Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 511-512

 ราชันเร้นลับ 511 : แสงทรงกลด

โดย

Ink Stone_Fantasy

ฟ้าว


สายลมรุนแรงพัดมาจากร่างบิชอปมิลเลอร์จนชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มของมันพัดกระพือ


แกร่ก! แกร่ก! เปรี้ยะ!


กิ่งไม้ในบริเวณใกล้เคียงเริ่มแตกหักและร่วงกราวลงพื้น บางส่วนปลิวกระจัดกระจายลอยไปในอากาศ


ร่างกายดอนน่าลอยสูงขึ้นจากพื้นอย่างมิอาจขัดขืน ก่อนจะกระเด็นไปด้านหลังราวสองสามเมตรและตกกระแทกพื้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด


ไม่ใช่แค่เธอ แต่เซซิล แดนตัน ดิเมอดอร์ แฮร์ริส และอีกหลายคน ต่างมีอันต้องลอยไปในอากาศก่อนจะตกกระแทกพื้นระเนระนาด


เหลือเพียงคลีฟส์ ทีก และเออร์ดี้มิได้ลอยขึ้นไป อาจจะด้วยเพราะร่างกายแข็งแรงหรือไม่ก็มีน้ำหนักตัวมาก อย่างไรก็ตาม ทุกคนมีอันต้องเสียหลักล้มกลิ้งสองสามตลบ


ไอร์แลนด์ ผู้ยืนใกล้กับบิชอปมิลเลอร์มากกว่าใคร พยายามตีลังกาถอยหลังเพื่อลดแรงกระแทกและหลีกเลี่ยงการปะทะ


ไคลน์กับเดนิสมิได้ขัดขืนต่อต้าน ปล่อยร่างกายให้ลอยขึ้นตามแรงลม แต่ยังคงรักษาสมดุลไว้ได้อย่างดีเยี่ยม


เมื่อพายุเกรี้ยวกราดหยุดชะงัก ท่ามกลางสายหมอกกระจัดกระจาย เงารางจำนวนหกร่างปรากฏขึ้นรอบตัวมิลเลอร์ ทั้งหมดสวมผ้าคลุมสีดำและปราศจากศีรษะ เผยให้เห็นส่วนลำคอชุ่มเลือดโดยมีสายลมหมุนวนโอบล้อมรอบตัว


 แฮ่ก! แฮ่ก!


พวกมันส่งเพียงครางคล้ายกับสัตว์ร้ายเตรียมกระโจนโจมตี


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


ใบมีดลม คมและบาง ถูกรัวยิงใส่ในจุดซึ่งไคลน์เคยยืนอยู่


กึก! กึก! กึก!


ถือโคมตะเกียงด้วยมือข้างหนึ่ง มิลเลอร์ในเสื้อคลุมน้ำเงินยกมือขึ้นสองข้าง


ร่างหัวขาดทั้งหกพลันย่ำเท้าปรี่ใส่ไคลน์และไอร์แลนด์จนพื้นดินสั่นสะเทือน


ลำพังสัตว์ประหลาดไร้หัวตัวเดียวยังยาก แต่นี่กลับมาพร้อมกันถึงหก… แถมยังมีบิชอปวิปริตอีกหนึ่ง!


เมื่อเห็นฉากตรงหน้าเต็มสองตา เดนิสพลันเย็นวาบไปถึงกระดูกสันหลัง


ทันใดนั้น วัตถุบางชนิด สีทองแดง พุ่งผ่านหน้าเดนิสจนเกิดเป็นเส้นแสง ก่อนจะลอยไปตกลงในจุดห่างไกล


กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!


นกหวีดทองแดงของอะซิกกระทบพื้นและกระเด้งไปอีกสองสามตลบ


ด้วยเสียงครางในลำคอหนึ่งหน ศพหัวขาดทั้งหกต่างกรูไปรุมทึ้งนกหวีดทองแดงโดยมิได้นัดหมาย ส่งผลให้บิชอปมิลเลอร์ยืนโดดเด่นอยู่ตามลำพัง


ไคลน์ฉวยโอกาสล้วงมือซ้ายเข้าไปหยิบเข็มกลัดสุริยันในเสื้อโค้ทและโยนไปทางกัปตันไอร์แลนด์ซึ่งยืนไม่ห่าง


ปิดท้ายด้วยการตะโกนสั้นกระชับ


“ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปห้าวินาที. น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์.”


จากนั้น ชายหนุ่มไม่แยแสชะตากรรมของหมวกทรงกึ่งสูงบนศีรษะตน เพียงวิ่งซิกแซกซ้ายขวาตรงเข้าหาบิชอปมิลเลอร์อย่างคล่องแคล่ว


ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!


ใบมีดสายลมถูกกระหน่ำยิงเพื่อหยุดยั้งการกระทำของไคลน์


พื้นดินในจุดดังกล่าวแตกร้าวและถูกทำลายจนไม่เหลือเค้าเดิม ไคลน์อาศัยความคล่องตัวของตัวตลกโยกหลบด้วยหลากหลายลูกเล่น ไม่ว่าจะใช้มือยันพื้นเพื่อเบรกจังหวะ หรือการม้วนตัวกลิ้งอันเป็นสิ่งถนัด ส่งผลให้การระดมยิงรอบแรกของบิชอปมิลเลอร์กลายเป็นหมัน


มิลเลอร์ยกแขนสองข้าง ดวงตาสีแดงของมันทวีความสว่างเข้มข้น


ฟุฟุฟุฟุฟุฟุฟุบ!


คมมีดอากาศถูกรัวยิงในจังหวะถี่ยิบยิ่งกว่าปืนกลสมัยใหม่ ไคลน์พยายามหลบหลีกเต็มกลืน แต่ก็ทำสำเร็จเพียงครึ่งเดียว ส่งผลให้ร่างกายถูกเฉือนเข้าอย่างจังจนแปรสภาพกลายเป็นเศษกระดาษฉีกขาดโปรยปราย


ชายหนุ่มโผล่ออกจากอีกฝั่ง ยังคงพุ่งปรี่ใส่บิชอปมิลเลอร์เพื่อลดระยะห่าง พยายามหาทางเข้าถึงขอบเขตการโจมตีให้ได้



เมื่อไอร์แลนด์จับเข็มกลัดสุริยัน มันรู้สึกถึงไอความร้อนแสนอบอ้าว และต้องการถอดเสื้อกระโดดลงไปแช่ในบ่อน้ำแข็งทันที


หลังจากนึกทบทวนคำพูดทิ้งท้ายของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ไอร์แลนด์ล้วงหยิบเหยือกดีบุกทรงสี่เหลี่ยมแบนออกมาจากเสื้อโค้ท หมุนคลายเกลียวฝาออก และเท ‘แลงติร้อนแรง’ ทิ้งลงพื้นทั้งหมด กลิ่นเหล้าเข้มข้นโชยหึ่งเตะจมูกคนรอบข้างถ้วนหน้า


เดนิส·เพลิงพิโรธมองไปรอบตัวและเริ่มเข้าใจสถานการณ์


มันคุกเข่าลงหนึ่งข้าง มุมปากฉีกยิ้มกว้าง พร้อมกับนำฝ่ามือทั้งสองนาบกับพื้น


อสรพิษเพลิงสีแดงสองตัวผุดขึ้นจากพื้นดินถัดไปจากด้านหน้าเดนิส ก่อนจะพุ่งไปทางนกหวีดทองแดงอะซิกและก่อตัวเป็นกำแพงไฟสี่ทิศรายล้อม


ในตอนแรก มันคิดจะขว้างลูกไฟไปทางบิชอปมิลเลอร์ เพื่อให้เกอร์มัน·สแปร์โรว์กระโจนเข้าถึงตัวอีกฝ่ายได้เร็วขึ้น แต่หลังจากไตร่ตรองจนถี่ถ้วน มันเปลี่ยนใจไปจัดการกับศพไร้หัวทั้งหกก่อน เกอร์มัน·สแปร์โรว์จะได้แสดงพลังแท้จริงโดยไม่ถูกรบกวน


คลีฟส์ เซซิล ทีก และแฮร์ริส ต่างรีบพยุงตัวลุกยืนและเก็บปืนของตนกลับมาถือ ทุกคนยืนล้อมดอนน่า เออร์ดี้ ดิเมอดอร์ และอีกหลายคนไว้ตรงกลาง คอยปกป้องจากภัยอันตรายอันคาดไม่ถึงในอนาคต


ประสบการณ์ได้สอนพวกมันว่า หากไม่เคยถูกฝึกมาก่อน และไม่ได้รับคำขอร้องให้ช่วย ห้ามยื่นมือเข้าไปสอดระหว่างการต่อสู้ของผู้วิเศษโดยเด็ดขาด!


ฉ่า! ฉ่า! ฉ่า!


ศพไร้หัวทั้งหกไม่แยแสกำแพงไฟรอบนกหวีดทองแดง คิดเพียงจะแย่งชิงวัตถุดังกล่าวมาเป็นของตนราวกับสุนัขหิวโหย


ภาพตรงหน้าทำให้ไอร์แลนด์มีสมาธิกับการถ่ายพลังวิญญาณลงในเข็มกลัดสุริยันได้โดยไม่ต้องพะวงหลัง บรรจงหยดน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ลงในเหยือกแบนของตนอย่างใจเย็น


เมื่อเดนิสเห็นฝูงศพหัวขาดไม่เปลี่ยนเป้าหมายจากนกหวีด มันยิ้มกรุ้มกริ่มพลางง้างมือขวาไปด้านหลังและเสกหอกเพลิงทรงยาวสีขาวโพลนลุกโชติช่วง


เดนิสก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้าครึ่งจังหวะ บิดเอวส่งแรง และขว้างหอกเพลิงออกไปอย่างสุดแรง คมหอกแหวกอากาศเสียบหนึ่งในศพไร้หัวและปักเหยื่อลงกับพื้นดิน


บึ้ม!


เพลิงสีขาวสว่างวาบพร้อมกับระเบิดลอยสูงขึ้นฟ้า ศพหัวขาดร่างหนึ่งไหม้เกรียมไปครึ่งตัวในพริบตา ส่วนร่างอื่นๆ รอบข้างได้ผุดควันสีเขียวเข้มออกมาเจือจาง


เมื่อพบว่าการโจมตีได้ผล เดนิสตั้งใจจะทำซ้ำในสิ่งเดิม แต่ทันใดนั้น มันเริ่มสัมผัสถึงความหิวโหยอันน่าสยดสยอง กำลังแผ่ฟุ้งคละคลุ้งเต็มบรรยากาศรอบตัว


ในวินาทีนี้ มันรู้สึกราวกับตนกำลังยืนอยู่ขอบผาเหนือหุบเหวลึกไร้ก้นบึ้ง โดยอีกก้าวเดียวก็จะพลัดตกลงไป


เดนิสทราบทันที เกอร์มัน·สแปร์โรว์ได้ปลดปล่อยความบ้าคลั่งในร่างกายออกมาอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว


หลังจากสิ้นเปลืองกระดาษคนตัวแทนครบจำนวนสามครั้ง ไคลน์เข้าสู่ระยะปรารถนาของตนสำเร็จ


คล้ายกับหิวกระหายเป็นเวลานาน ถุงมือข้างซ้ายเริ่มยุบพองอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมกับผุดเกล็ดสีทองดำปกคลุมหลังมือ


รูม่านตาไคลน์กลายเป็นวงรีตั้งฉาก


ภาพบนกระจกตาชายหนุ่มเริ่มสะท้อนร่างของมิลเลอร์ในชุดคลุมสีน้ำเงิน


 กึก!


ชายวัยกลางคน ผู้เตรียมสร้างปืนกลลมเฉือนใส่ไคลน์ พลันชะงักพฤติกรรมและเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย


ดวงตาสีแดงสว่างของมันสูญเสียความแวววาว ทดแทนด้วยความบ้าคลั่งและปราศจากเหตุผล ผิวหนังเริ่มมันเลื่อมคล้ายกับมีเมือกของสัตว์ทะเลปกคลุม


มันอ้าปากกว้างพร้อมกับส่งเสียงครางในลำคอแผ่วเบา ฟังดูคล้ายกับมาจากสัตว์ในท้องทะเลลึก พร้อมกันนั้น หนวดหมึกลื่นไหลและน่าขยะแขยงพลันงอกเงยออกจากใต้ชายเสื้อคลุมสีน้ำเงิน!


นี่คือพลัง ‘โรคประสาท’ ของนักจิตบำบัด!


ความจริงแล้ว ไคลน์ต้องการใช้สิ่งนี้เพื่อหยุดการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม ตนจะได้มีช่องว่างโจมตีกลับเข้าไป ทว่า เมื่อบิชอปมิลเลอร์ถูกดึงสติจนขาดผึ่ง คล้ายกับมันเข้าสู่กระบวนการคลุ้มคลั่งในทันที


จิตใจอีกฝ่ายอยู่ในสภาพเปราะบางถึงขั้น ขอเพียงมีแรงกระตุ้นเล็กน้อย ก็จะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดในพริบตา


เมื่อเห็นฉากดังกล่าว รูม่านตาไคลน์พลันหดกลับคืนสภาพเดิม มันตัดสินใจเปลี่ยนวิญญาณในถุงมือโดยไม่ลังเล


ขณะอีกฝ่ายกำลังอาละวาด ถุงมือซ้ายชายหนุ่มเริ่มฉาบด้วยแสงสีทองสุกสว่าง สายตาเพ่งมองบิชอปมิลเลอร์โดยไม่ละไปไหน


ภายในรูม่านตา สายฟ้าสีขาวสองเส้นปรากฏขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด


โดยไม่ต้องรอนาน มิลเลอร์เริ่มส่งเสียงแหกปากโหยหวนราวกับกำลังทุกข์ทรมานเสียเต็มประดา ทั้งฝ่ามือและหนวดหมึกพลันหดกลับไปกุมศีรษะด้วยท่าทางเจ็บปวด


จิตใจของมันกำลังถูกกรีดแทง เกิดเป็นความเจ็บปวดเกินคำบรรยาย


พลังของนักสอบสวน!


ไคลน์ยันร่างกายขึ้นด้วยมือขวา พลางยกมือซ้ายอันเปล่งประกายและกำหมัดขณะถุงมือกำลังเปลี่ยนสี


ทันใดนั้น ชายหนุ่มโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยและกางมือออกราวยืนกับอ้าแขนรับแสงแดด


แสงสีขาวเข้มข้น สุกสว่าง อัดแน่นด้วยความศักดิ์สิทธิ์แสนบริสุทธิ์ โปรยปรายลงมาจากอากาศว่างเปล่าด้านบนมิลเลอร์ ฉาบร่างบิชอปแห่งวิหารวายุอย่างท่วมท้นสมบูรณ์


บรรยากาศโดยรอบสว่างไสวจนคล้ายกับตอนกลางวัน ลมพายุเกรี้ยวกราดในตอนแรกพลันชะงักงันและเริ่มสลายตัวเจือจาง


ลำดับ 5 นักบวชแสง!


ร่างของมิลเลอร์ค่อยๆ ถูกแผดเผาทีละนิด เริ่มจากก้อนเมือกและพังผืด ตามด้วยหนวดหมึก และปิดท้ายด้วยผิวหนัง


เมื่อลำแสงระยิบระยับเลือนหาย มันก็พ้นสภาพจากการเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ เหลือเพียงคราบของสัตว์ประหลาดอันประกอบขึ้นจากกระดูกสีขาวและก้อนเนื้อเละเทะ


ลมหายใจมิลเลอร์ขาดห้วงและอ่อนแอ


แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังไม่ตาย!


พลังชีวิตของร่างสัตว์ประหลาดหลังจากคลุ้มคลั่ง ทนทายาดจนน่าเหลือเชื่อ!


ไคลน์ไม่เปลี่ยนสีหน้า มันรีบปรี่เข้าประชิดตัวบิชอปมิลเลอร์โดยเว้นระยะห่างประมาณสองสามก้าว ตามด้วยการคุกเข่าลงหนึ่งข้างและนาบถุงมือข้างซ้ายลงบนผิวหนัง


ชายหนุ่มตัดสินใจหยุดใช้พลังนักบวชแสงกลางคันก็เพื่อรักษาสภาพศพไว้เป็นอาหารของยุบพองหิวโหย!


ใจกลางฝ่ามือ ผิวถุงมือแยกตัวออกจากกันพร้อมกับเผยให้เห็นฟันมายาสีขาว จากนั้น ‘ปาก’ ของยุบพองหิวโหยเริ่มเขมือบร่างกายและจิตวิญญาณของเหยื่ออย่างเหี้ยมโหด


อย่างไรก็ตาม บิชอปมิลเลอร์ยังพยายามดิ้นรนเฮือกสุดท้าย หนวดหมึกสองสามเส้นผุดขึ้นใหม่หมายกระชากไคลน์ให้เสียงจังหวะ


ไคลน์ทิ้งไม้เท้าในมือขวา ตามด้วยการชักลูกโม่ดัดแปลงออกจากซองรักแร้ และกระหน่ำยิงห้านัดรวดอย่างไร้ความปรานี


ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!


กระสุนหลากสีสัน ประกอบด้วยทองอ่อน ทองเหลือง และเงิน แหวกอากาศทะลวงร่างบิชอปมิลเลอร์โดยสร้างเส้นแสงเป็นทางยาว


มิลเลอร์ส่งเสียงร้องโหยหวนเมื่อตระหนักอย่างแจ่มชัดว่า วิญญาณของตนมิอาจขัดขืนการเขมือบจากยุบพองหิวโหยได้


เลือดเนื้อของเหยื่อค่อยๆ ถูกสูบเข้าปากอันไร้ก้นบึ้งทีละนิด


ผ่านไปสองสามวินาที เหลือเพียงเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ธนบัตรหนึ่งปึก และก้อนแสงสีเขียวเข้มแกมน้ำเงิน ตกลงบนพื้นจนเกิดเสียงกุกกักแผ่วเบา


นี่คือความแตกต่างระหว่าง ‘เขมือบ’ กับ ‘ต้อนแกะเข้าคอก’


ใจจริง ไคลน์ต้องการทำอย่างหลังมากกว่า แต่นอกจากมิลเลอร์ มันก็มองไม่เห็นอาหารอื่นของยุบพองหิวโหยในบริเวณใกล้เคียงแล้ว


ขณะเดียวกัน กัปตันไอร์แลนด์เสร็จการสร้างน้ำมนต์ใส่เหยือกแบนสี่เหลี่ยมรอบสอง


เห็นดังนั้น เดนิสตะโกนเร่งเร้า


“โยนเข้าไป!”


ไอร์แลนด์ไม่ลังเล มันโยนเหยือกไปทางศพหัวขาดทั้งหกซึ่งพยายามแย่งชิงนกหวีดทองแดงผ่านกำแพงไฟ


เดนิสกระแอมในลำคอและยืนตัวตรง


มือซ้ายล้วงกระเป๋า มือขวาเหยียดตรงไปด้านหน้า ทันใดนั้น อีกาไฟสีแดงหลายตัวได้ผุดขึ้นจากอากาศรอบตัวเดนิส


อีกาไฟมายากึ่งโปร่งแสงโบยบินเข้าหาเป้าหมายด้วยวิถีแตกต่าง โดยมีตัวหนึ่งพุ่งขึ้นไปชนกับเหยือกแบนสี่เหลี่ยมของไอร์แลนด์ ซึ่งกำลังลอยอยู่เหนือกลุ่มศพไร้หัวพอดิบพอดี


บึ้ม!


เหยือกแตกกระจัดกระจาย น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์แห่งสุริยันเริ่มโปรยปรายลงมายังด้านล่าง


ฉ่า! ฉ่า!


เมื่อศพไร้หัวอาบน้ำมนต์ถ้วนหน้า พวกมันส่งเสียงหวีดจากหลอดลมพร้อมกับลงไปนอนชักกระตุกบนพื้น


เพียงไม่นาน ทุกตัวได้ละลายหายไปจนเหลือเพียงกองเลือดบ่อใหญ่ กึ่งกลางของเหลวเหนียวข้นมีนกหวีดทองแดงนอนนิ่งอย่างเงียบงัน


จบสิ้นสักที… เกอร์มัน·สแปร์โรว์แข็งแกร่งผิดคาด ถึงจะยังเอาชนะกัปตันของเราไม่ได้ แต่เธอเองก็คงฆ่าหมอนี่ไม่ได้เช่นกัน…


เฮ่อ น่าเสียดาย เรายังเห็นพลังพิเศษของมันไม่มากนัก…


เดนิสหันไปจ้องไคลน์ ผู้กำลังยืนนิ่งหน้าเศษของเหลือจากมิลเลอร์ พลางถอนหายใจ


ทันใดนั้น มันเห็นอีกฝ่ายจ้องกลับมาด้วยดวงตาสุดแสนเย็นชา


เฮือก. เดนิสรีบวิ่งไปหยิบนกหวีดทองแดงใจกลางกองเลือดอย่างกล้าหาญ ราวกับเป็นพฤติกรรมจากสัญชาตญาณก้นบึ้งจิตใจ


ดอนน่าลูบท่อนแขนฟกช้ำของเธอ สายตาจ้องมองลุงสแปร์โรว์ในโค้ทดำกระดุมสองแถวเดินกลับมาอย่างเงียบงัน อีกฝ่ายโน้มตัวก้มเก็บหมวกผ้าไหมทรงกึ่งสูงขึ้นมาปัดทำความสะอาด และก็สวมกลับไปบนศีรษะราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น


……………………


ราชันเร้นลับ 512 : จบแล้วหรือ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะไคลน์สวมหมวกกลับ ตะกอนพลังของบิชอปมิลเลอร์ได้ควบแน่นจนเกิดเป็นรูปร่างผลึก ขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือและมีแสงสีฟ้าอ่อน ขณะเดียวกันก็แผ่ริ้วแสงสีเขียวคล้ายคลื่นทะเลออกมาเป็นระยะ


ชายหนุ่มใช้นิ้วดันโม่ออก และสะบัดข้อมือเพื่อเทปลอกกระสุนเปล่าสีทองอ่อน สีเงินแกมขาว และสีทองเหลืองให้ร่วงกราวลงบนพื้นจนเกิดเสียงกรุ๊งกริ๊ง


จากนั้น มันนำตัวช่วยบรรจุกระสุนออกมาเสียบแทนอย่างใจเย็น ชุดกระสุนทุกนัดยังคงถูกเรียงด้วยอัตราส่วนเท่าเดิม


หลังจากจัดการตัวเองเสร็จ ไคลน์เก็บปืนเข้าซองรักแร้ และก้มลงหยิบตะกอนพลังของบิชอปมิลเลอร์ เก็บเข้าไปในกระเป๋าเสื้อด้วยสีหน้าเรียบเฉย


ชายหนุ่มหยิบไม้ค้ำชุ่มเลือดและมองสำรวจไปรอบตัวอีกหนึ่งครั้ง ก่อนจะเดินไปทางคลีฟส์และดึง ‘กระดาษคน’ ออกมาสะบัดข้อมือในลักษณะคล้ายแส้


พรึ่บ!


กระดาษเริ่มไหม้ไฟจากส่วนปลาย ลุกลามไปจนทั่วแผ่นพร้อมกับปลิวหล่นลงจากฝ่ามือไคลน์อย่างอ่อนโยน พวกมันกลายเป็นละอองเถ้าถ่านและไม่หลงเหลือสิ่งใดทิ้งไว้


“เท่มาก…!” ขณะจ้องมอง แดนตันลืมอาการเจ็บปวดของตัวเองชั่วขณะ


เหมือนกับคุณลุงสแปร์โรว์กำลังจุดพลุดอกไม้ไฟอยู่เลย…! ดอนน่าผงกศีรษะเห็นด้วยกับคำพูดของน้องชาย


หลังจากใช้เทคนิค ‘กระดาษคน’ เพื่อรบกวนการถูกทำนายถึง และลบเบาะแสซึ่งยังตกค้างในจุดเกิดเหตุทิ้ง ไคลน์มองไปยังสุดทางของถนนและกล่าวด้วยเสียงเยือกเย็นเจือความรอบคอบ


“รีบออกจากจุดนี้”


เมื่อสิ้นเสียง ชายหนุ่มเดินไปหยิบเข็มกลัดสุริยันกับนกหวีดทองแดงอะซิกจากมือของไอร์แลนด์และเดนิสตามลำดับ


เออร์ดี้กับอีกหลายคน ไม่มีใครกล้าปริปากในสิ่งไร้สาระ หรือไม่มีใครกล้าส่งเสียงสะอื้นจากอาการบาดเจ็บ ทุกคนเพียงเดินตามจ่าฝูงอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว


ในการต่อสู้เมื่อครู่ พวกมันล้วนตระหนักถึงความยอดเยี่ยมของผู้วิเศษ โดยเฉพาะความสามารถในการยิงไฟของเดนิสซึ่งโดดเด่นสะดุดตากว่าใคร ฉากของเปลวเพลิงสุดอลังการได้ดึงดูดให้ผู้คนเกิดความหลงใหล


ขณะเดียวกัน ทุกคนทราบดี คนธรรมดาไม่ควรสอดมือเข้าไปยุ่งในการต่อสู้ระดับนี้ บทบาทเดียวของพวกมันจึงเป็นการเชื่อคำสั่งและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด


มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นจึงจะอยู่รอด!


ตรงข้ามกับเดนิส การต่อสู้ระหว่างไคลน์กับบิชอปมิลเลอร์มีองค์ประกอบยากสังเกตเห็นมากเกินไป ทั้งใบมีดลมเฉือนเกือบจะล่องหน ทั้งพลังของนักจิตบำบัดและพลังนักสอบสวนซึ่งอยู่ในขอบเขตของนามธรรม


ยกเว้นแสงศักดิ์สิทธิ์อันเป็นราวกับพรจากสวรรค์โดยตรง รวมถึงรูปร่างอัปลักษณ์หลังจากบิชอปมิลเลอร์เกิดคลุ้มคลั่ง


ความน่าตื่นตาตื่นใจจึงน้อยกว่าอสรพิษเพลิงและอีกาไฟของเดนิสหลายเท่า


แต่หลังจากเดินผ่านเขตสนามรบ ทุกคนพลังชะงักเมื่อได้เห็นสภาพภูมิประเทศพังพินาศยับเยินเต็มสองตา พื้นดินและต้นไม้ถูกทำลายด้วยใบมีดสายลมจนไม่เหลือเค้าเดิม บางสิ่งคมกริบได้เฉือนลึกเข้าไปในธรรมชาติจนมิอาจฟื้นฟูกลับคืนมาดังเดิม


นี่มัน…!


พวกมันทราบทันที ศึกดวลเดือดระหว่างเกอร์มัน·สแปร์โรว์กับบิชอปมิลเลอร์ผู้พ่ายแพ้และเสียชีวิต ความจริงแล้วเต็มไปด้วยอันตรายเหนือพรรณนา ความเสียหายมีมากว่าตาเห็นภายนอกหลายเท่า


ความหวาดกลัวและความโล่งใจพลันเอ่อล้นความรู้สึกทุกคน พลางเร่งฝีเท้าเพื่อรีบไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว


ราวสามสิบวินาทีถัดมา ไคลน์หยุดยืนบนถนนติดกับสำนักงานโทรเลข และหันไปกล่าวกับไอร์แลนด์ด้วยสีหน้าเย็นชา


“จะส่งโทรเลขไหม”


จากนั้น มันเสริมความเห็นส่วนตัว


“อย่าพยายามพังประตูเข้าไป”


“ตกลง” ไอร์แลนด์ตระหนักถึงความผิดปรกติในค่ำคืนอากาศแปรปรวนได้ไม่ต่างกัน


เดินไม่กี่ก้าว มันมาถึงหน้าประตูสำนักงานโทรเลข ตามด้วยการเคาะสามหน


ตึง! ตึง! ตึง!


ท่ามกลางเสียงทื่ออื้ออึง บุคคลด้านในส่งเสียงถามกลับมา


“ใคร?”


ไคลน์ ผู้เตรียมพร้อมตลอดเวลา พลันขมวดคิ้วเมื่อพบความผิดปรกติ


เสียงพูดจากด้านในเป็นเพศชาย!


ไอร์แลนด์ก็เช่นกัน มันทำหน้างุนงง


“ผมต้องการส่งโทรเลข …แล้วคุณเป็นใคร ผมจำได้ว่าพนักงานคราวก่อนเป็นผู้หญิง”


ชายด้านในตอบเสียงเย็น


“ผมชื่อ… ฟราโว·คอร์ท… เพื่อนร่วมงานของเมลานี่ เธอ… อยู่ข้างผม… และสบายดี…”


ถ้อยคำฟราโว·คอร์ทยังไม่ทันจางลง เสียงของผู้หญิงได้ดังแทรกขึ้น


“ใช่… ฉันสบายดี พวกคุณ… ไม่ต้องช่วย… ตามหาแล้ว… ฟราโวเขา… กลับมา…”


สาวน้อย… ไหนบอกว่า ประเพณีของเมืองท่าแห่งนี้คือการไม่เปิดประตูต้อนรับเสียงเคาะในช่วงสภาพอากาศแปรปรวน…


แล้วฟราโว·คอร์ทเข้าไปได้ยังไง!


ไคลน์พยายามหักห้ามใจมิให้ซักถาม


ไอร์แลนด์เดินถอยหลังกลับมาเล็กน้อย และกระแอมในลำคอก่อนจะกล่าว


“ผมต้องการส่งโทรเลขไปยังสำนักงานใหญ่ของโบสถ์วายุสลาตัน”


“ต้องขอโทษด้วย… พวกเรา… เปิดประตูไม่ได้…” ฟราโว·คอร์ทยังคงตอบเสียงเย็น


ไอร์แลนด์สัมผัสถึงความผิดปรกติได้อย่างแจ่มแจ้ง แต่ก็ไม่กล้าใช้วิธีรุนแรง เพียงเลี่ยงไปใช้อีกหนึ่งทางเลือก


“ถ้าอย่างนั้น รบกวนพวกคุณช่วยส่งแทนผมได้ไหม ขอฉบับสำเนาด้วย เนื้อหาคือ : ความไม่ปรกติของเมืองท่าแบนชี ความตายของบิชอปมิลเลอร์และนักบวชเจสซ์ ลงชื่อ ไอร์แลนด์ ตกลง” เสียงของเมลานีเริ่มห่างออกไป คล้ายกับเธอกำลังขยับตัวไปทางเครื่องส่งโทรเลข


เกิดเสียง ‘ก่อกแก่ก’ ดังจากด้านในสักพัก ก่อนจะมีเศษกระดาษถูกสอดออกมาทางช่องว่างใต้บานประตู


ไอร์แลนด์โน้มตัวหยิบ พยายามข่มใจตัวเองมิให้มองลอดเข้าไป


ขณะยืนอ่านสำเนาโทรเลข จมูกของมันฟุดฟิดเล็กน้อย เนื่องจากได้กลิ่นเลือดโชยมาจากแผ่นกระดาษ!


ไอร์แลนด์รีบหันขวับ มองไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์และใช้สายตาบอกเป็นนัยว่า ด้านในสำนักงานโทรเลขมีปัญหาร้ายแรงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน


อย่างไรก็ตาม บุคลิกของชายหนุ่มยังคงเงียบขรึมเย็นชา เพียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงขาดความแยแส


“กลับเรือ”


เมื่อปล่อยถ้อยคำดังกล่าว ไคลน์หันหลังและเดินไปยังสุดเขตถนนทันที ร่างกายเริ่มเลือนหายไปท่ามกลางสายหมอกเจือจาง


ด้วยตะเกียงในมือ เดนิสรีบกุลีกุจอเดินตามไปโดยไม่ทิ้งระยะห่าง ดอนน่าและคนอื่นรีบตามไปโดยปราศจากความลังเลเช่นกัน


ไอร์แลนด์พึมพำบางอย่างกับตัวเองสองสามวินาที ก่อนจะกำสำเนาโทรเลขแน่น และวิ่งเหยาะเดินตามไปสมทบกับกลุ่ม


หลังจากนั้น ไม่มีใครได้ยินเสียงจากสำนักงานโทรเลขอีกเลย ภายในอาคารถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงัดจนผิดวิสัย



คงเป็นเพราะความตายของบิชอปเสื่อมทรามมิลเลอร์ ระหว่างทาง ไคลน์และคนอื่นไม่พบศพหัวขาดสวมผ้าคลุมดำอีกเลย มีเพียงศีรษะบิน เน่าเปื่อยและขึ้นรา โผล่ออกมาโจมตีแค่สองครั้งสองคราว การเดินทางจึงเป็นไปอย่างราบรื่น


นานแค่ไหนไม่มีใครทราบ คณะเดินทางได้เดินมาจนถึงเขตท่าเรือ และเริ่มมองเห็นโมราขาวอยู่ในระยะสายตา


ภาพดังกล่าวทำให้เออร์ดี้และอีกหลายคนได้รับกำลังวังชากลับคืน พวกมันเริ่มออกวิ่งเหยาะๆ จนกระทั่งเข้าใกล้บันไดเรือ


ไคลน์ถือไม้ค้ำโชกเลือด ยืนรอด้านล่างสุดเพื่อให้ทุกคนขึ้นไปจนครบ ก่อนจะกระโดดสูงตามหลังและเดินต่ออีกไม่กี่ก้าวก็ถึงดาดฟ้าเรือ


ไอร์แลนด์รีบระดมผลผู้ใต้บังคับบัญชาของตนทุกคน ประกอบด้วยต้นเรือ ต้นหน สรั่งเรือ พลปืน และอีกมาก มันออกคำสั่งเตรียมความพร้อมปืนใหญ่ทุกกระบอก และเตรียมความพร้อมเครื่องยนต์สำหรับออกเรือทุกเวลา


จริงอยู่ การออกเรือกลางดึกสงัดไม่ใช่เรื่องฉลาด สิ่งนี้มักเต็มไปด้วยอันตราย แต่หากเหตุการณ์บนเมืองท่าแบนชีทวีเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ก็คงไม่มีวิธีใดปลอดภัยไปกว่าการออกเรือเพื่อเลี่ยงอันตราย


“คุณลงสแปร์โรว์คะ…” ดอนน่าพาแดนตันเดินไปหาไคลน์ สีหน้าคล้ายกับกำลังเตรียมรัวยิงคำถามคาใจนับไม่ถ้วน


ไคลน์พยักหน้าและชี้ไปทางห้องพัก


“กลับห้องก่อน ค่อยคุยกันพรุ่งนี้”


อันตรายรอบเกาะยังไม่หายไป…


ดอนน่าพยักหน้าขึงขัง ตามด้วยการหันไปทำภาษากาย ‘เงียบก่อน’ กับน้องชาย


“ชู่ว!”


เมื่อเห็นครอบครัวแบรนช์และดิเมอดอร์แยกย้ายกลับเข้าห้องพักของตน ไคลน์แวะไปหาไอร์แลนด์และยื่นตะกอนพลังของบิชอปมิลเลอร์ให้


“หากทูตพิพากษาบนเกาะยังมีชีวิตอยู่ ช่วยคืนสิ่งนี้ให้พวกเขา”


เมื่อเป็นตะกอนพลังของบิชอปมิลเลอร์ ผู้อาจอยู่ในลำดับ 6 ซึ่งนับว่าค่อนข้างสูง โบสถ์วายุสลาตันยอมไม่มีทางเพิกเฉยแน่ และผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งคงหนีไม่พ้นผู้โดยสารของโมราขาว


ไคลน์ยังไม่อยากถูกตามล่าด้วยฝีมือของขั้วอำนาจอันดับหนึ่งบนท้องทะเล


อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีทูตพิพากษาบนเมืองท่าแบนชีคนใดรอดชีวิต รวมถึงกำลังเสริมจากสำนักงานใหญ่มาถึงช้ากว่ากำหนด ไคลน์จะรีบลบเบาะแสและเปลี่ยนใจไม่คืนตะกอนพลังให้ ส่วนเหตุผลในการขอคืน มันสามารถกุขึ้นได้ไม่ยากเย็นอะไรนัก


ไอร์แลนด์รับวัตถุลักษณะคล้ายนิ้วโป้งและก้มหน้าสำรวจ


มันมิได้ถามรุ่มร่ามว่าสิ่งนี้คืออะไร เพียงหัวเราะและเล่าอย่างเป็นกันเอง


“คุณไม่ต้องกังวลว่าโบสถ์วายุสลาตันจะส่งคนมาสืบสวน ผมจะบอกพวกเขาให้ว่า คุณเป็นหนึ่งในคนของผม”


หมายความว่า โบสถ์วายุสลาตันจะมองเราเป็นคนของ MI9?


ไคลน์พยักหน้ารับโดยไม่ตอบสนอง


ถัดมา ไอร์แลนด์หันไปจ้องเดนิส


ตามด้วยการถามหยั่งเชิง


“เพลิงพิโรธ?”


“ฮะฮะ…” เดนิสหัวเราะแห้ง ก่อนจะตอบด้วยถ้อยคำซึ่งเลียนแบบมาจากใครบางคน


“ลองเดาดู”


“ผมคงจำผิด” ไอร์แลนด์เผยรอยยิ้ม


หลังจากบทสนทนาเล็กน้อยจบลง ไคลน์กลับมายังดาดฟ้าเรือด้านข้าง และมองเข้าไปในเมืองท่าแบนชีเพื่อจับตามองเหตุการณ์ผิดปรกติซึ่งอาจเกิดขึ้น


นานแค่ไหนไม่มีใครทราบ จนกระทั่งยอดเขาในจุดห่างไกลเริ่มสว่างไสวด้วยแสงของสายฟ้าและพายุฝน


แสงสีเงินแกมขาวฟาดผ่าลงมาด้านล่างเป็นระยะอย่างไร้ความปรานี


ผ่านไปอีกสักพัก หมอกจางรอบเมืองท่าแบนชีเริ่มสลายตัว ก่อนจะหายไปอย่างสมบูรณ์ในไม่กี่อึดใจ ดวงจันทร์สีแดงนวลบนท้องฟ้าเริ่มกลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง


จบแล้วหรือ…?


แม้จะได้เห็นกับตา แต่ไคลน์ยังไม่กล้าผ่อนคลายความตึงเครียดโดยสมบูรณ์


ผ่านอีกครึ่งชั่วโมง ชายสามคนซึ่งอ้างตัวว่าเป็นทูตพิพากษา เดินทางยังท่าเรือเพื่อขอพบกัปตันไอร์แลนด์


หลังจากสอบปากคำเบื้องต้น รวมถึงพึ่งพาพลังทำนายของเกอร์มัน·สแปร์โรว์เพื่อยืนยันว่าทั้งสามเป็นทูตพิพากษาตัวจริง ไอร์แลนด์หันไปให้สั่งลูกเรือลดบันไดลง


ทูตพิพากษาทั้งสามส่งภาษากายบอกให้คนอื่นยกเว้นไอร์แลนด์ออกนอกบริเวณชั่วคราว จึงค่อยเริ่มรายงานสถานการณ์ให้กัปตันเรือรับทราบ


ไคลน์ไม่ได้แอบฟัง เพียงรออย่างอดทนพลางครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย


ไม่กี่นาทีถัดมา หลังจากไอร์แลนด์ส่งมอบตะกอนพลังให้อีกฝ่าย กัปตันยืนจ้องแผ่นหลังของทูตพิพากษาทั้งสามเดินลงจากโมราขาว


พวกมันคงยังเหลือความวุ่นวายอีกมากให้ต้องสะสาง…


ฟู่ว…! ไอร์แลนด์ถอนหายใจขณะเดินไปหาไคลน์กับเดนิส และเล่าอย่างผ่อนคลาย


“ปัญหาทั้งหมดถูกสะสางแล้ว”


จบสิ้นสักที…


ไคลน์พยายามไม่นึกถึงเรื่องสุดพิสดารของฟราโว·คอร์ทและเมลานี่ด้านหลังประตูสำนักงานโทรเลข รวมถึงเรื่องของฟ็อกซ์และแขกห้องพักอันน่าหวาดหวั่น


ไอร์แลนด์เล่าต่อ


“ส่วนรายละเอียด… เมื่อเจสซ์เริ่มตระหนักว่าพิธีกรรมกินคนจากสมัยอดีตได้ถูกรื้อฟื้นกลับมา และมีชาวเมืองจำนวนหนึ่งของแบนชีอยู่ในลัทธิชั่วร้ายดังกล่าว เขาจึงรีบเดินทางกลับโบสถ์และรายงานให้บิชอปมิลเลอร์ทราบ แต่โชคร้าย เขาคงคาดไม่ถึงว่า ชายตรงหน้าคือบิชอปเสื่อมทราม และยังเป็นผู้นำของลัทธิชั่วร้ายดังกล่าว เจสซ์จึงถูกมิลเลอร์ใช้ลมเฉือนบั่นเศียรทันทีภายในวิหารของพระองค์…”


“…”


“ขณะมิลเลอร์เตรียมทำลายศพ คนงานของโบสถ์จำนวนหนึ่งได้ผ่านมาเห็นเข้าพอดี นั่นจึงทำให้สถานการณ์บานปลายสุดขีด มิลเลอร์เปลี่ยนคนงานส่วนใหญ่ให้เป็นสัตว์ประหลาด โดยยังเหลืองถูกนักบวชพาตัวไปหลบซ่อนในห้องใต้ดิน เมื่อมิลเลอร์มิอาจปกปิดความริง มันจึงเดินออกจากโบสถ์อย่างไม่แยแส ระดมพลสมาชิกของลัทธิ และมุ่งหน้าไปยังแท่นบูชาบนยอดเขา…”


“…”


“ระหว่างนั้น หลังจากทูตพิพากษาติดอาวุธตัวเองด้วยสมบัติปิดผนึกหลายชิ้น พวกเขารีบไล่ตามมิลเลอร์ไปจนถึงยอดเขา การปะทะอันดุเดือดเริ่มต้นขึ้น มิลเลอร์ได้รับบาดเจ็บหนักภายในเวลาไม่นาน แต่อย่างน้อยก็หลบหนีลงจากยอดเขาสำเร็จ… อย่างไรก็ตาม แท่นบูชาบนยอดหอคอยถูกทูตพิพากษาทำลายโดยสมบูรณ์แล้ว สำนักงานใหญ่ของโบสถ์วายุสลาตันส่งโทรเลขกลับมาว่า จะส่งมือดีมาสืบสวนหาสาเหตุซึ่งทำให้บิชอปเสื่อมทราม จริงสิ… ฉันเล่าไปว่า เป็นเพราะมิลเลอร์อ่อนแอลงมาก พวกเราทุกคนจึงร่วมมือจัดการได้อย่างเต็มกลืน ขณะเดียวกัน ทางโบสถ์ต้องการให้ครอบครัวบรานช์กับดิเมอดอร์ลงนามในสัญญารักษาความลับ”


หลังจากเล่ารายละเอียดทั้งหมดจบ ไอร์แลนด์ถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย และเริ่มจัดแจงเตรียมความพร้อมในด้านอื่นด้วยความรอบคอบ


อย่างไรก็ตาม ไคลน์ยังไม่กล้าวางใจ มันยืนเฝ้าดาดฟ้าเรือจนกระทั่ง เมฆบนท้องฟ้าถูกฉาบด้วยแสงแดดรุ่งอรุณของวันใหม่ มอบความสว่างไสวเหลืองนวลให้แก่ท่าเรือแบนชี


ชายหนุ่มมองเข้าไปในท่าเรือและพบว่า ชาวเมืองเริ่มเปิดประตูบ้านออกมาเดินอย่างร่าเริงและมีความสุข บ้างอาบแดดยามน้ำพลางออกกำลังกาย บ้างมุ่งหน้าไปทำงานของตัวเอง


เมืองท่าแบนชีกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง



จบแล้วสินะ…


ไคลน์หันกลับเข้ามาในเรือด้วยสีหน้าเจือความสับสน แต่ความง่วงกำลังรุมเร้าจิตใจจนรู้สึกอยากนอน ในส่วนของเดนิส มันยืนหาวมาสักพักใหญ่แล้ว แต่เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไม่ขยับตัว มันจึงไม่กล้าไปไหน


ระหว่างทางเดินกลับห้องพัก ไคลน์เห็นไอร์แลนด์สวนทางออกมา รายนี้ก็ไม่ได้นอนตลอดทั้งคืนเช่นกัน


“อรุณสวัสดิ์ พวกเรากำลังจะออกจากท่าเรือในอีกไม่ช้า ฉะนั้น ไม่มีสิ่งใดคอยทำให้วิตกกังวลอีกแล้ว!” ไอร์แลนด์ยิ้มทักทาย


ยังไม่ทันสิ้นเสียง หวูดเรือของโมราขาวพลันส่งเสียงดังกระหึ่ม เรือลำใหญ่เริ่มแล่นออกจากท่าด้วยความมั่นคง


ได้ยินเสียงดังกล่าว ไคลน์ถอนหายใจเงียบงันและสาบานกับตัวเองว่า ตนจะไม่นำเรื่องของเมืองท่าแบนชีกลับมาคิดให้รกสมองอีก


มันหันไปพยักหน้ากับอีกฝ่ายเชิงรับทราบ


ไอร์แลนด์บิดคอเล็กน้อยและยิ้ม


“ฮะฮะ! จริงสิ เมื่อคืน ผมเกิดฝันประหลาด คล้ายกับเห็นภาพหลอนของเมืองบินซีโบราณ กำลังซ้อนทับกับเมืองท่าแบนชีสมัยใหม่”


ขณะไคลน์กำลังจะเดินผ่าน มันพลันชะงักและเปลี่ยนสีหน้า อากัปกิริยาเช่นนี้มิได้พบเห็นกันบ่อยนัก


“บินซี…?”


“ฮะฮะ ใช่! นั่นคือชื่อเก่าของเมืองท่าแบนชีแห่งนี้ เมื่อราวสามถึงสี่ร้อยปีก่อน มันเคยถูกเรียกว่าเมืองบินซี แต่คงเป็นเพราะการกร่อนทางภาษาและปัจจัยอื่นประกอบ ชื่อใหม่จึงเพี้ยนกลายเป็นแบนชี” ไอร์แลนด์เล่าผ่านๆ


ได้ยินเช่นนั้น รูม่านตาไคลน์พลันหดเกร็ง


ชายหนุ่มยังจำได้ไม่ลืม วิญญาณมารภายในซากปรักหักพังใต้ดินของกรุงเบ็คลันด์เคยเล่าว่า หากตนต้องการพบหนึ่งในผู้ก่อตั้งของ ‘กุหลาบไถ่บาป’ อดีตราชาเทวทูตเมดีซีและทายาทสืบสายเลือด สามารถแวะไปเสี่ยงโชคกับ ‘หมู่บ้านบินซี’ ได้!


บินซี…!


คล้ายกับหัวใจไคลน์ถูกน้ำแข็งจับจนเกือบหยุดเต้น ความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านไปยังส่วนลึกของไขกระดูก


ชายหนุ่มรีบเดินออกมายังดาดฟ้าและมองกลับไปทางท่าเรือ พยายามค้นหาสำนักงานโทรเลขปิดตาย รวมถึงภัตตาคารมะนาวซึ่งทั้งเจ้าของและแขก เอาแต่จ้องมองลูกค้าหน้าใหม่อย่างเงียบงันในยามค่ำคืน


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)