Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 539-540

 ราชันเร้นลับ 539 : ปฏิบัติการยามค่ำคืน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เมื่อผู้มาเยือนจากภายนอกหยิบดาบศักดิ์สิทธิ์ พระองค์จะปรากฏตัวบนโลกมนุษย์อีกครั้ง”


“…แล้วถ้าดาบศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายล่ะ?”


สองประโยคข้างต้นกำลังดังก้องในหัวเอ็ดมันตันและไครัท กระบวนการความคิดของพวกมันดำเนินมาถึงทางตัน


ผ่านไปหลายวินาที ทั้งสองเอาแต่จ้องมองดาบกระดูกแตกหักด้วยสีหน้าเหม่อลอยและไร้ทิศทาง


พวกมันยากจะทำใจเชื่อว่า ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งถูกผู้มาเยือนจากภายนอกสัมผัสในช่วงค่ำของวันนี้ จะแตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยภายในเวลาไม่นาน!


หมายความว่าอย่างไร?


สื่อถึงอะไรได้บ้าง…


พวกมันไม่กล้าคิดไกล ความรู้สึกคล้ายกับย้อนไปยังจุดเริ่มต้นเมื่อหลายปีก่อน ณ เวลานั้น ทางกองทัพโลเอ็นได้สืบจนพบฐานลับของกลุ่มต่อต้าน และเข้ากวาดล้างอย่างฉับพลันโดยไม่ส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้า พ่อแม่ของทั้งคู่เสียชีวิตอย่างทารุณในเหตุการณ์ดังกล่าว ญาติพี่น้องเพศหญิงทุกคนถูกจับตัวไปขาย และได้รับข่าวร้ายในเวลาถัดมา


สำหรับตอนนี้ ไครัทและเอ็ดมันตันกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์สับสน กระสับกระส่าย ตึงเครียด และจนปัญญา ทั้งหมดผสมผสานจนเกิดเป็นความซึมเศร้าหดหู่


“พวกเราต้องกลับไปอยู่ในป่า… ตามหาท่านนักบวชและสืบหาเหตุผลเบื้องหลังของเหตุการณ์คราวนี้ให้ได้ บางที นี่อาจเป็นวิวรณ์ครั้งสุดท้ายของพระองค์…”


ไครัทหมุนวีลแชร์ กล่าวด้วยเสียงดำดิ่ง


เอ็นมันตันลุกขึ้นยืน หันไปออกคำสั่งกับกลุ่มต่อต้านคนที่เหลือ


“พวกนายทุกคนยังต้องตามล่าตัวผู้ลบหลู่เทพต่อไป แต่ให้รีบย้ายออกจากที่นี่ แล้วก็ กำชับสาวกด้านนอกอย่างเคร่งครัด หลังจากนี้ ห้ามมิให้ใครประกอบพิธีกรรมหรือวิงวอนถึงพระองค์เด็ดขาด!”


การเปลี่ยนแปลงในตัวองค์เทพอย่างกะทันหัน ได้ทำให้พวกมันหวาดระแวงมากเป็นพิเศษ



เมืองบายัม ณ มุมหนึ่งของถนนที่มีมหาวิหารคลื่นสมุทรตั้งอยู่


เดนิสกำลังถือกระดาษสีขาวปึกใหญ่ สีหน้าเผยความร้อนรนเล็กน้อย สับสนเล็กน้อย และกังวลเล็กน้อย ก่อนจะซักถาม :


“นายกำลังหมายความว่า ให้ฉันแปะพวกมันไว้ตามจุดต่างๆ ของถนน และสุดท้ายให้แปะไว้หน้าประตูวิหารคลื่นสมุทร?”


เดนิสกังวลว่า ขณะตนกำลังนำใบประกาศไปแปะ นักบวชและบิชอปจำนวนมากอาจเปิดประตูพรวดออกมา และรุมกระทืบโดยไม่ซักถามว่าแปะกระดาษไปเพื่ออะไร


ไคลน์รักษามาดขรึม


“ถูกต้อง”


แผนเดิมของชายหนุ่มก็คือ ส่งข่าวคราวของ ‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่าให้แฮงแมน และฝากฝังให้อีกฝ่ายแอบนำไปแจ้งกับโบสถ์วายุสลาตันโดยตรง แต่หลังจากประเมินว่าแฮงแมนกุมความลับของท่าเรือแบนชีเอาไว้ และบางที ชายคนนั้นอาจรายงานให้เบื้องบนทราบแล้ว ถ้าได้รับเบาะแสสำคัญเพิ่มเติมภายในเวลาไม่นาน อาจทำให้เบื้องบนเกิดความสงสัย ไคลน์จึงตัดสินใจจัดการปัญหาเกี่ยวกับ ‘เทพสมุทร’ ด้วยตัวเอง


วิธีการก็ไม่ซับซ้อน เพียงแปะใบประกาศไว้หน้าประตูหลักของ ‘ทูตพิพากษา’ ให้พวกมันพบเห็นทันทีเมื่อเดินออกมา


อย่างไรก็ตาม แผนนี้ยังติดปัญหาอยู่เล็กน้อย เนื่องจากไคลน์ยังไม่ทราบว่า ห้างร้านหรือบริษัทใดรอบวิหารคลื่นสมุทร คือฉากหน้าของหน่วย ‘ทูตพิพากษา’ กันแน่ จึงต้องให้เดนิสทำงานหนักกว่าปรกติ คอยแปะใบประกาศจนทั่วสถานที่ต้องสงสัย รวมถึงจุดสำคัญอย่างประตูหลักของมหาวิหารคลื่นสมุทร


“…”


เรามัวทำอะไรอยู่ น่าจะเผ่นหนีไปตั้งนานแล้ว… ทำไมถึงได้ต้องคิดว่าหมอนี่มีบุญคุณเคยช่วยชีวิตเราไว้… เฮ่อ… บางที ถ้าเราแข็งแกร่งและมีค่าหัวแพงกว่าปัจจุบันอีกสักหน่อย คงถูกเปลี่ยนเป็นทองปอนด์ไปนานแล้วกระมัง… ไม่สิ เราไม่มีทางทราบล่วงหน้าว่า คนเสียสติอย่างมันจะขจัดคำสาปของเทพสมุทรได้ง่ายดาย… การวิ่งหนีอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายกว่าเดิม…


เดนิสถอนหายใจห่อเหี่ยว คลี่ปึกกระดาษสีขาวในมือ และชำเลืองอ่านข้อความ


“หลังจากเลติเซีย·โดเรล่าและคณะได้ลอบเข้าไปในโบราณสถานของ ‘เทพสมุทร’ บนเกาะไซมีม พวกเธอก็ถูกตามล่าโดยกลุ่มต่อต้านทันที ; ขณะเดียวกัน ไครัทและกลุ่มต่อต้านคนอื่นพยายามขายดาบกระดูกที่มีลักษณะโค้งงอเล็กน้อย ; คาเวทูว่า เทพสมุทร กำลังขาดเสถียรภาพ และใกล้อาละวาดอย่างเสียสติเต็มที”


แล้วเกอร์มัน·สแปร์โรว์ทราบได้อย่างไรว่า เทพสมุทร·คาเวทูว่ากำลังขาดเสถียรภาพ? แถมยังบอกภาพจิตใจได้อย่างละเอียด… เป็นการค้นพบหลังจากขจัดคำสาปของเทพสมุทรสำเร็จ? ว่าแต่ หมอนั่นขจัดคำสาปทรงพลังด้วยตัวเองได้ยังไง! ดูเหมือนว่า องค์กรลับเบื้องหลังจะทรงพลังเหนือจินตนาการเราไปมาก… หรือจะเป็นเหมือนกับชุมนุมแสงเหนือ สาวกผู้ศรัทธาต่อเทพแท้จริง?


ยิ่งครุ่นคิด เดนิสก็ยิ่งหวาดกลัว ย้อนกลับไปหลายปีก่อน มันเคยได้ยินชื่อชุมนุมแสงเหนือครั้งแรกจากโจรสลัดกลุ่มหนึ่ง


ในตอนนั้น เราได้เห็นสีหน้าดำมืดของกัปตันเป็นครั้งแรก… โดยในเวลาถัดมา กัปตันตัดสินใจสอนพื้นฐานของโลกผู้วิเศษให้กับลูกเรือทุกคน…


ไคลน์ตอบสนองสายตาของเดนิสด้วยใบหน้าไร้อารมณ์


บนใบปิดประกาศ ชายหนุ่มตัดการวิเคราะห์ส่วนตัวออกไปทั้งหมด เลือกอธิบายเพียงข้อเท็จจริง จะได้ไม่เป็นการรบกวนสมมติฐานทางฝั่งโบสถ์วายุสลาตัน


อีกทั้ง ไคลน์มิได้ระบุลงไปว่าเลติเซียและคณะทำการขโมยบางสิ่งออกมา และคำว่าวิหารร้างได้เปลี่ยนเป็นวลีคลุมเครืออย่าง ‘โบราณสถานเทพสมุทร’ แทน รวมถึงไม่ได้บอกว่า ไครัทและกลุ่มต่อต้านอาจละทิ้งฐานทัพในปัจจุบัน เมื่อตระหนักถึงความผิดปรกติเกี่ยวกับเทพสมุทร


เดนิสสลัดความคาใจทิ้งไป ไม่กล้าตั้งข้อสงสัยเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าว


กัปตันเคยกล่าวไว้ว่า ยิ่งทราบความลับของคนอื่นมากเท่าใด ตัวเราก็ยิ่งเป็นอันตรายมากเท่านั้น!


หลังจากครุ่นคิดสักพัก เดนิสถาม


“หากติดไว้หน้าวิหารคลื่นสมุทร ทางโบสถ์วายุสลาตันคงไม่นิ่งนอนใจแน่… และถ้าเป็นแบบนั้น พวกมันก็ต้องรู้ใช่ไหมว่าเป็นฝีมือของฉัน?”


ไคลน์ตอบห้วน


“ใช่”


เดนิสยิ้มแห้ง


“แล้วฉันจะไม่ฉิบหายเอาหรือ?”


ไคลน์ใช้พลังตัวตลกยืนกลั้นขำหน้านิ่ง พลางตอบกลับอย่างเย็นชา


“นายมีค่าหัวติดตัวอยู่แล้ว”


คิดว่าตัวเองสามารถเดินกร่างไปบนถนนสายหลักของบายัมได้รึไง? ไคลน์เสริม


นั่นสินะ ไม่ว่าจะทำหรือไม่ แต่โบสถ์วายุสลาตันก็คงตามล่าตัวเราอยู่ดี… เดี๋ยวสิ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!


เดนิสรีบโพล่ง


“แต่ค่าหัวของฉันจะเพิ่มขึ้น!”


ไคลน์ชำเลืองโดยไม่กล่าวคำใด เพียงฉีกยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัย


เมื่อเห็นภาพดังกล่าว คล้ายกับเดนิสได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า :


แบบนั้นก็ยิ่งดีเลยไม่ใช่หรือ?


ดีกับผีสิวะ!


เพลิงพิโรธหัวเราะแห้งสองครั้ง ก่อนจะรีบหยิบแผ่นกระดาษออกมา ไล่แปะตามจุดสะดุดตารอบเส้นถนนจนครบถ้วน อาศัยลมแรงยามค่ำยืนช่วยในการเดิน


เหมือนกับกำลังโฆษณาอะไรสักอย่าง…


ไคลน์สอดมือหนึ่งเข้าไปในกระเป๋าหนึ่งข้าง พลางยืนจับตามองการทำงานของอีกฝ่าย


ก่อนจะครุ่นคิด


การมีผู้ช่วยก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องทำเองให้เสื่อมเสียภาพลักษณ์… หากสมัยยังอยู่ทิงเก็นและเบ็คลันด์มีเบ๊แบบนี้บ้าง คงเป็นภาพที่น่าดูไม่น้อย…


จนกระทั่ง เดนิสเดินมาหยุดยืนหน้าประตูวิหารคลื่นสมุทร ก่อนจะเหยียดแขนปิดใบประกาศหนึ่งแผ่นลงไป จากนั้น มันกำหมัดแน่นและชกใส่ประตูเต็มแรง


โครม!


เมื่อจัดการเสร็จ เพลิงพิโรธหันหลังกลับและออกวิ่งเต็มฝีเท้า ประหนึ่งว่ามีทูตพิพากษานับสิบคนวิ่งไล่ตามจากด้านหลัง


ทางด้านไคลน์ก็ไม่กล้าประมาท มันหยิบกระดาษรูปคนออกมาถือ สะบัดข้อมือ ปล่อยให้แผ่นกระดาษไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน และรีบหนีออกจากจุดเกิดเหตุทันที


หลังจากเคย ‘ทำงานร่วมกัน’ ในปฏิบัติการคราวก่อน ไคลน์ได้ทราบถึงทัศนคติและธรรมชาติของทูตพิพากษาอย่างถ่องแท้ จึงไม่กล้าทำตัวเอ้อระเหย


จนกระทั่ง ทั้งคู่ออกห่างจากวิหารคลื่นสมุทรมาไกลพอสมควร ‘คนร้าย’ ทั้งสองจึงลดฝีเท้าลง กลับไปเป็นการเดินตามปรกติ


เดนิสยังคงไม่เหน็ดเหนื่อย ใบหน้าไม่แดง และลมหายใจปรกติ


มันซักถามด้วยสีหน้าฉงน


“ทำไมนายถึงไม่เขียนจดหมายไปหาตำรวจหรือศาลากลางเมือง แบบนั้นไม่เร็วกว่าหรือ?”


ขณะรอคำอธิบายจากอีกฝ่าย เดนิสเกิดฉุกคิดคำตอบได้ด้วยตัวเอง


จริงสิ… ตำรวจปลายแถวและข้าราชการท้องถิ่นส่วนใหญ่เป็นชนพื้นเมือง บางคนอาจเห็นใจกลุ่มต่อต้าน และบางคนอาจเป็นสาวกเทพสมุทรด้วยซ้ำ


ขณะกำลังครุ่นคิด คนทั้งสองเลี้ยวเปลี่ยนเส้นถนน จนพบกับอาคารสีแดงขนาดมหึมา


ด้านในเปิดไฟสว่าง ดนตรีดังเล็ดลอดเป็นจังหวะไพเราะ ผู้คนมากมายผ่านเข้าออก รถม้าสลับกันขับมาจอดด้านหน้า บรรยากาศไม่เหมือนกับกลางดึกสงัดเลยสักนิดเดียว


“ฮะฮะ! หลงมาถึงนี่จนได้” หลังจากยืนตะลึงสักพัก เดนิสเผยรอยยิ้มที่มนุษย์เพศชายทุกคนเข้าใจตรงกัน


โรงละครแดง…?


ไคลน์ ผู้มีความรู้เชิงทฤษฎีแน่น ทราบชื่อของสถานที่อโคจรตรงหน้าทันที


เดนิสหัวเราะ


“นี่คือหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวอันโด่งดังของมหาสมุทรโซเนียทั้งแถบ ด้านในเต็มไปด้วยหญิงสาวชาวไบลัมผู้เปี่ยมด้วยความลึกลับน่าค้นหา สาวเฟเนพ็อตดุดันร้อนแรง สาวอินทิสใจง่ายและเปิดเผย สาวสูงฟุซัคสูงใหญ่สัดส่วนเยี่ยมยอด สาวโลเอ็นรักนวลสงวนตัว และสาวพื้นเมืองอ่อนโยนว่าง่าย”


รู้เยอะชะมัด… มาบ่อย?


ไคลน์ชำเลืองไปทางเพลิงพิโรธโดยไม่กล่าวสิ่งใด


เมื่อสัมผัสถึงความคิดอีกฝ่าย เดนิสรีบเผยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน


“ค…แค่ฟังมาจากคนอื่น! ฉันเคยแวะมาไม่กี่ครั้งเอง… เมื่อก่อนฉันมีเงินไม่มาก จึงเที่ยวได้แค่เกรดปานกลาง มักอยู่ฝั่งทะเลหมอกเป็นส่วนใหญ่ แต่หลังจากเข้าร่วมฝันทองคำ…”


ไม่เลวทีเดียว… จริงอยู่ ลูกเรือของพลเรือโทธารน้ำแข็งอาจมีรายได้มากกว่ากลุ่มโจรสลัดอื่น แต่สำหรับโจรสลัดชายที่มีชะตากรรมต้องหมดเงินไปกับสุรานารี การเก็บเงินซื้อบ้านย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย… แต่หมอนี่กลับครอบครองบ้านในเมืองบายัมหลายหลัง นับว่าเก็บเงินเก่งเอาเรื่องทีเดียว… ไคลน์ครุ่นคิด


เดนิสไม่ต้องการสานต่อบทสนทนาเดิม


“อย่างไรก็ตาม ภายในบายัม นอกจากโรงละครแดงแล้ว โสเภณีตามท้องถนนก็ไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะแถบนั้น”


มันชี้ไปยังจุดห่างไกล


“โจรสลัดหลายคนเคยทำการทดลอง เดินไปเคาะประตูบ้านทุกหลัง ยื่นเงินออกมาและเสนอขอหลับนอนกับภรรยาเจ้าของบ้าน ปรากฏว่า มีมากถึงสี่ในสิบครอบครัวตอบตกลง… จุ๊จุ๊… ถ้าเป็นชาวโลเอ็นหน้าตาหล่อเหลาแบบนาย คงไม่มีบ้านไหนตอบปฏิเสธแน่นอน อย่างมากก็แค่พยายามซ่อนลูกสาวเอาไว้ไม่ให้นายเห็น ฮะฮะ! ในแต่ละปีจะมีทหารเรือของโลเอ็นข่มขืนหญิงสาวชาวบายัมเสมอ พวกมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าโจรสลัดสักเท่าไร แต่บทลงโทษกลับน้อยนิดจนน่าเจ็บใจ เพียงส่งกลับบ้านเกิดและปรับเศษเงิน ไม่มีการลงโทษทางวินัย”


ไคลน์ยืนฟังอย่างเงียบงัน สมองครุ่นคิดถึงภาพของกลุ่มสาวกเทพสมุทรจำนวนมาก ที่รวมตัวกันกราบไหว้รอบสระน้ำกลางจัตุรัสเมื่อช่วงค่ำ โดยสีหน้าทุกคนล้วนเปี่ยมความศรัทธาอย่างน่าประหลาด



กรุงเบ็คลันด์ คฤหาสน์ตระกูลโอดรา


เอ็มลินไวท์ ผู้จงใจเปิดเผยความผิดปรกติของตนให้แวมไพร์คนอื่นเห็นมาสักระยะ กำลังเดินตามคาซีมีลงไปชั้นห้องใต้ดินของคฤหาสน์ และเข้าไปยังห้องโถงใหญ่สีเทาขนาดใหญ่ ที่มีโลงศพเหล็กสีดำตั้งอยู่ใจกลาง


“ท่านลอร์ดนีบาสผู้ยิ่งใหญ่ ต้องการพบหน้าข้าด้วยเหตุผลอันใดหรือ” เอ็มลินซ้อมบทพูดดังกล่าวมาแล้วหลายหน แต่กลับมิอาจระงับความตื่นเต้นเอาไว้ได้


อย่างไรก็ตาม หากอ้างอิงตามหลักของการแสดงละคร ตนก็ไม่ควรเก็บซ่อนความกังวลและหวาดกลัวเอาไว้มากเกินไป


ต้องแสดงอารมณ์อย่างพอเหมาะ… และเราก็ทำได้โดยไม่มีจุดบกพร่อง!


เอ็มลินเริ่มใจเย็นลง


สุ้มเสียงแก่ชราดังออกจากโลงเหล็กที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์และลวดลายเวทมนตร์


“เพื่อชื่นชมเจ้า… เจ้ากล้าเสี่ยงชีวิตของตน สวดวิงวอนถึงเดอะฟูลเพื่อบรรพชนของเรา แม้จะไม่ได้รับการตอบสนองใดกลับมา แต่ก็ต้องใช้ความกล้าหาญเป็นอย่างมาก วีรกรรมของเจ้าควรค่าแก่การตกรางวัล นี่คือเงินเจ็ดพันปอนด์ เป็นรางวัลอันสมควรแก่คุณงามความดี หากไม่เพราะเหตุการณ์มหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์เข้ามาขัดขวาง พวกเราคงมอบให้เจ้าได้เร็วกว่านี้ แต่ปัจจุบันก็ยังไม่สายเกินไป อย่างไรก็ตาม เจ้าต้องคอยระมัดระวังตัวเองให้มาก ห้ามประมาทแม้แต่วินาทีเดียว หากเกิดเรื่องผิดปรกติขึ้น ให้รีบรายงานกับคาซีมีโดยด่วน”


ได้เงินจริงด้วย…


เอ็มลินทึ่งจนอ้าปากค้าง


……………………


ราชันเร้นลับ 540 : ยับยั้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม้จะพ้นจากห้องใต้ดินของคฤหาสน์ตระกูลโอดรามาแล้ว แต่เอ็มลินไวท์ยังไม่หายจากอาการมึนงง โดยยังทำใจเชื่อไม่ลงว่าตนเพิ่งได้รับเงินเจ็ดพันปอนด์มาอย่างง่ายดาย


กระดาษเช็คเงินสดในมือ อาจบางเบาจนแทบไม่มีน้ำหนัก แต่กลับเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยยืนยันให้เอ็มลินมั่นใจว่า ตนไม่ได้กำลังฝันไป


แผนของมิสเตอร์แฮงแมนได้ผล… ลอร์ดนีบาสมิได้เปิดโปงหรือลงโทษเรา แต่กลับตกรางวัลก้อนโตตอบแทน… แถมยังทำเป็นไม่ทราบว่าเราแอบติดต่อกับเดอะฟูล แสร้งตีหน้าซื่อคอยห่วงใย เพื่อที่ตัวเองจะได้แอบจับตามองจากในเงามืด… เบื้องบนของตระกูลผีดูดเลือดช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายนัก…


เอ็มลินใคร่ครวญสักพักก่อนถอนหายใจ


เพียงไม่นาน มันหันกลับมาสนใจในประเด็นอื่นที่สำคัญกว่า นั่นคือเงินรางวัลจำนวนเจ็ดพันปอนด์!


“ด้วยเจ้านี่ เราสามารถซื้อมรดกของบารอนผีดูดเลือดจากแฮงแมน จากนั้นก็ปรุงเป็นโอสถดื่ม เรากำลังจะได้เป็นบารอน… ลอร์ดเอ็มลิน·ไวท์ บารอนผีดูดเลือด!”


ดวงตาเอ็มลินกำลังกระจ่างใส จังหวะย่ำเท้าเป็นไปอย่างผ่อนคลาย


ในโลกของผีดูดเลือด หากไม่ได้รับมรดกจากอาวุโสผ่านพิธีกรรมเฉพาะเจาะจง ลำดับพลังของผีดูดเลือดทุกตนจะเทียบเท่ากับขณะแรกเกิด แทบไม่มีทางเพิ่มลำดับได้ด้วยอายุขัย


สำหรับผีดูดเลือดในวัยเดียวกันกับเอ็มลิน หากไม่นับกรณีของผู้โชคดี มีคนในครอบครัวใกล้ถึงอายุขัยและได้รับการส่งต่อพลังผ่านพิธีกรรม เกือบทั้งหมดจะยังอยู่เพียงระดับ ‘โตเต็มวัย’ ไม่มีโอกาสกลายเป็น ‘ขุนนาง’ ในอีกหลายสิบปีข้างหน้า


พ่อและแม่ของเอ็มลินก็มีชีวิตอยู่มานาน แต่จวบจนทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เป็นบารอน และมองไม่เห็นโอกาสเลยสักนิด!


ขณะย่างกรายออกจากประตูคฤหาสน์ ผีดูดเลือดหนุ่ม เอ็มลิน·ไวท์ แอบชำเลืองคาซีมี·โอดราด้านข้างด้วยหางตา


ผีดูดเลือดเก่าแก่ที่เคยดำรงชีวิตอยู่ในยุคสมัยโรซายล์ ปัจจุบันก็ยังเป็นเพียงบารอน… และเรากำลังจะก้าวไปอยู่ในจุดเดียวกัน!


วันดีคืนดี เราจะกลายเป็นมาร์ควิสผีดูดเลือดเหมือนกับลอร์ดนีบาส! ไม่สิ ต้องไปให้ถึงดยุคหรือไม่ก็เจ้าชาย! การจะเป็นผู้กอบกู้ของตระกูล มีแต่ต้องไขว่คว้าสิ่งนั้นให้ได้…


อา… มรดกบารอนมีราคาเกินกว่าสี่พันปอนด์เล็กน้อย ยังเหลือเงินอีกมากสำหรับซื้อตุ๊กตาเข้าบ้านเพิ่ม แถมยังเหลือพอจะซื้อชุดใหม่ให้พวกหล่อน…


เอ็มลินเหยียดตัวตรงโดยไม่ได้ตั้งใจ สองเท้าก้าวเดินด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม



เมืองเงินพิสุทธิ์ บ้านตระกูลเบเกอร์


เดอร์ริคจุดเทียนไข เตรียมตัวประกอบพิธีกรรมสังเวย


สายฟ้าด้านนอกผ่าสลับหยุดหลายหน จนกระทั่งเด็กหนุ่มสบโอกาสเหมาะ


มันมั่นใจมากว่า ในปัจจุบัน ‘ท่านประมุข’ ไม่สามารถจับตามองตนได้ เนื่องจากเพิ่งเดินทางออกไปพร้อมกับ ‘แจ็ค’ เด็กชายตัวเล็กที่ร่างกายพื้นฟูขึ้นจากตอนแรกพอสมควร และมีทีมสำรวจติดตามไปด้วยอีกจำนวนหนึ่ง เป้าหมายหลักคือการค้นหาสิ่งที่เรียกว่าชายฝั่งทะเล โดยจะเริ่มต้นจากซากปรักหักพังของเมืองก่อนหน้า


เดอร์ริคตั้งแท่นบูชาอย่างคล่องแคล่ว เอ่ยพระนามเต็มอันสูงส่งของมิสเตอร์ฟูลด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ ใบหน้าเปี่ยมศรัทธาและยำเกรง


เด็กหนุ่มลงมือช่ำชอง สังเวยวัตถุดิบวิเศษแก่ผู้ปกครองห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาอย่างเป็นระเบียบแบบแผน เริ่มจากถุงกระเพาะอาหารของผู้กลืนวิญญาณ ตามด้วยวัตถุดิบวิเศษในรายการของแฮงแมน


กำแพงสูงตระหง่านของเมืองเงินพิสุทธิ์เต็มไปด้วยรอยแตก แต่ก็ถูกถมจนแน่นด้วยดินแข็งสีดำ ตามผิวดินมีวัชพืชกระจุกตัว คอยโยกเอนไปตามลมคล้ายเส้นผมของมนุษย์


ทันใดนั้น พวกมันผงาดขึ้นในลักษณะคล้ายกับต้องการจับคว้าบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็หดกลับไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น



เช้าตรู่ ณ มหาวิหารคลื่นสมุทร


อัลเจอร์·วิลสัน ผู้เดินทางรับเงินค่าหัวของเหล็กกล้ากับพุ่มหนามสีเลือด กำลังยืนฟังข่าวสำคัญจากปากโชโกรี บิชอปประจำมุขมณฑลบายัม


เลติเซีย·โดเรล่าจากนิกายมอสส์ได้ปลอมตัวเป็นนักโบราณคดี ลอบแทรกซึมเข้าไปในป่าลึกบนเกาะไซมีม ไม่มีใครทราบว่าเธอทำอะไรลงไป แต่ส่งผลให้ ‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่า ใกล้อาละวาดอย่างเสียสติเต็มที โดยกำลังดิ้นรนเฮือกสุดท้ายเพื่อรักษาเสถียรภาพร่างกายเอาไว้


กล่าวกันว่า วิญญาณมารผู้เรียกตัวเองว่า ‘เทพสมุทร’ ได้ปกครองเกาะแห่งนี้มานาน จนกระทั่งหมู่เกาะรอสต์ถูกค้นพบ คาเวทูว่าจึงถูกพระคาร์ดินัลสองคนของกองทัพโค่นล้มด้วยพลังสมบัติปิดผนึกบางชิ้น ส่งผลให้ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน อาจรอดชีวิตได้อย่างหวุดหวิด แต่ต้องก็ซ่อนตัวมาตลอดนับจากนั้น


เรื่องราวข้างต้นขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน และไม่เคยเปลี่ยนแปลงอีกเลยจวบจนปัจจุบัน แล้วทำไมจู่ๆ เทพสมุทรถึงได้ขาดเสถียรภาพจนแทบครองสติไว้ไม่อยู่เช่นนี้?


อัลเจอร์ขมวดคิ้ว และพยายามมองหาปัจจัยที่แตกต่างจากเดิมในช่วงหลัง


“ฝีมือนิกายมอสส์? แล้วพวกมันมัวทำอะไรอยู่ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา? หรือจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการใหญ่ในอนาคตอันใกล้?”


ท่ามกลางความเคลือบแคลงและคาใจ อัลเจอร์พลันฉุกคิดได้อีกหนึ่งประเด็นสำคัญ


ความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงระหว่างปัจจุบันและกว่าร้อยปีก่อนก็คือ…


การมาเยือนเมืองบายัมของเดอะเวิร์ล!


ข้ารับใช้ของเดอะฟูลย่างกรายเข้ามาในเขตหมู่เกาะรอสต์!


ไม่ว่าจะไปยังที่ใด แต่ปลายทางจะต้องมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้น หรือไม่ก็กำลังคุกรุ่นตลอดเลยหรือ? ไล่จากโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ ความเปลี่ยนแปลงของท่าเรือแบนชี และปัจจุบันคือการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของเทพสมุทร·คาเวทูว่า รวมถึงเป้าหมายอันคลุมเครือของนิกายมอสส์…


ไม่สิ ระบุให้ชัดก็คือ ที่ใดใกล้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ ที่นั่นจะมีข้ารับใช้ของเดอะฟูลอยู่ด้วย… พวกเขารับบัญชาจากมิสเตอร์ฟูล แกะรอยพฤติกรรมขององค์กรลับและเทวทูตมาร!


หลังจากไตร่ตรอง อัลเจอร์เริ่มเข้าใจความเป็นไปของเหตุการณ์ คล้ายกับตนมองเห็นความจริงเบื้องหลังอย่างทะลุปรุโปร่ง


ไม่ใช่ทุกที่ที่เดอะเวิร์ลไปเยือนจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่ แต่เป็นเพราะจะมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้น เดอะเวิร์ลและข้ารับใช้คนอื่นจึงต้องไปเยือน!


เหตุการณ์คราวนี้เป็นประโยชน์ต่อมิสเตอร์ฟูลในด้านใดบ้าง… ท่านหวังทำลายขั้วอำนาจฝั่งตรงข้าม หรือหวังปลดพันธนาการบางส่วนของตนเองออก?


อัลเจอร์อดกลั้นความสงสัย และฉวยโอกาสสำคัญรายงานข้อมูลลับ


มันกำหมัดขวาทุบอกซ้าย สีหน้าเผยความลังเลชัดเจน :


“ท่านเจ้าคุณโชโกรี ระหว่างตามแกะรอยกลุ่มโจรสลัดที่เหลือของ ‘เหล็กกล้า’ ผมบังเอิญได้ยินข้อมูลสำคัญเข้า”


“ว่ามา” โชโกรีเตรียมสั่งให้กัปตันเรือยศบิชอปรายนี้ออกทะเลเพื่อตามหาร่องรอยของ ‘กลุ่มต่อต้าน’ แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายขัดจังหวะโดยอ้างเหตุรายงานข่าว สีหน้าของมันจึงฉุนเฉียวเล็กน้อย


อัลเจอร์ ‘นึกทบทวน’ ก่อนจะเล่า


“มีใครบางคนเอ่ยถึงท่าเรือแบนชีกลางวงสนทนา โดยระบุว่า แม้ที่นั่นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ตระกูลเมดีซีกลับยังคงซ่อนตัวอย่างลอยนวล ไม่มีใครหาพบ”


ท่าเรือแบนชี… การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่..


โชโกรีเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าวและซักถาม


“มันพูดอะไรอีก”


“เขาบอกว่า บิชอปบนเกาะแบนชีถูกกัดกร่อนจนเสื่อมทราม นอกจากนั้นก็หมดแล้วครับ… ท่านเจ้าคุณโชโกรี ตระกูลเมดีซีคือขุนนางจากยุคสมัยที่สี่ไม่ใช่หรือ?” อัลเจอร์แสร้งไร้เดียงสา


สีหน้าโชโกรีเริ่มอึมครึม


“สำหรับเรื่องนั้น คุณยังไม่ควรรับรู้ ผมจะรีบรายงานให้ท่านเจ้าคุณค็อตแมนทราบทันที”


บุคคลดังกล่าวคือพระคาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตัน อาร์ชบิชอปแห่งมุขมณฑลหมู่เกาะรอสต์ ผู้ปกครองโลกผู้วิเศษประจำเขตน่านน้ำหมู่เกาะรอสต์ทั้งหมด แยนน์·ค็อตแมน


โชโกรีครุ่นคิดสักพัก ก่อนซักถาม


“ใครเป็นคนเล่าเรื่องนี้ ลักษณะหน้าตาของมันเป็นอย่างไร”


อัลเจอร์เตรียมพร้อมแล้ว


“ผมไม่รู้จักอีกฝ่าย และชายคนนั้นก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย ผู้เล่าเบาะแสของท่าเรือแบนชีและตระกูลเมดีซีเป็นเด็กหนุ่มใบหน้าธรรมดา คางเรียวแหลม หน้าผากกว้าง ดวงตาสีดำ เส้นผมสีดำสนิท สวมแว่นตาคริสตัลขาเดียว เมื่อทราบว่าผมแอบฟัง นอกจากจะไม่โกรธ เขาเพียงหันกลับมายิ้มให้”


ที่อัลเจอร์กำลังอธิบายคือรูปลักษณะของ ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์!


มันต้องการให้พระคาร์ดินัลเข้าใจว่า การจงใจเปิดเผยความลับของตระกูลเมดีซีและท่าเรือแบนชี มีต้นเหตุมาจากความบาดหมางระหว่างราชาเทวทูต!


ไม่มีใครเหมาะจะเป็นแพะรับบาปมากกว่านี้แล้ว… ท่านคงไม่ออกมาอธิบายความจริงแน่ หรือต่อให้ทำก็คงไม่มีใครเชื่อ… การทำนายถึงอามุนด์ทุกชนิดคงไม่เกิดผล… ส่วนการทำนายถึงเรา ย่อมเกี่ยวพันกับมิสเตอร์ฟูล และผู้ทำนายคงไม่ได้ผลลัพธ์ใดเช่นกัน มีค่าเทียบเท่าการทำนายถึงอามุนด์โดยตรง…


อัลเจอร์ครุ่นคิดอย่างผ่อนคลาย


โชโกรีพยักหน้ารับ


“พยายามมองหาชายคนนั้นไว้ และอย่าลืมออกไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านให้ผม”


“ขอรับ เจ้าคุณท่านโชโกรี!” อัลเจอร์ขานรับด้วยสีหน้าเปี่ยมศรัทธา กำปั้นขวาทุบหน้าอกซ้ายเสียงดัง



เมฆดำลอยสูง ท้องฟ้าด้านบนมืดสนิท สายฝนกระหน่ำโปรยปรายเปาะแปะ สาดกระเซ็นพร้อมกับเกิดหมอกสีขาว


ณ ท่าเรือบายัม ระดับน้ำลอยสูงขึ้นทีละนิดมั่นคง เรือสินค้าและเรือโดยสารทุกลำออกอาการโคลงเคลง คล้ายกับใบไม้ปลิวลอยไปกลางอากาศ


ผ่านไปพักใหญ่ สายฝนยังคงสาดเทประหนึ่งฟ้ารั่ว ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจนชิดขอบทำนบกั้น ภายในเมืองเกิดแอ่งน้ำขังจำนวนมาก สภาพอากาศเป็นไปอย่างหดหู่


กลุ่มชนพื้นเมืองผู้มีใบหน้าคลั่งไคล้เจือความล่องลอย สวมเสื้อยืดทาลาบา แจ็คเก็ตเก่าโทรม ต่างกระจุกตัวริมหน้าผาหรือริมทำนบกั้นน้ำ ก่อนจะกระโดดลงทะเลไปทีละคนสองคน


ผิวหนังของพวกมันขาดความชุ่มชื้นอย่างฉับพลัน และเมื่อจมลงทะเล ร่างกายได้เปลี่ยนเป็นมัมมี่แห้งกรังโดยสมบูรณ์


ชนพื้นเมืองบางส่วนแหกปากพลางโผเข้ากอดทหารเรือที่เดินออกจากค่าย จากนั้นก็ใช้ฟันกัดกินเลือดเนื้ออีกฝ่ายจนถึงแก่ความตาย เกิดเป็นความโกลาหลวุ่นวายไปทั่วทุกหัวระแหง


โครม!


ตู้ม!


ทำนบกั้นน้ำพังทลาย กระแสน้ำทะเลปริมาณมหาศาลซัดเข้าโถมใส่บายัม


ไคลน์ลืมตาตื่น ความฝันเมื่อครู่ยังคงคุกรุ่นอยู่ในความทรงจำอย่างแจ่มชัด


ในฐานะนักทำนาย นี่คือสัญลักษณ์ของเหตุการณ์บางอย่างในอนาคต!


ไคลน์ลุกจากเตียง เดินออกจากห้องนอน และพบ ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิสกำลังยืนริมหน้าต่าง สายตาจ้องมองออกไปด้านนอก


ชายหนุ่มเห็นเมฆความกดอากาศต่ำกำลังสาดสายฝนลงมาด้านล่างอย่างไม่หยุดพักจนเมืองบายัมเปียกปอน


สัญญาณเริ่มขึ้นแล้ว…


ไคลน์เดินมายืนข้างเดนิส มองออกไปเห็นสภาพอากาศสุดปั่นป่วนภายนอกอาคาร โสตประสาทได้ยินเสียงคลื่นทะเลเจือจาง


ทันใดนั้น ท่ามกลางบรรยากาศค่อนข้างเงียบ เสียงฟ้าผ่าประหนึ่งระฆังสวรรค์ก้องกังวาน เมฆสีตะกั่วด้านบนเกิดระเบิดจนกระจายไปรอบทิศ สายฝนหยุดลงทันทีเมื่อขาดแหล่งกำเนิด เขตท่าเรือบายัมกลับคืนสู่ความปรกติภายในพริบตา


ในช่วงเช้าของวันใหม่ บายัมกำลังถูกฉาบด้วยแสงแดดอบอุ่นและสดใส


เดนิสส่ายหน้า พลางรำพันกับตัวเอง


“หืม… เมื่อเทพสมุทร·คาเวทูว่าไม่พบวิธียื้อชีวิตตัวเอง จึงละทิ้งความพยายามและกลายเป็นสัตว์ประหลาดเสียสติโดยสมบูรณ์… มันหวังเสกพายุฝนและสึนามิ เพื่อคร่าทุกชีวิตบนหมู่เกาะรอสต์ให้สิ้นซาก? ขณะเดียวกัน สาวกของมันมีพฤติกรรมประหลาด… โชคดีว่าเราแจ้งข่าวให้โบสถ์วายุสลาตันทราบล่วงหน้า ทางนั้นคงพอจะมีวิธีรับมือ… ไม่สิ ถึงเราจะไม่แจ้ง แต่เส้นทางเชี่ยวชาญน้ำทะเลและลมฝนอย่างวายุสลาตัน ย่อมสัมผัสถึงความผิดปรกติได้ก่อนใคร และรับมือในแบบฉบับตัวเอง… แยนน์·ค็อตแมนเปลี่ยนสภาพอากาศ”


แยนน์·ค็อตแมน… พระคาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตัน? ชายคนนั้นสามารถยับยั้งพลังของคาเวทูว่าได้ง่ายดายเพียงนี้เชียว?


ไคลน์มองออกไปพลางครุ่นคิด


เดนิสยังคงพล่าม


“ฉันเคยกังวล ฮะฮะ! กลัวว่าเทพสมุทรจะสร้างหายนะแก่บายัม… จนกระทั่งแยนน์·ค็อตแมนปรากฏตัว”


มันมิได้พูดกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เพียงพึมพำคนเดียวเรื่อยเปื่อย


“ถ้าเป็นใจกลางทะเล แม้แต่ ‘ราชาห้าห้วงสมุทร’ และ ‘ราชินีเงื่อนงำ’ ก็เอาชนะชายคนนั้นไม่ได้ กัปตันเคยเล่าว่า แยนน์·ค็อตแมนคือครึ่งเทพในลำดับ 3… ชื่อของโอสถก็คือ… เจ้าสมุทร”


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)