยาก… ไม่ต้องห่วง ฉันจะช่วยหาเหยื่อให้อีกแรง”
ไคลน์ยิ้ม
เดนิสพลันชะงักไปชั่วขณะ
มันเพิ่งฉุกคิดได้ว่า สำหรับเส้นทางที่ไม่เกรงกลัวกระสุนปืน ไม่กลัวการโจมตีระยะไกล ไม่กลัวการถูกเผา และไม่กลัวการจมน้ำ กับดักทุกชนิดแทบจะไม่เกิดประโยชน์
เดนิสหัวเราะแห้งสองหน พลางหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง
“วันนี้อากาศดีจังแฮะ… หรืองูทะเลคาเวทูว่าจะว่าตายไปแล้ว?”
ไคลน์ส่งเสียง ‘อือ’ โดยไม่ปิดบังความจริง
เดนิสเริ่มหายใจทั่วท้อง ลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ
“อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะลงเอยด้วยแบบใด แต่หลังจากเหตุการณ์กวาดต้อนแบบปูพรมในเมืองบายัมเมื่อวันก่อน คงไม่มีโจรสลัดหน้าไหนกล้ามาเหยียบเมืองนี้ไปนาน ไม่เว้นแม้กระทั่งพลเรือเอกโลหิต แผนของนายที่จะล่ามันร่วมกับกัปตันคงต้องเลื่อนออกไปก่อน ทะเลโซเนียนั้นกว้างใหญ่มาก เกินกว่าจะค้นหาเรือที่พยายามซ่อนตัวพบโดยง่าย! ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีทะเลหมอก ทะเลคลั่ง ทะเลเหนือ และทะเลขั้วโลก! ถ้าหาตัวกันได้ง่าย… ถ้าพลเรือเอกโจรสลัดถูกตัวพบเพียงเพราะใครสักคนอยากล่า บรรดาเจ็ดโบสถ์หลักคงไม่มีทางปล่อยให้พวกมันลอยนวลมาถึงตอนนี้แน่ ฉะนั้น รีบปล่อยฉันกลับฝันทองคำสักที!”
เดนิสกล่าวความในใจ
ไม่ต้องห่วง สหาย ฉันมีทางออก และคงต้องรบกวนนายอีกสักหน่อย…
ไคลน์หันไปถาม
“ฉันอยากถามความเห็นกัปตันนาย”
ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มจ่ายเงินสิบสองปอนด์ไปกับเครื่องรับส่งโทรเลข แต่เป็นเพราะกำลังพัวพันกับเทพสมุทร จึงไม่มีโอกาสใช้งานเลยสักครั้ง และยังปะปนอยู่กับ ‘กองขยะ’ บนห้วงมิติเหนือสายหมอก
ขณะเดียวกัน เงินจากมิสเตอร์แฮงแมนและมิสจัสติสถูกส่งมาถึงแล้ว เงินสดไคลน์จึงเพิ่มเป็น 7,085 ปอนด์กับอีกห้าเหรียญทองปอนด์
เป็นความมั่งคั่งชนิดที่สามารถซื้อที่ดินพร้อมบ้านหลังใหญ่ได้สบายในทุกเมืองทั่วโลก
หากไม่เพราะเราต้องแก้แค้น รวมถึงต้องหาทางกลับโลกเดิม ป่านนี้คงเลิกดิ้นรนและใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย…
ไคลน์ครุ่นคิดอย่างพึงพอใจ
ความเห็นของกัปตัน…
เดนิสพูดพลางฝืนยิ้ม
“แม้ว่าในทางทฤษฎี กัปตันและคนที่เหลือควรเดินทางเข้ามาในระยะห้าร้อยไมล์ทะเลเรียบร้อยแล้ว พร้อมสำหรับการประกอบพิธีกรรมวิญญาณสถิต แต่นายก็คงทราบดี เส้นทางเดินเรือปรกติย่อมไม่ปลอดภัย โจรสลัดยิ่งต้องระวังตัวเป็นทวีคูณ และคอยหลบเลี่ยงเรือลาดตระเวนของกองทัพกับโบสถ์วายุสลาตัน จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องอ้อมไกล ฉันจึงอยากแนะนำว่า รอให้ถึงวันพรุ่งนี้ จากนั้นค่อยทดสอบใช้พิธีกรรมวิญญาณสถิติหากัปตัน พวกเราจะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองแรงกายและค่าวัสดุฟรี…แบบนี้ดีกว่าไหม”
“อือ” ไคลน์เพียงขานรับไร้อารมณ์ มิได้ตอบว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่’ เพียงหันหลังกลับและเดินไปเข้าห้องน้ำ
สำหรับวันนี้ ชายหนุ่มมีแผนจะออกไปข้างนอกอีกครั้ง มองหาเป้าหมายของการใช้เทคนิคสวมบทบาทและย่อยโอสถ
เมื่อเห็นแผ่นหลังของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ลับสายตา เดนิสเริ่มหายใจทั่วท้อง
เราต้องแอบติดต่อกัปตันก่อน… โน้มน้าวให้เธอเรียกตัวเรากลับฝันทองคำ จากนั้นค่อยประกอบพิธีกรรมวิญญาณสถิตต่อหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์! หมอนี่ชอบออกไปข้างนอก เรามีโอกาสมากมายให้จัดการตามแผน…
หึหึ! ชอบชอปปิ้งนัก!
เดนิสครุ่นคิด มุมปากยกโค้ง
…
หลังออกจากวิหารคลื่นสมุทร อัลเจอร์ตรงไปยังบริษัทการค้าราล์ฟ พลางครุ่นคิดมาตลอดทาง จนกระทั่งได้พบเจ้าของร้านกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์
มันทราบเป็นอย่างดีว่า ชายวัยกลางคนมาดภูมิฐาน สวมสูท ผูกโบหูกระต่าย และแว่นตากรอบทองผู้นี้ สมัยก่อนเคยเป็นโจรสลัดมากฝีมือ ขณะเดียวกันก็ยังแอบสนับสนุนกลุ่มต่อต้าน และศรัทธาเทพสมุทร·คาเวทูว่า
“วันนี้มาด้วยธุระอันใด คุณกัปตันเรือผีสิงของพวกเรา” ราล์ฟวางหนังสือพิมพ์ลงบนกึ่งกลางตัก เผยรอยยิ้มผ่อนคลาย
ชายคนนี้คือบุตรนอกสมรสของนักผจญภัยลูกครึ่งโลเอ็นเฟเนพ็อต มารดาเป็นชนพื้นเมือง ราล์ฟเริ่มต้นชีวิตด้วยการเป็นโจรสลัด ในช่วงกำลังสร้างอนาคต มันพลิกผันตัวเองมาเป็นพ่อค้าสองหน้า มีเส้นสายกว้างขวางในศาลากลางเมือง สภาเมือง และสถานีตำรวจ เรียกว่าอิทธิพลเบื้องหลังค่อนข้างใหญ่โต
เมื่อได้ยินคำทักทาย อัลเจอร์เกือบเผลอขมวดคิ้ว เพราะน้ำเสียงและท่าทีของอีกฝ่ายค่อนข้างไม่ปรกติ
ไม่ปรกติสำหรับอัลเจอร์หมายถึง เหนือความคาดหมายของตนไปพอสมควร
ตามความเห็นของมัน หลังจากความตายของเทพสมุทร เหล่าสาวกรอบหมู่เกาะรอสต์ควรตระหนักถึงสัญญาณบางอย่าง โดยเฉพาะกับสาวกหัวรุนแรง สีหน้าพวกมันจึงควรกังวล หรือไม่ก็โศกเศร้า มิใช่ผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติเช่นนี้
อัลเจอร์ไม่ถามถึงคาเวทูว่าทันที เพียงเกริ่นด้วยรอยยิ้ม
“มีเบาะแสของโควาโร่บ้างไหม”
โควาโร่คือกัปตันเรือผู้เสนอขายมรดกของบารอนผีดูดเลือด กล่าวกันว่า ชายคนนี้เคยเป็นลูกเรือจักรพรรดิมืด เรือประจำกายของราชาแห่งห้าห้วงสมุทร นาสต์ มาก่อน และปัจจุบันก็ยังเป็นสายข่าวให้อย่างลับๆ
“ใครจะไปทราบ…แต่ที่แน่ชัดก็คือ เจ้านั่นไม่ได้อยู่ในบายัมอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นคงถูกเก็บกวาดไปตั้งแต่สองวันก่อน” ราล์ฟยักไหล่เล็กน้อย “ได้ยินว่าแล่นเรือลงไปทางใต้”
ในความเป็นจริง อัลเจอร์ได้ตกลงและนัดหมายกับโควาโร่เรียบร้อย บทสนทนาเมื่อครู่เป็นเพียงการเปิดประเด็นชวนพูดคุย
แน่นอน มันย่อมทราบว่า เพื่อจะหลบให้พ้นเขตสึนามิรอบหมู่เกาะรอสต์ โควาโร่จำเป็นต้องออกเรือไปไกลพอสมควร กว่าจะอ้อมกลับมาถึงบายัมก็คงอีกสักพัก
แต่อัลเจอร์ไม่เร่งรีบ เพราะมันทราบว่า มิสเตอร์มูนได้รับเช็คเงินสดประเภทระบุวันรับ หากถอนออกมาก่อนกำหนด จะต้องเสียค่าธรรมเนียมบางส่วน และสูญเสียดอกเบี้ยอันพึงจะได้รับไป
มันพยักหน้าหนักแน่น
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณสำหรับข้อมูล”
ถัดมา อัลเจอร์ถามโดยแสร้งทำเป็นไม่ทราบสถานการณ์
“ฉันได้ยินมาว่า เทวรูปของเทพสมุทรหลายแห่งเริ่มแตกหักด้วยตัวเอง…”
อันที่จริง อัลเจอร์มิได้เห็นกับตา ไม่ได้ยินมากับหู แต่สามารถคาดเดาได้จากการอ่านเอกสารลับของโบสถ์เป็นจำนวนมาก
จากบรรดาเกาะอาณานิคมทั้งหมด รวมถึงดินแดนทวีปใต้ มีเทพพื้นเมืองจำนวนไม่น้อยต้องตายไปด้วยฝีมือของพระคาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตัน ชะตากรรมล้วนไม่ต่างจากคาเวทูว่า และเหตุการณ์หลังจากเทพเหล่านั้นร่วงหล่นก็ถูกบันทึกไว้ในเอกสารลับของโบสถ์อย่างละเอียด
ราล์ฟพยักหน้าเยือกเย็น
“อา…มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่ข่าวร้ายเลยสักนิด”
สีหน้าราล์ฟเริ่มอิ่มเอม
“เพราะพระองค์ท่านเสด็จกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้งด้วยรูปลักษณ์ใหม่!”
กลับมายังโลกมนุษย์ด้วยรูปลักษณ์ใหม่…?
ดวงตาอัลเจอร์แฝงความครุ่นคิดสักพัก แต่เมื่อฉุกคิดบางสิ่ง มันเริ่มเผยความตะลึง
จากสถานการณ์ฝั่งโบสถ์วายุสลาตัน ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า คาเวทูว่าไม่น่าจะมีชีวิตอยู่อีกแล้ว ถ้าอย่างนั้น ใครกำลังตอบสนองต่อคำวิงวอนของเหล่าสาวกเทพสมุทร…?
สมมติฐานอันบ้าบิ่นพลันผุดขึ้นในความคิด
…หรือว่านี่จะเป็นส่วนหนึ่งในแผนการคืนชีพของมิสเตอร์ฟูล?
ฉวยโอกาสหลังจาก ท่านสวมรอยเป็นเทพสมุทรองค์ใหม่แทน? ท่านกำลังพยายามสร้างอิทธิพลบนโลกจริง เพื่อให้ผนึกคลายตัวได้เร็วขึ้น!
ไม่ผิดแน่ นี่คือเหตุผลในการมาเยือนบายัมของเดอะเวิร์ล…
ซี๊ด…
ท่านคิดการใหญ่ถึงเพียงนี้เชียว!
อัลเจอร์กลืนน้ำลายเงียบงัน พยายามยับยั้งความตื่นเต้นไว้ในใจ
…
ณ โรมแรมวายุคราม ไคลน์ ผู้ยังไม่ออกจากห้องไปไหน กำลังนั่งคุยกับไอร์แลนด์ กัปตันเรือโมราขาว ที่แวะมาจ่ายค่าตอบแทนภารกิจเมื่อวันก่อน
“นี่คือรางวัลของพวกคุณ ทั้งหมดหนึ่งร้อยปอนด์ถ้วน”
มันมิได้ระบุว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ได้เท่าไร เดนิส·เพลิงพิโรธได้เท่าไร เพียงยื่นเงินเต็มจำนวน จากนั้นก็ให้แบ่งกันเอาเอง
กองทัพใจกว้างไม่เลว…
ไคลน์รำพัน พลางรับปึกธนบัตรจากอีกฝ่ายมาถือ ตามด้วยการก็หยิบธนบัตรห้าปอนด์ออกมาสองใบ โยนให้เดนิส
ถัดมา ชายหนุ่มตวัดข้อมือ ดึงธนบัตรสิบปอนด์จากข้างล่างออกมาอีกสองใบ และโยนไปหาเดนิสด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เกอร์มัน·สแปร์โรว์ช่างใจกว้าง… เที่ยงธรรมยิ่งกว่าไอร์แลนด์ผู้เที่ยงธรรมเสียอีก!
เดนิสรับส่วนแบ่งอย่างประหลาดใจ พลางสัมผัสได้ว่า กระเป๋าสตางค์ที่เคยถูกสูบเงินออกไปในช่วงสองสามวันหลัง เริ่มฟื้นฟูกลับมาจนบวมพองอีกครั้ง
ขณะสายตาจ้องมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ในเสื้อผ้าเซตใหม่ ไอร์แลนด์ ในสภาพมือข้างหนึ่งถือหมวกพับทรงทหารเรือ ซักถามด้วยสีหน้าเกรงใจ
“มีข่าวมาจากโบสถ์วายุสลาตันว่า บุคคลที่นำใบประกาศเกี่ยวกับเลติเซียและคาเวทูว่าไปติดไว้หน้าโบสถ์ ถูกสงสัยว่าจะเป็นฝีมือของ ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิส พวกคุณคิดยังไงกันบ้าง…”
ไอร์แลนด์มองเข้าไปในดวงตาเดนิส นั่งรอคำตอบอย่างใจเย็น
“ฮะฮะ…” เดนิสหัวเราะ “ฉันไม่รู้จักเขา”
ไคลน์เงียบงันสักพัก
“เนื่องจากต้องการเติมเต็มความปรารถนาของนักผจญภัยที่เสียชีวิตตามลำพัง ผมจึงเดินทางไปยังเกาะไซมีม และได้พบเลติเซียกับคณะพักอาศัยในโรงแรมเดียวกัน ในคืนนั้น โรงแรมของพวกเราถูกงูบุกรุก แต่ปัญหาก็ถูกจัดการได้ไม่ยาก เมื่อกลับถึงบายัม ผมเดินทางเข้าไปในเขตกลุ่มต่อต้านเพื่อหาซื้อสิ่งของน่าสนใจ พวกเขาพยายามเสนอขายดาบหนึ่งเล่มให้ผมโดยอ้างว่าเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ ภายในป้อมปราการขนาดย่อมซึ่งเป็นสถานที่ซื้อขาย ห้องดังกล่าวมีผู้วิเศษลำดับกลางมากถึงสองคนคอยคุมเชิง เพียงผมสัมผัสดาบ จิตอันชั่วร้ายได้พยายามรุกรานเข้ามาในร่างกาย จนเกือบเข้าสู่ภาวะคลุ้มคลั่ง…ขณะเดียวกัน พวกเขาก็มอบภารกิจตามหาเลติเซียให้ด้วย”
ทั้งหมดล้วนเป็นความจริง ถึงจะไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมด แต่ก็มากพอจะทำให้ไอร์แลนด์เชื่อมโยงกับบุคคลปิดป้ายประกาศหน้าวิหารคลื่นสมุทรได้
หากกองทัพและโบสถ์วายุสลาตันตัดสินใจสืบสวนบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด อย่างน้อย ข้อมูลเดียวของไคลน์ที่จะไปหลุดก็คือ เกอร์มัน·สแปร์โรว์มีพลังในการแปลงโฉม
ไอร์แลนด์นั่งฟังเงียบงัน ก่อนจะยิ้ม
“ในอนาคต คุณไม่มีความจำเป็นต้องแอบปิดประกาศในยามวิกาล สามารถหาบอกกับผมได้โดยตรง วิธีนี้ยังจะช่วยให้ได้รับรางวัลตอบแทนเพิ่มเติม”
กัปตันโมราขาวยืนขึ้น สวมหมวกพับ พลางหันไปพูดกับเดนิสด้วยรอยยิ้ม
“และผมยังได้ยินมาด้วยว่า ค่าหัวของเพลิงพิโรธเพิ่มขึ้นอีกแล้ว”
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น