Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 519-522
ราชันเร้นลับ 519 : แจกแจง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ของเหลวสีทองทั้งเย็นและสดชื่น ช่วยให้ออเดรย์รู้สึกราวกับตนกำลังรับประทานไอศกรีมถ้วยใหญ่ หญิงสาวบรรจงจิบ ‘แชมเปญเย็น’ ซึ่งมีฟองอากาศผุดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเกิดเสียงลงไปในลำคอ
ทันใดนั้น โสตประสาทของเธอเริ่มแผ่ขยายเป็นวงกว้าง ออเดรย์ได้ยินเสียงสาวใช้สองคน ตรงสุดทางเดิน กำลังตัดพ้อเกี่ยวกับการไม่ถูกพาตัวไปยังคฤหาสน์หรูในแคว้นเชสเตอร์ตะวันออกพร้อมกับครอบครัวฮอลล์
ออเดรย์สัมผัสได้ว่า จิตของเธอเริ่มสลายตัวกลายเป็นหมอกควันมายาทีละนิด ค่อยๆ พองตัวปกคลุมคฤหาสน์ทั้งหลัง โอบกอดทะเลจิตใต้สำนึกของทุกคนในบ้านอย่างรวดรวด
ไม่กี่อึดใจถัดมา วิสัยทัศน์ของหญิงสาวเริ่มแปรเปลี่ยน ภาพการมองเห็นตรงหน้ากลายเป็นพร่ามัว ก่อนจะก่อตัวเป็นกระจกเงาสะท้อนรูปโฉมในปัจจุบันอย่างแจ่มชัด
ภายใต้ความงามอันสามารถบรรยายด้วยคำว่า บริสุทธิ์ผุดผ่อง ประณีต ทรงเสน่ห์ และเลอค่า ผิวหนังนอกร่มผ้าเริ่มถูกเกล็ดสีทองปกคลุมอย่างเชื่องช้า ม่านตาสีเขียวรวมเป็นหนึ่งเดียวกับตาขาวและฉาบด้วยสีทอง
รูม่านตากลายสภาพเป็นทรงรีแนวตั้ง
ได้เห็นฉากดังกล่าว ความกลัวจากก้นบึ้งพลันแผ่กัดกินจิตใจออเดรย์หนักหน่วง เธอไม่อยากกลายเป็นสัตว์ประหลาดไร้สามัญสำนึก!
หัวสมองกำลังขาวโพลน สตินึกคิดเริ่มไม่คมชัด ความเจ็บปวดเหนือคำบรรยายกำลังท่วมท้นห้วงความรู้สึก
ทันใดนั้น หญิงสาวได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาจากโกลเดนรีทรีเวอร์ ซูซี่
“ไม่ต้องกลัว ใจเย็นไว้ ไม่ต้องกลัว”
สติออเดรย์ถูกดึงกลับมายังโลกความจริงอย่างรวดเร็ว เธอพยายามเพ่งสมาธิเพื่อเข้าสู่ภาวะผู้ชม
เพียงไม่นาน กระแสอารมณ์อันปั่นป่วนเริ่มสงบลง ดวงวิญญาณหลุดลอยลอยออกจากร่างกายทีละนิด จนกระทั่ง ออเดรย์มองเห็นตัวเองด้วยมุมมองบุคคลภายนอก
เกล็ดสีทองบนผิวหนังเริ่มจางหาย ม่านตากลับมามีสีเขียวมรกตสดใสอีกครั้ง
เพียงไม่นาน หญิงสาวสามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้อย่างอิสระ พร้อมกับตระหนักว่า ‘นักจิตบำบัด’ มีพลังพิเศษประเภทใดบ้าง
เกือบไปแล้วเชียว… อีกแค่นิดเดียว…
ออเดรย์ยกแขนขึ้นอย่างหวาดกลัว เธอไม่กลัวว่าจะเห็นเกล็ดมังกรสีทองอีกครั้ง แต่โชคยังดี ในคราวนี้ไม่มีความผิดปรกติบนร่างกาย
จากเหตุการณ์เมื่อครู่ เธอเริ่มเข้าใจคำเตือนเป็นครั้งคราวของมิสเตอร์ฟูลเกี่ยวกับความอันตรายของภาวะคลุ้มคลั่ง หรือแม้แต่มิสเตอร์แฮงแมนก็ยังคอยเปรยอยู่เสมอว่า เส้นทางผู้วิเศษมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
ถึงแม้จะใช้เทคนิคสวมบทบาทได้อย่างไร้ข้อบกพร่อง แต่ก็ไม่มีใครหนีพ้นจากภาวะคลุ้มคลั่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ย้อนกลับไปในอดีต มิสเตอร์เวิร์ลเคยกล่าวประโยคหนึ่งได้ว่า ‘ผู้วิเศษคือผู้พิทักษ์ ขณะเดียวกันก็เป็นกลุ่มคนน่าสมเพช ต้องคอยต่อกรกับความดำมืดและบ้าคลั่งของโลกตามลำพัง’ …
เราเคยคิดว่าตัวเข้าใจความหมายนั้นเป็นอย่างดี แต่วันนี้เพิ่งตระหนักถึง ‘ความรู้สึก’ ดังกล่าวอย่างแจ่มชัด…
ออเดรย์… ห้ามถอดใจเด็ดขาด! ห้ามหวาดกลัวกับเรื่องเล็กน้อย! พ่อแม่และพี่ชายกำลังรอการปกป้องจากเรา! ด้วยประสบการณ์ในวันนี้ เราจะไม่เกิดความหวาดกลัวอะไรง่ายๆ อีกแล้ว! เข้ามาได้เลย!
หญิงสาวสั่นกำปั้นแผ่วเบาพลางให้กำลังใจตัวเองอย่างมุ่งมั่น
ออเดรย์ยืนสงบสติสักพัก ก่อนจะเดินไปหาซูซี่และนั่งยองลง ใช้แขนโอบกอดโกลเดนรีทรีเวอร์ขนทองตัวใหญ่ พลางลูบไล้เส้นขนอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม
หญิงสาวกล่าวโดยใช้ใบหน้าแนบข้างศีรษะสุนัขตัวโต
“ขอบคุณนะ…”
ซูซี่ใช้แก้มถูกลับสองหน ตามด้วยการซักถามอย่างจริงจัง
“ออเดรย์ นี่คือความรู้สึกของการเป็นนักจิตบำบัดใช่ไหม… ฉันชอบมัน”
“…” ออเดรย์หลั่งน้ำตาปริ่ม ก่อนจะหัวเราะและกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“ซูซี่… พวกเราจะคอยดูแลจิตใจของกันและกันตลอดไป!”
“ตกลง. โฮ่ง!” ซูซี่ขานรับยิ้มแย้ม
ผ่านไปสักพัก จนกระทั่งอารมณ์ปีติยินดีของหญิงสาวสงบลง ออเดรย์ตั้งสติตรวจสอบประสิทธิภาพของพลังใหม่อย่างละเอียด
ร่างกายของเรากระฉับกระเฉงขึ้น แม้ว่ามวลกล้ามเนื้อจะเท่าเดิม แต่ความแกร่งและความว่องไวก็เพิ่มขึ้นจนสัมผัสได้… สายตาของเราดีขึ้น มองเห็นแม้กระทั่งวัตถุในความมืด…
ความสามารถในการรับรู้กลิ่นเพิ่มขึ้นมาก สามารถแยกแยะกลิ่นได้ซับซ้อนกว่าเดิม ช่วยให้เข้าใจอารมณ์แท้จริงและความคิดจากจิตใต้สำนึกของเป้าหมาย… เรามีพลังความสามารถสมกับเป็นผู้วิเศษเหมือนคนอื่นสักที…
พลังแรก ‘ความเกรงขาม’ ใช้ได้ทั้งเป้าหมายเดี่ยวและหมู่คณะ เป็นการสร้างความโกลาหลคล้ายกับขณะมังกรปรากฏตัวจนมนุษย์แตกตื่น ถัดมา ‘ก่อโรคประสาท’ สามารถระเบิดอารมณ์ของเป้าหมายให้ปะทุอย่างรุนแรง เป้าหมายจะอยู่ในภาวะโรคประสาท ต้องทุกข์ทรมานกับอาการทางจิต ในบางกรณีอาจถึงขั้นคลุ้มคลั่ง…
ถัดมา ‘พลังชี้นำทางจิต’ คอยชักนำเป้าหมายผ่านพฤติกรรมเฉพาะเจาะจง ไม่ว่าจะเป็นภาษากายหรือคำพูด ทำให้อีกฝ่ายยอมทำตามคำสั่งโดยไม่รู้ตัว หรือชื่ออย่างแรงกล้าว่า นั่นคือความคิดจากจิตใต้สำนึกของตัวเอง ถัดมา ‘พลังปลอบโยน’ เรียกในเชิงวิชาการว่า ‘บำบัดจิต’ ช่วยให้ผู้วิเศษใกล้คลุ้มคลั่งสงบสติลงและกลับสู่ห้วงอารมณ์ปรกติ มีโอกาสล้มเหลว แต่ยิ่งลำดับเพิ่มขึ้น โอกาสสำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นตาม และยังสามารถใช้รักษาผู้ป่วยทางจิตเวชทั่วไป ให้กลับไปเข้าสังคมได้ตามเดิม…
ถัดมา ‘พลังอ่านใจ’ ต้องอาศัยสื่อกลางอย่างเทียนไขหรือน้ำมันสกัดช่วย มีฤทธิ์ทำให้เป้าหมายตกอยู่ในสภาวะกึ่งถูกสะกดจิต โดยระหว่างนั้น เราสามารถสื่อสารกับจิตใจส่วนลึกของอีกฝ่ายได้โดยตรง… ฟังดูคล้ายกับพลังของฮิลเบิร์ต·อลูคาร์ดเมื่อวันก่อน ตามปรกติแล้ว เป้าหมายจะไม่สามารถเล่าเรื่องเท็จได้ แต่เรามีพรจากเทวทูตของมิสเตอร์ฟูลคอยคุ้มครอง…
ดังนั้นในอนาคต การจะใช้พลังนี้กับใคร ห้ามปักใจเชื่อเต็มร้อยอย่างเด็ดขาด ยังมีวิธีอีกมากในการเล็ดลอดจากการสอบสวน… ด้วย ‘พลังปลอบโยน’ และ ‘อ่านใจ’ ผนวกกับความรู้ด้านจิตวิทยาอีกเล็กน้อย เราสามารถประกอบอาชีพนักจิตวิทยาและเปิดคลินิกรักษาคนไข้ได้!
ออเดรย์อมยิ้มอย่างอารมณ์ดี เธอเริ่มสัมผัสได้ว่า พลังพิเศษของตนเหมาะสมกับการถูกเรียกว่า ‘ผู้วิเศษ’ เสียที
เรากลายเป็นผู้วิเศษลำดับกลางแล้ว! เป็นการพัฒนาพลังอย่างก้าวกระโดด!
หญิงสาวลุกขึ้นยืน เดินยกชายกระโปรงไปรอบห้องพลางเต้นรำอย่างร่าเริง
ขณะเดียวกัน ออเดรย์พบว่านักจิตบำบัดยังขาดพลังในการโจมตีซึ่งหน้า
แต่เรามีเจ้านี่… หญิงสาวหยุดยืนหน้าโต๊ะทดลองและเปิดกล่องสีน้ำตาลเรียบง่าย
หน้ากากสีเงินนอนสงบนิ่งภายในกล่อง ขนาดของมันไม่ใหญ่มาก ปกปิดได้เพียงครึ่งใบหน้าส่วนบน สิ่งนี้คือสมบัติวิเศษซึ่งเธอซื้อมาจากแฮงแมน
ออเดรย์หยิบมาวางบนมือพลางสังเกต
จากนั้น หญิงสาวลองถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปและจินตนาการรูปร่าง เหมือนกับการเขียนไดอารีบนห้วงมิติเหนือสายหมอก
หน้ากากสีเงินเริ่มยืดหดสลับกับกลิ้งไปมาบนฝ่ามือ ก่อนจะเปลี่ยนรูปทรงเป็นต่างหูสลักลวดลายประณีต ขนาดค่อนข้างใหญ่
“…เป็นสร้อยคอดีกว่า” ออเดรย์พึมพำ
ถัดมา เธอทดสอบพลังของสมบัติวิเศษชิ้นใหม่ทุกซอกมุม และไม่ผิดคาด ความพึงพอใจอันดับหนึ่งตกอยู่กับพลังในการแปลงโฉม
“น่าเสียดาย นอกจากพลังควบคุมไฟ สิ่งมีไม่มีความสามารถด้านโจมตีโดยตรง บางที เราคงต้องพกลูกโม่ดัดแปลงติดตัวสักกระบอก พร้อมด้วยกระสุนพิเศษอีกหลายชนิด…”
ออเดรย์ครุ่นคิดอย่างนึกเสียดาย
ถัดมา หญิงสาวสะกดอารมณ์และก้มหน้าพูดกับสมบัติวิเศษในมือ
“นับแต่นี้ไป เจ้าจะมีชื่อว่า ‘คำลวง’ เป็นคำลวงอันงดงาม~”
…
ณ ‘เมืองแห่งการให้’ บายัม เขตท่าเรือ
อาคารหมายเลข 48 ถนนมะนาวเปรี้ยว
โรมแรม ‘วายุคราม’
แม้ภายนอกจะมีสายลมกระโชกและฝนฟ้าคะนองโปรยปราย แต่เตาผิงภายในห้องพักสุดหรูกำลังแผ่ความอบอุ่นจนทุกคนมีความสุข
ไคลน์นั่งบนเก้าอี้ จ้องมองเดนิสกำลังจัดการบาดแผลบนแขนซ้ายอย่างเงียบงัน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายนำเศษเสื้อผ้าเก่าออกมาฉีกเป็นชิ้นเล็กและรัดกับท่อนแขนเสร็จ ชายหนุ่มซักถามเสียงเรียบ
“ ‘สมบัตินั่น’ หมายถึงอะไร”
อ้างอิงจากคำสั่งเสียของเดนิส พลเรือเอกโลหิต·เซนอล คิดวางหมากตลบหลังพลเรือโทธารน้ำแข็ง·เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ดโดยมีสาเหตุมาจากสมบัติชิ้นหนึ่ง
ท่ามกลางเสียงลมพายุด้านนอกดังคลอเป็นพื้นหลัง เดนิสจิบ ‘แลงติร้อนแรง’ บนโต๊ะไม้มะฮอกกานี พลางหัวเราะแห้งด้วยอารมณ์โกรธเคืองปนเคียดแค้น
“สมองพวกมันคงถูกซอมบี้กินไปหมดแล้ว! ในการสำรวจครั้งล่าสุด พวกเราพบซากเรืออับปางลำหนึ่ง แม้สมบัติอื่นภายในเรือจะไม่ได้ยอดเยี่ยมนัก แต่พวกเราพบกุญแจเหล็กสีดำสนิท ขนาดค่อนข้างใหญ่ มองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่ของมนุษย์ อยู่ในสภาพปราศจากสนิมโดยสิ้นเชิง! นายจินตนาการออกไหม? กุญแจแช่อยู่ในน้ำทะเลเป็นเวลานานโดยไม่ขึ้นสนิม!”
“อือ” ไคลน์ตอบห้วน
น่าตกใจตรงไหน? นี่คือโลกแห่งผู้วิเศษ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น…
จะบอกอะไรให้ บุคคลตรงหน้านายเคยคืนชีพจากหลุมศพมาแล้วหนึ่งครั้ง ดังนั้นไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องกุญแจไม่ขึ้นสนิม!
เดนิสชะงักงันครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียบเรียงคำพูดนานเจ็ดแปดวินาทีจึงค่อยเล่าต่อ
“คงมีคนทรยศภายในกลุ่มพวกเรา เพราะข่าวลือเรื่องกุญแจดอกดังกล่าวถูกแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โจรสลัดจำนวนมากเชื่อว่านี่คือกุญแจเทพมรณาในตำนาน ใช้สำหรับเปิดขุมทรัพย์สุดท้ายของเทพมรณา ในตอนแรก ฉันคิดว่านี่คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก จึงลาพักร้อนเพื่อผ่อนคล้ายตัวเองในช่วงปีใหม่ แต่เหตุการณ์กลับทวีความซับซ้อนขึ้นทุกขณะ แม้กระทั่งพลเรือเอกโลหิตก็ยังทำตัวเหมือนโจรสลัดเสียสติเหล่านั้น! จนฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า บางที นี่อาจเป็นกุญแจมรณาตามตำนานก็เป็นได้ สุดยอดสมบัติล้ำค่าซึ่งสามารถเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นทวยเทพ”
“งี่เง่า” ไคลน์พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา
ไม่ว่าจะเป็นด้านศาสตร์ทำนายหรือความลับของทวยเทพ ไคลน์กล้าพูดได้เต็มปากว่า ตนมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก ฉันนั้น มันจึงกล้าตีความนิยามของ ‘กุญแจมรณา’ ในแบบฉบับตัวเอง
ไคลน์เชื่อว่า ‘กุญแจ’ คือนามธรรม ไม่ใช่สมบัติจับต้องได้ เป็นสัญลักษณ์เรียกแทนวัตถุหรือบุคคล ซึ่งเป็นเงื่อนไขในการเปิดแหล่งขุมทรัพย์สุดท้ายของเทพมรณา อาจต้องมีสายเลือดของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง หรือไม่ก็ลูกหลานคนใดคนหนึ่งของเทพมรณาโดยตรง
เดนิสเงียบงันสักพัก ตามด้วยคำอุทาน
“กัปตันก็พูดแบบนี้ แถมยังมีสีหน้าเหมือนกับนาย… เธอเชื่อว่า กุญแจดอกดังกล่าวต้องเป็นสมบัติบรรพกาลในอดีตกาล และไม่ใช่ข้าวของเครื่องใช้สำหรับมนุษย์ ก่อนเกิดยุคสมัยมหาภัยพิบัติ โลกเราเต็มไปด้วยคนยักษ์ มังกร เอลฟ์ หมาป่าอสูร และสัตว์วิเศษอื่นๆ อีกหลายชนิด กุญแจดอกดังกล่าวบ่งชี้ไปถึงสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น”
หมาป่าอสูร…
ไคลน์หวนนึกถึงถ้อยคำ ‘เฟรเกีย’ เสียงเพรียกกรีดแทงสมองสมัยเลื่อนลำดับจากนักทำนายและตัวตลก โดยในภายหลัง มันทราบว่าเฟรเกียคือชื่อของราชาหมาป่าอสูร หนึ่งในแปดเทพบรรพกาล
สมบัติจากยุคสมัยที่สอง?
ชายหนุ่มยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัว พลางกล่าวต่อไปอย่างสุขุม
ชายหนุ่มยังจำได้ว่า พลเรือเอกโลหิตและสมุนโจรสลัดของมัน คือกลุ่มโจรชั่วช้าอันดับหนึ่งในท้องทะเล พฤติกรรมในอดีตเต็มไปด้วยการนองเลือดและผิดศีลธรรม
“แจกแจงทุกวีรกรรมในอดีตของพลเรือเอกโลหิต รวมถึงของแม็ควิตี้·เหล็กกล้ากับลูกน้องมาให้หมด ฉันจะไปจำทั้งหมดได้ยังไง! ถ้าเป็นสาวสวยแบบกัปตันก็ว่าไปอย่าง!”
เดนิสกล่าวพลางผายมือออก
“ต…แต่ฉันยังพอจะจำวีรกรรมสำคัญหรือเหตุการณ์น่าประทับใจได้ เอ่อ… แล้วนายถามไปทำไม?”
ไคลน์บรรจงเผยรอยยิ้มเย็นๆ มุมปาก
มันพึมพำและกล่าวอย่างเสียงเรียบ
“ถ้ามีโอกาส ฉันจะล่าพวกมัน”
……………………
ราชันเร้นลับ 520 : พลเรือเอกโลหิต
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ล่าพวกมัน?” เดนิสถามตามความเคยชิน
แต่เมื่อเริ่มเข้าใจความหมายของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ สรั่งเรือลำดับสี่ออกอาการตื่นเต้นโดยไม่ปิดบัง มันเปลี่ยนท่านั่งและพยายามหรี่เสียงให้แผ่วลง
“ให้ฉันช่วยอะไรไหม”
ในฐานะโจรสลัดนอกเวลาผู้มีประสบการณ์โชกโชน อุดมคติของมันมิได้ประกอบด้วยถ้อยคำสวยหรูจำพวก อดทนอดกลั้น ไม่จองเวรซึ่งกันและกัน หรือความรักในเพื่อนมนุษย์
เดนิสเพิ่มผ่านประสบการณ์เฉียดจากฝีมือแม็ควิตี้·เหล็กกล้า ฉันนั้น หากพบโอกาสแก้แค้นเมื่อไร มันก็ต้องรีบคว้าเอาไว้ให้แน่น!
เดนิสเชื่อว่า ตนสามารถอยู่รอดในอุตสาหกรรมโจรสลัดได้ด้วยทักษะด้านการประเมินสถานการณ์ รู้ว่าเมื่อใดควรแข็งข้อ เมื่อใดต้องต่อสู้แลกชีวิต เมื่อใดต้องแกล้งโง่ทำเป็นมองไม่เห็นศัตรู และเมื่อใดต้องคิดบัญชีแค้นให้สาสม
และนี่คือโอกาส!
จริงอยู่ เดนิสอาจยังกะเกณฑ์ประสิทธิภาพของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่ได้แม่นยำ แต่อ้างอิงจากการเอาชนะบิชอปมิลเลอร์ภายในเวลาเพียงสิบวินาที การกำราบแม็ควิตี้·เหล็กกล้าก็คงไม่ยากเย็นเกินไป หรือต่อให้ดวลกับพลเรือเอกโลหิต·เซนอล โอกาสชนะก็ไม่ใช่ศูนย์
อย่างไรก็ตาม ผลประเมินข้างต้นหมายถึงการดวลแบบตัวต่อตัว แต่โจรสลัดไม่มีเกียรติยศเหมือนอัศวินสักหน่อย…
เดนิสครุ่นคิด
ไคลน์โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ศอกทั้งสองข้างวางลงบนเข่า ฝ่ามือประสานกันด้านหน้าและกล่าว
“ฉันพูดไปแล้ว”
พูดไปแล้ว? พูดอะไร?
เดนิสเริ่มตระหนักว่า ความคิดของต้นช้ากว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์อยู่ก้าวหนึ่งเสมอ
สำหรับเรื่องนี้ มันสามารถปลอบใจตัวเองได้ด้วยวลี ‘คนสติดีย่อมไม่เข้าใจคนบ้า’
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่นั่งเงียบ เดนิสเค้นสมองนึกอย่างลนลาน จนกระทั่งฉุกคิดบางสิ่ง
ตนต้องเขียนแจกแจงวีรกรรมของพลเรือเอกโลหิตและลูกน้องให้ชายเสียสติอ่าน!
นั่นสินะ… เกอร์มัน·สแปร์โรว์คงอยากทราบว่าพวกมันเคยปล้นอะไรไปบ้าง และมีทรัพย์สินมากเพียงใด…
เดนิสคาดเดาตามความรู้สึก ก่อนจะค้นหาปากกากับกระดาษในห้อง และเริ่มขีดเขียนข้อความจำนวนหนึ่งลงไป
ระหว่างเขียน มันรู้สึกดีใจเมื่อแขนข้างขวาของตนยังคงใช้การได้ปรกติ
หลังจากเดนิสเขียนเสร็จ ไคลน์เอื้อมมือหยิบอย่างระมัดระวัง
จากการก้มอ่านผ่านๆ หนึ่งรอบ ชายหนุ่มสามารถยืนยันได้ กลุ่มโจรสลัดของพลเรือเอกโลหิตนับว่าชั่วช้าเป็นอันดับหนึ่งในท้องทะเล พวกมันลักพาตัว ฆ่าลูกเรือ และทำร้ายผู้หญิง
ว่าแต่ โจรสลัดเขียนภาษาฟุซัคโบราณเป็นได้ยังไง? ไม่เลว หมอนี่มีการศึกษา…
ไคลน์พึมพำสองสามคำ หยิบเหรียญทองแดงออกมาดีดขึ้นไปในอากาศ และยืนยันว่าข้อความบนกระดาษเป็นเรื่องจริงทั้งหมด
จากนั้น ชายหนุ่มออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงราวกับกำลังบงการชีวิตใครบางคน
“เล่าเรื่องของพลเรือเอกโลหิตและสมุนของมันมาอย่างละเอียด”
ยังต้องการข้อมูลเพิ่มสินะ… คิดจะออกล่าทันทีเลยหรือ?
เดนิสเริ่มตื่นเต้น แต่ขณะเดียวกันก็ตำหนิตัวเอง เป็นเพราะตนเขียนอธิบายไว้ไม่ละเอียดพอ อีกฝ่ายจึงต้องซักไซ้เพิ่มเติม
“พลเรือเอกโลหิต·เซนอล ถูกสงสัยว่าจะเป็นวิญญาณมาร เนื่องจากศัตรูของมันล้วนตายด้วยวิธีการแปลกประหลาด เช่น บีบคอตัวเองจนขาดอากาศหายใจตาย ยิงตัวตาย กอดถังระเบิดแน่น หรือลงมือฆ่าพวกพ้อง กัปตันของเรากล่าวว่า นั่นคือพฤติกรรมขณะถูกวิญญาณมารสิงสู่”
ทำไมถึงฟังดูคล้ายชารอนนัก…
หรือจะเป็นโอสถวิญญาณอาฆาต?
ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม เพียงนั่งฟังคำอธิบายของเดนิสอย่างเงียบงัน
“เซนอลสามารถแผดเสียงเพรียกอันทรงพลัง การปะทะกันครั้งสุดท้ายระหว่างเราและพวกมัน ฉันเกือบหมดสติตกจากดาดฟ้าเรือลงไปในทะเล แต่ว่านะ ฮะฮะ! ฉันเอาคืนด้วยการเผาเรือของมันไปหนึ่งลำ เซนอลใช้เวทมนตร์ประเภทวิญญาณได้หลายชนิด มันโหดร้ายป่าเถื่อน กระหายเลือด และมีความต้องการทางเพศสูง เป้าหมายเป็นได้ทั้งชายและหญิง หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ก็ไม่เกี่ยง”
สอดคล้องกับลักษณะพิเศษของโรงเรียนกุหลาบมาก ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นเอกลักษณ์ของเส้นทาง ‘นักโทษ’ … ไม่ผิดแน่ เซนอลคือ ‘วิญญาณอาฆาต’ ลำดับเดียวกับชารอน…
ไคลน์พยักหน้ารับขณะใช้ความคิด
เดนิสเริ่มกระตือรือร้น มันพูดเร็วขึ้นจากเดิมเล็กน้อย
“กัปตันของพวกเรายังบอกด้วยว่า เซนอลพกสมบัติวิเศษหายากติดตัว มีพลังเสริมดวงให้กับผู้ใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงเวลาสำคัญ ศัตรูของเซนอลมักพลาดเสียจังหวะไปเองเสมอ หรือไม่ก็ใช้พลังล้มเหลว และเคยมีครั้งหนึ่ง มันชนะพนันยี่สิบเอ็ดครั้งรวด”
สมบัติวิเศษช่วยให้โชคดี? เป็นประเภทหายากเสียด้วย… จากเส้นทางสัตว์ประหลาด? หรือจะเกี่ยวข้องกับวิญญาณมารจริง?
ไคลน์ลองคาดเดาด้วยความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับของตน
“ฉันไม่เคยสู้กับเซนอลซึ่งหน้า จึงไม่มีรายละเอียดมากกว่านั้น” เดนิสอยากผายมือออก แต่ความเจ็บปวดบริเวณแขนซ้ายทำให้มันเปลี่ยนใจ “เซนอลมีเรือราวเจ็ดแปดลำ เรือธงมีชื่อว่า ‘ต้นไม้เลือดเนื้อ’ ฮะฮะ! แตกต่างจากพวกเราโดยสิ้นเชิง ส่วนใหญ่สนใจเพียงการไล่ล่าสมบัติ จึงไม่เคยยึดเรือของเหยื่อมาใช้งาน ทำให้มีแค่ ‘ฝันทองคำ’ ลำเดียวเท่านั้น”
ไม่แปลกใจว่าทำไมพลเรือเอกโลหิตถึงมีค่าหัวสูงถึงสี่หมื่นสองพันปอนด์ มากกว่าพลเรือโทธารน้ำแข็งเล็กน้อย…. และในแง่พลังการต่อสู้ เซนอลก็คงเหนือกว่าด้วยเช่นกัน…
ไคลน์ใช้สมอง
ชายหนุ่มยังคงอยู่ในท่าเดิม สงบนิ่งเช่นเคย คล้ายกับไม่ถูกข้อมูลของพลเรือเอกโลหิตทำให้จิตใจสั่นคลอนแม้แต่น้อย
“ลูกน้องล่ะ”
เป็นเพราะเดนิสคิดเตรียมไว้ล่วงหน้า จึงสามารถมอบคำตอบได้ทันที
“นอกเหนือจากเซนอลยังมีขุนพลทรงพลังอีกสิบคน เริ่มจากรองกัปตันเรือธง ผู้ช่วยกัปตันเรือธง ผู้ช่วยรองกัปตันเรือธง และกัปตันเรือรองอีกเจ็ดลำ… แม็ควิตี้·เหล็กกล้าคือผู้ช่วยกัปตันประจำเรือธง ต้องสงสัยว่าอยู่ในลำดับ 6 ร่างกายแข็งเหมือนเหล็กกล้า กระสุนปืนและกระสุนปืนใหญ่มิอาจทะเลวงผ่านร่างกาย ไม่กลัวการถูกเผา ไม่จมน้ำ และไม่หวาดกลัวเวทมนตร์บางชนิด พละกำลังมหาศาลจนสามารถฉีกมนุษย์ได้ทั้งเป็น เชี่ยวชาญเวทมนตร์วิญญาณ สามารถปลุกศพให้กลายเป็นซอมบี้และบังคับได้เหมือนกับหุ่นเชิด…”
“ซอมบี้?” ไคลน์พลันหวนนึกถึงมาริคผู้เคยเล่นไพ่กับซอมบี้นับสิบตามลำพัง
และเมื่อพิจารณาว่าหัวหน้าเป็น ‘วิญญาณอาฆาต’ ส่วนลูกน้องเป็น ‘ซอมบี้’ เราค่อนข้างมั่นใจ กลุ่มโจรสลัดดังกล่าวจะต้องเป็นสมาชิกวงนอกของโรงเรียนกุหลาบ หรือไม่ก็องค์กรสำหรับทำเงินให้โรงเรียนกุหลาบโดยเฉพาะแน่นอน… น่าเสียดาย เราไม่มีผู้ส่งสาร และไม่ได้ถามชารอนว่า เธอมีผู้ส่งสารบ้างไหม ไม่อย่างนั้นคงเขียนจดหมายไปถามเพื่อยืนยันตัวตนของพลเรือเอกโลหิต…
ไคลน์ไตร่ตรองอย่างนึกเสียดาย
เพียงเพราะอีกฝ่ายเกี่ยวข้องกับโรงเรียนกุหลาบ ยังไม่มากพอจะทำให้ชายหนุ่มเกิดปอดแหกและอยากถอดตัวจากออกเรื่องนี้
เนื่องจากไคลน์ปัจจุบันมีพลังแปลงโฉม สามารถเปลี่ยนตัวตนเป็นใครก็ได้ การหลบหนีจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็น
ไม่เพียงเท่านั้น ไคลน์ยังเป็นศัตรูกับชุมนุมแสงเหนือ นิกายแม่มด กุหลาบไถ่บาป และสภานักสิทธิ์สนธยา การมีศัตรูเพิ่มอีกสักหนึ่งฝ่ายก็คงไม่เสียหายอะไรนัก
เราเคย ‘ล่า’ คนของโรงเรียนกุหลาบมาแล้ว อีกฝ่ายมีทั้ง ‘วิญญาณอาฆาต’ ‘ซอมบี้’ และ ‘มนุษย์หมาป่า’ รวมถึงยังขโมยมงกุฎจันทร์ชาดกับขวดพิษชีวภาพมาได้ด้วย…
ไคลน์หวนนึกถึงการต่อสู้อันดุเดือด
“แม็ควิตี้ไม่น่าจะพกสมบัติวิเศษทรงพลังติดตัว ไม่อย่างนั้น ฉันคงหนีไม่พ้นจากเงื้อมมือของมันในตอนแรก” เดนิสเล่าอย่างโล่งใจพลางขอบคุณโชคชะตา “แม็ควิตี้มีซอมบี้คอยรับใช้เป็นจำนวนมาก รวมถึงลูกน้องลำดับ 7 และ 8 อีกพอสมควร
“ด้วยตำแหน่งของผู้ช่วยกัปตันเรือธง หากมันปรากฏตัวในแถบนี้ตามลำพัง หมายความว่าในละแวกใกล้เคียงก็จะไม่มีระดับขุนพลของพลเรือเอกโลหิตคนอื่นอยู่อีกแล้ว ฉะนั้น ถ้าลงมือได้ก็ควรรีบทำ ขณะมันยังอยู่ตัวคนเดียวและมีลูกน้องไม่มาก”
หากไม่มีครึ่งเทพเข้ามาเกี่ยวข้อง การต่อสู้ระหว่างผู้วิเศษลำดับกลางถึงล่างมักตัดสินกันด้วยจำนวน การผสมผสานระหว่างพลังหลากหลายชนิด จะช่วยให้ต่อกรกับผู้วิเศษลำดับสูงกว่าตัวเองได้ ยกตัวอย่างเช่น หน่วยเหยี่ยวราตรีลำดับ 7 และ 8 หลายคนก็เคยเอาชนะลำดับ 6 หรือแม้กระทั่ง 5 มาแล้ว…
ไคลน์มิได้ประมาทแม็ควิตี้·เหล็กกล้ากับลูกน้องเพียงเพราะตนถูกยกระดับด้วยยุบพองหิวโหย มันยังคงระวังตัวเช่นเดิม
เราต้องวางแผนอย่างรัดกุมและเตรียมตัวให้พร้อม ขณะเดียวกัน ย่านคลื่นความถี่และรหัสลับจาก ‘ฉลามขาว’ จะเกิดประโยชน์ก็ต่อเมื่อ เรามีเครื่องรับส่งโทรเลขจากมิสเมจิกเชี่ยนแล้วเท่านั้น…
หากได้มาเมื่อใด เราจะให้เดนิสคอยตรวจสอบและดูว่ามีข้อมูลสำคัญหรือไม่ หากมี เราจะฉวยโอกาสกุมจุดอ่อนของมันทันที…
หลังจากนั้น เราจะมองหาแก่นแท้ของเทคนิคสวมบทบาทและรีบย่อยโอสถผู้ไร้หน้าโดยเร็ว…
ไคลน์ใช้ความคิด พลางนั่งฟังเดนิสเล่าถึงลูกน้องคนอื่นของพลเรือเอกโลหิต
ผ่านไปสักพัก เดนิสเล่าจบพร้อมกับสรุปด้วยสีหน้าฮึกเหิม
“หากนายฆ่าแม็ควิตี้·เหล็กกล้าได้เมื่อไร การเปิดเผยชื่อของฉันลงบนหน้าหนังสือพิมพ์จะช่วยให้ข่าวถูกกระพือได้เร็วขึ้น และก็ฉันไม่ต้องปวดหัวกับวิธีการแจ้งให้กัปตันทราบถึงความผิดปรกติในบายัมอีกต่อไป”
เดนิสกังวลว่า คนทรยศอาจมีตำแหน่งสูงกว่าตน และการแจ้งข่าวภายในหมู่เกาะรอสต์จะไปไม่ถึงกัปตันบนเรือฝันทองคำ มันจึงไม่กล้าลงมือผลีผลาม
ยังพอมีสมองอยู่บ้างสินะ…
ไคลน์พยักหน้ารับ
“นายต้องรวบรวมข้อมูลของแม็ควิตี้ ‘เหล็กกล้า’ ให้ฉันมากกว่านี้”
“ตกลง!” เดนิสตอบพลางหวนนึกถึงกำปั้นซึ่งเกือบทะลวงหัวใจตนเมื่อตอนเย็น
ไคลน์ลุกยืน เดินไปหยุดริมหน้าต่างอย่างเชื่องช้าและเห็นว่า ด้านนอกกำลังมืดสนิทพร้อมกับมีสายลมพัดกระโชก เม็ดฝนโปรยปรายลงพื้นถนนเป็นระยะ คล้ายกับวันสิ้นโลกดำเนินมาถึงก่อนกำหนด
ขณะวางแผนอนาคต มันอดคิดไม่ได้ว่า การปลอมตัวและสวมบทบาทของตนเข้าขั้นสมบูรณ์แบบ
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มพลางกระซิบกับตัวเองแผ่วเบา
“ในค่ำคืนนี้ เกอร์มันจะเข้าร่วมการล่า”
…
ณ เมืองแห่งการให้ บายัม
มหาวิหารคลื่นสมุทร
อัลเจอร์·วิลสัน ผู้เพิ่งได้รับ ‘แก๊สยาสลบผีดูดเลือด’ เตรียมจะออกเรือเพื่อตามหาวัตถุดิบหลักอีกหนึ่งชนิดของโอสถ ‘ผู้รับใช้วายุ’ แต่กลับถูกบิชอปประจำโบสถ์ท้องถิ่นเรียกตัวเสียก่อน
“เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวลือแพร่กระจายออกไปว่า พลเรือโทธารน้ำแข็งค้นพบกุญแจเทพมรณาจากซากเรืออับปาง กลุ่มโจรสลัดมากมายในทะเลโซเนียจึงเกิดความแตกตื่น” บิชอปประจำโบสถ์เล่าความเป็นมา ก่อนจะมอบหมายภารกิจ “คุณต้องออกไปสืบเรื่องนี้”
ชายชราผมหงอกขาว แต่ยังคงเปี่ยมด้วยกำลังวังชาราวกับคนหนุ่ม พูดจาฉะฉานคล่องแคล่ว และดูเหมือนกับพร้อมจะออกไปสะสางทุกปัญหาด้วยตัวเองอย่างมีไฟ
ร่างกายกำยำ กล้ามเนื้อมัดใหญ่ซ่อนใต้เสื้อคลุมอย่างไม่มิดชิด ทุกการหายใจจะก่อให้เกิดกระแสอากาศหมุนเป็นเกลียวรอบตัว
มีข่าวลือทำนองนี้เกิดขึ้นทุกปี แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเท็จ… ทำไมในทะเลมีแต่ข่าวลือไร้สาระเต็มไปหมด…
แต่ถึงจะเป็นเรื่องจริง เราก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่ดี ไม่จำเป็นต้องแกว่งเท้าหาเสี้ยน แค่ทำทีตรวจสอบอย่างฉาบฉวยอยู่วงนอกก็พอ…
อัลเจอร์รำพัน
พร้อมกับใช้กำปั้นกระแทกใส่หน้าอกซ้ายจนเกิดเสียงทื่อ
“ขอรับ! ท่านเจ้าคุณโชโกรี! ขอพายุจงสถิตกับท่าน!”
บิชอปท้องถิ่น โชโกรี พึงพอใจกับความกระฉับกระเฉงของอัลเจอร์ และตอบสนองกลับไปด้วยมารยาทเดียวกัน
“ขอพายุจงสถิตกับท่าน!”
อัลเจอร์·วิลสันรีบเดินออกจากวิหารและหยุดยืน ณ ใจกลางจัตุรัสด้านนอก
พายุเมื่อคืนสงบลงแล้ว เหลือเพียงเศษใบไม้กระจายตามพื้นถนนและแอ่งน้ำไม่กี่แห่ง คล้ายกับเหลือพวกมันคือเครื่องพิสูจน์ว่าเมื่อคืนเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง
อัลเจอร์สูดอากาศบริสุทธิ์สุดปอดในยามหลังสายฝนตกพรำ ตามด้วยการเดินไปยังจุดโจรสลัดชุกชุมเพื่อแสร้งช่วยสืบข่าวอย่างขยันขันแข็ง
แต่ถ้าบังเอิญได้พบโจรสลัดค่าหัวราวสองสามร้อยปอนด์ มันก็ไม่เกี่ยงจะเผยตัวและเข้าจับกุมทันที สภาพคล่องทางการเงินอัลเจอร์ในปัจจุบันก็ไม่สู้ดีสักเท่าไรนัก
……………………
ราชันเร้นลับ 521 : เดาสุ่ม
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท่ามกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ โจรสลัดจะมีงานอดิเรกสำคัญเพียงสามเรื่อง ประกอบด้วยเหล้า ผู้หญิง และการพนัน อัลเจอร์·วิลสันหยิบนาฬิกาพกสีเงินของตนออกมาตรวจสอบเวลา เพื่อประเมินว่าควรเริ่มสืบข่าวจากตรงไหนก่อน
ปัจจุบันเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงเช้า ซ่องและผับยังไม่เปิด จึงเหลือแค่บ่อนพนันแหล่งรวมโจรสลัดผู้อยากรวยทางลัด
อัลเจอร์คุ้นเคยกับเมืองบายัมยิ่งกว่าบ้านเกิดเล็กๆ ของตนเสียอีก การเดินเท้าผ่านซอกซอยเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีหยุดคิดนานให้เสียจังหวะ เพียงครู่เดียวก็มาถึงตรอกแห่งหนึ่งซึ่งมีบ่อนพนันลับปราศจากป้ายร้าน
จากข้อมูลในมือ อัลเจอร์ทราบว่าเจ้าของ ‘บ่อนพนันเหรียญทอง’ เป็นหัวหน้าแก๊งดังในย่านท้องถิ่น และมีเส้นสายกับข้าราชการท้องถิ่นระดับสูง จึงเป็นตัวเลือกแรกๆ ในการ ‘ปล่อยของ’ หลังจากปล้นสมบัติมาเต็มเรือ
ส่งผลให้มีโจรสลัดรวมตัวภายในบ่อนแห่งนี้เป็นจำนวนมาก พวกมันจะเปลี่ยนสมบัติให้เป็นก้อนทองในตอนเช้า และแพ้พนันจนหมดตัวในตอนเย็น ลงเอยด้วยการถูกเตะโด่งออกจากบ่อนอย่างน่าสมเพช
อัลเจอร์จัดระเบียบโค้ทสีน้ำตาลตัวหนา กดปีกหมวกแก๊ปซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากบนแผ่นดินใหญ่ พลางผลักประตูเดินเข้าไปในบ่อนโดยมีผู้คุมมองตาม
สำหรับอาณาจักรโลเอ็น บ่อนพนันคือสิ่งผิดกฎหมาย และอนุญาตให้เล่นไพ่ได้ภายในห้องเล็กๆ ของผับเท่านั้น แต่สำหรับโลกภายนอกและมหาสมุทรนั้นตรงกันข้าม นอกจากจะไม่ผิดกฎหมาย การพนันยังเป็นอุตสาหกรรมหลักซึ่งมีเม็ดเงินสะพัดมหาศาล ได้รับความนิยมมากในเมืองบายัมแห่งหมู่เกาะรอสต์ และเมือง ‘อเลสเซ่’ แห่งไบลัมตะวันออก กลุ่มมหาเศรษฐีจากเบ็คลันด์และแคว้นเลียบทะเลชอบแวะเวียนมาเสี่ยงโชคเป็นประจำ
เมื่อมองไปรอบตัว อัลเจอร์เห็นวงไพ่หลากหลายประเภท รวมถึงโต๊ะสำหรับทอยลูกเต๋า
เนื่องจากยังเช้าเกินไป จำนวนนักพนันจึงมีไม่มาก เพียงมองปราดเดียวก็เก็บรายละเอียดได้ครบถ้วน
ทันใดนั้น แววตาของมันพลันส่องประกาย เนื่องจากจดจำการปลอมตัวของใครบางคนได้
อัลเจอร์ถอดหมวก เดินไปทางโต๊ะเล่นไพ่โปเกอร์เท็กซัส ตบบ่าบุคคลเป้าหมายพลางโน้มตัวเข้าไปใกล้และหรี่เสียงกระซิบ
“เพลิงพิโรธ”
เดนิส ผู้กำลังใช้มือขวาแอบเปิดมุมไพ่ของตัวเองทีละนิดเพื่อดูดอก พลันสะดุ้งเฮือกและเกือบแหกปากโวยวายพร้อมกับปาก้อนไฟแผดเผาบุคคลแปลกหน้าด้านหลังให้มอดไหม้
หลังจากถูกแม็ควิตี้·เหล็กกล้าลอบโจมตี มันตระหนักว่าตนไม่ควรออกมาหาข้อมูลด้วยใบหน้าจริง เพราะนั่นจะเป็นการดึงดูดโจรสลัดหิวเงินทั้งหลายให้เข้ามาโจมตี
จริงอยู่ โจรสลัดส่วนใหญ่อาจไม่มีพิษภัยให้เดนิสต้องกังวล แต่มันก็ยังไม่ต้องการเปิดเผยตัวเองอยู่ดี เพราะนั่นจะทำให้แผนการแก้แค้นแม็ควิตี้·เหล็กกล้าคลาดเคลื่อน
แต่มันไม่คาดคิดว่า การแปลงโฉมอย่างไร้จุดบอดของตน จะถูกจับได้ภายในไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังออกจากบ้าน
สีหน้าเดนิสพลันอึมครึม มันหันหน้ากลับไปสบตากับผู้ ‘ทักทาย’
แต่เมื่อได้เห็นเส้นผสมสีน้ำเงินเข้มหยักศกคล้ายสาหร่ายทะเลอันเป็นเอกลักษณ์ เดนิสถอนหายใจโล่งอก พลางหันไปมองรอบตัวเพื่อสำรวจว่ามีใครได้ยินคำพูดเมื่อครู่บ้าง
นักพนันทุกคนกำลังสนใจไพ่ในมือ หรือไม่ก็ไพ่กลางบนโต๊ะ โดยกำลังประเมินว่าควรหยุดหรือสู้ต่อ แทบไม่มีใครสนใจในตัวเดนิส
“นายมาทำอะไร” เดนิสถามห้วน
มันและอัลเจอร์เคยพบกันในการชุมนุมโจรสลัดใหญ่คราวก่อน จึงทราบว่าอีกฝ่ายมีเรือผีสิงพร้อมลูกเรืออีกราวสิบกว่านาย ไม่ใช่โจรสลัดชั่ว และไม่โด่งดังมากนัก
จากข้อสันนิษฐานของพลเรือโทธารน้ำแข็ง หากกลุ่มโจรสลัดขนาดเล็กสามารถรักษาเรือผีสิงโบราณไว้ได้นาน หมายความว่าพวกมันต้องมีองค์กรใหญ่คอยหนุนหลัง เป็นได้ทั้งโบสถ์วายุสลาตัน ราชวงศ์อาณาจักร หรือองค์กรลับอื่นๆ ทางทะเล ฉากหน้าอาจดูเหมือนโจรสลัดทั่วไป แต่เบื้องหลังจะคอยรวบรวมข้อมูลส่งให้เจ้านายตัวเอง และบางครั้งยังต้องทำภารกิจลับให้องค์กร ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าปิดปากใครสักคน หรือปล้นเรือเฉพาะเจาะจงสักลำ
โจรสลัดประเภทนี้มีไม่มากหากเทียบกับประชากรโดยรวม จึงไม่มีใครใส่ใจมากนัก
อัลเจอร์ดึงเก้าอี้ข้างตัวมานั่ง พลางกระซิบ
“ฉันได้ข่าวมาว่า กัปตันของนายมีกุญแจเทพมรณา”
เดนิสยิ้มเหยียดหยัน
“ฉันคิดว่านายจะมีสมองมากกว่านี้เสียอีก ผิดหวังชะมัด เป็นถึงสมบัติในตำนาน จะมาอยู่ในมือพวกเราง่ายดายขนาดนั้นได้ยังไง? ถ้านายต้องการ ทางนี้ก็ยินดีปล่อยของ ลองบอกราคามาสิ คิดว่ายังไง สนไหม?”
อัลเจอร์กล่าวต่อโดยไม่สนใจคำยั่วยุ
“อาจมีความลับอื่นซ่อนอยู่ก็ได้ ฉันเชื่อว่ามีหลายฝ่ายกำลังหมายหัวกัปตันของนายอยู่”
“ก็คงงั้นมั้ง ไอ้แม่เย็*!”
เดนิสสบถเสียงดังหลังจากเห็นดอกไพ่สุดห่วยของตนอย่างชัดเจน
ก่อนจะหรี่เสียงลง
“กุญแจดอกนั้นไม่เหมือนกับสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ น่าจะเป็นของยักษ์หรือปีศาจมากกว่า”
“สิ่งประดิษฐ์? กัปตันของนายสอนคำพูดคำจาแบบนี้ด้วยหรือ?” อัลเจอร์ซักไซ้
มีข่าวลือหนาหูว่า พลเรือโทธารน้ำแข็งเป็นหญิงสาวเคร่งครัด โดยมักจะสอนหนังสือลูกเรือด้วยความเข้มงวดเสมอ เพราะไม่ชอบให้ลูกน้องของตนเป็นพวกโง่ดักดานอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ดังนั้นบน ‘ฝันทองคำ’ จึงมีคาบเรียนพื้นฐานเป็นประจำในทุกวัน โดยลูกเรือทุกคนจะถูกบังคับให้เข้าเรียน
เดนิสเผยสีหน้าชัดเจนว่า มันไม่ต้องการพูดถึงเรื่องราวอันน่าปวดใจดังกล่าว
“ยากกว่าการต่อสู้ซะอีก! และด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงหาลูกเรือใหม่ได้ลำบากมาก ไม่เพียงเท่านั้น การเทียบท่าเพื่อเติมเสบียงแต่ละครั้งก็มักมีลูกเรือขอลาออกอยู่เป็นประจำ…”
เดนิสมิได้สาวความยืด สายตาจ้องมองคนแจกไพ่พลางพึมพำ
“…ช่วยสอดส่อง ‘เหล็กกล้า’ ให้ฉันด้วย”
“แม็ควิตี้·เหล็กกล้า? ผู้ช่วยกัปตันของพลเรือเอกโลหิต?” อัลเจอร์ก้มมองแขนซ้ายของเดนิส·เพลิงพิโรธซึ่งถูกเศษผ้ามัดไว้ในลักษณะคล้ายเฝือกหยาบ ก่อนจะถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“นายถูกหมอนั่นเล่นงาน…? เพราะกุญแจดอกนั้นใช่ไหม”
“สมองของมันต้องถูกซอมบี้ตัวเองกินไปแล้วแน่นอน!” เดนิสย้ำ
“ก็เลยคิดแก้แค้น?” อัลเจอร์คาดเดาจากน้ำเสียงและพฤติกรรมของอีกฝ่าย
“หึหึ…” เดนิสยิ้มมีเลศนัย สายตาเพ่งมองดอกไพ่ชุดใหม่ซึ่งค่อนข้างดีในมือ
อัลเจอร์ครุ่นคิด
“กัปตันของนายปรากฏตัวครั้งสุดท้ายใกล้กับเกาะโซเนียเมื่อเจ็ดวันก่อน นี่เป็นข่าวน่าเชื่อถือจากโทรเลขด่วน ดังนั้น ฝันทองคำไม่มีทางมาถึงบายัมได้ในวันสองวันแน่นอน คงมีผู้ช่วยสินะ เพราะต่อให้นายดวลกับ ‘เหล็กกล้า’ ตัวต่อตัว ด้วยพลังแพ้ทางกัน นายไม่มีวันเอาชนะหมอนั่นได้เลย และแน่นอน แม็ควิตี้·เหล็กกล้าไม่เคยอยู่ตามลำพัง”
เดนิสไม่ตอบคำถามอัลเจอร์ เพียงโยนชิปพนันออกไปเดิมพัน
“คอล!”
“เป็นใครหรือ?” เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ปฏิเสธ อัลเจอร์สรุปว่าข้อสันนิษฐานของตนถูกต้อง
เดนิสจ้องไพ่กองกลางและตอบ
“นายไม่รู้จัก”
ฉันเนี่ยนะไม่รู้จัก? ตัวตนเก่งกาจระดับล้มแม็ควิตี้·เหล็กกล้าได้ ก็ควรจะมีชื่อเสียงในทะเลประมาณหนึ่งไม่ใช่หรือ…
หมายความว่าเป็นคนจากบนบกและเพิ่งออกทะเลเป็นครั้งแรก? คนขององค์กรลับ?
ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ นั่นคือหมอนี่ไม่ต้องการเปิดเผยความลับ จึงตอบแบบนี้…
ไม่สิ ถ้าไม่ต้องการเปิดเผย แค่เงียบไว้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องพูดว่าเราไม่รู้จัก…
หมายความว่าเราไม่รู้จักจริง… คงเป็นสมาชิกองค์กรลับสักแห่ง เพิ่งเคยออกทะเลเป็นครั้งแรก และต้องแข็งแกร่งมากพอจะจัดการกับแม็ควิตี้·เหล็กกล้าได้ไม่ยากเย็น…
เฮงแมนรวบรวมความคิดสักพัก ก่อนจะถามอย่างเป็นกันเองพลางวางมือไว้บนโต๊ะ
“ท่าเรือแบนชีเป็นยังไงบ้าง สนุกไหม”
เดนิสตอบโดยไม่คิดมาก “สนุกดี…”
ทันใดนั้น มันรีบหันไปจ้องอัลเจอร์พลางซักถามอย่างระมัดระวัง
“นายรู้ได้ยังไง?”
เดนิสเชื่อว่า ด้วยความหยิ่งทระนงของโบสถ์วายุสลาตัน พวกมันคงพยายามปิดข่าวความน่าอับอายบนเกาะอย่างสุดฝีมือ จึงไม่ควรมีข่าวลือเล็ดลอดออกมาสู่ภายนอก และผู้โดยสายของโมราขาวทุกคนได้ถูกจับลงนามในสัญญาห้ามเปิดเผยข้อมูล
อัลเจอร์เพียงยิ้ม ไม่อธิบายต่อ
ในวินาทีนี้ มันกำลังซาบซึ้งวลีดังของจักรพรรดิโรซายล์อย่างถ่องแท้ :
ตั้งสมมติฐานอย่างบ้าบิ่นไปก่อน ค่อยหาหลักฐานมาสนับสนุนในภายหลัง!
เดนิสกวาดชิปกองใหญ่เข้าตัวพลางพึมพำ
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แค่ประเพณีโบราณถูกฟื้นฟูกลับมา จนทำให้บิชอปของวิหารท้องถิ่นถูกกัดกร่อน”
นึกแล้วเชียว… อัลเจอร์หัวเราะในใจ
“ตกลง ฉันจะช่วยสอดส่อง ‘เหล็กกล้า’ จะให้แจ้งข่าวด้วยวิธีไหน?”
“หืม… เอาเป็น อาคารหมายเลข 15 บนถนนไม้หอม บ้านหลังนั้นไม่มีคนอยู่ เขียนข้อความใส่กระดาษและโยนเข้าไป”
เดนิสตอบด้วยสีหน้าลังเล
อัลเจอร์พยักหน้ารับ ยืนขึ้นและตบไหล่ของเดนิส·เพลิงพิโรธแผ่วเบา
“อย่าลืมค่าจ้างล่ะ”
มันหันหลังและเดินตรงไปทางประตู
เมื่อเห็นกัปตันเรือผีสิงจากไป เดนิสพึมพำในลำคอ
“หมอนี่ไม่มีพิษภัย แต่เราก็ต้องรีบไปเหมือนกัน”
มันยังไม่เชื่อใจอัลเจอร์เต็มร้อย โดยกังวลว่าอีกไม่กี่นาทีถัดมา แม็ควิตี้·เหล็กกล้าเปิดประตูบ่อนเข้ามาและพาพวกมารุมกระทืบ
อัลเจอร์เดินออกจากบ่อนเหรียญทองในสภาพสวมกางเกงขาย้วยของท้องถิ่น มันแวะห้างสรรพสินค้าและเจาะจงเดินไปยังแผนกหนึ่งอย่างมีจุดหมาย
“ไพ่ทาโรต์หนึ่งสำรับ”
ระหว่างรอ มันยืนใช้ความคิด :
ข้ารับใช้มิสเตอร์ฟูลมาทำอะไรในบายัม…
…
ณ ภัตตาคารเฒ่าจอห์น
ไคลน์นั่งดูบริกรวางบรรจงจานปลาย่างลงตรงหน้าตน อาหารจานนี้ถูกห่อด้วยบางสิ่งคล้ายฟางข้าว โรยด้วยเครื่องเทศหลายชนิดทั้งรู้จักและไม่รู้จัก
กลิ่นอันเข้มข้นได้แทรกซึมเข้าไปในรูจมูกของชายหนุ่ม กระตุ้นให้ต่อมน้ำลายทำงานอย่างบ้าคลั่ง
สมกับเป็นหมู่เกาะแห่งเครื่องเทศ…
ขณะไคลน์กำลังจะหยิบมีดส้อม มันเห็นบริกรวางวัตถุคล้ายกิ่งไม้ยาวสองก้านไว้บนจาน
ตะเกียบ…? ชายหนุ่มประหลาดใจ
ทันใดนั้น มันนึกชื่อผู้ต้องสงสัยได้หนึ่งคน
โรซายล์·กุสตาฟ!
“สำหรับปลาเหล็กในบั้งย่าง คุณลูกค้าควรใช้อุปกรณ์ชนิดนี้ในการกิน จักรพรรดิโรซายล์กล่าวว่าท่านได้รับแรงบันดาลใจมาจากเอลฟ์” บริกรชายมอบคำแนะนำ
อุปกรณ์การกินของเอลฟ์? สมกับเป็นเผ่าแห่งอาหาร… หรือไม่ก็ โรซายล์กุเรื่องว่าตนได้รับแรงบันดาลใจ แต่ความจริงแล้วลอกมาจากโลกเก่า…
ไคลน์คาดเดาตามอุปนิสัยอีกฝ่าย
เมื่อช่วงเช้า มันแวะไปโรงพยาบาลบายัมมาแล้ว โดยหวังปลอบประโลมผู้ป่วยใกล้ตายและช่วยให้พวกเขาบรรลุความปรารถนาสุดท้าย อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ไม่ค่อยได้ผลนัก
ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคนตายในโรงพยาบาล แต่ญาติของผู้ป่วยทุกคนได้มาห้อมล้อมและคอยดูแลเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว การตายของพวกเขาล้วนมีพยานรู้เห็น จึงไม่สามารถปลอมตัวไปหลอกญาติคนอื่นในภายหลังอย่างแนบเนียนได้ รังแต่จะสร้างความแตกตื่นโดยไม่จำเป็น
คงต้องเปลี่ยนเป้าหมายเป็นผับของนักผจญภัยแทน เพราะมีคนไม่น้อยตัดสินใจออกจากบ้านเกิดเพื่อแสวงหาโอกาสในฐานะนักผจญภัย แต่สุดท้ายกลับต้องนอนตายในมุมมืดตามลำพังเหมือนกับหมาป่าเดียวดาย โดยครอบครัวไม่มีวันได้ทราบข่าว…
เมื่อได้เป้าหมายใหม่ ไคลน์ก้มหน้ากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
……………………
ราชันเร้นลับ 522 : อาณานิคม
โดย
Ink Stone_Fantasy
เนื้อของปลาเหล็กในยังไม่ยอดเยี่ยมเท่าเนื้อเมอร์ล็อก แต่ได้เครื่องเทศนานาชนิดช่วยเกลี่ยรสชาติจนกลมกล่อม สัมผัสแต่ละชั้นของอาหารก็ยังอ่อนละมุนจนไคลน์ไม่หยุดกินแค่คำเดียว
ในความเป็นจริง หากผู้วิเศษท้องถิ่นในละแวกนี้ต้องการถอนตัว พวกมันสามารถเดินทางไปยังเบ็คลันด์และเปิดร้านขายปลาย่างสไตล์หมู่เกาะรอสต์ได้ ชาวโลเอ็นมักเปิดใจรับวัฒนธรรมอาหารใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่ปัญหาสำคัญก็คือ ราคาของเครื่องเทศจะสูงกว่าปรกติมาก ไม่มีทางหาง่ายเหมือนกับขณะอยู่บนเกาะ และเหนือสิ่งอื่นใด ทำเลร้านต้องดีและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายง่าย…
ไคลน์วางตะเกียบหยาบลง เช็ดปากด้วยผ้าขาวและขบคิดเรื่อยเปื่อย
ในมุมมองชายหนุ่ม ชาวบ้านทั่วไปยากจะร่ำรวยจนกลายเป็นเศรษฐีได้ เนื่องจากยังขาดวิสัยทัศน์ในการมองหาโอกาสและคว้าเอาไว้ แต่เรื่องของวิสัยทัศน์ก็ไม่ได้ติดตัวมาตั้งแต่เกิดเช่นกัน ต้องผ่านประสบการณ์และมีการศึกษาขึ้นพื้นฐาน ส่งผลให้คนจนยากจะหลุดพ้นจากบ่วงแห่งความจนไปได้ หนทางเอาชนะความจนจึงมีอยู่สองวิธี หนึ่ง ขวนขวายและเพิ่มระดับการศึกษาของตัวเอง วิธีนี้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพสูง สอง ออกเสี่ยงโชคในฐานะนักผจญภัย ตระเวนไปรอบโลกเพื่อเผชิญเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ แต่วิธีนี้เสี่ยงสมชื่อ และหลายคนก็เสียชีวิตอย่างเงียบๆ โดยไม่มีใครรับรู้ชะตากรรม
สำหรับมือนี้ ไคลน์จ่ายเงินไปทั้งสิ้นสองซูลห้าเพนนี จริงอยู่ ราคาอาจไม่ถูก แต่ถ้าเป็นอาหารคุณภาพสูง ชายหนุ่มยินดีจ่ายอย่างสมน้ำสมเนื้อ และเหนือสิ่งอื่นใด ค่าอาหารในช่วงหลังของไคลน์ถูกอุปถัมภ์โดยเดนิส·เพลิงพิโรธอยู่แล้ว เงินออมของมันจึงยังเหลือเฟือ
ไคลน์ยืนจัดระเบียบปกเสื้อ สวมหมวกทรงสูง และหยิบไม้ค้ำเดินออกจากภัตตาคารเฒ่าจอห์น จนกระทั่งเห็นตำรวจนายหนึ่งกำลังขับไล่กลุ่มคนจรจัดออกจากถนนหน้าร้าน
คนพื้นเมืองของหมู่เกาะรอสต์จะมีผิวคล้ำกว่าชาวทวีปใต้เล็กน้อย เป็นระดับสีผิวคล้ายกับการอาบแดดนานเกินไป เส้นผมสีดำด้าน หยักศกเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น แตกต่างจากชาวอาณานิคมโลเอ็นพอสมควร
เกาะแห่งนี้ถูกยึดครองอย่างสมบูรณ์เมื่อไม่ถึงห้าสิบปีก่อน โดยในช่วงต้น ชาวโลเอ็นกลุ่มแรกผุดแนวคิดการก่อตั้งบริษัทร่วมกับหัวหน้าชนเผ่าดั้งเดิม ใช้ชื่อบริษัทว่า ‘โซเนียภาคกลาง’ ประกอบธุรกิจขุดทรัพยากรบนเกาะส่งให้กับแผ่นดินใหญ่
อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งเป็นของคู่กับธุรกิจเสมอ เมื่อผลประโยชน์ไม่ลงรอย จึงเกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุนแรงขึ้น ต่างฝ่ายต่างนำความผิดพลาดของกันและกันมาฟ้องร้องกับราชวงศ์โลเอ็นผู้เป็นเจ้าของอาณานิคม โดยพยายามสาวไส้องค์กรเบื้องหลังอีกฝ่ายจนลามปามไปถึงการประชุมสภา*
(ล้อเลียนจากเหตุการณ์จริงสมัยอังกฤษยึดครองอาณานิคมประเทศอินเดียและก่อตั้งบริษัท British ·ast India ขึ้น)
แน่นอน คนพื้นเมืองในสมัยนั้นคงมิอาจจินตนาการได้ว่า ชายร่างกำยำใหญ่ซึ่งแผ่จิตสังหารท่วมท้นจนหัวหน้าเผ่าของพวกตนต้องยอมศิโรราบและจุมพิตหลังเท้า รวมถึงยังต้องส่งเกวียนบรรณาการอีกหลายเล่ม แท้จริงแล้วจะไม่ใช่บุคคลอันใดสำคัญของเมืองหลวงโลเอ็น ไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิด
จริงอยู่ พวกมันอาจเป็นขุนนาง แต่ก็เป็นแค่ขุนนางปลายแถว ใกล้สูญสิ้นบรรดาศักดิ์ประเภทสืบทอดเข้าไปทุกที
เมื่อเกิดข้อพิพาทดังกล่าวขึ้น กษัตริย์แห่งโลเอ็นและนายกรัฐมนตรีได้ลงนามร่วมกัน ให้ส่งกองทัพเรือยึดครองหมู่เกาะรอสต์ด้วยมาตรการเด็ดขาด จากนั้นก็เริ่มปกครองด้วยกฎหมายอาณานิคมเต็มรูปแบบ
ในปัจจุบัน กฎหมายของหมู่เกาะรอสต์จะถูกกำหนดผ่านสภาเมือง โดยมีอดีตหัวหน้าเผ่าและคนท้องถิ่น คอยทำงานเป็นพนักงานระดับกลางภายในสภาเมืองดังกล่าว สำหรับลำดับต่ำกว่านั้นลงมา พวกมันจะเปิดโอกาสให้ชาวพื้นเมืองสติปัญญาดีหลายคนสอบเข้าทำงาน รวมไปถึงตำแหน่งพนักงานตำรวจตรวจตรารอบเมืองด้วย
เบื้องหน้าไคลน์คือตำรวจคนท้องถิ่น ในมือถือไม้กระบองสำหรับขับไล่คนจรจัด
เมื่อเห็นว่าไคลน์มาในชุดโค้ทยาวกระดุมสองแถว หมวกทรงกึ่งสูง และการใช้สีดำบนเสื้อผ้าอันหาได้ยากจากวัฒนธรรมเกาะรอสต์ ตำรวจคนดังกล่าวรีบตบเท้าทำความเคารพโดยไม่รีรอ
“ทิวาสวัสดิ์ครับ! มีอะไรให้ผมรับใช้ไหม?”
ไคลน์ครุ่นคิดพลางพยักหน้า
“แถวนี้ไม่มีรถม้าหรือ”
“สภาเมืองลงความเห็นว่า ไม่อนุญาตให้นำรถม้าขึ้นมาวิ่งบนถนนครับ! หากต้องการขึ้นรถม้าในบริเวณใกล้เคียง ต้องเดินไปให้ถึงถนนอีกเส้นครับ!” ตำรวจอธิบายเสียงฉะฉานเจือความหวาดกลัว
“ขอบใจ” ไคลน์พยักหน้ารับ ตามด้วยการกล่าวชม “นายพูดโลเอ็นได้ไม่เลว”
ตำรวจคนเดิมทำสีหน้าแปลกใจ
“ผ…ผมคิดว่านั่นคือทักษะพื้นฐานในการเป็นตำรวจครับ!”
ในฐานะเมืองขึ้นของโลเอ็น เขาคงคิดว่าตัวเองเป็นชาวโลเอ็นคนหนึ่ง แต่การพูดแบบนั้นอาจทำให้ชาวโลเอ็นตัวจริงโกรธได้…
ไคลน์ถอนหายใจ พลางเดินตรงไปยังถนนสำหรับขึ้นรถม้าสาธารณะ
ระหว่างทาง มันเห็นร้านขายเสื้อผ้าสไตล์ท้องถิ่น ลักษณะแตกต่างจากร้านทั่วไปบนแผ่นดินใหญ่ค่อนข้างมาก และยังไม่เหมือนกับร้านเสื้อผ้าของท่าเรือดาเมียร์กับท่าเรือแบนชีด้วย
เมื่อได้เห็นมาดสุภาพบุรุษภูมิฐานของชาวโลเอ็นซึ่งมักสวมเสื้อโค้ท หมวกทรงสูง และนำไม้ค้ำโบราณน่าเกรงขาม ชาวพื้นเมืองจะไม่กล้าตบตานานนัก
ในทางกลับกัน พวกมันนิยมสวมกางเกงหลวมขาบาน สีสันฉูดฉาด เพราะสีดำมิได้แสดงถึงความสง่าผ่าเผยเหมือนกับโลเอ็น จึงชื่นชอบการใส่สีน้ำตาลหรือเทาอ่อน ส่งผลให้ไคลน์รู้สึกราวกับตนเดินทางมายังต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ชนพื้นเมืองบางกลุ่มยังคงชอบเลียนแบบการแต่งกายชาวโลเอ็น เนื่องจากเชื่อกันว่า นั่นคือพฤติกรรมและมารยาทของผู้ดี
…
บ่ายสองโมงตรง ณ ผับปลากระโทงอันเป็นแหล่งชุมนุมของนักผจญภัย
ตอนนี้ยังมีนักดื่มนั่งอยู่ไม่มาก ไคลน์เดินผ่านเข้าไปถึงเคาน์เตอร์ได้ไม่ยากเย็น
ชายหนุ่มเริ่มพบจุดแตกต่างระหว่างผับแห่งนี้กับผับอื่น นั่นคือด้านข้างผับจะมีกระดานดำสามแผ่นใหญ่ตั้งอยู่บนกรอบไม้ บนกระดานดำมีแผ่นกระดาษสีขาว หรือสีเหลือง จำนวนมากกำลังปิดทับจนเกือบทั่วทุกซอกมุม รายละเอียดมีทั้งงานจ้างบอดี้การ์ดทั่วไป ตามหาคนหาย ตั้งค่าหัวโจรสลัดเฉพาะเจาะจง โดยบางรายแจ้งว่าตนมีลายแทงของขุมทรัพย์ แต่ต้องการพวกพ้องไปช่วยกันขนออกมา
สรุปโดยสั้น งานของนักสืบเอกชนและบริษัทรักษาความปลอดภัย ถูกนำมารวมกันภายในผับแห่งนี้
“ซาร์ฮาร์หนึ่งแก้ว” ไคลน์เคาะเคาน์เตอร์
นี่คือเบียร์มอลต์ท้องถิ่นชนิดหนึ่ง มีราคาไม่แพง รสชาติค่อนข้างดีและถูกปากนักผจญภัย โดยมันทราบเรื่องนี้มาจากเดนิส·เพลิงพิโรธ
“สามเพนนี” บาร์เทนเดอร์จ้องอย่างไร้อารมณ์ เป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ใช้ขาประจำของร้าน มันจึงไม่กล้าทักทายส่งเดช
หลังจากได้รับเบียร์ ชายหนุ่มนั่งจิบบนเก้าอี้สูงตรงเคาน์เตอร์ พลางบรรจงละเมียดทีละนิดและแอบฟังบทสนทนาของนักผจญภัยขี้เมารอบตัวอย่างละเอียด มองหาข้อมูลมีประโยชน์สำหรับตน
จนกระทั่งผ่านไปเกือบชั่วโมง ลูกค้าเริ่มทยอยเข้ามาจนแน่นร้าน และไคลน์ได้ยินบางสิ่งน่าสนใจเข้าพอดี
ชายหนุ่มพลันตาสว่าง สมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องราวของอีกฝ่าย
พวกมันเป็นกลุ่มนักผจญภัยสี่คน นั่งห่างจากเก้าอี้ไคลน์ไม่เกินสามเมตร โดยกำลังกล่าวถึงชายชื่อ ‘วินเทอร์’
“ฉันเข้าใจมาตลอดว่าวินเทอร์ออกทะเลไปเรียบร้อยแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า หมอนั่นเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องด้วยสภาพป่วยหนัก”
“ช่างน่าเศร้า ถ้าฉันตัดสินใจเคาะประตูเมื่อสองวันก่อน เขาก็คงไม่ตาย… นายคงจินตนาการไม่ออกแน่ว่าห้องดังกล่าวมีสภาพน่าสะอิดสะเอียนมากแค่ไหน ดอกเห็ดสีขาวผุดขึ้นจนเต็มร่างกายของเขา!”
“แม่เย็*! หุบปาก! ไม่เห็นหรือไงว่าฉันกำลังกินไส้กรอกอยู่!”
“ตกลง… แล้วก็ ภายในห้องยังเต็มไปด้วยแมลงเม่า แมลงวัน ผีเสื้อ ผึ้ง และแมลงสาบวิ่งกรูกันออกมาประหนึ่งพายุ ฉันไม่อยากจะเชื่อว่ามนุษย์เคยอาศัยอยู่ในนั้น แม้แต่ตำรวจก็ยังเข็ดขยาด!”
…
เมื่อได้ยินเรื่องราว ไคลน์เริ่มขมวดคิ้วเนื่องจากมันพบความผิดปรกติในลักษณะการตายของวินเทอร์
ผ่านมาแค่ไม่กี่วัน ร่างกายไม่น่าจะเต็มไปด้วยดอกเห็ดและมีแมลงนานาชนิดวิ่งพล่านไปทั่วห้องได้เลย
สาเหตุการตายมาจากปัจจัยเหนือธรรมชาติ? ด้วยความผิดปรกติระดับนี้ ตำรวจต้องรายงานไปยังทูตพิพากษาแล้ว และพวกมันคงเก็บกวาดศพวินเทอร์จนเรียบร้อย เวลาสามสี่วันนับว่ามากเกินพอ…
ไคลน์ลังเลอยู่นาน ว่าตนควรไปตรวจสอบด้วยตัวเองเหรือไม่ เพราะอย่างน้อย ผองเพื่อนนักผจญภัยก็ไม่มีใครกล้าแจ้งครอบครัว โอกาสสวมรอยปลอมตัวจึงเปิดกว้าง
นั่งฟังต่ออีกสักพัก จนกระทั่งได้ทราบว่าวินเทอร์เสียชีวิตภายในอาคารหมายเลข 47 บนถนนเขาดำ
หลังจากดื่มเบียร์ซาร์ฮาร์หมดแก้ว ไคลน์สวมหมวก เดินออกจากผับ และมุ่งหน้าไปยังอาคารหลังเป้าหมายทันที
ขณะย่างกรายเข้าไป ไคลน์กระซิบกับตัวเองด้วยเสียงแผ่วเบา
“ห้องใดเพิ่งมีคนตาย”
พอครบเจ็ดครั้ง มันอาศัยเทคนิคนักทำนายช่วยนำทางตัวเองไปยังอดีตห้องของวินเทอร์ได้ไม่ยากเย็น
ยังไม่มีใครมาเช่าต่อ แต่เศษเสี้ยวความผิดปรกติถูกจัดการไปเกือบหมดแล้ว
ไคลน์วางแผ่นกระดาษสำหรับใช้ปลดกลอนลง จากนั้นจึงปิดประตูตามหลัง
เมื่อยืนยันสถานการณ์ มันรีบหยิบอุปกรณ์ประกอบพิธีกรรมออกมาวางเรียงราย ไม่ว่าจะเป็นสารสกัดหรือผงสมุนไพร
แม้จะผ่านมานานหลายวัน แต่ก็ข้อมูลอย่างเลือนรางน่าจะยังคงอยู่
ไคลน์มองว่า สิ่งนี้ดีกว่าการคว้าน้ำเหลว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชายหนุ่มเตรียมประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง และเดินถอยหลังทวนเข็มสี่ก้าว เพื่อเข้าไปตอบสนองพิธีกรรมด้วยพลังวิญญาณตัวเอง
ทันใดนั้น เปลวไฟของเทียนกลายเป็นสีฟ้าครามและลุกโชติช่วง ฉาบทุกสิ่งรอบตัวโดยไม่มีข้อกำหนด
ไคลน์ตระหนักว่าบรรยากาศตัวเงียบงันราวกับตนกำลังอยู่ในอาณาจักรมายา
ดวงตากลายเป็นสีดำสนิท ไม่หลงเหลือไว้แม้แต่ตาขาว
หลังจากกลายเป็นผู้ไร้น้า มันสามารถดึงพลังของห้วงมิติสายหมอกเทาขึ้นมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงไม่ต้องอาศัยเทคนิค ‘ทำนายฝัน’ เข้าประกอบการสอบสวน
ภาพแรกในการมองเห็นคือเศษเสี้ยวดวงวิญญาณอันเลือนรางของวินเทอร์ คล้ายกับจิตอันเข้มแข็งคอยห้ามมิให้ตัวมันหายไปโดยง่าย
เหตุการณ์ในฝันมีทั้งหมดสามฉาก ฉากแรกเป็นตัววินเทอร์เอง ผู้มีรูปร่างผอมบางและสูงเพรียว ผมสีดำหยักศกเล็กน้อย กำลังโน้มตัวลงไปหาซากศพปริศนาซึ่งถูกทิ้งร้าง โดยบนตัวศพมีอัญมณีสีฟ้าครามแวววาวและเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาวางอยู่
ภาพถัดมา วินเทอร์กำลังนอนซมบนเตียงในสภาพดวงตาปิดสนิท เห็ดสีขาวผุดขึ้นตามร่างกาย รอบห้องเต็มไปด้วยแมลงนานาชนิดวิ่งไต่ยั้วเยี้ย กึ่งกลางหน้าอกวินเทอร์มีสร้อยคอสีเงิน อัญมณีกึ่งกลางมีสีฟ้าครามเหมือนกับในฉากแรก
ฉากสุดท้าย หญิงสาวคนหนึ่ง เจ้าของดวงตาอันงดงามและเส้นผมสีขาวลินิน กำลังนั่งริมทะเลโดยมีเสียงวินเทอร์ดังมาจากด้านหลังอย่างกระอักกระอ่วน
“เรนนี่! ฉันคงอยู่ได้อีกไม่นาน ฉันเสียใจ เสียใจกับการไม่เคยบอกรักเธอ ไม่เคยขอเธอแต่งงานเลยสักครั้ง…”
เมื่อฉากความฝันแตกสลาย ไคลน์มองไปรอบตัวและพบกับห้องบรรยากาศมืดสลัวตามปรกติ
หมอนี่ช่างโชคร้าย…
ชายหนุ่มส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
มันเข้าใจทันที วินเทอร์ตายเพราะฝ่าฝืนหนึ่งในข้อห้ามสำคัญของโลกผู้วิเศษ
ห้ามจับสิ่งของส่งเดช!
ผู้วิเศษส่วนมากไม่รู้ว่ามีกฎอนุรักษ์พลังพิเศษในเส้นทางใกล้เคียงและความถาวรของพลังพิเศษคอยควบคุมโลกอยู่ ส่งผลให้ไม่ทราบว่า หลังจากเสียชีวิต ตะกอนพลังจะควบแน่นจนกลายเป็นผลึก สามารถนำไปปรุงโอสถดื่มได้ อย่างไรก็ตาม กระบวนการนี้ค่อนข้างใช้เวลานานหากไม่ถูกเร่ง ส่งผลให้ผู้ลงมือฆ่าไม่ทราบว่าจะมีตะกอนพลังเกิดขึ้น และคนผ่านมาเห็นก็ไม่ทราบว่านี่คือตะกอนพลัง
วินเทอร์ไม่รู้จักตะกอนพลัง และเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นเพียงอัญมณีเวทมนตร์ จึงนำไปสร้างเป็นสร้อยคอธรรมดา การเก็บไว้กับตัวเป็นเวลานานส่งผลให้พิษจากตะกอนพลังกัดกร่อนร่างกายทีละนิด จนกระทั่งเกินเยียวยาและต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น