Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 543-547

 ราชันเร้นลับ 543 : ความจริงที่ไม่คาดคิด

โดย

Ink Stone_Fantasy

ดูเหมือนพวกเราจะพบเป้าหมายแล้ว…


ไคลน์ก้าวถอยหลัง ยืนไตร่ตรองสถานการณ์เบื้องต้น


ทางด้านไอร์แลนด์ เป็นเพราะไม่มีภาพเหมือนไว้คอยเปรียบเทียบ รวมถึงการที่ศพถูกเผาจนไหม้เกรียม มันย่อมไม่ทราบว่านี่คือหนึ่งในคณะนักผจญภัยของเลติเซีย·โดเรล่า จึงทำเพียงยืนสำรวจเหตุการณ์สักพัก


จนกระทั่งเสียงหัวเราะอันน่าขนลุกผ่านไปสองสามระลอก ไอร์แลนด์ตัดสินใจชี้ไปยังร่างของเจ้าหน้าที่สามสี่คนซึ่งกำลังนอนแผ่นบนพื้นไม่ห่างจากตัวบ้านมากนัก พลางพึมพำด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก


“ต้องลากพวกเขาออกมาก่อน รอให้หน่วยสนับสนุนมาถึง จากนั้นค่อยคิดเรื่องโจมตี หรือบางที…”


มันชะงักคำ พลางเงยหน้ามองเรือบินสีน้ำเงินเข้มกำลังลอยเข้ามาใกล้


ไอร์แลนด์ไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม และมิได้สั่งให้ไคลน์กับเดนิสกระทำสิ่งใด เพียงก้มหน้าวิ่งไปทางคนของกองทัพที่กำลังนอนสั่นระริกด้วยใบหน้าม่วงคล้ำ


กึก. กึก. กึก.


ยิ่งเข้าใกล้ ย่างก้าวก็ยิ่งอ่อนแรง จนกระทั่งร่างกายของไอร์แลนด์แข็งทื่อ ทุกก้าวเป็นไปอย่างยากลำบาก


ไอร์แลนด์เคยเป็นสรั่งเรือของกองเรือหลวงอยู่หลายปี ย่อมมีประสบการณ์เสี่ยงชีวิตโชกโชน จึงคิดเร็วทำเร็ว รีบชะงักฝีเท้าและก้าวถอยหลังอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคง


ยิ่งถอยห่างออกมา จังหวะการก้าวก็เริ่มกลับมามีเรี่ยวแรง แต่ยังคงแก้ไขอาการสั่นเทาไม่ได้ โดยบริเวณขอบคิ้วและจอนมีเกล็ดน้ำแข็งปกคลุมเจือจาง


หนาวฉับพลันจนผิดธรรมชาติ…


เป็นความเย็นระดับภัยพิบัติ…


เมื่อเห็นสภาพของไอร์แลนด์ ไคลน์ยืนวิเคราะห์อันตรายภายในขอบเขต พลางถอนหายใจเงียบงัน :


น่าเสียดาย เข็มกลัดสุริยันจะไม่สร้างความร้อนเชิงกายภาพ เป็นได้เพียงอุปกรณ์ดัดแปลงความรู้สึก ถึงจะช่วยแก้ปัญหาทางจิตใจได้ชะงัก แต่ถ้าต้องเผชิญอุณหภูมิเย็นจัดของจริง คงไม่แคล้วยืนตัวแข็งทื่อภายในสามถึงสี่วินาที…


ชายหนุ่มหันไปมองไอร์แลนด์ ผู้กำลังยืนปากสั่นและกรามกระทบเสียงดัง กัปตันโมราขาวพยายามพะงาบปากราวกับต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่กลับไม่สามารถเปล่งเสียง


เห็นดังนั้น ไคลน์หันไปจ้องเดนิสด้านข้าง


ชายหนุ่มวางไม้ค้ำลง เปล่งเสียงเคร่งขรึม


“ไฟ”


ไฟ? เดนิสผงะเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ทราบเจตนาของเกอร์มัน·สแปร์โรว์


มันย่อมเห็นความล้มเหลวของไอร์แลนด์ขณะพยายามการเข้าไปช่วยพวกพ้อง!


เดนิสสร้างก้อนเพลิงขึ้นบนมือขวา ขว้างไปยังจุดไม่ห่างจากคนของกองทัพที่กำลังนอนแผ่บนพื้นมากนัก


ก้อนเปลวเพลิงพุ่งแหวกอากาศเป็นระยะทางเกือบยี่สิบเมตร ตกลงบนพื้น แต่ไม่เกิดระเบิดเสียงดังสนั่น เพียงสร้างประกายไฟลอยสูงขึ้นไปในอากาศ


เมื่อเจอกับอุณหภูมิเย็นจัด เสาเปลวเพลิงสีแดงฉานส่งเสียง ‘ฉ่า’ พร้อมกับหดตัวลงอย่างรวดเร็ว


ทันใดนั้น เสาเพลิงขยายออกอีกครั้ง ราวกับกำลังดิ้นรนเฮือกสุดท้าย


ไคลน์ในโค้ทขนสัตว์สีดำสนิทกระโจนออกจากเสาเพลิงดังกล่าว ฝ่าเท้าสัมผัสพื้นในจุดใกล้กับเจ้าหน้าที่กองทัพ


มันโน้มตัวลงและเหยียดแขนตรง ใช้ฝ่ามือคว้าเครื่องแบบของผู้ประสบภัยแน่นกระชับ


ถัดมา ชายหนุ่มถ่ายน้ำหนักลงไปบนฝ่าเท้า บิดเอวกลับมาด้านหลัง และระเบิดพลังแขนในชั่วพริบตา


เจ้าหน้าที่ถูกโยนลอยไปในอากาศ บินไกลราวสิบเมตรก่อนจะตกลงพื้นอย่างนุ่มนวล รอดพ้นจากอิทธิพลของพลังน้ำแข็ง


เมื่อจัดการเสร็จ ไคลน์ชิงดีดนิ้วก่อนที่ความเย็นจะกัดกร่อนร่างกาย เผาก้านไม้ขีดในกระเป๋าเสื้อซึ่งพกติดตัวไว้ตลอดเวลา


เพลิงสีแดงพรั่งพรูออกจากร่างกายชายหนุ่มคล้ายกระแสน้ำหลาก เพียงไม่นานก็ลุกโชนจนท่วมร่าง


เมื่อเพลิงดับมอด ร่างไคลน์ได้หายลับไปจากสายตาของทุกคน


เสาเพลิงสว่างขึ้นอีกครั้งในจุดถัดไป สิ่งนี้เป็นพลังของเดนิส โดยไคลน์จะปรากฏตัวออกมากระทำแบบเดิม และหนีด้วยก้านไม้ขีดไฟเช่นเดิม วิธีนี้สามารถช่วยเหลือคนของกองทัพได้มากมาย


เพียงไม่กี่อึดใจถัดมา ไคลน์นำเจ้าหน้าที่คนสุดท้ายออกจากเขตอันตราย


ไอร์แลนด์เผยสีหน้าโล่งใจสุดขีด พร้อมกับยกนิ้วหัวแม่โป้งให้ :


“ผมทั้งยินดีและเป็นเกียรติอย่างมาก ที่วันนี้ตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากคุณ”


พูดได้ดี…แต่อย่าลืมขึ้นค่าจ้างก็แล้วกัน…


ไคลน์พยักหน้ารับอย่างสุภาพ หมุนตัวครึ่งวงกลม มองเข้าไปในหน้าต่างที่เปิดอยู่ของบ้านหลังเกิดเหตุ พลางยืนฟังเสียงหัวเราะอันน่าขนลุกและพิสดารดังเป็นระยะ


มุมปากเดนิสกำลังสั่นระริก มันส่งเสียงตำหนิไอร์แลนด์ภายในใจ


ไม่เห็นผลงานของฉันเลยรึไง!


ถึงบอลเพลิงของฉันจะเป็นเหมือนกับไฟประกอบฉากมายากล แต่มันก็มีความสำคัญมากในแผนการ!


หมอนี่มีฉายาว่าไอร์แลนด์ผู้เที่ยงธรรม แต่ความจริงแล้วกลับไม่เที่ยงธรรมเลยสักนิด!


ขณะเพลิงพิโรธกำลังพึมพำ ท้องฟ้าด้านบนเริ่มมืดครึ้มเล็กน้อย เนื่องจากเรือบินกำลังลอยสูงเหนือศีรษะคนทั้งสาม


“รีบอพยพชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงออกไปให้หมด!” เสียงคำสั่งจากเรือบินดังกังวานลงถึงด้านล่าง


หลังจากไอร์แลนด์และหน่วยสนับสนุนชุดหลังที่เพิ่งมาถึงช่วยกันอพยพชาวเมืองออกไปจากเขตอันตราย เรือบินเริ่มลดระดับความสูงลง พลางปรับองศาการเล็งของ ‘ปืนใหญ่’


ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!


ปืนใหญ่กระหน่ำยิงประหนึ่งพายุบุแคม เป้าหมายคือบ้านหลังที่มีเสียงหัวเราะอันน่าขนลุกดังอย่างต่อเนื่อง


ได้ยินเสียงระเบิดโครมคราม ได้เห็นอำนาจทำลายล้างของปืนใหญ่ ไคลน์ก้มหยิบไม้ค้ำด้วยสีหน้าขื่นขม


นี่คือยุทธการ ‘ระดมยิง’ ที่มันปรารถนามาตลอด! ครั้งหนึ่งเคยเสนอให้เหยี่ยวราตรีเมืองทิงเก็นยิงถล่มบ้านทริสซี่ และในวินาทีนี้ มันกำลังประจักษ์แสนยานุภาพสุดตระการตาที่ตนถวิลหามานาน


ท่ามกลางเสียงปืนหูดับตับไหม้ ไอร์แลนด์และเจ้าหน้าที่คนอื่นต่างกระจายตัวล้อมบ้านหลังต้องสงสัยไว้ทุกทิศ เตรียมรับมือกลุ่มคนหรือสัตว์ประหลาดด้านใน


บ้านหลังดังกล่าวพังพินาศย่อยยับ ควันดำลอยสูงขึ้นจากซากปรักหักพังซึ่งเหลือเพียงเศษไม้และอิฐแดง ขณะเดียวกัน พลังน้ำแข็งลึกลับได้อันตรธานหายไปโดยสมบูรณ์


ทันใดนั้น สายฟ้าเส้นใหญ่พลันสว่างวาบจากมุมสูง ผ่าลงใจกลางเรือบินอย่างหนักหน่วงแม่นยำ


ไคลน์ขมวดคิ้ว ยืนมองเรือบินที่ยังคงสงบนิ่งราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่โสตประสาทได้ยินเสียงความผิดปรกติของเครื่องยนต์ไอน้ำอย่างเจือจาง


สัตว์ประหลาดสีน้ำเงินบนท้องฟ้าเริ่มเสียการทรงตัว ควันดำลอยออกมาไม่มากไม่น้อย ตัวเครื่องเริ่มร่อนลงหาจุดจอดฉุกเฉินในบริเวณใกล้เคียง


มีระบบป้องกันการโจมตี…ลักษณะคล้ายเกราะกำบังชั้นนอก…นึกว่าจะได้เห็นเรือบินระเบิดต่อหน้าเสียอีก…


ไคลน์หันเหความสนใจกลับมายังซากบ้านที่เหลือเพียงเศษอิฐและโครงปูน


ในตอนแรก หลังจากได้เห็นพลังน้ำแข็งรุนแรงและศพไหม้เกรียมของนักผจญภัยชาย ไคลน์นึกว่าตนได้โคจรมาพบ ‘แม่มด’ อีกแล้ว


เนื่องจากมีสูตรผลิตโอสถในเส้นทางแม่มดหลายลำดับ แถมยังเคยเผชิญหน้ากับแม่มดบ่อยครั้ง ไคลน์ย่อมทราบพลังพิเศษของพวกหล่อนพอสมควร โดยตั้งแต่ลำดับ 7 ขึ้นไป แม่มดจะเชี่ยวชาญการใช้เวทมนตร์น้ำแข็งและเพลิงทมิฬ


แต่สายฟ้าเมื่อครู่ทำให้ต้องเปลี่ยนความคิดกะทันหัน และกลับไปเชื่อทฤษฎีเดิม นั่นก็คือเลติเซีย·โดเรล่าเป็นหญิงแท้และยังเป็นสมาชิกของนิกายมอสส์หรือไม่ก็แก่นรุ่งอรุณ


ขณะไคลน์ยืนครุ่นคิด ซากบ้านที่เต็มไปด้วยเศษอิฐ ไม้ และหินเริ่มมีการขยับเขยื้อนดังกรอกแกร่ก จนกระทั่งร่างหนึ่งคลานออกมาด้วยศอกอย่างเชื่องช้า เนื้อตัวไหม้เกรียมด้วยสีดำสลับแดง


เป็นสิ่งมีชีวิตเพศหญิง เค้าโครงช่วยระบุอย่างคลุมเครือว่านี่คือเลติเซีย·โดเรล่า


เจ้าหน้าที่ทุกคนต่างแสดงสีหน้าตกตะลึงเมื่อพบเป้าหมายหลักเร็วกว่าที่คิด ถึงจะอยู่ในสภาพน่าสังเวชและจวนเจียนตายแล้วก็ตาม


ตามร่างกายเต็มไปด้วยรอยไหม้สีดำ กระสุนปืนใหญ่ได้เจาะทะลวงเนื้อหนังจนเกิดเป็นรูโหว่สีแดงขนาดใหญ่ ภายในบาดแผลมีพังผืดสีขาวกำลังยุบพองประหนึ่งมีชีวิต


กะโหลกศีรษะปริแตก เนื้อสมองสีเทาไหลซึมรอบปากแผลเล็กน้อย มองผิวเผินคล้ายกับฝ่ามือทารกจำนวนมากเรียงชิดติดกัน


ดวงตาสีเทาของเธอกำลังเหม่อลอย มิได้เพ่งจ้องไปยังจุดใด รูม่านตาข้างหนึ่งมีเปลวเพลิงแดงส้มลุกโชน ส่วนอีกข้างมีประกายสายฟ้าสีเหลืองเงินกะพริบวูบวาบ


บริเวณช่องท้องใต้ราวนมมีหัวคนและใบหน้าอันเจ็บปวดถูกฝังอยู่สองหัว ริมฝีปากตรงท้องพยายามพะงาบบางสิ่ง เจ้าของศีรษะทั้งสองไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนักผจญภัยหนุ่มอีกสองคนในคณะสำรวจของเลติเซีย


ไม่ใช่แค่คลุ้มคลั่ง แต่เธอถึงขั้นถูกกัดกร่อนจนเสื่อมทราม…อย่างไรก็ตาม หลังจากถูกระดมยิงด้วยปืนใหญ่ หล่อนได้รับบาดเจ็บสาหัสและคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน…


ไคลน์ตัดสินใจไม่ลงมือก้าวก่าย เพียงยืนมองผู้วิเศษของกองทัพกระหน่ำโจมตีด้วยพลังหลากหลายชนิด


มีทั้ง ‘ทะลวงจิต’ ‘แส้ทารุณ’ ‘กระสุนชำระล้าง’ และกระสุนปืนธรรมดาอีกหลายนัด


เมื่อเสร็จสิ้นการเปิดฉากโจมตีหนึ่งระลอก ผืนดินที่กำลังแยกออกเป็นทางยาวจากการอาละวาดของหญิงสาวเริ่มสงบลง


เลติเซียทรุดไปนอนราบกับพื้น กลายเป็นศพโดยสมบูรณ์


แปะ!


เมื่อลำตัวศพกระทบพื้น ศีรษะของสองนักผจญภัยกึ่งกลางช่องท้องได้กลิ้งหลุดออกมา


ไคลน์หรี่ตาลง มองเข้าไปยังรูโหว่ขนาดใหญ่ใจกลางท้อง และพบหนังสือปกหนังสัตว์สีเหลืองอมน้ำตาลซ่อนอยู่ด้านใน


ตัวหนังสือบนปกเขียนไว้ด้วยภาษาเอลฟ์ใจความว่า :


“หนังสือแห่งภัยธรรมชาติ”


ทำไมหนังสือหรือสุดบันทึกทำนองนี้ถึงชอบไปอยู่ในท้องคนนัก สมุดบันทึกตระกูลอันทีโกนัสก็ทีนึงแล้ว…


ไคลน์รำพันเล็กน้อย ก่อนจะตั้งสมมติฐานกับตัวเองว่า หนังสือแห่งภัยธรรมชาติเล่มนี้คือวัตถุที่เลติเซีย นักโบราณคดีจอมปลอม ขโมยออกมาจากโบราณสถานเทพสมุทร


ขณะเดียวกัน เมื่อเจ้าหน้าที่กองทัพเห็นว่าศีรษะนักผจญภัยชายทั้งสองยังพอสื่อสารได้ จึงรีบเข้าไปประกบและสอบปากคำ


“พวกแกเข้าไปทำอะไรในโบราณสถานเทพสมุทร!”


หนึ่งในนักผจญภัยชายมอบคำตอบด้วยสีหน้าเจ็บปวดแกมสับสน


“พ…พวกเราไม่ได้เข้าไป…”


ชายคนหนึ่งพยายามกลอกตาลง คล้ายกับต้องการตรวจสอบอวัยวะตั้งแต่ช่วงคอลงไป


“ฉันหมายถึงโบราณสถานเทพสมุทรบนเกาะไซมีม!” เจ้าหน้าที่เค้นถามเสียงเข้ม


“ม…ไม่ใช่” นักผจญภัยชายพยายามส่ายหน้า แต่แน่นอนว่าไม่สำเร็จ “พวกเราเข้าไปสำรวจโบราณสถานของเอลฟ์…เลติเซียพบหนังสือเล่มหนึ่งด้านใน…เธอชอบมันมาก… แต่เมื่อเริ่มศึกษาเนื้อหา ธ…เธอเกิดเสียสติกะทันหัน ต…ตอนนี้เธอคลั่งไปแล้ว!”


นักผจญภัยชายแหกปาก แต่ราวกับวิญญาณของมันหมดอายุขัยเพียงเท่านี้


หือ…ไม่ใช่โบราณสถานเทพสมุทร แต่เป็นโบราณสถานเอลฟ์? แตกต่างจากสมมติฐานแรกของเรามากทีเดียว…


ขณะไคลน์เตรียมเดินเข้าไปใกล้เพื่อแอบฟังบทสนทนา ไอร์แลนด์กล่าวขอร้องอย่างสุภาพให้ชายหนุ่มและเดนิสช่วยออกจากเขตสอบสวน


แม้จะน่าเสียดาย แต่ก็ต้องทำตาม


เมื่อเดินมาถึงถนนอีกเส้น ไคลน์ลดความเร็วลง ไตร่ตรองเหตุการณ์ทั้งหมดใหม่อีกครั้งอย่างละเอียด


เหตุใดการนำหนังสือแห่งภัยธรรมชาติออกจากโบราณสถานของเอลฟ์ ถึงทำให้เทพสมุทร·คาเวทูว่า มิอาจรักษาเสถียรภาพ และนำไปสู่การดิ้นรนอาละวาดเฮือกสุดท้าย?


ทั้งสองเหตุการณ์สัมพันธ์กันอย่างไร…


เอลฟ์…เทพสมุทร…จากคำบอกเล่าของเดอะซันน้อย เทพบรรพกาล ‘ซอนญาธริม’ ราชาเอลฟ์ ถือครองอำนาจแบบเดียวกับเทพวายุสลาตันในปัจจุบัน…หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เผ่าเอลฟ์ย่อมต้องมีสมาชิกเป็นลำดับ 3 ‘เจ้าสมุทร’ จำนวนหนึ่ง และบางทีอาจมีลำดับ 2 อีกไม่น้อย…


อาจเป็นไปได้ว่า…คาเวทูว่าเคยเป็นแค่งูทะเลยักษ์ธรรมดา แต่บังเอิญว่ายเข้าไปในโบราณสถานเอลฟ์ใต้น้ำ จากนั้นก็กินตะกอนพลังหลงเหลือจากเอลฟ์ลำดับสูงสักตน และประสบความโชคดีสองชั้นซ้อน รอดจากทั้งความตายและการคลุ้มคลั่งมาได้ จึงครอบครองพลังครึ่งเทพและได้รับความศรัทธาจากชนพื้นเมืองของหมู่เกาะรอสต์ทั้งหมด?


ไคลน์ครุ่นคิดเคร่งเครียด ขณะเดียวกันก็รู้สึกขอบคุณมิสเตอร์แฮงแมน


ในตอนแรก เดอะซันน้อยไม่มีเจตนาจะเปิดเผยข้อมูลของเทพบรรพกาลทั้งแปด แต่หลังจากถูกแฮงแมนหลอกล่อ ข้อมูลบางส่วนจึงรั่วไหล หนึ่งในนั้นคือรายละเอียดของราชาแห่งเอลฟ์ ซอนญาธริม


สำหรับคำถามที่ว่า ทำไมคาเวทูว่าถึงสามารถกินตะกอนพลังลำดับ 3 และเลื่อนลำดับได้ในคราวเดียว คำตอบคือ เหตุการณ์ในทำนองดังกล่าวไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้น ในยุคสมัยก่อนระบบโอสถจะสมบูรณ์ แม้กระทั่งบรรพบุรุษของเผ่ามนุษย์ก็เคยกินตะกอนพลังอย่างส่งเดชมาแล้ว เพื่อเป็นทั้งการทดลองและการหวังพึ่งพาโชคในการเลื่อนลำดับ แต่จากบรรดาทั้งหมด มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่รอดชีวิตได้โดยสมบูรณ์ ไม่กลายเป็นคนบ้าหรือเกิดภาวะคลุ้มคลั่งเสียก่อน


การเสี่ยงโชคดังกล่าวมีโอกาสสำเร็จไม่ถึงหนึ่งในพัน ไม่สิ อาจน้อยกว่าหนึ่งในหมื่นหรือต่ำกว่านั้นด้วยซ้ำ หลังจากระบบโอสถเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ก็ไม่มีใครกล้ากินตะกอนพลังส่งเดชอีกเลย…


ถ้าเป็นแบบนั้นจริง คาเวทูว่านับว่าโชคดีอย่างน่าอัศจรรย์…จริงสิ อาจมีปัจจัยด้านความเข้ากันได้ของร่างกายช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จ…


แต่ดูเหมือนสติปัญญาจะไม่พัฒนาขึ้นจากเดิมเลยสักนิด ทำได้เพียงหลอกใช้สาวกชาวพื้นเมืองไปวันๆ ไม่เคยรู้กระทั่งว่าเกาะไซมีมมีโบราณสถานของเอลฟ์ซ่อนอยู่ เอาแต่หลบอยู่ในรังอย่างขี้ขลาด…


หลังจากเลติเซียนำหนังสือออกมา โบราณสถานก็พังลงทันที ส่งผลให้คาเวทูว่าสูญเสียเสถียรภาพด้านอำนาจ? เข้าใจแล้วว่าทำไมเลติเซียและคณะถึงผ่านเข้าออกโบราณสถานได้ง่ายนัก เพราะคาเวทูว่าไม่เคยทราบว่ามีโบราณสถานเอลฟ์บนเกาะไซมีม จึงไม่ถูกอารักขาโดยกลุ่มต่อต้าน…


จนกระทั่งเกิดความผิดปรกติร้ายแรงขึ้น คาเวทูว่าจึงเริ่มตรวจสอบจนกระทั่งพบต้นตอ และทราบในภายหลังว่าโบราณสถานเอลฟ์ใต้น้ำของตน กับโบราณสถานเอลฟ์บนเกาะไซมีม มีความเชื่อมโยงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง…


ไคลน์พยายามขจัดข้อสงสัยของตนให้หมดในคราวเดียว


ส่วนคำถามที่ว่า ทำไมเทพสมุทร·คาเวทูว่าถึงไม่เลือกสิงร่างสาวกคนใดคนหนึ่งในวาระสุดท้ายของชีวิต เพราะหากทำเช่นนั้น ก็ไม่ต้องเสี่ยงกับการถูกคนนอกล่วงรู้ว่าเทพสมุทรกำลังอ่อนแอและขาดสมดุล ปัญหาจะถูกแก้ไขอย่างราบรื่น และสัตว์ป่าสติปัญญาต่ำต้อยอย่างคาเวทูว่าก็น่าจะชื่นชอบวิธีนี้


คำตอบของไคลน์คือ ร่างใหม่ที่คาเวทูว่าต้องการเข้าไปกัดกร่อนและสิงสู่ จะต้องมีเลือดเอลฟ์ไหลเวียนในปริมาณหนึ่ง จึงจะทนรับพลังมหาศาลของตะกอนพลังไหว


และเมื่อไคลน์เผลอไปสัมผัสเข้า คาเวทูว่าจึงสัมผัสถึงความพิเศษของออร่าห้วงมิติเหนือสายหมอกได้ทันที และพบว่านี่คือร่างกายอันสมบูรณ์สำหรับแผนการของตน ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าร่างกายสายเลือดเอลฟ์เข้มข้นเสียอีก


……………………


ราชันเร้นลับ 544 : ผู้เชี่ยวชาญ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะไคลน์กำลังยืนจัดระเบียบความคิดในสมอง ไอร์แลนด์เดินเข้ามาใกล้ เผยรอยยิ้มอ่อนโยนและกล่าว


“ทางเราพบเป้าหมายแล้ว การสืบสวนจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป พวกคุณช่วยกลับโรงแรมไปก่อน ค่าจ้างจะถูกจ่ายให้ในอีกสองวัน แต่สำหรับวันนี้ ขอแนะนำให้อยู่แต่ในที่พัก”


ไคลน์ยังคงรักษามาดขรึมของนักผจญภัยบ้าดีเดือด เพียงพยักหน้ารับ ไม่กล่าวคำใด


ระหว่างทางกลับ เดนิสเต็มไปด้วยคำถามและความสงสัยมากมาย แต่เนื่องจากมีคนของกองทัพอย่างไอร์แลนด์เดินประกบไม่ห่าง จึงทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เป็นการคาดเดาว่าจะมีโจรสลัดชื่อดังคนใดถูกจับตัวบ้างในวันนี้


สำหรับเดนิส หากไม่ใช่สมาชิกฝันทองคำ โจรสลัดทุกคนบนโลกล้วนมิใช่พวกพ้อง ไม่มีความจำเป็นต้องเห็นอกเห็นใจ


หลังจากกลับถึงห้อง เมื่อเห็นไอร์แลนด์กลับไป เพลิงพิโรธปิดประตูและพึมพำ


“หนังสือแห่งภัยธรรมชาติ… โบราณสถานเอลฟ์… มีประเด็นน่าสนใจเต็มไปหมด ว่าแต่ทำไมเอลฟ์ถึงกลายเป็นปีศาจไปได้? แค่ขโมยหนังสือออกมา พลิกหน้าอ่าน ผู้หญิงคนนั้นก็เสียสติและคลุ้มคลั่งเลยหรือ?”


หมอนี่วาดฝันเอลฟ์ไว้แบบไหน? เป็นมิตรกับธรรมชาติ อาศัยบนภูเขา ทำอาหารเก่ง และรักสัตว์? จากข้อมูลของเดอะซันน้อย เหล่าเทพบรรพกาลทั้งแปดก่อนยุคสมัยมหาภัยพิบัติล้วนเป็นพวกป่าเถื่อน เกรี้ยวกราด และชั่วร้าย ไม่เว้นแม้แต่ราชาเอลฟ์ ซอนญาธริม ดังนั้น ไม่ว่าจะสาวกหรือข้าราชบริพารของราชาเอลฟ์ พวกมันย่อมไม่ใช่สิ่งมีชีวิตอ่อนโยน อาจเลวร้ายยิ่งกว่าพวกชุมนุมแสงเหนือเสียอีก… เผ่าพันธุ์วิเศษที่เอาตัวรอดจากยุคมืดมาได้ ไม่มีทางมี ‘จิตใจงดงาม’ แน่…


ไคลน์ตอบในใจ


แน่นอน มันมิได้มองข้ามความเป็นไปได้ที่เผ่าพันธุ์ทั้งหมดจะเริ่มพัฒนาศีลธรรมหลังจากเทพบรรพกาลอย่างมังกร คนยักษ์ เอลฟ์ และผีดูดเลือดทยอยร่วงหล่นตกตาม พฤติกรรมของสัตว์วิเศษกลุ่มนี้อาจดีขึ้นถึงขั้นอยู่ในระดับปรกติของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคงเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตลำดับต่ำเท่านั้น ไม่รวมเหล่าครึ่งเทพ พวกมันไม่มีทางลดความชั่วร้ายลงแน่ โดยเอลฟ์ลำดับสูงผู้เป็นเจ้าของ ‘หนังสือแห่งภัยธรรมชาติ’ ก็คงไม่ต่างกัน


ขณะสมองโลดแล่น ไคลน์ฉุกคิดบางสิ่งกะทันหัน


เดนิสอ่านภาษาเอลฟ์ออก!


มันสามารถอ่านข้อความบนหน้าปกหนังสัตว์ของหนังสือแห่งภัยธรรมชาติ!


ระดับการศึกษาของลูกน้องพลเรือโทธารน้ำแข็งสูงจนน่าเหลือเชื่อ ไม่เพียงเชี่ยวชาญภาษาฟุซัคโบราณ แต่ยังรวมถึงภาษาเอลฟ์ซึ่งใช้ในการกระตุ้นพลังธรรมชาติ…


บางที ภาษาคนยักษ์และเฮอร์มิสโบราณอาจถูกบรรจุลงในคาบเรียนของฝันทองคำด้วยเช่นกัน… ช่างเป็นกลุ่มโจรสลัดที่เต็มไปด้วยความฝันและความรู้ แต่ว่า มาดามกัปตัน คุณเคร่งครัดวิชาการเกินไปรึเปล่า เดนิสถึงได้บกพร่องด้านอื่นมากขนาดนี้…


แต่หล่อนทำถูกต้องแล้ว สำหรับนักล่าสมบัติ สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดคือการอ่านภาษาโบราณออก…


ไคลน์เมินคำถามของเดนิส เพียงมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบงัน


ท้องฟ้ายังคงหม่นหมอง คล้ายกับพร้อมสาดเทสายฝนลงมาตลอดเวลา บรรยากาศอึมครึมเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัด


ชายหนุ่มพยักหน้ากับตัวเอง


“เลติเซียถูกพบตัวแล้ว ความลับของโบราณสถานเอลฟ์ถูกเปิดเผย โบสถ์วายุสลาตันและกองทัพคงอาศัยมรดกชิ้นดังกล่าวเชื่อมต่อกับรังของคาเวทูว่าแน่ จากนั้นก็ตามหาตัวเทพสมุทรผู้ทวีความบ้าคลั่งขึ้นทุกขณะ หรือไม่ก็ใช้มรดกดังกล่าวเร่งความเร็วในการร่วงหล่น หากเหตุการณ์ดำเนินไปในลักษณะนี้ สาวกเดนตายของเทพสมุทรก็จะสังเวยชีวิตตัวเองเหมือนในความฝันของเรา แต่คนอื่นจะยังปลอดภัย…”


เดิมที ไคลน์มีแผนจะสืบหารังของเทพสมุทร·คาเวทูว่าผ่านโลกวิญญาณ ถ้าทำสำเร็จก่อนโบสถ์วายุสลาตันหรือกองทัพ มันจะรีบแทรกซึมเข้าไปขโมยสมบัติภายในรัง อย่างไรก็ตาม แผนการยังไม่ทันเริ่ม ก็พังลงไม่เป็นท่าเนื่องจากอีกฝ่ายถือครองหนังสือแห่งภัยธรรมชาติไว้ในมือ


เฮ่อ… คงต้องยอมปล่อยไป เราไม่มีความหวังมาตั้งแต่แรกแล้ว… ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในรังของมีอะไรซ่อนอยู่ การที่เรื่องราวจบลงอย่างสงบสุขก็นับว่าดีมากแล้ว…


ไคลน์เบือนหน้ากลับ พยายามข่มใจด้วยสีหน้าเจือความเสียดาย


ตลอดทั้งวัน ชายหนุ่มและเดนิสทำตามคำแนะนำของไอร์แลนด์เคร่งครัด ไม่ออกไปข้างนอกโรงแรมแม้แต่ก้าวเดียว


ภายในบายัม เสียงระเบิดและเสียงปืนยังคงดังขึ้นเป็นระยะ จนกระทั่งความมืดมิดคืบคลานเข้าปกคลุมอย่างสมบูรณ์



เช้าวันถัดมา ไคลน์ตื่นขึ้นตามปรกติ และพบว่าเมฆสีดำบนท้องฟ้าเลือนหายไปครึ่งหนึ่งอย่างผิดวิสัย บรรยากาศด้านบนยังคงมืดครึ้ม


สิ่งนี้คือเครื่องพิสูจน์ว่า การเผชิญหน้าระหว่างอาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์วายุสลาตัน อาวุโสใหญ่ของทูตพิพากษา แยนน์·ค็อตแมน และเทพสมุทร·คาเวทูว่า ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำไปก่อน


ไคลน์รู้สึกปวดแปลบท้องน้อย จึงเตรียมหยิบหนังสือพิมพ์เข้าไปอ่านในห้องน้ำ


แต่หลังจากหันไปเห็นเดนิสกำลังนอนแผ่หลาบนเก้าอี้เอนหลัง มือข้างหนึ่งถือขนมปังข้าวโอ๊ต ส่วนอีกข้างถือหนังสือพิมพ์อย่างสบายใจ ชายหนุ่มเปลี่ยนแผนทันที


การอ่านหนังสือพิมพ์ในห้องน้ำไม่ใช่สิ่งที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์พึงกระทำ!


ถึงจะน่าเบื่อไปบ้าง แต่เราต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวละคร… สิ่งนี้ยังช่วยให้เราพบความแตกต่างระหว่างอุปนิสัยแท้จริงและตัวละครสมมติ…


ไคลน์สรุปเข้าข้างตัวเอง พลางเดินเข้าห้องน้ำโดยไม่หยิบสิ่งใดติดมือ


ถอดกางเกงลง นั่งบนฝาชักโครก สายตาจ้องกำแพงสีขาวตรงหน้าเขม็ง ราวกับมันจะมีตัวอักษรปรากฏขึ้นมาให้อ่าน


ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณของชายหนุ่มถูกกระตุ้นฉับพลัน


ไคลน์รีบกระทบกรามสองหนเพื่อเปิดใช้งานเนตรวิญญาณ


กระดูกสีขาวสองท่อนใหญ่โผล่ขึ้นตรงหน้าในระยะประชิด เป็นท่อนขาสองข้างของผู้ส่งสารร่างยักษ์


ศีรษะของอีกฝ่ายสูงเลยเพดานด้านบน แต่ไคลน์ยังคงมองเห็นดวงตาเพลิงทมิฬผ่านเพดานอย่างเลือนราง


ผู้ส่งสารก้มศีรษะต่ำ มองลงมายังไคลน์ที่กำลังนั่งบนฝาชักโครง


ชายหนุ่มเงยหน้ามองกลับ ไม่มีใครเคลื่อนไหวนานหลายวินาที จนกระทั่งไคลน์เริ่มเกิดคำถาม :


เราควรทำตัวเหมือนผู้หญิง รีบแหกปากโวยวายเสียงดังและปกปิดของสงวนด้านล่าง หรือควรเผชิญหน้าอย่างเปิดเผยโดยปราศจากความหวาดกลัว?


โดยไม่ปล่อยให้ไคลน์ตัดสินใจ ผู้ส่งสารโครงกระดูกทำการโยนจดหมายใส่ตักชายหนุ่ม ก่อนจะสลายตัวกลายเป็นน้ำพุกระดูก จมลงใต้พื้นห้องน้ำและหายไปอย่างสมบูรณ์


ไคลน์รีบคว้าจดหมายของมิสเตอร์อะซิกอย่างตกใจ ด้วยเกรงว่าจะหล่นลงไปเปียก ชายหนุ่มหมดคำพูดและไม่กระดุกกระดิกร่างกายอยู่นาน


ผู้ส่งสารตัวใหม่นับวันยิ่งเสียมารยาท! ไม่เห็นรึไงว่าเรากำลังเข้าห้องน้ำ! อย่างน้อยก็ควรเคาะประตูบ้าง หรือไม่ก็สอดจดหมายเข้ามาทางช่องว่างใต้ประตู!


ไคลน์โวยวายแกมตลกขบขัน


แต่เมื่อลองคิดดูให้ดี การจะให้สัตว์ประหลาดส่วนสูงสี่เมตร สอดจดหมายทางช่องว่างใต้ประตูนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อีกฝ่ายแทบจะต้องอยู่ในท่าหมอบคลาน


แค่คิดก็ตลกแล้ว… ฮะฮะ… คราวหน้าที่เขียนจดหมาย เราจะระบุท้ายกระดาษให้มิสเตอร์อะซิกช่วยอบรมสั่งสอนผู้ส่งสารเสียบ้าง! อย่างน้อยก็ต้องมีมารยาทกว่านี้สักนิด…


ไคลน์คลี่กระดาษจดหมายอ่านคำตอบ


“…จากความทรงจำปัจจุบันของผม หากต้องการระบุตำแหน่งเป้าหมายผ่านทางโลกวิญญาณ ผมมีคำแนะนำให้สองวิธี โดยวิธีแรกจะต้องเตรียมตัวล่วงหน้าเล็กน้อย เงื่อนไขแรก ถ้าวัตถุประจำตัวของคุณหรือคนใกล้ชิดอยู่ในแหล่งกบดานของคาเวทูว่า คุณสามารถใช้พลังทำนายถามถึงตำแหน่งของวัตถุดังกล่าวได้โดยตรง แต่วิธีนี้ยังมีเงื่อนไขด้วยว่า คุณต้องเข้าออกโลกวิญญาณได้อย่างอิสระ สำหรับเรื่องนี้ ผมค่อนข้างชำนาญ โดยจะอธิบายวิธียอดนิยมในการเดินทางเข้าสู่โลกวิญญาณเอาไว้เป็นตัวเลือก ให้คุณนำไปใช้งานตามที่สะดวก… วิธีที่สองก็คือ ประกอบพิธีกรรม ‘พันธสัญญาลับ’ กับ ‘แสงแดง’ ไอร์ โมเรีย โดยให้ท่านเข้าสิงร่างและแสดงเจตจำนงอย่างอิสระ แสงแดดมักโดดเด่นด้านสิ่งมีชีวิตและสถานที่ภายในโลกวิญญาณ…”


‘แสงแดง’ จากเจ็ดริ้วแรงแห่งโลกวิญญาณ มีชื่อว่าไอร์·โมเรียสินะ… หลักการทำงานของพิธีกรรมพันธสัญญาลับก็คือ ต้องมอมเมาตัวเองอยู่ในภาวะละเมอเทียม ปล่อยจิตและกายให้เป็นอิสระ ปล่อยให้เป้าหมายที่ตนสวดวิงวอนเข้ามาสิงร่าง กระบวนการดังกล่าวจะมอบความรู้ปริมาณมหาศาล แต่เมื่อมองเห็นความลับของอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็จะเห็นความลับเช่นกัน เป็นที่มาของชื่อพิธีกรรมพันธสัญญาลับ… แต่เรายังไว้ใจ ‘แสงแดง’ ได้ไม่เต็มที่… ตัวเรามีความลับมากเกินไป…


ไคลน์รีบตัดข้อสองทิ้ง


ในส่วนของข้อแรก โอกาสสำเร็จก็แทบไม่มีเลยเช่นกัน เพราะไคลน์มิได้ซ่อนวัตถุประจำตัวไว้ในรังเทพสมุทร·คาเวทูว่า


“นอกเสียจากเราจะให้คนของกลุ่มต่อต้านช่วยสังเวยบางสิ่งเข้าไปในรังเทพสมุทร หรือไม่ก็ตามหาคนที่เคยสังเวยวัตถุเข้าไปในรังเทพสมุทรมาก่อน โดยวัตถุดังกล่าวจะต้องพิเศษกว่าของคนอื่น…”


คิดมาถึงจุดนี้ ไคลน์เริ่มผุดไอเดีย


เมื่อพบแนวทาง ชายหนุ่มพยายามวิเคราะห์หาความเป็นไปได้และจุดบกพร่องอยู่นาน จนกระทั่งมองเห็นหนทางทำสำเร็จ


หลังจากลุกขึ้นยืน ไคลน์ล้างมือให้สะอาด เดินทวนเข็มสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าไปในห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา ทำนายถามถึงอันตรายและโอกาสสำเร็จ โดยผลลัพธ์ออกมาเป็น มีอันตรายพอสมควร แต่สามารถรับมือไหวหากจัดการอย่างถูกต้อง


เมื่อทุกสิ่งเสร็จสรรพ ชายหนุ่มส่งตัวเองกลับมายังห้องน้ำบนโลกจริง เดินกลับไปยังห้องรับแขก และตรงไปทางเก้าอี้เอนหลัง


เดนิสลุกพรวด เผยรอยยิ้มเหือดแห้ง :


“ม…มีอะไร?”


“รู้จักนามเต็มของเทพสมุทรไหม”


ไคลน์ซักถามเสียงเรียบ


เดนิสกางแขนออกเตรียมอธิบายพร้อมท่าทางประกอบ แต่ทันใดนั้นก็ต้องสบถ


“แม่เย็*!” มันส่งเสียงพลางเลื่อนมือขวามาจับเฝือกซ้าย ก่อนจะหัวเราะแห้ง “ต้องรู้อยู่แล้ว ฉันเคยได้ยินกลุ่มต่อต้านประกอบพิธีกรรมถึงเทพสมุทร เริ่มจาก…ข้ารับใช้แห่งท้องทะเลและโลกวิญญาณ ผู้พิทักษ์แห่งหมู่เกาะรอสต์ ผู้ปกครองมวลหมู่สัตว์ทะเล เจ้าแห่งสึนามิและลมพายุ คาเวทูว่าผู้ยิ่งใหญ่…


“แต่จากประสบการณ์ ฉันเคยเห็นคนทำสำเร็จแค่สองครั้ง และทั้งสองครั้งจะสวดเป็นภาษาเอลฟ์”


ข้ารับใช้แห่งท้องทะเลและโลกวิญญาณ…?


นามเต็มกระจอกชะมัด…ฟังดูไม่น่าเกรงขามและยิ่งใหญ่เหมือนของเรา…นั่นสินะ ก็เราเล่นดัดแปลงมาจากนามเต็มของเจ็ดเทพจารีตอีกทอดหนึ่ง…ไคลน์เหยียดหยัน


“รู้จักโกดังร้างหรือบ้านร้างบ้างไหม”


“แน่นอนอยู่แล้ว! โจรสลัดชื่อดังส่วนมากต้องรู้จักที่แบบนั้นไว้สักแห่งสองแห่ง”


เดนิสมอบคำตอบโดยไม่ลังเล


ไคลน์หมุนตัวไปทางราวแขวนผ้าหน้าห้อง


“นำทางไป”


คิดจะทำอะไรกันแน่?


แม้เดนิสจะสับสน แต่มันก็มิกล้าปริปากตั้งคำถาม



เขตท่าเรือ ในโกดังสกปรกและทรุดโทรม


เดนิสยืนมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์หยิบเทียนไขออกมาวางสามเล่ม รวมถึงขวดโลหะอีกจำนวนหนึ่ง จนกระทั่งมันทนไม่ไหว ตัดสินใจซักถามให้หายคาใจ


“นายคิดจะทำอะไรกันแน่?”


ไคลน์ไม่หันกลับไปมอง ตอบอย่างสุขุม


“สังเวย”


“ให้ใคร?” เดนิสถามส่งเดช


หลังจากสร้างแท่นบูชาเสร็จ ชายหนุ่มล้วงหยิบกล่องโลหะบุหรี่โลหะ ก่อนจะตอบเสียงราบเรียบ


“คาเวทูว่า”


การจะระบุตำแหน่งคาเวทูว่าให้ได้ ไคลน์วางแผนสังเวยวัตถุบางชนิดให้มันโดยตรง!


ขอเพียงคาเวทูว่ารับสิ่งนั้นไว้ เราก็จะทำนายระบุตำแหน่งแหล่งกบดานอย่างแม่นยำได้ทันที…


ส่วนคำถามที่ว่า คาเวทูว่าจะยอมรับของสังเวยหรือไม่ แน่นอน ไคลน์มองว่ามีโอกาสพอสมควร เหตุเพราะอีกฝ่ายกำลังอยู่ในภาวะเสียสติสุดขีด แทบไม่หลงเหลือเหตุผล ใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณดิบเถื่อน ออร่าของห้วงมิติสายหมอกจึงดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมาก


ฉะนั้น แผนของไคลน์คือการสังเวยกล่องบุหรี่โลหะให้คาเวทูว่า และถ้าอีกฝ่ายรับไว้ ขั้นตอนถัดไปจะเริ่มต้นทันที แต่ถ้าเทพสมุทรไม่รับสังเวย ก็ไม่มีอะไรเสียหายสักนิด


สังเวยให้เทพสมุทร·คาเวทูว่า?


ในวินาทีนี้ เดนิสรู้สึกว่าสมองตนกำลังหยุดทำงานโดยสมบูรณ์ มันไม่เข้าใจเจตนาของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แม้แต่น้อย


“นายบ้าไปแล้วหรือ อีกฝ่ายมีเหตุผลอะไรต้องรับของสังเวย? แต่ถึงจะรับแล้วยังไงต่อ? พิธีกรรมบ้าบอของนายกำลังนำพาตัวเองไปสู่ความฉิบหาย!” เดนิสทำสีหน้างุนงง


ขณะเดียวกัน มันรำพันในใจ


…ไม่สิ เป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่เราไม่เข้าใจพฤติกรรมของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เพราะมันคือคนบ้า! ส่วนเราไม่ใช่!


ไคลน์ชำเลือง อธิบายสั้นกระชับ


“ไม่ต้องห่วง ฉันเชี่ยวชาญด้านนี้มาก”


พิธีกรรมสังเวย…ทำมาจนเบื่อแล้ว!


ชายหนุ่มไม่คิดถ่อมตัวเลยสักนิด


……………………


ราชันเร้นลับ 545 : คาเวทูว่าเกรี้ยวกราด

โดย

Ink Stone_Fantasy

เดนิสสะอึกจนพูดไม่ออก มันขยับตัวมาด้านข้างอย่างกล้าๆ กลัวๆ สายตาจ้องมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังจุดเทียนไข เผาผงสมุนไพรหอมหลายชนิด และหยดน้ำค้างบริสุทธิ์ลงในหม้อต้ม


เมื่อกลิ่นหอมหวนเริ่มฟุ้ง เดนิสตัดสินใจซักถามให้หายสงสัย


“น…นายใช้วัตถุดิบผิดประเภทรึเปล่า?”


มันยังจำได้แม่น สมาชิกกลุ่มต่อต้านมิได้ประกอบพิธีกรรมสังเวยให้เทพสมุทรด้วย น้ำมันสกัดจันทร์เต็มดวง ผงบุปผาหลับใหล คาร์โมไมล์ หรือสิ่งของในทำนองเดียวกัน


นี่ไม่ใช่พิธีกรรมถึงเทพธิดาสักหน่อย!


ไคลน์ชำเลืองด้วยหางตา ก่อนจะมองกลับไปยังแทนบูชาและมอบคำตอบ :


“ไม่ใช่ปัญหา”


ในฐานะมืออาชีพผู้เคยสังเวยและรับมอบมาแล้วบ่อยครั้ง ชายหนุ่มทราบเป็นอย่างดี จุดประสงค์ของการเผ่าเครื่องหอมและน้ำมันสกัดมีเพียงสองข้อ หนึ่ง ช่วยให้ผู้ประกอบพิธีกรรมมีสภาพจิตใจและพลังวิญญาณเหมาะสม พร้อมรับผลจากพิธีกรรม


สอง เพื่อให้พิธีกรรมมีกลิ่นที่เทพปลายทางชื่นชอบ ช่วยเพิ่มโอกาสตอบสนอง โดยเทพแต่ละตนจะมีความชอบแตกต่างกันไป


สำหรับพิธีกรรมปัจจุบัน กุญแจสำคัญมีแค่ ‘คาเวทูว่ากำลังอยู่ในร่างเสียสติ’ และ ‘ความสนใจอย่างรุนแรงต่อออร่าสายหมอก’ ขอเพียงมีองค์ประกอบครบทั้งสองข้อ เรื่องอื่นจะเป็นเพียงประเด็นรอง


หากสัมผัสถึงออร่าสายหมอก คาเวทูว่าคงไม่สนใจว่าเป็นกลิ่นที่มันชอบหรือไม่ เครื่องหอมจึงไม่ช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จ รวมถึงไม่เพิ่มโอกาสล้มเหลว สามารถเผากลิ่นส่งเดชเพียงเพื่อให้ครบขั้นตอน


หากคาเวทูว่ายังสติดีอยู่ นายคิดว่าเจ้านั่นจะยอมตอบสนองพิธีกรรมเพียงเพราะฉันใช้ผงสมุนไพรถูกชนิดรึไง…


ไคลน์เหน็บแนมพลางถอยหลังหนึ่งก้าว เตรียมลงมือกระทำขั้นตอนสำคัญของพิธี


ชายหนุ่มยืนครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะกล่าวโดยไม่หันหน้าไปมอง


“อยู่ห่างเข้าไว้”


ฉันหรือ? นอกจากเดนิสจะไม่โกรธ มันยังออกท่าทางยินดีปรีดา และรีบพยักหน้ารับ


“ต…ตกลง!”


มันไม่มัวลีลา รีบวิ่งไปหยุดยืนหน้าประตูโกดังเก็บสินค้า หากมีอันตรายเกิดขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย ตนจะได้เปิดประตูหนีออกไปทันที


ไคลน์หรี่ตาลง จินตนาการภาพของบอลแสงซ้อนทับหลายชั้นจนเป็นก้อน และส่งตัวเองเข้าฌานอย่างรวดเร็ว


ชายหนุ่มเปล่งภาษาเอลฟ์เสียงต่ำ :


“ข้ารับใช้แห่งท้องทะเลและโลกวิญญาณ ผู้พิทักษ์แห่งหมู่เกาะรอสต์ ผู้ปกครองมวลหมู่สัตว์ทะเล เจ้าแห่งสึนามิและลมพายุ คาเวทูว่าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ศรัทธาของท่าน ขอภาวนาให้ท่านรับฟังคำขอร้อง ผู้ศรัทธาของท่าน ขอภาวนาให้ท่านรับเครื่องเซ่นสังเวย ผู้ศรัทธาของท่าน ขอภาวนาให้ท่านเปิดประตูสู่อาณาจักร”


หลังจากบทสวดสุดกระอักกระอ่วนจบลง สายลมเริ่มหมุนวนภายในกำแพงวิญญาณ ก่อนจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ราวกับจะพลิกทุกสิ่งให้ล้มระเนระนาด


ไคลน์ยืนขึ้นท่ามกลางลมพายุ หยิบขวดโลหะใบเล็กที่เตรียมไว้ออกมาเปิดฝา โปรยของเหลวในขวดออกไปประมาณห้ามิลลิลิตร สิ่งนี้คือโลหิตของนักล่าพันหน้าที่ยังเหลือจากการปรุงโอสถผู้ไร้หน้า โดยไคลน์นำมาใช้เป็นสื่อกลางในการสร้างอุโมงค์วิญญาณ


ทันใดนั้น สายลมรอบตัวดูดซึมหยดเลือดจนเหือดแห้ง ตามด้วยการบีบตัวลงและหมุนวนเหนือเทียนไขตัวแทนคาเวทูว่า แปรสภาพกลายเป็นสัญลักษณ์ของเทพสมุทร


ท่ามกลางความเงียบ เปลวเพลิงเทียนไขเริ่มขยายขนาดกลายเป็นบานประตูมายา พื้นผิวเต็มไปด้วยอักขระเวทมนตร์และสัญลักษณ์แปลกตาจำนวนมาก พร้อมกันกับเสียงคลื่นทะเลซัดสาดเป็นระลอกแผ่วเบาจากด้านใน


ทันใดนั้น ทุกสุ้มเสียงพลันเงียบเชียบ เหลือเพียงเสียงหายใจกระแทกกระทั้นดังลอดผ่านบานประตูมายา ลักษณะคล้ายกับสัตว์ป่าขนาดใหญ่ด้านหลังประตูพยายามระงับความหิวโหย


แฮ่ก. แฮ่ก. แฮ่ก…


เสียงหายใจดังคมชัดและถี่ขึ้นทุกขณะ จนเดนิสที่ยืนหน้าประตูเกิดอาการขนลุกขนพองไปทั้งร่าง


ตึง!


บานประตูมายาเปิดออกอย่างเกรี้ยวกราด ลมพายุก่อตัวขึ้นจนมองเห็นด้วยตาเปล่า


ท่ามกลางเสียงสายลมหวีดร้อง เดนิสเพิ่งรู้ตัวเมื่อสายว่า กำแพงวิญญาณล่องหนรอบแท่นบูชาถูกทำลายพังพินาศ พายุเฮอริเคนเริ่มกระจายตัวเป็นวงกว้าง ส่งร่างเดนิสลอยกระแทกบานประตูโกดังสินค้าด้วยแผ่นหลังอย่างหนักหน่วง


เดนิสลอยกระเด็นออกจากโกดัง กลางหลังเต็มไปด้วยบาดแผลขีดข่วนเป็นเส้นยาว


บอลไฟเริ่มก่อตัวบนฝ่ามือขวาตามสัญชาตญาณ แต่ท่ามกลางลมพายุกระโชก เปลวเพลิงย่อมดับมอดในพริบตา ราวกับเทียนไขแสนอ่อนไหวท่ามกลางสายฝน


ขณะร่างยังคงลอยกลางอากาศ เดนิสมองเข้าไปยังแท่นบูชาและเห็นภาพของปากงูทะเลขนาดยักษ์ ตามร่องฟันขาวมีคราบเลือดสีแดงเกรอะกรัง เขี้ยวยาวและโค้งงอเล็กน้อย โดยอีกฝ่ายกำลังใช้ปากกระแทกประตูมายาประหนึ่งหวังปรากฏตัวบนโลกแห่งความจริง เสียงคำรามอันบ้าคลั่งของสัตว์ป่าทำให้เดนิสเกิดเลือดกำเดาแตกฉับพลัน


ทางด้านไคลน์ก็หนีไม่พ้นอิทธิพลของพายุเฮอริเคน ลิ้นสองแฉกใหญ่ยักษ์กำลังยืดยาวจนเต็มทัศนวิสัย กลางลิ้นผุดสายฟ้าพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มกะทันหัน


ร่างกายไคลน์ไหม้เกรียมทันที ลิ้นยาวของอสรพิษพุ่งทะลวงร่างจนขาดครึ่ง ก่อนที่เหยื่อจะลุกไหม้กลายเป็นเพียงเศษกระดาษ


ไคลน์ปรากฏตัวจากอีกมุมหนึ่ง หมวกปลิวหายไปไหนไม่มีใครทราบ เสื้อผ้าสกปรกยับเยิน สภาพดูไม่จืดเลยสักนิด


แต่โชคยังดี มันทำใจไว้แล้วว่าอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น สติตั้งอยู่บนความไม่ประมาทแม้แต่วินาทีเดียว จึงใช้กระดาษคนตัวแทนได้ทันท่วงที


ถัดมาไม่นาน ณ ด้านหลังบานประตูมายาที่ไม่สั่นคลอนแม้แต่น้อย เมื่อคาเวทูว่าเห็นว่าการโจมตีของตนเปล่าประโยชน์ มันตัดสินใจชะงักกลางคัน


หลังจากสูดลมหายใจหนึ่งครั้ง เทพสมุทรเริ่มพ่นน้ำทะเลสีฟ้าครามออกจากความว่างเปล่าบริเวณลำคอ คลื่นทะเลสุดทรงพลังกำลังหมุนวนเป็นวงกลมจนเต็มโกดังสินค้า ปากของคาเวทูว่าเริ่มอ้ากว้างพร้อมกับสร้างวังวนพายุเพื่อดูดน้ำทะเลและทุกสรรพสิ่งเข้าไป เป็นพลังที่รุนแรงจนสามารถกลืนกินได้แม้กระทั่งเรือสินค้าลำใหญ่!


กล่องบุหรี่โลหะใจกลางแท่นบูชา ถูกคลื่นทะเลซัดโถมหายเข้าไปในวังวน


หม้อต้มที่เต็มไปด้วยขี้เถ้าสมุนไพรเองก็มีสภาพไม่ต่าง ถูกสายน้ำพัดพาเข้าไปในวังวนขนาดมหึมา


สิ่งของต่างๆ ภายในโกดังสินค้า รวมถึงเศษดินโคลนสกปรกบนพื้น ทั้งหมดถูกพัดพาเข้าไปในวังวนกระแสน้ำถ้วยหน้า


ไคลน์เองก็หนีไม่พ้นชะตากรรมที่ต้องถูกดูดเข้าไปในวังวน


ชายหนุ่มพยายามดีดนิ้วเพื่อจุดก้านไม้ขีดไฟในเสื้อ หวังส่งตัวเองให้หลุดพ้นจากกระแสน้ำเชี่ยวกรากรอบตัว แต่เพลิงยังไม่ทันลุกท่วมร่างกาย แรงดูดมหาศาลจากปากคาเวทูว่าได้ทำให้ไฟทุกชนิดดับมอดในพริบตา


ร่างไคลน์แบนราบอีกครั้ง กลายเป็นเพียงแผ่นกระดาษรูปร่างคล้ายมนุษย์


ขณะกระดาษคนตัวแทนเริ่มจมลงไปในกระแสน้ำ ไคลน์โผล่ออกมาอีกครั้งในจุดอื่น


แต่ก็ยังหนีไม่พ้นจากแรงดูดมหาศาล!


ในเสี้ยววินาทีความเป็นความตาย ชายหนุ่มปราศจากความลังเล ตัดสินใจเปลี่ยนให้ ‘ถุงมือดำ’ ข้างซ้ายซีดลง เจือสีเขียวเลือนราง


มันเปิดใช้งาน ‘ยุบพองหิวโหย’ และเลือกวิญญาณของ ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้!


เมื่อสัมผัสว่ามวลน้ำหนักร่างกายเพิ่มขึ้น ไคลน์เหยียดฝ่ามือซ้ายออกไปด้านหน้า


กำแพงน้ำแข็งหนาพอประมาณถูกสร้างขึ้นบดบังทัศนวิสัย ช่วยกีดกันตัวเองออกจากวังวนคลื่นของเทพสมุทรได้ชั่วคราว


ฉวยโอกาสดังกล่าว ไคลน์ย้ำเท้าลงไปบนพื้นจนจมลึก


เปรี้ยะ!


ผ่านไปเพียงหนึ่งวินาที กำแพงน้ำแข็งมิอาจคงสภาพเอาไว้ได้ ถูกบดละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยแรงดูดมหาศาลจากปากของเทพสมุทร·คาเวทูว่า


อาศัยพลังซอมบี้ ไคลน์เกร็งขาทั้งสองข้างที่กำลังจมดินเล็กน้อย ปลายเท้าปักหลักเหนียวแน่นโดยไม่ถูกกระแสน้ำพัดพาจนลอยตัว อย่างไรก็ตาม แรงดูดจากปากคาเวทูว่านั้นทรงพลังเกินกว่าจะต่อต้าน ร่างไคลน์ถูกดันเข้าใกล้บานประตูมายาทีละนิดในสภาพสองเท้าจมดิน ลากเป็นทางยาวจนเกิดหลุมลึกสองเส้นตรง


เดนิสด้านนอกโกดังสินค้าไม่ได้รับอิทธิพลจากแรงดูดมากนัก จึงพยายามสร้างบอลไฟขึ้นบนฝ่ามือขวา เจตนาเพื่อให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์กระโดดออกมา แต่ลมพายุโดยรอบกลับคอยยับยั้งความตั้งใจของมัน


ไคลน์ถูกดูดเข้าใกล้บานประตูมายาทุกขณะ กลิ่นคาวเลือดและเหม็นสะอิดสะเอียนของซากศพลอยสัมผัสปลายจมูก เบื้องหน้ามองเห็นเพียงเขี้ยวยาวสีขาวโค้งและมีคราบสีแดงแห้งกรัง


ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว และเป็นวิธีที่ได้ผลอย่างแน่นอน


ขั้นตอนดังกล่าวไม่ซับซ้อน ก็แค่โยน ‘ดวงตาดำล้วน’ ของนักเชิดหุ่นโรซาโก้เข้าไป!


ในเมื่อคาเวทูว่าต้องการดูดกลืนทุกสรรพสิ่งเข้าไปในปาก ถ้าอย่างนั้น เราก็จะให้มันได้กินโอสถเพิ่มอีกหนึ่งขวดโดยปราศจากวัตถุดิบเสริม และยังแถมด้วยจิตกัดกร่อนตกค้างจากพระผู้สร้างแท้จริง!


ฉันไม่ชื่อว่าแกในสภาพนี้จะทนไหว!


ไคลน์กัดฟันกรอด มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋าเสื้อในช่องลับที่เตรียมไว้


บางที อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณของมันสัมผัสถึงอันตราย หรืออาจเป็นเพราะคาเวทูว่าในร่างเสียสติมีความอดทนต่ำ เพราะในอีกไม่กี่อึดใจถัดมา เทพสมุทรตัดสินใจเงยศีรษะขึ้นพร้อมกับคำราม กระแสน้ำที่ถูกพ่นออกจากความว่างเปล่าบริเวณลำคอเริ่มชะงัก บางส่วนสาดกระเซ็นไปรอบบานประตูมายา


ครืนนน! เปรี้ยงงง!


บนเพดานโกดังเกิดเมฆฝนฟ้าคะนอง


คาเวทูว่าอ้าปากอีกครั้ง คราวนี้ บริเวณลำคอของมันมีประกายแสงสีเงินส่องสว่าง ตามด้วยการก่อตัวเป็นบอลสายฟ้าจำนวนมาก และมีเส้นสายฟ้ากะพริบวิบวับพันรอบ


จากนั้น มันพ่นบอลสายฟ้าขึ้นฟ้า


ท่ามกลางพายุฝน เมื่อบอลสายฟ้าลอยขึ้นสูงสัมผัสเมฆ บรรยากาศได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นพายุสายฟ้าทันที!


เมฆดำเริ่มขยายตัวกว้างจนเต็มโกดัง แท่นบูชาถูกทำลายจนราบคาบ


เปรี้ยง! เปรี้ยง! ทะเลพายุสายฟ้าเริ่มโหมกระหน่ำลงมายังภาคพื้นด้านล่าง ไคลน์โยกตัวหลบด้วยทักษะอันคล่องแคล่วโดยมีพลังวิเศษหลายชนิดช่วยสนับสนุน แต่ในคราวนี้ เดนิสด้านนอกโกดังก็หนีไม่พ้นรัศมีทำลายล้างของพายุสายฟ้า ทำได้เพียงยืนสั่นเทาอย่างมิอาจหักห้ามหลังจากถูกฟ้าผ่ากลางลำตัว


ไคลน์ผลาญ ‘กระดาษคน’ อย่างต่อเนื่อง จนใกล้ถึงขีดจำกัด แต่ทันใดนั้น ชายหนุ่มเริ่มตระหนักว่าสายฟ้าด้านบนเบาบางลงจากเดิม


เมื่อแท่นบูชาพังยับเยิน บานประตูมายาจึงถูกทำลายและปิดตัวเองลงจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว


โครม!


เทพสมุทร·คาเวทูว่าถูกตัดขาดความโลกความจริงอย่างไม่เต็มใจ เสียงลมหายใจเจือความหงุดหงิดเด็ดเล็ดลอดออกมาอย่างคมชัด


ในวินาทีนี้ ประตูมายาได้เลือนลับไปจากสายตาไคลน์และเดนิส ท่ามกลางความวุ่นวายภายในโกดังร้าง เหลือเพียงเทียนไขและเปลวเพลิงอ่อนระทวยที่ยังไหววูบอย่างเด่นสง่า


กึก! เดนิสเอนหลังพิงกำแพงด้านในโกดัง ฝืนพยุงตัวยืนอย่างยากลำบาก


มันต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่ร่างกายเอาแต่สั่นเทาต่อเนื่อง ทำได้เพียงใช้สายตาอธิบายความรู้สึกในปัจจุบัน :


เกอร์มัน·สแปร์โรว์แม่งบ้าฉิบหาย!


เหตุการณ์สุดสยองขวัญในท่าเรือแบนชี เรายังเก็บมาฝันร้ายจนถึงทุกวันนี้… เมื่อไม่กี่วันก่อน หลังจากสัมผัสดาบสั้นของกลุ่มต่อต้าน เจ้านั่นต้องคำสาปจนเกิดความผิดปรกติหลายอย่าง เราหวาดกลัวจนอยากจะหนีไปกลางคัน…และคราวนี้ พิธีกรรมสังเวยบ้าบอคอแตกของมัน เกือบอัญเชิญคาเวทูว่าลงมายังโลกมนุษย์! อันตรายฉิบหาย! ทำไมหมอนี่ถึงชอบใช้ชีวิตสุดโต่งนัก ชอบความตื่นเต้นมากรึไง? ทุกลมหายใจเอาแต่ก่อเรื่องที่อาจทำให้ชีวิตไม่มีวันพรุ่งนี้! ถ้าไม่เรียกว่าเสียสติ แล้วยังจะให้เรียกอะไรได้อีก!


…เทพสมุทร·คาเวทูว่าทรงพลังอย่างมาก ทั้งที่อยู่ในสภาพเจียนตาย ทั้งที่มีประตูแห่งการสังเวยคอยกีดขวาง แต่พลังบางส่วนของมันก็มากพอจะจัดการเราในพริบตา…สมแล้วที่เป็นครึ่งเทพผู้สามารถต่อกรกับ ‘เจ้าสมุทร’ ได้อย่างสูสี…


ไคลน์ดึงเท้าทั้งสองข้างขึ้นจากพื้น ก้มหน้าสำรวจความเสียหาย และพบว่ารองเท้าของตนมีสภาพพังยับเยิน


ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มพบว่าตนค่อนข้างโชคดี หรือไม่ก็เป็นเพราะชะตากรรมที่มิอาจหลีกเลี่ยง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ท้ายที่สุด เทพสมุทร·คาเวทูว่าก็ ‘รับ’ เครื่องสังเวยของตนเข้าไปอยู่ในอาณาจักร สิ่งนี้เป็นผลจากวังวนคลื่นที่ดูดกลืนทุกสรรพสิ่ง ไม่เว้นแม้แต่กล่องบุหรี่โลหะซึ่งมีออร่าสายหมอกเจือปน


หมายความว่า เราสามารถทำนายหารังของมันบนโลกวิญญาณได้แล้ว แต่ต้องรอให้คาเวทูว่าถูกจัดการเสียก่อน ผลการทำนายจะได้ไม่ถูกรบกวนหรือบิดเบือน…แต่การทำนายคราวนี้ต้องทำไปเรื่อย ๆ ระหว่างการค้นหาบนโลกวิญญาณ มิอาจพึ่งพาพลังของห้วงมิติเหนือสายหมอกได้…


ไคลน์ถอนหายใจยาว ก่อนจะพบว่าถุงมือข้างซ้ายกำลังเปี่ยมด้วยความบ้าคลั่งและหิวกระหายอันยากจะอธิบาย คล้ายกับอดใจรอกินเหยื่อไม่ไหว เตรียมกลืนกินวิญญาณของผู้สวมใส่แทน


แถวนี้ไม่มีอาชญากร…ไคลน์มองไปรอบตัวและพบเดนิสข้างประตูโกดัง


จิตของเพลิงพิโรธพลันหดเกร็ง มันรู้สึกราวกับถูกจ้องมองโดยสัตว์ประหลาดดุร้าย และกำลังจะกลายเป็นอาหารอันโอชะ


ความกระหายวิญญาณของอีกฝ่ายทำให้ร่างกายเดนิสยังสั่นเทาหนักหน่วง ไม่เหลือเรี่ยวแรงพอจะหันหลังวิ่งหนี


ทันใดนั้น มันได้ยินสุ้มเสียงอันเย็นชาของเกอร์มัน·สแปร์โรว์


“ปิดประตูแล้วออกไปข้างนอก”


“ด…ได้!” เดนิสต่อสู้กับความปวดแปลบอันเกิดจากอาการช็อกไฟฟ้า และรีบปิดประตูที่เปิดอ้าเพราะความโกลาหล


ไคลน์ไม่มัวรีรอ รีบประกอบพิธีกรรมสวดวิงวอนถึงตัวเอง ส่งจิตขึ้นไปตอบสนองเอง และโยน ‘ยุบพองหิวโหย’ ที่เริ่มคุมไม่อยู่เข้าไปในมิติสายหมอก


สุดยอดสมบัติวิเศษที่ทำให้เดนิสกลายเป็นเพียงเด็กทารก ยามนี้กลับสงบนิ่ง อ่อนโยน และว่านอนสอนง่ายทันที


……………………


ราชันเร้นลับ 546 : โลกวิญญาณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อกลับถึงโลกจริง ไคลน์รีบดับเทียน เก็บของสำคัญกลับใส่กระเป๋า และกวาดสายตาสำรวจสถานการณ์รอบโกดังอย่างละเอียด


โชคยังดี วังวนกระแสน้ำของคาเวทูว่าได้ชะล้างเกือบทุกสิ่งจนเกลี้ยง เหลือเพียงคราบฝนระลอกหลัง รอยไหม้จากสายฟ้าบนพื้นดินหลายจุด เศษขี้เถ้าโปรยปราย และรอยไถของฝ่าเท้าไคลน์บนพื้นสองเส้นตรงเป็นทางยาว


ร่องรอยพวกนี้ลบเลือนได้ไม่ยาก เพียงให้เดนิส ‘เก็บกวาด’ โกดังด้วยไฟบอล จัดฉากให้เป็นการทะเลาะกันระหว่างโจรสลัด…


ไคลน์พยักหน้า หยิบกระดาษคนที่เหลือเพียงน้อยนิดออกมาสะบัด


กระดาษคนตัวแทนลอยออกไป เผาไหม้ตัวเองจนเกรียม และโปรยปรายเถ้าถ่านสีดำร่วงกราวลงพื้น


เมื่อจัดการเสร็จ ไคลน์เดินตรงไปทางประตูโกดังที่เดนิสช่วยปิดสนิทและกำลังเฝ้าจากด้านนอก แต่ยิ่งก้าวเดิน ชายหนุ่มก็ยิ่งขมวดคิ้วเคร่งเครียด


พื้นรองเท้าหายเกลี้ยง ส่วนที่เหลือก็ฉีกขาดยับเยิน เสื้อผ้าและกางเกงล้วนเต็มไปด้วยรอยขาด คราบน้ำ รอยไหม้ และคราบสกปรก


นี่คือบาดแผลของนักรบ ลำพัง ‘กระดาษคนตัวแทน’ มิอาจรับความเสียหายได้ครบทุกประเภทอยู่แล้ว ; รอยฉีกขาดเกิดจากแรงดูดของคาเวทูว่า คราบเปียกชื้นเกิดจากพายุฝนระลอกหลัง รอยไหม้เกิดจากการใช้กระดาษคนตัวแทนหลบสายฟ้าช้าไปหนึ่งจังหวะ จวบจนตอนนี้ แม้อาการจะดีขึ้นมากแล้ว แต่แขนขวายังคงปวดแปลบจากอาการช็อกไฟฟ้า


“เสียหายแปดปอนด์ หกซูล… ต้องรีบซื้อเสื้อผ้าเซตใหม่โดยด่วน… แม้ว่าเราจะทำนายถึงอันตรายและเตรียมรับมืออย่างเหมาะสมแล้ว แต่คาเวทูว่าทั้งแข็งแกร่งและบ้าคลั่งกว่าที่เราคำนวณไว้มาก… ได้แต่หวังว่าผลตอบแทนภายหลังคุ้มค่ากับการลงทุน” ไคลน์ส่ายหน้าเงียบงัน พยายามเก็บซ่อนอารมณ์และความเจ็บปวด ก่อนจะเดินไปเคาะประตูทางออกโกดังสินค้าสามครั้ง


เดนิสสะดุ้งเฮือก ใช้เวลาราวสองสามวินาทีจึงค่อยกล้าเปิดประตู


เมื่อเห็นว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์กลับมาอยู่ในมาดเย็นชาและพูดน้อย ปราศจากจิตคุกคามอันหิวกระหาย เดนิสเริ่มหายใจทั่วท้อง ตามด้วยการจ้องเข้าไปในดวงตา และซักถามอย่างเป็นกันเอง


“จบแล้วใช่ไหม”


“ยัง” ไคลน์ยกมุมปาก เผยรอยยิ้มอบอุ่น


ยังอีก…? เดนิสเริ่มขมวดคิ้ว


“เหลืออะไร?”


ไคลน์ยังคงยิ้มอย่างมีเลศนัย :


“ทำความสะอาด หลังจากใช้สถานที่ของคนอื่น ก็ต้องเก็บกวาดให้เรียบร้อย มันเป็นมารยาท”


ทำความสะอาด… เดนิสยืนมึนงง ก่อนจะยกมือขวาขึ้นมาชี้ตัวเอง


“ฉัน?”


ไคลน์ฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม


“หรือนายคิดควรเป็นฉัน…”


…ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันคงได้ถูกไอ้ถุงมือบัดซบนั่นเขมือบเอาพอดี!


เดนิสหัวเราะแห้ง


“ทำความสะอาดยังไง?”


“ไฟบอล” ไคลน์ตอบห้วน


ในฐานะโจรสลัดพาร์ตไทม์ เดนิสไม่ต้องใช้ปัญญามากมายในการเข้าใจความหมายแฝงของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ มันรีบเดินผ่านไคลน์และเข้าไปในโกดังสินค้า


ระหว่างนั้น ภายในใจกำลังผุดคำถามและข้อสงสัยมากมาย


กัปตันเคยบอกว่า ยุบพองหิวโหยจะต้องเขมือบวิญญาณมนุษย์ทุกวัน แต่ในกรณีของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ชายคนนี้กลับให้ถุงมือกินเฉพาะอาหารหลังจากใช้พลังเท่านั้น ไม่ต้องคอยวุ่นวายหาเหยื่อทุกวัน… แต่การต่อสู้เมื่อสักครู่ มันใช้พลังของ ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้อย่างแน่นอน ถึงกระนั้น หลังจากจบศึกกลับไม่มีการ ‘ป้อน’ อาหารแต่อย่างใด… แปลกมาก… ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้…


พลังของผนึกบางชนิด? ชายคนนี้ ไม่สิ… องค์กรเบื้องหลังของมัน ใช้วิธีใดในการผนึกยุบพองหิวโหย…


ขณะเดนิส ‘ทำความสะอาด’ โกดังสินค้า ไคลน์กำลังยืนรอด้านนอก แหงนหน้ามองท้องฟ้าเมฆครึ้ม สมองไตร่ตรองแผนการขั้นตอนถัดไป


เรานำกล่องบุหรี่โลหะเจือออร่าสายหมอกซ่อนไว้ในรังของมันสำเร็จแล้ว เหลือแค่รอให้คาเวทูว่า เทพสมุทรกำมะลอ จากโลกนี้ไปอย่างสงบ… ได้แต่หวังว่าผู้วิเศษของโบสถ์และกองทัพจะยังตามหารังของมันไม่พบ หรือไม่ก็ เหลือบางสิ่งที่พวกมันไม่คิดว่าสำคัญ แต่ยังพอมีมูลค่า ให้เราสักชิ้นของชิ้นก็ยังดี…


ไคลน์หายใจเข้าออกด้วยจังหวะเชื่องช้า โสตประสาทรับฟังเสียงระเบิดโครมครามด้านหลังอย่างสงบ



ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง อัลเจอร์กำลังยืนริมหน้าต่าง สายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันหม่นหมอง


เราได้รับแก๊สสลบของผีดูดเลือดทันทีหลังจากชุมนุมทาโรต์ครั้งล่าสุดจบลง ฉะนั้นในทางทฤษฎี เราควรออกทะเลเพื่อรวบรวมวัตถุดิบสำหรับปรุงโอสถได้แล้ว แต่ผ่านมาเกือบหนึ่งสัปดาห์ กลับไม่โอกาสได้ออกจากบายัมแม้แต่ก้าวเดียว…


มุมปากอัลเจอร์สั่นระริกเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าอย่างจนปัญญา


ช่วยไม่ได้… ทุกสิ่งเริ่มจากการวางแผนล่าตัว ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้ของเดอะเวิร์ล โดยปฏิบัติการดังกล่าวสามารถทำเงินให้เราและเขาได้มหาศาล จึงต้องรอรับค่าหัวอย่างไม่มีทางเลือก… แต่เมื่อเงินค่าหัวอนุมัติ กลับมีเหตุการณ์ของคาเวทูว่าเกิดขึ้นซ้ำซ้อน งูทะเลยักษ์สูญเสียเสถียรภาพและใกล้ร่วงหล่น เราจึงต้องทำภารกิจตามหาตัวเลติเซีย·โดเรล่าของบิชอปโชโกรี…


เมื่อเช้าได้ยินว่า การสืบสวนแบบปูพรมช่วยให้พบตัวเลติเซียแล้ว ดูเหมือนทูตพิพากษากับกองทัพจะได้เบาะแสสำคัญมาไว้ในมือ มีหลายหน่วยถูกส่งไปยังเกาะไซมีมเป็นการเร่งด่วน… หึหึ งานแบบนี้ไม่มีทางหลุดมาถึงมือเราอยู่แล้ว…


อัลเจอร์เบือนหน้ากลับ ดึงชุดคลุมสั้นที่ชายยาวต่ำกว่าเข่าขึ้น พลางพึมพำ :


“อีกไม่กี่วันเท่านั้น…”


หากคาเวทูว่าเสียชีวิตลงและสึนามิรอบหมู่เกาะรอสต์สงบลง มันจะแล่นเรือออกจากท่าบายัม เมืองแห่งการให้ มุ่งหน้าค้นหาวัตถุดิบสำหรับปรุงโอสถ ‘ข้ารับใช้วายุ’ และยกระดับตัวเองกลายเป็นลำดับ 6 เสียที


ขณะสมองกำลังครุ่นคิด อัลเจอร์หันหลังกลับและมองออกไปนอกหน้าต่าง


มันเห็นเมฆดำค่อย ๆ ลอยห่างออกไป จันทราสีแดงสุกสว่างปรากฏขึ้นแทนที่



กลางดึกสงัด ขณะกำลังนอนหลับสบาย ไคลน์สะดุ้งตื่นเนื่องจากสัมผัสวิญญาณของตนถูกกระตุ้นรุนแรง


มันลุกจากเตียง เดินมายืนริมหน้าต่างและดึงผ้าม่านเปิด


แสงจันทร์สีแดงนวลฉาบทุกสรรพสิ่งภายใต้บรรยากาศอันงดงาม เป็นภาพอันชวนฝันและสุขสงบเหนือคำบรรยาย


ไคลน์กวาดสายตา และพบว่าเมฆที่ลอยต่ำผิดปรกติได้เลือนหายไปอย่างสมบูรณ์ จันทร์แดงกึ่งกลางท้องฟ้าถูกรายล้อมด้วยหมู่ดาราอย่างแจ่มชัด


หรือว่าการเผชิญหน้าระหว่าง ‘เทพสมุทร’ และ ‘เจ้าสมุทร’ จบลงแล้ว?


สองวินาทีถัดมา ไคลน์เบือนหน้ากลับ รูดม่านปิดสนิท และเดินถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก


ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะทองแดงยาว ในมือถือเหรียญทอง สายตาอ่านทบทวนประโยคทำนาย :


“คาเวทูว่าตายแล้ว”



หลังจากท่องครบเจ็ด มันดีดเหรียญทองขึ้นไปในอากาศ เพ่งมองการหมุนควงและหล่นกลับลงมา


แปะ! เหรียญทองลงจอดกึ่งกลางฝ่ามือ


ปรากฏด้านใบหน้ากษัตริย์!


หมายความว่า ‘ใช่’


คาเวทูว่า เทพสมุทรกำมะลอ เสียชีวิตอย่างสมบูรณ์แล้ว!


ไม่ผิดแน่ โบราณสถานเอลฟ์บนเกาะไซมีมต้องมีความเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับรังที่คาเวทูว่าใช้ซ่อนตัว… หลังจากทูตพิพากษาและกองทัพได้รับ ‘หนังสือแห่งภัยธรรมชาติ’ ไม่ถึงยี่สิบชั่วโมง พวกมันสามารถแกะรอยจนนำไปสู่ความตายของคาเวทูว่าสำเร็จ… เราเคยประเมินว่าอาจต้องใช้เวลานานถึงสามวัน…


ไคลน์ถอนหายใจ พยายามทำนายว่าคนของทางการค้นพบรังคาเวทูว่าแล้วหรือยัง


แต่ค่อนข้างน่าเสียดาย ผลลัพธ์ออกมาล้มเหลวทั้งหมด อาจเนื่องด้วยการมีข้อมูลไม่มากพอ จึงไม่ได้รับคำตอบหรือวิวรณ์ใดทั้งสิ้น


ไคลน์เริ่มเปลี่ยนความคิด มันปลดจี้บุษราคัมออกจากข้อมือซ้ายและเริ่มทำนายด้วยประโยค ‘การค้นหารังของคาเวทูว่ามีอันตรายหรือไม่’


เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตัวผู้ทำนายโดยตรง ผลลัพธ์จึงเกิดขึ้นไม่ยากเย็น :


จี้บุษราคัมหมุนทวนเข็ม ด้วยความเร็วไม่สูงมาก และวงการแกว่งก็ไม่กว้าง


มีอันตราย แต่อยู่ในระดับพอรับได้… อันตรายน้อยกว่าการประกอบพิธีกรรมสังเวยคราวก่อน…


ไคลน์พยักหน้า ส่งตัวเองกลับโลกความจริงเพื่อเตรียมการขั้นตอนถัดไป


มันเดินไปลงกลอนล็อกประตูห้องนอนอย่างแน่นหนา ตั้งแท่นบูชา และประกอบพิธีกรรมถึงตัวเอง


เมื่อกลับมายังห้วงมิติเหนือสายหมอกสีเทาอีกครั้ง ชายหนุ่มนำไพ่จักรพรรดิมืดสอดเข้าไปในร่างวิญญาณ


ทันใดนั้น ร่างวิญญาณไคลน์คล้ายกับมีเนื้อหนังห่อหุ้มทุกส่วน หมอกสีดำแผ่ออกไปรอบตัวด้วยบรรยากาศน่าเกรงขาม ชุดเกราะเต็มอัตราศึกสีดำผุดขึ้นตามร่างกาย เหนือศีรษะปรากฏมงกุฎสีดำสนิทแวววาวสง่างาม


เมื่อมองไปยังถุงมือหนังมนุษย์บางบนโต๊ะทองแดง ไคลน์เผยสีหน้าลังเล


หากเป็นมิติสายหมอก ยุบพองหิวโหยอาจว่านอนสอนง่ายและอยู่ในสภาพถูกผนึก แต่ถ้านำสิ่งนี้ออกไปข้างนอก เกรงว่าความหิวกระหายอันเกินจะควบคุมอาจส่งผลร้ายต่อตัวผู้สวมใส่เอง โดยไม่เกี่ยงว่าเป็นร่างเนื้อหรือร่างวิญญาณ


ไคลน์คิดหนัก ก่อนจะเริ่มสันนิษฐานว่า บางที อำนาจของพลังจักรพรรดิมืดอาจช่วยข่มขวัญให้ยุบพองหิวโหยยอมสงบเสงี่ยมชั่วคราว


แต่ถ้าเกิดปัญหาแม้เพียงเล็กน้อย เราสามารถยกเลิกการอัญเชิญและกลับมาที่นี่ได้อย่างปลอดภัย…หลุดพ้นจากปัญหาทันทีโดยแทบไม่มีความเสี่ยง …


ไคลน์ก้มหยิบยุบพองหิวโหย และสวมทับถุงมือเหล็กสีดำข้างซ้าย


โดยปราศจากความลังเล มันย่างกรายเข้าไปในประตูแห่งการอัญเชิญ ปรากฏตัวอีกครั้งบนโลกจริงด้านหน้าเทียนไข


ชายหนุ่มไม่ประมาท สิ่งแรกที่ทำคือการตรวจสอบท่าทีตอบสนองของยุบพองหิวโหย และโชคค่อนข้างเป็นใจ อีกฝ่ายยังคงสงบเสงี่ยม ยอมจำนนต่อพลังจักรพรรดิมืด


ไม่เลว… ไคลน์หายใจทั่วท้อง ตามด้วยการยัดนกหวีดทองแดงอะซิก ขวดพิษชีวภาพ เข็มกลัดสุริยัน และสมบัติวิเศษชิ้นอื่นเข้าไปในร่างกายจนครบ


จากนั้น มันหยิบไม้ค้ำเนื้อแข็ง เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการค้นหา ‘กล่องบุหรี่ที่หายไป’


แน่นอน หากหวังตามหารังของคาเวทูว่าให้พบ ไคลน์ต้องทำนายขณะอยู่บนโลกวิญญาณ ไม่อย่างนั้นคงมีเพียงความล้มเหลว


ในส่วนของวิธีเข้าสู่โลกวิญญาณ ไคลน์ไม่พึ่งพาทั้งสามวิธีของมิสเตอร์อะซิก เหตุเพราะตนกำลังอยู่ในร่างวิญญาณทรงอำนาจ หากไม่มีปัญญาหาทางเข้าโลกวิญญาณด้วยตัวเอง ก็คงไม่ต้องทำอะไรกินกันแล้ว


ไคลน์รวบรวมสมาธิ สร้างบอลแสงจำนวนมากซ้อนทับภายในจิตใจ เหตุการณ์ผ่านไปอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ สติชายหนุ่มเริ่มล่องลอยและว่างเปล่า พลังวิญญาณแผ่ขยายออกไปรอบตัวอย่างเจือจาง


เพียงไม่นาน มันพบว่าทัศนียภาพรอบตัวเริ่มแปรเปลี่ยน จากสมจริงกลายเป็นไม่จริง ยากจะอธิบายให้เห็นภาพชัด สีสันทั้งหมดทวีความฉูดฉาดเข้มข้น และซ้อนซับกันจนหมอกสีดำอมเทารอบตัวเริ่มจาง


เด่นตระหง่านบนท้องฟ้าคือริ้วแสงเจ็ดสีที่กำลังแหวกว่ายไปทั่วโลกวิญญาณ ส่องสว่างและเจิดจรัส คล้ายกับสิ่งมีชีวิตซึ่งอัดแน่นด้วยภูมิปัญญามหาศาล


ที่แห่งนี้คือโลกวิญญาณ มิติซึ่งซ้อนทับกับโลกความจริงโดยสมบูรณ์


หากบังเอิญพบคนของกองทัพหรือทูตพิพากษาเข้า เราจะสิ้นสุดการอัญเชิญและกลับสู่มิติสายหมอกทันที…


ไคลน์เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ย่างกรายเข้าสู่โลกวิญญาณอย่างง่ายดาย โดยกำลังรู้สึกว่าร่างของตนเป็นเพียงภาพมายา


ผ้าคลุมสีดำด้านหลังปลิวไสวแผ่วเบา ไม้ค้ำเนื้อแข็งในมือยังคงเหยียดตรงอย่างองอาจ


ชายหนุ่มเริ่มเปล่งเสียงน่าเกรงขาม :


“ตำแหน่งกล่องบุหรี่โลหะของเรา”



ทันใดนั้น ไคลน์พลันเย็นสันหลังด้วยเหตุผลบางประการ เหตุเพราะมันกำลังถูกสายตาจำนวนมาก เพ่งมองจากทุกทิศทางโดยไม่เบี่ยงไปยังจุดอื่น


เมื่อท่องครบเจ็ด ไคลน์ปล่อยมือจากไม้ค้ำ ปล่อยให้ผลการทำนายช่วยนำทาง


ไม้ค้ำเนื้อแข็งสีดำลอยขึ้น จากนั้นก็พุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็วไม่มากไม่น้อย


ไคลน์ลอยตามไป โบยบินท่ามกลางโลกวิญญาณอันลวงตา พิสดาร และเป็นปริศนา


ภายในสถานที่ลึกลับนี้ หากหลงทิศแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจหลงทางไปตลอดกาลโดยมิอาจหาทางกลับ


แน่นอน นั่นไม่เป็นปัญหาสำหรับไคลน์ มันก็แค่ใช้ทางออกแสนสะดวกสบายอย่างการสิ้นสุดพิธีกรรม ช่วยแก้ปัญหาในทุกเรื่อง


ไคลน์บินตามไม้ค้ำสีดำที่พุ่งตรงสลับฉวัดเฉวียนขึ้นลง ผ่านทิวทัศน์ซึ่งมีเพียงสีสันฉูดฉาดเข้มข้น ระหว่างทางเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตวิญญาณกึ่งล่องหน โดยตัวมันเองก็ตอบไม่ได้ว่าระยะทางยังอีกห่างไกลหรือไม่


ทันใดนั้น ชายหนุ่มได้พบกับดวงตากลมโตดวงหนึ่ง มีตาดำและตาขาวตามปรกติ


ดวงตาปริศนาจ้องไคลน์ไม่กะพริบ


ไม่มีศีรษะ และไม่มีร่างกาย


……………………


ราชันเร้นลับ 547 : นักบวช

โดย

Ink Stone_Fantasy

ดวงตาสีดำสลับขาวขนาดใหญ่มีลักษณะโปร่งแสง ลอยตัวอย่างเงียบงันท่ามกลางสีสันฉูดฉาดของบรรยากาศรอบข้าง ไม่เผยท่าทีมุ่งร้ายหรือเป็นมิตรให้เห็น


ทันใดนั้น ไคลน์หวนนึกถึงข้อความหนึ่งในหนังสือ ‘ประสบการณ์โลกวิญญาณ’ ที่เขียนโดยบรรพบุรุษตระกูลอับราฮัม :


“พยายามอย่าสบตาสิ่งมีชีวิตในโลกวิญญาณเกินสามวินาที เพราะนั่นถือเป็นพฤติกรรมยั่วยุ นอกเสียจากอีกฝ่ายแสดงท่าทีต้องการสนทนาอย่างสันติ ห้ามเผยอาการหวาดกลัวจนออกนอกหน้า เพราะนั่นจะเป็นการกระตุ้นให้นักล่าจู่โจมเข้าใส่”


เมื่อถ้อยคำเตือนใจผุดขึ้นในความทรงจำ ไคลน์รีบรวบรวมสติเพื่อ ‘ไล่ตาม’ ไม้ค้ำเนื้อแข็งที่กำลังบินไปข้างหน้า ด้วยความเร็วไม่มากไม่น้อย


ลูกตากลมโตทำเพียงจ้องมองร่างสวมชุดเกราะเต็มอัตราศึกสีดำ มงกุฎและผ้าคลุมสีเดียวกัน ค่อยๆ เหาะผ่านไปอย่างเงียบงันโดยมิได้โจมตีหรือขัดขวาง จนกระทั่งลับสายตาไปอย่างสมบูรณ์


ในทางทฤษฎี โลกวิญญาณคือสถานที่สุดแสนอันตราย หากไม่ระวังตัว อาจเผลอไปเผชิญหน้ากับตัวตนระดับครึ่งเทพเอาได้…


ไคลน์เหาะตามไม้ค้ำพลางตระหนักถึงความน่าสะพรึงของโลกวิญญาณ ท่ามกลางมิติอันยุ่งเหยิงและซับซ้อน ถึงจะมีริ้วแสงเจ็ดสีบนท้องฟ้าคอยช่วยนำทาง แต่การก้มมองลงไปยังเบื้องล่าง หันซ้าย หันขวา ข้างหน้า หรือด้านหลัง ก็ยังคงพบริ้วแสงเจ็ดสีอยู่เช่นเดิม


ถ้าไม่เพราะมีไม้ค้ำช่วยนำทาง เราคงหลงไปนานแล้ว…


ทันใดนั้น ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันว่างเปล่ารอบตัว หางตาไคลน์พลันเหลือบเห็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์เรียกว่าปราสาท กำลังลอยอยู่ตรงมุมสายตาหลังหนึ่ง สีดำล้วน ยอดแหลมสูงตระหง่าน กำแพงเต็มไปด้วยเถาวัลย์หนาทึบ แฝงกลิ่นอาย ‘โกธิก’ อย่างเต็มเปี่ยม


ยอดปราสาทมีหญิงสาวร่างกายโปร่งแสงคนหนึ่งกำลังยืนเด่นสง่า ตัวใหญ่ สูงเกือบเท่าปราสาท สวมเดรสสีดำยาว มอบความรู้สึกหรูหราและอึมครึม หล่อนไม่มีหัว รอยตัดตรงคอเรียบเนียนและไม่ชวนหวาดเสียว แขนสองข้างที่ห้อยลงมากำลังหิ้ว ‘ศีรษะ’ จำนวนสี่เศียร แบ่งเป็นข้างละสองเศียร หิ้วโดยการจับปลายเส้นผมยาวสลวยสีทองไว้แน่นกระชับ ทั้งสี่เศียรมีดวงตาสีแดงก่ำ ใบหน้าสะสวย หากพิจารณาให้ดีจะพบว่า เศียรทั้งหมดเหมือนกันราวกับแกะ


เมื่อไคลน์ จักรพรรดิมืด เหาะผ่านหน้าหล่อนไป เศียรทั้งสี่พลันกะพริบตาพร้อมกัน


ไคลน์ไม่หันไปตอบสนอง รีบบินตามไม้ค้ำโดยไม่เสียเวลาเหลียวมอง


หญิงสาวปริศนาหมุนตัวเล็กน้อย เพื่อให้ศีรษะในมือมองตามไคลน์จนกระทั่งลับสายตา


หล่อนเป็นตัวอะไรกันแน่…


ขณะกำลังครุ่นคิด ชายหนุ่มเห็นไม้ค้ำสีดำพลันพุ่งลงไปลงด้านล่างอย่างรวดเร็ว


มันรีบเหาะตาม และเป็นอีกครั้งที่ได้สัมผัสประสบการณ์คล้ายกระโดดตึก


ราวเจ็ดแปดวินาทีถัดมา เบื้องล่างไคลน์ปรากฏภาพอันไม่คมชัดของอาคารซากปรักหักพังขนาดใหญ่


ด้านนอกอาคารมีแมงกะพรุนยักษ์ตัวหนึ่งกำลังลอยเอื่อยเฉื่อย ดูแล้วน่าจะเป็นสัตว์วิญญาณ มันเหยียดหนวดยาวโปร่งใสที่ปกคลุมด้วยเมือกบางออกไปรอบตัว คล้ายกับบริเวณดังกล่าวเป็น ‘อาณาเขต’ ของมัน


สุดปลายหนวดแต่ละข้างมีกะโหลกมนุษย์สีขาวนมสดเชื่อมติด เบ้าตาลึก กำลังโยกเอนอย่างเชื่องช้าและอ่อนโยน ไปตามการเคลื่อนไหวของร่างกายที่มีเพียงน้อยนิด


ไม้ค้ำสีดำพุ่งผ่านสิ่งมีชีวิตประหลาดไป ก่อนจะหยุดค้างเหนือซากอาคารมายาที่พังถล่มจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม


พบเป้าหมายแล้ว? ไคลน์ดีใจในตอนต้น แต่ก็ต้องหันมาจ้องแมงกะพรุนยักษ์กำลังโบกกะโหลกมนุษย์ไปมา


ถึงจะอยู่ในสภาพพร้อมรบ แต่ไคลน์ก็ไม่คิดโจมตีบุ่มบ่าม ก่อนอื่น มันพยายามแผ่ออร่าความน่าเกรงขามด้วยลักษณะพิเศษของ ‘จักรพรรดิมืด’ และใช้ดวงตาเย็นชาจ้องมองเข้าไปในเบ้ากะโหลกดำลึก


แต่เมื่อสามวินาทีผ่านไปโดยไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ไคลน์ตัดสินใจพ่นถ้อยคำเฮอร์มิสโบราณ :


“ถอยไป!”


หมวดแมงกะพรุนสั่นกระตุกสองหน ก่อนที่ร่างกายขนาดมหึมาของมันจะค่อย ๆ แหวกว่ายหนีไปอย่างเชื่องช้า เลือนหายไปในโลกวิญญาณอันกว้างใหญ่


ไพ่จักรพรรดิมืดยังใช้การได้ดี…แต่ถ้าไม่ได้ผล เราจะโยนนกหวีดทองแดงของมิสเตอร์อะซิกออกไป ลูกหลานเทพมรณาคงมีอิทธิพลในโลกวิญญาณไม่มากก็น้อย…


ไคลน์หายใจทั่วท้อง ร่อนลงเล็กน้อย และก้มหยิบไม้ค้ำเนื้อแข็งสีดำที่ลอยอยู่กลับมาถือ


ถัดมา ด้วยสีหน้าคาดหวัง ชายหนุ่มเร่งความเร็วเพื่อร่อนลงไปให้ถึงพื้นซากปรักหักพังเบื้องล่าง


สำหรับมัน ถึงจะถูกโบสถ์วายุสลาตันกับกองทัพพบรังคาเวทูว่าตัดหน้าและกอบโกยสมบัติมีค่ากลับไป แต่หากยังมีเศษวัตถุวิเศษหลงเหลือแม้เพียงน้อยนิด ก็นับว่าคุ้มค่าแล้วกับการยอมเสี่ยงถ่อมาถึงตรงนี้


หรือต่อให้ไม่มีสิ่งใดเหลือเลย แต่เรายังมีโอกาสศึกษาร่องรอยของซากโบราณสถานเอลฟ์ บางที อาจมีจิตรกรรมฝาผนังให้ตีความ เท่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว…


ไคลน์ร่อนผ่านม่านล่องหน ทันใดนั้น อากาศรอบตัวพลันหนักอึ้งกะทันหัน


ทัศนวิสัยรอบตัวแปรเปลี่ยนทันที ห้วงมิติทั้งหมดกลายเป็นดินแดนใต้น้ำ ของเหลวสีฟ้าครามกำลังเติมเต็มพื้นที่ทุกซอกมุม


ก้นทะเลคือโบราณสถานเก่าแก่บรรยากาศอึมครึม อาคารโดยรอบพังทลายจนไม่เหลือเค้าเดิม แต่บางตึกก็พังลงไปเพียงครึ่ง


เสาหินต้นใหญ่ สลักลวดลายและอักขระพิสดาร ลอยสูงจากจุดใจกลางซากอาคารอย่างโดดเด่นในสภาพเอนเอียง มีแนวโน้มว่ามันเคยเหยียดตรงมาก่อนในอดีต ลักษณะดูคล้ายกับเสาเอกของอาคาร คอยค้ำยันดินแดนแห่งนี้ไว้อย่างมั่นคง แต่สำหรับปัจจุบัน เสาต้นยักษ์อยู่ในสภาพแตกหักและล้มเอนไปพิงกับอาคารใกล้เคียง


ไคลน์จดจำเสาหินได้ทันที เพราะเคยเห็นจากนิมิตบนมิติเหนือสายหมอก เป็นฉากของเทพสมุทร·คาเวทูว่ากำลังเลื้อยพันรอบเสาหินด้วยพฤติกรรมเสียสติ ที่นี่จึงเป็นรังของคาเวทูว่าบนโลกวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย


ทันใดนั้น ชายหนุ่มเริ่มสัมผัสถึงความเจ็บปวด เคียดแค้น เดือดดาล และบ้าคลั่ง คุกรุ่นอยู่ในบรรยากาศรอบตัวอย่างเข้มข้น ไคลน์เดาว่า นี่คงเป็นผลพวงจากเสียงคำรามสุดท้ายของคาเวทูว่าก่อนเสียชีวิต


ตายแล้วสินะ…


ชายหนุ่มกำไม้ค้ำแน่น ร่อนลงไปบนทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินสีเทาอมเขียวด้านหน้าซากโบราณสถาน


สองข้างทางถนนมีต้นเสาหินเรียงราย ลักษณะไม่ใหญ่ไม่สูง สลักลวดลายประหลาดที่แตกต่างจากเสาใจกลาง


ใต้ต้นเสาหินทุกต้นจะมีใครบางคนนั่งอยู่เสมอ บ้างสวมชุดคลุมยาวโบราณ บ้างสวมแจ็คเก็ตสีน้ำตาลล้ำสมัย


เมื่อตระหนักถึงผู้บุกรุก ทุกคนรีบชักอาวุธ มีทั้งดาบ ขวาน และอีกมากมาย เป็นการตอบสนองทันทีและด้วยอากัปกิริยาอืดอาด สายตาทุกคู่หันมาจ้องไคลน์ไม่กะพริบ เผยให้เห็นผิวหนังแห้งกร้านสีเทาซีด และร่างกายซูบผอมติดกระดูกจนแทบจะปราศจากเนื้อหนัง


พวกมันยืนเพ่งมองชุดเกราะและมงกุฎสีดำสนิทของไคลน์ ด้วยแววตาแฝงความคลั่งไคล้และว่างเปล่า


สาวกของคาเวทูว่า…


แต่ขณะเดียวกันก็หมายความว่า คนของโบสถ์วายุสลาตันและกองทัพยังหาที่นี่ไม่พบ…


ไคลน์ถอนหายใจ พลังวิญญาณถูกถ่ายลงในเข็มกลัดสุริยัน พลางเปล่งเสียงเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ


“ศักดิ์สิทธิ์!”


มันเปิดใช้งานพลัง ‘คำสาบานศักดิ์สิทธิ์’ ที่ติดมากับเข็มกลัดสุริยัน สรรพคุณช่วยเสริมให้การโจมตีแฝงธาตุศักดิ์สิทธิ์


กึก.


ไคลน์สะบัดข้อมือ เหวี่ยงไม้ค้ำ


มันเอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ซอยเท้าเข้าหา ‘องครักษ์เทพสมุทร’ ด้วยความเร็ว


ขณะกำลังวิ่งเต็มฝีเท้า ไคลน์ฉากหลบไปทางซ้าย รอดพ้นจากการถูกจามด้วยขวานของศัตรูอย่างหวุดหวิด พลางหมุนตัวกลับหลังเพื่อแทงปลายไม้ค้ำใส่ผิวหนังสีเทาแห้ง จนเกิดเป็นแผลลึกและส่องสว่าง


เพลิงสีทองศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งออกจากรอยแผลดังกล่าว แผดเผาร่างองครักษ์เทพสมุทรจากภายในอย่างไร้ความปรานี


กึก.


ไคลน์ใช้เท้าเตะศัตรูจนเสียหลักล้ม ต่อด้วยการกระโจนเข้าหาเป้าหมายถัดไป


ที่ด้านหลัง องครักษ์เทพสมุทรซึ่งกำลังทิ้งตัวลงบนพื้น ถูกเปลวเพลิงสีทองคลอกร่างจนกลายเป็นเพียงเศษเถ้าถ่าน


กึก. ชายหนุ่มโน้มตัวไปข้างหน้า โยกตัวหลบการโจมตีจากองครักษ์เทพสมุทรซ้ายทีขวาทีด้วยท่วงท่าคล่องแคล่ว


ระหว่างนั้น ไม้ค้ำถูกกวัดแกว่ง เล็งแทง ฟาดทุบ หรือไม่ก็ตีกวาด สร้างรอยแผลสีทองลงบนร่างกายองครักษ์มัมมี่อย่างทั่วถึง


กึก. กึก. กึก.


ไคลน์วิ่งตรงไปตามถนนหิน จนกระทั่งหยุดยืนหน้าอาคารซากปรักหักพัง


ด้านหลังผ้าคลุมสีดำสะบัดพลิ้ว องครักษ์เทพสมุทรถูกเปลี่ยนให้เป็นคบเพลิงสีทองสว่างไสว แสงอร่ามฉาบลงบนเสาหินและทางเดินไปพักใหญ่


องครักษ์มัมมี่ล้มลงทีละคนสองคน ไม่หลงเหลือใครที่ยังมีท่าทีขัดขืน


ด้วยท่าทีระมัดระวัง ไคลน์ย่างกรายเข้าไปในอาคารหลังที่มีเสาหินต้นยักษ์วางตั้งอยู่


สิ่งสะดุดตาอย่างแรกคือลำตัวขนาดมหึมาของงูทะเลยักษ์สีฟ้า ปกคลุมด้วยเกล็ดมันวาว ผิวเกล็ดสลักลวดลายแบบเดียวกับโบราณสถานแห่งนี้


ปากขนาดยักษ์ของงูทะเลกำลังกัดลงบนโคนเสาหิน เขี้ยวสีขาวหลายซี่ฝังจมลงไป


ช่วงลำตัวถัดจากศีรษะพาดยาวไปตามพื้นห้องโถงใหญ่ กินพื้นที่มากถึงหนึ่งในสาม มองผิวเผินคล้ายกับสันเขาลูกหนึ่ง ทว่า ตามลำตัวเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ บ้างเหวอะหวะ บ้างเห็นถึงกระดูก


ละอองแสงสีฟ้ากำลังลอยไปรวมตัวบริเวณฟันซี่หนึ่งที่ยาวกว่าท่อนแขนมนุษย์เล็กน้อย ส่งผลให้เขี้ยวลักษณะโค้งงอเริ่มเหยียดตรงทีละนิดเมื่อเวลาผ่านไป


เสียงคำรามแฝงความเคียดแค้นยังคงอัดแน่นจนเต็มห้องโถง ส่งผลให้ร่างวิญญาณของไคลน์เริ่มสูญเสียเสถียรภาพ


ที่นั่น ใกล้กับศพของคาเวทูว่า ชายชราคนหนึ่ง สวมหมวกนักบวช กำลังโน้มตัวลงไปบนท้องของคาเวทูว่า


เส้นผมสีเทาซีจาง มองผิวเผินจึงเหมือนกับก้อนหินสีเทา ใบหน้าหันเข้าหาศพ เสียงประหลาดไม่เป็นภาษาเล็ดลอดออกจากลำคอตลอดเวลา ไคลน์มิอาจทราบได้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำสิ่งใด


รอบศพงูทะเลยักษ์เต็มไปด้วยซากมัมมี่แห้งกรังนอนเรียงราย ลักษณะคล้ายกับ ‘องครักษ์เทพสมุทร’ ด้านนอก เพียงแต่พิสดารกว่าหลายเท่า บางศพท้องป่องจนผิดธรรมชาติ บางศพท้องแตก แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ รอบริมฝีปากจะถูกฉาบด้วยคราบสีแดงแห้งกรังคล้ายเลือด มีสีฟ้าเจือปนอยู่เล็กน้อย


ละอองพลังงานสีฟ้ากำลังหลั่งไหลออกจากศพมัมมี่ มุ่งหน้าไปรวมตัวกัน ณ ฟันโค้งซี่หนึ่งในปากศพคาเวทูว่า


ยังไม่ทันที่ไคลน์จะไขปริศนาเหตุการณ์จนกระจ่าง ร่างกายชายชราสวมหมวกนักบวชตรงท้องคาเวทูว่าเริ่มสั่นกระตุก ต่อด้วยยืนขึ้นและหันหลังกลับมา


ด้วยตาของมันส่องแสงสีฟ้าสว่างจ้า เลือดสดเปียกชุ่มเต็มปาก กรามกำลังบดเคี้ยวก้อนเนื้อปริศนา


ในจุดที่มันเพิ่งเอาหน้าออกมา บาดแผลบนศพคาเวทูว่ามีสภาพเหวอะหวะชวนอ้วกแตกอ้วกแตน มวลเนื้อแหว่งไปเป็นจำนวนมาก อีกนิดเดียวก็จะเผยให้เห็นกระดูกสีขาว


ชายคนนี้กินศพเทพสมุทร·คาเวทูว่า!


นี่มัน…ไคลน์ขมวดคิ้ว เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวในหัว :


หลังจากคาเวทูว่าตาย นักบวชและองครักษ์ในห้องโถงต่างพากันเสียสติ จึงเริ่มกัดกินศพอย่างบ้าคลั่ง!


จนถึงตอนนี้ ตะกอนพลังของคาเวทูว่ายังควบแน่นกลายเป็นผลึกไม่เสร็จ ส่งผลให้พลังพิเศษส่วนใหญ่ยังคงฝังอยู่ในศพ เมื่อกินเนื้อจากศพเข้าไป บรรดาองครักษ์และนักบวชจึงเผชิญปัญหา ‘ดื่มโอสถเกินขนาด’ หรือไม่ก็ ‘ดื่มโอสถขัดแย้งกับเส้นทาง’ จนหลายคนเสียชีวิตคาที่


แต่ก็มีหลายรายโชคดีพอจะรอดชีวิตมาได้ในอัตราต่ำ ไม่คลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์ประหลาด บางรายสามารถข้ามลำดับพลังจนกลายเป็นตัวตนแข็งแกร่ง บางรายได้ครอบครองพลังของหลายเส้นทาง กลายเป็นผู้วิเศษกึ่งเสียสติแต่ทรงพลัง


แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ล้วนอันตรายทั้งสิ้น!


สายตาไคลน์เบือนจากใบหน้าของนักบวช ลงมายังบริเวณช่องท้องบวมป่อง คล้ายกับสตรีตั้งครรภ์ ของอีกฝ่าย


ท้องของนักบวชกำลังยุบพองรุนแรง ราวกับด้านในมีหัวใจขนาดใหญ่ฝังอยู่!


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)