Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 537-538
ราชันเร้นลับ 537 : สัมผัสวิญญาณท่วมท้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
ด้านหลังประตูมีชายกำยำหนึ่งคนกำลังยืนจ้องกลับมา หน้าอกเปลือยเปล่า สักงูทะเลยักษ์สีฟ้าไว้บนท่อนแขน ทาแถบสีแดงสั้นตามสองข้างแก้ม หน้าอก และช่องท้อง โดยแต่ละตำแหน่งจะมีเส้นสีแดงเรียงซ้อนกันสามแถว
สมกับเป็นชนพื้นเมือง… แต่นี่มันไม่เด่นสะดุดตาไปหน่อยหรือ ถ้าออกไปเดินข้างนอกจะไม่ถูกตำรวจจับเอารึไง? พวกนายเป็นกลุ่มต่อต้าน เป็นองค์กรนอกกฎหมาย!
ขณะไคลน์เตรียมเบือนหน้าไปมองทางอื่น ขนคิ้วอันยุ่งเหยิงและสายตาเลือดเย็นราวกับสัตว์ป่าของอีกฝ่ายได้ทำให้ชายหนุ่มต้องขมวดคิ้ว
หมอนี่เคยฆ่าคนมามาก… ไคลน์ประเมินอย่างคร่าวจากสัมผัสวิญญาณ
ว่ากันตามตรง จิตและความทรงจำจากโลกเก่าได้ทำให้ชายหนุ่มเกิดความสงสารและเห็นใจบรรดากลุ่มกบฏหรือกองกำลังต่อต้านอาณานิคม ยังไม่รวมไปถึงความทรงจำสมัยอาณาจักรโลเอ็น แต่หลังจากได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นสาวกของ ‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่าซึ่งมีพฤติกรรมป่าเถื่อนไม่แพ้กัน ความสงสารได้แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดระแวงและสร้างระยะห่าง
นี่ไม่ใช่การเหยียดศาสนา แต่จากข้อมูลในปัจจุบัน ความเชื่อของชาวเกาะรอสต์ยังอยู่ในยุคเริ่มต้น นิยมการเซ่นสังเวยอาหาร เลือด และชีวิต ถือเป็นยุคสมัยที่ยังขาดความรู้ความเข้าใจโดยสิ้นเชิง
ไม่เพียงเท่านั้น จากประสบการณ์ของจักรพรรดิและของเราโดยตรง โลกผู้วิเศษใบนี้เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและบิดเบี้ยว หากเทพตนใดได้รับการสังเวยเป็นเลือดเนื้อ อาหาร หรือแม้กระทั่งชีวิต ก็คงยากจะปฏิเสธความเย้ายวนดังกล่าวได้…
ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใด เพียงเดินตามเดนิสเข้าไปในห้องตรงหน้า
“เอ็ดมันตัน พวกเขาเป็นใคร” สุ้มเสียงอันสุขุมไพเราะดังมาจากบริเวณหน้าต่าง
ชายสักลายบนแขนปิดประตูและตอบ
“ใครสักคนปลอมตัวมา”
ไคลน์เริ่มมองเห็นภาพรวมของห้องจากการกวาดสายตาหนึ่งครั้ง
ห้องรับแขกมีขนาดไม่ใหญ่ ยิ่งมีเครื่องเรือนอย่างตู้กับข้าว โต๊ะ และเก้าอี้อีกจำนวนหนึ่ง ความรู้สึกคับแคบก็ยิ่งชัดเจน
ประตูฝั่งขวาน่าจะเป็นห้องนอน ฝั่งซ้ายคือ ‘ห้องครัว’ ที่ถูกคั่นโดยตู้กับข้าว ในส่วนของห้องน้ำ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไม่มี เพราะระหว่างทางขึ้นบันไดมา ไคลน์พบว่ามีห้องน้ำรวมประจำอยู่ในแต่ละชั้น โดยกลิ่นอับอันเกิดจากการไม่ถูกทำความสะอาดเป็นเวลานาน ได้เร่งให้ผู้มาเยือนต้องรีบสับเท้าเดินหนี
บานหน้าต่างอยู่ตรงกลางเบื้องหน้า มีราวไม้ไผ่สองท่อนยื่นยาวออกไป สำหรับตากเสื้อผ้าที่เพิ่งซักเสร็จ
ชายกำยำสี่ถึงห้าคนกำลังนั่งหรือยืนบริเวณกรอบประตู ‘ห้องนอน’ และห้องรับแขก ทั้งหมดมีผิวสีเข้ม ผมสีดำหยักศกเล็กน้อย สวมเสื้อทาลาบาสีน้ำเงิน และแต้มผิวกายด้วยแถบสีแดงสั้นสามแถว ในส่วนของรอยสักงูทะเลตัวใหญ่ ไคลน์มิอาจระบุได้เนื่องจากถูกร่มผ้าบดบัง
บางคนเหน็บลูกโม่ดัดแปลงไว้ข้างเอวซ้าย บางคนถือลูกซองสีน้ำตาลแดง บางคนถึงขั้นสะพายกล่องโลหะสีขาวนวลไว้ด้านหลัง โดยในมือกำลังถือปืนไรเฟิลไอน้ำแรงดันสูง ทั้งหมดยืนล้อมเดนิสและไคลน์ในลักษณะครึ่งวงกลม
เจ้าของคำถามคือชายวัยสี่สิบ กำลังนั่งบนวีลแชร์ มีผ้าห่มปิดตั้งแต่เข่าลงไป ครึ่งท่อนบนสวมแจ็คเก็ตและเสื้อยืด
ศีรษะโกนล้าน เคราสองข้างเข้มจนเกือบเขียว ดวงตาสีน้ำตาลกักเก็บอารมณ์ไว้เต็มเปี่ยม และไม่เผยความสั่นคลอนให้คนแปลกหน้าเห็น
ชายคนดังกล่าวจ้องหน้าผู้มาเยือนสักพัก ก่อนจะเริ่มเผยรอยยิ้ม
“เพลิงพิโรธ”
เดนิสพลันผงะ ตามด้วยยิ้มแห้ง
“ไครัท ยังตาดีเหมือนเดิมเลยนะ”
แม่เย็*! เทคนิคการแต่งหน้าของเราห่วยแตกขนาดนั้นเชียว?
เดนิสกรีดร้องอย่างไม่ยอมรับ
ไครัทเมินเฉยคำเยินยอจอมปลอมจากปากอีกฝ่าย เพียงหัวเราะและกล่าวต่อ
“ได้ยินว่านายฆ่า ‘เหล็กกล้า’ กับ ‘พุ่มหนามสีเลือด’ ไปแล้วสินะ”
“หึหึ… ยังจะเป็นฝีมือใครได้อีก” เดนิสย้อนถามอย่างโอหัง
ไครัทหรี่ตาลง ชำเลืองมาทางไคลน์ ผู้มีใบหน้าไม่โดดเด่น อย่างเชื่องช้า
มันทราบเป็นอย่างดีว่า ลำพัง ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิสคงไม่มีทางจัดการโจรสลัดชื่อดังทั้งสองพร้อมกันได้แน่ อย่าว่าแต่ ‘เหล็กกล้า’ แม็กวิตี้เลย แม้กระทั่ง ‘พุ่มหนามสีเลือด’ เฮนดรี้ ก็อาจไม่มีปัญญา
มีข่าวลือว่าเดนิสลงมือสำเร็จเพราะได้รับความช่วยเหลือจากนักผจญภัยทรงพลัง ขณะเดียวกันก็ยังเป็นนักล่าค่าหัวมือฉมัง
ชายคนนี้เองหรือ… ไครัทจ้องเข้าไปในดวงตาไคลน์ และไม่พบความกังวล ตึงเครียด หรือหวาดระแวง เป็นดวงตาราวกับท้องทะเลลึกไร้ขอบเขต
ไม่ผิดแน่… หรืออย่างน้อย ชายคนนี้ก็แข็งแกร่งกว่าเพลิงพิโรธ!
ไครัทขยิบตาให้เอ็ดมันตันและคนอื่น เป็นการส่งสัญญาณลับให้เพิ่มความระมัดระวัง
“แล้วมาทำอะไร” ไครัทไม่สานต่อประเด็นไร้สาระ รีบเข้าเรื่องทันที
เดนิสชำเลืองไคลน์เล็กน้อย เมื่อได้สัญญาณอนุญาต มันกล่าวกับไครัท
“มาดูว่าพวกนายมีอะไรขายบ้าง”
ไครัทชี้นิ้วไปบนโต๊ะ
“ทั้งหมดนั่น”
โต๊ะตัวดังกล่าวเต็มไปด้วยสิ่งของพิสดาร เช่นนกหวีดกระดูกขาว ปี่สก็อตหยาบ ใบไม้เหล็กสีดำ และก้อนหินโชกเลือด
โดยไม่รอให้ไคลน์หรือเดนิสเริ่มตรวจสอบ ไครัทปรบมือเสียงดังและเริ่มพูด
“ฉันมีงานให้พวกนายทำ หากทำสำเร็จ เลือกหยิบไปได้เลยหนึ่งชิ้นโดยไม่คิดราคา”
มันหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะเสริม
“หากอ้างอิงจากคำพูดของคนนอก สิ่งของเหล่านี้ไม่ใช่สมบัติวิเศษ แต่เป็นเพียงวัตถุวิญญาณ และจะเสื่อมพลังลงเมื่อเวลาผ่านไป บางชิ้นเสื่อมเร็ว บ้างชิ้นเสื่อมช้า”
“งานอะไร” ไคลน์ซักถามเยือกเย็น โดยไม่ปิดบังว่าเดนิสเป็นเพียงคนติดสอยห้อยตาม
ไครัทสอดมือเข้าไปในผ้าห่มเหนือเข่า หยิบปึกกระดาษสีขาวจำนวนหนึ่งออกมาถือ
“ค้นหาแหล่งกบดานของพวกมัน หากจับเป็นจะยิ่งได้รับรางวัลตอบแทนมากกว่าปรกติ”
มันยกแขนขึ้น เผยให้ไคลน์เห็นภาพเหมือนของสี่บุคคล หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวแต่งกายด้วยเสื้อผ้าผู้ชาย ดวงตาสีฟ้าคราม
เลติเซีย·โดเรล่า… ไคลน์จดจำได้ทันทีว่ากลุ่มต่อต้านกำลังตามหาใคร
ชายหนุ่มเพิ่งได้พบหล่อนไปเมื่อคืน สตรีผู้เป็นทั้งนักโบราณคดีและนักผจญภัย แถมยังโดยสารเรือลำเดียวกันเมื่อช่วงสาย โดยอีกฝ่ายต้องสงสัยว่าจะเป็นสมาชิก ‘นิกายมอสส์’ หรือไม่ก็ ‘แก่นรุ่งอรุณ’
เดนิสพยายามจ้อง ก่อนจะเริ่มคุ้นเคย
ทันใดนั้น มันนึกได้ว่าตนเคยพบหญิงสาวคนดังกล่าวที่ไหน
เกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้านข้างตน เพิ่งเสกภาพของหล่อนเห็นในฝัน!
หมอนี่ถามกัปตันช่วงบ่าย จากนั้นก็พัวพันกับเธอทันทีในช่วงเย็น… เครือข่ายข้อมูลของเขาทรงพลังขนาดนี้เชียว?
เดนิสพยายามหักห้ามใจมิให้หันไปมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้านข้าง ด้วยเกรงว่าไครัทและเอ็ดมันตันจะพบความผิดปรกติ
ถ้าเป็นเรื่องทำนองนี้ เดนิสเป็นงานมาก
กลุ่มต่อต้านซึ่งเป็นสาวก ‘เทพสมุทร’ กำลังตามล่าตัวเลติเซีย… ศาสนาเทพสมุทรแผ่ขยายไปทั่วหมู่เกาะรอสต์ ย่อมรวมถึงเกาะไซมีม… เมื่อคืนเราพบงู… รูปลักษณ์ของเทพสมุทรคืองูทะเลยักษ์…
ไคลน์นำข้อมูลมาปะติดปะต่อจนเกิดเป็นสมมติฐานเบื้องต้น
นักโบราณคดีเลติเซียและคณะได้ขโมยสิ่งสำคัญออกจากวิหารเทพสมุทรในป่าลึกของเกาะไซมีม ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดในคืนดังกล่าว และในวันถัดมา กลุ่มต่อต้านได้ตามล่าตัวทันที…
หลังจากครุ่นคิด ไคลน์ตอบพอเป็นพิธี
“แล้วจะช่วยจับตามองให้”
เราจะไม่ยุ่งกับอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณมารทรงพลังเด็ดขาด และถ้าจำเป็น ก็คงต้องรายงานให้ทางการทราบ…
ชายหนุ่มเสริมสองประโยคหลังเงียบงัน
ไครัทพยักหน้ารับ
“ลองดูก่อนว่าอยากได้ชิ้นไหน”
ไคลน์เดินไปทางโต๊ะ ขณะเตรียมซักถามระหว่างเลือก สัญชาตญาณของมันพลันถูกกระตุ้นรุนแรง จนต้องหันไปมองวัตถุทางฝั่งขวาของโต๊ะตามจิตใต้สำนึก
วัตถุชิ้นดังกล่าวคือดาบสั้นทำจากกระดูกสีขาวนมสด ยาวเลยหนึ่งศอกไม่มาก ลักษณะบางเฉียบ มีรอยสีแดงเข้มแต้มหลายจุด
สามารถกระตุ้นสัมผัสวิญญาณเราได้…
ไคลน์เหยียดแขนขวาออกไป เตรียมหยิบของมีคมขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด
แต่ในวินาทีปลายนิ้วสัมผัส เสียงเพรียกอันสิ้นหวังและเจ็บปวดพลันกังวานในหัว กลิ่นคาวเลือดเข้มข้นลอยแตะปลายจมูก พร้อมกันกับการเห็นภาพมายา เป็นร่างอันเน่าเปื่อยและบิดเบี้ยว กำลังจมอยู่ในกองเมือกของเสีย
หน้าผากไคลน์ประสบอาการปวดแปลบฉับพลัน คล้ายถูกของมีคมกรีดแทง ก่อนจะได้สติและรีบชักมือกลับตามสัญชาตญาณ
แปลกมาก… ไม่ใช่วัตถุวิญญาณธรรมดา…
อย่างไรก็ตาม ไคลน์ผู้เคยผ่านเรื่องราวโชกโชนย่อมไม่สะทกสะท้อน เพียงเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย
ชายหนุ่มพยายามระงับตัวเองมิให้เปิดเนตรวิญญาณ ด้วยเกรงว่าจะได้เห็นในสิ่งไม่ควรเห็น ได้ยินในสิ่งไม่ควรได้ยิน
เห็นภาพดังกล่าว ไครัทและเอ็ดมันตันหันมาสบตากันพร้อมรอยยิ้ม
“ดาบกระดูกเล่มนั้นมีพลังในการสูบเลือดศัตรู นับว่ามีสายตาเฉียบแหลมไม่เหลว อยากได้ใช่ไหม ไม่ต้องห่วง ราคาไม่แพง”
หือ… พยายามขายของจนผิดวิสัย…
ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะคลายออกทันทีและกล่าวหน้านิ่ง
“ไม่ต้องการ ไม่เอาชิ้นไหนทั้งนั้น”
หากไครัทไม่กล่าวประโยคเมื่อครู่ออกมา ไคลน์มีแผนจะซื้อดาบกระดูกไปสำรวจบนห้วงมิติเหนือสายหมอก แต่พฤติกรรมจงใจขายของอีกฝ่ายทำให้ชายหนุ่มเกิดความหวาดระแวง และตัดสินใจละทิ้งแผนเดิม
ไครัทโบกมือไปมา
“ไม่แพงจริงๆ หรืออยากได้ชิ้นอื่นไหม?”
“ไม่เอาอะไรทั้งนั้น” รูม่านตาไคลน์ขยายออกเล็กน้อย ตามด้วยการหันหลังกลับและเดินตรงไปทางประตูทันที
เดนิสลังเล แต่ก็รีบตามไป
เอ็ดมันตัน—เจ้าของรอยสักงูทะเลยักษ์สีฟ้าบนท่อนแขน จ้องมองผู้มาเยือนเดินจากไปอย่างเงียบงัน ท่าทีคล้ายกับต้องการยื่นมือออกไปคว้าไว้ แต่สุดท้ายก็มิได้กระทำสิ่งใด
ด้วยเพราะอีกฝ่ายเป็นถึงนักผจญภัยทรงพลัง ผู้ลงมือสังหาร ‘เหล็กกล้า’ แม็กวิตี้และ ‘พุ่มหนามสีเลือด’ เฮนดรี้อย่างง่ายดาย!
ด้านนอกห้อง ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใด เอาแต่สับเท้าเดินลงบันไดอย่างรีบร้อน ส่วนเดนิสเพียงเร่งฝีเท้าตามด้วยความประหลาดใจ
เมื่อประเมินจากสถานการณ์และอุปนิสัยของอีกฝ่าย เพลิงพิโรธตัดสินใจไม่ซักถาม
เมื่อคนทั้งสองเดินกลับมายังจัตุรัส กลุ่มชนพื้นเมืองจำนวนมากที่เคยกลับมารวมตัวกราบไหว้ พลันแตกฮือและวิ่งหนีเข้าไปในตรอกมืดอีกครั้ง
แต่คราวนี้มีบางจุดแตกต่าง ชายคนหนึ่งยังคงคุกเข่ากราบไหว้ในจุดเดิม ไม่มีการขยับเขยื้อนใดๆ
ไคลน์เพียงมองตรงไปข้างหน้า เดินผ่านไปโดยไม่แม้แต่จะชะลอฝีเท้า
เดนิสจ้องชายปริศนาด้วยความสงสัย และพบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายแห้งผากราวกับก้อนหินผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปี
แปะ!
เศษเนื้อข้างแก้มของชายคนดังกล่าวหลุดออกจากใบหน้า พร้อมด้วยขนเคราสีเทาหนึ่งกระจุก หล่นลงบนพื้นจนเกิดเสียง
คล้ายกับความชุ่มชื้นในร่างกายถูกดูดออกไปจนหมดเกลี้ยง
เดนิสถึงกับสะดุ้ง แต่มันไม่กล้าเสียเวลาแช่อยู่นาน รู้ว่าตอนไหนควรทำตัวอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์พิสดารชนิดหาคำอธิบายไม่ได้
คนทั้งสองเปลี่ยนถนนเส้นแล้วเส้นเล่า จนกระทั่งนำพาตัวเองออกจากย่านชนพื้นเมือง และรีบเดินไปขึ้นรถม้าเช่า
คนขับรถม้าเองก็เป็นชนพื้นเมือง อายุราวสี่สิบ ผิวสีเข้ม เสียงหัวเราะกังวานสดใส
ผ่านไปกลางทาง คนขับเกิดเงียบงันและไม่กล่าวสิ่งใดออกมาอีกเลย บรรยากาศภายในห้องโดยสารเงียบจนเดนิสได้ยินเสียงหัวใจของตนดังคมชัดประหนึ่งกลองศึก
ไคลน์เม้มปาก แต่ยังคงเงียบ
เพียงไม่นาน รถโดยสารพลังม้าลากได้แล่นมาถึงเขตท่าเทียบเรือ และเนื่องจากมีแผนต้องเปลี่ยนชุดก่อนกลับห้อง เดนิสจึงบอกให้คนขับจอด
เมื่อลงจากรถ ไคลน์ไม่หันไปจ่ายเงิน ไม่แม้กระทั่งหยุดรอ รีบจ้ำเท้าเดินออกไปไกล เดนิสที่ได้เห็นเช่นนั้นพลันมึนงง
มันรีบโยนเงินให้คนขับสองซูล ก่อนจะวิ่งตามเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างร้อนรน
หลังจากวิ่งได้ไม่กี่ก้าว มีบางสิ่งดลใจให้เดนิสหันกลับไปมองคนขับ และพบว่าอีกฝ่ายกำลังคุกเข่าลง ใบหน้าเปี่ยมความศรัทธาอย่างแรงกล้า ก่อนจะก้มลงจูบพื้นด้วยน้ำตานองหน้า ลงบนจุดที่ไคลน์เคยเหยียบยืน
……………………
ราชันเร้นลับ 538 : ชำระล้าง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?
เดนิสไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น
ฉากตรงหน้ามิได้ทำให้มันตกตะลึง แต่เป็นความรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงสันหลัง คล้ายกับการกระโดดลงไปในถังน้ำแข็งบนเรือตอนเมา จนความเย็นเฉียบกัดกินไล่จากนิ้วหัวแม่เท้าไปจนถึงสมอง
เกิดอะไรขึ้น… ทำไมเหตุการณ์รอบตัวถึงดำเนินไปอย่างผิดแผกเช่นนี้…
เดนิสสูดลมหายใจเต็มปอด พยายามฝืนตัวเองให้หันหลังกลับ และรีบเดินตามเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไป
มันพบว่านักผจญภัยเสียสติเริ่มเร่งจังหวะฝีเท้าขึ้นจากเดิม ถึงขั้นต้องไล่ตามด้วยการวิ่ง
ผ่านถนนเส้นแล้วเส้นเล่า จนกระทั่งเข้าตรอกค่อนข้างแคบ ทันใดนั้น เดนิสเห็นเงารางของบางสิ่งร่วงลงมาจากต้นไม้ กีดขวางทางเดินตรงหน้าตนพอดิบพอดี
แปะ!
ตามลำตัวหุ้มด้วยเกล็ด ร่างกายมันเลื่อมเลื้อยขดไปมา ศีรษะทรงสามเหลี่ยม และอ้าปากกว้างพร้อมกับเผยลิ้นสองแฉก
งูพิษตัวเล็ก!
แม่เย็*! ทำไมถึงมีงูในฤดูแบบนี้ได้!
เดนิสมิได้หวาดกลัวสิ่งมีชีวิตประเภทนี้สักเท่าใด ถึงขั้นเคยย่างกินบ่อยครั้ง เพียงแต่สถานการณ์อันบีบเค้นหัวใจ ได้กระตุ้นให้มันตื่นตระหนกง่ายกว่าปรกติ
หลังจากเดินอ้อมงูตัวดังกล่าว เดนิสมองไปรอบตัวตามสัญชาตญาณและพบว่า ทั้งรางน้ำบนพื้นทั้งสองฝั่ง ตรงมุมมืดของบ้านหลังเก่า และบริเวณก๊อกน้ำสาธารณะขึ้นสนิม ทุกจุดล้วนมีดวงตาแนวตั้งหลากสี กำลังจ้องมองมาทางตนอย่างเลือดเย็น!
เดนิสพลันสั่นระริก เป็นความรู้สึกคล้ายกับหนังศีรษะกำลังถูกกระหน่ำแทงด้วยเข็มหมุดนับพันเล่ม
มันไม่คิดแช่อยู่ในจุดเดิมนาน และไม่คิดเผ่นหนีไปทางอื่น เพียงกัดฟันวิ่งไล่ตามเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไปให้ทัน
เมื่อเข้ามายังด้านในโรงแรมวายุคราม ขณะกำลังเดินขึ้นบันไดไม้ เดนิสเงยหน้าขึ้นและเตรียมซักถามไคลน์ถึงรายละเอียดของเหตุการณ์
แต่ทันใดนั้น มันเกิดแน่นหน้าอกกะทันหัน ลมหายใจเริ่มติดขัดขาดห้วง
เดนิสรู้สึกราวกับตนกำลังดำน้ำในทะเลลึก และถูกกระแสน้ำบีบอัดจากทุกสารทิศ
ซ่า!
มันได้ยินเสียงคลื่นทะเลซัดสาดแผ่วเบา พร้อมกับเห็นภาพมายาของคลื่นน้ำตกปริมาณมหาศาล กำลังพรั่งพรูออกจากร่างกายเกอร์มัน·สแปร์โรว์ คล้ายกับชายคนนี้คือจุดศูนย์กลางของมหาสมุทรกว้างใหญ่
ท่ามกลางท้องทะเลมายา ร่างกายสีฟ้าขนาดมหึมากำลังเหยียดตัวเด่นตระหง่านประหนึ่งเสาหินต้นใหญ่ คอยค้ำจุนทุกสิ่งทุกอย่างไว้ตามลำพัง
นี่มัน…!
เดนิสพลันชะงักฝีเท้ากลางอากาศ ไม่กล้าเหยียบลงไปบนขั้นบันไดส่งเดช
สำหรับความรู้สึกคล้ายกันนี้ มันเคยสัมผัสมาแล้วครั้งหนึ่งในอดีต ย้อนกลับไปสมัยงานชุมนุมโจรสลัดครั้งใหญ่ การปรากฏตัวของ ‘ราชาห้าห้วงสมุทร’ นาสต์ ได้มอบบรรยากาศและความรู้สึกสะกดข่มรุนแรงยิ่งปัจจุบันหลายเท่า โจรสลัดทั่วไปแทบไม่มีใครกล้าเงยหน้ามอง มีเพียงกลุ่มพลเรือซึ่งสามารถขัดขืนได้อย่างยากลำบาก
เดนิสมั่นใจมาก ความรู้สึกเช่นนี้มิได้มีต้นตอมาจากพลังของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
เพราะหากอีกฝ่ายสามารถแผ่ออร่าทัดเทียมครึ่งเทพได้จริง การล่า ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้ ก็ไม่จำเป็นต้องยืมมือทูตพิพากษาเลยสักนิด
ทะเล… คลื่น…
เมื่อคำทั้งสองผุดขึ้นในหัว เดนิสเชื่อมโยงไปถึงศาสดาของกลุ่มต่อต้านทันที
‘เทพสมุทร’ คาเวทูว่า!
หรือจะเป็นเพราะเกอร์มัน·สแปร์โรว์สัมผัสกับดาบกระดูกเล่มนั้นเข้า จึงได้รับคำสาปของ ‘เทพสมุทร’ ด้วยเหตุผลบางประการ…
หมายความว่า คำสาปเทพสมุทรได้ทำให้ชายในจัตุรัสคนนั้นต้องเนื้อแก้มหลุดเพราะขาดความชุ่มชื้น…
ยังรวมไปถึง ปฏิกิริยาตอบสนองสุดประหลาดของคนขับรถม้าที่หมอบกราบและจูบพื้น นั่นก็อาจเป็นเพราะมันสัมผัสถึงออร่าของเทพสมุทร…
ถ้าอย่างนั้น… เกอร์มัน·สแปร์โรว์อาจมีชีวิตอยู่ไม่ถึงวันพรุ่งนี้… เราควรหนีดีไหม… จะได้ไม่ถูกลูกหลงคำสาปไปอีกคน… อ…อย่างน้อยก็ยังกลับมาเก็บศพให้ได้…
ไม่สิ อาจยังมีทางช่วย… ถ้าเราประกอบพิธีกรรมวิญญาณสถิตเพื่อถามกัปตัน ด้วยความรู้อันกว้างขวางของเธอ เกอร์มัน·สแปร์โรว์อาจมีทางรอด… บ้าจริง! พิธีกรรมดังกล่าวต้องกระทำในรัศมีห้าร้อยไมล์ทะเล แต่ตอนนี้ฝันทองคำยังแล่นมาไม่ถึง ต้องรออีกอย่างน้อยครึ่งวัน…
หลังจากหยุดครุ่นคิดสักพัก เดนิสสลัดความกังวลและรีบเดินเข้าไปในห้องพักสุดหรูของตนกับเกอร์มัน
ไคลน์ยังคงนิ่งเงียบ ดวงตาที่เคยมีสีน้ำตาลเข้ม ปัจจุบันถูกฉาบด้วยสีน้ำเงินจนเกือบดำ
ทันใดนั้น ชายหนุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องนอนของตน และลงกลอนปิดประตูมิดชิด
เดนิสยืนรอด้านนอก ด้วยความสัตย์จริง มันต้องการหนีไปให้พ้นจากระยะคำสาป แต่หลังจากไตร่ตรองสักพัก เดนิสรู้สึกว่า ตนอาจยังพอมีทางช่วยเหลืออีกฝ่ายได้บ้าง
ภายในห้องนอน ไคลน์หลับตาสนิท กำลังรอคอยโอกาสกันเหมาะสม
จนกระทั่ง มันลุกขึ้นเริ่มเดินถอยหลังสี่ก้าว แต่ละก้าวท่องคาถาให้สอดคล้อง
เมื่อเสร็จขั้นตอน เสียงเพรียกอันแสบโสตประสาทเริ่มดังกังวานในหัว ก่อนที่จิตไคลน์จะพุ่งตรงไปยังห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางความเงียบสงัด ไคลน์ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ของใครบางคน
จนกระทั่ง จิตของชายหนุ่มถูกเคลื่อนย้ายมายังตำแหน่งเก้าอี้เดอะฟูล—หัวโต๊ะทองแดงยาวลายเก่าแก่โบราณ อย่างสมบูรณ์
เมื่อก้มมองลงไป ท่ามกลางกระแสการไหลของสายหมอกสีเทาใต้ฝ่าเท้า ภาพมายาของงูทะเลตัวใหญ่กำลังปรากฏตรงหน้าไคลน์
ฉากหลังเป็นซากปรักหักพังโบราณบรรยากาศมืดสลัว งูทะเลตัวดังกล่าวกำลังเลื้อยรอบเสาหินที่เหลือเพียงครึ่งต้น ศีรษะอันน่ารังเกียจกำลังยกขึ้นและจ้องตรงมา ปากชุ่มเลือดของมันอ้ากว้าง เผยให้เห็นฟันโค้งซึ่งยาวกว่าข้อศอกมนุษย์
เขี้ยวซี่ยาวสีขาวนมสด มีคราบแห้งสีแดงเข้มเกรอะกรัง น้ำลายเหนียวข้นไหลย้อย
งูทะเลยักษ์สะบัดหางไปมาอย่างบ้าคลั่ง เกิดเป็นคลื่นสมุทรซัดสาดถาโถม จนซากปรักหักพังด้านหลังเริ่มพังครืน
ทันใดนั้น ฉากใต้ฝ่าเท้าไคลน์เริ่มแตกกระจัดกระจาย โดยไม่ว่างูทะเลยักษ์จะพยายามดิ้นรนอย่างเกรี้ยวกราดสักเพียงใด แต่ชะตากรรมของมันก็ไม่แปรเปลี่ยน มีเพียงเสียงหวีดร้องอันทุกข์ทรมานดังก้องกังวาน ก่อนจะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ท่ามกลางกระแสสายหมอก
ไคลน์กำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูงสีดำของเดอะฟูล จ้องมองเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างเงียบงัน ไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกายใดๆ เป็นเวลานาน
ปัจจุบัน กระแสสายหมอกยังคงไหลวนรอบห้วงมิติอย่างเชื่องช้าและไร้สุ้มเสียงเช่นเคย คล้ายกับฉากเช่นนี้เกิดขึ้นมาตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาโดยไม่แปรเปลี่ยน
ผ่านไปราวสิบวินาที ไคลน์เอนหลังพิงพนัก ถอนหายใจยาว และพ่นชื่อหนึ่งออกมา
“เทพสมุทร… คาเวทูว่า…”
หลังจากสัมผัสดาบกระดูก ชายหนุ่มตระหนักถึงความผิดปรกติได้ทันที
โดยระหว่างสนทนากับ ‘หัวล้าน’ ไครัท ไคลน์พบว่าร่างกายของตนเริ่มถูกบุกรุกด้วยพลังงานชั่วร้ายในปริมาณน้อยและอ่อนแอ แต่ยิ่งเวลาผ่านไป มันก็ยิ่งทวีความเย็นเฉียบและเริ่มกัดกร่อนดวงวิญญาณของตนทีละนิด
ชายหนุ่มคิดไวทำไว รีบหันหลังกลับและเดินออกมาโดยไม่รีรอ เมื่อเวลาผ่านไป มันเริ่มพบว่าพลังงานชั่วร้ายได้แผ่ออกไปส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมข้างเคียงด้วย ขณะเดียวกันก็พยายามสร้างอุโมงค์วิญญาณเชื่อมต่อกับสถานที่ห่างไกลสักแห่ง
ตลอดทางกลับ ชายหนุ่มต้องเพิ่งสมาธิเพื่อรับมือการกัดกร่อนทางวิญญาณ โดยพยายามไม่สัมผัสสิ่งของรอบตัว เพื่อมิให้คนบริสุทธิ์ได้รับผลกระทบมากกว่านี้
ไคลน์เชื่อว่า หากตนให้ความสนใจกับเหตุการณ์ประหลาดรอบตัว พลังการกัดกร่อนจะทวีความรุนแรงจนไม่สามารถแก้ไขได้อีก
เดิมที ชายหนุ่มมีแผนจะแวะเข้าห้องน้ำในละแวกดังกล่าว และอาศัยพลังของห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาในการปกป้องตัวเองจากพลังงานชั่วร้ายและเย็นเฉียบ แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ไคลน์เกิดเปลี่ยนใจกลางคัน และต้องการหนีให้พ้นจากย่านชนพื้นเมืองเสียก่อน จึงค่อยกระทำสิ่งใดต่อ
สืบเนื่องจาก บริเวณดังกล่าวเต็มไปด้วยสาวก ‘เทพสมุทร’ จำนวนมาก ไคลน์ไม่มีทางทราบว่าอีกฝ่ายมีอิทธิพลต่อสาวกมากเพียงใด การใช้ห้องน้ำจึงนับว่าเสี่ยงอันตรายเกินไป
ระหว่างนั้น มันสัมผัสได้ว่า หากตนรีบ ‘ขจัด’ พลังงานชั่วร้ายออกไปก่อนคำสาปจะกำเริบ เศษเสี้ยวพลังบางส่วนอาจยังตกค้างอยู่ตามร่างกายและผิวหนัง และไม่มีทางทราบเลยว่าจะเกิดผลกระทบใดตามมาบ้าง
ไคลน์จึงรอโอกาสอย่างใจเย็น ปล่อยให้พลังงานชั่วร้ายและเย็นเฉียบแทรกซึมเข้ามาในดวงวิญญาณเสียก่อน จึงค่อย ‘ชำระล้าง’ อย่างสมบูรณ์แบบในคราวเดียว
หลังจากวิเคราะห์เรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียด ชายหนุ่มใช้นิ้วเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาว พลางพึมพำกับตัวเอง
“ไม่แข็งแกร่งเท่าไร…”
เทพสมุทรอ่อนแอกว่าที่มันคิดไว้มาก!
แผนเดิมของไคลน์คือ เตรียมรับมือกับการบุกรุกและแผนชิงร่างกายของคาเวทูว่าด้วยวิธีเดียวกับอามุนด์ นั่นคือการใช้ไพ่จักรพรรดิมืดและเทวทูตกระดาษ แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร เทพสมุทรกลับถูกพลังพื้นฐานของห้วงมิติสายหมอกจัดการจนสิ้นซากไปเสียก่อน
ไคลน์จึงได้ข้อสรุปว่า เทพสมุทร·คาเวทูว่า มีระดับต่ำกว่า ‘ผู้เย้ยเทพ’ อามุนด์พอสมควร ถึงจะประเมินว่าพลังของฝ่ายหลังเหมาะแก่การแทรกซึมดวงวิญญาณ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า อามุนด์ในคราวนั้นเป็นเพียงร่างอวตาร
หรือจะเป็นเพราะ เทพสมุทรถูกโบสถ์วายุสลาตันไล่ต้อนอย่างหนักจนพลังเสื่อมถอยลง? ไม่เพียงเท่านั้น ระดับของมันก็น่าจะต่ำกว่าเทวทูต แข็งแกร่งกว่าครึ่งเทพปรกติเพียงเล็กน้อย และสามารถตอบสนองคำวิงวอนของสาวกได้ในระยะจำกัดแค่หมู่เกาะรอสต์…
ไคลน์พยายามรื้อฟื้นความทรงจำ และเริ่มพบว่า ‘อาการ’ ของเทพสมุทรคาเวทูว่าไม่ปรกติมาตั้งแต่แรก
“วิญญาณมารตนนี้อ่อนแอจนผิดวิสัย ราวกับพร้อมแตกสลายได้ทุกเมื่อ… ไม่เพียงเท่านั้น ฉากหลังซึ่งเป็นซากปรักหักพังบรรยากาศมืดสลัว กลิ่นอายของที่นั่นคล้ายคลึงโลกวิญญาณมาก… หรือว่ามันใช้สถานที่ดังกล่าวบนโลกวิญญาณ เพื่อหลบหนีการจับกุมของโบสถ์วายุสลาตันมาตลอด?”
ไคลน์เอนพลังพิงเก้าอี้พลางผุดสมมติฐานใหม่
“เหตุการณ์ในวันนี้อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะนักโบราณคดี ‘เลติเซีย’ ได้ขโมยสิ่งสำคัญไปจากวิหารร้างบนเกาะไซมีม ส่งผลให้เทพสมุทรที่อยู่ในสภาพร่อแร่เจียนบ้าคลั่งจากการกดดันอย่างหนักหน่วงของโบสถ์วายุสลาตัน มีอาการย่ำแย่ลงจนไม่สามารถรักษาเสถียรภาพได้อีกต่อไป… ระหว่างสั่งให้สาวกออกไปทวงคืนสมบัติชิ้นสำคัญกลับมา เทพสมุทรได้เตรียมอีกหนึ่งทางออกให้ตัวเอง นั่นคือการสิงร่างใครสักคนแทน โดยดาบกระดูกเล่มนั้นคงเกิดจากชิ้นส่วนร่างกายครึ่งเทพโดยตรง และแฝงพลังงานของเทพสมุทรเอาไว้เล็กน้อย หากพบเป้าหมายเหมาะสมสำหรับสิงร่าง มันจะแทรกซึมเข้าไปในดวงวิญญาณเหยื่อทันที และสร้างอุโมงค์เชื่อมต่อกับโลกวิญญาณเพื่อเตรียมย้ายจิตของตนมายังร่างเหยื่อ… แต่เห็นได้ชัดว่าคาเวทูว่าไม่ถนัดในการทำเรื่องแบบนี้ เพราะไม่พลังสำหรับฟักตัวในครรภ์เหมือนกับอสรพิษปรอท และไม่มีพลังเหมือนผู้เย้ยเทพ อามุนด์ ที่สามารถฝังตัวเป็นปรสิตในดวงวิญญาณของเหยื่อได้… สำหรับคาเวทูว่า การจะสิงร่างเป้าหมายจำเป็นต้อง ‘กัดกร่อน’ ให้วิญญาณเหยื่อเสียหายและกลายเป็นสัตว์ประหลาดเสียก่อน จึงค่อยย้ายวิญญาณของตนเข้าไปอาศัยแทน”
หากเป็นไปตามสมมติฐานของเรา เทพสมุทรที่ใกล้ร่วงหล่นคงเผยพฤติกรรมประหลาดออกมาอีกหลายครั้งในอนาคต…
ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย และไม่คิดแช่อยู่บนมิติเหนือสายหมอกนานนัก รีบห่อหุ้มจิตกลับมายังโลกความจริง
ชายหนุ่มคลายกลอน เปิดประตูห้อง และเดินกลับออกไปยังห้องรับแขก
เดนิสเห็นดังนั้นถึงกับสะดุ้ง
มันเพ่งมองเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่นานสองนาน ก่อนจะซักถามอย่างหวาดระแวง
“น…นายไม่เป็นอะไรแล้วหรือ?”
ไคลน์ยังคงรักษามาดขรึม ตอบสั้นกระชับ
“สะสางเสร็จแล้ว”
เสร็จแล้ว…?
เดนิสมองซ้ายทีขวาที ตามด้วยการชำเลืองเข้าไปในห้องนอนไคลน์ และพบว่าออร่าเทพสมุทรได้เลือนหายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ราวกับเหตุการณ์ก่อนหน้าทั้งหมดเป็นแค่ภาพลวงตา
หมอนี่เข้าไปทำอะไรในห้องนอนกันแน่? ผ่านไปเพียงหนึ่งสองนาที คำสาปของเทพสมุทรกลับหายเป็นปลิดทิ้ง… ชิ! เห็นทีความลับของมันจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อีกแล้ว…
เดนิสขยับออกมาสองก้าว เปิดทางให้อีกฝ่ายได้เดินสะดวก
…
ด้านข้างโต๊ะที่เต็มไปด้วยสิ่งของวางระเกะระกะ ‘หัวล้าน’ ไครัท ผู้กำลังนั่งบนวีลแชร์เหล็ก หันไปตัดพ้อกับเอ็ดมันตัน เจ้าของรอยสักงูทะเลยักษ์สีฟ้า
“ช่างน่าเสียดาย”
“อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น… หากชายคนนั้นหยิบดาบขึ้นมาตรวจสอบ ไม่ใช่แค่จับ…” เอ็ดมันตันถอนหายใจห่อเหี่ยวในทำนองเดียวกัน
ไครัทชำเลืองดาบกระดูกทรงโค้งเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าเปี่ยมศรัทธา
“วิวรณ์ของท่านกล่าวไว้ว่า เมื่อผู้มาเยือนจากภายนอกหยิบดาบศักดิ์สิทธิ์ พระองค์จะปรากฏตัวบนโลกมนุษย์อีกครั้ง…”
เอ็ดมันตันคุกเข่าลง แววตาของมันราวกับกำลังสารภาพบาปต่อองค์เทพ
จนกระทั่งผ่านไปหลายที ไครัทและเอ็ดมันตันพลันได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากสองจุดพร้อมกัน
พวกมันรีบเงยหน้าขึ้น และพบว่าพวกพ้องสองคนล้มลงอย่างกะทันหัน ผิวหนังของทั้งคู่ผอมซูบและเหี่ยวแห้งประหนึ่งก้อนหินตากแดด สูญเสียความชุ่มชื้นโดยสิ้นเชิง
ไครัทและเอ็ดมันตันหันมาจ้องหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างสัมผัสได้ถึงบรรยากาศผิดปรกติ
คนทั้งสองรีบพยุงตัวขึ้น สายตาหันไปมองทางโต๊ะวางวัตถุวิเศษเรียงราย
ดาบกระดูกสีขาวนมสดอยู่ในสภาพปริแตก ก่อนจะแหลกละเอียดกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น