Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 525-534

 ราชันเร้นลับ 525 : สควอลผู้เยือกเย็น

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อมองไปยังนาฬิกาแขวนและพบว่าเป็นเวลาสองทุ่มตรง อัลเจอร์วางแก้วเหล้าและแหวกกลุ่มขี้เมาเดินออกมายังถนนด้านนอก


เนื่องจากหมู่เกาะรอสต์มีทรัพยากรถ่านหินอุดมสมบูรณ์ เมืองบายัมจึงมีลักษณะคล้ายกับเมืองสำคัญบนแผ่นดินใหญ่อย่างเบ็คลันด์หรือพริสต์ ริมถนนมีโคมไฟตะเกียงวางเรียงรายสว่างไสว เผยให้เห็นบรรยากาศค่อนข้างสะอาดสะอ้านของเมืองอย่างแจ่มชัด


อัลเจอร์ดึงผ้าคลุมหัวขึ้นและเดินเข้าไปในตรอกด้านข้างอย่างไม่รีบร้อน จนกระทั่งเข้ามาถึงด้านในสุด จมูกเริ่มได้กลิ่นฉุนของฉี่ปะปนกับเหล้าเจือจาง จริงอยู่ ผับใบไม้หอมอาจมีห้องน้ำไว้คอยบริการลูกค้า แต่ในบางสถานการณ์ ขี้เมาหลายคนทนต่อคิวไม่ไหวและออกมาปลดทุกข์ในมุมมิดชิดด้านนอก


แสงจันทร์แดงสลัวส่องทะลุผ่านกลุ่มเมฆหนาทึบลงมายังด้านล่าง ตรอกแห่งนี้ก็ไม่เว้นเช่นกัน


ขณะอัลเจอร์แสร้งทำเป็นเตรียมฉี่เหมือนกับขี้เมาคนอื่น สุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย


“นายจงใจปล่อยข่าว ‘เพลิงพิโรธ’ ให้พวกเราได้ยินใช่ไหม”


หึ… ก็ไม่โง่นี่นา…


อัลเจอร์เหยียดหยันในใจ พลางหันหน้ากลับไปหาอย่างเชื่องช้า โดยไม่ประมาทการลอบจู่โจมฉับพลัน


ห่างออกไปราวเจ็ดแปดก้าว บุคคลผู้หนึ่งกำลังยืนพิงกำแพงตรอก


สูงประมาณ 1.78 เมตร สวมหมวกพับทรงทหารเรือ ใบหน้าคมชัด คางแหลม แววตาเผยกลิ่นอายคุกคามตลอดเวลา


ปอยผมสีดำห้อยหนึ่งกระจุก ดวงตาสีเขียวเข้มถูกปิดไว้หนึ่งข้าง ช่วยให้บรรยากาศเย็นชารอบตัวบรรเทาลงเล็กน้อย


แม้ว่าภาพวาดในใบประกาศจับจะแตกต่างจากตัวจริงเพียงเล็กน้อย แต่โจรสลัดชื่อดังมักเดินเตร็ดเตร่ตามท้องถนนโดยปราศจากการปลอมตัว


อัลเจอร์ผู้เป็นวงในของโบสถ์วายุสลาตัน ย่อมเคยเห็นภาพประกาศจับโจรสลัดชื่อดังเกือบทั้งหมดซึ่งถูกวาดขึ้นจากพิธีกรรม แถมยังเคยเข้าร่วมชุมนุมโจรสลัดใหญ่ จึงสามารถเปรียบเทียบใบหน้ากับค่าหัวของอีกฝ่ายแทบจะในทันที


อย่างไรก็ตาม มันไม่แสดงความมันมั่นใจอันผิดธรรมชาติให้ทางนั้นเห็น เพียงทำท่าลังเลเล็กน้อยก่อนจะถามเสียงแผ่ว


“สควอลผู้เยือกเย็น?”


มือขวาคนสำคัญของ ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้ โดดเด่นในด้านการควบคุมอารมณ์และความเยือกเย็นผิดมนุษย์ ขณะเดียวกันก็มีศีลธรรมพิการผิดมนุษย์ด้วยเช่นกัน ค่าหัวของมันคือหนึ่งพันห้าร้อยปอนด์


อีกฝ่ายจัดระเบียบโค้ทขนสัตว์สีดำพลางเปล่งเสียงหน้านิ่ง


“ถ้าปฏิเสธแล้วจะเชื่อหรือ? คงไม่กระมัง… ก็เหมือนกับนาย ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า นายจงใจกล่าวถึง ‘เพลิงพิโรธ’ ต่อหน้าโอรูม่าเพื่อให้พวกเราได้ยิน เจ้านั่นไม่ชอบใช้สมองสักเท่าไร แตกต่างจากฉัน”


“ไม่ได้คิดปิดบังกันอยู่แล้ว ฉันแค่ต้องการแลกเปลี่ยนข้อมูลบางอย่างเท่านั้น ระหว่าง ‘เพลิงพิโรธ’ ผู้หัวเดียวกระเทียมลีบ กับ ‘เหล็กกล้า’ ซึ่งเต็มไปด้วยผู้ช่วยมากฝีมือ คนสมองไม่บกพร่องคงเลือกได้ไม่ยากว่าควรทำงานให้ใคร แต่ฉันหวังว่านายจะช่วยปิดบังแหล่งข่าวไว้เป็นความลับ พอดีว่าไม่อยากถูกพลเรือโทธารน้ำแข็งไล่ล่าในภายหลัง” อัลเจอร์ตอบสุขุม


สควอลพยักหน้ารับ


“เล่ามา”


“เคยเล่าบางส่วนไปแล้ว ฉันได้พบ ‘เพลิงพิโรธ’ เข้าโดยบังเอิญในบ่อนพนันเหรียญทอง มันบอกให้ฉันช่วยรวบรวมเบาะแสและแหล่งกบดานของ ‘เหล็กกล้า’ หึหึ… ดูเหมือนเจ้านั่นจะวางแผนลอบจู่โจมกระมัง”


อัลเจอร์หัวเราะในลำคอ


“เราสองคนนัดแนะพิกัดสำหรับติดต่อสื่อสารกันไว้ ฉันคิดว่าข้อมูลนี้มีมูลค่าราวหนึ่งพันปอนด์”


“หนึ่งพันปอนด์? เงยหน้าขึ้นไปมองดวงจันทร์บนฟ้า นายไม่ได้กำลังฝัน!”


สควอลแผดเสียง


“นี่อาจเป็นกับดักของ ‘เพลิงพิโรธ’ ก็ได้ มันอาจมีผู้ช่วยคนอื่นคอยสนับสนุน ถึงได้กล้ามองหาโอกาสแก้แค้น”


“เป็นกับดักหรือไม่ ฉันไม่ใช่คนตัดสิน… ห้าร้อยปอนด์ ถ้าต่ำกว่านี้จะทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น”


อัลเจอร์ต่อรองค่าจ้างเสียงขรึม


“สามร้อยปอนด์ และนายต้องตามฉันไปกักตัวสักพัก เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้มีการนำข่าวไปขายกับคนอื่นจนแผนการของพวกเราคลาดเคลื่อน จะจ่ายเงินทันทีเมื่อ ‘เพลิงพิโรธ’ ถูกจับกุมหรือไม่ก็ถูกสื่อวิญญาณ ไม่ต้องกังวล อาหาร เหล้า และเตียงนอนฟรีทุกอย่าง! แต่ถ้าข่าวของนายทำให้พวกเราเดือดร้อน หึหึ… คงรู้ใช่ไหมว่ามีผลลัพธ์แบบใดรออยู่” สควอลมอบข้อเสนออันยากปฏิเสธ


เป็นไปตามคาด เนื่องจากเบื้องหลังของเรายังคลุมเครือและไม่เคยเป็นพิษภัยกับใคร พวกมันจึงเลือกกักตัวชั่วคราวมากกว่าฆ่าทิ้งเพื่อปิดปากให้วุ่นวาย…


แต่ถึงอย่างนั้น เราก็เตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายไว้แล้ว ต่อให้ ‘เหล็กกล้า’ ปรากฏตัวออกมาเอง แต่ลำพังการหลบหนีก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก…


อัลเจอร์ตรึกตรอง


“ต้องไม่เกินสองวัน ไม่อย่างนั้น ลูกเรือของฉันจะหนีไปพร้อมกับเรือ”


“ถ้าเกินสองวัน ทางนี้จะส่งคนไปแจ้งให้พวกเขาทราบเอง” สควอลชักมีดคมกริบออกมาถือ ตามด้วยการโยนให้ตีลังกากลางอากาศประหนึ่งแสดงกายกรรม


หลังจากอัลเจอร์อธิบายรายละเอียดของจุดติดต่อและวิธีการติดต่อกับบ้านร้างหมายเลข 15 บนถนนไม้หอม สควอลไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงหันหลังกลับและเดินนำทางอัลเจอร์ หักเลี้ยวซ้ายขวา จนกระทั่งถึงบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีลักษณะภายนอกไม่โดดเด่น


“ไม่ได้พบกันเสียนาน กัปตันผมน้ำเงินแห่งเรือผีสิง” ชายชราผมสีขาวแซมดำเปิดประตูออกมาต้อนรับ การแต่งกายของมันคล้ายกับคนพื้นเมือง สวมกางเกงขาบานใส่สบาย


“เฒ่าควินน์ สรุปแล้ว นายเป็นสายลับให้พลเรือเอกโลหิตจริงหรือ…” อัลเจอร์อ้าปากค้างอย่างประหลาดใจ


เฒ่าควินน์ยิ้ม


“ข่าวลือมีทั้งจริงและเท็จเสมอ ข่าวใดผู้คนมักคิดว่าเป็นเท็จ บางทีมันอาจจริง”


เฒ่าควินน์มิได้เปิดโคมไฟติดผนัง เพียงถือเชิงเทียนในมือเดินนำอัลเจอร์และสควอลลงไปยังห้องใต้ดินสภาพโอ่โถงและปราศจากหน้าต่าง


“นายต้องอยู่ในนี้สักพัก โดยฉันและพวกพ้องจะช่วยดูแลรวมถึงจัดหาอาหารให้เอง” เฒ่าควินน์เล่าพลางยิ้ม “เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจ เราจะไม่ปลดอาวุธ”


“ตกลง” อัลเจอร์เป็นฝ่ายเดินลงไปในห้องใต้ดินด้วยตัวเอง


เฒ่าควินน์เลื่อนบานประตูหินปิดสนิท และลงกลอนไว้อย่างมิดชิดแน่นหนา


สควอลไม่อยู่แช่นานนัก มันรีบสำรวจรอบบ้านเพื่อตรวจสอบว่า มีใครแอบสะกดรอยตามมาหรือไม่


หลังจากยืนยันจนแน่ใจ มันเปลี่ยนไปนั่นรถม้าเช่า และเดินทางไปยังย่านโลเอ็นทาวน์ประจำบายัม—แหล่งกบดานเจ้านายตน


สควอลเดินเข้าไปในบ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง และเห็นแม็ควิตี้กำลังรอการกลับมาของตนบนโซฟาในห้องนั่งเล่น ส่วนลูกน้องคนอื่นอยู่ในหลากหลายอิริยาบถ บ้างยืน บ้างนั่งในลักษณะของครึ่งวงกลมรอบแม็ควิตี้ และยังมีซอมบี้กับหุ่นกระบอกอีกหลายสิบตัว


‘เหล็กกล้า’ มีผิวคล้ำ ริมฝีปากหนา เส้นผมหยิกแข็งม้วนกลมเป็นก้อนจนคล้ายลูกเหล็กภายในโรงงาน


“แหล่งข่าวเชื่อถือได้หรือ” มัดกล้ามเนื้อบนท่อนแขนของมันขยับตามจังหวะพูด มอบความรู้สึกเข้มแข็งทรงพลัง โดยกลิ่นอายรอบตัวแฝงความชั่วร้ายและเย็นชา ราวกับไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป


สควอลพยักหน้าเล่าต่อ


“เจ้านั่นเป็นโจรสลัดหน้าเงิน ถูกฉันขังไว้ในบ้านเฒ่าควินน์เรียบร้อยแล้ว หากเกิดปัญหาขึ้นมา มันไม่มีทางหลบหนีออกมาข้างนอกได้อย่างปลอดภัย ทางนั้นเองก็ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี”


สควอลเผยรอยยิ้ม


“แต่ถึงอย่างนั้น พวกเราก็ไม่ควรประมาท นี่อาจเป็นกับดักของเพลิงพิโรธก็ได้”


“แล้วต้องทำยังไง” แม็ควิตี้ตั้งคำถาม


สายตาของมันจ้องไปทางโซฟาตัวหนึ่ง บนโซฟามีชายสวมโค้ทสีน้ำตาลนั่งอยู่ ปลายนิ้วกำลังหมุนควงหมวกฟางเล่น


นี่คือหนึ่งในลูกน้องคนสำคัญของแม็ควิตี้ ในอดีตเคยเป็นกัปตันเรือหมายเลข 6 ซึ่งถูกจมลงในศึกระหว่าง ‘พลเรือโทสนธยา’


‘พุ่มหนามสีเลือด’ เฮนดรี้ เจ้าของค่าหัวสามพันแปดร้อยปอนด์


“สควอลคงมีแผนในใจอยู่แล้ว” เฮนดรี้เลื่อนหมวกฟางปกปิดใบหน้าอันซีดเซียว


สควอลหัวเราะในลำคอ


“ถ้าจำไม่ผิด นักผจญภัยจอห์น·สมิธได้ส่งโมโตแฝงตัวเข้ามาในกลุ่มพวกเราใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ยาก แสร้งทำเป็นปล่อยข่าวของเพลิงพิโรธให้รั่วไหลไปถึงหูพวกมัน โดยจงใจระบุว่า พวกเรายังไม่พร้อมจัดการทันที ต้องรออีกสองสามวันจึงค่อยลงมือ กลุ่มนักผจญภัยหิวเงินเหล่านั้นไม่มีทางปล่อยให้เพลิงพิโรธลอยนวลแน่ พวกมันจะชิงลงมือตัดหน้าพวกเรา โดยระหว่างนั้น เราจะดักซุ่มเพื่อเฝ้ามองเหตุการณ์อย่างเงียบๆ ปล่อยให้ทางนั้นเผชิญกับดักของเพลิงพิโรธไปตามลำพัง แต่หากเหตุการณ์ดำเนินไปอย่างราบรื่น ค่อยฉวยโอกาสปรากฏตัวหลังจากนั้นก็ยังไม่สาย”


“เข้าท่า” ดวงตาของ ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้กำลังเผยความกระหายเลือดอย่างเงียบงัน



เลยเที่ยงคืนไม่นานนัก พวกมันเตรียมการทุกสิ่งเสร็จสรรพ


‘พุ่มหนามสีเลือด’ เฮนดรี้ วางกระเป๋าหนังลงบนพื้นและเปิดออก นำพรมหางนกยูงสีน้ำเงินออกมาคลี่วางบนพื้นด้านหน้า ผิวพรมมีลวดลายเวทมนตร์พิสดาร ไม่เหมือนกับรสนิยมของมนุษย์สักเท่าไร


แม็ควิตี้ สควอล และผู้วิเศษอีกสองคน รวมถึงซอมบี้กับหุ่นกระบอกอีกราวแปดตน ทยอยเดินขึ้นไปยืนบนพรมผืนดังกล่าว


จนกระทั่งเฮนดรี้ขึ้นไปเป็นคนสุดท้าย มันหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งพลางเปล่งเสียงแผ่วเบา


“บิน!”


พรมหางนกยูงสีน้ำเงินเริ่มลอยตัวสูง พาผู้โดยสารทั้งหมดไปยังถนนไม้หอมอย่างรวดเร็ว


ระหว่างทาง เฮนดรี้สะบัดผ้าสีดำผืนใหญ่ปกคลุมเหนือผืนพรม สิ่งนี้ช่วยบดบังแสงตกกระทบของดวงจันทร์ยามค่ำคืน มิให้ใครผ่านไปมาบังเอิญเห็นเข้า


เจ็ดแปดนาทีถัดมา พรมหยุดลงใกล้กับอาคารหมายเลข 20 ถนนไม้หอม เป็นบ้านฝั่งตรงข้ามเยื้องกับหลังเป้าหมายเล็กน้อย


พวกมันมิได้ร่อนลงจอด เพียงปล่อยให้ ‘พรมวิเศษ’ ลอยตัวขึ้นไปเหนือยอดไม้หนาทึบอย่างเงียบงัน สายตาก้มมองสอดส่องสถานการณ์ด้านล่างอย่างตั้งใจ


ผ่านไปนานหลายวินาที หลายนาที แต่เฮนดรี้ยังคงประคองสมบัติวิเศษของมันไว้ได้โดยไม่มีทีท่าว่าพลังวิญญาณจะหมดลง


ค่ำคืนอันยาวนานผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งเส้นขอบฟ้าถูกฉาบด้วยสีแดงฉานของดวงอาทิตย์ยามเช้า ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้จึงเริ่มมองหาจุดซ่อนตัวแห่งใหม่ในตอนกลางวัน


ทันใดนั้น เงารางของบุคคลหนึ่งเบื้องล่าง เริ่มทำการปีนป่ายอาคารหมายเลข 15 อย่างคล่องแคล่ว จนกระทั่งขึ้นไปถึงหลังคาด้านบน


อีกฝ่ายสวมผ้าคลุมสีดำ คิ้วเหลืองทอง ดวงตาน้ำเงินเข้ม เค้าโครงใบหน้าไม่คมชัด


‘เพลิงพิโรธ’ เดนิส!


เดนิสเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระมัดระวังตัวสักพัก ก่อนจะปืนขึ้นไปบนปล่องไฟสูงและกระโดดลงไป


มันมาจริงด้วย!


‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้ ‘พุ่มหนามสีเลือด’ เฮนดรี้ สควอล รวมถึงคนอื่นๆ ต่างอุทานในลักษณะคล้ายกัน


ทันใดนั้น เงาดำของหลายบุคคลได้โผล่ขึ้นจากปล่องไฟของบ้านเลขที่ 13 14 และ 17 ด้วยความว่องไวจนน่าตกตะลึง จากนั้น ทุกคนโถมเข้าใส่บ้านเลขที่ 15 ด้วยหลากหลายช่องทางแตกต่างกัน ไม่ว่าจะหน้าต่าง บานประตู หรือปล่องไฟด้านบนหลังคา


……………………


ราชันเร้นลับ 526 : ฝันนิรันดร์

โดย

Ink Stone_Fantasy

บนทะเลโซเนีย หมู่เกาะรอสต์ถือเป็นศูนย์กลางการปกครองสำคัญอันดับหนึ่งของอาณาจักรโลเอ็น และยังเป็นมุขมณฑลสำคัญของโบสถ์วายุสลาตันอีกด้วย มีอาวุโสระดับสูงของโบสถ์ หนึ่งในสภาคาร์ดินัล คอยประจำการอยู่ถาวร


อย่างไรก็ตาม แม้แต่โจรสลัดระดับพลเรือเอกก็ยังมิอาจทำให้ตัวตนระดับดังกล่าวต้องเคลื่อนไหว จึงไม่ต้องพูดถึงระดับรองลงมาอย่างบรรดาผู้ช่วยกัปตันเรือหรือสรั่งเรือของจอมพลเรือ


หัวหน้าทีมทูตพิพากษาในคราวนี้จึงเป็นเพียงระดับอาวุโส คอร์โดบา·รอยย์ มันออกปฏิบัติการพร้อมกับสมบัติปิดผนึกจำนวนสองชิ้น ประกอบด้วย 2-37 และ 2-166 โดยกำลังดักซุ่มในจุดห่างจากอาคารหมายเลข 15 ถนนไม้หอมพอสมควร เพื่อรับประกันความปลอดภัยของหน่วย


ในมุมมองของคอร์โดบา·รอยย์ หน่วยทูตพิพากษาซึ่งมีสมบัติปิดผนึกสองชิ้นก็นับว่าเพียงพอต่อการรับมือ ‘เหล็กกล้า’ และ ‘เพลิงพิโรธ’ แล้ว แต่ฝ่ายหลังมีการระมัดระวังตัวจนผิดวิสัย คอร์โดบาจึงสังหรณ์ใจว่าปฏิบัติการในคราวนี้อาจอันตรายกว่าปรกติ จึงตัดสินใจเรียกกำลังเสริมเป็นทูตพิพากษาเพิ่มอีกหนึ่งหน่วย


เฮ่อ… แค่มี 2-37 ก็พอแล้วแท้ๆ …


คอร์โดบา·รอยย์ถอนหายใจขณะรอ


ตามความคิดของมัน สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้จะเป็นฝันร้ายอย่างแท้จริงต่อ ‘เหล็กกล้า’ และ ‘เพลิงพิโรธ’


มันหลับตาลงพลางนึกทบทวนข้อมูลในความทรงจำ :


หมายเลข : 37


ชื่อ : ฝันนิรันดร์


ระดับอันตราย : 2 ‘อันตราย’ จงใช้อย่างระมัดระวังและตั้งอยู่บนความไม่ประมาท สามารถใช้ได้ในปฏิบัติการตั้งแต่สามคนขึ้นไป และต้องมีบิชอปหรืออาวุโสอยู่ในทีม


ระดับความลับ : บิชอป หัวหน้าทีม หรือเหนือกว่านั้น


วิธีผนึก : แช่ในน้ำเดือด


คำอธิบาย :


ลักษณะคล้ายหัวใจสีเข้ม ผิวสัมผัสเย็นเฉียบ มีรูโหว่หลายจุด และมักส่งเสียงคล้ายกับการเป่าขลุ่ย


มีต้นกำเนิดจากชนเผ่าดั้งเดิมของไบลัมตะวันตกแห่งทวีปใต้ หัวหน้าของพวกมันคือจอมอาคมวิญญาณ โดยจะใช้ชีวิตตอนกลางคืนและพักผ่อนตอนกลางวัน


กองทัพโลเอ็นเข้ายึดครองชนเผ่าดังกล่าวและพบสิ่งนี้วางอยู่บนแท่นบูชา แต่ภายในไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น ทหารก็เริ่มเกิดอาการประหลาด มีพฤติกรรมบ้าคลั่ง บางรายหนักถึงขั้นฆ่าตัวตาย


ผลลัพธ์การวิจัยบ่งชี้ว่า หากใครสัมผัสกับสิ่งนี้โดยตรง บุคคลดังกล่าวจะเข้าสู่ความฝันอันเป็นนิรันดร์ทันที หากไม่ถูกปลุกโดยผู้อื่น ก็จะจมอยู่ในโลกแห่งภาพลวงตาไปตลอดกาล โดยภายนอกจะแสดงอาการคล้ายคนเสียสติ มีสภาพหดหู่ ท้อแท้ หวาดกลัว สับสน จิตใจจะค่อยๆ ถูกกัดกร่อนทีละนิด


หลังจากใช้งานติดต่อกันเป็นเวลานาน เมื่อนักวิจัยถูกปลุกให้ตื่น บางคนไม่สามารถแยกแยะระหว่างความจริงและความฝันได้นานหลายสัปดาห์ โดยจะนำไปสู่เหตุการณ์ประหลาดมากมาย เช่น แสดงความรักต่อผู้บังคับบัญชา จุมพิตกับงูพิษ ทุกข์ทรมานจากอาการซึมเศร้า หรือลงไปอาบในน้ำเดือด… หากไม่รีบย้ายเมืองไปอาศัยในเขตอื่นชั่วคราว ทุกคนจะเสียสติและลงเอยด้วยการฆ่าตัวตาย


สมบัติชิ้นนี้สามารถดึงเป้าหมายอื่นเข้าสู่ความฝันเดียวกันได้… ผู้ใช้งานสามารถระบุเป้าหมายได้อย่างแม่นยำยกเว้นพวกพ้อง… พิสัยแสดงผลรัศมีห้าสิบเมตร หากใช้งานนานเกินไปจะทำให้ร่างกายได้รับภาระหนัก จิตใจถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เริ่มแบ่งแยกความฝันและความจริงไม่ชัดเจน หากต้องการรักษาให้หายขาด ก็ต้องย้ายออกจากเมืองซึ่งมี 2-37 ถูกเก็บรักษา


ตัวอย่างบางส่วน (ดูภาคผนวก) ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แม้จะไม่มีการสัมผัสโดยตรง แต่สมบัติปิดผนึกชิ้นนี้ก็ยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อผู้คนโดยรอบหากไม่แช่น้ำเดือดไว้


ภาคผนวก :


1. มอบผลลัพธ์คล้ายกับพลังของผู้วิเศษลำดับ ‘ฝันร้าย’ แห่งเส้นทางรัตติกาล แต่รุนแรงกว่าและไม่สามารถควบคุมได้


2. ตัวอย่างแรก : เคยมีครั้งหนึ่ง ผู้ดูแลลืมใส่ฟืนหม้อต้ม อุณหภูมิจึงเริ่มลดลงจนน้ำไม่เดือด ส่งผลให้ผู้ดูแลฝันถึงเด็กสาวคนรัก และเริ่มหลงใหลในถุงมือของตนแทน จนถึงขั้นสารภาพรักและพยายาม ‘มอบความรัก’ อันเกินกว่ามิตรภาพทั่วไปให้กับถุงมือ


ตัวอย่างถัดมา…


ขณะปล่อยความคิดล่องลอย คอร์โดบาเหลือบเห็น ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิส สรั่งเรือลำดับสี่ของ ‘ฝันทองคำ’ กำลังปีนหลังคาบ้านเข้าไปในจุดติดต่อเพื่อรวบรวมข้อมูล


มันรีบส่งสัญญาณมือบอกให้ลูกทีมทูตพิพากษาเปิดกล่องสี่เหลี่ยมสีทองออก ผิวกล่องสลักลวดลายเวทมนตร์ซับซ้อน ขณะเดียวกันก็นำสมบัติปิดผนึก 2-37 ในน้ำเดือดออกมาวางเตรียมลงมือ


กล่องสี่เหลี่ยมสีทองคือสมบัติปิดผนึกอีกหนึ่งชิ้นในปฏิบัติการ 2-166


สิ่งนี้สามารถรักษาอุณหภูมิของวัตถุทุกชนิดให้ไม่เปลี่ยนแปลง และยังมีพลังในการสร้างสภาพอากาศพิเศษหากปัจจัยหลายอย่างเอื้ออำนวย ถ้าทำสำเร็จ ฝนสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะโปรยปรายลงมาจากเบื้องบน


อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้มาพร้อมผลข้างเคียงอันรุนแรงจนเกินรับไหว ไม่อย่างนั้นมันคงถูกใช้ผนึก 2-37 อย่างถาวรโดยไม่ต้องพึ่งพาหม้อต้มน้ำร้อน มิใช่ใช้งานเป็นครั้งคราว


โดยไม่ว่า 2-166 จะสัมผัสกับวัตถุใด สิ่งนั้นจะมีชีวิตขึ้นมาและกลายเป็นสาวกเปี่ยมศรัทธาของ ‘สุริยันเจิดจรัส’ ทันที วันทั้งวันจะเอาแต่สรรเสริญดวงอาทิตย์ไม่หยุดหย่อน


ภายในสำนักงานทูตพิพากษาเคยมีโต๊ะตัวหนึ่งเอาแต่ร้องเพลงสรรเสริญเทพสุริยันเจิดจรัสทุกชั่วโมง และยังมีเทียนไขซึ่งคอยเผาตัวเองตลอดเวลาเพื่อหวังชำระล้างทุกสิ่ง


เมื่อทูตพิพากษาผู้เกรี้ยวกราดเกิดความหงุดหงิด พวกมันจึงเผาโต๊ะตัวปัญหาให้กลายเป็นเถ้าถ่านด้วยเทียนไขระยำเล่มดังกล่าว


หลังจากเห็นเงารางสีดำกระโดดลงปล่องไฟอาคารหมายเลข 15 ถนนไม้หอม คอร์โดบา·รอยย์ลดมือลงเพื่อเป็นสัญญาณ ‘เปิด’ ผนึกและเริ่มใช้งาน 2-37


เกล็ดปลามายาผุดขึ้นบนฝ่ามือของลูกทีมทูตพิพากษาคนหนึ่ง โดยมือข้างเดียวกันได้จุ่มลงไปในน้ำเดือดและดึงหัวใจสีเข้มขึ้นมาถือ


เสียงขลุ่ยอันไพเราะพลันดังแว่ว ปกคลุมอาคารหมายเลข 15 ถนนไม้หอมโดยสมบูรณ์


ภาพการมองเห็นของกลุ่มนักผจญภัยจอห์น·สมิธยังคงเหมือนเดิม พวกมันกำลังบุกเข้าไปในห้องนั่งเล่นอันว่างเปล่าและไม่มีเครื่องเรือนแม้แต่ชิ้นเดียว ปรากฏเพียงร่างของ ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิสในผ้าคลุมสีดำ โดยไม่มีใครเอะใจว่าตนถูกดึงเข้าห้วงความฝัน


พวกมันรีบกรูเข้าหาด้วยความคล่องแคล่ว บางคนชักปืนยิงใส่ บางคนใช้พลังพิเศษคอยตรึงขา จนกระทั่ง ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิส เจ้าของค่าหัวสามพันปอนด์ และมีความเกี่ยวข้องกับกุญแจเทพมรณา ถูกจับกุมตัวอย่างสมบูรณ์


อย่างไรก็ตาม บนโลกความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น พวกมันบางคนกำลังนอนปั่นจักรยานอากาศ บ้างทำท่าว่ายน้ำ และบ้างทำท่าลั่นไกปืนพลางแหกปากเลียนเสียงยิง


“ลงมือ!” คอร์โดบา·รอยย์ออกจากจุดซ่อนตัวและตรงเข้าไปในบ้านหมายเลข 15 ถนนไม้หอม ส่วนทูตพิพากษาคนอื่นๆ แบ่งออกเป็นสองหน่วยย่อยและล้อมบ้านหลังดังกล่าวไว้จากทุกทิศ


ขณะคอร์โดบาเตรียมเดินเข้าไปในบ้าน ห้องนั่งเล่นพลันสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์กำลังผงาด สายฝนศักดิ์สิทธิ์ตกโปรยปรายลงมายังด้านล่าง ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากพลังของสมบัติปิดผนึก 2-166


ในจุดห่างไกลออกไป พรมวิเศษกำลังลอยอย่างเงียบงันโดยหลบซ่อนอยู่ในกำบังความมืดมิด เมื่อพวกมันเห็นทูตพิพากษาปรากฏตัว ทุกคนเริ่มเข้าใจทันทีว่านี่คือกับดักของ ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิส


“ไอ้ลูกกะหรี่นั่นแอบร่วมมือกับโบสถ์วายุสลาตัน!” แม็ควิตี้ตะโกนฉุนเฉียว


‘พุ่มหนามสีเลือด’ เฮนดรี้ หันไปมองบุคคลมันสมอง สควอล พลางกล่าวยกย่องอีกฝ่ายจากใจจริง


“แต่โชคยังดี พวกเรามิได้ประมาท”


“ว่ากันตามตรง ฉันเองก็คาดไม่ถึงว่าไอ้ตูดหมึกเดนิส จะแอบสมคบคิดกับโบสถ์วายุสลาตัน” สควอลเล่าอย่างใจเย็น “บางที ตัวมันในสภาพพิการอาจถูกทูตพิพากษาล้อมจับกุม จึงจำใจต้องร่วมมือในแผนการ”


แต่ขณะกำลังคิดหนี พวกมันบังเอิญเห็นเงารางสีดำกำลังวิ่งออกจากบ้านหลังหนึ่ง โดยอีกฝ่ายสับเท้าอย่างคล่องแคล่วไปตามแนวมุมอับสายตา


“เพลิงพิโรธ!” แม็ควิตี้เริ่มหวนนึกถึงความล้มเหลวในการซุ่มโจมตีครั้งก่อนของตน


“เดนิส!” เฮนดรี้จดจำได้ทันที ว่าเงาดำด้านล่างเป็นของผู้ใด


สควอลครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะสรุป


“ไม่ว่าจะเป็นเพราะเดนิสวางแผนหลบหนีจากทูตพิพากษาหรือเตรียมวางกับดักเพื่อตลบหลังเรา แต่เมื่อมันเห็นทูตพิพากษาถูกดึงความสนใจโดยสมบูรณ์ จึงฉวยโอกาสหลบหนีทันทีอย่างไม่คิดชีวิต”


“ไม่ว่าจะอย่างไหน แต่นี่คือโอกาส!”


‘พุ่มหนาม’ เฮนดรี้มองไปยังกลุ่มทูตพิพากษาซึ่งกำลังกระจายตัวล้อมอาคารหมายเลข 15 ถนนไม้หอม


“หากพวกเราฉวยโอกาสตอนนี้ การฆ่าเดนิสใต้จมูกทูตพิพากษาก็จะไม่ใช่เรื่องยาก!”


‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้เผยแววตาเปี่ยมด้วยแรงกระหาย


หลังจากสควอลพยักหน้ารับเชิงเห็นพ้อง แม็ควิตี้หันไปกล่าวกับผู้วิเศษอีกสองคนด้านหลังพรม


“พวกนายนำซอมบี้กับหุ่นกระบอกของฉันลงไปคุ้มกันแถวนี้ไว้ หากทูตพิพากษาเริ่มเข้ามาใกล้ ให้ใช้ซอมบี้และหุ่นกระบอกสร้างความวุ่นวายพร้อมกับรีบหนีไป”


“ครับบอส!” โจรสลัดผู้วิเศษสองคนกระโดดลงจากพรมวิเศษพร้อมกับซอมบี้ละหุ่นกระบอก


จากนั้น พรมบินหางนกยูงสีน้ำเงินเริ่มเหาะไปทางเงาของ ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิสอย่างว่องไว


“นายคอยสนับสนุนจากด้านบนและสอดส่องความผิดปรกติภาพรวมเป็นหลัก ฉันเกรงว่าเดนิสอาจมีผู้ช่วยคนอื่นซ่อนตัวอยู่”


สควอลพูดกับ ‘พุ่มหนามสีเลือด’


เฮนดรี้ขานรับด้วยใบหน้าซีดเซียว


“ไว้ใจได้เลย!”


โดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม สควอลหันไปพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้


อาศัยความได้เปรียบในจุดสูงกว่า แม็ควิตี้สามารถแยกแยะเงารางของเป้าหมายออกจากเงาอื่นโดยรอบได้แม่นยำ


ทันใดนั้น มันกระโดดลงจากพรมวิเศษในลักษณะคล้ายก้อนหินยักษ์ หล่นกระแทกพื้นเสียงดังโครม


พื้นใต้ฝ่าเท้าแม็ควิตี้พลันควบแน่นกลายเป็นน้ำแข็ง และแผ่ขยายออกไปยังบริเวณใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว


เงาดำปริศนาถูกแช่แข็งในทันที


ด้วยเสียง ‘แกร่ก!’ เดนิสพยายามดิ้นรนให้หลุดจากน้ำแข็งเกาะฝ่าเท้า


เฮนดรี้บนพรมวิเศษทำการสนับสนุนในจังหวะเหมาะสม มันโปรยใบไม้สีเขียว ดอกไม้บานสะพรั่ง และหนามแหลมลงมารอบตัว ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิส


ใบไม้ กลีบดอก และคมหนามต่างขยายขนาดและแผ่กิ่งก้านอย่างรวดเร็ว พันธนาการเดนิสจนเคลื่อนไหวร่างกายได้ไม่ถนัดนัก


สควอลฉวยโอกาสกระโดดลงจากพรมวิเศษ อาศัยแรงโน้มถ่วงขณะร่วงหล่น ชักมีดผ่าตัดแหลมคมถือในมือขวา พร้อมกับตวัดใส่ท้ายทอยของเดนิสอย่างแม่นยำและอำมหิต


ฉัวะ!


มันออกแรงดันมีดในมือขวาไปรอบลำคอเป้าหมายสุดแรง


ศีรษะเดนิส ขาดกระเด็นออกจากลำตัว แต่ร่างกาย ‘เพลิงพิโรธ’ กลับหดลีบ แบนราบ และกลายเป็นเพียงเศษกระดาษขาดรุ่งริ่ง


ในเวลาเดียวกัน ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้ตระหนักถึงความหิวกระหายอันยากบรรยายมาจากมุมมืดของอาคาร เพียงพอจะทำให้มันรู้สึกราวกับมีปีศาจกำลังรอขย้ำตน


หมอนี่ไม่ใช่เพลิงพิโรธ!


ขณะเกิดความคิดดังกล่าว ก้อนเพลิงอันร้อนแรงซึ่งถูกบีบอัดมาหลายชั้น พุ่งจากหลังคาบ้านหลังหนึ่งตรงมายังร่างของแม็ควิตี้ด้วยความเร็วสูง


‘เหล็กกล้า’ ไม่คิดให้ซับซ้อน เพียงยกแขนขึ้นมาป้องกันตามสัญชาตญาณ


บึ้ม!


ก้อนเพลิงระเบิดปะทุจนเกิดแรงกระแทกแผ่ออกไปทั่วบริเวณ แม้แต่สควอลและเฮนดรี้ต่างก็สัมผัสถึงสายลมปะทะหน้า แต่พวกมันมิได้แสดงอาการตื่นตระหนก โดยเลือกจะเชื่อมั่นในความทนทานของ ‘เหล็กกล้า’


และไม่ผิดคาด แม็ควิตี้แทบไม่ได้รับบาดเจ็บ ปรากฏเพียงรอยสีขาวบนผิวหนังไม่กี่จุด


ทันใดนั้น มันเห็นร่างของบุคคลผู้หนึ่งโผล่ออกจากประกายเปลวเพลิงซึ่งลอยสูงขึ้นไปบนอากาศ อีกฝ่ายสวมผ้าคลุมสีดำของเดนิส แต่อย่างอื่นกลับไม่ใช่เดนิส ไม่ว่าจะเป็นดวงตาสีน้ำตาลเข้ม เส้นผมสีดำหวีเรียบ และใบหน้าเรียบเฉยเย็นชา


เดนิสในช่วงก่อนหน้าคือ ‘ผู้ไร้หน้า’ ไคลน์มาตลอด โดยในวินาทีนี้ เกอร์มัน·สแปร์โรว์พร้อมออกล่าเหยื่อแล้ว


……………………


ราชันเร้นลับ 527 : งานไว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทันใดนั้น ถุงมือข้างซ้ายของไคลน์พลันส่องแสง ดวงตาทั้งสองข้างปรากฏจุดสีทองสองจุด ขยายจากเล็กไปใหญ่ จากมืดไปสว่าง


ขณะร่างกายกำลังร่อนลง ดวงตาสีทองได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นสายฟ้าทองคำสองเส้น


หลังจากดึงดูดความสนใจของ ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้ด้วย ‘กระดาษคน’ ในจังหวะก่อนหน้า ชายหนุ่มเปิดใช้งาน ‘ยุบพองหิวโหย’ พร้อมกับเปลี่ยนเป็นดวงวิญญาณ ‘นักสอบสวน’ เพื่อใช้พลัง ‘ทะลวงจิต’


“อ๊ากกกกก!”


‘เหล็กกล้า’ แหกปากกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ประหนึ่งกำลังถูกแท่งเหล็กคนกวนเนื้อสมองสีเทาโดยตรง ความทุกข์ทรมานเหนือคำบรรยายพลันปะทุจากก้นบึ้งจิตใจ ครอบงำสตินึกคิดทั้งหมดในทันที


พลังพิเศษของมันเกิดปั่นป่วนและระเบิดออกไปทุกทิศ สร้างลมพายุกระโชกหมุนวนรอบตัวอย่างทรงพลัง


เกล็ดหิมะระยิบระยับเริ่มตกโปรยปราย น้ำแข็งและไอความเย็นทำให้บรรยากาศรอบข้างจับตัวเป็นก้อนผลึก ต้นไม้ริมถนนสองฝั่งเริ่มมีคราบหิมะสีขาวเกาะปลายใบ ก่อนจะเหี่ยวเฉาอย่างรวดเร็วและจบชีวิตลง


วิญญาณเร่ร่อนล้วนถูกกระตุ้นให้ตื่นจากภวังค์หลับใหล พวกมันประสานเสียงครวญครางสะอื้นไห้และแปรเปลี่ยนลมพายุให้กลายเป็นสีเทาหม่น


ไคลน์ปล่อยตัวร่อนลงตามธรรมชาติ พร้อมกับการส่องสว่างจนคล้ายดวงอาทิตย์ของถุงมือข้างซ้าย


ชายหนุ่มกางแขนทั้งสองข้างออก ราวกับเตรียมตัวโอบกอดบางสิ่ง


เมื่อส้นเท้าสัมผัสพื้นน้ำแข็งเย็นเฉียบ ลำแสงสุกสว่างได้สาดทอดลงมาจากอากาศว่างเปล่าด้านบน ฉาบพื้นดินด้านล่างให้กลายเป็นสีทองอร่าม


เสาลำแสงศักดิ์สิทธิ์ได้อาบร่าง ‘เหล็กกล้า’ อย่างท่วมท้น ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังสีคล้ำเข้ม กล้ามเนื้ออันบึกบึน หรือเส้นผมหงิกงอเป็นก้อนกลมประหนึ่งลูกเหล็ก


‘แสงศักดิ์สิทธิ์’ ของนักบวชแสง!


โดยปราศจากสุ้มเสียง สีหน้า ‘เหล็กกล้า’ เริ่มทวีความบิดเบี้ยวทีละนิด ผัวหนังภายนอกของมันเริ่มละลายอย่างชัดเจน


ลักษณะคล้ายกับเทียนไขถูกโยนลงไปในเตาผิงร้อนแรง


เมื่อนำไปเทียบกับกรณีของบิชอปมิลเลอร์ ‘เหล็กกล้า’ ผู้มีร่างกายเป็น ‘ซอมบี้’ ได้รับผลกระทบรุนแรงกว่ามาก ความเสียหายเข้าขั้นหนักหน่วง ราวกับเป็นพลังชนะทางโดยตรง


ทันใดนั้น เกล็ดหิมะระยิบระยับกลางอากาศเริ่มสลายตัว น้ำแข็งบนพื้นและหิมะบนต้นไม้เริ่มละลาย เหลือไว้เพียงซากกิ่งก้านสีน้ำตาลอมแดงไร้ชีวิตชีวา


แน่นอน ลำแสงทรงพลังย่อมดึงดูดความสนใจจากเฮนดรี้และสควอล โดยเฉพาะรายแรก สีหน้าของมันเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน


‘พุ่มหนามสีเลือด’ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า หยิบวัตถุดิบสำหรับร่ายเวทมนตร์ออกมาถือ เตรียมยื่นมือช่วยเหลือ ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้จากพรมบินมุมสูง


ทันใดนั้น มุมสายตาของมันบังเอิญเหลือบเห็นอีกาเพลิงกำลังพุ่งเข้าหาจากทุกทิศ


หนึ่งตัว สองตัว สามตัว…


อีกาเพลิงจำนวนมากถาโถมเข้าใส่ประหนึ่งดาวตกสีแดง บดบังการมองเห็นของเฮนดรี้โดยสมบูรณ์ อีกาทุกตัวล้วนกระพือปีกอย่างเกรี้ยวกราด เปลี่ยนให้บรรยากาศโดยรอบมีอุณหภูมิสูงขึ้นฉับพลัน


ร่างกายเฮนดรี้เริ่มสั่นเทา ดวงตาแข็งทื่อ ฝ่ามือของมันเปลี่ยนอิริยาบถ เลือกหยิบคว้าวัสดุอื่นออกมาใช้งานแทน


ฟุ่บ!


‘พุ่มหนามสีเลือด’ รีบโปรยผงวิเศษสีฟ้าอ่อนรอบตัว ปากขยับพึมพำเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ :


“คลื่นสมุทร!”


ทันใดนั้น ผงปริศนาเริ่มพองตัว กลายเป็นประกายคลื่นทะเลสีน้ำเงินเข้ม สาดซัดออกไปทุกทิศทางรอบตัว


พวกมันปะทะเข้ากับอีกาเพลิงมายาจนเกิดเสียง ‘ฉ่า’ ดังระงม หมอกควันสีขาวหนาทึบผุดขึ้นจากอากาศว่างเปล่า ปกคลุมน่านฟ้ารอบตัวเฮนดรี้ทุกทิศทาง


เมื่อแรงระเบิดในจังหวะก่อนหน้าเริ่มซาลง สควอลมองผ่านแสงสีแดงเจือจางซึ่งยังตกค้างประปราย เห็นผิวของ ‘เหล็กกล้า’ เริ่มละลายคล้ายกับขี้ผึ้ง โดยด้านข้างมีบุคคลแปลกหน้าในผ้าคลุมสีดำกำลังยืนในท่าเตรียมโจมตี


อย่างไรก็ตาม สควอลยังคงสุขุม มาดคล้ายอสรพิษเลือดเย็นผู้ปราศจากอารมณ์ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง มันยกแขนทั้งสองข้างด้วยหน้านิ่ง ก่อนจะตวัดลงอย่างรวดเร็ว


เพียงพริบตา สควอลเห็นชายหนุ่มใบหน้าผอมเพรียวเกิดอาการชะงัก การเคลื่อนไหวช้าลงอย่างชัดเจน คล้ายกับนกปีกหักซึ่งมิอาจโบยบิน โดยในทางกลับกัน แม็ควิตี้กำลังดิ้นรนให้หลุดพ้นจากผลกระทบทางจิต เพื่อเตรียมหลบเสาลำแสงสุริยันระลอกถัดไป


ทันใดนั้น สควอลพบว่าร่างกายอีกฝ่ายเริ่มแบนเป็นแผ่นกระดาษบาง ก่อนจะถูกบดราบติดกับพื้นด้วยพลังปริศนา และจมลงในพื้นโคลนซึ่งเกิดจากการละลายของหิมะ


ไคลน์ปรากฏตัวจากมุมอื่น นำนิ้วโป้งข้างขวาวางทาบกับนิ้วกลาง พลางกระโจนเข้าหาแม็ควิตี้พร้อมกับดีดนิ้วสามครั้งซ้อน


ปัง! ปัง! ปัง!


เข็มกลัดสีทองเข้มทรงวิหคสุริยันพลันสว่างวาบสามครั้ง เปลี่ยนธาตุของกระสุนอากาศให้กลายเป็นสุริยันศักดิ์สิทธิ์


กระสุนสามนัดเรียงต่อกันโดยไม่เว้นจังหวะพักหายใจ ทั้งหมดประสบความสำเร็จในการทะลวงหน้าอกฝั่งขวาของแม็ควิตี้ ผู้ยังฟื้นฟูสติจากการโจมตีแรกได้ไม่สมบูรณ์ หัวกระสุนเจาะผ่านผิวหนังซึ่งละลายไปกว่าครึ่ง สร้างบาดแผลฉกรรจ์และน่าหวาดเสียว พร้อมกับเกิดประกายไฟแผ่กระจายไปรอบทิศ


วืด! สควอลโยนมีดผ่าตัดใส่ แต่ไคลน์อาศัยความคล่องตัวหลบหลีกได้ไม่ยากเย็น


พร้อมกันนั้น ‘เหล็กกล้า’ ใช้สองมือพยุงตัวลุกยืน ตามด้วยการพุ่งโถมเข้าใส่ไคลน์ในระยะประชิด มิได้เกรงกลัวว่าจะบาดเจ็บจากการโจมตีของอีกฝ่าย


ทุกย่างก้าวจะสร้างแผ่นน้ำแข็งบางๆ ฉาบปกคลุมผิวดิน กำปั้นอัดแน่นด้วยออร่าพลังเน่าเปื่อยเข้มข้น


ทันใดนั้นเอง แม็ควิตี้เห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มของศัตรูส่องแสงคล้ายสายฟ้าสองเส้น


โดยไม่ทันได้เตรียมใจ ‘เหล็กกล้า’ พลันยกสองมือขึ้นมากุมศีรษะ ขบกรามแน่นจนเกิดเสียงกรอด พร้อมมีเลือดไหลซึมออกจากจมูก ปาก และใบหู ผสมผสานเข้ากับผิวหนังละลายของมัน


ขณะยิงปืนใส่ในจังหวะก่อนหน้า ไคลน์ได้เปลี่ยนดวงวิญญาณของถุงมืออีกครั้ง


‘ทะลวงจิต’ ของ ‘นักสอบสวน!’


เพื่อจัดการกับเส้นทางซอมบี้ผู้มีร่างกายแข็งดุจดังเหล็ก การโจมตีทางจิตใจย่อมสร้างความเสียหายได้มากกว่าทางกายภาพ!


แรงกดดันทางจิตส่งผลให้แม็ควิตี้ชะงักงัน สติของมันขาดผึ่งโดยสมบูรณ์ ผิวสีเข้มของ ‘เหล็กกล้า’ เริ่มมีขนดำแข็งปกคลุม ฟันและเล็บยื่นยาว ผิวหนังด้านนอกเปลี่ยนจากสีเข้มเป็นซีดจาง กลายเป็นซอมบี้กระหายเลือดและขาดสติ!


อาศัยโอกาสดังกล่าว ไคลน์โน้มตัวพุ่งไปทางไหล่ขวาของแม็ควิตี้ พร้อมกับยัดวัตถุในฝ่ามือ ฝังแน่นเข้าไปในปากแผลฉกรรจ์จากกระสุนปืนสามนัดในจังหวะก่อนหน้า


วัตถุดังกล่าวคือขวดแก้ว มัดติดกับกระสุนสีทองทองเหลืองสามนัด ด้านในขวดบรรจุ ‘น้ำมนต์สุริยัน’ ซึ่งไคลน์สร้างกรอกไว้ล่วงหน้าจนเต็ม!


วืด!


เนื่องจากไคลน์ไม่เคยอยู่นิ่ง มีดผ่าตัดของสควอลจึงพลาดเป้าไปอีกหน


ชายหนุ่มม้วนตัวไปโผล่ด้านหลังแม็ควิตี้ในลักษณะหลังชนหลัง


เป๊าะ! ไคลน์ยกมือขวาขึ้นมาดีดนิ้วโดยไม่ปล่อยให้ ‘เหล็กกล้า’ มีโอกาสดึงขวดออก


บึ้ม!


เกิดเสียงระเบิดทื่อ เปลวเพลิงสีแดงเข้มลุกโชนอาบขวดแก้วอันบอบบางจนแตกละเอียด ‘น้ำมนต์สุริยัน’ จำนวนมากไหลราดใส่บาดแผลและลำตัวอีกฝ่ายทุกซอกมุม


โจรสลัดอันโด่งดังเจ้าของค่าหัวหกพันปอนด์พลันยืนตัวแข็ง ในลำคอส่งเสียงครวญครางอย่างทุกข์ทรมาน


มันโซซัดโซเซจนล้มในท่าคุกเข่า ควันสีดำสลับเขียวผุดออกจากผิวหนังเป็นระยะ ก่อนจะสลายไปในอากาศ


เมื่อเห็นฉากตรงหน้า ดวงตาสควอลพลันดำมืดกะทันหัน มันรีบควักแผ่นยันต์โลหะพลางตะโกนถ้อยคำภาษาเฮอร์มิสโบราณ


“หวีดร้อง!”


สิ้นเสียงคาถา ยันต์โลหะแตกตัวและสลายไปอย่างสมบูรณ์ ทำงานของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ


คลื่นเสียงล่องหนซัดโถมออกไปทุกทิศในลักษณะคล้ายสึนามิ ทุกคนในบริเวณล้วนได้รับผลกระทบถ้วนหน้า


หลังจากสมองไคลน์ได้ยินเสียงกรีดร้องหวีดแหลม โพรงจมูกของมันเริ่มเย็นเนื่องจากมีเลือดสีแดงไหลซึม แต่อาการของเฮนดรี้บนพรมวิเศษนั้นเลวร้ายยิ่งกว่า พรมลอยฟ้ามีสภาพโคลงเคลงอย่างฉับพลัน สติของมันหลุดลอยจนหมดโอกาสส่งเสียงร้อง แต่ในทางกลับกัน ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิสไม่ได้รับผลกระทบใดเลย จึงทำการขว้างก้อนเพลิงควบแน่นซึ่งเกิดจากการอัดพลังธาตุไฟเข้าไปซ้ำๆ หลายชิ้นด้วยสีหน้ายินดีปรีดา


ลูกไฟปะทะร่าง ‘พุ่มหนามสีเลือด’ อันไร้การต่อต้านขัดขืน มาพร้อมเสียงระเบิดกังวานสนั่นโสตประสาท


เศษเนื้อพุ่งกระจัดกระจายไปรอบทิศ ปลายนิ้ว น่อง ศีรษะ และอวัยวะอื่นๆ ถูกไฟคลอกอย่างโหดเหี้ยม ก่อนจะล้มลงหมดสติอย่างสมบูรณ์และปล่อยให้พรมวิเศษหล่นกระแทกพื้นอย่างไร้คนควบคุม


สควอลฉวยโอกาสความวุ่นวาย หันหลังกลับและเริ่มออกวิ่งเต็มฝีเท้า ใบหน้ายังคงเยือกเย็นและไม่ปรากฏความลังเล


แต่มันกลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า บุคคลปริศนาอันน่าหวาดหวั่น ผู้สามารถจัดการ ‘เหล็กกล้า’ ได้ภายในไม่ถึงสิบวินาที มิได้เกิดอาการชะงักงันจากผลของยันต์แม้แต่น้อย อีกฝ่ายหันหลังกลับมาไล่ล่าตนอย่างคล่องแคล่วแทบจะในพริบตา!


เป็นไปได้ยังไง? นี่คือ ‘ยันต์หวีดร้อง’ ฝีมือพลเรือเอกเชียวนะ!


สควอลมิอาจสลัดความคาใจ ขณะเดียวกันก็พยายามอย่างหนักเพื่อเลี้ยวเข้าตรอกซอกซอยหลบหนี


ทันใดนั้น ศีรษะมันถูกบางสิ่ง ‘ทะลวง’ เข้าอย่างจัง ความเจ็บปวดทางจิตเจียนตายส่งผลให้อวัยวะทั้งหมดหยุดชะงัก


เมื่อสายฟ้าสีทองเริ่มเลือนหายไปจากดวงตาไคลน์ ชายหนุ่มยกมือขวาพร้อมกับดีดนิ้วอีกครั้ง


ปัง!


กระสุนแหวกอากาศเป็นระยะทางสิบเมตร เจาะทะลุท้ายทอยสควอลอย่างแม่นยำและอำมหิต


เนื่องจากร่างกายสควอลมิได้แกร่งเหมือน ‘เหล็กกล้า’ แววตาของมันจึงอับแสงอย่างฉับพลัน เปลือกตาปิดตัวลงอย่างเชื่องช้า


ไคลน์ไม่มากพิธีรีตอง เหยียดมือซ้ายออกไปด้านหน้า ปล่อยให้ ‘ยุบพองหิวโหย’ เพลิดเพลินไปกับการกินอาหารมื้อใหญ่


เราเคยได้ยินเสียงของ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ มาแล้ว รวมถึงการอดทนต่อเสียงเพรียกขอความช่วยเหลือจาก ‘มิสเตอร์ประตู’ หรือแม้กระทั่งเสียงหวีดร้องของ ‘วิญญาณอาฆาต’ สตีฟโดยตรง ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเสียงเพรียกอ่อนหัดจากยันต์…


ไคลน์รำพันในใจ สายตาจ้องมองก้อนเนื้อของสควอลถูกสูบเข้าไปใน ‘ปาก’ บนฝ่ามือข้างซ้ายทีละนิด


ผ่านไปไม่กี่วินาที เมื่อ ‘ยุบพองหิวโหย’ สวาปามจนพึงพอใจ ชายหนุ่มรีบย้อนกลับไปหาแม็ควิตี้ผู้ยังคงอยู่ในท่าคุกเข่า


‘ซอมบี้’ ตนนี้ถูกชำระล้างอย่างสมบูรณ์ ถึงแม้ศีรษะจะยังติดกับลำตัว แต่ก็เสียชีวิตมาได้สักพักแล้ว


ไคลน์เดินไปด้านข้างสามก้าว ก้มหยิบพรมหางนกยูงสีน้ำเงินบนพื้นและนำมาห่อหุ้มร่างแม็ควิตี้ ก่อนจะยกพาดบนบ่า


ชายหนุ่มมองย้อนกลับไปยังความวุ่นวายใกล้กับอาคารหมายเลข 15 ถนนไม้หอม


หลังจากได้ยินเสียอึกทึกอันเกิดจากฝูงซอมบี้และหุ่นกระบอก ไคลน์ทราบทันทีว่า ‘ทูตพิพากษา’ กำลังรุดหน้ามายังตำแหน่งปัจจุบันของตน จึงรีบดึงผ้าคลุมสีดำของเดนิสขึ้นมาปกปิดศีรษะ พร้อมกับโค้งคำนับไปยังทิศทางดังกล่าวในเชิงทักทาย


เป๊าะ!


ไคลน์ดีดนิ้ว เศษกระดาษจำนวนหนึ่งซึ่งโปรยไว้รอบตัวพลันลุกโชติช่วง เกิดเป็นเสาเปลวเพลิงสีแดงเข้มพวยพุ่งขึ้นฟ้า


ท่ามกลางกองเพลิง ร่างกายชายหนุ่มเริ่มเลือนหาย แม้แต่สิ่งของขนาดใหญ่บนบ่าก็ไม่หลงเหลือ ทั้งหมดอันตรธานไปพร้อมเปลวไฟ


สำหรับตะกอนพลังของสควอลและเฮนดรี้ซึ่งยังควบแน่นไม่เสร็จ ไคลน์ไม่นึกแยแสแม้แต่น้อย


ความโลภจะนำมาซึ่งอันตรายเกินควร… เพียงเท่านี้ก็นับว่ากำไรมากพอแล้ว!


หลังจากทูตพิพากษาจัดการกับซอมบี้ หุ่นกระบอก โจรสลัดปลายแถวซึ่งได้รับบาดเจ็บจากพวกพ้อง และกลุ่มนักผจญภัยผู้วิเศษ จอห์น·สมิธเสร็จ คอร์โดบา·รอยย์นำกำลังจำนวนหนึ่งตรงมายังซากสนามรบอันดุเดือด


แต่มันกลับพบเพียงเศษเนื้อกระจัดกระจาย ซากศพ มีดผ้าตัด และต้นไม้แห้งเหี่ยวสีน้ำตาลเข้ม


……………………


ราชันเร้นลับ 528 : เลี้ยงแกะ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ยามเช้าตรู่ ท้องฟ้ากำลังสว่าง


ณ ตรอกที่เงียบและค่อนข้างมืด


ด้วยความช่วยเหลือจากผ้าคลุมของเดนิส ไคลน์ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเงา และเคลื่อนย้ายตำแหน่งลัดเลาะผ่านตรอกแล้วตรอกเล่า


ท่ามกลางภาพการมองเห็นสีเทาโปร่งใส ฉากรอบตัวค่อนข้างพร่ามัวไม่คมชัด ทุกสรรพเสียงคล้ายกับห่างไกลออกไป รวมกับตนมิได้กำลังอยู่บนโลกมนุษย์


จนกระทั่งหนีมาไกลจากถนนไม้หอมค่อนข้างมาก ชายหนุ่มจึงระบุตำแหน่งสำหรับ ‘งอก’ ออกจากเงาสีดำ และโผล่ตัวขึ้นในตรอกแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยกรวดและอิฐหัก


ไคลน์สะบัดข้อมือ โยนพรมหางนกยูงสีน้ำเงินพร้อมด้วยศพ ‘เหล็กกล้า’ ลงบนพื้นตรงหน้า เตรียมรีบ ‘ต้อนแกะ’ ก่อนวิญญาณของอีกฝ่ายจะสลายไปอย่างสมบูรณ์


ชายหนุ่มขยับพรมวิเศษหลบไปทางอื่น ตามด้วยการคุกเข่าข้างศพแม็ควิตี้ และเหยียดแขนซ้ายวางลงบนศพซึ่งยังอุ่นๆ


‘ยุบพองหิวโหย’ เผยรูปลักษณ์เดิมของมัน—ถุงมือหนังมนุษย์แผ่นบาง


กึ่งกลางฝ่ามือมีดวงตาปรากฏขึ้นสองข้าง แต่ละข้างมีสีแดงก่ำคล้ายเลือดสด


ฟ้าว!


สายลมกระโชกอันเย็นยะเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง เริ่มหมุนวนอย่างเกรี้ยวกราดภายในตรอกแคบ ก่อนจะหดตัวลงและบีบเข้ามาโอบล้อมศพ ‘เหล็กกล้า’


ทันใดนั้น ร่างมนุษย์โปร่งใสเริ่มถูกดึงออกจากศพแม็ควิตี้ ร่างมายาดังกล่าวมีริมฝีปากหนาและเส้นผมหงิกงอจนคล้ายลูกเหล็ก


แม็ควิตี้เผยสีหน้าทุกข์ทรมาน มันพยายามดิ้นรนให้หลุดจากอำนาจดึงดูดของ ‘ยุบพองหิวโหย’ อย่างสุดกำลัง แต่ก็ไร้ผล แสงออร่าสีดำสลับเขียว ส่องประกายระยิบระยับคลายอวกาศ ได้ถูกดูดออกจากศพและผสมเข้ากับร่างมายาโปร่งใสของแม็ควิตี้


“ไม่!”


‘เหล็กกล้า’ แหกปากกรีดร้อง แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอด เกรงว่าคงสายเกินไปหากจะร้องขอความเมตตาจากไคลน์ในตอนนี้ ชะตากรรมเดียวของมันคือการถูกถุงมือกลืนกิน


ดวงวิญญาณแม็ควิตี้ลอยเข้าไปสิงในนิ้วหนึ่งซึ่งยังว่างอยู่ ส่วนตะกอนพลังของมันพยายามสร้างการเชื่อมต่อระหว่างดวงวิญญาณและตัวถุงมือ


การเชื่อมต่อดังกล่าวเป็นตัวกำหนดว่า ชายหนุ่มจะได้รับพลังใดจาก ‘เหล็กกล้า’ ไปบ้าง บางทีอาจหนึ่งชนิด สองชนิด แต่ไม่มากไปกว่าสาม และจะคงอยู่เช่นนั้นไปตลอดโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง


กระบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นแบบสุ่ม ไคลน์ไม่มีสิทธิ์เลือก


สีผิวยุบพองหิวโหยเริ่มซีดจาง ก่อนจะเปลี่ยนกลับไปยังรูปลักษณ์จำแลง—ถุงมือหนังสีดำธรรมดา


ไคลน์หลับตาลงสักพัก ก่อนจะทำสีหน้าผ่อนคลายและถอนหายใจ


สำหรับครั้งนี้ ดวงของมันไม่เลวร้ายนัก แต่ก็ไม่ได้ดีมากเช่นกัน


มันอาจได้รับพลังสามชนิดจากแม็ควิตี้ แต่ก็ไม่รับความสามารถซึ่งตนปรารถนาเป็นอันดับหนึ่ง พลังในการทนไฟ ทนระเบิด และทนกระสุน—พลัง ‘กายาเหล็ก’


พลังชนิดแรกเป็นของ ‘ซอมบี้’ ช่วยให้โจมตีใส่เป้าหมายได้อย่างรุนแรง ชดเชยข้อบกพร่องของเราซึ่งเน้นความปราดเปรียวเป็นหลักมาตลอด… พลังถัดมาคือ ‘น้ำแข็ง’ อาจไม่ทรงพลังเท่าน้ำแข็งของแม่มด ไม่สามารถสร้างหอกน้ำแข็งและปาใส่ศัตรูโดยตรง แต่ก็สามารถฉาบพื้นดินรอบๆ ให้มีน้ำแข็งเกาะได้ สามารถลดอุณหภูมิรอบตัว ลดความเร็วฝ่ายตรงข้ามลง หรือถ้าศัตรูสัมผัสกับน้ำแข็งโดยตรง อวัยวะบริเวณดังกล่าวก็มีโอกาสถูกแช่แข็งได้เช่นกัน… พลังถัดมาคือ ‘บงการซอมบี้’ … ฮะฮะ! ในอนาคต เราไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีซอมบี้คอยเล่นไพ่เป็นเพื่อนแล้ว…


ไคลน์รำพันติดตลก ก่อนจะก้มสำรวจข้าวของเครื่องใช้ของแม็ควิตี้


จากการตรวจสอบเบื้องต้น ชายหนุ่มพบเงินสดยี่สิบหกปอนด์ สิบเอ็ดซูล แปดเพนนี และยังมีอุปกรณ์พิสดารอีกหลายชนิด เช่นเทียนไข โซ่เหล็ก แส้หนาม กุญแจมือ และอื่นๆ


เมื่อเริ่มตระหนักว่า ‘เหล็กกล้า’ เป็นสมาชิกของโรงเรียนกุหลาบ และยังอยู่ฝ่าย ‘ไม่ระงับแรงปรารถนา’ ไคลน์เข้าใจทันทีว่าอุปกรณ์เหล่านี้มีไว้เพื่อสิ่งใด


บัดซบ… มันแทบอาเจียน ก่อนจะเลือกหยิบเฉพาะเงินสดขึ้นมา


‘มนุษย์หมาป่า’ สามารถฟื้นตัวได้รวดเร็ว และ ‘ซอมบี้’ มีร่างกายทนทานเป็นทุนเดิม แม็ควิตี้จึงแทบไม่พกยารักษาหรือสิ่งของในทำนองดังกล่าว… และยังสอดคล้องกับการประเมินของเดนิส แม็ควิตี้มิได้พกพาสมบัติวิเศษแม้แต่ชิ้นเดียว…


ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไร สมบัติวิเศษส่วนใหญ่มักไม่ช่วยอะไรมากนัก แถมยังมีผลข้างเคียงรุนแรง ถึงจะอยากครอบครอง แต่ก็หาถูกใจและตรงสายพลังได้ยาก ถ้าต้องพกแบบผิดสาย สู้ไม่พกเลยยังดีเสียกว่า…


ถ้าจำไม่ผิด หลังจากเราช่วยชารอนกำจัด ‘วิญญาณอาฆาต’ สตีฟและ ‘ซอมบี้’ เจสัน พวกมันพกพาสมบัติวิเศษมาแค่สองชิ้นเท่านั้น หนึ่งคือมงกุฎจันทร์ชาด และอีกหนึ่งคือขวดพิษชีวภาพ โดยทั้งสองชนิดคือสมบัติส่วนตัวของลำดับ 5 สตีฟ…


ไคลน์พยักหน้ารับ พลางดึงกระดาษพับแผ่นหนึ่งออกจากกระเป๋าเสื้อ


มันบรรจงคลี่กระดาษแผ่นสีเหลืองออก วางไว้บนศพ ‘เหล็กกล้า’ โดยจงใจให้ปกคลุมใบหน้า


สิ่งนี้คือใบปลิวค่าหัว ด้านบนมีภาพเสมือนจริงของแม็ควิตี้ถูกวาดขึ้นจากพิธีกรรม และจำนวนรางวัลนำจับซึ่งถูกเขียนไว้ตัวใหญ่ :


“หกพันปอนด์!”


ไคลน์ลุกยืน ก้าวถอยหลังกลับไปหยิบพรมหางนกยูงสีฟ้า โดยมืออีกข้างล้วงกระดาษรูปคนออกมาถือ


พรึบ!


มันสะบัดข้อมือพร้อมกับโยนกระดาษทิ้ง พลางยืนจ้องเศษกระดาษอันกำลังลุกไหม้และกลายเป็นซากขี้เถ้า


สิ่งนี้ทำไปเพื่อมิให้ถูกแกะรอย


จากนั้น มันผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเงาอีกครั้งด้วยผ้าคลุมของเดนิส ก่อนจะหายตัวไปจากตรอกอย่างไร้ร่องรอย


ถัดมาประมาณสามนาที คอร์โดบา·รอยย์รีบรุดมายังศพของแม็ควิตี้พร้อมกับหน่วยทูตพิพากษาจำนวนหนึ่ง แต่กลับได้เห็นเพียงสายลมกระโชกผัดผ่าน รวมถึงศพเนื้อของ ‘เหล็กกล้า’ ในสภาพผิวหนังละลาย บนใบหน้ามีแผ่นใบค่าหัวปิดอยู่


ฟ้าว—


ใบค่าหัวลอยปลิวและตกลงบนพื้น โดยยังคงหงายใบหน้าขึ้นพร้อมกับจำนวนตัวเลข



เมื่อคอร์โดบาและสมาชิกคนอื่นในทีมจนปัญญาจะสืบหาเบาะแสจากจุดพบศพแม็ควิตี้ พวกมันตัดสินใจกลับไปยังจุดปะทะอีกครั้ง


ขณะสายตาเพ่งไปยังสมาชิกคนหนึ่งในทีม อาวุโสคอร์โดบาพยายามข่มความหงุดหงิดและซักถามเสียงฉุนเฉียว


“สาวกสุริยัน?”


สำหรับมัน และสำหรับมุขมณฑล สิ่งนี้ถือเป็นปัญหาสำคัญและต้องการคำยืนยันโดยด่วน


ในฐานะหน่วยสืบสวน ทูตพิพากษาคนดังกล่าวซึ่งพยายามใช้พลังวิเศษค้นหาความจริง ย่อมไม่ได้อยู่ในเส้นทางใช้อารมณ์เหนือเหตุผลอย่าง ‘วายุสลาตัน’ แต่เป็นลำดับ 7 แห่งเส้นทางนักอ่าน ‘ผู้พิทักษ์ข้อมูล’ หรืออีกชื่อหนึ่งคือลำดับ ‘นักสืบ’


มันไม่รีบร้อนมอบคำตอบ เพียงเดินมาใกล้และก้มตรวจสอบศพแม็ควิตี้อย่างใจเย็น


ผ่านไปสักพัก มันเงยหน้ามอบคำตอบ


“ไม่ใช่สาวกสุริยัน น่าจะเป็นพลังจากสมบัติวิเศษมากกว่า”


“เหตุผล?” คอร์โดบาซักถามหน้าบูดบึ้ง


ทูตพิพากษาคนเดิมตอบ


“ศพนี้เต็มไปด้วยออร่าความชั่วร้าย ส่วนศพก่อนหน้าถูกเขมือบจนเหลือเพียงเศษเนื้อและตะกอนพลัง สาวกสุริยันจะไม่ทำอะไรแบบนี้แน่ ต่อให้เป็นการใช้สมบัติวิเศษก็ตาม พวกมันถือว่าทุกสิ่งเกี่ยวกับ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ เป็นของสกปรก จะต้องถูกขจัดปัดเป่าหรือชำระล้างในทันที ไม่มีการหยิบยืมพลังนั้นมาใช้แน่”


คอร์โดบาครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะพบว่าสมมติฐานดังกล่าวค่อนข้างฟังขึ้น จึงถามต่อ


“คนของชุมนุมแสงเหนือ?”


“ไม่ใช่อีกเช่นกัน ‘นักบวชกุหลาบ’ หรือ ‘คนเลี้ยงแกะ’ ตัวจริงจะไม่ลงมือหยาบแบบนี้ พวกมันสามารถห่อศพเข้าไปในตัวได้ และหนีไปพร้อมศพอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นค่อยคายออกมาตรวจสอบหาสิ่งของมีค่าภายหลัง แต่กรณีนี้กลับรีบร้อน ‘เขมือบศพ’ คล้ายกับเป็นผลข้างเคียงของสมบัติวิเศษ” ผู้พิทักษ์ข้อมูลตอบเสียงขรึม


“สามารถใช้พลังในขอบเขตของสุริยันและผู้วิงวอนความลับได้พร้อมกัน? หรือจะเป็นพลังของคนเลี้ยงแกะ…? เบิร์ก คุณคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้”


ในฐานะอาวุโสแห่งมุขมณฑลใหญ่ คอร์โดบาย่อมมีอำนาจในการเข้าถึงข้อมูลและพลังพิเศษของ ‘คนเลี้ยงแกะ’ ส่วน ‘ผู้พิทักษ์ข้อมูล’ เบิร์ก มันทราบเรื่องนี้เพราะต้องทำงานด้านสืบสวนแกะรอย ทูตพิพากษาคนอื่นจึงไม่เข้าใจบทสนทนาของคนทั้งสอง


‘ผู้พิทักษ์ข้อมูล’ เบิร์ก ลุกขึ้นยืน :


“นั่นก็เป็นไปได้”


“สงสัยใครเป็นพิเศษบ้างไหม” คอร์โดบาซักถามเสียงต่ำ


เบิร์กส่ายหน้า


“ไม่เลย… แต่มีหนึ่งสิ่งสามารถยืนยันได้ พุ่มหนามสีเลือดถูกฆ่าโดยเพลิงพิโรธอย่างแน่นอน ฉะนั้น อีกคนหนึ่งก็น่าจะเป็นผู้ช่วยของเดนิส และต้องเป็นบุคคลทรงพลังระดับน่าหวั่นเกรง ไม่ด้อยไปกว่าพลเรือโจรสลัด”


“บุคคลทรงพลัง…”


คอร์โดบาทวนคำหน้าเครียด จากนั้น มันเริ่มฉุกคิดบางสิ่ง


“จะเป็นเอ็ดวิน่ารึเปล่า? หล่อนมีพลังในการจำลองพลังพิเศษใดก็ได้ หากเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่ง!”


‘ผู้พิทักษ์ข้อมูล’ เบิร์ก :


“นั่นก็เป็นไปได้ แต่หน่วยข่าวกรองของเรายืนยันในระดับน่าเชื่อถือได้ว่า เธออยู่ใกล้กับเกาะโซเนียเมื่อไม่กี่วันก่อน เว้นเสียแต่ว่า เธอจะจำลองพลังของนักท่องเที่ยวหรือทำนองนั้น และเดินทางข้ามโลกวิญญาณมายังหมู่เกาะรอสต์ภายในชั่วข้ามคืน”


คอร์โดบาเดินวนไปมา สายตามองรอบตัว


“จัดการเก็บกวาดจุดเกิดเหตุให้เรียบร้อย ห้ามมิใช่ชาวบ้านละแวกใกล้เคียงพบร่องรอยโดยเด็ดขาด ผมจะส่งรายการภารกิจไปยังเบื้องบน ได้แต่หวังว่าจะมีข้อมูลน่าสนใจเพิ่มเติมโดยเร็ว”


คดีนี้เกี่ยวพันกับบุคคลทรงพลัง ผู้ต้องสงสัยว่าจะมีฝีมือการรบเทียบเท่าลำดับ 5 ฉะนั้น แม้จะฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดสักเพียงใด แต่มันก็ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวและตัดสินใจอย่างมีเหตุผล



ในบ้านเฒ่าควินน์ ณ ห้องใต้ดินซึ่งมีประตูหินบานใหญ่ปิดตายหน้าทางเข้า


อัลเจอร์ผู้กำลังนั่งบนปลายฟูกและจ้องมองแสงเทียนไขอย่างเงียบงัน พลันเห็นหมอกมายากระจัดกระจายไปรอบตัว โดยมีบุคคลผู้หนึ่งกำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูงท่ามกลางทะเลสาบหมอกไร้จุดจบ


ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘เดอะฟูล’ ผู้คอยจับตามองทุกสรรพสิ่ง


ฉากพร่ามัวปรากฏขึ้นด้านล่างเดอะฟูล เป็นชายคนหนึ่งกำลังประสานมือไว้ด้านหน้าและวิงวอนด้วยน้ำเสียงเปี่ยมศรัทธา


“ถึงท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ปฏิบัติการของผมจบลงแล้วอย่างราบรื่น”


จบลงอย่างราบรื่น…?


อีกฝ่ายมีทั้ง ‘เหล็กกล้า’ และผู้วิเศษอีกจำนวนหนึ่งเชียวนะ… เดอะเวิร์ลช่างจัดการสิ่งต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฝีมือสูงกว่าความคาดหมายเราพอสมควร สมกับเป็นข้ารับใช้ของเดอะฟูล… หึหึ สำหรับชุมนุมทาโรต์สัปดาห์ถัดไป เขาคงมีอะไรมาขายอีกแล้ว…


หืม… น่าสนใจมาก ชายคนนั้นรอดพ้นจากอิทธิพลของ 2-37 ด้วยวิธีใด หรือจะเป็นความพิเศษของข้ารับใช้เดอะฟูล?


อัลเจอร์ใช้ความคิดเรื่อยเปื่อย พลางแสดงความเคารพต่อเดอะฟูลจากจิตใต้สำนึก


ถัดมา มันหยิบขวดโลหะออกมาเปิดฝา ก่อนจะทาสารสกัดสะระแหน่ลงบนปลายจมูก


เมื่อกลิ่นฉุนอันเข้มข้นซึมซาบเข้าไปในสมอง สติของอัลเจอร์พลันแจ่มชัดทันใด


ไม่มีใครเห็นว่ามันควักหน้ากากผ้าสีขาวออกมาถือตอนไหน แต่อัลเจอร์ได้เทน้ำมันสกัดของดวงจันทร์ลงไปจนชุ่ม


มันสวมหน้ากากอย่างถูกวิธี ก่อนจะขึ้นยืนและค่อยๆ เดินไปทางประตูหินด้วยอากัปกิริยาระมัดระวัง


ถัดมา มันล้วงเข้าไปในเสื้อเพื่อหยิบโหลโลหะอย่างใจเย็น หมุนกลไกเปิด และดึงท่อสายยางออกมาถือ


จากนั้น อัลเจอร์สอดปลายท่อเข้าไปในช่องว่างข้างขอบประตูหิน


ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด แก๊สในโหลเริ่มกระจายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว


นี่คือแก๊สสลบของผีดูดเลือดซึ่ง ‘เดอะมูน’ เอ็มลินช่วยจัดหามาให้


มีฤทธิ์ทำให้คนธรรมดาและผู้วิเศษลำดับ 9 หมดสติในพริบตา ในส่วนของผู้มีระดับเหนือกว่านั้น ความต้านทานจะลดหลั่นกันลงไป แต่อย่างน้อยก็ยังตกอยู่ในอาการสะลึมสะลือ!


แม้ว่าเฒ่าควินน์จะทนไหว แต่มันก็ต้องได้รับผลกระทบสักอย่างสองอย่าง ส่วนบรรดาลูกน้องของมัน… หึหึ…


อัลเจอร์ยืนพิงประตูหิน รอยคอยผลลัพธ์อย่างอดทน


เมื่อแก๊สถูกปล่อยออกจากโหลไปเกือบหนึ่งส่วนสาม มันเก็บท่อและปิดกลไกโหลทันที


กัปตันเรือผีสิงแนบหูกับประตูหิน จนกระทั่งเริ่มได้ยินเสียงอันน่าพึงพอใจดังมาจากภายนอก


อัลเจอร์ยิ้ม สูดลมหายใจเข้าลึก พลางควบแน่นพลังวิญญาณค้างไว้เป็นเวลานาน


ทันใดนั้น มัดกล้ามเนื้อท่อนแขนข้างขวาพลันขยายใหญ่ พร้อมกับการเหวี่ยงกำปั้นไปข้างหน้าเต็มแรง


‘ระเบิดโทสะ’ ของ ‘ลูกเรือ!’


เปรี้ยง!


กลอนขัดของประตูหินถูกทำลายในพริบตา บานประตูสะบัดเปิดออกโดยอัตโนมัติ


อัลเจอร์ชักกำปั้นกลับ ย่างสามขุมออกไป พร้อมกับใช้สายตาเพ่งมองคนนอนหมดสติด้านนอก


จากผู้แต่ง : พลัง ‘เลี้ยงแกะ’ ของยุบพองหิวโหยจะมีสองโหมดคือ ‘ต้อนแกะ’ และ ‘เขมือบ’ อย่างแรกจะได้รับตะกอนพลังและดวงวิญญาณเข้าไปในสิงในนิ้ว ส่วนอย่างหลังจะเป็นการกลืนกินวิญญาณและเนื้อหนังเพื่อระงับความหิวของถุงมือ


……………………


ราชันเร้นลับ 529 : รู้กัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

บ้านเลขที่ 48 ถนนมะนาวเปรี้ยว โรงแรมวายุคราม


ในสภาพสวมแจ็คเก็ตหนาและกางเกงขาบานท้องถิ่น ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิสเดินอ้อมหลายตลบกว่าจะกลับมาถึงหน้าโรงแรม แต่มันยังไม่กล้าเข้าไป เพียงยืนหลบมุมพิงกำแพงด้านนอก และครุ่นคิดว่าตนควรฉวยโอกาสนี้หลบหนีจากชายเสียสติ เกอร์มัน·สแปร์โรว์ดีหรือไม่


ไม่เหมือนกับศึกท่าเรือแบนชี คราวนี้มันซ่อนตัวอยู่ในจุดปลอดภัยค่อนข้างห่าง ส่งผลให้มองเห็นรายละเอียดการต่อสู้ทั้งหมดอย่างชัดเจน ดังนั้น หลังจากยื่นมือช่วยเหลือโดยการฆ่า ‘พุ่มหนามเลือด’ เฮนดรี้ เดนิสมีโอกาสรับชมรูปแบบการต่อสู้ของนักผจญภัยเสียสติตั้งแต่ต้นจนจบ จึงตระหนักถึงพลังพิเศษและจุดแข็งของอีกฝ่าย


กระดาษคนตัวแทน กระโจนไฟ ทะลวงจิต แสงศักดิ์สิทธิ์ในขอบเขตสุริยัน กระสุนอากาศ แปลงโฉม ถุงมือเปลี่ยนรูปลักษณ์และสามารถเขมือบสควอล…


ฝีมือแท้จริงของมันแข็งแกร่งเหนือจินตนาการเราไปมาก โดยพลังแต่ละชนิดก็แทบไม่สอดคล้อง และสิ่งนี้มิได้เกิดจากการใช้สมบัติวิเศษหลายชิ้นพร้อมกัน…


แต่เป็นถุงมือของพลเรือโทวายุ…


ยุบพองหิวโหย!


กัปตันเคยเตือนเราไว้ ถุงมือนั่นสามารถกลืนกินเลือดเนื้อของผู้วิเศษได้ และยังขโมยพลังจากดวงวิญญาณมาเป็นของตัวเอง…


เดนิสปล่อยความคิดล่องลอยสักพัก


ก่อนจะได้ข้อสรุป


เกอร์มัน·สแปร์โรว์คือเจ้าของยุบพองหิวโหยคนปัจจุบัน!


คิดมาถึงจุดนี้ มันมิได้กำลังดูแคลนว่าอีกฝ่ายเอาแต่พึ่งพาพลังจากสมบัติวิเศษ ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ เดนิสกลับชื่นชมและยำเกรงเกอร์มัน·สแปร์โรว์ยิ่งกว่าเดิม


เหตุผลก็คือ หนึ่ง ผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้บ่งบอกทุกอย่าง หากเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่มีความแข็งแกร่งพื้นฐานและประสบการณ์ต่อสู้ระหว่างผู้วิเศษอย่างโชกโชน ต่อให้ครอบครอง ‘ยุบพองหิวโหย’ สองข้าง ก็คงไม่สามารถจัดการกับ ‘เหล็กกล้า’ ได้ภายในระยะเวลาเพียงสิบวินาที


สอง กัปตันของมัน พลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ด ได้ทราบข้อมูลลับจากเครือข่ายอันกว้างใหญ่ของเธอ มีใจความว่า พลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์ มิได้เสียชีวิตด้วยฝีมือของโบสถ์วายุสลาตัน แต่เป็นการตายขณะกำลังหลบหนี โดยถูกบุคคลลึกลับทรงพลังสังหารในพริบตา


สำหรับฝีมือของคีลิงเกอร์ เดนิสย่อมเคยได้ยินตำนานมาไม่น้อย หากนับเฉพาะการหลบหนีเอาตัวรอด คีลิงเกอร์จะเก่งกาจในระดับหาตัวจับได้ยาก


ฉะนั้น ผู้ลงมือสังหารคีลิงเกอร์จะต้องมีพลังทัดเทียมจุดสูงสุดของโลกโจรสลัดทั้งสอง ‘ราชาแห่งห้าห้วงสมุทร’ และ ‘ราชินีเงื่อนงำ’


จริงอยู่ อาจมีปัจจัยการลอบจู่โจมเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงต้องลดทอนฝีมือบุคคลดังกล่าวลงเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็คงไม่ด้อยไปกว่า ‘ราชาอมตะ’ อาการิธ และเหนือกว่า ‘พลเรือเอกนรก’ กับ ‘พลเรือเอกโลหิต’ แน่นอน…


ในเมื่อเกอร์มัน·สแปร์โรว์คือเจ้าของยุบพองหิวโหยคนล่าสุด อาจสรุปได้ว่า มันลงมือสังหารคีลิงเกอร์ด้วยตัวเอง หรือไม่ก็มีบุคคลทรงพลังระดับทัดเทียมราชาโจรสลัดทั้งสี่อยู่เบื้องหลัง…


ไม่ว่าจะทางไหนก็แย่สำหรับเราทั้งนั้น!


ร่างกายเดนิสกำลังสั่นเทา มันไม่ต้องการเผชิญหน้ากับนักผจญภัยอำมหิตเอาเสียเลย


เฮ่อ…


เพลิงพิโรธถอนหายใจยาว และเริ่มตระหนักว่าตนใช้เวลาตัดสินใจนานเกินไปแล้ว ต้องรีบหาข้อสรุปโดยด่วน


เกอร์มัน·สแปร์โรว์มั่นใจในพลังทำนายของตัวเองมาก แถม ‘ผ้าคลุมเงา’ ของเราก็ยังอยู่กับมัน… การหลบหนีไม่เพียงประสบความล้มเหลว แต่ยังจะทำให้หมอนั่นขุ่นเคืองใจ…


ผ้าคลุมเงานับเป็นสมบัติวิเศษหายาก…


เดนิสกัดฟันกรอด ตามด้วยการเดินออกจากมุมมืดและตรงไปยังห้องพักสุดหรูของตน


มันหยุดยืนหน้าประตูสามวินาที พยายามสังเกตความเคลื่อนไหวด้านใน จึงค่อยหยิบกุญแจออกมาไขเปิดประตู


บรรยากาศภายในห้องค่อนข้างสลัว โคมไฟผนังไม่ถูกเปิด แสงแดดยามเช้าแทบไม่ส่องเข้ามาจากหน้าต่าง เกอร์มัน·สแปร์โรว์กำลังนั่งบนเก้าอี้เอนหลัง และหันหน้ามาทางประตู


นักผจญภัยเสียสติได้เปลี่ยนเครื่องแต่งกายกลับไปเป็นแบบเดิม—โค้ทขนสัตว์ตัวใหญ่และกางเกงขายาวสีเข้ม ในมือถือหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง เท้าขวายกขึ้นมาพาดเข่าซ้าย


อีกฝ่ายเอนตัวนอนลง ใบหน้าส่วนใหญ่ถูกซ่อนอยู่ในความมืดสลัว เหลือเพียงดวงตาสีน้ำตาลเข้มยังคงส่องแสงเด่นชัด จ้องมองมาทางประตูอย่างเย็นชา


เดนิสลดศีรษะลงโดยไม่รู้ตัว พลางหัวเราะเสียงแห้งสองครั้ง


“ฉันทำตามคำสั่งของนายแล้ว ตระเวนไปตามสำนักพิมพ์หลายแห่งและโยนกระดาษเข้าไปข้างใน ใจความเขียนว่า : เหล็กกล้า·แม็ควิตี้ พุ่มหนามสีเลือด·เฮนดรี้ และสควอล จบชีวิตลงด้วยน้ำมือของเพลิงพิโรธ·เดนิส! แน่นอน ยังระบุไปด้วยว่าฉันมีผู้ช่วยแข็งแกร่งคอยสนับสนุน เป็นชายลึกลับนิรนาม นักผจญภัยมากฝีมือ และเคยเป็นนักล่าค่าหัวมือฉมังมาก่อน”


ไคลน์พยักหน้ารับ ยิ้มอย่างสุภาพ


“ทำได้ดี”


เดนิสทำสีหน้าโล่งใจ ก่อนจะมองไปรอบห้องและเห็น ‘พรมวิเศษ’ สีน้ำเงินหางนกยูง


มันชะงักเล็กน้อย ซักถามอย่างงุนงง


“แล้วศีรษะของเหล็กกล้ากับเฮนดรี้?”


ไคลน์ตอบเสียงค่อย


“ไม่ได้หยิบมา”


“ทิ้งไว้อย่างนั้นเลยหรือ…” เดนิสกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ “แล้วเงินค่าหัว?”


หากศีรษะของ ‘เหล็กกล้า’ และ ‘พุ่มหนามสีเลือด’ การขึ้นเงินค่าหัวก็ไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงติดต่อกับเส้นสายของทางการให้ช่วยรับรางวัลแทน อาจต้องเสียค่านายหน้าราวสิบห้าถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ของเงินรางวัล แต่ก็นับว่าคุ้มค่าแล้วสำหรับโจรสลัด—ผู้ไม่สามารถขึ้นเงินได้ด้วยตัวเอง


อย่างไรก็ตาม ทางกองทัพและโบสถ์หลักจงใจใช้ระบบ ‘ค่าหัว’ เพื่อยั่วยุให้โจรสลัดเข่นฆ่ากันเอง ดังนั้น หากมีศีรษะโจรสลัดมาประเคนถึงหน้าสำนักงาน พวกมันก็ไม่ใจร้ายเกินไปนัก ยังคงมอบเงินรางวัลให้ตามปรกติโดยแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น


แต่เหตุการณ์กลับผิดคาดเดนิสอย่างมาก โจรสลัดหน้าเงินและเสียสติอย่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์กลับไม่ได้นำศีรษะของ ‘เหล็กกล้า’ และ ‘พุ่มหนามเลือด’ กลับมาขึ้นเงิน


ไคลน์ไม่ตอบ เพียงชี้ไปทางพรมวิเศษ


“นายเองก็เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจคราวนี้ ดังนั้น เลือกมาหนึ่งอย่าง ระหว่างเงินสดสามพันปอนด์หรือพรมวิเศษผืนนี้ มีเวลาให้คิดห้าวินาที เกินกว่านั้นจะถือว่ายกให้ฉันทั้งหมด”


เงินสดสามพันปอนด์หรือพรมวิเศษ?


ดูเหมือนพรมผืนนี้จะมีแค่สองความสามารถ หนึ่งคือลอย และสองคือบิน แถมความเร็วก็ยังไม่สูง คงไม่ได้มีประโยชน์มากขนาดนั้น… ไม่สิ ถ้าเป็นบนทะเล พรมผืนนี้จะมีค่ามากสำหรับเส้นทาง ‘กะลาสี’ อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเรือจม…


เดนิสลังเลสักพัก


จนกระทั่งได้ยินเสียงนับ


“สาม สอง…”


เดนิสสะดุ้ง ก่อนจะรีบส่งเสียง


“พ…พรมวิเศษ!”


ไคลน์พยักหน้า


“เลือกได้ดี”


เมื่อประเมินว่าอีกฝ่ายเป็นคนไม่กลับคำ เดนิสแสดงสีหน้าผ่อนคลาย พลางส่งเสียงบ่น


“แล้วห้ากับสี่ไปไหน?”


ตอนแรกบอกว่ามีเวลาคิดห้าวินาที!


ไคลน์ตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


“นับแล้ว… ในใจ”


ในใจบิดาเอ็งสิวะ…


เดนิสฝืนยิ้มแห้ง พ่นลมหายใจเสียงดัง


ไคลน์ลุกยืนอย่างไม่รีบร้อน สะบัดข้อมือโยนหมวกทรงกึ่งสูงไปทางราวแขวนผ้า จากนั้นจึงเดินเข้าห้องนอน



มหาวิหารคลื่นสมุทร


อัลเจอร์เดินเข้ามาในวิหารและตามหาตัวบิชอปโชโกรี เพื่อเล่าเรื่องราวการเผชิญหน้าเมื่อคืนซึ่งเคยเกริ่นไว้ก่อนแล้ว บิดเบือนเพียงเรื่องเดียวคือแก๊สยาสลบของผีดูดเลือด โดยเปลี่ยนให้เป็นยันต์หลับใหลแทน


โชโกรีพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ


“เพื่อพระองค์ท่าน คุณกล้าเสี่ยงอันตรายเข้าไปในรังศัตรูตามลำพัง นับเป็นพฤติกรรมอันน่ายกย่อง สมกับเป็นกับสาวกแห่งวายุ จากเหตุการณ์เมื่อคืน ทางเราจับกุมตัวผู้วิเศษได้ห้าคน วิสามัญฆาตกรรมไปสองคน โดยแม็ควิตี้ เฮนดรี้ และสควอลล้วนเสียชีวิตในจุดเกิดเหตุทั้งหมด ศีรษะของพวกมันอยู่กับทางเรา รางวัลนำจับทั้งหมดจึงเป็นของเรา มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นปอนด์ โดยคุณจะได้รับส่วนแบ่งมากกว่าใครทั้งหมด …เป็นจำนวนหกพันปอนด์ อย่าได้ตอบปฏิเสธเด็ดขาด พระองค์ทรงประทานสิ่งนี้ให้กับคุณ สาวกผู้ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อความศรัทธาอย่างแรงล้า อย่าได้ทำให้เรื่องราววุ่นวายกว่าเก่า”


“ขอพายุจงสถิตกับท่าน!” อัลเจอร์ทุบกำปั้นใส่หน้าอกข้างซ้ายของตน


“ขอพายุจงสถิตกับท่าน” โชโกรียิ้ม


แม้อัลเจอร์จะไม่เคยตกลงกับเดอะเวิร์ลว่าส่วนแบ่งของแต่ละคนเป็นเท่าไร แต่มันเชื่อว่าสิ่งนี้จะถูกจัดสรรตามหลักสามัญสำนึก


ยกตัวอย่างเช่น แต่ละคนจะไม่ก้าวก่ายงานของกันและกัน ใครฆ่าโจรสลัดคนใดก็หยิบทรัพย์สินติดตัวของเหยื่อไปได้เลย ส่วนรางวัลนำจับซึ่งโบสถ์วายุจะได้รับอย่าง ‘ชอบธรรม’ และเต็มเม็ดเต็มหน่วย สิ่งนี้จะถูกหารสอง


สำหรับค่าหัวจากอาณาจักรอื่นเช่นอินทิสและฟุซัค อัลเจอร์มิได้ใส่ใจนัก การขึ้นค่าหัวส่วนใหญ่ต้องใช้ศีรษะและร่างกายเหยื่อ ส่งผลให้เกือบทุกกรณีจะขึ้นเงินค่าหัวโจรสลัดได้เพียงหนึ่งประเทศอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ใครสนิทกับประเทศใดก็ให้ไปขึ้นกับประเทศนั้น สามพันปอนด์เป็นของเดอะเวิร์ล… แต่ถ้าเงินของเราหายไปรวดเดียวสามพันปอนด์ คนรอบข้างอาจตั้งข้อสงสัยได้… จริงสิ.. ต้องเอาเงินไปซื้อสมบัติวิเศษสักชิ้น สิ่งนี้สามารถมีราคาสูงกว่าปรกติได้ถ้าคนซื้อใจร้อน จะไม่มีใครสงสัยหากเราบอกว่านำเงิน ห้าพันปอนด์ไปซื้อสมบัติวิเศษมูลค่าสามพันปอนด์… และเมื่อโปะด้วยเงินจากขายทรัพย์สินเฒ่าควินน์ บัญชีของเราก็จะสมดุล…


อัลเจอร์หาทางออกให้ตัวเองได้ในเวลาอันสั้น



ไคลน์รู้อยู่แล้วว่าตนจะได้รับเงินสามพันปอนด์ จึงนั่งลงอย่างมีความสุขบนเก้าอี้พนักสูงของเดอะฟูล


จุดประสงค์การเข้ามาในคราวนี้คือ หลังจากต้อนแกะ (ดวงวิญญาณ) ของแม็ควิตี้เข้าคอกสำเร็จ มันจะต้องปล่อยวิญญาณภายในถุงมือออกไปหนึ่งดวงตามสัญญา


พลังแต่ละชนิดล้วนมีประโยชน์กับเรา การปล่อยออกไปก่อนจะหาพลังอื่นมาแทนค่อนข้างน่าเสียดาย เฮ่อ… ในกรณีของผู้ไร้หน้า เราต้องการสอบถามข้อมูล แถมยังเป็นพลังซ้อนทับกับเรา จึงกล้าปล่อยออกไปก่อนโดยไม่ต้องคิดมาก…


ชายหนุ่มเผยท่าทีลังเล พลังในทุกนิ้วล้วนสำคัญในการต่อสู้ เป็นเหตุผลว่าทำไมอะซิกถึงยังเก็บไว้จนกระทั่งส่งต่อให้ตน


ผ่านไปสักพัก มันเอนหลังและถอนหายใจ


“ในเมื่อสัญญาไว้แล้ว…” ชายหนุ่มส่ายหน้าพร้อมกับยิ้ม มันตัดสินใจหนักแน่น


ไคลน์เตรียมรักษาสัญญา เรื่องที่จะปลดปล่อยวิญญาณหนึ่งดวงให้เป็นอิสระ


แต่จะปล่อยใคร? นักจิตบำบัด?


ไม่ดีเท่าไร จริงอยู่ มิสจัสติสอาจต้องการซื้อตะกอนพลังของนักจิตบำบัด แต่เธอเพิ่งซื้อสมบัติวิเศษมูลค่าห้าพันห้าร้อยปอนด์ไป ถึงจะร่ำรวยแค่ไหน แต่หญิงสาวคนหนึ่งก็คงมีขีดจำกัดการใช้เงิน หลักฐานคือการขอผ่อนผันหนี้จำนวนสองพันปอนด์ของข้ารับใช้เดอะฟูลออกไปจนถึงเดือนมีนาคม เธอคงยังไม่พร้อมซื้อตะกอนพลังจากเราในเร็วๆ นี้…


ไคลน์ปัดตกแนวคิดปัจจุบัน ก่อนจะตัดสินใจปล่อย ‘ฝันร้าย’ ออกไปเป็นคนแรก


ในฐานะอดีตเหยี่ยวราตรีผู้เคยมีหัวหน้าเป็นฝันร้าย มันมักเอนเอียงและเห็นอกเห็นใจผู้วิเศษเส้นทางนี้มากเป็นพิเศษ จึงเลือกได้ไม่ยากหากจำเป็นต้องปล่อยออกไปหนึ่งดวง


ชายหนุ่มปรับอารมณ์ สลัดความเสียดาย พลางสวมถุงมือหนังมนุษย์ซึ่งถูกส่งเข้าห่วงมิติเหนือสายหมอกผ่านมิติ ก่อนจะหลับตาลงและเพ่งสมาธิสัมผัสถึงดวงวิญญาณอันทุกข์ทรมานภายในถุงมือ


ไคลน์จัดการปล่อยฝันร้ายเป็นอิสระ


……………………


ราชันเร้นลับ 530 : เอกสารโบราณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

วิญญาณ ‘ฝันร้าย’ ปรากฏตัวข้างโต๊ะทองแดงยาลวดลายโบราณ


เป็นชายวัยสามสิบกว่า ผมสีดำ ตาสีฟ้า แก้มซูบตอบ สองข้างจมูกเป็นเส้นลึกชัด ปากและคางปกคลุมด้วยเคราหร็อมแหร็ม


เมื่อความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานเริ่มบรรเทาลง ‘ฝันร้าย’ ใช้มือทาบหน้าอกและโค้งคำนับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


หากนำไปเทียบกับ ‘ผู้ไร้หน้า’ ซึ่งไคลน์ปล่อยไปเมื่อหนก่อน ความทุกข์ทรมานของฝันร้ายดูน้อยกว่าอย่างชัดเจน ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเส้นทางรัตติกาลช่วยให้ดวงวิญญาณผู้วิเศษแข็งแกร่งขึ้น หรือเป็นเพราะระยะเวลาในการถูกต้อนเข้าคอกสั้นกว่า


ไคลน์ถอนหายใจ ซักถามตามตรง


“คุณถูกคีลิงเกอร์ฆ่าตายได้ยังไง”


มุมปากฝันร้ายเผยรอยยิ้มขื่นขม


“ผมคือถุงมือแดงแห่งโบสถ์รัตติกาล กำลังตามสืบสวนเกี่ยวกับเอกสารโบราณจากสุสานของราชวงศ์ไบลัม เอกสารดังกล่าวถูกคาดหมายว่ามีสาเหตุการตายของมรณาบันทึกไว้ จนกระทั่งเริ่มสืบพบว่าเอกสารโบราณตกอยู่ในมือมหาเศรษฐีคนหนึ่ง ผมจึงพาลูกน้องอีกสองคนขึ้นเรือเพื่อสะกดรอยตามพ่อค้าคนนั้นไป แต่ยังไม่ทันเริ่มสืบสวน คีลิงเกอร์ก็บุกโจมตีเรือเดินสมุทรของพวกเราเสียก่อน เพื่ออีกสองคนมีชะตากรรมเป็นอย่างไร” ไคลน์ซักถามจากจิตใต้สำนึก


ฝันร้ายเล่าด้วยสีหน้าเจ็บปวด


“พวกเรามีโอกาสหนี ขณะเดียวกันก็มีโอกาสสังหารคีลิงเกอร์สำเร็จค่อนข้างมาก หลังจากไตร่ตรองอย่างละเอียด เพื่อให้ทุกคนบนเรือปลอดภัย ผมจึงสั่งให้หน่วยของเราลงมือโจมตี แต่ไม่ดีนัก เรือเกิดจมลงและต้องหนีขึ้นเรือชูชีพ ส่งผลให้พ่ายแพ้แก่เส้นทางกะลาสีอย่างหมดรูป… พวกเขาทั้งสองล้วนเสียชีวิต… ไม่สิ พวกเขาสละชีพเพื่อองค์เทพธิดา!”


ขอให้เทพธิดาอวยพร… ไคลน์วาดวงกลมจันทร์แดงภายในใจ


เมื่อจินตนาการตาม มันก็เริ่มตระหนักถึงความได้เปรียบของเส้นทางกะลาสีเมื่อต้องทำศึกบนท้องทะเลอันกว้างใหญ่ สิ่งแวดล้อมส่งผลอย่างมากในกรณีนี้ แตกต่างจากบนบกโดยสิ้นเชิง


หากไม่ใช่เพราะ ‘พรมวิเศษ’ มีขนาดใหญ่ เทอะทะ เชื่องช้า และตกเป็นเป้าหมายได้ง่าย ไคลน์คงเลือกเก็บมันไว้และให้เงินสามพันปอนด์กับเดนิสแทน


แต่โชคดี เรายังมีตะกอนพลังเมอร์ล็อกอยู่ สามารถนำไปให้ ‘ช่างฝีมือ’ สร้างเป็นสมบัติวิเศษช่วยอำนวยความสะดวกใต้น้ำได้…


อย่างไรก็ตาม ช่างฝีมือสักคนนั้นหายากราวกับงมเข็ม ส่วนใหญ่อยู่ในสังกัดโบสถ์จักรกลไอน้ำ แทบไม่มีช่างฝีมือพเนจรชื่อเสียงโด่งดังให้ได้ยิน สมบัติวิเศษจึงกลายเป็นสิ่งของหายากบนโลกซึ่งเต็มไปด้วยตะกอนพลัง…


ตอนนี้เรายังไม่รีบ แต่ถ้ามีเหตุให้ต้องใช้งานด่วน คงต้องติดต่อผ่านมิสเตอร์แฮงแมน…


ไคลน์นั่งจ้องฝันร้ายผู้สละชีวิตอย่างกล้าหาญเพื่อพยายามช่วยคนบริสุทธิ์ พลางเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย


“ชื่ออะไร มีความปรารถนาสุดท้ายไหม”


ร่างของฝันร้ายเริ่มเจือจาง มันยิ้มและตอบ


“เดวีย์·เรดมอนด์ สูญเสียบิดา มารดา ภรรยา และพี่น้องทั้งหมดไปในเหตุการณ์มนตร์ดำลึกลับ เหลือเพียงลูกสาวหนึ่งคน เธอชื่อเนลล์ เกิดปี 1330 เป็นเด็กสาวที่น่ารัก… ย้อนกลับไปในตอนเกิดเหตุ ผมตัดสินใจสืบหาต้นตอของมนตร์ดำ จนกระทั่งมีโอกาสได้เข้าร่วมเหยี่ยวราตรีและกลายเป็นถุงมือแดงในเวลาถัดมา จึงแทบไม่มีเวลาให้กับลูกสาว จนกระทั่งเธอต้องมาสูญเสียพ่อไปอีกหนึ่งคน อย่างไรก็ตาม ผมมิได้กังวลสักเท่าไร โบสถ์รัตติกาลจะต้องมอบเงินชดเชยก้อนใหญ่ให้เธอแน่ มากเพียงพอจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปจนตาย แต่ผมยังอยากเห็นเธอมีครอบครัวอบอุ่น อยากยืนยันด้วยตาตัวเองว่า มีผู้ชายพึ่งพาได้คอยร่วมทุกข์ร่วมสุขไปพร้อมกับเธอ”


“ตอนนี้ปี 1,350… เธอคงแต่งงานออกเรือนเรียบร้อยแล้วกระมัง” ไคลน์กล่าวพลางถอนหายใจ


“กาลเวลาช่างผ่านไปไว…”


เดวีย์·เรดมอนด์ตอบเสียงแผ่ว


“หากมีโอกาส ช่วยบอกกับเธอว่า ฆาตกรถูกลงโทษอย่างสาสมแล้ว… ส่วนตัวผมเสียชีวิตในอุบัติเหตุทางเรือ ไม่ต้องเคียดแค้นใคร จงใช้ชีวิตอย่างอิสระและมีความสุข ฝากบอกเธอว่าผมรักเธอมาก… พ่อคนนี้รักลูกมากจริง… และสุดท้าย… พ่อขอโทษ”


ร่างของมันเริ่มโปร่งใส คล้ายกับพร้อมจะเลือนหายไปได้ทุกเวลา


ไคลน์หลับตาถาม


“เธออาศัยอยู่แถวไหน เศรษฐีเจ้าของเอกสารโบราณชื่ออะไร”


“บ้านของพวกเราตั้งอยู่ในเมืองคอนแนนท์ แคว้นเดซีย์ เป็นเมืองชายทะเลอันมีทัศนียภาพงดงาม พืชเศรษฐกิจคือสวนยาง หากเธอยังไม่ย้ายบ้าน สามารถพบได้ในอาคารหมายเลข 67 ถนนต้นฟินิกซ์แดง… เศรษฐีคนดังกล่าวชื่อจิมมี่·เน็ค เขาคงไม่รอดพ้นไปจากเงื้อมมือของพลหรือโทวายุ…”


เรดมอนด์ยังไม่ทันกล่าวจบ ร่างของมันพลันสลายไปโดยสมบูรณ์ เหลือไว้เพียงผลึกสีเข้มคล้ายอัญมณีบนผิวยุบพองหิวโหย


ไคลน์นั่งมองฉากตรงหน้าโดยไม่กล่าวสิ่งใดเป็นเวลานาน ก่อนจะยกมือขวาขึ้นเพื่อวาดจันทร์แดงสี่จุดบนหน้าอก


“ถ้ามีโอกาส ผมจะแวะไปเยี่ยมลูกสาวคุณ เพื่อยืนยันว่าเธอยังสุขสบายดี”


ท่ามกลางวังบรรยากาศคล้ายถิ่นพำนักของคนยักษ์ รวมถึงสายหมอกสีเทาอันกว้างไกลไร้ขอบเขต ประหนึ่งไม่เคยมีใครอาศัยมานานนับหมื่นปี


ไคลน์เก็บตะกอนพลังของเดวีย์ เรดม่อนไปไว้ตรงมุม พลางใช้มือลูบหน้าผาก และจดจ่อสมาธิอยู่กับเอกสารโบราณตามคำบอกเล่า


เส้นทางมรณาและเส้นทางรัตติกาลสามารถสลับกันได้ในลำดับสูง จึงไม่แปลกหากโบสถ์รัตติกาลจะส่งคนไปตามสืบเอกสารโบราณซึ่งอาจเกี่ยวพันกับมรณา… ชักอยากรู้แล้วว่า ชะตากรรมของพ่อค้าจิมมี่·เน็คหลังจากนั้นเป็นอย่างไร ต้องรีบหาคำตอบให้พบ… หากเสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว เอกสารโบราณอาจตกอยู่ในมือคีลิงเกอร์ และถ้าเป็นเช่นนั้น ป่านนี้ก็น่าจะอยู่ในมือของอดีตลูกเรือคนสนิทคีลิงเกอร์ ผู้กลายเป็นลูกเรือใหม่ของพลเรือโทโรคภัย เทรซีย์…


ในเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทพมรณา สิ่งนี้อาจเป็นประโยชน์ต่อมิสเตอร์อะซิก… หากเราพบปัญหาระหว่างทาง ก็แค่เขียนจดหมายไปขอความช่วยเหลือจากเขาพอ…


หลังจากได้ข้อสรุป ชายหนุ่มรีบกลับสู่โลกความจริง และประกอบพิธีกรรมเพื่อนำยุบพองหิวโหยกลับลงไป


กว่าจะจัดการทุกสิ่งเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงสาย มันยกเลิกแผนเดิมในการนอนชดเชยการอดนอน และตัดสินใจนั่งวิเคราะห์รายละเอียดการต่อสู้เมื่อคืนแทน


สำหรับไคลน์ เรื่องเหนือความคาดหมายอันดับหนึ่งก็คือ ขีดความอดทนอันต่ำเตี้ยเรี่ยดินอย่างน่าเหลือเชื่อของทูตพิพากษา!


มันเคยคำนวณไว้ว่า แม้จะมีเหตุการณ์เล็กน้อยเกิดขึ้นก่อน แต่ทูตพิพากษาก็น่าจะยังซ่อนตัวรอจนกว่าเป้าหมายตัวจริงอย่าง ‘เหล็กกล้า’ โผล่หัวออกมาเสียก่อน


ถึงตอนนั้นค่อยใช้สมบัติปิดผนึกทำให้ทุกคนหลับพร้อมกัน และควบคุมสถานการณ์ภาพรวมในคราวเดียว ส่วนเราก็อาศัยความพิเศษของตัวเองหลุดจากความฝัน และชิงลงมือกำจัด ‘เหล็กกล้า’ ในสภาพไร้การป้องกันอย่างเยือกเย็น พร้อมกับนำศพติดตัวออกไป…


แต่ใครจะไปคิดว่า เพียงเกิดความวุ่นวายเล็กน้อย พวกสมองกล้ามก็รีบกรูเข้ามายังจุดเกิดเหตุจนหมด ไม่เหลือแม้แต่ทีมสำรองไว้เป็นแผนสอง หรืออย่างน้อยก็ควรจัดสรรคนคอยคุ้มกันผู้ใช้งานสมบัติปิดผนึก…


ไคลน์ไม่รู้ว่าตนควรดีใจหรือเสียใจ


หากไม่ใช่เพราะทางฝั่งแม็ควิตี้ค่อนข้างเยือกเย็นและระวังตัว ส่งลูกน้องสองคนคอยดักไว้กลางทางพร้อมกับฝูงซอมบี้และหุ่นกระบอก ไคลน์คงได้เผชิญสถานการณ์สองต่อห้าอันเสียเปรียบไปแล้ว และถ้าเป็นแบบนั้น มันคงเลือกจะถอนตัวออกจากจุดเกิดเหตุ


เรื่องน่าภูมิใจก็คือ ไคลน์เตรียมล่วงหน้าตัวค่อนข้างดี


นี่คือจิตใต้สำนึกของนักมายากล!


เป็นเพราะไคลน์มีโอกาสทราบข้อมูลของห้าลำดับแรกบนเส้นทางนักโทษจากชารอนและมาริค จึงมองออกว่าแม็ควิตี้ได้เข้าสู่ภาวะ ‘คลั่ง’ ในตอนหลัง ส่งผลให้พลังพิเศษจำพวกจิตใจจะใช้กับมันไม่ได้ในร่างนี้


ไคลน์จึงเลี่ยงไม่ใช้พลัง ‘มังกรข่มขวัญ’ และ ‘โรคประสาท’ ของนักจิตบำบัด รวมถึง ‘ดึงเข้าสู่ความฝัน’ ของฝันร้าย ซึ่งมีฤทธิ์ไม่รุนแรงเท่าสมบัติปิดผนึกของทูตพิพากษา การโจมตีหลักจึงเป็น ‘ทะลวงจิต’ ของนักสอบสวน สลับกับ ‘แสงสุริยันศักดิ์สิทธิ์’ ของนักบวชแสง


‘ทะลวงจิต’ ไม่ใช่พลังควบคุมจิตใจ แต่เป็นการโจมตีใส่ดวงวิญญาณเป้าหมายโดยตรง เมื่อการโจมตีหนึ่งสร้างความเสียหายกับร่างกายภายนอก และอีกการโจมตีหนึ่งทำลายดวงวิญญาณภายใน แม็ควิตี้จึงอ่อนแอลงภายในระยะเวลาอันสั้น


หากคอมโบของเราไม่ได้ผลลัพธ์ตามเป้า ‘เหล็กกล้า’ คงฟื้นตัวกลับมาได้ด้วยพลังของมนุษย์หมาป่า และนั่นจะทำให้ศึกยืดเยื้อออกไปนาน จนต้องยอมถอนตัวมือเปล่าในเวลาถัดมา…


เรายังฉวยโอกาสจากธรรมชาติของพวก ‘ไม่ระงับแรงกระหาย’ โดยเชื่อว่าถ้าโจมตีใส่จิตโดยตรง แม็ควิตี้น่าจะเลือกระเบิดภาวะ ‘คลั่ง’ เพื่อเตรียมต่อสู้แบบหมัดต่อหมัด จากนั้นค่อยอาศัยพลังฟื้นฟูของมนุษย์หมาป่าช่วยให้ตัวเองได้เปรียบ แต่หารู้ไม่ว่า แผนดังกล่าวกลับเร่งความตายให้เร็วขึ้น…


“ในความเป็นจริง หากต้องต่อสู้กับซอมบี้อย่างปลอดภัย เราต้องวางไม้ขีดเตรียมไว้ล่วงหน้าจำนวนหนึ่ง หรือไม่ก็ให้เดนิสคอยปาไฟสนับสนุน หลักการต่อสู้ไม่ซับซ้อน คอยรักษาระยะห่างจากแม็ควิตี้เอาไว้และชิงจังหวะโจมตีจากระยะไกล เมื่อมันพยายามหนี ก็แค่ให้เดนิสปาไฟใส่และโผล่ประชิดตัว… แต่เป็นเพราะปัจจัยด้านเวลาไม่เอื้ออำนวย เราจึงต้องเลือกวิธีเสี่ยง…”


ไคลน์ถอนหายใจ หยิบนาฬิกาพกออกมาเปิดฝาตรวจสอบเวลา


เกือบเก้าโมงตรง… ชายหนุ่มเปิดประตูห้องนอนและเดินออกไป


ปัจจุบัน เดนิสกำลังนอนบนเก้าอี้เอนหลังพลางส่งเสียงกรนคล้ายเครื่องจักรทำงาน


แต่ความระมัดระวังตัวของมันช่างน่าทึ่ง เมื่อไคลน์เปิดประตู เดนิสรีบลืมตาและดีดตัวลุกนั่งทันที


“…จะออกไปข้างนอกหรือ” เดนิสเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ดึงหมวกและโค้ทออกจากราวแขวนผ้า


“อือ” ไคลน์ยังคงรักษามาดขรึม ไม่อธิบายว่าตนมีแผนจะออกไปปลอมตัวและสารภาพรักแทนคนตาย


แล้วเราล่ะ จริงสิ… ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้และคนของมันถูกจัดการเกือบหมดแล้ว ไม่มีอะไรให้เราต้องกังวล… แม้หนังสือพิมพ์จะไม่เล่นข่าว แต่เราก็สามารถป่าวประกาศให้พวกขี้เมารับรู้ได้ ในผับมักเต็มไปด้วยนักผจญภัยและโจรสลัดซึ่งรอฟังเรื่องแบบนี้เพื่อเอาไปโม้กับญาติพี่น้องอยู่แล้ว เพียงไม่นาน ข่าวคราวของเราก็จะไปถึงหูกัปตัน..


ไอ้พวกแม่เย็*นั่น… วันทั้งวันไม่ทำอะไรนอกจากดื่มและคุยโม้โอ้อวด ชีวิตไร้แก่นสาร แต่อย่างน้อยก็ทำประโยชน์ให้เราได้…


เดนิสครุ่นคิดอย่างมีความหวัง ก่อนจะซักถามด้วยน้ำเสียงแฝงความกลัว


“มิสเตอร์สแปร์โรว์ ฉ…ฉันไปได้หรือยัง”


ไคลน์ยิ้ม


“นายเป็นอิสระมาตลอด”


จริงด้วย… เราไม่ได้ถูกจับเป็นตัวประกันสักหน่อย แต่มาขอความช่วยเหลือ… เราเป็นอิสระมาตลอด!


เดนิสชะงักเล็กน้อย ก่อนจะทำหน้ายินดี


ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงอันเย็นยะเยือกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ดังลอยมาตามลม


“แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว”


อะไร… นะ? เดนิสเผยสีหน้ามึนงง


ทันใดนั้น มันเริ่มเข้าใจความนัยแฝงของเกอร์มัน·สแปร์โรว์


อิสระของเราจบลงแล้ว… ตอนนี้ต้องกลับไปอยู่ในสถานะตัวประกันอีกครั้ง!


“ท…ทำไม” เดนิสซักถามขุ่นเคือง


ไคลน์สวมหมวกทรงกึ่งสูง กล่าวเสียงต่ำ


“ฉันอยากพบกัปตันของนาย”


ดวงตา ‘เพลิงพิโรธ’ พลันลุกโชน มันรีบยืนขึ้นพร้อมกับตะโกนเสียงดัง


“นายคิดจะทำอะไรกับเธอ!”


ต้องออกอาการขนาดนี้เลยหรือ…


ไคลน์ตอบเสียงขรึม


“แค่จะถามบางเรื่อง”


……………………


ราชันเร้นลับ 531 : เล่นสมจริง

โดย

Ink Stone_Fantasy

มีอะไรจะถามกัปตัน?


เดนิสขมวดคิ้ว ทำได้เพียงจ้องมองแผ่นหลังเกอร์มัน·สแปร์โรว์ลับสายตาโดยยังไม่ทราบจุดประสงค์แท้จริงของอีกฝ่าย


มันกำลังตามหาอะไร?


เงินทอง? ชื่อเสียง?


มีโอกาสมากมายในการนำศีรษะของ ‘เหล็กกล้า’ กับ ‘พุ่มหนามสีเลือด’ ติดตัวกลับมากขึ้นเงินรางวัลกว่าหนึ่งหมื่นปอนด์ หรือต่อให้ถูกหักค่านายหน้าก็คงไม่ต่ำกว่าเจ็ดพันปอนด์ แต่ชายคนนั้นกลับไม่ทำ แถมยังมีส่วนแบ่งให้เราอย่างเท่าเทียม แตกต่างจากเมื่อครั้งทราบว่าเราคือ ‘เพลิงพิโรธ’ เจ้าของค่าหัวสามพันปอนด์…


หากยืมคำพูดกัปตันมาใช้ สิ่งเหล่านี้ไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์…


ทำไมถึงยอมปล่อยมือจากเงินค่าหัวง่ายดายนัก? นอกเสียจากจะมีวิธีขึ้นเงินรางวัลทางอื่น ซึ่งอาจจะปลอดภัยกว่าและไม่ต้องเสียค่านายหน้า…


หรือหมอนั่นมีเครือข่ายลับ?


ต้องใช่แน่! เรื่องราวทั้งหมดจะลงตัวพอดี!


ผนวกกับเหตุการณ์ครึ่งเทพลอบสังหารพลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์ ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์มีองค์กรใหญ่คอยหนุนหลัง!


เดนิสเริ่มหวั่นวิตกเมื่อได้ข้อสรุป


มันต้องการแสดงออกเป็นภาษากาย แต่ดันลืมว่าแขนซ้ายยังคงบาดเจ็บ จึงกัดฟันกรอดพลางเผยรอยยิ้มขื่นขม


สิ่งนี้ยิ่งสร้างความหวาดระแวงแก่เดนิส มันไม่ต้องการให้กัปตันของตนพัวพันกับบุคคลอันตรายและเสียสติ


เดนิสถึงขั้นตั้งข้อสงสัยว่า จุดประสงค์แท้จริงของเกอร์มัน·สแปร์โรว์คือเงินค่าหัวจำนวนสองหมื่นหกพันปอนด์ของเอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ด!


จริงอยู่ หากเป็นการดวลตัวต่อตัว หมอนั่นอาจยังเอาชนะกัปตันไม่ได้ แถมยังมีรองกัปตัน ผู้ช่วยกัปตัน ผู้ช่วยรองกัปตัน และสรั่งเรือคอยช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก แต่เบื้องหลังของเกอร์มัน·สแปร์โรว์คือองค์กรขนาดใหญ่!


แม่เย็*! ถ้าเอ็งอยากทำร้ายกัปตัน ก็ต้องข้ามศพฉันไปก่อนโว้ย!


เดนิสสูดลมหายใจยาว พองหน้าอกขึ้นและทำสีหน้าราวกับเตรียมสละชีวิต


มันใช้มือขวาจัดทรงผมพลางหายใจออก ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่ว


“อย่าวู่วาม… ลองดูไปก่อน บางทีเกอร์มันอาจแค่ต้องการถามกัปตันจริงๆ”


มันมองไปรอบตัว และพบว่าพรมวิเศษกับผ้าคลุมเงายังคงอยู่ดี ไม่ได้ถูกนำไปด้วย


หนอย… เจ้าเล่ห์นักนะ!


“หมอนั่นทิ้งสมบัติของเราไว้ครบทุกชิ้นโดยไม่กลัวว่าจะหลบหนีเลยหรือ แอบดึงเส้นผมเตรียมไว้แล้วรึไง? ไม่ใช่แน่ ชายคนนั้นเสียสติ ถ้ามันต้องการกระจุกผมของเรา แค่เดินมากระชากไปจากหัวก็พอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องแอบทำตอนหลับ… จริงสิ เจ้านั่นมีองค์กรลับแข็งแกร่งหนุนหลัง บางทีตอนนี้ เราอาจกำลังถูกจับตามองโดยใครสักคน และรอให้เราหนีออกไปหากัปตัน จึงค่อยสะกดรอยตาม… การออกไปข้างนอกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ต้องมีแผนชั่วแอบแฝงอยู่แน่!”


จากประสบการณ์และสติปัญญา เดนิสเชื่อว่าสมมติฐานของตนไม่มีข้อบกพร่อง


มันเดินวนเวียนในห้องสักพัก ก่อนจะเอนหลังลงบนเก้าอี้นอนและนึกเหยียดหยัน


“ฉันจะไม่ออกไปไหนเด็ดขาด! แล้วมาดูกันว่านายจะทำยังไงต่อ! อย่าได้ฝันว่าจะแตะต้องกัปตันของฉัน!”



บ่ายสามโมงสิบห้า เกาะไซมีม


เกาะแห่งนี้ยังคงอยู่ในเขตหมู่เกาะรอสต์ แต่ห่างไกลจาก ‘เมืองแห่งการให้’ บายัม ราวห้าชั่วโมงด้วยเรือโดยสาร


ระหว่างทาง ชายหนุ่มแวะซื้อเสื้อผ้าคนท้องถิ่นและกระเป๋าเดินทางสำหรับบรรจุชุดเพื่อเปลี่ยนกลับ สนนราคาทั้งหมดเพียงสิบสี่ซูล ไม่ถึงหนึ่งปอนด์


ชุดทางการบนเกาะราคาถูกชะมัด…


ในสภาพสวมกางเกงขาบาน แจ็คเก็ตสีน้ำตาลตัวหนา หมวกแก๊ปสีน้ำตาล รูปโฉมคล้ายคนท้องถิ่น ไคลน์ก้าวลงจากเรือโดยสาร และย่างกรายเข้าสู่ท่าเรือไซมีมโดยไม่ทำตัวประดักประเดิด


สืบเนื่องจากใช้เวลาซื้อเสื้อผ้านานเกินไป มันจึงพลาดเรือรอบเก้าโมง และต้องรอขึ้นเรือรอบสิบโมงแทน


เมื่อคิดถึงเรื่องเงินทอง ชายหนุ่มเริ่มนึกทบทวนสถานภาพทางการเงินในปัจจุบัน


หืม… การล่าโจรสลัดถือเป็นงานในฝันเลยทีเดียว ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว มีทั้งเรื่องเงินทอง ได้กำจัดคนชั่ว ได้ปกป้องคนอ่อนแอ และกลายเป็นผู้ผดุงคุณธรรมเต็มตัว”


ไคลน์มองไปยังด้านข้างและพบน้ำทะเลสีเขียวมรกตสะอาดสดใส มองเห็นลงไปถึงทรายสีขาวด้านล่าง ผิวน้ำสะท้อนกับแสงอาทิตย์จนส่องประกายระยิบระยับ


ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม นักผจญภัยรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงออกแสวงหาโชคในทะเลโดยไม่เกรงกลัวภัยอันตราย… หากมีดวงสักนิด การได้เป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคือก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน…


ได้ยินมาว่า แถบชนบทของโลเอ็นมีวิวทิวทัศน์งดงาม แต่ถ้าเราไม่มีโอกาสได้กลับไป ก็คงต้องเลือกอาศัยในสภาพแวดล้อมคลายคลึงกัน… อีกทั้ง เรายังมีหุ้นบริษัทจักรยานเบ็คลันด์อีกสิบเปอร์เซ็นต์ ตรงนั้นสามารถงอกเงยเป็นเงินได้ในอนาคต…


ไคลน์ใคร่ครวญด้วยสีหน้ายินดี


หลังจากคิดเรื่อยเปื่อย มันเริ่มวกกลับมายังประเด็นสำคัญ นั่นคือตะกอนพลังฝันร้ายซึ่งเพิ่งถูกปล่อยจากยุบพองหิวโหย ตนควรทำอย่างไรกับสิ่งนี้ นำไปขายคืนให้โบสถ์รัตติกาล หรือส่งให้ช่างฝีมือสร้างเป็นสมบัติวิเศษ?


หากเป็นไปได้ เราอยากขายคืนให้โบสถ์รัตติกาลมากกว่า…


ไคลน์·โมเร็ตติ ผู้เคยดื่มโอสถของเหยี่ยวราตรีไปแล้วสองขวด กำลังไตร่ตรองด้วยสีหน้าสำนึกผิดเล็กน้อย


ขณะเดียวกัน มันก็หวังให้เดอะซันพัฒนาไปเป็นลำดับ 7 โดยเร็ว จะได้เข้าถึงวิธีการถอดจิตกัดกร่อนออกจากตะกอนพลังโรซาโก้


ไคลน์ยังไม่คิดเรื่องการปล่อยดวงวิญญาณ ‘นักบวชแสง’ ในถุงมือให้เป็นอิสระ เดอะซันน้อยเพิ่งได้สูตรโอสถลำดับ 7 จึงยังอีกนานกว่าจะย่อยหมดและพร้อมปรุงโอสถถัดไป


ขณะเดียวกัน พลังนักบวชแสงนับว่าชนะทางบรรดาเหยื่อของไคลน์ โดยเฉพาะกลุ่มโจรสลัดของพลเรือเอกโลหิต ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นสมาชิกโรงเรียนกุหลาบและอยู่บนเส้นทางมนุษย์กลายพันธุ์


ประสิทธิภาพของนักบวชแสงถือว่าสูงกว่าเข็มกลัดสุริยันมาก แถมยังไม่มีผลข้างเคียง


ขณะปล่อยความคิดล่องลอย ไคลน์เดินมาถึงเขตหมู่บ้านของท่าเรือไซมีม


ชาวเมืองท้องถิ่นจะมีผิวสีแทน ผมสีดำธรรมชาติและหยักศกเพียงเล็กน้อย รอบกายมีกลิ่นเครื่องเทศเจือจาง


ในสภาพแปลงโฉม ชายหนุ่มตระเวนถามเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของเรนนี่ รวมถึงหยั่งเชิงข่าวการตายของวินเทอร์ ก่อนจะหามุมปลอดคนเพื่อลูบหน้าปลอมตัวเป็นวินเทอร์ เตรียมสะสางเป้าหมายให้เรียบร้อย


มันถือกระเป๋าเดินทางเดินไปรอบเมือง จนกระทั่งพบกับร้านขายไวน์ของเรนนี่


สตรีเจ้าของเส้นผมสีลินินไม่เหมาะจะถูกเรียกว่าเด็กสาวอีกต่อไป เมื่อเทียบกับภาพในความทรงจำของวินเทอร์ เรนนี่โตขึ้นมากพอสมควร


เธอกำลังใช้ไม้กวาดทำความสะอาดหน้าประตูร้านโดยไม่มีคนอื่นอยู่ใกล้ๆ


ฟู่ว… ไคลน์สูดลมหายใจยาว และผ่อนออกมาอย่างแผ่วเบาด้วยความรู้สึกตะขิดตะขวง


ในฐานะนักรบคีย์บอร์ด ชายหนุ่มรอบรู้ทุกเรื่องอย่างละนิด แถมยังเป็นความรู้ในเชิงทฤษฎีมากกว่าปฏิบัติ จึงทำได้แค่จินตนาการความรู้สึกวินเทอร์ในมุมมองของตัวเอง


มันหลับตาลงและเดินเข้าไปหาหญิงสาว


เมื่อเรนนี่ได้ยินเสียงฝีเท้า เธอรีบยกศีรษะขึ้นและเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนเต็มสองตา


หญิงสาวอ้าปาก และกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจเจือเย็นชา


“ขายตะกอนพลัง ‘ผู้ไร้หน้า’ ได้ 3,825 ปอนด์ ค่าหัวโจรสลัดอีกราวสามพันปอนด์ แม้ว่าเราจะยังไม่ได้ถือเงินจำนวน 6,825 ปอนด์ทันที แต่ถ้าแฮงแมนไม่ปล่อยให้ความแตก เงินก้อนนี้ก็ไม่มีทางหนีไปไหน… เงินขอบคุณจากครอบครัวดอนน่า คลีฟส์ และดิเมอดอร์จำนวนสองร้อยห้าสิบห้าปอนด์ยังอยู่ครบ… ยังมีเงินสดจากศพ ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้อีกยี่สิบหกปอนด์ สิบเอ็ดซูล แปดเพนนี… นอกจากนี้ยังมีเหรียญทองสำรองไว้เป็นก้อนสุดท้ายอีกห้าปอนด์… ในช่วงไม่กี่วันก่อน เราใช้เงินไปไม่ถึงหนึ่งปอนด์ด้วยซ้ำ นับเป็นเรื่องน่ายินดีมาก… คำนวณเบ็ดเสร็จ เราจะมีเงินทั้งสิ้น 7,110 ปอนด์ และยังมีตะกอนพลังฝันร้ายกับถุงลมของเมอร์ล็อก สองสิ่งนี้ก็มีมูลค่าพอควร ไม่สิ เราลืมคิดไปหนึ่งเรื่อง จากเหตุการณ์เมื่อคืน นอกจากเราจะได้เงินส่วนแบ่งค่าหัวจำนวนสามพันปอนด์แล้ว ยังมีตะกอนพลังของซอมบี้ในถุงมือด้วย ราคาประมาณสามพันถึงห้าพันปอนด์ เรียกได้ว่าคืนเดียวทำเงินมากถึงเจ็ดพันปอนด์… ยังไม่นับรวมตะกอนพลังของสควอลและ ‘พุ่มหนามสีเลือด’ ซึ่งไม่ได้เก็บกลับมา… ถึงจะหักเงินค่าวัตถุดิบโอสถนักเชิดหุ่นอย่าง ‘ละอองวิญญาณอาฆาตโบราณ’ และ ‘ผลึกแก่นการ์กอยล์หกปีก’ ออกไป ทรัพย์สินของเราก็ยังมากพอจะซื้อบ้านหลังใหญ่ในบริเวณอ่าวเดซีย์ อาณานิคมทวีปใต้ หรือทางแถบชานเมืองโลเอ็น… ทำไมถึงกลับมาเร็วนัก?”


ท่องเอาไว้… นายกำลังสวมบทบาท…


ไคลน์ฉีกยิ้ม


“ผมมาเพื่อบอกลาคุณ”


ชายหนุ่มใช้ภาษาท้องถิ่น ปะปนกับสำเนียงชาวเมืองบายัมอันจืดชืด


ภาษาแถบหมู่เกาะรอสต์ล้วนดัดแปลงมาจากฟุซัคโบราณ มีเอกลักษณ์แตกต่างจากภาษารุ่นอื่นเล็กน้อย แต่ไม่ยากสำหรับไคลน์ผู้จบการศึกษาภาควิชาประวัติศาสตร์ ใช้เวลาเพียงไม่นานก็เชี่ยวชาญ


“บอกลา?” เรนนี่ซักถามประหลาดใจ


ไคลน์เบือนหน้าหนี มองไปทางด้านข้างและกล่าวด้วยมาดเงียบขรึม


“ผมจะออกไปตามหาสมบัติ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้กลับมาเมื่อไร… ถึงตอนนั้น ผมจะกลับมาพร้อมเงินทองจำนวนมาก ซื้อดินแดนแถบเขตชานเมือง ปลูกต้นยาง ไร้องุ่น สร้างโรงสี มีห้องเก็บไวน์ มีร้านตีเหล็ก ปล่อยให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นเครื่องเทศ จากนั้นก็ซื้อทาสสักสองสามคน อุปถัมภ์คนรับใช้อีกสักคน ทำตัวเหมือนพวกขุนนางเหล่านั้น… ฮะฮะ! แต่ว่า… ผมยังขาดอยู่หนึ่งสิ่ง…”


ไคลน์ฝืนเอาชนะอาการขนลุก และจ้องเข้าไปในดวงตาของเรนนี่


“ผมยังขาดภรรยา ผู้จะมาเป็นนายหญิงใหญ่ในคฤหาสน์ของผม เรนนี่ ผมรักคุณ และปรารถนาจะแต่งงานกับคุณ แต่สำหรับวันนี้ ผมมิได้สารภาพเพื่อต้องการคำตอบ แต่กลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้พูดออกไป”


เรนนี่ยืนฟังอย่างเงียบงัน ก่อนจะแผดเสียงตวาดด้วยสีหน้าโมโห


“วินเทอร์ นายมันไอ้ขี้ขลาด!”


เห…? มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ…


ไคลน์ทำหน้าประหลาดใจโดยไม่ปิดบัง


เรนนี่เค้นเสียงเย็นชา


“สามปีก่อน… ผ่านมาแล้วสามปี! ตอนนั้นฉันพร้อมจะย้ายไปอยู่บายัมด้วยกันกับนาย แต่นายกลับไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลยสักครั้ง! นายมันไอ้ขี้ขลาดตัวพ่อ! ไอ้ไก่อ่อน! มาบอกอะไรเอาป่านนี้? ต้องการอะไร? นายกำลังจะออกทะเลและอาจไม่ได้กลับมาอีกแล้ว!”


ยิ่งได้ปลดปล่อย หญิงสาวยิ่งเลือดขึ้นหน้า


“นายได้พูดมันออกมา มีความสุขของนายคนเดียว โล่งใจอยู่คนเดียว แล้วฉันล่ะ? ฉันต้องทำตัวยังไงกับข่าวนี้? อยู่อย่างเป็นทุกข์จนกว่านายจะกลับมาหา? นายมันเห็นแก่ตัว!”


เธอเริ่มหวดไม้กวาดใส่ ‘วินเทอร์’ เต็มแรง


ไคลน์ทราบดี หากเป็นวินเทอร์ตัวจริง มันจะพับเก็บแผนออกทะเล รีบกล่าวคำขอโทษและโผเข้ากอดหญิงสาวอย่างแนบแน่น แต่ชายหนุ่มทำแบบนั้นไม่ได้ จึงแสร้งถูกไล่ตีและวิ่งหนีเข้าไปยังตรอกด้านข้าง แต่บังเอิญหัวโขกเข้ากับกำแพงในมุมอับ จึงล้มก้มจ้ำเบ้าและสบถสาปแช่งในใจ


น่าอับอายเกินไปแล้ว!


ขายหน้าฉิบหาย!


เรนนี่เดินกลับไปทางร้านไวน์ในสภาพถือไม้กวาด โน้มตัวจับลูกบิดด้วยสีหน้าขื่นขม


ขณะความคิดกำลังสับสน หญิงสาวได้ยินเสียงประหลาด ก่อนจะหลับกลางอากาศและล้มฟุบลงกับพื้น


หลังจากใช้ยันต์หลับใหล ไคลน์ปรากฏตัวออกมาเพื่อจัดระเบียบร่างกายเรนนี่ให้นั่งในท่าหลังพิงประตู ก่อนจะรีบเผ่นไปซ่อนตัวเพื่อรอดูผลลัพธ์


ถัดมาไม่นาน เรนนี่ลืมตาขึ้นโดยไม่ทราบว่าตนหลับอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร


เธอยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม ไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน ราวกับครุ่นคิดถึงความฝันเมื่อครู่


ทันใดนั้น หญิงสาวก้มหน้าซุกเข่า พลางสบถเสียงดังอย่างเกรี้ยวกราด


“ไอ้กระจอกวินเทอร์! นายมันเห็นแก่ตัว!”


ฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจยาวเมื่อสัมผัสถึงการย่อยของโอสถในปริมาณน้อย ก่อนจะรีบแปลงโฉมและหนีออกจากจุดดังกล่าวโดยเร็ว


มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพักแรมบนเกาะไซมีมหนึ่งคืน จึงค่อยเดินทางกลับบายัมด้วยเรือเที่ยวเก้าโมงเช้าวันพรุ่งนี้


……………………


ราชันเร้นลับ 532 : ท่าน ‘นักท่องเที่ยว’

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากหักเลี้ยวผ่านถนนสองเส้น ไคลน์ผู้เปลี่ยนใบหน้าเสร็จสรรพได้เดินตรงไปทางตู้ไปรษณีย์สีเขียว และดึงจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งเตรียมไว้ล่วงหน้าออกจากกระเป๋า


นี่คือ ‘จดหมายแจ้งตาย’ ไคลน์เขียนขึ้นเองโดยเลียนแบบเอกสารของกรมตำรวจ เป้าหมายคือการส่งไปยังนายอำเภอประจำเมืองไซมีม เนื้อหากล่าวถึงความตายของชาวบ้านท้องถิ่นนามว่าวินเทอร์ เสียชีวิตเนื่องจากล้มป่วยกะทันหันภายในเมืองบายัม


หลังจากวางแผน ‘สวมรอย’ ไคลน์ก็เตรียมทางออกให้ตัวเองและอีกฝ่าย ตัดขาดเรื่องราวทั้งหมดให้จบในคราวเดียวโดยไม่ปล่อยให้ค้างคา และไม่สร้างบาดแผลทางใจอันเกินกว่าจะเยียวยา ให้กับหญิงสาวชื่อเรนนี่


แผนก็คือ ใช้ยันต์หลับใหลเพื่อกลบเกลื่อนการพบปะในวันนี้ให้เป็นเพียงความฝัน


ด้วยวิธีนี้ ถ้าเรนนี่ไม่ได้รักวินเทอร์และปฏิเสธคำสารภาพ เมื่อเธอได้รับแจ้งข่าวการตายในภายหลังก็จะไม่เกิดความรู้สึกผิด อย่างมากก็หวาดกลัวเล็กน้อย และแก้ไขได้โดยการให้บิชอปประจำวิหารปัดเป่า


แต่ถ้าเรนนี่เกิดชอบวินเทอร์ และยอมรับคำสารภาพรัก ยันต์หลับใหลจะช่วยให้ไคลน์สลัดหลุดจากเธอได้ทันที โดยข่าวคราวการตายหลังจากนั้นจะไม่ส่งผลต่อชีวิตเธอมากนัก ไม่มีการรอคอยไปจนวันตายอย่างทุกข์ทรมาน


“แต่ถึงอย่างนั้น ผลลัพธ์ก็นับว่าค่อนข้างโหดร้าย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงคนใด จะชอบวินเทอร์หรือไม่ แต่การได้ทราบข่าวมรณะทันทีหลังจากถูกสารภาพรักในฝัน คงสร้างความเจ็บปวดทางใจได้ไม่น้อย ต้องใช้เวลาเยียวยาอีกสักพัก แต่ถ้าเราไม่เดินทางมาสารภาพรักในวันนี้ เมื่อข่าวการตายของวินเทอร์ส่งมาถึง เรนนี่อาจเสียใจไม่มาก แต่ภายในใจคงเกิดคำถามไปตลอดชีวิตว่า ตกลงแล้ววินเทอร์ทิ้งตนไปอยู่บายัมเพราะต้องการออกผจญภัย หรือเพียงเพราะไม่ชอบเธอกันแน่”


“จบแบบนี้ก็ไม่เลว… เมื่อแผลในใจของเรนนี่ถูกเยียวยา เธอจะใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างอ่อนโยน เนื่องจากเคยได้รับความรู้สึก ‘ถูกรัก’ จากใครสักคนแล้ว เฮ่อ… เพื่อจะใช้เทคนิคสวมบทบาท เราต้องเข้าไปวุ่นวายกับชีวิตของคนอื่น และมีผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบทางจิตใจ แม้จะใช้ข้ออ้างว่าทำไปเพื่อเติมเต็มความปรารถนาสุดท้ายของตนตาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลยสักนิด… ดังคำกล่าวของจักรพรรดิโรซายล์ ยิ่งมีลำดับสูง โลกของผู้วิเศษก็ยิ่งบิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยความชั่วร้าย… บางที ตัวเร่งปฏิกิริยาความบ้าคลั่งอาจไม่ใช่สิ่งใดนอกจากเทคนิคสวมบทบาทเสียเอง… งานของเราคือการคอยควบคุมไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง…”


ไคลน์ถอนหายใจยาว พลางเดินเข้าไปในโรงแรมเพียงแห่งเดียวในเมือง ด้วยหน้าตาของคนท้องถิ่นไม่โดดเด่น


ระหว่างทาง ชายหนุ่มสรุปผลการทดลองล่าสุดของตนได้ว่า ‘การปลอมเป็นบุคคลอื่นอย่างแนบเนียนจนคนใกล้ชิดหลงเชื่อ’ คือกฎสำคัญของเทคนิคสวมบทบาท และเป็นรองเพียงกฎ ‘จะปลอมเป็นใครก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วต้องเป็นตัวเอง’


แต่ถ้าเป็นผู้ไร้หน้าคนอื่น มันคงปิดข่าวการตายของวินเทอร์อย่างมิดชิด และสวมรอยเป็นวินเทอร์เสียเอง กลับมาบอกรักเรนนี่ จากนั้นก็แต่งงานอยู่กินกับเธอราวสองปี ลูกมีด้วยกัน โดยสุดท้ายก็จะหายไปอย่างเลือดเย็นเพราะไม่ต้องการผูกพันระยะยาว และไม่ต้องการลืมว่าตัวเองเป็นใคร… ระหว่างกระบวนการดังกล่าว หากไม่มีข้อบกพร่อง โอสถก็คงย่อยเกือบเสร็จพอดี…


แต่เราทำแบบนั้นไม่ได้! มันขัดแย้งกับศีลธรรมเกินไป! อย่างมากก็แค่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอย่างผิวเผิน…


ไคลน์ถอนหายใจ และตระหนักถึงความน่ากลัวของพลังในมือ


มันส่ายหน้า หัวเราะกับตัวเองเสียงแผ่ว


“นอกจากผู้วิเศษต้องคอยต่อสู้กับความบ้าคลั่งของโลกแล้ว ยังต้องต่อสู้กับความชั่วร้ายภายในจิตใจด้วย หากปล่อยไว้โดยไม่คอยควบคุม ศีลธรรมก็จะถูกบั่นทอนลงทีละนิด… จนกระทั่งสมองถูกกัดกร่อนโดยสมบูรณ์และกลายเป็นสัตว์ประหลาด—ศัตรูซึ่งพวกมันเคยสาบานว่าจะจำกัดให้หมดไป…”


ไคลน์พยายามระงับอารมณ์ขณะก้าวเข้าไปในโรงแรม และเดินต่อไปจนถึงเคาน์เตอร์หลังร้าน


“ห้องธรรมดาหนึ่งห้อง”


เจ้าของโรงแรมตัวผอมสูงเงยหน้าขึ้น


“แสดงบัตรยืนยันตัวตน”


ใบหน้านี้เพิ่งถูกสร้างขึ้น จะไปมีของแบบนั้นได้ยังไง… ไคลน์ยิ้มแห้ง


“ผมลืมพกมา”


“ถ้าอย่างนั้นนายก็ไม่มีสิทธิ์พัก! นี่คือกฎของเมือง!” เจ้าของโรงแรมก้มหน้าลงไปอีกครั้งเพื่อคำนวณรายได้ประจำวัน


ไคลน์หยิบธนบัตรหนึ่งซูลออกมา และผลักไปหาอีกฝ่ายโดยไม่กล่าวสิ่งใด


ดวงตาเจ้าของโรงแรมพลันเบิกกว้าง


“ไม่ได้! เอามันออกไป! ฉันไม่ต้องการถูกนายอำเภอจับขังคุก! ไสหัวไปซะ! ไอ้คนไม่มีบัตรยืนยันตัวตน!”


ไคลน์ถูกไล่ออกจากโรงแรมด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากทำใจเชื่อได้ยากว่า เงินตราซึ่งเคยมีอำนาจเหนือสิ่งใด กลับใช้ไม่ได้ในดินแดนแห่งนี้


ถัดมาไม่กี่วินาที มันหลบเข้าไปในตรอกเปลี่ยวและเปลี่ยนหน้ากลับไปเป็นนักผจญภัยเสียสติ เกอร์มัน·สแปร์โรว์


ไคลน์เดินกลับไปในโรงแรม ตรงไปทางเคาน์เตอร์หลังร้าน และพูดภาษาโลเอ็นสำเนียงเบ็คลันด์


“ห้องพัก”


เจ้าของโรงแรมเงยหน้ามอง ว่างงานทุกอย่างลง รีบลุกขึ้นยืนและหัวเราะแห้งด้วยท่าทีสุดแสนนอบน้อม


“ได้ครับผม ท่านต้องการห้องแบบไหน มองเห็นวิวทะเลหรือว่าเงียบสงบ”


มันพูดภาษาโลเอ็นตะกุกตะกักพร้อมกลิ่นเครื่องเทศเข้มข้นโชยหึ่ง ไม่มีการเอ่ยถึงบัตรยืนยันตัวตนอะไรนั่นอีกเลย


ไม่ว่าจะโลกไหนก็เหมือนกันหมด… ไคลน์เหยียดหยัน และตอบเสียงห้วน


“เงียบสงบ”


“ได้ครับท่าน” เจ้าของโรงแรมเน้นย้ำ


ถัดมา มันเรียกพนักงานมาเฝ้าเคาน์เตอร์แทน ส่วนตัวเองเดินนำไคลน์ไปยังชั้นสอง


“ท่านต้องการพักกี่วันครับ ค่าบริการคืนละหนึ่งซูลห้าเพนนี”


“คืนเดียว” ไคลน์เริ่มสะอิดสะเอียนความพินอบพิเทาของอีกฝ่าย เพียงตอบกลับไปอย่างไร้อารมณ์


สำหรับโรงแรมวายุครามของตนและเดนิส ค่าบริการสูงถึงคืนละห้าซูลเลยทีเดียว


โดยไม่ทำให้ผิดหวัง ห้องซึ่งเจ้าของโรงแรมเลือกให้เองทั้งสะอาดและเป็นระเบียบ ไม่มีกลิ่นอับชื้นซึ่งอันเอกลักษณ์ทั่วไปของโรงแรมประจำท่าเรือ ไคลน์กวาดสายตาไปรอบห้องด้วยสีหน้าพึงพอใจ


“ยอดเยี่ยมมาก”


“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ” เจ้าของโรงแรมเป็นปลื้มกับคำชมเชย


ไคลน์วางกระเป๋าลง ผ่อนคลายตัวเองสักพักก่อนจะเดินลงไปยังชั้นล่าง เพื่อเตรียมจัดการปัญหาปากท้องในช่วงค่ำ


สำหรับชั้นล่างสุด นอกจากบริเวณเคาน์เตอร์ การตกแต่งค่อนข้างไม่เป็นระเบียบ แถมยังมีคราบมันเลื่อมให้เห็นประปราย บริเวณมุมห้องเป็นเตาผิงสีแดงส้ม คอยมอบแสงสว่างและความร้อนแก่ทุกคน


หมู่เกาะรอสต์เยื้องอยู่ทางใต้เล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุดในฤดูหนาวจึงอยู่ราวสิบองศาเซลเซียส แต่สำหรับคนท้องถิ่น เท่านี้ก็นับว่าหนาวเย็นมากแล้ว


ไคลน์สุ่มโต๊ะนั่ง สั่งบาร์บีคิวท้องถิ่นสูตรพิเศษและซุปเห็ดหอม โดยมีอาหารจานหลักเป็นขนมปังมันฝรั่ง


ระหว่างรอ มันกวาดสายตาไปรอบร้านและสะดุดเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่ง


เส้นผมสีดำขลับ มัดรวบและปล่อยลงตามธรรมชาติ ดวงตาสีฟ้าอมเทางดงาม รูปร่างหน้าตาเป็นประเภทใครเห็นก็ไม่รังเกียจ ยิ่งได้มองก็ยิ่งยากจะละสายตา


ค่อนข้างชัดเจนว่าไม่ใช่คนท้องถิ่น โดยเฉพาะการสวมเสื้อเชิ้ตบุรุษและแจ็คเก็ตสีน้ำตาลตัวหนา ข้างฝ่ามือมีหมวกปีกกว้างทรงกลมยุบตรงกลางวางอยู่


การแต่งกายลักษณะนี้พบได้บ่อยในหมู่นักผจญภัย โดยผู้ชายอีกสามคนบนโต๊ะก็แต่งกายคล้ายคลึงกัน ผิวหนังแต่ละคนเผยให้เห็นถึงร่องรอยการถูกสภาพอากาศทำร้าย


ไคลน์ไม่เคยตระหนี่คำชมต่อสาวงาม เพียงแต่ในกรณีนี้ มันให้ความสนใจหญิงสาวปริศนาโดยไม่มีเรื่องรูปร่างหน้าตามาเกี่ยวข้อง


ท้องทะเลมักดูแคลนสตรีเสมอ เนื่องด้วยอิทธิพลจากเทพวายุสลาตัน ดังนั้น หากหญิงสาวคนใดอยู่รอดและถูกยอมรับ จะต้องมีมันสมองเฉลียวฉลาด หรือไม่ก็ต่อสู้เก่งกาจ หรือทั้งสองอย่าง แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ล้วนเป็นตัวอันตรายทั้งสิ้น!


รองเท้าหนังของพวกมันทุกคนมีคราบโคลนใหม่ติดอยู่… เพิ่งกลับจากป่า?


หึหึ สมกับเป็นนักผจญภัย…


ไคลน์วิเคราะห์จากเบาะแสเบื้องต้น


หากนักผจญภัยเหล่านี้เหยียดโคลนมาจากเมืองบายัม ระหว่างการเดินทางด้วยเรือนานห้าชั่วโมง คราบดังกล่าวคงไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ส่วนถนนในเมืองท่าไซมีมก็แห้งมาก เนื่องจากไม่มีฝนตกมาแล้วสองวัน อย่างมากก็มีเศษฝุ่นประปราย ไคลน์จึงตัดความเป็นไปได้ทั้งสองออกทันที และเหลือคำตอบเพียง พวกมันเพิ่งกลับจากป่าในเขตชานเมืองไซมีม


ไคลน์เคยได้ยินมาบ้าง นักผจญภัยหลายคนจะเลือกเข้าไปสำรวจในป่าลึกของเกาะอาณานิคม เพื่อค้นหาวิหารหรือแท่นบูชาของศาสนาเถื่อนซึ่งถูกทิ้งร้างหรือไม่ได้รับการดูแลด้วยเหตุผลต่าง ๆ


ตามผับบนเกาะทั่วโลกไม่เคยขาดแคลนตำนานในทำนองดังกล่าว ส่วนใหญ่มักเล่าถึงความโชคดีในชั่วข้ามคืนของกลุ่มนักผจญภัย


แต่จากสัญชาตญาณของเรา บริเวณดังกล่าวน่าจะมีวิญญาณมารเร่ร่อนสถิตอยู่… การล่าโจรสลัดจึงปลอดภัยกว่ามาก นอกเสียจากจะมีข้อมูลของป่าอย่างละเอียด…


ไคลน์เบือนหน้ากลับ และก้มศีรษะจัดการอาหารของตนอย่างเอร็ดอร่อย


ตามคำสอนของเจ็ดโบสถ์หลัก เทพของศาสนานอกรีตจะถูกเรียกว่าวิญญาณมารเสมอ แต่ไคลน์เชื่อว่า มีเทพบางตนเป็นเพียงวิญญาณธรรมชาติไร้พิษภัย


ถัดมาไม่นาน บาร์บีคิวสูตรพิเศษถูกยกมาเสิร์ฟในสภาพหั่นเป็นชิ้นเล็กและเสียบเข้ากับแท่งไม้แหลมยาว ผิวเคลือบด้วยซอสสีน้ำตาลอมแดง กลิ่นหอมเย้ายวน สีสันน่ารับประทาน


หน้าตาคล้าย ‘เคบับ’ จากโลกเก่า… สำหรับอาณาจักรโลเอ็น วัฒนธรรมการกินเนื้อจะค่อนข้างแตกต่าง เป็นการย่างทั้งชิ้นจึงค่อยมาหั่นแบ่งหลังจากย่างเสร็จ… แต่วิธีการทำแบบเคบับจะช่วยให้รสชาติซอสซึมเข้าไปได้ดีกว่า…


ไคลน์หยิบแท่งไม้ขึ้นมากัดหนึ่งคำ สัมผัสถึงความชุ่มฉ่ำเล็ก ๆ จากเนื้อ และรสหวานติดปลายกลิ่นเค็ม


อร่อย! ชายหนุ่มพยักหน้าพึงพอใจ


ไคลน์ค่อนข้างชอบอาหารมื้อนี้ โดยเฉพาะเครื่องดื่ม ‘ยางไม้กอลลั่ม’ อันเกิดจากการผสมระหว่างน้ำมะนาว น้ำตาล และนม


เมื่อกลับถึงห้อง ชายหนุ่มเตรียมเข้านอนเร็วกว่าปรกติ เนื่องจากทั้งคืนออกล่าโดยแทบไม่ได้พักผ่อน มันรีบอาบน้ำ ดับเตาผิง และแทรกตัวเข้าไปขดในผ้าห่ม


เมื่อนอนเร็วเกินไป ปัญหาตามมาคือการตื่นขึ้นกลางดึกเพราะปวดฉี่


ไคลน์ตื่นกลางคัน จึงลืมตาขึ้นและพยายามดึงผ้าห่ม


ไซมีมในช่วงกลางดึกจะมีอุณหภูมิราวแปดถึงเก้าองศาเซลเซียส เรียกได้ว่าหนาวจับใจ


นอนไปได้สักพัก ไคลน์เหยียดแขนออกไปคล้ายกับต้องการคว้าบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็เลือกจะหดกลับและนอนเงียบ ๆ ตามเดิม


จนกระทั่งมันเริ่มทนไม่ไหว จึงเงยหน้าและเอื้อมแขนหยิบ ‘เข็มกลัดสุริยัน’ บนโต๊ะข้างหัวเตียง


แม้สิ่งนี้จะไม่ได้มอบความร้อนเชิงกายภาพ แต่ก็สามารถหลอกกับตัวเองได้ว่าไม่หนาว


จากนั้น ไคลน์ลุกออกจากเตียงและเดินไปยังห้องน้ำเพื่อปลดปล่อยของเหลว


มันหรี่ตาลงเมื่อตระหนักว่าท้องน้อยเริ่มเบาสบายกว่าตอนแรก


หลังจากจัดการทุกสิ่งเสร็จสรรพ ชายหนุ่มดึงกางเกงขึ้นและเตรียมล้างมือ แต่ทันใดนั้น สัญชาตญาณของมันพลันถูกกระตุ้น


ไคลน์ขมวดคิ้วพลางหันไปมองช่องระบายลมริมผนังห้องน้ำ


ในวินาทีดังกล่าว มันมองเห็นบางสิ่งสีดำ ผิวลื่น กำลังห้อยลงมาจากช่องลม


งูพิษ!


งูพิษกำลังอ้าปากและเผยลิ้นสองแฉก!


ไคลน์พลันสะดุ้ง ก่อนจะส่งเสียงจากปาก


“ปัง!”


งูพิษถูกกระสุนอากาศแยกออกเป็นสองท่อนอย่างเท่าเทียม


เกิดอะไรขึ้น…


ไคลน์ยืนจ้องราวสามวินาที จนแน่ใจว่าไม่มีการเคลื่อนไหวเพิ่มเติม จึงเดินออกจากห้องน้ำและหยิบเหรียญทองจากกระเป๋าเสื้อ


……………………


ราชันเร้นลับ 533 : มิสเตอร์สี่พันสองร้อยปอนด์

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ในโรงแรมมีอันตราย”


ไคลน์เปล่งประโยคทำนายเสียงต่ำ เพ่งสมาธิเข้าฌาน และหยิบเหรียญทองขึ้นมาดีด


กิ๊ง!


เสียงของเหรียญไม่ดังมาก แต่ดังพอจะกังวานสะท้อนทั่วห้องเงียบสงบ จนกระทั่งเหรียญทองตกลงบนฝ่ามือไคลน์


ด้านตัวเลขหงายขึ้น หมายถึงปฏิเสธ


ไม่มีอันตราย… ไคลน์ขมวดคิ้วและกวาดตามองไปรอบตัว ก่อนจะเดินไปหยิบน้ำมันสกัดไล่แมลงออกมาหนึ่งขวด


มันโปรยรอบตัว และเดินถอยหลังสี่ก้าวอย่างรวดเร็ว ส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกเพื่อเตรียมใช้พลังทำนาย


ผ่านไปสิบวินาที มันได้ผลลัพธ์


เมื่อกลับสู่โลกความจริง ไคลน์ส่ายหน้า เก็บเหรียญทองและขวดยาไล่แมลงใส่กลับกระเป๋าเสื้อ สวมแจ็คเก็ตทับ สวมรองเท้าบูตหนัง นั่งลงบนขอบเตียงพลางเอนพลังพิงหมอน และอยู่ในท่าดังกล่าวเป็นเวลานานโดยไม่ประมาท


ชายหนุ่มยังคงไม่ลืม ‘กฎเหล็กนักทำนาย’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวลี ‘ผลลัพธ์การทำนายมิได้ครอบคลุมทุกสิ่ง’ ดังนั้น แม้คำตอบจะระบุว่าปลอดภัยมาก แต่ไคลน์ก็ยังไม่กล้านอนหลับอย่างวางใจหรือติดประมาท


มันมิได้เคลือบแคลงพลังของห้วงมิติเหนือสายหมอก เพียงแต่โลกนี้มีความเป็นไปได้มากมาย หรือประโยคทำนายของตนอาจมีช่องโหว่ ส่งผลให้นำไปสู่การตีความคลาดเคลื่อน


ไคลน์พอจะคาดเดาเหตุการณ์ได้เบื้องต้น สาเหตุของความปรกติอาจเกิดจากกลุ่มนักผจญภัยสี่คน ชายสามหญิงหนึ่ง จากร้านอาหารด้านล่าง กลุ่มคนเหล่านั้นอาจพบสมบัติวิเศษหรือวัตถุโบราณบางอย่างภายในป่าลึกบนเกาะไซมีม อาจมีความเกี่ยวพันกับตำนานพื้นถิ่น จนทำให้วิญญาณมารในแถบดังกล่าวออกอาละวาด และสร้างออร่าชั่วร้ายสาปใส่กลุ่มนักเดินทางทั้งสี่คน


ผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า จนกระทั่ง ไคลน์เริ่มสัมผัสถึงความผันผวนทางพลังวิญญาณในเชิงลึก คล้ายกับมีบางสิ่งค่อย ๆ แผ่กระจายออกจากห้องนอนของตนทีละนิด


ไม่กี่อึดใจถัดมา ความกังวลใจของไคลน์พลันหายเป็นปลิดทิ้ง ความเงียบสงบยามค่ำคืนหวนกลับมาอีกครั้งอย่างสมบูรณ์


เป็นอิทธิพลจากพลังพิเศษไม่ผิดแน่… ปัญหาถูกแก้ไขแล้ว? รออีกสักพักก็แล้วกัน ปัญหาอาจวกกลับมาเกิดใหม่ได้ภายในหนึ่งถึงสองชั่วโมงถัดไป… หากมีความผิดปรกติเกิดขึ้นจริง บนเกาะแห่งนี้มีวิหารของโบสถ์วายุสลาตันอยู่ รวมถึงทูตพิพากษา…


ไคลน์หลับตาลงและเข้าฌาน



เมืองบายัม ผับใบไม้หอม


เดนิสผู้เชื่อว่าการปลอมตัวของตนแนบเนียนและไม่มีใครจดจำได้ กำลังถือ ‘แลงติร้อนแรง’ พลางจ้องมองสาวสวยกำลังเต้นระบำข้างเวทีมวย


“แม่เย็*! พวกหล่อนไม่ได้ถอดเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียวมานานเกินไปแล้ว!” เดนิสตะโกนคุยกับขี้เมาละแวกใกล้เคียง


บางคนไม่แยแส บางคนหัวเราะชอบใจ และใครบางคนเดินมาขอชนแก้ว ตามด้วยการกระดกของเหลวใสใส่ปาก


“นายอ่านหนังสือพิมพ์หรือยัง?” ชายคนหนึ่งซึ่งยังคงสิงอยู่ในผับยามดึก สะอึกเล็กน้อยก่อนจะซักถามพรรคพวกด้านข้าง


“สมองของนายถูกเหล้าทำลายไปหมดแล้วรึไง? คิดว่าคนอย่างฉันจะเข้าใจความหมายของตัวอักษรบิดเบี้ยวพวกนั้นหรือ? ถ้าเป็นอะไรบิด ๆ เบี้ยว ๆ ฉันสนใจแค่บั้นท้ายพวกหล่อนเท่านั้น! ฮะฮะ!” เพื่อนของชายคนเมื่อครู่ยกแก้ว ชี้นิ้วไปทางนางรำ และหัวเราะอย่างตลกขบขันพร้อมกับเพื่อนฝูง


ชายคนแรกตบหน้าผากตัวเองเบา ๆ


“เหล็กกล้าตายแล้ว! ถูกฆ่าโดยเพลิงพิโรธ!”


เมื่อได้ยินเข้า เดนิสในละแวกใกล้เคียงพลันสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะนั่งตัวตรงและแอบเหลือบไปทางด้านข้างด้วยหางตา


มันจิบเหล้าล้างคอหน้านิ่ง แต่ความจริงแล้วแอบขยับตัวไปด้านข้างทีละนิด เพื่อต้องการฟังว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไร


นักผจญภัยและโจรสลัดต่างมีคติพจน์ร่วมกันเสมอว่า หากปราศจากเหล้า นารี และการคุยโวโอ้อวด ชีวิตในทะเลย่อมไร้ความหมาย!


“เหล็กกล้า? เหล็กอะไร? ฉันจะบอกอะไรให้นะ เมื่อสมัยยังเด็ก ฉันเคยหักท่อเหล็กได้เหมือนกัน!” ขี้เมาด้านข้างโวยวาย


“เก่งกับท่อเหล็กสินะ ฉันควรกล่าวชมเชยนายอย่างไรดี นายเจ๋งมาก! แบบนี้หรือ?” นักดื่มคนแรกเผยรอยยิ้มไม่ถือสา


โดยไม่รอคำตอบ มันเล่าต่อ


“เหล็กกล้า? แม็ควิตี้ตายแล้ว ฉันหมายถึง ผู้ช่วยกัปตันของพลเรือเอกโลหิตตายแล้ว!”


มันพูดประโยคครึ่งหลังด้วยโทนเสียงเย็นยะเยือก แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าคนรอบข้างเริ่มเกิดความหวาดกลัว จึงกระซิบเสียงแผ่ว


“ไม่ใช่ฉัน… ฉันไม่ได้ทำ”


แม่เย็*! ผับห่านี่วุ่นวายจริงโว้ย! รีบเล่าเข้าประเด็นสักที! รีบสรรเสริญความยอดเยี่ยมของท่านเพลิงพิโรธสักทีสิวะ!


เดนิสในสภาพปลอมตัว เกิดความรู้สึกอยากจะขว้างแก้วในมือไปทางขี้เมาเล่าข่าว


“หนังสือพิมพ์ระบุว่า กองทัพเรือและโบสถ์ร่วมมือกันสังหาร ‘เหล็กกล้า’ รวมไปถึง ‘พุ่มหนามสีเลือด’ และสควอลผู้เยือกเย็น หรือแม้กระทั่งพวกอันธพาลจอห์น·สมิธก็ถูกจับกุมตัวไปพร้อมกัน!” นักดื่มมาดขรึมคนหนึ่งช่วยสมทบรายละเอียด


“ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น!” ชายเล่าข่าวคนแรกรีบส่ายหน้า “ฉันมีเพื่อนทำงานกับหนังสือพิมพ์ เขาเล่าว่า ทางหนังสือพิมพ์ต่างทราบความจริงกันหมดแล้ว เพียงแต่ไม่สามารถตีพิมพ์ข่าวออกไปได้ กองทัพเรือและโบสถ์เป็นแค่เครื่องมือ ส่วนฆาตกรตัวจริงคือ ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิส และนักผจญภัยลึกลับ มากประสบการณ์ แถมยังเคยเป็นนักล่าค่าหัวมือฉมังจากบนบก”


“ผายลม! เพลิงพิโรธ·เดนิส ไม่สามารถเอาชนะเหล็กกล้าได้แน่ ถึงจะเป็นการซุ่มโจมตีทีเผลอก็ตาม พลังของเจ้านั่นไม่สามารถทะลวงผ่านร่างกายแม็ควิตี้!” นักดื่มอีกหลายคนในร้านต่างช่วยกับโต้แย้ง


“ประเด็นสำคัญคือนักผจญภัยทรงพลังคนนั้นต่างหาก ฉันสงสัยว่าอีกฝ่ายอาจมีฝีมือทัดเทียมกับพลเรือโจรสลัด!” ชายผู้เปิดประเด็นยังคงเน้นย้ำ “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเดนิสรู้จักกับนักผจญภัยลึกลับได้ยังไง แต่สามารถยืนยันได้หนึ่งเรื่อง นั่นคือ เพลิงพิโรธเป็นผู้สังหาร ‘พุ่มหนามสีเลือด’ เฮนดรี้ อย่างไร้ข้อกังขา! ค่าหัวของชายคนนั้นพุ่งสูงถึงสี่พันสองร้อยปอนด์แล้ว!”


“ถูกต้อง!”


“จริงหรือเนี่ย?”


“เพลิงพิโรธนับว่าไม่ธรรมดา”


“ช่างเป็นโจรสลัดผู้เร่าร้อน! …ไม่สิ ผู้โจรสลัดผู้ยิ่งใหญ่!”


“เฮ่อะ! โจรสลัดผู้ยิ่งใหญ่อะไรกัน คราวก่อนยังนั่งดื่มกับฉันอยู่เลย ไม่เห็นจะเท่าไร”


แม่เย็*! ไอ้ลูกโสเภณี! ฉันไปดื่มกับแก่ตอนไหน? ไม่เคยเห็นหน้าแกมาก่อนด้วยซ้ำ!


เดนิสเกรี้ยวกราดใจในอย่างเคลือบแคลง ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดอย่างมีความสุข


สี่พันสองร้อยปอนด์! หากเจ้าพวกนั้นรู้เข้า คงได้เช็ดดาดฟ้าเรือด้วยความอิจฉาเป็นแน่! ฮะฮะ! ตอนนี้เรากล้าพูดได้เต็มปากว่า ท่านเดนิสผู้นี้คือสรั่งเรืออันดับหนึ่งของ ‘ฝันทองคำ’ !


เดนิสอยากเหาะไปยังเรือของกลุ่มโจรสลัดธารน้ำแข็งใจแทบขาด ดื่มอย่างเมามายไปพร้อมกับพวกพ้องเช่น ‘ถังเหล็ก’ เล่าถึงเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นในเมืองท่าแบนชี เล่าถึงวินาทีขณะเอาชนะบิชอปเสื่อมทราม เล่าถึงวิธีเอาตัวรอดจากการซุ่มโจมตีของ ‘เหล็กกล้า’ และคนอื่น เล่าถึงวิธีการวางกับดักก่อนซุ่มจัดการพวกมันจนสิ้นซาก


และสุดท้าย เล่าความรู้สึกอันสดใหม่หลังจากเพิ่งได้เล่นไพ่แห่งความเป็นความตายและกลายเป็นผู้ชนะ


เฮ่อ… แต่เพื่อกัปตันแล้ว เราต้องอดทนรับบทคนรับใช้ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไปก่อน… โจรสลัดค่าหัวสี่พันสองร้อยปอนด์อย่างฉันนี้!


เดนิสถอนหายใจยาว ก่อนจะใช้แอลกอฮอล์ย้อมใจให้ลืมความเจ็บปวด



เสียงระฆังของวิหารวายุสลาตันดังกังวานไปทั่วเมืองไซมีม ดวงอาทิตย์สีส้มลอยสูงเหนือท้องฟ้า สภาพแวดล้อมรอบเมืองยังคงเงียบสงบจนได้ยินเสียงน้ำทะเล


โดยไม่พบความผิดปรกติใดตลอดทั้งคืน ชายหนุ่มถอดชุดรุ่มร่ามออก และกลับไปนอนบนเตียงราวสองชั่วโมง เพื่อชดเชยภาวะอดหลับอดนอนในระยะหลัง


อาศัยพลังวิญญาณช่วยปลุก มันตื่นนอนตอนแปดโมงครึ่งพอดิบพอดี เดินลงไปยังชั้นล่าง สั่งขนมปังเกาลัดสุกและ ‘ยางไม้กอลลั่ม’ หนึ่งแก้ว ก่อนจะเดินไปกินไปจนถึงเขตท่าเรือ


ไคลน์ซื้อบัตรโดยสารเรือรอบเก้าโมงเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว จึงทำเพียงเติมเต็มความอิ่มท้องให้ทันก่อนถึงเวลา


ทันใดนั้น มันเห็นหญิงสาวตาสีฟ้าและนักผจญภัยกลุ่มเดิมจำนวนสามคน


อีกฝ่ายกำลังต่อแถวซื้อบัตรโดยสารหน้าสำนักงาน


เรือเที่ยวเก้าโมงใกล้ออกแล้ว พวกเขาคงเดินทางรอบสิบโมง… เรายังไม่รู้ว่าคนเหล่านี้หยิบอะไรมาจากโบราณสถานในป่าลึกบ้าง แต่ค่อนข้างแน่ชัดว่าสามารถดึงดูดความสนใจจากวิญญาณมารได้ ถ้าพกสิ่งของดังกล่าวลงเรือพร้อมกับคนบริสุทธิ์ล่ะก็…


ไคลน์ใช้ร่างกายบดบังสายตาจากกลุ่มนักผจญภัย และหยิบเหรียญทองออกมาดีดทำนายผล


คำตอบออกมาเป็น เรือโดยสารลำถัดไปมิได้ตกอยู่ในอันตราย


ชายหนุ่มลังเลราวสามวินาที สายตาจ้องไปยังกลุ่มนักเดินทางคนอื่น ๆ ซึ่งกำลังยืนรอเรือรอบสิบโมงตรงใกล้กับจุดจำหน่ายบัตร


มันใช้ปลายนิ้วเสียดสีบัตรในมือจนลุกไหม้


ไคลน์เดินกลับไปยังสำนักงานราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และซื้อบัตรเดินทางมูลค่าสี่ซูลของรอบสิบโมงมาหนึ่งใบ


จากนั้น มันเข้าห้องน้ำใกล้กับท่าเรือ ส่งตัวเองเข้าห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา และรีบทำนายเพื่อไขข้อข้องใจให้กระจ่าง


หากผลการทำนายระบุว่าเรือรอบสิบโมงเต็มไปด้วยอันตราย ไคลน์จะหาทางหยุดเรือลำดังกล่าวทันที หรือถ้าจำเป็นก็ต้องแอบพังทิ้งก่อนออกเดินทาง ดีกว่าปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์ตายไปอย่างไร้ค่า


ถ้าผลลัพธ์สอดคล้องกับคำทำนายเบื้องต้น มันก็จะโดยสารร่วมทางไปด้วย และคอยระมัดระวังอุบัติเหตุ


ผลลัพธ์ออกมาเป็น ไม่ปรากฏอันตราย


ชายหนุ่มทำหน้าโล่งใจ รีบส่งจิตกลับสู่โลกแห่งความจริง และจัดแจงให้ ‘ถุงลม’ ของตัวเมอร์ล็อกอยู่ในจุดพร้อมใช้งาน


หากเกิดอุบัติเหตุท่ามกลางท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล วัตถุดิบวิเศษชิ้นนี้จะกลายเป็นตัวช่วยสำคัญของตน


เฉกเช่น ‘ดวงตาดำล้วน’ ของโรซาโก้ซึ่งปนเปื้อนจิตกัดกร่อนจากพระผู้สร้างแท้จริง หากไคลน์ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในถุงลมของเมอร์ล็อก มันสามารถใช้พลังพิเศษในเส้นทางกะลาสีลำดับ ‘ลูกเรือ’ ได้เบื้องต้น



สิบโมงตรง


ไคลน์ในใบหน้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ยกกระเป๋าเดินทางขึ้น และเดินตามหลังกลุ่มนักผจญภัยทั้งสี่ขึ้นเรืออย่างเงียบงัน


ตลอดทาง มันแสร้งงีบเป็นพัก ๆ สลับกับการอ่านนิตยสารเก่าบนเรือ แต่ในความเป็นจริง ชายหนุ่มกำลังแอบเหล่ไปทางหญิงสาวดวงตาสีฟ้าและพวกพ้องของเธอ


ความระแวงในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นตลอดทาง จนกระทั่งเรือแล่นมาถึงเมืองบายัมโดยสวัสดิภาพ


พวกเขาแก้ไขปัญหาเรียบร้อยแล้ว?


ตกลงว่าหยิบอะไรติดมือมากันแน่…


ไคลน์หยุดยืนริมถนน ทำทีซื้อหนังสือพิมพ์จากเด็กส่ง พลางชำเลืองกลุ่มนักผจญภัยทั้งสี่จนกระทั่งเดินลับสายตาไป


เฮ่อ…


ชายหนุ่มตัดสินใจไม่คิดถึงเรื่องของพวกมันอีก ขอเพียงคนกลุ่มนั้นไม่สร้างอันตรายเป็นวงกว้างหรือกับตน ไคลน์ก็ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรลงไป


มือข้างหนึ่งยกกระเป๋าเดินทาง โดยอีกข้างพลิกอ่านหนังสือพิมพ์พลางเดินไปตามถนนมะนาวเปรี้ยว ไม่ต่างอะไรกับนักท่องเที่ยวทั่วไป


ทันใดนั้น มันหลุดขำและอมยิ้มกับตัวเอง


“ค่าหัวเดนิสกลายเป็นสี่พันสองร้อยปอนด์…”


หากปล่อยไว้เช่นนี้ ไคลน์เกรงว่าสักวันตนอาจจับเดนิสมัดเชือกแน่นหนา และนำไปขึ้นเงินค่าหัวกับทางการเป็นเงินก้อนโต


เมื่อกลับถึงโรงแรมวายุคราม ขณะเตรียมดึงกุญแจออกมาไข ไคลน์ได้ยินเสียงกรนซึ่งดังยิ่งกว่าเสียงคลื่นทะเล แว่วมาจากภายในห้อง


ยังไม่หนีหรอกหรือ… ไคลน์ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ผิดคาดมากนัก


เนื่องจากชายหนุ่มเคยสวม ‘ผ้าคลุมเงา’ เป็นเวลานาน ขอเพียงเดนิสหนีไปพร้อมกับสมบัติวิเศษชิ้นนั้น ไคลน์สามารถเกาะรอยตามหาได้ทุกเมื่อ จนกระทั่งได้พบกับพลเรือโทธารน้ำแข็งสมใจ


แม้ว่าจะซื่อบื้อไปสักหน่อย แต่ก็นับว่ายังระวังตัวได้ดี…


ไคลน์เปิดประตู สายตาจ้องมองเดนิสซึ่งสะดุ้งตื่นเล็กน้อย พลางเผยรอยยิ้มชั่วร้าย


“สวัสดี มิสเตอร์สี่พันสองร้อยปอนด์”


เดนิสพลันชะงัก ดวงตาเบิกกว้าง


มันอยากขำแห้งเหมือนทุกที แต่ดูเหมือนคราวนี้จะขำไม่ออก


เพลิงพิโรธเริ่มรู้สึกอย่างแท้จริง ว่าชีวิตของตนอยู่ห่างจากความตายเพียงไม่กี่คืบ


……………………


ราชันเร้นลับ 534 : คาบเรียนในฝัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ความกังวลของเดนิสไม่เกิดขึ้นจริง ไคลน์เพียงจ้องมอง และเดินกลับเข้าห้องนอนโดยไม่ทำอะไรมากกว่านั้น


ตลอดห้าชั่วโมงบนเรือ จิตไคลน์อยู่ในสภาพตึงเครียดตลอดเวลา แถมเมื่อคืนยังถูกรบกวนการนอน จึงเลี่ยงอาการเหนื่อยล้าอย่างสุดขีดไม่ได้


ไคลน์ปิดประตูห้องนอนเสียงดัง ‘ตึง’


ฟู่ว… น่ากลัวฉิบหาย!


เดนิสรู้สึกผ่อนคลายเหนือคำบรรยาย พร้อมกับนอนแผ่ลงไปบนเก้าอี้เอนหลัง


เมื่อสักครู่ มันกำลังจินตนาการภาพตัวเองถูกเปลี่ยนเป็นเหรียญทองปอนด์ ฉากแล้วฉากเล่าตามหลอกหลอนไม่หยุดหย่อน ยากจะสลัดให้หลุดพ้นโดยง่าย


เนื่องจากเดนิสแช่อยู่ในผับจนถึงรุ่งเช้า จึงกลับถึงห้องนอนในสภาพอ่อนเพลียสุดขีด ผ่านไปสักพักก็งีบหลับและเริ่มฝันว่า กัปตันของตนพยายามช่วยให้พ้นจากเงื้อมมือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ แต่เธอทำไม่สำเร็จ และถูกจับตัวไปเป็นสาวใช้ของนักผจญภัยเสียสติ


เดนิสเดือดดาลสุดขีด แต่มันก็มิอาจขัดขืนพลังของอีกฝ่ายไหว


จนกระทั่งมันสะดุ้งตื่น ความฝันอันพร่ามัวรอบตัวกลายเป็นคมชัด ทิวทัศน์แปรเปลี่ยนเป็นห้องพักสุดหรูของโรงแรมวายุคราม


ก็อก! ก็อก! ก็อก!


เดนิสได้ยินเสียงเคาะประตูเป็นจังหวะช้า


เรากำลังฝันไม่ใช่หรือ…?


เพลิงพิโรธเกิดความสงสัย จึงเดินไปยังประตูและบิดกลอนโลหะ


เมื่อประตูเปิดแง้ม มันเห็นใบหน้าอันคุ้นเคยจากอีกฝั่ง


เบื้องหน้าคือสตรีเลอโฉม ใบหน้าเรียวมนคล้ายไข่ห่านคว่ำ ดั้งจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง ดวงตาสีฟ้าอ่อนคล้ายกับน้ำพุกระจ่างใส


ผมยาวสีน้ำตาล แสกกลาง มัดรวบไว้ด้านหลังอย่างเรียบง่ายแต่ประณีต ปลายผมถูกปล่อยลงพื้นตามแรงโน้มถ่วง


อีกฝ่ายมิได้สวมหมวก สวมแจ็คเก็ตสีน้ำตาลอ่อน รอบคอเสื้อถูกตกแต่งด้วยลูกไม้สีขาวแผ่นใหญ่ หนาประมาณครึ่งฝ่ามือ


ถัดลงมาจากแจ็คเก็ตเป็นกระโปรงพลีตสีเข้มยาวถึงเข่า แต่ละจีบเรียงสลับสูงต่ำอย่างประณีต ด้านล่างสุดเป็นรองเท้าบูตหนังสีเดียวกับเส้นผม


“กัปตัน!” เดนิสอุทาน


มันพลันสะดุ้ง รีบหันหน้าไปทางห้องนอนของเกอร์มัน·สแปร์โรว์และแหกปากโวยวาย


“ระวัง! หนีไป! ชายเสียสติต้องการพบคุณ! เบื้องหลังเขามีองค์กรลับน่ากลัวหนุนหลัง!”


ขณะเตรียมใจเสียสละตัวเอง เดนิสได้ยินกัปตันกล่าวเสียงขรึม


“นี่คือความฝัน”


ความฝัน…? งั้นหรอกหรือ เรากำลังอยู่ในความฝัน ไม่มีอะไรต้องกังวล…


เดนิสมองไปรอบตัว ลดแขนลง ก่อนจะเดินถอยกลับเข้ามาในห้อง


“กัปตัน คุณจำลองพลัง ‘ฝันร้าย’ ใช่ไหม? …แต่น่าแปลก เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน ฝันทองคำเพิ่งออกจากเกาะโซเนีย”


โซเนียคือเกาะใหญ่อันดับหนึ่งบนทะเลฝั่งตะวันออก ขณะเดียวกันก็เป็นต้นตอของชื่อทะเลโซเนีย ขนาดของมันใหญ่เกือบเท่าทวีปเล็ก เดิมทีเคยเป็นจุดรวมตัวของเอลฟ์หลังจากยุคสมัยมหาภัยพิบัติ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป เผ่าพันธุ์โบราณดังกล่าวได้ถูกรบกวนด้วยปัจจัยหลายด้าน จึงค่อยๆ ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วจนกระทั่งมีข่าวลือว่าสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว แต่การปรากฏตัวให้เห็นเป็นครั้งคราวทำให้มนุษย์ทราบว่าพวกมันยังดำรงอยู่


ในช่วงตอนปลายของยุคสมัยที่สี่ อาณาจักรโลเอ็นคือผู้ปกครองเกาะโซเนียอย่างชอบธรรม แต่หลังจาก ‘สงครามยี่สิบปี’ จบลง กองทัพโลเอ็นประสบความพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช จึงต้องมอบสิทธิ์การควบคุมเกาะให้กับจักรวรรดิฟุซัค โดยเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านมานานกว่าเจ็ดร้อยปีแล้ว


เกาะโซเนียตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่เกาะรอสต์ ใช้เวลาเดินทางด้วยเรือกว่าครึ่งเดือน ดังนั้น หากพลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ด อยู่ใกล้กับเกาะโซเนียเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนจริง เธอก็ไม่ควรปรากฏตัวในเมืองบายัมได้ นอกเสียจากจะมีเวทมนตร์บินด้วยความเร็วสูง หรือไม่ก็เดินทางผ่านโลกวิญญาณด้วยพลังของ ‘นักท่องเที่ยว’


สาวสวยผู้ถูกเดนิสเรียกว่ากัปตัน พยักหน้ารับอย่างสุขุม


“เรือของเราเพิ่งเข้าสู่น่านน้ำเกาะรอสต์ได้ไม่นาน ยังห่างจากบายัมอีกราวหนึ่งพันไมล์ทะเล”


หรือก็คือ อีกไม่ต่ำกว่าสี่วันกว่าจะมาถึง…


ทำไมถึงได้ฟังดูปรกตินัก…


เดนิสใคร่ครวญอย่างไม่เข้าใจ


“พลังของฝันร้ายไม่น่าจะไกลขนาดนั้น…”


แถมยัง… ไกลไปมาก… มันเสริมในใจ


พลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า เดินตามเข้ามาในห้อง และตรงไปยังบริเวณโต๊ะกับเก้าอี้


“ไม่ใช่ ‘ฝันร้าย’ แต่เป็นพิธีกรรมเวทมนตร์ลับ อาศัยข้าวของเครื่องใช้ของคุณบนเรือเป็นสื่อกลาง และทำการส่งจิตบุกรุกความฝันของคุณจากตำแหน่งห่างไกล…”


เมื่อได้ฟังคำอธิบายอย่างละเอียดรอบคอบของกัปตัน เดนิสรู้สึกคล้ายกับตนกำลังอยู่บน ‘ฝันทองคำ’ และเข้าเรียนคาบวิชาประจำวัน


เราไม่เคยได้ยินพิธีกรรมลับในลักษณะดังกล่าวมาก่อน… สมกับเป็นกัปตัน เธอรู้จักเวทมนตร์หายากและพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์มากมาย ไม่มีใครบอกได้ว่าความรู้ของเธอกว้างขวางมากแค่ไหน… ถ้าจำไม่ผิด เธอเคยบอกว่าลำดับของตนชื่อ ‘อาจารย์วิชาลับ’ …


โธ่เอ้ย… ถ้าเรารู้มาก่อนว่าเธอสามารถใช้ ‘วิชาลับ’ แบบนี้ได้ คงไม่ต้องมัวกังวลหาทางแจ้งให้ทราบถึงอันตรายในเมืองบายัม…


เดนิสเพิกเฉยคำอธิบายของเอ็ดวิน่าเพื่อประมวลผลเรื่องราวย้อนจนกระทั่ง


“กัปตัน คุณพบความผิดปรกติของจุดติดต่อภายในเมืองบายัมมานานแล้วใช่ไหม”


“ถูกต้อง ด้วยวิชาลับชนิดอื่น…”


คล้ายกับว่า หากประเด็นใดซับซ้อนเกินกว่าความเข้าใจของเดนิส เอ็ดวิน่าจะอธิบายให้ฟังดูง่ายขึ้นด้วยคำว่า ‘วิชาลับ’


ได้ยินเช่นนั้น เดนิสถอนหายใจห่อเหี่ยว


“เฒ่าลินน์ผู้น่าสงสาร… คนอื่นก็เช่นกัน…”


เอ็ดวิน่าหยุดเดิน หันหลังให้หน้าต่าง และซักถามสั้นกระชับ


“เกิดอะไรขึ้นบ้าง”


“ต้องย้อนกลับไปเล่าตั้งแต่ท่าเรือดาเมียร์” จิตใจเดนิสกำลังปลอดโปร่ง ความตึงเครียดตลอดหลายวันก่อนหน้า ราวกับถูกปลดปล่อยออกมาในวินาทีนี้


มันเล่าเรื่องราวด้วยปากเปล่า เริ่มตั้งแต่ความพยายามในการชักชวนเกอร์มัน·สแปร์โรว์มาเป็นพวก แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายมีจิตไม่ปรกติ เหตุการณ์เผชิญหน้ากับโจรสลัดกะโหลกแดงบน ‘โมราขาว’ โดยดัดแปลงเรื่องราวของตัวเองเล็กน้อย


เนื่องจากมันนั่งคิดคำอธิบายเบื้องต้นเตรียมเผื่อไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืน จึงทำการเล่าอย่างปะติดปะต่อและฉะฉานชำนาญ


ถัดมาเป็นเรื่องราวของเมืองท่าแบนชี ต่อด้วยการซุ่มโจมตีของ ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้ และการเอาคืนของตนโดยวางแผนลอบจู่โจมร่วมกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ เดนิสไม่ปิดบังแม้แต่เรื่องเดียว มันคาดคะเนเบื้องหลังและสมบัติวิเศษซึ่งน่าจะเป็น ‘ยุบพองหิวโหย’ รวมถึงการมีองค์กรใหญ่คอยสนับสนุนเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ให้เอ็ดวิน่าฟังอย่างละเอียด


มันเล่าความจริงอย่างเถรตรง มีเพียงการบิดเบือนสถานะของตัวเองเล็กน้อย เช่น เดนิสจะไม่บอกว่าตนคือคนรับใช้ เลือกใช้คำว่า ‘พวกพ้อง’ หรือ ‘ผู้ช่วย’ มากกว่า


‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ เอ็ดวิน่าตั้งใจฟังอย่างเงียบงันโดยไม่ขัดคอ และพยักหน้ารับในตอนสุดท้าย


“เขาไม่มีเจตนาร้าย”


หมอนั่นเนี่ยนะ! คนจิตไม่ปรกติอย่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์เนี่ยนะ จะไม่มีเจตนาร้าย!


เดนิสรีบโน้มน้าว


“กัปตัน ไม่ว่าจะมีเจตนาร้ายหรือไม่ แต่หนอนั่นเป็นตัวอันตรายอยู่ดี! …คุณมั่นใจได้ยังไงว่ามันไม่ได้คิดร้าย!”


“ไม่มั่นใจ” เอ็ดวิน่ากล่าวหน้านิ่ง


“…แล้วทำไมถึง” เดนิสหายใจเข้าออกอย่างเชื่องช้า มันพบว่ากัปตันของตนมีส่วนคล้ายคลึงกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์อยู่หนึ่งเรื่อง :


เป็นพวกเข้าใจได้ยากบัดซบ!


เอ็ดวิน่าพูดต่อ


“เดาจากประสบการณ์และข้อมูล”


“…” เดนิสก่ายหน้าผากด้วยมือขวา “ผมสรุปให้ก็แล้วกัน หมอนั่นเป็นตัวอันตราย มีองค์กรลับนิรนามอยู่เบื้องหลัง และไม่คิดว่าคุณควรเสี่ยงชีวิตเพื่อพบกับมันโดยตรง ถึงอีกฝ่ายจะอ้างว่ามีบางสิ่งต้องการถามก็ตาม!”


เอ็ดวิน่าก้มศีรษะตรึกตรองสักพัก


“ฉันไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยง… เพราะสามารถสนทนากับเขาผ่านคุณได้”


เดนิสโล่งใจในตอนแรก ก่อนจะเงยหน้าถามอย่างสงสัยและคาดหวังคำอธิบาย


“ทำแบบนั้นได้ด้วยหรือ… ด้วยวิธีใด?”


เอ็ดวิน่ายกแขนขวา ทันใดนั้น กระดานดำและโครงไม้พลันปรากฏขึ้นในความฝัน


เอ็ดวิน่าเขียนประเด็นสำคัญลงบนกระดานดำด้วยตัวอักษรสวยงาม และอธิบายพลางเน้นย้ำให้เดนิสจดจำหัวข้อสำคัญจนขึ้นใจ ทางฝั่งเดนิสรีบนั่งลงตามสัญชาตญาณ สีหน้าของมันเคร่งเครียดราวกับกำลังอยู่ในคาบของฝันทองคำจริงๆ


หลังนั่งจากฟังได้สักพัก มันเพิ่งฉุกคิดได้ว่า


แม่เย็*! ทำไมต้องนั่งเรียนในฝันด้วยวะ!



ภายในห้องนอนใหญ่ ไคลน์ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น เริ่มตระหนักถึงความผิดปรกติบางอย่างรอบตัว


มันลุกขึ้นนั่งบนขอบเตียง เงี่ยหูฟังเสียงกรนของเดนิสในห้องนั่งเล่น และพบว่าอีกฝ่ายยังคงกรนเป็นปรกติ แต่เนื้อเสียงนุ่มนวลกว่าปรกติเล็กน้อย


สิ่งนี้อาจไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนอื่น แต่กับไคลน์ หัวหน้าใหญ่ขององค์กรลับนอกรีตและผู้เชี่ยวชาญศาสตร์เร้นลับระดับสูง ความไม่ปรกติเล็กน้อยในระดับนี้ ควรค่าแก่การตั้งข้อสงสัยและตรวจสอบ


มันลุกเดินด้วยฝีก้าวแผ่วเบาจนถึงประตูกั้นระหว่างห้องนอนกับห้องนั่งเล่น และหมุนมือขวาบิดกลอนอย่างระมัดระวัง


ไคลน์เดินออกจากห้องนอนด้วยย่างก้าวเงียบเชียบ เห็นเดนิสกำลังเอนกายพิงเก้าอี้ตัวเดิมพร้อมกับกรนเสียงแผ่ว ทุกสิ่งรอบตัวมิได้แสดงให้เห็นถึงความผิดปรกติใดๆ


ชายหนุ่มเปิดเนตรวิญญาณและตรวจสอบ ‘เพลิงพิโรธ’ อย่างละเอียด แต่ก็ยังไม่พบปัญหาใดเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นสีของออร่าสุขภาพหรืออารมณ์ ทุกอย่างอยู่ในขอบเขตของความปรกติ


หลังจากก้มหน้าครุ่นคิดสักพัก ไคลน์ขมวดคิ้วเล็กน้อยและหยิบแผ่นยันต์สีเงินออกมาถือ


“คุณต้องประกอบพิธีกรรม ชื่อของมันคือ ‘พิธีกรรมวิญญาณสถิต’ มีอำนาจช่วยให้วิญญาณของฉันเดินทางผ่านโลกวิญญาณเพื่อสิงร่างคุณ และพูดคุยกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ได้โดยตรง ใช้ได้กับผู้วิเศษลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพเท่านั้น โดยระยะทางต้องไม่ไกลกว่าห้าร้อยไมล์ทะเล… เนื่องจากเป็นพลังในขอบเขตการสื่อสารและหลักเหตุผล คุณต้องสวดวิงวอนถึงเทพปัญญาความรู้ รวมถึงวาดสัญลักษณ์และอักขระเวทมนตร์ของท่านให้ถูกต้อง… ในแง่ของพิธีกรรม ดวงดาวซึ่งเกี่ยวพันกับเทพปัญญาความรู้คือดาวสีคราม ใช้โลหะจำพวกปรอท ทองเหลือง และต้องโปรยผงลาเวนเดอร์ พริกไทย สะระแหน่ ลงบนแท่นบูชาให้เรียบร้อย… ดาวสีครามเกี่ยวเนื่องกับวันเสาร์ เริ่มจากศุกร์เที่ยงคืนไปถึงเสาร์ตีหนึ่ง และเสาร์สิบเอ็ดโมงไปจนถึงเสาร์เที่ยงวัน ยันต์ห้วงความฝัน”



ภายในความฝัน เดนิสกำลังนั่งเรียนวิชา ‘พิธีกรรมวิญญาณสถิต’ ด้วยสีหน้าขื่นขม มันเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่า บุคคลตรงหน้าคือกัปตันของตนตัวจริง ไม่ใช่คนหน้าเหมือนปลอมตัวมาหลอก


ทั้งวิธีการพูด น้ำเสียง การเก็บรายละเอียด และความเข้มงวดในทุกกระเบียดนิ้ว… ไม่มีใครในโลกสามารถลอกเลียนแบบได้อีกแล้ว!


ทันใดนั้น เดนิสได้ยินเสียงกลอนประตูโลหะถูกหมุนบิด


มันมองไปยังต้นเสียงตามสัญชาตญาณ และได้เห็นประตูห้องนอนกำลังแง้มเปิดออกทีละนิด จนกระทั่งเกอร์มัน·สแปร์โรว์ในเชิ้ตสีขาวเรียบง่ายเดินออกมา


“น…นี่นาย… เปิดประตูออกมาได้ยังไง!” เดนิสยืนอุทานด้วยสีหน้าตกตะลึงสุดขีด


ก่อนจะเริ่มมีสติ และกล่าวตะกุกตะกัก


“น…นี่มันความฝันของฉัน!”


แล้วเกอร์มัน·สแปร์โรว์โผล่ออกด้วยวิธีใด!


ไคลน์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงขายาวสีดำ เดินกรุยกรายมาดเท่ตรงไปทางหน้าต่างใกล้กับจุดยืนของหญิงสาว และหันไปตอบเดนิสด้วยเสียงแผ่วเบา


“ยันต์”


จากนั้น ชายหนุ่มเบือนหน้าขึ้นมาจ้องสตรีเลอโฉม และเปล่งเสียงถามเจือความมั่นใจ


“เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ด?”


การแต่งกายค่อนข้างแปลก… ไม่เหมือนนักผจญภัยเลยสักนิด กับโจรสลัดยิ่งแล้วใหญ่… คล้ายกับหญิงแกร่งผู้มีการงานมั่นคง สามารถเลี้ยงตัวเองได้ไปจนตาย… สไตล์การแต่งตัวค่อนไปทางชาวอินทิส…


ไคลน์ลองวิเคราะห์ มันไม่คุ้นเคยกับการแต่งตัวในลักษณะนี้สักเท่าไร


เอ็ดวิน่าผงกศีรษะรับ และถามกลับด้วยความหมายเดียวกัน


“เกอร์มัน·สแปร์โรว์?”


“ถูกต้อง ทิวาสวัสดิ์ มาดาม”


ไคลน์เผยรอยยิ้มสุภาพ และนำมือทาบอกโน้มตัวคำนับอย่างสง่างาม


เอ็ดวิน่าพยักหน้ารับ


“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ”


ไคลน์ยังคงรักษามาดขรึมของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ไม่พูดพร่ำเพรื่อ รอให้อีกฝ่ายเริ่มถามถึงจุดประสงค์ของตนก่อน



ชายหนุ่มจ้องเอ็ดวิน่า



เอ็ดวิน่าจ้องกลับ



ท่ามกลางความฝันของเดนิส เวลาหลายนาทีผ่านไปอย่างเงียบงันและไร้ประโยชน์


เพลิงพิโรธเหลียวซ้ายที ขวาที


มันเริ่มแยกไม่ออกว่า กัปตันของตนมาแวะมาหาจริง หรือทั้งหมดเป็นเพียงความฝันอันผิดเพี้ยนตั้งแต่ต้น!


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)