Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 523-524
ราชันเร้นลับ 523 : ความร่วมมือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อออกจากอาคารหมายเลข 47 บนถนนเขาดำ ไคลน์สำรวจสถานการณ์เบื้องต้นของวินเทอร์ โดยปลอมตัวเป็นตำรวจและไล่สอบปากคำเพื่อนบ้านอย่างแนบเนียน
ผลลัพธ์เป็นไปอย่างราบรื่น
“เกาะไซมีมอยู่สุดขอบของหมู่เกาะรอสต์ หากเดินทางจากบายัม ต้องใช้เวลานานสี่ถึงห้าชั่วโมงด้วยเรือโดยสาร และมีเพียงสองเที่ยวต่อวัน คือเก้าและสิบโมงเช้าเท่านั้น ซึ่งวันนี้เลยเวลามาแล้ว… พ่อและแม่ของวินเทอร์จากโลกนี้ไปเมื่อหลายปีก่อน ไม่มีญาติสนิท สายสัมพันธ์เดียวคือหญิงสาวนามว่าเรนนี่ ซึ่งวินเทอร์ไม่มีโอกาสได้บอกรักหล่อน องค์ประกอบค่อนข้างเหมาะกับผู้ไร้หน้ามือใหม่อย่างเรา สำหรับใช้เติมเต็มความปรารถนาสุดท้ายของคนตาย… แต่การจะให้สารภาพรักต่อหน้าใครสักคนนี่มันออกจะ… น่าอายชะมัด… แล้วจะทำอย่างไรถ้าอีกฝ่ายตอบตกลงขึ้นมา? ควรเอาตัวรอดด้วยคำพูดแบบไหนดี…”
ไคลน์พยายามใช้ความคิด
มันกำลังเค้นสมองนึกถึงบทของนิยายจากโลกเก่า รวมถึงบทละครทีวีชื่อดังในอดีตหลายเรื่อง เพื่อหาทางออกในอุดมคติให้กับความซับซ้อนยุ่งเหยิงคราวนี้
เพียงไม่นาน มันเริ่มได้ข้อสรุป ห้วงอารมณ์กลับมาสงบนิ่ง พลางมุ่งความสนใจไปยัง ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้เพียงผู้เดียว
“ถ้ามิสเมจิกเชี่ยนส่งเครื่องรับโทรเลขถึงมือเราทันเวลาก็คงดี…” ไคลน์ถอนหายใจแผ่วเบาพลางเดินขึ้นรถม้าเช่า
…
เบ็คลันด์ เขตเชอร์วู้ด
ฟอร์สแกะเปิดจดหมายซึ่งซิลถือติดมือกลับเข้ามาในบ้าน
เป็นจดหมายจากอาวีลล์ นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดังประจำกรุงเบ็คลันด์ ภายในจดหมาย อีกฝ่ายมีความสุขมากกับการได้แบ่งปันความน่าตื่นเต้นของเทคโนโลยีการรับส่งคลื่นวิทยุแสนซับซ้อนให้มิสวอลล์
ฟอร์สอ่านข้ามช่วงต้นและกึ่งกลางไป โดยมุ่งประเด็นไปยังส่วนท้ายกระดาษ
“มีน่าสนใจอยู่สามรุ่น แหล่งซื้อขายถูกอธิบายไว้อย่างชัดเจน โดยราคาเครื่องสูงสุดมีมูลค่าสิบสองปอนด์”
ฟอร์พลันถอนหายใจยาว เมื่อตระหนักว่าการแลกเปลี่ยนในคราวนี้มิได้เกี่ยวพันกับเงินก้อนใหญ่
หญิงสาวเริ่มรู้สึกว่า ศักดิ์ศรีของตนฟื้นฟูกลับคืนมาเล็กน้อย
คงเป็นเพราะเธอได้ฟังตัวเลขจำนวนมหาศาล หลักหลายร้อยหลายพันปอนด์ จากการแลกเปลี่ยนภายในชุมนุมทาโรต์บ่อยครั้งเกินไป เงินจำนวนเพียงสิบกว่าปอนด์จึงแทบไม่อยู่ในสายตา
มิสเตอร์เวิร์ลมีช่องทางในการหาทรัพยากร แถมยังค่อนข้างเงินหนา เราอาจได้ซื้อขายกับเขาในอนาคต… ถ้าอย่างนั้น… ขายราคาทุนก็แล้วกัน อาจบวกเพิ่มในค่าเดินทางและค่าวัตถุดิบพิธีกรรมไปอีกเล็กน้อย…
ฟอร์สได้ข้อสรุป พลางมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว
กรุงเบ็คลันด์ยังคงมืดสลัวเช่นเคย ท้องฟ้ามีฝนโปรยปรายเล็กน้อย แต่หมอกควันไม่หนาทึบเท่าเมื่อก่อน
“ถ้าถุงกระเพาะของผู้กลืนวิญญาณส่งมาถึงมือเร็วๆ ก็คงดี…” ฟอร์สออกท่าทางกระวนกระวาย เธอคงอยากถีบตัวเองให้พ้นจากลำดับ 9 เต็มทีแล้ว
…
เมืองเงินพิสุทธิ์ บ้านตระกูลเบเกอร์
เดอร์ริคเตรียมถุงกระเพาะอาหารของผู้กลืนวิญญาณเรียบร้อย รวมไปถึงวัตถุดิบวิเศษตามความต้องการของมิสเตอร์แฮงแมนอีกสองสามชนิด แต่ชายหนุ่มยังไม่ใจร้อนสังเวยถึงเดอะฟูลทันที
มันอดทนรออย่างใจเย็น รอให้ประมุขของเมืองนำทีมออกไปสำรวจ หรือไม่ก็ประกอบพิธีกรรมสำคัญสักชนิดเสียก่อน
“ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว… ห้ามประมาทเด็ดขาด!” เดอร์ริคย้ำเตือนกับตัวเองหนักแน่น พลางเปิดอ่าน ‘จดหมายเหตุวังราชาคนยักษ์ ฉบับบันทึกด้วยมือโดยศิลาดำ’
มันเคยอ่านเนื้อหาบางส่วนไปแล้ว และสามารถจินตนาการถึงภาพลักษณ์ของวังราชาคนยักษ์จากสมัยบรรพกาล
หากคำอธิบายไม่ผิดพลาด
นี่คือวังแห่งทวยเทพ!
คล้ายกับห้วงมิติในบริเวณดังกล่าวถูกแช่แข็งกระแสเวลาให้หยุดนิ่งในช่วงเวลาพลบค่ำ บรรยากาศท่วมท้นด้วยความตระการตา ตึกรามบ้านช่องบางแห่งสูงเสียดก้อนเมฆ
หากมนุษย์ย่างกรายเข้าไป พวกมันจะมีขนาดกระจ้อยร่อยจนดูด้อยค่าไปโดยปริยาย ห้วงอารมณ์จะเกิดความศรัทธาต่อผู้เป็นเจ้าของทัศนียภาพอันสมบูรณ์แบบแห่งนี้จากก้นบึ้งหัวใจ
…
กรุงเบ็คลันด์ เขตฮิลสตัน
บ้านตระกูลเวย์แมนดี้
หลังจากฟังคำอธิบายจบ เอ็มลิน·ไวท์หวีผมจัดแต่งทรง พลางจงใจซักถามเข้าประเด็น
“ท่านบารอน ข้าไม่มั่นใจนักว่าตัวเองเคยได้ยินเรื่องนี้มาจากไหน แต่จำได้รางๆ ว่า สมัยอดีตกาล เคยมีเมืองชื่อ ‘เงินพิสุทธิ์’ ดำรงอยู่ในช่วงต้นยุคสมัยที่สอง… เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่?”
อีกอยู่ในฝ่ายในสภาพหวีผมเรียบร้อย สวมเชิ้ตผ้าฝ้ายสีแดงสด มือข้างหนึ่งถือกล้องยาสูบ สีหน้ากำลังเพลิดเพลินไปกับความอบอุ่นของสภาพอากาศ
“ไม่น่าใช่… หรืออย่างน้อย ในความทรงจำของข้าก็ไม่มีเมืองชื่อเงินพิสุทธิ์ในช่วงก่อนยุคมหาภัยพิบัติ”
โดยไม่ปล่อยให้เอ็มลินแสดงความยินดีปรีดาจนเลยเถิด เวย์แมนดี้เสริม
“แต่มีอาณาจักรชื่อเงินพิสุทธิ์อยู่ เคยถูกปกครองโดยราชาคนยักษ์ และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนอาณานิคมในภายหลัง”
อาณาจักรเงินพิสุทธิ์?
เอ็มลิน·ไวท์เค้นสมองคิด
“ท่านบารอน แล้วมีคำอธิบายเฉพาะเจาะจงมากกว่านี้ไหม? เกี่ยวกับอาณาจักรเงินพิสุทธิ์บรรพกาลนั่น”
เวย์แมนดี้เงยหน้ามอง พลางเผยรอยยิ้มอ่อนโยนขณะกล่าว
“อาณาจักรเงินพิสุทธิ์มีสถานะพิเศษภายในวังราชาคนยักษ์ พวกมันมิได้รับใช้ราชาอย่างเออร์เมียร์โดยตรง ความศรัทธาดังกล่าวจะถูกมอบให้กับราชินีแห่งวังราชาคนยักษ์… โอมีเบล่า”
…
‘เมืองแห่งการให้’ บายัม เขตท่าเรือ
ถนนมะนาวเปรี้ยว โรงแรมวายุคราม
ไคลน์ยืนตรงหัวมุมถนน ปลดจี้บุษราคัมจากข้อมือซ้าย และทำนายเพื่อยืนยันว่าการกลับเข้าไปจะไม่มีอันตรายใดเกิดขึ้นกับตน
เมื่อเบาใจ ชายหนุ่มกลับไปยังโรงแรมอย่างไม่รีบร้อน เดินขึ้นชั้นสามและเปิดประตูห้องพักสุดหรูเข้าไป
ไคลน์มีอันต้องประหลาดใจเมื่อได้เห็น ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิส เอาแต่นอนซังกะตายบนเก้าอี้เอนหลังพลางจิบเหล้า
หลังจากยืนครุ่นคิด ไคลน์ตัดสินใจซักถามอย่างเย็นชา
“ตอนนี้กี่โมง”
“ตรงนั้นก็มีนาฬิกาแขวนไม่ใช่รึไง” เดนิสพึมพำด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
มันเงยหน้าและขานเวลาจากหน้าปัดนาฬิกาบนผนังฝั่งตรงข้าม
“บ่ายสามสี่สิบ…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เดนิสพลันได้สติ จึงรีบพยุงตัวนั่งหลังตรงและหัวเราะแห้งสองหน
“ฉันได้ถามคนรู้จักทุกคนและตระเวนไปยังแหล่งข่าวทุกแห่งจนทั่วแล้ว! การออกไปข้างนอกนานไม่ใช่เรื่องดีนัก มันเพิ่มความเสี่ยงในการถูกพบตัว และนั่นจะทำให้แผนการล่าของนายล้มเหลว!”
ไคลน์ดึงเก้าอี้มานั่งและพูดเสียงเยือกเย็น
“เจออะไรมาบ้าง เล่าให้หมด”
“นายคิดว่าฉันทำงานบกพร่อง? จริงอยู่ ฉันอาจเป็นนักผจญภัยกระหายสมบัติ แต่ก็ถือเป็นโจรสลัดมากประสบการณ์คนหนึ่งเหมือนกัน!” เดนิสรู้สึกคล้ายกับตนกำลังถูกดูแคลนสติปัญญา
หลังจากสำรวจสีหน้าของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เล็กน้อย มันยิ้มแห้ง ก่อนจะอธิบายเหตุการณ์ตั้งแต่ช่วงเช้าและบ่ายอย่างละเอียด เข้าไปหาใครบ้าง บทสนทนาเป็นอย่างไร และฝากฝังสิ่งใด ทุกสิ่งถูกเล่าอย่างฉะฉาน
แต่หลังจากได้ยินเดนิสรำพันว่า โจรสลัดนาม ‘อัลเจอร์’ กัปตันเรือผีสิงลึกลับ ทราบถึงเหตุการณ์ความวุ่นวายในท่าเรือแบนชี ชายหนุ่มเริ่มขมวดคิ้วชนกัน
แม้แต่คนในของโบสถ์วายุสลาตันอย่าง ‘แฮงแมน’ ก็ยังไม่ทราบข่าวเมืองท่าแบนชีจนกระทั่งเราบอกผ่านเดอะเวิร์ล แล้วนายอัลเจอร์คนนี้เป็นใคร? ทราบได้อย่างไร?
สมาชิกระดับสูงของโบสถ์วายุสลาตันผู้ปลอมตัวเป็นโจรสลัด? หรือจะเป็นหนึ่งในสมาชิกลัทธิโบราณบนเมืองท่างแบนชี?
หืม… ถ้าจำไม่ผิด มิสเตอร์แฮงแมนใช้ชีวิตอยู่บนทะเลเกือบจะตลอดเวลา… เป็นไปได้…
ไคลน์เพ่งสมาธินึกถึงรูปลักษณ์ของแฮงแมนในหัว
จริงอยู่ หากเป็นบนห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา มันจะมองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเจนนัก แต่ถ้าเป็นรายละเอียดโดดเด่นอย่างสีผมหรือเพศ มันไม่มีวันมองพลาดไปแน่!
ชายหนุ่มยกมือขึ้น เป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายหยุดเล่าชั่วคราว ตามด้วยการถามเสียงต่ำ
“ผ้าเผ้ายุ่งเหยิง สีน้ำเงินเข้มเหมือนกับสาหร่ายทะเล?”
“นายก็รู้จักด้วยหรือ? กะแล้วเชียว! เจ้านั่นไม่ใช่โจรสลัดธรรมดาจริงด้วย!” เดนิสถอนหายใจ
ไม่ผิดคาด… หึหึ แต่เราก็คิดไม่ถึงว่าจะหาตัวอีกฝ่ายพบด้วยวิธีนี้…
ไคลน์เพียงโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยด้วยบรรยากาศเงียบงัน มิได้ซักถามสิ่งใดเพิ่มเติม
“กลับเข้าเรื่อง”
เดนิสมิได้ใส่ใจเรื่องเดิม มันกลับมาอธิบายขั้นตอนการสืบข่าวของตนจนจบ
“นายต้องเข้าใจก่อนว่า การหาข่าวของโจรสลัดไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อลองทำอย่างสุดฝีมือแล้ว สิ่งเดียวคือการสวดภาวนาและรอคอยให้ทุกสิ่งเป็นใจ โดยส่วนใหญ่มักใช้เวลาค่อนข้างนาน”
“แต่ฉันมีวิธีลัด ไม่ต้องให้เสียเวลา”
ไคลน์จงใจกล่าวคลุมเครือ
“วิธีอะไร?” เดนิสถามด้วยสีหน้างุนงง
ไคลน์ใช้ปลายนิ้วขยับกรอบแว่น พลางยกยิ้มชั่วร้ายตรงมุมปาก
“ใช้เหยื่อล่อ”
เหยื่อล่อ? เดนิสประสานสายตากับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าสับสน
จนกระทั่งเริ่มฉุกคิดบางสิ่ง
นอกจากตัวมัน ก็ไม่มีสิ่งใดสามารถใช้เป็นเหยื่อล่อได้อีกแล้ว!
ตามหลักการตกปลาทั่วไป นักตกปลาไม่เคยสนใจว่าเหยื่อจะมีสภาพอย่างไรหลังจากถูกปลางับ! มันสนแต่ปลาเท่านั้น!
สรุปโดยสั้น การยอมเป็น ‘เหยื่อ’ เท่ากับส่งตัวเองเข้าไปสู่ประตูนรก!
“ฮะฮะ! วิธีดังกล่าวไม่ได้ผลหรอก เชื่อฉันสิ ยิ่งไปกว่านั้น ญาณวิเศษของฉันกำลังบอกว่า แถวๆ โรงละครแดงต้องมีเบาะแสสำคัญของ ‘เหล็กกล้า’ ซ่อนอยู่แน่! ฉ…ฉันจะรีบออกไปสืบข่าวเดี๋ยวนี้!”
เดนิสรีบสวมโค้ทตัวใหญ่อย่างลนลาน ก่อนจะเดินพ้นประตูห้องพักบานใหญ่
เดิมที ไคลน์มีแผนจะสะกดรอยตามเพื่อดูว่าเดนิสได้พบเบาะแสใดบ้าง แต่กลับได้ยินเสียงวิงวอนจากใครบางคนเสียก่อน
เป็นเสียงผู้ชาย
ชายหนุ่มหยุดยืนครุ่นคิด และตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำ
ราวสิบวินาทีถัดมา ไคลน์ส่งจิตตัวเองขึ้นไปยังวังสายหมอกสีเทา และพบว่าดาวแดงตัวแทน ‘แฮงแมน’ กำลังยุบพองเป็นจังหวะ
นึกแล้วเชียว… มันเอนหลังพิงเก้าอี้พลางถ่ายวิญญาณเข้าไปในดาวแดง
เสียงของแฮงแมนดังอย่างแจ่มชัด
“ถึงท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ขณะผมได้รับมอบหมายให้สืบสวนกุญแจเทพมรณาของพลเรือโทธารน้ำแข็ง ระหว่างทางได้พบกับ ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิสเข้าโดยไม่ตั้งใจในบ่อนพนันเหรียญทอง และทราบว่าชายคนนั้นคือหนึ่งในพยานรู้เห็นเหตุการณ์บนเท่าเรือแบนชี โดยภายหลังยังได้ทราบว่า ชายคนนั้นเตรียมวางแผนแก้แค้น ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้ร่วมกับตัวตนทรงพลังสักคนหนึ่ง ผมสงสัยว่า ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิสกำลังทำงานร่วมกับข้าหนึ่งในรับใช้ของท่าน จึงตัดสินใจส่งข้อความวิงวอนในครั้งนี้ หากนั่นเป็นความจริง และเขาต้องการความช่วยเหลือ ผมสามารถมอบความช่วยเหลือได้ตามสถานการณ์”
มิสเตอร์แฮงแมนคาดเดาตัวตนแท้จริงของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ออกแล้วสินะ… ในตอนแรก เขาอาจแค่สงสัย แต่มั่นใจหลังจากได้ถามหยั่งเชิงเดนิส… นั่นสินะ ถ้ามีความช่วยเหลือจากบุคคลในท้องถิ่น การล่า ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้คงราบรื่นกว่าเดิมมาก…
เว้นเสียแต่ว่า แฮงแมนจะพบวิธีจัดการกับเดอะฟูลโดยตรง ไม่อย่างนั้น เขาไม่มีวันหักหลังหรือวางกับดักข้ารับใช้เดอะฟูลแน่นอน… ถ้าประเมินจากท่าทีตอบสนอง ชายคนนั้นยังมิได้เคลือบแคลงในตัวเดอะฟูล… ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เราไม่เคยทิ้งช่องโหว่ให้สืบสาว…
ไคลน์สรุปความคิด
หลังจากทำนายยืนยัน ชายหนุ่มสร้างหมอกเทียมขึ้นมาปกคลุมรอบ ‘เดอะเวิร์ล’ ตัวปลอม และแสร้งทำเป็นสวดวิงวอนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ถึงมิสเตอร์ฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ผมต้องการความช่วยเหลือจากเขา”
หลังจากจัดการตัวเองเสร็จ ไคลน์ส่งภาพและเสียงเข้าไปในดวงดาวสีแดงเข้มตัวแทนมิสเตอร์แฮงแมนทันที
……………………
ราชันเร้นลับ 524 : พบปะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ห้าโมงเย็น ถนนต้นมะกอก
บ้านหมอดูพาร์เม่
อัลเจอร์·วิลสันผลักประตูไม้สีน้ำตาลซึ่งมีกระจกสี่เหลี่ยมติดอยู่ด้านบน และเดินเข้าไปในร้านบรรยากาศลึกลับ
มันสั่งกาแฟเฟอร์โม่หนึ่งถ้วย กาแฟชนิดดังกล่าวต้นกำเนิดจากหุบเขาเพิร์ธ ณ ทุ่งราบสูงดวงดาวแห่งทวีปใต้
อัลเจอร์นำไพ่ทาโรต์ซึ่งซื้อเตรียมไว้ล่วงหน้าออกมาวาง โดยใบบนสุดของกองเป็นไพ่ ‘แฮงแมน’ ภาพเทวทูตกำลังถูกมัดข้อมือไว้ด้านหลัง ถูกมัดข้อเท้า และห้อยหัวลง
แตกต่างจากตอนเช้า มันเปลี่ยนเป็นชุดคลุมยาวทรงโบราณสีทึบ สวมหมวกอ่อนของนักบวชชั้นสูง มาดคล้ายกับพ่อมดหรือจอมอาคมจากหนังสือตำนานเวทมนตร์
อัลเจอร์ถอนหายใจแผ่วพลางจิบกาแฟอย่างไม่รีบร้อน ไม่เผยท่าทีกระสับกระส่ายของผู้รอคอย
ถัดมาประมาณห้านาที ประตูไม้ติดกระจกถูกผลักเปิดอีกครั้ง ชายหนุ่มในโค้ทขนสัตว์สีดำเดินเข้ามาพร้อมกับหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูง
อายุไม่น่าจะถึงสามสิบ ใบหน้าผอมบางคางแหลม แฝงกลิ่นอายความเป็นผู้ใหญ่พร้อมกับบรรยากาศอึมครึม ไม่ใช่ใครนอกจากไคลน์ผู้แปลงโฉมเป็นอีกหนึ่งตัวตน
ชายหนุ่มมิได้สวมแว่นตากรอบทอง แต่นั่นก็มิได้ทำให้สายตาแย่ลง มันกวาดตามองไปรอบร้านแบบสุ่ม จนกระทั่งหยุดลงเมื่อเห็นชายผู้มีจอนสีน้ำเงินเข้ม
ไคลน์กลอกตาลง และพบไพ่ ‘แฮงแมน’ วงอยู่ด้านบนสุดของสำรับ
โดยไม่กล่าวสิ่งใด ชายหนุ่มเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามอัลเจอร์และถอดหมวกวางบนโต๊ะ
“ผมต้องการดูดวง”
ระหว่างพูด ไคลน์แอบสำรวจใบหน้าของสมาชิกชุมนุมทาโรต์รุ่นบุกเบิกไปในตัว
โครงหน้าชัดลึก ไม่เรียบเนียน มีร่องรอยการถูกลมฝนกัดกร่อน ร่างกายสันทัดกำยำ มองปราดเดียวก็ทราบทันทีว่าชำนาญด้านการต่อสู้ และมักใช้ชีวิตกลางแจ้ง
ผิวสีแทนอ่อน แต่ไม่ใช่แทนในแบบชนเผ่าพื้นเมือง ลักษณะคล้ายกับชาวโลเอ็นตากแดดตากฝนเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม เส้นผมสีน้ำเงินเข้มอันโดดเด่นนั้นมิใช่เอกลักษณ์ของชาวโลเอ็น แต่น่าจะเป็นชาวเกาะอาณานิคมแถบอ่าวเดซีย์ใกล้กับทะเลคลั่งมากกว่า
ลูกครึ่งสินะ… ไคลน์ประเมิน
อัลเจอร์จ้องใบหน้าของอีกฝ่าย พลางนำไปซ้อนทับกับ ‘เดอะเวิร์ล’ บนห้วงมิติเหนือสายหมอก จากนั้นก็ดันไพ่ทาโรต์พลางกล่าว
“คุณจำเป็นต้องสลับและตัดด้วยตัวเอง”
ไคลน์เหยียดแขนออกมาหยิบสำรับไพ่ขึ้นไปถือเล่น คลี่ออกในลักษณะพัดจนเรียงครบทุกใบ ก่อนจะหุบกลับตามเดิมและเริ่มสับไพ่
ชายหนุ่มตัดไพ่ โดยหยิบสามใบออกมาวางเรียงในลักษณะของอดีต ปัจจุบัน อนาคต
ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้ มือขวาพลิกไพ่ใบกลาง เผยให้เห็นภาพของหญิงสาวสาวกึ่งเปลือยกาย สวมเพียงผ้าพันคอสีม่วง รายล้อมด้วยพวงมาลาสีเขียวคล้ายซุ้มประตู
นี่คือไพ่ ‘เดอะเวิร์ล’ หมายเลขยี่สิบเอ็ด และเป็นลำดับยี่สิบสองของสำรับ โดยไพ่ใบติดกันคือหมายเลข 0 ‘เดอะฟูล’
“ความหมาย?” ไคลน์ซัก
แม้ว่า ‘แฮงแมน’ จะไม่เคยพูดออกมาอย่างมั่นใจว่าเดอะเวิร์ลคือ ‘ข้ารับใช้’ ของเดอะฟูล แต่ไคลน์มองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความลับต้องปิดบังต่อกัน การชิงเปิดเผยก่อนจะเป็นประโยชน์ต่อภาพลักษณ์มากกว่า
เพราะหากแฮงแมนยังไม่ทราบ นี่คือการแสดงความจริงใจชั้นเยี่ยม แต่ถ้าทราบอยู่ก่อนแล้ว นี่คือการแสดงความ ‘มั่นใจ’ ราวกับเดอะเวิร์ลไม่เกรงกลัวการถูกล่วงรู้ความลับ และทุกสิ่งอยู่ในการควบคุมของตน
เขามองออกว่าเรารู้ความจริงแล้ว…
ยังไม่ทันจะพูดคุยในหัวข้อของห้วงมิติเหนือสายหมอก ก็เดาได้ทันทีเลยหรือ?
ยอดเยี่ยมมาก…
อัลเจอร์ถอนหายใจพลางมอบคำตอบ
“ไพ่กลับหัว หมายถึง บางสิ่งจะประสบความล้มเหลวเนื่องจากเตรียมตัวไม่ดีพอ”
“แล้วต้องเตรียมตัวอย่างไร” ไคลน์พยักหน้ารับและตั้งคำถามกลับ
อัลเจอร์ดึงไพ่ทาโรต์ทั้งหมดกลับไปยกเว้น ‘เดอะเวิล์ด’ พลางสับไพ่กองใหญ่อย่างชำนาญ
จากนั้นก็เริ่มตัดไพ่และเปิดใบบนสุด
เป็นไพ่ ‘ไฮโรแฟนต์’
อัลเจอร์เอ่ยเสียงต่ำ
“คุณต้องได้รับการชี้แนะจากศาสนา เพื่อมิให้เดินไปบนเส้นทางผิดพลาด”
โดยไม่รอให้ไคลน์กล่าวสิ่งใด มันเปิดไพ่ใบถัดมาทันที เป็นไพ่ ‘เดอะมูน’ ซึ่งกำลังจ้องมองลงมายังพื้นดิน
“คุณจะสับสน อ่อนเพลีย และติดอยู่ในความฝัน แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น”
อัลเจอร์เปิดไพ่อีกหนึ่งใบ
คราวนี้เป็น ‘เดอะซัน’
“ทุกสิ่งจะผ่านไปอย่างราบรื่น โลกจะถูกฉาบด้วยแสงสว่างแสนอบอุ่น” มันกล่าวด้วยน้ำเสียงและท่าทางคล้ายนักต้มตุ๋น
ไคลน์เงียบงันสักพัก ตามด้วยคาดเดา
“ศาสนา ความฝัน สุริยัน?”
อัลเจอร์ยิ้มรับพร้อมกับพยักหน้า
“ถูกต้อง”
มันจงใจบอกใบ้แผนการผ่านไพ่ทาโรต์
ในความเป็นจริง อัลเจอร์ไม่จำเป็นต้องลำบากลงทุนทำแบบนี้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องบอกใบ้อย่างมีชั้นเชิงผ่านไพ่ การอธิบายแผนโดยตรงจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน
เพียงแต่ว่า มันต้องการทดสอบสติปัญญาเบื้องต้นของเดอะเวิร์ลเสียก่อน ว่าเป็นพวกหลักแหลมหรือเอาแต่พึ่งพาพละกำลัง
ถ้าสติปัญญาของอีกฝ่ายใกล้เคียงตน มันเชื่อว่าตนควรหาโอกาสร่วมมือกับอีกฝ่ายให้มากในอนาคต การคุยกันระหว่างคนฉลาดเป็นเรื่องง่ายเสมอ แค่มองตาก็เข้าใจ ไม่ต้องเสียเวลาเปลืองน้ำลาย แต่ถ้าผลออกมาตรงกันข้าม อัลเจอร์ก็จะเริ่มปลีกตัวออกห่างเดอะเวิร์ลในภารกิจถัดไป นอกเสียจากจะได้รับคำสั่งโดยตรงจากมิสเตอร์ฟูล
อย่างไรก็ตาม คำตอบและพฤติกรรมของเดอะเวิร์ลได้ยืนยันแล้วว่า อีกฝ่ายมีทั้งความหลักแหลมและประสบการณ์โชกโชน
…สหาย ฉันคือหมอดูอันดับหนึ่งของเมืองทิงเก็นเชียวนะ ส่วนนายเป็นแค่มือสมัครเล่น!
ไคลน์ยิ้มเยาะพลางยกตนข่มท่านภายในใจ
ความนัยแฝงของ ‘แฮงแมน’ ในไพ่ทาโรต์ทั้งสามนั้นไม่ซับซ้อน ไพ่ ‘ไฮโรแฟนต์’ หมายถึงศาสนจักร แปลว่าอีกฝ่ายจะนำเรื่องของ ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิส และ ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้ ไปรายงานให้เบื้องบนของวิหารคลื่นสมุทรทราบ จากนั้นจะส่งหน่วยทูตพิพากษาแบ่งโจรสลัดออกเป็นสองกลุ่มและจัดการเก็บกวาดให้สิ้นซาก
นี่คือวิธีปรกติของหน่วยพิเศษ ไม่ซับซ้อน และไม่เกินความเข้าใจของไคลน์
ส่วนไพ่เดอะมูนและเดอะซันสองใบหลัง สิ่งนี้เป็นคำเตือน
เนื่องจากทูตพิพากษาคือผู้ลงมือปฏิบัติการ และอัลเจอร์ก็รู้จักสมาชิกทีมดังกล่าวเป็นอย่างดี จึงทราบว่าจะต้องมีการเบิกสมบัติปิดผนึกในขอบเขตของพลัง ‘หลับใหล’ ออกมาใช้งาน
ส่วนไพ่ ‘เดอะซัน’ หมายถึง ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้ครอบครองสมบัติวิเศษในขอบเขตของพลังสุริยัน ให้ตนระวังตัวเอาไว้
ไม่มีอะไรต้องกังวล เราควบคุมความฝันของตัวเองได้อย่างอิสระ และมิได้แท้ทางพลังสุริยันเป็นพิเศษ… ไคลน์เหยียดแขนออกไป กลับหัวไพ่ทาโรต์ เพื่อสื่อถึง ตนสามารถเตรียมตัวให้เกิดความพร้อมก่อนเริ่มลงมือ
อัลเจอร์เงยหน้าขึ้นและสูดลมหายใจยาว
“เจ้าของร้านนี้เชี่ยวชาญการบำบัดจุดปวดเมื่อยด้วยกลิ่นหอม เธอนิยมใช้วัตถุดิบจำพวกน้ำมันสกัด น้ำค้างบริสุทธิ์ และผงสกัดดอกไม้ขณะทำการบำบัด ผลลัพธ์ช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้นอย่างมาก… อยากลองสักหน่อยไหม”
ไคลน์ปะติดปะต่อข้อมูลจนเริ่มเข้าใจว่า แฮงแมนใช้จุดนัดพบเป็นถนนไม้หอม
“ตกลง”
ถัดมา คนทั้งสองมองหน้ากันอีกเล็กน้อยโดยไม่มีใครกล่าวสิ่งใด และไม่มีใครเอ่ยถึงเจ้าของร้านออกมาอีก
ไคลน์ไม่ต้องการอยู่นาน จึงหยิบนาฬิกาพกออกมาสำรวจเวลาและลุกยืน
อัลเจอร์ลุกพลางยิ้มให้ ก่อนจะนำฝ่ามือทาบหน้าอกและโค้งคำนับเล็กน้อย
“สรรเสริญพระองค์ท่าน! แผนในคราวนี้ล้วนเกิดจากวิวรณ์และการชี้นำของพระองค์”
หืม… อยู่เป็นนี่นา…
ไคลน์ฉีกยิ้มกว้าง พร้อมกับเลียนแบบท่าทางของ ‘แฮงแมน’ อัลเจอร์
“สรรเสริญพระองค์ท่าน!”
ชายหนุ่มเดินไปทางประตูเตรียมออกจากร้าน แต่กลับชะงักฝีเท้าเล็กน้อยเพื่อหยุดสวมหมวก และหันกลับมาจ้องอัลเจอร์
“ขอพูดตามตรง คุณไม่เหมาะกับเครื่องแต่งกายเช่นนี้เลยสักนิด”
หือ…?
อัลเจอร์ตามความคิดของเดอะเวิร์ลไม่ทันเป็นครั้งแรก
เมื่อเห็นเดอะเวิร์ลเดินออกจากร้าน มันรีบเบือนหน้าไปมองกระจกตรงมุมห้อง และเพ่งพิจารณารูปลักษณ์ปัจจุบันของตนอย่างถี่ถ้วน
ในตอนแรก มันไม่คิดว่ามีสิ่งใดผิดปรกติเกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย แต่หลังจากได้ยินคำทักของเดอะเวิร์ล อัลเจอร์เริ่มพบความขัดแย้งบางอย่าง จนเข้าใจความนัยแฝงในคำเตือน
ชายรูปร่างสันทัด หุ่นบึกบึน ใบหน้าหยาบกร้านเพราะถูกลมฝนกัดกร่อน เส้นผมสีน้ำเงินเข้มไม่เป็นทรง แถมยังแผ่กลิ่นอายราวกับสามารถเรียกลูกเรือนับร้อยคนมากระทืบเหยื่อได้ในพริบตา ด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ การสวมชุดคลุมของหมอดูจึงไม่ได้เข้ากันเลยสักนิด
…
มหาวิหารคลื่นสมุทร
อัลเจอร์ ผู้เปลี่ยนกลับเป็นไปเสื้อผ้าชุดเก่า กำลังเดินตามสาวกเข้าไปในโถงสวดมนต์โดยไม่ทำตัวโดดเด่น
จนกระทั่งใกล้ถึงช่วงสารภาพบาป มันฉวยโอกาสเดินเข้าไปสนทนากับบิชอปโชโกรี
เมื่อโค้งคำนับเสร็จ มันกล่าวเข้าประเด็น
“ผมไปพบกับ ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิสมาแล้ว แต่ชายคนนั้นเล่าว่า กุญแจในมือพลเรือโทธารน้ำแข็งมิได้เกี่ยวข้องอะไรกับกุญแจมรณาหรือสมบัติของเทพมรณา แถมยังเสนอราคาขายกลับมาด้วยหากเราต้องการ นอกจากนั้น มันยังฝากให้ผมสอดส่องและสืบข่าวของ ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้ เมื่อลองประเมินอย่างคร่าว ผมพอจะเดาได้ว่า เดนิสเคยถูกทำร้ายโดยผู้ช่วยรองกัปตันแห่งพลเรือเอกโลหิต จึงต้องการแก้แค้น ท่านเจ้าคุณครับ ผมต้องการปล่อยให้ข่าวดังกล่าวรั่วไหลไปถึงหูของ ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้และลูกสมุนของมัน จากนั้น พวกเราจะดักซุ่มและบุกจู่โจมฉับพลัน ฉวยโอกาสนี้กำราบหรือไม่ก็ฆ่าพวกมันทิ้งเสีย หากทำสำเร็จ ความโอหังของโจรสลัดในบายัมคงลงลดลงจากเดิมมาก”
โชโกรีเผยสีหน้าพึงพอใจ
“ทำได้ดี คุณวางแผนไว้เหนือชั้นกว่าจินตนาการของผมเสียอีก”
อัลเจอร์ตอบด้วยสีหน้าศรัทธา
“ทั้งหมดเกิดขึ้นได้ด้วยวิวรณ์ของพระองค์ และผมก็เคยได้รับการชี้แนะจากท่านบิชอปเป็นการส่วนตัวบ่อยครั้ง”
“ในช่วงเย็น ผมจะออกไปหาเหยื่ออันเหมาะสมเพื่อปล่อยข่าวลือ หากผมกลับมาสวดมนต์ในวิหารหลังจากนั้น หมายความว่า ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้ยังไม่ลงมือวันนี้ แต่ถ้าผมไม่กลับวิหาร ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า พวกมันได้ยินข่าวลือและพยายามส่งลูกน้องมาปิดปากผม ซึ่งนั่นหมายถึง ฝูงปลากำลังว่ายเข้าหาอวนด้วยตัวเอง”
หลังจากระบุตำแหน่งสำคัญอื่นๆ จนครบ อัลเจอร์กลับออกจากห้องสารภาพบาป และเดินออกจากวิหารคลื่นสมุทรอย่างไร้พิรุธ
…
หนึ่งทุ่มสิบห้า ผับใบไม้หอม
ในภาพสวมกางเกงขาบานของท้องถิ่นและเส้นผมสีน้ำเงินเข้มแซมออกจากผ้าคลุมศีรษะ อัลเจอร์กำลังยืนข้างเวทีมวยพลางถือ ‘แลงติร้อนแรง’ ภายในมือ สายตาจ้องมองนักมวยสะบักสะบอมทั้งสองฝั่งอย่างเหยียดหยัน
ไม่กี่อึดใจถัดมา มันเห็นเป้าหมายของตนกำลังเดินไปทางเคาน์เตอร์
หลังจากยืนรอจังหวะสักพัก อัลเจอร์เดินไปนั่งลงด้านข้างชายผิวเข้มร่างกายผอมซูบ ตามด้วยการแสร้งหัวเราะแห้ง
“ฮะฮะ! ฉันได้ยินว่า ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้ กำลังอยู่ในบายัม… นายว่าข่าวนี้จริงไหม?”
อีกฝ่ายเบือนหน้าพลางตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ฉันไม่เห็นจะรู้เรื่อง…”
“หือ… นายกำลังจะบอกว่า ‘เพลิงพิโรธ’ เดนิสมันกล้าโกหกฉันอย่างนั้นหรือ? บัดซบ!”
อัลเจอร์ยกแก้วเหล้าขึ้นมาจิบ
“เพลิงพิโรธ… เดนิส?” อีกฝ่ายเริ่มทวนคำด้วยสีหน้าลังเล
“ถูกต้อง เป็นมันไม่ผิดแน่!”
อัลเจอร์แสร้งทำเป็นขบกรามเจ็บแค้น
“กรอด… เมื่อเช้า ฉันบังเอิญพบมันในบ่อนพนันเหรียญทอง โดยมันอ้างว่า ‘เหล็กกล้า’ แม็ควิตี้กำลังอยู่ในบายัม… กล้าโกหกฉันคนนี้เชียว!”
ทันใดนั้น ชายผิวสีเข้มรูปร่างผอมซูบ เริ่มกวาดตามองไปรอบห้องอย่างตื่นตระหนกโดยไม่มีการหยุดพักกลางคัน
จนกระทั่ง มันตัดสินใจยืนขึ้นและยิ้ม
“ต้องขอโทษด้วย แต่ฉันมีธุระสำคัญของรีบไปสะสาง ไว้ค่อยเล่นไพ่ด้วยกันวันหลัง”
มันตบบ่าอัลเจอร์แผ่วเบา ก่อนจะรีบเดินออกจากผับราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในสภาพมือข้างหนึ่งถือแก้วเหล้า สายตาอัลเจอร์เหลือบมองตามแผ่นหลังอีกฝ่าย
บนใบหน้าปราศจากรอยยิ้มโดยสิ้นเชิง
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น