Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 515-518
ราชันเร้นลับ 515 : ต่างคนต่างโต
โดย
Ink Stone_Fantasy
ด้วยความสัตย์จริง แม้แฮงแมน·อัลเจอร์พอจะเดาได้ว่ามิสจัสติสคงไม่ต่อราคา และมูลค่าของสมบัติวิเศษชิ้นดังกล่าวก็ประมาณห้าพันห้าร้อยปอนด์หรือต่ำกว่าถูกต้องแล้ว แต่มันกลับเกิดความไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูกหลังจากการแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น
สืบเนื่องมาจาก การทำงานอย่างหนักจนได้รับกำไรก้อนโตสำหรับมัน กลับเทียบไม่ได้เลยกับเศษเสี้ยวเงินค่าขนมของใครบางคน
เราได้ค่านายหน้าจากเดอะเวิร์ลเป็นเงินหกร้อยเจ็ดสิบห้าปอนด์ และในความเป็นจริง ต้นทุนของช่างฝีมือก็มีราคาเพียงหกร้อยปอนด์เท่านั้น เราจึงทำกำไรได้มากถึงหนึ่งพันเจ็ดสิบห้าปอนด์ในการแลกเปลี่ยนครั้งเดียว…
แต่ว่ากันตามตรง เรายังขูดรีดจากเดอะเวิร์ลได้อีกเล็กน้อย ด้วยการโกหกว่าขายตะกอนพลังไปทั้งสิ้นสี่พันปอนด์ และเป็นค่าช่างฝีมืออีกหนึ่งพันห้าร้อยปอนด์ แต่อีกฝ่ายมิใช่บุคคลธรรมดา สามารถรวบรวมตะกอนพลังและสูตรโอสถมาขายได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์สำคัญบ่อยครั้ง การผิดใจกับเขาเพียงเพราะเงินไม่กี่ร้อยปอนด์จึงไม่ใช่เรื่องฉลาด… แฮงแมนรำพันด้วยอารมณ์เสียดายเล็กน้อย
ขณะเดอะฟูลกำลังยินดีปรีดาเมื่อตนใกล้จะได้รับเงิน 3,825 ปอนด์ เดอะซัน·เดอร์ริค มองไปทางหญิงสาวฝั่งตรงข้ามและกล่าวอย่างสุภาพ
“มิสเมจิกเชี่ยน ถุงกระเพาะอาหารของผู้กลืนวิญญาณของคุณพร้อมจัดส่งแล้ว”
“เยี่ยม!” ฟอร์สถอนหายใจด้วยสีหน้าผ่อนคลาย “ทางนี้ก็พร้อมจ่ายเงินสามร้อยปอนด์ให้มิสเตอร์แฮงแมนทันทีเช่นกัน”
แฮงแมน·อัลเจอร์ เผยสีหน้าตื่นเต้น มันรีบหันไปทางเดอะฟูลมุมโต๊ะทองแดงยาว พร้อมกับขออนุญาตเขียนสูตรโอสถลงบนกระดาษ
ไม่กี่วินาทีถัดมา มัน ‘เขียน’ สูตรโอสถ ‘ข้ารับใช้สุริยัน’ ลงบนกระดาษหนังสีน้ำตาลเบื้องหน้าจนเสร็จ
วัตถุดิบหลัก :
– หงอนไก่รุ่นอรุณตัวผู้
– ผลของต้นพันธะวิญญาณส่องแสง
วัตถุดิบเสริม :
– เลือดไก่รุ่งอรุณตัวผู้หนึ่งร้อยมิลลิลิตร
– น้ำมันสกัดสุริยันสิบหยด
– ผงส้มมือสีทองแปดกรัม
– ก้อนลาวาแข็งตัวห้ากรัม
จริงอยู่ ไคลน์อาจไม่มีเจตนาแอบมองสูตรผลิตโอสถ แต่รายละเอียดบนแผ่นกระดาษได้ประทับลงในสมองอย่างมิอาจลบเลือน
แม้จะได้เห็นแค่ครั้งเดียวแบบผ่านๆ ตา แต่ถ้าชายหนุ่มใช้พลังทำนายฝันเพื่อเรียกคืนความทรงจำตัวเอง มันก็จะเข้าถึงสูตรโอสถข้ารับใช้สุริยันได้ตลอดเวลา
ชายหนุ่มแอบถอนหายใจ
การได้เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มมันดีแบบนี้นี่เอง…
หลังจากนั้น เดอะซัน·เดอร์ริค คลี่ม้วนกระดาษออกมาอ่านด้วยสีหน้าเบิกบาน
ถัดมา มันเขียนรายชื่อของสัตว์ประหลาดรอบเมืองเงินพิสุทธิ์อย่างละเอียดให้แฮงแมนอ่าน อีกฝ่ายจะได้เลือกวัตถุดิบวิเศษสำหรับชดเชยส่วนต่างการแลกเปลี่ยน
แฮงแมน·อัลเจอร์เพ่งมองอย่างตั้งใจ พลางพิจารณาสภาพการณ์ของเมืองเงินพิสุทธิ์ภายในสมอง ก่อนจะเลือกวัตถุดิบวิเศษสามชนิดซึ่งมั่นใจว่ามีคนรอซื้อแน่นอน
เราจะปล่อยพวกมันออกภายในสองวัน เมื่อนำไปรวมกับเงินสามร้อยปอนด์จากมิสเมจิกเชี่ยน และเงินหนึ่งพันเจ็ดสิบห้าปอนด์จากการขายสมบัติวิเศษ เราก็จะมีเงินสดเพียงพอสำหรับซื้อดวงตาอินทรีทะเลตามังกรพอดี…
อัลเจอร์เริ่มอ่อนเพลียจากการคำนวณ ก่อนจะหันหน้าไปทางฟอร์สและกล่าว
“ลำดับ 7 : ข้ารับใช้สุริยัน มิสเมจิกเชี่ยน คุณเตรียมติดต่อขอซื้อดวงตาของอินทรีทะเลตามังกรได้เลย”
ว่ากันตามตรง แฮงแมน·อัลเจอร์มีเงินสดพกติดตัวในปัจจุบันไม่ถึงสิบสองปอนด์ด้วยซ้ำ แม้แต่เงินค่าช่างฝีมือก็ยังหยิบยืมคนอื่นมาจ่ายไปก่อน อย่างไรก็ตาม หลังจากเสร็จสิ้นธุรกิจในคราวนี้ เงินสดของมันจะเพิ่มพูนเป็น 2,375 ปอนด์ในคราวเดียว เพียงพอสำหรับใช้จ่ายสองพันปอนด์เพื่อซื่อวัตถุดิบหลักโอสถของตน
เมจิกเชี่ยน·ฟอร์ส พลันนึกถึงการเสียท่าให้แฮงแมนเมื่อสัปดาห์ก่อน จึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเจือความขุ่นเคือง
“ตกลง”
สำหรับเธอ กำไรสุดท้ายจะถูกกำหนดจากอาจารย์ของตน โดเรียน·เกรย์ อีกทอดหนึ่ง ส่วนอีกฝ่ายจะใจดีมอบให้เท่าไรนั้น ก็สุดแท้แต่โชคชะตาจะนำพา
ในช่วงหลังของการค้าขาย ไคลน์บังคับเดอะเวิร์ลให้ประกาศหาซื้อเศษเสี้ยวของวิญญาณอาฆาตโบราณ และดวงตาการ์กอยล์หกปีกอีกครั้ง
ในส่วนของตะกอนพลังเมอร์ล็อก ไคลน์มิได้ประกาศขายในชุมนุมทาโรต์หรือตามหาช่างฝีมือสำหรับสร้างเป็นสมบัติวิเศษ เพราะมันคิดจะใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางในการเข้าแวดวงผู้วิเศษทางทะเลให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์
หลังจากชุมนุมทาโรต์วันนี้จบลง โอสถ ‘นักจิตบำบัด’ ของมิสจัสติสก็จะพร้อมปรุงดื่มทันที และโอสถ ‘นักตุกติก’ ของมิสเมจิกเชี่ยนก็คงไม่ต่างกัน… เดอะซันน้อยก็ได้สูตรโอสถ ‘ข้ารับใช้สุริยัน’ ไปแล้ว โอกาสในการเลื่อนเป็นลำดับ 7 ค่อนข้างสดใส และเหลืออีกเพียงไม่กี่ก้าว ก็จะมีสิทธิ์อ่านเอกสารเพื่อหาวิธีลบจิตกัดกร่อนออกจากตะกอนพลังให้เรา…
มิสเตอร์แฮงแมนกำลังจะได้รับหนึ่งในวัตถุดิบหลักของโอสถ ‘ผู้รับใช้วายุ’ ของตน หมายความว่า เขาจะเหลืออุปสรรคสำคัญอีกแค่จุดเดียวในการพัฒนาไปเป็นลำดับ 6…
หมายความว่า จะเหลือเพียงเอ็มลิน ผู้ยังไม่มีทีท่าว่าจะพัฒนาลำดับของตัวเองได้ในอนาคตอันใกล้…
เดอะฟูล·ไคลน์ มองไปรอบๆ พลางยิ้ม
“เชิญแลกเปลี่ยนข้อมูล”
ใจจริง จัสติส·ออเดรย์ต้องการเปิดประเด็นเล่าเรื่องใกล้ตัวตามนิสัยปรกติ แต่หลังจากไตร่ตรองสักพัก หญิงสาวกลับพบว่า ตนไม่มีอะไรจะแบ่งปันในสัปดาห์นี้
นอกเหนือจากการเข้าร่วมงานเลี้ยงปีใหม่หนแล้วหนเล่า และเข้าเรียนวิชาจิตวิทยาอีกสองสามคาบ ชีวิตประจำวันของเราก็ไม่มีอะไรเลยสักนิด… จริงอยู่ อาจมีเรื่องเกี่ยวกับแคว้นเชสเตอร์ตะวันออกให้เล่าบ้าง แต่นั่นคงไม่จำเป็นสักเท่าไร…
หญิงสาวนั่งเม้มปากอย่างเงียบงัน
เมจิกเชี่ยน·ฟอร์สกำลังอยู่ในภาวะสันหลังยาวเนื่องจากเทศกาลหยุดปีใหม่ หัวสมองของจึงว่างเปล่า และกล่าวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดเล็กน้อย
“กรุงเบ็คลันด์ยังคงตกอยู่ในสถานการณ์คุมเข้ม หากไม่ใช่ผู้วิเศษทางการ ก็ไม่ควรเพ่นพ่านหรือทำตัวเป็นจุดสนใจในเวลานี้”
อย่างนั้นหรือ…
เดอะมูน·เอ็มลินขมวดคิ้วจนแทบจะชนกัน
แวมไพร์ผู้เคยชินกับชีวิตประจำวันแบบเดิมๆ มาตลอดอย่างมัน ออกอาการหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อทราบว่า ชุมนุมลับเกือบทั้งหมดรอบตัวจะหยุดพักกิจกรรมชั่วคราว
แฮงแมนครุ่นคิดเล็กน้อย และหันไปกล่าวกับเดอะซัน
“อย่าได้ประมาทเด็ดขาด ก่อนประกอบพิธีกรรมสังเวย คุณควรยืนยันให้แน่ใจเสียก่อนว่า หัวหน้าทีมสำรวจคราวก่อนไม่ได้อยู่ในเมืองเงินพิสุทธิ์ หรืออย่างน้อยก็ต้องยุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องอื่น”
“มิสเตอร์แฮงแมน คุณกำลังสงสัยว่า ท่านประมุขสามารถตระหนักถึงความผิดปรกติของวังวนกระแสเวลาได้?” เดอะซัน·เดอร์ริคซักถามด้วยสีหน้าตกใจ
แฮงแมนตอบขึงขัง
“ยังตัดความน่าจะเป็นนั้นออกไปไม่ได้ ผมยืนยันอะไรมากไม่ได้ เพราะไม่มีข้อมูลของเมืองเงินพิสุทธิ์สักเท่าไร”
เมื่อพูดจบ มันหุบยิ้มและทำหน้าจริงจัง
เดอะซัน·เดอร์ริคกล่าวด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน
“ผมเองก็ไม่ทราบเช่นกัน…”
ชิ! แฮงแมน·อัลเจอร์ถอนหายใจผิดหวัง
“แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน การระมัดระวังตัวจะช่วยให้มนุษย์มีชีวิตยืนยาวกว่าเดิม”
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ” เดอะซันน้อยตอบสนองอย่างใจจริง
แฮงแมนเบือนหน้ากลับมาพลางอมยิ้ม
“ท้องทะเลสงบมากในช่วงหลัง”
ผิดแล้วสหาย คุณคิดไปเอง…
ไคลน์จิกกัด พลางบังคับเดอะเวิร์ลให้เปล่งเสียงแหบพร่า
“ผมเพิ่งได้ยินเรื่องน่าสนใจในทะเลมา”
โดยไม่รอให้แฮงแมนถาม ชายหนุ่มมองไปทางสองสาว จัสติสและเมจิกเชี่ยน
“คุณสุภาพสตรีทั้งสอง รบกวนช่วยหาซื้ออุปกรณ์รับส่งวิทยุให้ผมสักเครื่องจะได้ไหม”
“ไว้ฉัน… จะลองดูให้” เมจิกเชี่ยน·ฟอร์สตอบลากเสียงอย่างมิได้ใส่ใจนัก
ส่วนอีกคนหนึ่ง เนื่องจากกำลังจะออกจากเบ็คลันด์ จัสติสจึงพูดได้เพียง ‘ขอโทษค่ะ’
หลังจากไหว้วานเสร็จ เดอะเวิร์ลกระแอมในลำคอหนึ่งหน
“สำหรับข่าวทางทะเลของผม มีส่วนเกี่ยวข้องกับโบสถ์วายุสลาตันด้วย”
เกี่ยวข้องกับโบสถ์? แล้วทำไมเราถึงไม่ได้รับแจ้งข้อมูล? หรือเพราะยังเป็นบุคคลสำคัญไม่มากพอ จึงไม่มีสิทธิ์ทราบข่าว?
แฮงแมนทำได้เพียงขมวดคิ้ว รอคอยคำอธิบายจากเดอะเวิร์ลอย่างอดทน
ขณะเดียวกัน เดอะเวิร์ลต้องการชำเลืองแฮงแมนด้วยสายตาเย้ยหยัน แต่เนื่องจากการควบคุมสีหน้าของหุ่นเชิดยังทำได้ยาก ไคลน์จึงยิ้มแห้งอย่างไร้ชั้นเชิงกลับไป
“ประเพณีเก่าแก่ของเมืองท่าแบนชีถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ ชาวเมืองบางส่วนกลายเป็นสมาชิกลัทธิ แม้แต่บิชอปก็ยังเสื่อมทราม แต่ผมได้ยินมาว่า ปัญญาดังกล่าวได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว โดยระหว่างนั้นก็มีผู้คนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก”
เมืองท่าแบนชี…
แฮงแมน·อัลเจอร์ทำหน้านึกทบทวน ก่อนจะหันไปอธิบายมิสจัสติสผู้ยังตามไม่ทันฟัง
“เมืองท่าดังกล่าวมีธรรมเนียมโบราณเป็นการสังเวยมนุษย์ เป้าหมายคือวิญญาณมารซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็น ‘เทพสภาพอากาศ’ ไม่ว่าจะท้องทะเลหรือทวีปใต้ ก็ยังคงมีวิญญาณมารในลักษณะนี้แฝงตัวอยู่อีกมาก หากไม่มีข้อมูลอย่างละเอียดก็คงเข้าใจว่าพวกมันถูกกวาดล้างไปหมดแล้ว แต่ความจริงนั้นไม่ใช่เลย วิญญาณมารยังคงหลบซ่อนอยู่ในสถานะไม่ปรกติรอบโลก มีผู้คนมากมายต้องล้มตายโดยมีพวกมันเป็นต้นตอ และสาเหตุการตายไม่จำกัดว่าต้องเป็นอาการป่วยไข้เท่านั้น หากพวกคุณมีโอกาสได้ออกทะเล ห้ามประมาทโดยเด็ดขาด”
อัลเจอร์พยายามอธิบายเรื่องราวอย่างง่ายๆ ให้ทุกคนเข้าใจว่า เหตุการณ์บนท่าเรือแบนชีเป็นไปในลักษณะใด
ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอ
เสียงหัวเรามาจากตำแหน่งมุมโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณ!
มิสเตอร์ฟูล…! แฮงแมนรีบก้มศีรษะต่ำ
มิสเตอร์ฟูล! หมายความว่า เรื่องราวมิได้ง่ายดายเหมือนภายนอกสินะ!
ออเดรย์หันไปมองเดอะฟูลบนเก้าอี้พนักสูง
เมื่อเห็นสมาชิกต่างพากันสงสัย อยากรู้อยากเห็น หรือตื่นเต้น ไคลน์หัวเราะในลำคอซ้ำพลางทำท่านึกทบทวน
“ทำเอานึกถึงราชาเทวทูตตนหนึ่งขึ้นมา”
ราชาเทวทูต! เรื่องราวของเมืองท่าแบนชีเกี่ยวข้องกับราชาเทวทูต…!
ดวงตาออเดรย์พลันเบิกโพลง เธอกำลังคาดหวังคำอธิบายเพิ่มเติมจากเดอะฟูล
“ราชาเทวทูต…” ฟอร์สสูดลมหายใจเข้าออกเต็มปอด สีหน้าเผยความขื่นขม
ทำไมชุมนุมทาโรต์ถึงเอาแต่พูดเรื่องการมาเยือนของพระผู้สร้างแท้จริง การคืนชีพของแม่มดบรรพกาล และราชาเทวทูตวนเวียนไปมาอยู่นั่น! เรายังอยู่แค่ลำดับ 9 เท่านั้น!
ฟอร์สอยากจะแหงนมองท้องฟ้าและถอนหายใจเสียงดังอย่างเหนื่อยหน่าย
เดอะมูน·เอ็มลิน แอบตื่นเต้นในใจ มันเริ่มกระจ่างว่า เพราะเหตุใดต้นตระกูลผีดูดเลือดจึงต้องการให้ตนสวดวิงวอนถึงเดอะฟูล
ไม่ผิดแน่ นี่คือการรวมตัวของกลุ่มคนพิเศษ ผู้ถูกเลือกให้มีชะตากรรมคอยปกป้องตระกูลหรือฝ่ายของตัวเองอย่างลับๆ ในเงามืด! ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญหน้ากับตัวตนชั่วร้ายเช่นราชาเทวทูต แม่มดบรรพกาล และพระผู้สร้างแท้จริงเป็นระยะ!
คิดได้เช่นนั้น เอ็มลินเกิดแรงกระตุ้นอยากจะตอบรับข้อเสนอตะกอนพลังบารอนผีดูดเลือดจากแฮงแมนทันที เพียงแต่ว่า ความยากจนได้กระชากให้มันกลับสู่ความจริง
จะเป็นราชาเทวทูตตนใดกัน…
เดอะซัน·เดอร์ริค ถือโอกาสมีส่วนร่วมในบทสนทนา ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
ราชาเทวทูต… เมืองท่าแบนชีซ่อนความลับใดไว้กันแน่? แฮงแมนตั้งตารอคำตอบจากเดอะฟูลอย่างใจเย็น
ขณะเดียวกัน เมื่อออเดรย์เห็นว่ามิสเตอร์ฟูลไม่มีเจตนาเล่าต่อ หญิงสาวจึงรีบซักถามอย่างหมดความอดทน
“มิสเตอร์ฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ราชาเทวทูตในคราวนี้เป็นใครกันหรือคะ?”
ไคลน์เอนหลังและหัวเราะ ‘หึหึ’
“เมดีซี ผู้ก่อตั้งกุหลาบไถ่บาป ทายาทของมันอาศัยอยู่ในเมืองบินซี่”
กุหลาบไถ่บาป! หมายความว่า ราชาเทวทูตตนนี้มีส่วนเกี่ยวพันกับพระผู้สร้างแท้จริง?
ออเดรย์คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะซ้อนทับกันจนวุ่นวายและทวีความเข้มข้น ขณะเดียวกันก็โพล่งถามประเด็นน่าสงสัยตามความเคยชิน
“เมืองบินซี่?”
“ชื่อเก่าของแบนชี” แฮงแมน·อัลเจอร์มอบคำตอบพลางกำมือแน่น
มันจินตนาการไม่ออกเลยว่า เมืองท่าแบนชีเก็บซ่อนความลับใดไว้ แต่ค่อนข้างมั่นใจอยู่หลายส่วน ว่าปัญหาในเมืองท่าแบนซีซึ่งทุกคนเคยเข้าใจว่าจบลงแล้ว ความจริงคือมันยังไม่จบ! อันตรายใหญ่หลวงกำลังเร้นกายอยู่ภายในความมืด!
มันไม่มีข้อมูลของกุหลาบไถ่บาปมากนัก ทราบเพียงว่า มีความเกี่ยวพันกับพระผู้สร้างแท้จริงและ ‘เทวทูตโชคชะตา’ โอโรเลอุส
สรุปก็คือ เรื่องนี้อยู่เกินเอื้อมจินตนาการของเราไปเรียบร้อยแล้ว…
อัลเจอร์มองไล่ไปตามโต๊ะทองแดงยาวลายโบราณ พลางตระหนักว่ามิสเตอร์ฟูลของตนมีข้อมูลขอราชาเทวทูตทั้งแปดอยู่ไม่น้อย
ทันใดนั้น มันฉุกคิดได้หนึ่งเรื่อง
เมื่อสัปดาห์ก่อน มิสจัสติสเคยถามเกี่ยวกับราชาเทวทูตตนอื่นๆ แต่มิสเตอร์ฟูลกลับตอบเพียงว่า อีกประเดี๋ยว พวกเราทุกคนก็จะได้พวกมันรู้จักเอง…
และหนึ่งสัปดาห์ถัดมา พวกเราก็ได้ยินชื่อของราชาเทวทูตตนใหม่ทันที!
ท่านเดอะฟูลมองเห็นอนาคตนี้!
รูม่านตาอัลเจอร์พลันหดเกร็งด้วยอากัปกิริยาหวาดผวา
……………………
ราชันเร้นลับ 516 : การคาดเดาของแฮงแมน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท่ามกลางความตกตะลึง แฮงแมน·อัลเจอร์ผุดอีกหนึ่งข้อสงสัยในใจ
จริงอยู่ มิสเตอร์ฟูลอาจทำนายเหตุการณ์ความวุ่นวายบนเกาะแบนชีได้ล่วงหน้า แต่ทำไมท่านถึงเจาะจงบอกให้พวกเราทราบว่า เมืองท่าดังกล่าวมีความเกี่ยวพันกับกุหลาบไถ่บาปและราชาเทวทูตเมดีซี?
สิ่งมีความสำคัญอย่างไร?
หรือต้องการส่งต่อข้อมูลผ่านพวกเรา?
ส่งให้ใคร? และเป้าหมายคือสิ่งใด?
หรือท่านกำลังหวังขัดขวางแผนการของราชาเทวทูต? ไม่สิ อาจเป็นแผนการพระผู้สร้างแท้จริงมากกว่า!
มิสเตอร์ฟูลเคยทำลายแผนการของ ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ มาแล้วหลายหน และคราวนี้ก็คงไม่มีข้อยกเว้น… ถ้อยคำ ‘กุหลาบไถ่บาป’ ได้ปรากฏบนจิตรกรรมฝาผนังของวิหารพระผู้สร้างแท้จริง โดยองค์กรดังกล่าวถูกก่อตั้งด้วยฝีมือราชาเทวทูต เมดีซีและโอโรเลอุส…
จะเห็นได้ชัดว่า ข้อมูลทั้งหมดพุ่งเป้าไปยังพระผู้สร้างแท้จริงอีกครั้ง…
ขณะเดียวกัน ในเมืองท่าแบนชีมีวิหารเพียงแห่งเดียว นั่นคือวิหารวายุสลาตัน หมายความว่า มิสเตอร์ฟูลต้องการกระจายข่าวผ่านตัวเรา?
แฮงแมน·อัลเจอร์ เริ่มเข้าใจอย่างเลือนราง
ทันใดนั้น มันพบอีกหนึ่งปัญหา
ในคราวก่อน เดอะเวิร์ลเคยเล่าว่า จะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นภายในเมืองหลวง โดยข้อมูลดังกล่าวก็ได้รับการยืนยันจากมิสเตอร์ฟูลทันที และต่อมาไม่นาน เหตุการณ์ใหญ่ได้เกิดขึ้นในกรุงเบ็คลันด์จริง เป็นความพยายามคืนชีพของแม่มดบรรพกาล และความพยายามลงมาจุติของพระผู้สร้างแท้จริง…
มาถึงครั้งนี้ ข้อมูลใหม่จากเดอะเวิร์ลได้รับการยืนยันโดยมิสเตอร์ฟูลอีกครั้ง ท่านยอมเปิดเผยความลับของเมืองบินซี่โบราณ ว่ามีความเกี่ยวพันกับทายาทของกุหลาบไล่บาป และราชาเทวทูต·เมดีซี ต่อหน้าสมาชิกชุมนุมทาโรต์ทุกคน…
เป็นแค่เหตุบังเอิญจริงหรือ?
แต่ไหนแต่ไร ข้อมูลของเดอะเวิร์ลจะกำจัดวงแคบอยู่ภายในกรุงเบ็คลันด์เท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกในการพูดถึงเบาะแสทางทะเล…
ขณะเดียวกัน มิสเตอร์ฟูลเคยกล่าวไว้ในสัปดาห์ก่อนว่า ข้ารับใช้ของท่านต้องเดินทางออกจากเบ็คลันด์เป็นการชั่วคราว…
หมายความว่า เดอะเวิร์ลคือข้ารับใช้ของมิสเตอร์ฟูล?
ไม่สิ เขาอาจเป็นแค่ ‘ตัวแทน’ ของข้ารับใช้หลายๆ คนในการปกครองของมิสเตอร์ฟูล โดยจะคอยรับส่งข้อมูลข่าวสาร รวมถึงการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าภายในชุมนุมทาโรต์แทนข้ารับใช้คนอื่น…
เพราะถึงจะเป็นข้ารับใช้มิสเตอร์ฟูล แต่ก็ยังต้องเลื่อนลำดับและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีข้อยกเว้น สิ่งนี้คงถือเป็นบททดสอบจากมิสเตอร์ฟูลไปในตัว…
เมื่อลองไตร่ตรองดูให้ดี เรื่องนี้มีโอกาสเป็นความจริงค่อนข้างมาก เพราะเหนือสิ่งอื่นใด เดอะเวิร์ลไม่เคยรวบรวมไดอารีจักรพรรดิโรซายล์เพื่อแลกเปลี่ยนกับมิสเตอร์ฟูลเลยสักครั้ง!
ในฐานะข้ารับใช้ เขาคงทำมันอย่างลับๆ โดยไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยนอยู่แล้ว…
จากข้อสรุปดังกล่าว ความผิดปรกติต่างๆ เกี่ยวกับเดอะเวิร์ลก่อนหน้านี้ รวมถึงการแสร้งปรึกษามิสเตอร์ฟูลส่วนตัว ทั้งหมดทำไปเพื่อปกปิดตัวตนการเป็นข้ารับใช้ ทฤษฎีนี้นับว่าสอดคล้องกับความรอบรู้และประสบการณ์อันซับซ้อนของเดอะเวิร์ล…
มิสเตอร์ฟูลจัดตั้งชุมนุมทาโรต์ขึ้นเพื่อฟื้นฟูพลังจากผนึกอย่างลับๆ โดยหวังให้พวกเราช่วยแทรกแซงโลกจริงในบางเรื่อง ดังนั้น กลุ่มสมาชิกแต่ละคนจึงประกอบขึ้นจากบุคคลหลากหลายประเภท เช่นขุนนางใหญ่ ผู้วิเศษระดับบิชอปของโบสถ์ ผู้รอดชีวิตจากดินแดนเทพทอดทิ้ง ศิษย์ของตระกูลอับราฮัม และแวมไพร์โตเต็มวัย โดยทุกคนจะเป็นตัวแทนของขั้วอำนาจใหญ่บนโลกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
แฮงแมน·อัลเจอร์กำลังครุ่นคิดในหลายสิ่ง นอกจากมันจะไม่หดหู่กับข้อสันนิษฐานของตัวเองแล้ว ตรงกันข้าม มันกำลังตื่นเต้น เพราะแต่ไหนแต่ไร เนื่องจากยังไม่ทราบเจตนาของเดอะฟูลอย่างแน่ชัด ภายในใจจึงยังมีความหวาดกลัวเจืออยู่บางส่วน แต่เมื่อเริ่มตระหนักถึงจุดประสงค์ของอีกฝ่าย มันก็สามารถหลบเลี่ยงอันตราย ไปพร้อมการกับผลักดันตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
และทุกครั้งเมื่อมิสเตอร์ฟูลต้องการให้พวกเรากระทำบางสิ่ง ท่านจะตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อเสมอ… เรากำลังต้องการแบบนั้นพอดี ไม่อย่างนั้น บิชอปต่ำต้อยของโบสถ์คงไม่มีโอกาสฝันถึงครึ่งเทพแน่นอน…
หึหึ! เดอะเวิร์ลเอ๋ย นายต้องคาดไม่ถึงแน่ ว่าฉันค้นพบความลับเข้าแล้ว!
ความตึงเครียดของอัลเจอร์เริ่มคลี่คลาย สมาธิกลับมาจดจ่ออยู่กับเบาะแสของเมืองท่าแบนชีอีกครั้ง
มันไม่สามารถรายงานเบื้องบนลอยๆ ได้ทันที เพราะนั่นจะทำให้ถูกสงสัย อัลเจอร์ต้องอดทนรอโอกาสอย่างใจเย็น เพื่อให้ตนได้รับรางวัลใหญ่และความชื่นชอบจากเบื้องบนอย่างล้นหลามในคราวเดียว โดยไม่ถูกตามตรวจสอบในเชิงลึกภายหลัง
จัสติส·ออเดรย์มองออก แฮงแมนกำลังใช้การสมองอย่างหนัก แต่เธอก็มิอาจทราบได้ว่า อีกฝ่ายไตร่ตรองเรื่องราวจำนวนมากได้ในช่วงเวลาแสนสั้น
จากบอกเล่าของเดอะฟูล ออเดรย์ตื่นเต้นหลังจากได้ทราบว่า องค์กรกุหลาบไถ่บาปถูกก่อตั้งโดยฝีมือราชาเทวทูต และยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับพระผู้สร้างแท้จริง
ขณะเดียวกัน หญิงสาวเริ่มสังเกตเห็นถึงความไม่ปรกติของเดอะเวิร์ล เธอพบว่าสมาชิกชุมนุมผู้อ่านความรู้สึกได้ยากคนนี้ มักเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ใหญ่อยู่เสมอ และมีข้อมูลสำคัญในมือเป็นจำนวนมาก รวมถึงสูตรโอสถและตะกอนพลังอีกหลายชนิด ราวกับว่า สามารถไล่เชือดผู้วิเศษได้สัปดาห์คนละสองคนตามใจชอบ!
เขาไปจากกรุงเบ็คลันด์และเริ่มออกทะเลแล้วหรือ? เราควรแจ้งเบาะแสดังกล่าวให้โบสถ์รัตติกาลทราบดีไหม?
น่าเสียดาย มิสเตอร์แฮงแมนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโบสถ์วายุสลาตัน เรื่องนี้จึงควรปล่อยให้เขาจัดการมากกว่า…
หญิงสาวบรรเทาความกดดันพร้อมกับซักถามอย่างใครรู้
“ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ ราชาเทวทูตเมดีซีมีสมญานามเป็นเช่นไร เอ่อ หรือดิฉันควรซักถามว่า เมดีซีอยู่บนเส้นทางใด?”
ไคลน์เอนหลังพลางเผยรอยยิ้ม
“นักบวชสีชาด”
นักบวชสีชาด? เส้นทางไหนกัน? ฟังดูคล้ายกับชื่อของ ‘จักรพรรดิมืด’ …
นั่นคือชื่อของลำดับ 0 หรือ?
ออเดรย์ครุ่นคิดตื่นเต้นกึ่งมีความสุข
นักบวชสีชาด… เดอะซัน·เดอร์ริค ทวนคำอย่างเงียบงันและพบว่า ตำนานของเมืองเงินพิสุทธิ์ไม่มีชื่อดังกล่าวบันทึกไว้
อาจเป็นเพราะเรายังศึกษาข้อมูลของเมืองไม่มากพอ และเหนือสิ่งอื่นใด ความรู้ของเราเป็นแค่เรื่องพื้นฐานของเมืองเงินพิสุทธิ์ เกือบทั้งหมดล้วนมีสอนในคาบเรียน…
เด็กหนุ่มครุ่นคิดอย่างนึกเสียดาย
เมจิกเชี่ยน·ฟอร์ส และเดอะมูน·เอ็มลินต่างกำลังคิดแบบเดียวกัน พวกมันรู้สึกราวกับมีใครบางคนนั่งเล่านิทานอันน่าอัศจรรย์ให้ฟัง
ช่างน่าเสียดายนัก เรามิอาจนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช่แต่งนิยายเรื่องใหม่ไม่ได้!
ฟอร์สกัดฟันกรอด
ได้แต่หวังว่ามิสเตอร์แฮงแมนจะรีบรายงานให้โบสถ์วายุสลาตันทราบโดยไม่ทิ้งช่วงนานเกินไปนัก… ด้วยความเยือกเย็นและสติปัญญาของเขา ตอนนี้คงพบความสัมพันธ์ระหว่างเดอะฟูลกับเดอะเวิร์ลแล้ว แต่ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล เพราะเราได้เตรียมการให้เชอร์ล็อก·โมเรียตี้รับบทบาทของเดอะเวิร์ลมาตั้งแต่แรก ไม่ว่าแฮงแมนจะหลักแหลมสักเพียงใด ก็ไม่มีทางจินตนาการออกว่า ความจริงแล้วเดอะเวิร์ลเป็นเพียง ‘หุ่นเชิด’ …
เดอะฟูล·ไคลน์ ยกมือสัมผัสคางพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เชิญต่อ”
เมื่อเห็นว่าเดอะฟูลไม่มีเจตนาพูดถึงประเด็นเดิม เดอะมูน·เอ็มลิน ผู้ปล่อยวางจากตะกอนพลังบารอนผีดูดเลือดมาได้สักระยะ เริ่มกลับมาตระหนักถึงปัญหาใหญ่ในปัจจุบันของตนอีกครั้ง
มันไม่มีเงิน!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เอ็มลินจะไม่ขายตุ๊กตาเหล่านั้นทิ้งโดยเด็ดขาด แต่จะคอยตักเตือนตัวเองว่า หลังจากนี้จะใช้เงินอย่างประหยัด เงินค่าแต่งตัวให้ตุ๊กตาจะถูกแบ่งมาออมเงินเป็นเวลาครึ่งปีหรือหนึ่งปีเต็ม
ยังมีอีกหนึ่งวิธีในการทำเงิน นั่นคือการขายยาวิเศษสรรพคุณยอดเยี่ยมบางชนิดออกไปสู่คนภายนอก แต่นั่นจะทำให้ตระกูลผีดูดเลือดทั้งหมดในเบ็คลันด์เกิดอันตราย
ว่ากันตามตรง ในเมื่อเรากำลังทำภารกิจให้ท่านบรรพชนต้นกำเนิด อย่างน้อยจึงควรได้รับความช่วยเหลือจากลอร์ดนีบาสอย่างลับๆ แต่เป็นเพราะท่านเดอะฟูลบอกให้เราเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับสุดยอด ผู้กอบกู้ตระกูลอย่างเราจึงห้ามเปิดเผยตัวตนเด็ดขาด…
ผ่านนาทีแล้วนาทีเล่า เอ็มลินตัดสินใจโพล่งถามอย่างกระสับกระส่าย
“ทุกคน ข้ามีคำถาม สมมติว่า ตัวตนระดับสูงคนหนึ่งไหว้วานให้พวกเจ้าตรวจสอบบางเรื่อง และผลลัพธ์ออกมาว่า เจ้าตรวจสอบสำเร็จจนทราบความจริงทั้งหมด แต่ด้วยเหตุผลบางประการ พวกเจ้ากลับยังไม่สามารถบอกความจริงกับตัวตนระดับสูงคนดังกล่าวได้ทันที ต้องรอให้เรื่องราวดำเนินไปถึงจุดหนึ่งเสียก่อน คำถามคือ ต้องทำอย่างไรจึงจะได้รับการสนับสนุนจากตัวตนระดับสูงคนดังกล่าวจนกว่าเรื่องราวจบลง?”
เมื่อกล่าวจบ เอ็มลินทำสีหน้าละอาย
พฤติกรรมของเราเหมือนกับคนทรยศตระกูลไม่มีผิด… ไม่สิ ข้าทำเพื่อปกป้องสายเลือดต่างหาก! เพื่อจะรับบทเช่นนั้น เราต้องยอมเสื่อมเสียเกียรติยศ แบกรับคำนินทาจากทุกคนไว้ตามลำพัง รอจนกระทั่งเรื่องราวทั้งหมดจบลงและความจริงถูกเปิดเผย…
เดอะมูน·เอ็มลิน เริ่มผ่อนคลาย
ทันใดนั้น จัสติส·ออเดรย์ เมจิกเชี่ยน·ฟอร์ส และเดอะซัน·เดอร์ริค ต่างมองไปทางแฮงแมน·อัลเจอร์เป็นตาเดียว เป็นเพราะอีกฝ่ายช่ำชองในเรื่องประเภทนี้มาก จึงไม่มีใครให้คำปรึกษาได้ดีไปกว่าเขาอีกแล้ว
แม้แต่เดอะฟูล·ไคลน์ ก็ยังคิดแบบเดียวกัน
แฮงแมน·อัลเจอร์มองไปทางเดอะมูนและกล่าวเสียงขรึม
“ง่ายมาก แค่คุณต้องแบกรับความเสี่ยง”
เอ็มลินรีบปฏิเสธจากจิตใต้สำนึก
“ไม่ใช่ข้าสักหน่อย!”
แฮงแมนหัวเราะ
“สมมติว่าเป็นคุณก็แล้วกัน”
ตามด้วยการอธิบาย
“เพียงแค่คุณจงใจเผยความผิดปรกติบางอย่างในตัวเองทีละนิด จนกระทั่งตัวตนระดับสูงคนดังกล่าวเริ่มสังเกตเห็นปัญหา อีกฝ่ายจะมีตัวเลือกแค่สองทาง หนึ่ง ทรมานคุณโดยตรงเพื่อสอบสวน แต่วิธีนี้จะทำให้เบาะแสถูกลบเลือนได้ง่าย สอง แอบให้ความช่วยเหลือคุณอยู่ห่างๆ พร้อมกับส่งคนมาคอยจับตามองโดยอ้างเรื่องความปลอดภัย ผมคิดว่าอย่างหลังมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่า และความเสี่ยงของคุณคือ จะต้องคอยปิดบังความลับแท้จริงจากอีกฝ่ายให้มิดชิดมากกว่าเดิม”
แบบนี้นี่เอง…
แต่ถ้าเราไม่พูด เรื่องชุมนุมทาโรต์ก็ไม่มีวันล่วงรู้ถึงหูลอร์ดนีบาสแน่นอน เพราะช่วงเวลาขณะเข้าร่วมแต่ละครั้ง—วันจันทร์บ่ายสามโมงตรง—เราจะแอบงีบในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว…
ในกรณีของพิธีกรรมสังเวยและรับมอบ เราจะใช้สิ่งนี้เพื่อล่อลอร์ดนีบาสให้ติดกับ ท่านจะได้เข้าใจว่า พิธีกรรมสวดวิงวอนถึงเดอะฟูลมีบางอย่างเกิดขึ้นจริง แต่ก็ไม่ทราบรายละเอียดอะไรมากนัก…
ดีล่ะ พรุ่งนี้เราจะถามบารอนเวย์แมนดี้ถึงข้อมูลของเมืองเงินพิสุทธิ์ขณะศึกษาประวัติศาสตร์!
ดวงตาของเดอะมูน·เอ็มลินสว่างขึ้นเล็กน้อยคล้ายกับผุดแผนการได้มากมาย
ก่อนจะฉุกคิดบางสิ่งได้ จึงรีบหันไปพูดกับแฮงแมนด้านข้าง
“เมื่อสัปดาห์ก่อน คุณเคยถามเอาไว้ใช่ไหม ว่ามีวิธีการใดทำให้คนบนเรือหลับสนิทพร้อมกันได้บ้าง เรื่องไม่นั้นยาก ข้าสามารถจัดหาแก๊สสลบซึ่งมีพลังในการแผ่ขยายตัวเองโดยปราศจากกลิ่นให้สัมผัสถึง เพียงสูดดมเข้าไปเล็กน้อย ก็มากพอจะทำให้เหยื่อหมดสติได้ในพริบตา อย่างไรก็ตาม ต้องเลือกลงมือในจุดปลอดลม และเป้าหมายต้องไม่มีทักษะหยั่งถึงอันตราย รวมถึงมีสมรรถภาพร่างกายไม่แข็งแกร่งไปกว่าลำดับ 9 บนเส้นทางเกี่ยวกับพละกำลัง เหยื่อจะหลับลึกนานสามชั่วโมง โดยหลังจากนั้น ประสิทธิภาพจะเสื่อมถอยตามเวลา กระป๋องละหนึ่งร้อยปอนด์ และต้องแบ่งให้ข้าอีกสามสิบปอนด์”
แฮงแมนครุ่นคิดเกี่ยวกับสถานการณ์บนเรือผีสิงของตนสักพัก ก่อนจะตกปากรับคำโดยไม่ต่อราคา
“ตกลง”
มันสร้างภาพการ ‘ไม่ต่อรอง’ ให้เดอะมูนเห็นเป็นแบบอย่าง อีกฝ่ายจะได้ไม่กล้าต่อรองในการค้าขายใหญ่ซึ่งอาจเกิดขึ้นในอนาคต
เดิมที อัลเจอร์เคยคิดจะใช้ยันต์หลับใหลใส่ลูกเรือทั้งหมด แต่กังวลว่าเสียงท่องคาถาจะทำให้ใครบางคนพบความผิดปรกติ
เมื่อช่วงเวลาแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระจบลง ไคลน์เคาะผิวโต๊ะทองแดงลายโบราณด้วยมือ
พลางหัวเราะในลำคอ
“หึหึ สำหรับสัปดาห์หน้า เรามองเห็นว่าพวกเจ้าทุกคนจะปรากฏตัวโดยมีพัฒนาการขึ้นจากเดิมอย่างมาก วันนี้พอเท่านี้ก่อน”
“ขอบคุณสำหรับคำอวยพรค่ะ!”
จัสติส·ออเดรย์ลุกขึ้นยืนพลางทำท่าอำลา
ถ้อยคำของเดอะฟูลช่วยให้หญิงสาวมีความมั่นใจมากขึ้นเล็กน้อยในการดื่มโอสถนักจิตบำบัด
หลังจากเมจิกเชี่ยนและคนอื่นกล่าวในสิ่งเดียวกันจนครบ วังสายหมอกสีเทาได้กลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง
……………………
ราชันเร้นลับ 517 : เมืองแห่งการให้
โดย
Ink Stone_Fantasy
กรุงเบ็คลันด์ เขตเชอร์วู้ด
เมื่อแสงสีแดงจางลง ฟอร์สมองเห็นโต๊ะอ่านหนังสืออันคุ้นตาและสมุดโน้ตสำหรับจดบันทึกแรงบันดาลใจใหม่ๆ
ในมุมมองหญิงสาว ประสบการณ์เมื่อครู่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในใจกลับมิอาจสลัดความหวาดกลัวไปได้หมดจด
นี่ไม่ใช่พลังของมนุษย์ แต่เป็นครึ่งเทพ!
“เราจะได้รับถุงกระเพาะอาหารของผู้กลืนวิญญาณในอีกสองวัน โดยโอสถ ‘ผู้ฝึกหัด’ ขวดใหม่ถูกย่อยใกล้หมดพอดี… เรากำลังจะได้เป็นนักตุกติกในอีกไม่ช้า แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าพลังใหม่มีอะไรบ้าง… สามารถเลื่อนลำดับด้วยลำแข้งของตัวเองเช่นนี้ อาจารย์จะต้องให้ความสำคัญกับเรามากขึ้นแน่นอน อาจเป็นการมอบสูตรโอสถลำดับถัดไปทันที หรืออาจได้วัตถุดิบหลักแถมมาด้วย… แต่เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลำดับ 6 และ 5 ชื่ออะไร ทราบเพียงลำดับ 7 ‘โหราจารย์’ ไว้กลายเป็นนักตุกติกสำเร็จเมื่อไร ค่อยเขียนจดหมายไปถามอาจารย์เพิ่มเกี่ยวกับเรื่องนี้…”
ฟอร์สสัมผัสได้ว่า ตนเริ่มเข้าใกล้การหลุดพ้นจากคำสาปคืนจันทร์เต็มดวงทีละนิด
ทันนั้น เธอได้ยินเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบดังออกไปไกลขึ้นทุกขณะ จนกระทั่งมีเสียงปิดประตูบ้านดัง ‘ปัง’
“ซิลออกไปข้างนอกอีกแล้ว… คงมีงานต้องสะสางอีกเพียบ”
ฟอร์สถอนหายใจเสียงแผ่ว
“ถ้าเธอไม่ติดหนี้ไวเคาต์กายลินอยู่สี่ร้อยปอนด์ ป่านนี้พวกเราคงได้ไปเที่ยวอ่าวเดซีย์กันแล้ว”
หลังจากมุมานะเป็นเวลานาน ความพยายามของซิลเริ่มผลิดอกออกผล งานยากๆ ในสมัยก่อนถูกปิดได้ง่ายขึ้นหลังจากซิลกลายเป็นเจ้าพนักงาน และในบางครั้ง เธอยังรับงานจิปาถะแต่ค่าตอบแทนสูงจากชายสวมหน้ากากทอง เงินออมจึงเพิ่มจากหนึ่งร้อยสิบปอนด์เป็นสามร้อยยี่สิบปอนด์ในเวลาไม่นาน เหลืออีก แปดสิบปอนด์ก็จะเพียงพอสำหรับชำระหนี้
“ในความเป็นจริง เราสามารถช่วยกลบหนี้ส่วนต่างแปดสิบปอนด์ตรงนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ถึงเธอจะตัวไม่สูง แต่ศักดิ์ศรีของเธอสูงมาก…”
ฟอร์สครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย ก่อนจะกลับเข้าประเด็นความต้องการของเดอะเวิร์ล
ในฐานะแพทย์และนักเขียน เธอไม่มีความรู้เกี่ยวกับเครื่องรับส่งโทรเลขมากนัก หรือแม้กระทั่งเรื่องเกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไกทั้งหมด
ฟอร์สจะไม่สนใจเนื้อหาประเภทดังกล่าวขณะอ่านหนังสือพิมพ์ จึงไม่ทราบว่าจะหาซื้อเครื่องรับส่งวิทยุได้จากไหนบ้าง
“ห้างสรรพสินค้า? คงไม่กระมัง จริงสิ… อาวีลล์เขียนนิยายวิทยาศาสตร์ น่าจะมีความรู้ในเรื่องนี้พอสมควร”
ฟอร์สเริ่มพบเป้าหมายให้ปรึกษา
แต่ทันใดนั้น ปัญหาใหม่ผุดขึ้นในใจ นั่นคือ เธอควรแวะไปเยี่ยมอีกฝ่ายโดยตรง หรือเขียนจดหมายไปถามก่อน?
สายตาจ้องไปทางเก้าอี้เอนกายซึ่งมีผ้าห่มหนานุ่มคลุมอยู่ ผนวกเข้ากับกลิ่นกาแฟและยาสูบซึ่งกำลังอบอวลทั่วห้อง ความอบอุ่นอันแสนเกียจคร้านได้เกาะกินจิตใจฟอร์สทีละนิด
“เราไม่สนิทกับทางนั้น การแวะไปเยี่ยมส่งเดชคงไม่เหมาะสักเท่าไร” หญิงสาวพึมพำพลางกวาดเครื่องเขียนหลบ และวางกระดาษเปล่าแผ่นใหม่ลงบนโต๊ะ
…
เมืองเงินพิสุทธิ์ บ้านตระกูลเบเกอร์
เดอร์ริคลืมตาขึ้นจากภาวะแสร้งหลับ
ตามแผนเดิม เด็กหนุ่มคิดจะประกอบพิธีกรรมสังเวยถุงกระเพาะอาหารของผู้กลืนวิญญาณให้มิสเตอร์ฟูลทันที แต่คำเตือนของแฮงแมนทำให้มันต้องคิดใหม่ และเพิ่มความระมัดระวังตัวมากขึ้น
เห็นทีว่า… เราคงต้องรวบรวมวัตถุดิบตามความต้องการของแฮงแมนให้ครบก่อน จึงค่อยประกอบพิธีกรรมสังเวยในคราวเดียว…
เดอร์ริคเงียบงันสักพัก จึงค่อยเหน็บขวานเฮอร์ริเคนไว้กับเอวและเดินไปยังหอคอยคู่
ก่อนอื่น เด็กหนุ่มตรวจสอบว่า คะแนนผลงานของตนสามารถนำไปแลกเปลี่ยนวัตถุดิบวิเศษชนิดใดได้บ้าง แต่เดอร์ริคยังไม่ใจร้อนแลกเปลี่ยนทันที โดยจะนำราคาไปเปรียบกับตลาดมืดในช่วงกลางคืนเพื่อความแน่ใจ
ถัดมา มันเดินขึ้นไปยังชั้นสาม เป้าหมายคือหอสมุดหมวดหมู่ตำนานโบราณและเอกสารเก่าแก่ เพื่อค้นหาความรู้แปลกใหม่อย่างหิวกระหาย
ทันใดนั้น มันพบหนังสือปกแข็งสีเหลือง
“จดหมายเหตุวังราชาคนยักษ์ ฉบับเขียนด้วยมือของศิลาดำ”
จดหมายเหตุวังราชาคนยักษ์? จะมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับราชาเทวทูตหรือไม่…
เดอร์ริคเอื้อมมือหยิบออกมา และพบว่าหนังสือถูกห่อด้วยหนังสัตว์ประหลาดสีน้ำตาล
ในเวลาเดียวกัน โคลิน·อีเลียด สวมเสื้อเชิ้ตลินินสีขาวและโค้ทสีน้ำตาลทับ กำลังยืนจ้องลงมายังห้องสมุดอย่างเงียบงันจากชั้นบน
เส้นผมหงอกเทาขาดการบำรุงรักษากำลังปลิวไสวไปตามแรงลมแผ่วเบาจากหน้าต่าง ดวงตาสีฟ้าอ่อนของมันทั้งลุ่มลึกและสง่างาม
…
วันพุธที่ 12 มกราคม 17.40 น.
ท้องฟ้ากำลังมืดครึ้ม ก้อนเมฆเคลื่อนคล้อยอย่างเชื่องช้า น้ำทะเลสีน้ำเงินเข้มสาดซัดสูงต่ำเป็นระลอกเกลียวคลื่น
โมราขาวโยกคลอนขึ้นลงอย่างต่อเนื่องท่ามกลางสายลมรุนแรง ราวกับเป็นเพียงของเล่นชิ้นเล็กบนฝ่ามือยักษ์ใหญ่
“นี่คืออำนาจแห่งมหาสมุทร ไม่ว่าใครจะทรงพลังสักเพียงใด แต่ทุกสิ่งก็จะดูเล็กลงไปถนัดตา” เดนิส ยืนข้างหน้าต่าง กำลังเชยชมวิวทิวทัศน์ด้านนอกด้วยสีหน้าดื่มด่ำ “พวกเราใกล้ถึงเมืองแห่งการให้แล้ว”
หลังออกจากท่าเรือแบนชี การเดินทางของโมราขาวค่อนข้างราบรื่น อาศัยความช่วยเหลือจากแรงลม เครื่องจักรขนาดมหึมาสามารถทำความเร็วได้สูงถึงสิบห้านอตโดยไม่มีอุปสรรค ฉะนั้น ถึงแม้จะมาถึงเมืองท่าเทียร์น่าช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย แต่ก็ยังมาถึงปลายทางสุดท้าย บายัม ได้เร็วกว่ากำหนดการเดิม
หรือก็คือ โมราขาวซึ่งมีกำหนดจะถึงเมืองแห่งการให้ในช่วงเช้าของ 13 มกราคม กลับแล่นมาถึงตั้งแต่ 12 มกราคมช่วงเย็น
เมื่อได้ยินเดนิสพรั่งพรูความรู้สึก ไคลน์เพียงเงยหน้ามองอย่างเงียบงัน และก้มหน้ากลับมาใคร่ครวญเรื่องของตัวเองต่อ
ยิ่งสวมบทบาทและตัดสินใจในฐานะเกอร์มัน·สแปร์โรว์นานเท่าใด ไคลน์ก็ยิ่งมองเห็นนิสัยแก่นแท้ของตัวเองชัดเจนขึ้น ในแทบทุกการตัดสินใจและพฤติกรรม ชายหนุ่มพบว่าตนคิดไม่เหมือนกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์เลยสักนิดเดียว
ตัวอย่างเช่น ในสถานการณ์ปัจจุบัน ไคลน์จะสานต่อบทสนทนากับเดนิสในหัวข้อสภาพอากาศอย่างเป็นกันเอง แต่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่ทำ
ยิ่งมีความแตกต่างชัด เราก็ยิ่งตระหนักถึงความเป็นตัวเองได้มากขึ้น… ไคลน์ถอนหายใจ
ประสบการณ์เช่นนี้ มันไม่เคยได้รับสมัยปลอมตัวเป็นนักสืบเชอร์ล็อก เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว ตนไม่จำเป็นต้อง ‘เปลี่ยน’ นิสัย
เราสัมผัสได้ว่า โอสถผู้ไร้หน้าถูกย่อยเร็วขึ้นเล็กน้อย… อย่างไรก็ตาม ยังคงมีบางจุดในตัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์ซ้อนทับกับนิสัยอุปนิสัยจริงของเรา ยกตัวอย่างเช่น การลงจากเรือไปยังเมืองท่าแบนชีเพื่อช่วยชีวิตผู้คน พฤติกรรมเช่นนี้เกิดจากความรู้สึกก้นบึ้งของเรา…
แต่สามารถเรียกได้ว่า สิ่งนี้คือการเพิ่มความซับซ้อนให้ตัวละคร เกอร์มัน·สแปร์โรว์ผู้สวมหน้ากากบ้าคลั่งตลอดเวลา จึงเผยมุมห่วงใยคนใกล้ตัวให้เห็น…
เฮ่อ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่ายกย่องนัก เพราะถ้าเรารู้มาก่อนว่าเมืองท่าแบนชีคือบินซี่ การตัดสินใจอาจเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย…
ไม่สิ ผลทำนายออกมาแล้วว่า อันตรายอยู่ในขอบเขตรับได้ เราคงกระทำในเรื่องเดิม…
ไคลน์ใช้ความคิดเรื่อยเปื่อย
ขณะเดียวกัน มันตระหนักได้ว่า การปลอมตัวเป็น ‘บุคคลใหม่’ ยังไม่ใช่วิธีในอุดมคติของเทคนิคสวมบทบาท อาจทำให้โอสถถูกย่อยได้บ้างก็จริง แต่ก็ไม่มากเท่าอีกหนึ่งวิธี
วิธีนั้นก็คือ การปลอมตัวเป็น ‘บุคคลจริง’ โดยต้องทำให้คนรอบข้างแยกแยะไม่ออกระหว่างตัวปลอมกับตัวจริง ต้องคอยซึมซับอารมณ์ ความรู้สึก และปฏิกิริยาตอบสนองของญาติสนิทหรือเพื่อนฝูงรอบตัว แต่ห้ามจมอยู่กับห้วงอารมณ์จนเลยเถิดเด็ดขาด
จะเป็นใครก็ได้ แต่สุดท้ายต้องเป็นตัวเอง…
เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว…
ไคลน์มองพรมสีเหลืองอ่อนบนพื้นพลางวางแผนอนาคต
เมื่อเห็นว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่ตอบสนอง เดนิสเพียงยักไหล่อย่างหมดคำจะกล่าว ภายในใจเริ่มเบื่อหน่าย
หากไม่นับการใช้งานเราเยี่ยงทาส ชายเสียสติคนนี้นับว่าเป็นคนไม่เลว ข้อเสียเดียวคือความเงียบขรึมอันชวนให้อึดอัด หากปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป เราคงได้กลายเป็นบ้าไปอีกคน…
แต่สวรรค์กำลังเข้าข้าง! อีกไม่นาน โมราขาวก็จะเข้าเทียบท่าเมืองบายัม เรากำลังจะได้เป็นอิสระ!
เดนิสเชื่อว่า หากต้องอยู่บนเรือนานกว่านี้อีกแค่วันเดียว ตนคงต้องฝึกพูดกับตัวเองเพื่อบรรเทาความตึงเครียด
ทันใดนั้น มันเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์เงยหน้าขึ้นและเผยรอยยิ้มเย็นๆ
“เล่าเรื่องจุดชุมนุมโจรสลัดในเมืองบายัมให้ฟังหน่อย”
…แม่เย็*! ถ้าจะพูดแล้วเป็นแบบนี้ สู้กลับไปเงียบแบบเดิมยังดีเสียกว่า!
ใบหน้าเดนิสเริ่มบิดเบี้ยว
ปู๊น~
เวลา 18.15 น. ก่อนพายุเข้า โมราขาวแล่นเข้าเทียบท่าเรือขนาดใหญ่อย่างราบรื่น
เกาะแห่งนี้คือเมืองแห่งการให้ บายัม
และยังรู้จักกันในชื่อ เกาะแห่งเครื่องเทศ ภายในบายัมจะมีเครื่องเทศพิสดารหลากหลายชนิด รายได้หลักของเมืองมาจากภาคเกษตรกรรม
เมืองบายัมตั้งอยู่บนเกาะ ‘ภูเขาคราม’ อาณาเขตเกินกว่าครึ่งของเกาะเป็นเทือกเขาขนาดมหึมา อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทองคำ เงิน ทองแดง ทองเหลือง ถ่านหิน เหล็ก และแร่ธาตุชนิดอื่นๆ ผืนป่าถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่เขียวขจี มีผลไม้รสเลิศหลากหลายสายพันธุ์ นับเป็นดินแดนในอุดมคติแบบสำหรับการดำรงชีวิต นักล่าอาณานิคมกลุ่มแรกจึงนิยามเมืองนี้ไว้ว่า ‘เมืองแห่งการให้’ โดยมองว่าเป็นพรอันวิเศษซึ่งเทพประทานมาให้แก่มนุษย์
ไคลน์หยิบกระเป๋าเดินทาง เดินออกจากห้อง 312 และตรงไปยังดาดฟ้าเรือ
ไม่ผิดคาด ชายหนุ่มได้พบกับครอบครัวดอนน่า คลีฟส์ และคนอื่นๆ
หลังจากเคยเผชิญความตกตะลึงสุดขีดเมื่อวันก่อน สองพี่น้องยังคงมีอาการหวาดกลัวต่อไคลน์อยู่เล็กน้อย เอาแต่หลบด้านหลังพ่อแม่และบอดี้การ์ด
ไคลน์พยักหน้าให้ทุกคนเชิงทักทาย
เออร์ดี้·แบรนช์ลังเลสักพัก ก่อนจะรวบรวมความกล้าพูดออกมา
“มิสเตอร์สแปร์โรว์ คุณจะพักอยู่ในบายัมอีกสักระยะใช่ไหม ถ้าผมต้องการจ้าง ม…ไม่ใช่ ถ้าผมต้องการขอความช่วยเหลือ จะติดต่อคุณได้อย่างไรบ้าง”
สมกับเป็นพ่อค้าผู้รักการผจญภัย แม้จะหวาดกลัว แต่ก็ยังต้องการเป็นมิตรกับผู้วิเศษมีฝีมือ…
ไคลน์ครุ่นคิด
“คนแถวนี้อ่านหนังสือพิมพ์อะไร?”
“ส่วนใหญ่มักจะอ่าน ‘โซเนียยามเช้า’ หรือไม่ก็ ‘ทันข่าว’ ”
เออร์ดี้มอบคำตอบทันทีโดยไม่ต้องนึกนาน
“ลงโฆษณาใน ‘โซเนียยามเช้า’ เป็นเวลาสามวันติดต่อกัน เนื้อหาเป็นการรับซื้อเนื้อหมักเกลือของดาเมียร์ พร้อมกับลงพิกัดนัดพบเอาไว้ ถ้าเห็น ผมจะแวะไปยังจุดดังกล่าวภายในสามวัน แต่ถ้าไม่ปรากฏตัว ก็แปลว่าผมไม่อยู่ในบายัมแล้ว” ไคลน์บอกวิธีติดต่อทางเดียวอย่างระมัดระวังตัว
“ตกลง” เออร์ดี้หายใจทั่วท้อง พลางยิ้ม
คลีฟส์และคนอื่นๆ แสดงความขอบคุณและทยอยเคลื่อนตัวไปตามทางเดินอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อเห็นบันไดเรืออยู่ไม่ไกล ดอนน่าชะลอความเร็วลงและเดินกลับมาหาไคลน์ เงยหน้าขึ้นพลางขยับริมฝีปาก
“ลุงสแปร์โรว์ ในเมื่อพลังพิเศษนำมาซึ่งอันตรายและความบ้าคลั่ง แล้วทำไมลุงถึงยังเลือกครอบครองมันคะ?”
เธอครุ่นคิดเรื่องนี้มานานแล้ว แต่เพิ่งจะรวบรวมความกล้าออกมาถาม
ไคลน์ผงะเล็กน้อย ตามด้วยการเผยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน
“เพื่อทำตามความฝัน…”
จากนั้น มันหรี่เสียงลง
“…และเพื่อปกป้อง”
เพื่อปกป้อง… ดอนน่าทวนคำ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินตามพ่อและแม่ลงไป
เมื่อเห็นครอบครัวแบรนช์ลงจากโมราขาว ไคลน์หันกลับไปมองเดนิส
“นายเป็นอิสระ”
เห…?
เดนิสไม่ชินกับความรู้สึกแบบนี้เลยสักนิด
……………………
ราชันเร้นลับ 518 : ชายผู้ใกล้ตาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไคลน์ไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพิ่ม และไม่ได้เชือดเดนิสทิ้ง เพียงกดหมวกทรงสูง ถือกระเป๋าเดินทางพลางก้าวลงบันไดโมราขาวไปทีละขั้น
จะปล่อยเราไปจริงหรือ… เดนิส·เพลิงพิโรธยืนบนดาดฟ้าเรือพลางก้มมองอย่างงุนงง
แม้จะคาดเดาจุดจบเช่นนี้ไว้บ้างแล้ว เนื่องจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์เคยปล่อยให้ตนเป็นอิสระขณะเรือจอดเทียบท่าดาเมียร์ แต่เดนิสก็ยังไม่อยากชื่อว่า เหตุการณ์จะลงเอยอย่างง่ายดายและราบรื่นเช่นในปัจจุบัน
ฉันคนนี้มีค่าหัวถึงสามพันปอนด์เชียวนะ! แถมนี่ยังเป็นแค่รางวัลนำจับจากโลเอ็นเพียงแห่งเดียว!
ไม่ใช่ว่าคนเสียสติอย่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นนักผจญภัยหรอกหรือ? ทำไมถึงปล่อยให้หีบสมบัติหลุดมือไปต่อหน้าต่อตา?
จริงสิ คนสติดีย่อมไม่เข้าใจคนบ้า… หมายความว่าสมองของเรายังปรกติดีอยู่…
เดนิสหยิบกระเป๋าเดินทางพลางก้าวขาอย่างไม่รีบร้อน เพียงไม่นาน ฝ่าเท้าก็สัมผัสถึงพื้นคอนกรีตของท่าเรือ
มันยืนเหยียดหลังตรง สายตาจ้องมองแผ่นหลังของเกอร์มัน·สแปร์โรว์และพบว่า อีกฝ่ายมิได้หันกลับมา เอาแต่เดินตรงไปยังถนนเลียบชายฝั่งอย่างใจเย็น
แต่เดนิสยังไม่กล้าวางใจ มันกวาดสายตาหนึ่งรอบและเดินตรงไปทางถนนสายอื่น บ้างหักหลบเข้าตรอกซอกซอย บางชะโงกมองกลับไปด้านหลังโดยใช้กำบังช่วยซ่อนตัว
ถัดมาไม่นาน มันเดินมาถึงบ้านหลังหนึ่งซึ่งยังคงตั้งอยู่ในเขตท่าเรือ
เกอร์มัน·สแปร์โรว์มิได้ใช้เราเป็นเหยื่อล่อปลาตัวใหญ่…
หลังจากยืนยันจนแน่ใจ เดนิสเริ่มผ่อนคลายความกังวล ในวินาทีนี้ มันมั่นใจว่าตนสลัดหลุดจากอีกฝ่ายแล้ว
สรั่งเรือของพลเรือโทโจรสลัดจะไม่ถูกกดขี่และใช้งานเยี่ยงทาสอีกต่อไป!
จินตนาการได้ไม่ยากเลยว่า วันพรุ่งนี้จะงดงามมากแค่ไหน! คนจำนวนมากจะแก่งแย่งกันเข้ามาประจบประแจงเรา บางคนยินดีเป็นคนรับใช้ให้เราโดยสมัครใจ!
เดนิสเคาะประตูห้องอย่างมีความสุขด้วยจังหวะสามครั้งยาว สามครั้งสั้น
หึหึ… เกอร์มัน·สแปร์โรว์เคยขอให้เราอธิบายเกี่ยวกับจุดติดต่อของกลุ่มโจรสลัดต่างๆ แต่เนื่องจากเราฉลาด จึงเปิดเผยข้อมูลเฉพาะกลุ่มคู่อริเท่านั้น มันคงคาดไม่ถึงแน่นอนว่า จุดติดต่อของ ‘ฝันทองคำ’ จะอยู่ใกล้กับท่าเรือมากเพียงนี้…
เดนิสสูดลมทะเลอันสดชื่นเข้าไปเต็มปอดก่อนพายุฝนจะสาดเทลงมาทำลายบรรยากาศ
บายัมคือศูนย์กลางอำนาจทางทะเลของอาณาจักรโลเอ็นฝั่งทะเลโซเนีย ถือเป็นหนึ่งในเมืองซึ่งมีขนาดใหญ่อันดับหนึ่ง เต็มไปด้วยหน่วยพิเศษแข็งแกร่งของทางการ
ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโจรสลัดแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่ก็ไม่มีใครกล้าก่อความวุ่นวายขึ้นในเมือง ส่วนใหญ่มักอาศัยกลุ่มอันธพาลหรือผู้ทรงอิทธิพลท้องถิ่นช่วยถ่ายสินค้าซึ่งถูกปล้นมาอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงการซื้อของใช้ต่างๆ ส่งกลับขึ้นเรือ
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าโจรสลัดจะไม่กล้าขึ้นฝั่ง เมืองบายัมมีแหล่งท่องเที่ยวอันโด่งดังอย่าง ‘โรงละครแดง’ ซ่องโสเภณีอันดับหนึ่งในน่านน้ำละแวกนี้ โจรสลัดน้อยใหญ่มากมายมักแวะเวียนเข้าไปอุดหนุนอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้พวกพ้องจะถูกจับไปทีละคนสองคนบ่อยครั้ง แต่ก็มิได้ทำให้ความนิยมของโรงละครแดงลดลง
นอกจากการค้าขายและธุรกิจเครื่องเทศ ซ่องโสเภณียังเป็นอีกหนึ่งรายได้สำคัญของหมู่เกาะรอสต์ ต่อให้ไม่นับโรงละครสีแดง ทั่วทุกซอกมุมก็ยังมีซ่องน้อยใหญ่มากมาย บ้างสว่างและบ้างมิดชิด คอยเปิดให้บริการโจรสลัดกลัดมันอย่างทั่วถึง สำหรับโจรสลัดหญิง พวกหล่อนไม่ต้องกังวลว่าจะ ‘ของขาด’ กลางทะเล ขอเพียงพวกเธอเสนอ ก็พร้อมมีคนสนองให้ตลอดเวลา นี่คือความไม่เท่าเทียมของอุปสงค์และอุปทาน เนื่องจากโจรสลัดส่วนใหญ่มักนับถือศาสนาวายุสลาตันซึ่งกดขี่เพศหญิง ส่งผลให้โจรสลัดหญิงมีจำนวนน้อยกว่าหลายเท่า
ขณะเดียวกัน การค้าขายวัตถุดิบวิเศษหรือสิ่งของเหนือธรรมชาติก็ยังเกิดขึ้นบ่อยครั้งในชุมนุมลับหลากหลายแห่งบนเกาะ
แต่ถึงอย่างนั้น ท่าเรือเล็กๆ ก็ดีกว่าเมืองใหญ่แบบนี้มาก พวกเราไม่ต้องกลัวการนั่งดื่มเหล้าในผับอย่างเปิดเผย รวมถึงการสั่งสอนนักผจญภัยปากดีให้หลาบจำ ขอเพียงไม่สร้างความเสียหายเลยเถิดหรือฆ่าใครตาย หน่วยพิเศษก็จะแสร้งทำเป็นตาบอด…
หึหึ ด้วยความต่างชั้นระหว่างพลังของพวกมันกับเรา หากกล้ามาจับกุมก็คงต้องใช้ความกล้าหาญมากกว่าปรกติสักหน่อย…
เดนิสครุ่นคิดอย่างเย้ยหยัน
ทันใดนั้น มันได้ยินเสียงฝีเท้าดังจากจุดห่างไกลและใกล้เข้ามาทุกขณะ จนกระทั่งประตูถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าอันคุ้นเคย
“ตาแก่ วันนี้ไม่ดื่มหรือ” เดนิสทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
ชายยืนริมประตูคือ ‘เฒ่าลินน์’ หนึ่งในผู้ติดต่อของ ‘ฝันทองคำ’ บนหมู่เกาะรอสต์
เฒ่าลินน์กระแอมสองครั้งก่อนจะหลีกทาง
เมื่อเดนิสย่างกรายเข้าไปในห้องบรรยากาศมืดสลัว จมูกของมันพลันฟุดฟิด
มันได้กลิ่น ‘แลงติร้อนแรง’ !
แปลก… เฒ่าลินน์จะดื่มเฉพาะแรนดี้ดำท้องถิ่นของเมืองบายัมเท่านั้น!
เมื่อความคิดแล่นเข้ามาในหัว เดนิสเผยท่าทีตกตะลึงพร้อมกับหันหลังตามสัญชาตญาณ
ทันใดนั้น มันเห็นชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ด้านหลังตน รูปร่างสูงโปร่ง ผิวเข้มคล้ำ ร่างกายกำยำ และผมหยิกจนขดเป็นลูกหิน
แม็ควิตี้ ‘เหล็กกล้า’ …!
รูม่านตาเดนิสพลันหดเกร็งอย่างรวดเร็ว
ผู้ช่วยกัปตันแห่งพลเรือเอกโลหิต·เซนอล!
โจรสลัดสลัดเจ้าของค่าหัวหกพันปอนด์!
…
คลื่นลมทะเลโชยซัดพัดผ่าน ใบไม้แผ่นบางถูกโยกคลอนหนักหน่วง คล้ายกับพร้อมจะปลิดปลิวจากก้านได้ทุกเมื่อ
ไคลน์กำลังเดินไปบนถนนเลียบชายฝั่งท่าเรือบายัม ย่างก้าวไม่รีบร้อนหรือเชื่องช้า แต่ในทางกลับกัน ผู้คนรอบตัวนั้นกำลังรีบเร่ง
สัมผัสวิญญาณบอกกับมันว่า ต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าพายุฝนจะเริ่มอาละวาด ยังเหลือโอกาสสำหรับมองหาโรงแรมเข้าพักอาศัย
ฟ้าว
ลมเริ่มฟัดรุนแรง กิ่งไม้และใบบางส่วนเริ่มโปรยปรายลงบนพื้น ผู้คนบนถนนบางตาลงอย่างชัดเจน
ขณะไคลน์กำลังจะเลี้ยวเข้าตรอกแคบ มันได้ยินเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบแต่ไม่เป็นจังหวะของใครบางคน
กึก. กึก. กึก.
เดนิสกำลังวิ่งเต็มฝีเท้า โดยภาพการมองเห็นของมันกำลังสั่นระริกและพร่ามัว
เดนิสปวดแผลเจียนตาย และรู้สึกว่าพลังชีวิตของตนกำลังเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณไหลออกจากร่างกายไปแล้วบางส่วน อีกนิดเดียวก็จะย่างกรายเข้าสู่ประตูนรกในตำนาน
เสียงรอบข้างเลือนรางและแผ่วเบา ภาพการมองเห็นล่องลอยและฟุ้งเกินจริง
หากมิใช่เพราะสวม ‘ผ้าคลุมเงา’ เอาไว้ตลอดเวลา การลอบโจมตีจากอีกฝ่ายคงส่งให้มันไปอยู่ในนรกนานแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็มิอาจเลี่ยงบาดแผลฉกรรจ์ได้ โดยมันพร้อมจะนอนตายกลางถนนทุกเวลา
อย่างไรก็ตาม เดนิสยังคงรักษาสติไว้ได้ด้วยเจตนาอันแน่วแน่ มันต้องการแจ้งให้กัปตันของตนทราบว่า จุดติดต่อของเรือฝันทองคำถูกควบคุมโดยพลเรือเอกโลหิตเรียบร้อยแล้ว โดยเกิดความหวังอย่างเลือนรางว่า นักผจญภัยบ้าคลั่งแต่ทรงพลังอาจยอมช่วยเหลือตน
ถ้าเป็นชายคนนั้น จะต้องจัดการกับแม็ควิตี้·เหล็กกล้าได้แน่! ฝีเท้าเดนิสเริ่มแผ่ว ร่างกายของมันเย็นชืดทีละนิด
ขณะกำลังรู้สึกว่ามิอาจพยุงตัวเองได้อีก เดนิสเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ยืนอยู่ตรงมุมถนนถัดไปไม่ห่าง ใบหน้าอันสง่างามซึ่งเคยแฝงความบ้าคลั่ง ยามนี้อ่อนโยนจนผิดวิสัย
ตุ้บ!
เดนิสทิ้งตัวนอนแผ่หลา ฝ่ามือสองข้างกุมหน้าอกและหน้าท้องอย่างปราศจากเรี่ยวแรง บาดแผลฉกรรจ์ในจุดดังกล่าวสามารถมองลึกเข้าไปเห็นถึงอวัยวะภายในได้เลย
“ฝ…ฝากบอกกัปตันว่า แม็ควิตี้·เหล็กกล้าพบตัวเฒ่าลินน์แล้ว พวกมันกำลังเล็งสมบัติชิ้นนั้น!” เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์เดินเข้ามาคุกเข่าด้านข้าง เดนิสขอร้องอย่างสิ้นหวัง
ไคลน์นึกทบทวนค่าหัวแม็ควิตี้·เหล็กกล้าพลางถามกลับ
“พลเรือเอกโลหิต?”
“ช…ใช่! ช่วยบอกกัปตัน… ช…ช่วยบอกกัปตันของฉันให้ด้วย!” เดนิสพะงาบปาก
เมื่อกล่าวประเด็นสำคัญจบ มันเผยรอยยิ้มขื่นขม
“ท…ทิ้งฉันไว้ตรงนี้ ฉ…ฉันคงไม่รอดแล้ว บ…บอกกัปตันว่า เงินออมทั้งหมดของฉันถูกเปลี่ยนเป็นบ้านในเมืองบายัม ไล่ตั้งแต่อาคารหมายเลข 12 ไปจนถึง 16 บนถนนไม้หอม ฉ…โฉนดถูกซ่อนอยู่ในผนังห้องใต้ดินของบ้านหมายเลข 13… นำมันไปขาย… จากนั้น… ช…ช่วยนำเงินไปยังหมู่บ้านนอร์เซียร์… ท…ทางตอนใต้ของอินทิส มอบให้พ่อกับแม่ของฉัน… บ…บอกกับพวกท่านว่า ฉ…ฉัน… ประสบความสำเร็จและโด่งดังอย่างมาก…”
เดนิสเว้นวรรค ตามด้วยการกล่าวอย่างเจ็บปวด
“ช…ช่วยบอกพวกเขาว่า… ฉันเป็นนักผจญภัย… สุดแข็งแกร่ง… และฝาก… ขอโทษพวกท่าน… ด้วย…”
ดวงตาเดนิสเริ่มพร่ามัว คล้ายกับความทรงจำของเด็กดื้อเมื่อหลายสิบปีก่อนแล่นกลับเข้ามาในสมอง
ขอโทษนะพ่อ… ขอโทษครับแม่…
ประกายแววเดนิสเริ่มอับแสง มันสัมผัสได้อย่างแจ่มชัดว่า ชีวิตของตนใกล้จบลงเต็มที
ทันใดนั้น เดนิสเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ยื่นแขนออกมาและใช้มือกดปากแผลไว้
จากนั้นก็ทำการ ‘เลื่อน’
ความโศกของเดนิสพลันชะงักงัน อาการชาบริเวณหน้าอกและช่องท้องพลันอันตรธานหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ แต่แขนซ้ายเปลี่ยนไปมีสภาพยับเยินและกระดูกหักแทน
เดนิสจ้องไคลน์ด้วยดวงตาสั่นเทา ทางด้านชายหนุ่มเพียงมองกลับไปอย่างเงียบงัน ไม่มีใครกล่าวสิ่งใดนานหลายวินาที
จนกระทั่ง เดนิสก้มมองบาดแผลบนท้องอย่างคาใจ และพบว่าผิวหนังในบริเวณดังกล่าวสมานติดกันตามเดิมอย่างน่าประหลาด แต่กระดูกแขนซ้ายมีสภาพแตกร้าวหลายจุด
เรายังไม่ตาย…?
เดนิสกะพริบตาถี่ อารมณ์โศกเศร้าขณะชีวิตใกล้ถึงจุดจบ กำลังคุกรุ่นอยู่ในห้วงความรู้สึกและยังสลัดออกไปไม่ได้
“ทำไม… นายถึงไม่รีบรักษา?” มันซักถาม
ไคลน์มองไปยังอีกฝั่งของถนนอันว่างเปล่า พลางตอบกลับด้วยเสียงเย็นชา
“รอให้นายพูดจบก่อน เป็นมารยาทของผู้ฟัง”
มารยาทพ่อมารยาทแม่เอ็งสิวะ!
แม่เย็*! เราอุตส่าห์คิดคำสั่งเสียสุดท้าย! นึกว่าจะต้องตายแล้วเชียว!
เดนิสเกร็งหลังพร้อมกับดีดตัวลุกยืน
มันหันไปทางท่าจอดเรือเพื่อมองควันสีดำเข้มบนท้องฟ้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การต่อสู้ของมันกับเหล็กกล้าเกิดขึ้นในบริเวณดังกล่าว
เป็นเพราะเราเผาบ้านหลังนั้นทิ้ง แม็ควิตี้·เหล็กกล้าจึงกังวลว่าหน่วยพิเศษจะพบความวุ่นวายและรีบรุดไปยังจุดเกิดเหตุ ขณะเดียวกัน มันก็คงยังประหลาดใจกับเงาดำ จึงไม่กล้าไล่ตามส่งเดช…
เดนิสเริ่มประเมินสถานการณ์
“หาห้องพักกันก่อน” ไคลน์แบมือและพบว่าสายฝนเริ่มโปรยปราย
เดนิสไม่ทราบเลยว่า ตนรอดจากหายนะมาได้แล้ว หรือกำลังจะเผชิญหายนะร้ายแรงกว่าเดิม แต่มันก็พยักหน้าตอบรับโดยไม่รีรอ
“ตกลง”
เห็นได้ชัดว่า คนบ้าเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่หวาดกลัวแม็ควิตี้·เหล็กกล้าเลยสักนิด รวมไปถึงพลเรือเอกโลหิตด้วย… ในเวลาแบบนี้ เราขอชื่นชมความบ้าบิ่นของมัน…
ให้ตายสิ ดันไปเปิดเผยทรัพย์สินของตัวเองให้อีกฝ่ายรับรู้จนได้…
ขณะถอนหายใจ สีหน้าเดนิสเริ่มอึมครึม
ข้างหนึ่งถือกระเป๋าเดินทาง ข้างหนึ่งถือไม้ค้ำแข็ง ไคลน์ย่างกรายนำหน้าเดนิสอย่างเงียบงัน ภายในหัวมีเสียงดังก้องซ้ำไปมาว่า :
ทำไมโจรสลัดถึงได้รวยนักวะ…
…
เขตราชินี
ออเดรย์ ผู้ใกล้จะเดินทางออกจากกรุงเบ็คลันด์ กำลังหมกตัวอยู่ในห้องทดลองเคมีพลางผสมวัตถุดิบวิเศษจากมิสเตอร์แวมไพร์เข้าด้วยกัน มีทั้งผลของไม้คนชราและเลือดมังกรกระจก รวมถึงวัตถุดิบชนิดอื่นๆ เพื่อปรุงเป็นโอสถ ‘นักจิตบำบัด’
สำหรับคราวนี้ เธอมิได้ให้ซูซี่ออกไปเฝ้าหน้าห้องเหมือนทุกที แต่สั่งให้นั่งข้างในและคอยจับตามองทุกขั้นตอนอย่างละเอียด
เอิร์ลฮอลล์ได้กำชับบอดี้การ์ดทุกคนไว้อย่างหนักแน่นว่า ขณะคุณหนูใช้งานห้องทดลองเคมี ห้ามมิให้ใครเข้าไปรบกวนโดยเด็ดขาด นอกเสียจากจะมีการเปลี่ยนแปลงชนิดผิดวิสัยเกิดขึ้น
ฟู่ว… หญิงสาวถอนหายใจโล่งอก พลางเทโอสถใส่ลงไปในขวดแก้วซึ่งเตรียมไว้ล่วงหน้า
ของเหลวสีทองอ่อนกระเพื่อมแผ่วเบาจนมีรูปร่างคล้ายกับดวงตาประหลาด หากใครได้เห็นเป็นต้องรู้สึกคล้ายกับถูกสะกด
“ซูซี่ จำขั้นตอนได้ไหม? เธอเป็นหมาผู้ใหญ่แล้ว ไม่สิ ต้องเรียกว่าผู้วิเศษโตเต็มวัย หลังจากนี้ต้องหัดปรุงโอสถด้วยตัวเอง เอ่อ… ไม่ใช่ว่าฉันจะเลิกช่วยเธอหรอกนะ แค่สอนเผื่อเอาไว้ บางทีอาจมีโอกาสได้ใช้ เพราะฉันไม่สามารถอยู่เคียงข้างเธอได้ตลอดเวลา และเธออาจต้องดื่มโอสถในช่วงดังกล่าว” ออเดรย์กล่าวอย่างร่าเริงกับโกลเดนรีทรีเวอร์ขนสีทอง
ซูซี่ สุนัขผู้มีการศึกษา แสดงสีหน้าสับสนเล็กน้อยก่อนจะอ้าปากตอบสนอง
“โฮ่ง!”
ออเดรย์พยายามข่มใจให้สงบ ก่อนจะบรรจงดื่มโอสถ ‘นักจิตบำบัด’ ในขวดเข้าไป
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น