Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 509-510
ราชันเร้นลับ 509 : คำขอร้อง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“แล้วครอบครัวดิเมอดอร์อยู่ไหน?”
“ในภัตตาคาร”
เออร์ดี้·แบรนช์ตอบโดยไม่คิดมาก
จากนั้น มันชี้นิ้วไปทางจุดซึ่งเคยมีศีรษะเน่าเปื่อยขึ้นราเกลือกกลิ้ง พลางซักถาม
“เมื่อครู่มันอะไร”
ไคลน์ ผู้ต้องการรักษามาดเงียบขรึมของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ตัดสินใจไม่ตอบ เพียงชำเลืองเดนิสเล็กน้อยและเดินผ่านครอบครัวดอนน่าไปยังประตูภัตตาคาร
เดนิส·เพลิงพิโรธถือตะเกียงเดินตามหลังมาไม่ห่าง เมื่อตระหนักว่าถึงจุดหมายเสียที มันเผยสีหน้าโล่งใจเล็กๆ พร้อมกับยืดอด
“พวกคุณยังไม่ต้องสงสัยว่ามันคืออะไร ให้เข้าใจว่าเป็นสัตว์ประหลาดดุร้ายและพยายามทำร้ายมนุษย์ก็พอ”
หากไม่ใช่เพราะเกอร์มัน·สแปร์โรว์ยืนห่างออกไปไม่กี่เมตร มันคงจะโพล่งออกไปอย่างภาคภูมิใจว่า :
ท่านเดนิส·เพลิงพิโรธผู้ยิ่งใหญ่มาช่วยพวกแกทุกคนแล้ว!
คลีฟส์ชำเลืองเซซิลและทีก ก่อนจะเดินไปข้างหน้าเพื่ออธิบายกับนายจ้าง
“ไว้ค่อยถามหลังจากถึงโมราขาว”
บอดี้การ์ดทั้งสามล้วนเคยเป็นนักผจญภัยมาก่อน บางคนมีประสบการณ์มาก บางคนยังมือใหม่ แต่ก็มีหนึ่งสิ่งร่วมกันคือ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดยังอยู่ในระดับข่าวลือและคำบอกเล่าจากขี้เมาในผับ ฉากเหตุการณ์เมื่อครู่จึงคล้ายกับกำลังฝันไป
แต่เนื่องจากเคยเห็นตัวเมอร์ล็อกมาแล้ว จึงพอจะทำใจยอมรับการมีตัวตนของสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์และน่ากลัวอื่นๆ ได้
เมื่อใจเย็นลง สติของแต่ละคนเริ่มกลับมา สองมือบีบกำด้ามปืนแน่นกระชับ
อย่างไรก็ตาม แสงสีขาวโพลนจากฟากฟ้ายังอยู่นอกเหนือจินตนาการและความเข้าใจไปไกลมาก พวกมันกำลังรู้สึกว่า โลกทัศน์และมุมมองต่อชีวิตของตนช่างไร้เดียงสา
ประสบการณ์ชีวิตในอดีตเริ่มถูกสั่นคลอน
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก จำต้องยอมรับความอ่อนหัดของตัวเอง และสะกดอารมณ์หดหู่เอาไว้ในใจก่อน
ไคลน์หยุดยืนหน้าทางเข้าภัตตาคารมะนาว
ตามด้วยการยกมือขวาเคาะ
ก็อก! ก็อก! ก็อก!
มันเคาะสามครั้งเป็นจังหวะ แต่ไม่มีสิ่งใดตอบสนองกลับมานอกจากความเงียบงัน
ถ้าไม่ใช่เพราะแสงเทียนสีเหลืองส่องลอดช่องว่างหน้าต่างและประตู ไคลน์คงคิดว่าภัตตาคารแห่งนี้เป็นตึกร้าง
ตึง! ตึง! ตึง!
ชายหนุ่มเคาะอีกสามครั้ง
ภายในร้านอาหาร ความเงียบงันยังคงครอบงำไม่แปรเปลี่ยน คล้ายกับทุกคนทำตามธรรมเนียมไม่ตอบสนองเสียงเคาะในยามสภาพอากาศเลวร้ายอย่างเคร่งครัด
ไคลน์ชักมือขวากลับและนำไปทาบไว้กับชายเสื้อโค้ทกระดุมสองแถว
จากนั้น มันโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ตามด้วยการใช้เข่าขวากระทุ้งใส่ประตู
เมื่อสิ้นเสียง ‘โครม!’ ประตูภัตตาคารเปิดออกทันทีในสภาพหมุดยึดหลุดกระเด็น
ฟ็อกซ์ในชุดทักซิโด้ ผู้เป็นเจ้าของใบหน้าอ้วนท้วน ยังคงยืนในจุดเดิม สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีซึ่งเลือกจะพักค้างคืน ได้เปิดประตูออกมาจ้องอย่างเงียบงัน
“ต้องการอะไร” สีหน้าฟ็อกซ์ปราศจากความฉุนเฉียวเหมือนช่วงก่อน เพียงแต่ในมือกำลังถือลูกโม่ดัดแปลงแน่น
ไคลน์มองไปรอบตัวด้วยเนตรวิญญาณ แต่ก็ไม่พบออร่าความชั่วร้ายจากมนุษย์ภายในอาคารแม้แต่คนเดียว
มันจ้องฟ็อกซ์อย่างใจเย็น ก่อนจะหันไปมองใบหน้าของลูกค้ารายอื่นจนครบถ้วน
“ครอบครัวดิเมอดอร์อยู่ไหน”
ฟ็อกซ์พยายามระงับอารมณ์ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของมันคล้ายกับกำลังมีลมพายุเกรี้ยวกราดอาละวาดอยู่ภายใน มันยืนเงียบเช่นนั้นราวสองวินาที ก่อนจะเอียงคอในลักษณะผิดธรรมชาติและกล่าวเสียงเรียบ
“บนชั้นสอง… ยังเหลือโต๊ะใหญ่ของแขกต่างถิ่นอีกหนึ่งครอบครัว”
“เรียกพวกเขาลงมา” ไคลน์สั่งเย็นชา
ฟ็อกซ์เงียบงันสักพัก จนกระทั่งเห็นไคลน์ชักลูกโม่ดัดแปลงออกมาเล็งศีรษะตน
เจ้าของภัตตาคารสูดลมหายใจยาว ก่อนจะยอมส่งบริกรขึ้นไปพาครอบครัวดิเมอดอร์ลงมายังชั้นล่าง
“เกิดอะไรขึ้น” ดิเมอดอร์ชายอายุราวสามสิบ ผู้กำลังอยู่ในช่วงวันหยุดพักร้อนพร้อมกับภรรยาข้าวใหม่ปลามัน
ไคลน์ลดปากกระบอกปืนลงและพูดหน้านิ่ง
“ท่าเรือแบนชีมีเหตุการณ์ไม่ปรกติเกิดขึ้น คุณจะกลับไปกับพร้อมพวกผม หรือจะอยู่ร้านนี้ต่อ”
“เหตุการณ์ไม่ปรกติ?” ดิเมอดอร์ทวนคำพลางเหลือบมองเออร์ดี้·แบรนช์
มันพอจะทราบว่าอีกฝ่ายเป็นพ่อค้าส่งออกผู้มั่งคั่ง และจ้างบอดี้การ์ดร่วมทางมาด้วยจำนวนสามคน ฉะนั้น หากมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นจริง การอยู่ร่วมกับคนกลุ่มนี้ย่อมปลอดภัยมากกว่าตามลำพัง
สำหรับธรรมเนียมพิสดารของท่าเรือแบนชี มันมองว่าเป็นแค่นิทานหลอกเด็กเท่านั้น!
ดิเมอดอร์จับมือภรรยาใหม่และเดินไปทางประตูด้วยรอยยิ้มสุภาพ
“ทรัพย์สินของเราอยู่บนเรือทั้งหมด ดังนั้นเราจะไปกับพวกคุณ… ขอบคุณมากสำหรับการแวะมารับ”
มันกับภรรยาเดินผ่านไคลน์และกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ ก่อนจะไปรวมตัวกับครอบครัวแบรนช์ด้านหลัง
ไคลน์ลดปืนลงและก้มหัวให้ฟ็อกซ์เล็กน้อย
“ขออภัย”
เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มหันหลังกลับ และเห็นคลีฟส์กับคนอื่นกำลังถูกฉาบด้วยแสงสีเหลืองนวลจากด้านในภัตตาคาร
โครม! ประตูภัตตาคารมะนาวปิดสนิทอีกครั้งพร้อมกับสายลมหมุนวนแผ่วเบา
ไคลน์ตระหนักถึงบรรยากาศผิดแผก แต่เนื่องจากเนตรวิญญาณไม่พบสิ่งน่าสงสัย จึงปล่อยผ่านโดยไม่คิดสืบสวนลึกมากกว่านี้ เพราะเกรงว่าจะทำให้ ‘อันตรายซ่อนเร้น’ ของท่าเรือแบนชีปะทุออกมา
เมื่อกลับมายืนข้างเดนิส ไคลน์นับจำนวนคณะเดินทางในปัจจุบันด้วยความช่วยเหลือจากแสงตะเกียง
ครอบครัวดอนน่ามีสี่ บอดี้การ์ดอีกสาม รวมถึงคู่รักดิเมอดอร์และคนรับใช้…
ไคลน์ย้ายลูกโม่ดัดแปลงในมือขวาไปถือรวมกับไม้ค้ำในมืออีกข้าง ก่อนจะใช้มือขวาล้วงกระเป๋าเสื้อเพื่อสัมผัส ‘เข็มกลัดสุริยัน’ อย่างอ่อนโยน
ทันใดนั้น แสงสีทองเข้มได้ส่องประกายออกจากตัวไคลน์ แผ่ไปยังทุกคนรอบตัวในลักษณะคล้ายคลื่นน้ำ
ดอนน่าและคนอื่นๆ เริ่มรู้สึกคล้ายกับ กำลังอาบแดดใต้แสงอาทิตย์อบอุ่น ความหนาวเย็นในร่างลดทอนลงหลายระดับ
ความวิตกกังวลถูกขจัด คล้ายกับได้รับความกล้าหาญเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ไม่เพียงเท่านั้น เศษเสี้ยวออร่าของโลกวิญญาณซึ่งเกิดจากการกินเนื้อหมักเกลือเมืองท่าดาเมียร์ ได้ถูกขจัดไปพร้อมกัน
พลัง ‘ออร่าสุริยัน’ สามารถเสริมความกล้าหาญของพวกพวกพ้องภายในรัศมียี่สิบเมตรพร้อมกับขจัดความชั่วร้ายในร่างกาย
ภายใต้การควบคุมด้วยพลังวิญญาณและความนึกคิด ไคลน์สามารถเลือกได้ว่าจะช่วยเป้าหมายคนใดบ้าง และมองข้ามเป้าหมายคนใดบ้าง
“แวะสำนักงานโทรเลขก่อน” ไคลน์เน้นย้ำ พลางย้ายปืนกลับมาถือในมือขวา ก่อนจะเดินนำทุกคนไปยังด้านหน้าสุด
เดนิสรู้งาน มันเดินขยับเฉียงมาด้านข้างโดยปล่อยให้คลีฟส์ เซซิล และทีก ประกบอีกสามมุมของขบวนแถว
คณะเดินทางรวมสิบห้าชีวิต… หากถูกโจมตีกะทันหันคงเลี่ยงความเสียหายได้ยาก เพราะนอกจากเดนิสก็ไม่มีใครช่วยแบ่งเบาภาระ…
เราควรทำยังไงดี…
ทันใดนั้น ไคลน์ฉุกคิดบางสิ่ง มือขวาเลื่อนปืนพกกลับไปเก็บในซองใต้รักแร้ และย้ายไม้ค้ำมาถือด้วยมือขวาแทน
ชายหนุ่มเลื่อนมือซ้ายล้วงหากล่องบุหรี่โลหะซึ่งกางกำแพงวิญญาณผนึกไว้ ก่อนจะเปิดฝ่าและนำนกหวีดทองแดงของอะซิกออกมาถือและควงเล่นเป็นครั้งคราว
ไคลน์เชื่อว่า ‘สัตว์ประหลาดหัวคน’ จะไม่เล็งเป้าหมายอื่นนอกจากนกหวีดทองแดงทรงโบราณอันนี้
ด้วยเจ้านี่ เราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะช่วยสมาชิกคนอื่นไม่ทัน เฮ่อ…บทบาทของตัวแทงค์ช่างวุ่นวายซะจริง…
ไคลน์ถอนหายใจยาวและเริ่มเดิน
ทันใดนั้น ศีรษะน่ารังเกียจสามเศียรได้พุ่งออกจากสายหมอกเจือจางด้านหน้า ทั้งหมดตรงดิ่งมายังไคลน์ราวกับหัวลูกศร ไม่แยแสเป้าหมายอันโอชะโดยรอบเลยสักนิด
สามหัว…!
รูม่านตาเดนิสพลันหดตัว มันกังวลว่าสัตว์ประหลาดเกอร์มัน·สแปร์โรว์อาจลนลานจนจัดการไม่ทัน แต่ขณะเดียวกันก็อยากเห็นฝีมือแท้จริงของอีกฝ่าย
สามเลยหรือ…
ไคลน์ตวัดมือซ้ายคล่องแคล่ว โยนนกหวีดทองแดงของอะซิกลอยขึ้นไปในอากาศ
และไม่ผิดคาด ศีรษะน่ารังเกียจทั้งสามได้พุ่งเป็นวิถีโค้งขึ้นไปหาเป้าหมายหลักของมัน
ไคลน์ถอยกลับมาครึ่งก้าว พลางใช้มืออีกข้างล้วงจับเข็มกลัดสุริยันโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
ทันใดนั้น ในจุดของนกหวีดทองแดง กลุ่มก้อนเปลวเพลิงสีทองผุดขึ้นจากอากาศว่างเปล่าอย่างหนาแน่น บรรยากาศโดยรอบพลันท่วมท้นด้วยกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์
“เพลิงแสงศักดิ์สิทธิ์!”
ศีรษะเน่าเปื่อยและเหี่ยวแห้งทั้งสามส่งเสียงกรีดร้องพร้อมเพรียง ก่อนจะกลายเป็นละอองเถ้าถ่านท่ามกลางเปลวเพลิงสีทอง
ไคลน์ขยับไปข้างหน้าสองก้าวเพื่อคว้านกหวีดทองแดงซึ่งกำลังร่วงหล่น
…ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ? ยังมีสมบัติวิเศษซ่อนอยู่อีกรึไง?
เดนิสยืนตัวแข็งไปสักพัก มันยังไม่อยากเชื่อว่าอีกฝ่ายจะจัดการได้ง่ายดายเช่นนี้
ดิเมอดอร์และภรรยาย่อมเห็นฉากเมื่อครู่เต็มสองตา คนหนึ่งยืนสั่นด้วยสีหน้าซีดเซียว ส่วนอีกคนซักถามด้วยริมฝีปากระริก
“ม…เมื่อครู่มันอะไรกัน”
ดอนน่ารีบหันไปมองและพยักหน้าขึงขัง
“ไว้ค่อยถามหลังจากถึงโมราขาวค่ะ”
เมื่อพูดจบ เด็กสาวยกนิ้วชี้ขึ้นมาทาบริมฝีปากในแนวตั้ง เป็นการเลียนแบบภาษากาย ‘เงียบก่อน’ ของลุงสแปร์โรว์
ดิเมอดอร์หวนนึกถึงบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์รอบตัวชายหนุ่มด้านหน้าสุด จึงทำเพียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่และกุมมือภรรยาไว้แน่น ส่วนคนรับใช้อื่นๆ ต่างก็ไม่กล้าแสดงความเห็น
คณะเดินทางยังคงเดินต่อไปบนถนนสลัวฉาบแสงจันทร์ สองฝั่งทางเดินมีเพียงบ้านเรือนมืดมิด ราวกับไม่เคยมีใครอาศัยอยู่
ดอนน่าสัมผัสได้ว่า สายตาหลายคู่กำลังมองตามการเคลื่อนไหวของทุกคน แต่ด้วยเหตุผลบางประการ พวกมันยังไม่กล้าปรากฏตัวออกมา
พวกมันหวาดกลัวลุงสแปร์โรว์!
เด็กสาวรีบบีบมือน้องชายแน่นและเดินจูงเข้าไปในวงล้อมอ้อมอกพ่อแม่
ทันใดนั้น ร่างหนึ่งปรากฏตัวบนถนนตรงหน้า สวมเสื้อคลุมสีดำ ลำตัวโน้มมาด้านหน้าเล็กน้อยคล้ายเต็มกระโจนใส่ แสงจันทร์ช่วยเผยให้เห็นลำคอโชกเลือดอันปราศจากศีรษะ
แฮ่ก!
ร่างไร้หัวส่งเสียงหายใจคล้ายสัตว์ร้ายกำลังหายใจดัง พร้อมกับปรี่เข้าหาไคลน์ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
แต่จากตำแหน่งดังกล่าว มันต้องวิ่งผ่านเดนิสก่อนมาถึงไคลน์
แม่เย็*! เดนิสสบถพลางโบกแขนโยนก้อนเพลิงสีส้มอมเหลือง เป็นเวทมนตร์ไฟซึ่งเกิดการบีบอัดเพลิงเข้าไปหลายชั้น
บึ้ม!
ก้อนไฟปะทะร่างศพไร้หัว มันชะงักพร้อมกับเซถอยหลังไปสามก้าว
เสื้อผ้าไหม้เกรียม ผิวหนังถูกแผดเผา ตามชายเสื้อคลุมยังคงมีประกายไฟหลงเหลือ
แต่สำหรับสัตว์ประหลาดซึ่งตายไปแล้ว อาการบาดเจ็บเท่านี้ไม่มากพอจะทำให้สั่นคลอน
ทันใดนั้น เศษเปลวเพลิงตกค้างบนเสื้อคลุมสีดำ เกิดลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งอย่างไร้เหตุผล ปลายไฟลอยสูงขึ้นไปในอากาศ
ไคลน์ในเสื้อโค้ทกระดุมสองแถวโผล่ออกจากยอดเพลิงด้านบน อาศัยแรงโน้มถ่วงและพละกำลังส่วนตัว เสียบไม้ค้ำใส่ต้นคอชุ่มเลือดอย่างสุดแรง
ฉึก!
ปลายไม้ค้ำสีดำ ทะลวงเป็นเส้นตรงจากลำคอลงมาโผล่ใต้เป้ากางเกง
โครม!
ไคลน์เกร็งกล้ามเนื้อหลังและจับร่างของชายไร้หัวทุ่มลงกับพื้น
ฉวยโอกาสได้เปรียบ ชายหนุ่มเกร็งแขนข้างถือไม้ค้ำเพื่อตรึงมิให้ ‘ร่างเสียบไม้’ มีโอกาสขยับเขยื้อน ตามด้วยการถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในเข็มกลัดสุริยัน
เมื่อประเมินข้อมูลจากเนตรวิญญาณ มันทราบว่าพลัง ‘อัญเชิญแสงศักดิ์สิทธิ์’ ‘ฟาดฟันชำระล้าง’ และ ‘เพลิงแสงศักดิ์สิทธิ์’ ไม่รุนแรงพอจะจัดการกับสัตว์ประหลาดออร่าเขียวเข้มตนนี้ได้ จำเป็นต้องใช้วิธีอื่นแทน
ห้าวินาที. สี่วินาที. สามวินาที.
ชายหัวขาดพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่สภาพก็ไม่ต่างจากงูถูกตอกหมุดตรึงไว้กับพื้น
สองวินาที. หนึ่งวินาที!
ไคลน์อ้าปากพ่นถ้อยคำเฮอร์มิสโบราณ
“สุริยัน!”
เหนือร่างไร้หัว ประกายแสงระยิบระยับผุดจากความว่างเปล่า ก่อนจะควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำสีขาวโพลนจำนวนมาก และโปรยปรายลงบนตัวชายหัวขาด
ฉ่า—! ฉ่า!
ควันสีเขียวเข้มปะทุท่วมท้น ไคลน์รีบปล่อยมือจากไม้ค้ำและขยับหลบไปด้านข้างสองก้าว
ในระหว่างนั้น ‘ฝน’ โปรยปรายได้ทำให้ร่างกายของสัตว์ประหลาดชักกระตุกรุนแรง
ผ่านไปสักพัก เหตุการณ์สงบลงพร้อมกับการละลายหายไปของศพไร้หัว เหลือเพียงบ่อเลือดแดงฉานข้นคลั่ก
ไม่มีตะกอนพลัง… หมายความว่าเจ้านี่ไม่ใช่ศัตรูตัวจริง…
อ้างอิงตามทฤษฎีคงเป็นสัตว์รับใช้…
ไคลน์ดึงไม้ค้ำกลับและหันไปหาทุกคน
“เท่มาก!” แดนตันอุทาน
ดวงตาของดอนน่าเองก็กำลังเปล่งปลั่ง
ยังคงใช้สมบัติวิเศษเป็นหลัก… แต่การหายตัวไปโผล่ด้วยประกายเพลิงคือพลังพิเศษของเส้นทาง ถือเป็นพวกรับมือได้ยาก…
เดนิส·เพลิงพิโรธพลันโล่งใจและภูมิใจว่าตนฉลาดมากเพียงใด กับการไม่เลือกเป็นศัตรูกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ส่งเดช
ราวเจ็ดถึงแปดนาทีถัดมา คณะเดินทางซึ่งเก็บกวาดการโจมตีเพิ่มอีกสองระลอก ได้มาถึงสำนักงานโทรเลขประจำท่าเรือแบนชี
คลีฟส์อาสาเดินไปเคาะประตู
“ใคร?” เสียงผู้หญิงอ่อนโยนดังเอื่อย
“พวกเรากำลังตามหามิสเตอร์ไอร์แลนด์ กัปตันของโมราขาว” คลีฟส์ตอบ
ท่ามกลางค่ำคืนเงียบงัน หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เร่งรีบ
“เขาและต้นเรือเข้าไปหลบพายุในวิหารด้านข้าง”
เสียงของเธอค่อนข้างแปลก… หรือพูดในลักษณะนี้เป็นปรกติอยู่แล้ว?
ไคลน์โยนเหรียญทองเพื่อทำนายยืนยันว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก
เมื่อคณะเดินทางกำลังจะจากไป ผู้หญิงด้านในสำนักงานกล่าวด้วยเสียงลังเล
“พวกคุณ… ช่วยฝากข้อความไปถึงคนคนหนึ่งแทนฉันได้ไหม เขาเป็นเพื่อนร่วมงาน แต่ออกไปข้างนอกก่อนพายุจะเข้า จากนั้นก็ไม่กลับมาอีกเลย ชื่อของเขาคือ… ฟราโว·คอร์ท”
……………………
ราชันเร้นลับ 510 : บิชอปผู้กลับมา
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฟราโว·คอร์ท…
คลีฟส์ยังไม่ตอบหญิงสาวด้านในสำนักงานโทรเลขกลับไป เพียงหันไปทางเกอร์มัน·สแปร์โรว์เพื่อรอการตัดสินใจของอีกฝ่าย
ในสายตาของนักผจญภัยมากประสบการณ์ กลุ่มคนเกินหนึ่งโหลกำลังหาทางกลับไปยังโมราขาวอย่างปลอดภัย เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นงานยากเต็มกลืนแล้ว จึงไม่สามารถ และไม่ควร เสียสมาธิไปกับภารกิจตามหาคนหาย
อย่างไรก็ตาม มันย่อมตระหนักว่าเสาหลักในปัจจุบันของคณะเดินทางคือเกอร์มันสแปร์โรว์และเดนิส·เพลิงพิโรธ ดังนั้น การตัดสินใจจึงขึ้นอยู่กับพวกเขาเป็นหลัก
ไคลน์เงียบงันสักพัก ก่อนจะตอบเสียงเรียบ
“เขามีลักษณะเป็นอย่างไร”
ชายหนุ่มมองว่า การรวบรวมข้อมูลอาจสร้างประโยชน์ได้ในอนาคต เบาะแสเพียงเล็กน้อยสามารถช่วยให้หลุดพ้นจากเกาะหมอกจางและลมพายุรุนแรงแห่งนี้ จึงหยั่งเชิงกลับไปพอเป็นพิธี เพราะไม่มีอะไรให้เสียหาย
ขณะซักถาม ไคลน์เตือนตัวเองมิให้ใจอ่อน ไม่อย่างนั้น ตนอาจเผลอไปขุดคุ้ยโดน ‘อันตรายซ่อนเร้น’ ของท่าเรือแบนชีเข้า
ด้วยสาเหตุดังกล่าว ไคลน์คอยต้องรักษาสมดุลระหว่างการสืบหาข้อมูล และการเพิกเฉยต่อสิ่งผิดปรกติ ห้ามเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่งเด็ดขาด คล้ายกับกำลังเดินบนคานทรงตัว
สิ่งนี้จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะไม่มีใครสามารถหยั่งรู้อนาคต ไม่มีคำว่าผิดหรือถูก การตัดสินใจทั้งหมดจึงเกิดจากพื้นฐานประสบการณ์ของไคลน์เพียงอย่างเดียว โดยความพลาดพลั้งสามารถเกิดขึ้นทุกเมื่อ
ประเด็นดังกล่าวทำให้ศีรษะของชายหนุ่มเริ่มปวดแปลบ สมองของมันประมวลผลรวดเร็วกว่าในยามปรกติหลายเท่า
ท่ามกลางบรรยากาศมืดสนิทและสายหมอกเจือจาง ประตูของสำนักงานโทรเลขยังคงปิดและลงกลอนมิดชิด โดยมีเสียงเอื่อยของหญิงสาวเด็ดเล็ดลอดกลับมา
“เขาหน้าตาดีมาก มีดวงตาสองดวง หูสองใบ จมูกหนึ่ง และปากหนึ่ง”
นี่คือคำตอบ? ผู้หญิงคนนี้ยังปรกติดีจริงหรือ? และเหนือสิ่งอื่นใด ทำไมเธอถึงไม่รักษาประเพณีของชาวเมือง? ทำไมถึงกล้าตอบสนองต่อเสียงเคาะประตู!
เดนิสเกิดอยากจะพังประตูเข้าไปสำรวจสภาพภายในสำนักงานโทรเลขให้รู้แล้วรู้รอด
ทันใดนั้น มันเหลือบเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ยกมือขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับกดหมวกและเดินไปยังอีกทางหนึ่ง
“วิหารวายุสลาตัน” ไคลน์เอ่ยชื่อปลายทางของตนสั้นกระชับ
มันไม่สนใจความผิดปรกติของหญิงสาวในสำนักงานโทรเลข เฉกเช่นการทำเป็นไม่สนใจความผิดปรกติของเจ้าของภัตตาคารมะนาวและแขกคนอื่นของร้าน
ลมพายุเริ่มซาลง สายหมอกก็จางลงมากเช่นกัน เมื่อเดินเข้าใกล้ไป แสงเทียนจากวิหารวายุสลาตันกำลังส่องลอดออกจากหน้าต่างชั้นบน จนดูคล้ายหอประภาคารท่ามกลางลมพายุไม่มีผิด
หลังจากไคลน์ใช้ ‘ออร่าสุริยัน’ อีกครั้ง ดอนน่าและคนอื่นๆ ต่างได้รับความกล้าหาญกลับคืนมา คล้ายกับการยื่นฟางลงไปช่วยคนกำลังจะจมน้ำ ทุกคนกำลังเร่งฝีเท้าอย่างเป็นระเบียบท่ามกลางบนถนนอันปราศจากผู้คน
เพียงไม่นาน ดอนน่าและคนอื่นเดินมาหยุดยืนด้านนอกวิหารวายุสลาตัน แต่ประตูอยู่ในสภาพถูกปิดสนิทอย่างแน่นหนา ไม่มีช่องเล็ดลอดผ่านเข้าออก
ชายหนุ่มชำเลืองสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งพายุบนประตู ก่อนจะใช้หลังมือกระแทกบานประตูไม้สามครั้ง
ก็อก! ก็อก! ก็อก!
เสียงของผู้ชาย เจือความหวาดระแวง ดังเล็ดลอดออกมาทางช่องว่างประตู
“ใคร?”
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์” ไคลน์ไม่อ้อมค้อม
หลังจากได้ยินเสียง ชายหนุ่มมั่นใจหลายส่วนว่าอีกฝ่ายคือกัปตันไอร์แลนด์
“มาทำอะไร?” ไอร์แลนด์ยิงคำถามโดยยังไม่เปิดประตู
ไคลน์ยกไม้ค้ำพลางมอบคำตอบใจเย็น
“คุณช่วยจ่ายค่าชดเชยของผับฉลามขาวแทนผม”
ไอร์แลนด์ทั้งประหลาดใจและขบขัน พลางยืนยันได้ว่า อีกฝ่ายคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ตัวจริง เพราะถ้าเป็นสัตว์ประหลาดชนิดอื่นจำแลงกายมา คงไม่มีทางทราบถึงความลับของคนทั้งสอง
อย่างไรก็ตาม ไอร์แลนด์ยังลังเลและไม่กล้าเปิดประตูไปอีกสักพัก จนกระทั่งได้ยินเสียงของคลีฟส์ เออร์ดี้ และดอนน่า จึงค่อยบอกให้ต้นเรือ·แฮร์ริสปลดล็อกกลอนประตูบานใหญ่
เสียงประตูไม้เสียดสีดังกังวาน ไคลน์เห็นไอร์แลนด์ในหมวกพับทรงทหารเรือ กำลังถือดาบตรงในมือข้างหนึ่ง และปืนคาบศิลาในมืออีกข้าง
“ในนี้มีอะไรผิดปรกติบ้างไหม” หลังจากกวาดสายตาหนึ่งครั้ง ชายหนุ่มซักถาม
ไอร์แลนด์ขยับไปด้านข้างเพื่อหลบให้ดอนน่าและคนอื่นเดินผ่านเข้าไป ตามด้วยการชี้ไปทางโถงสวดมนต์ใหญ่
“คนรู้จักของผม นักบวชเจสซ์ เสียชีวิตด้านในโถงสวมมนต์ ในสภาพศีรษะแยกออกจากร่างกาย… บิชอปมิลเลอร์หายตัวไป รวมถึงนักบวชและคนงานอื่นๆ ของวิหารด้วย”
นักบวชเสียชีวิต บิชอปหายตัว และวิหารไม่มีใครอาศัยอยู่?
ไม่มีอะไรปรกติเลยสักอย่างเดียว…
ไคลน์ยืนถือนกหวีดของแดงเย็นเฉียบของมิสเตอร์อะซิก พลางวิเคราะห์สถานการณ์รอบตัวอย่างเยือกเย็น
แน่นอน ชายหนุ่มย่อมทราบว่า นักบวชและบิชอปไม่ใช่กำลังหลักของมุขมณฑลศาสนา ใต้วิหารจะต้องมีฐานลับของหน่วย ‘ทูตพิพากษา’ ซ่อนอยู่ ประกอบด้วยผู้วิเศษจำนวนหกถึงแปดคน และสมบัติปิดผนึกระดับ 3 อีกจำนวนหนึ่ง ต่อให้เป็นครึ่งเทพ ก็ใช่ว่าจะจัดการเก็บกวาดทุกคนได้ในเวลาอันสั้นโดยไม่มีใครรู้ตัว
ขอเพียงพวกเขายื้อชีวิตและนำสมบัติปิดผนึกออกมาใช้ได้ทัน ปัญหาคงไม่ร้ายแรงเกินไปนัก… เช่นนั้นแล้ว หน่วยทูตพิพากษากำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้?
จากประสบการณ์สมัยยังเป็นเหยี่ยวราตรี ไคลน์พอจะคาดเดาพฤติกรรมและแบบแผนของหน่วยพิเศษอื่นๆ ได้บ้าง
ระหว่างนั้น มันเดินตามไอร์แลนด์เข้าไปในโถงสวดมนต์ขนาดใหญ่ และตรวจดูศพของนักบวชเจสซ์อย่างละเอียด
เจสซ์ถูกฆ่าเหี้ยมโหด ศีรษะขาดออกจากร่างกายทั้งเป็น แตกต่างจากสัตว์ประหลาด ‘ศีรษะ’ ด้านนอก พวกมันยังมีหลอดอาหารติดกับหัว แต่ของเจสซ์กลับไม่มี
ท่ามกลางเนตรวิญญาณ ไคลน์มองไม่เห็นเศษเสี้ยวดวงวิญญาณของนักบวชเจสซ์ การประกอบพิธีกรรมสื่อวิญญาณจึงไม่น่าจะประสบผลสำเร็จ
เจสซ์ต้องถูกฆ่าด้วยวิธีการพิเศษ หรือไม่ก็ถูกทำลายดวงวิญญาณทิ้งภายหลัง… แตกต่างจากพฤติกรรมของสัตว์ประหลาดด้านนอกค่อนข้างมาก…
มีใครบางคนรีบร้อนอยากให้เจสซ์ตาย?
ไคลน์เริ่มแตกประเด็นน่าสงสัย
ชายหนุ่มมองว่า การหายไปของดวงวิญญาณเจสซ์มีความเป็นได้สองสาเหตุ
ข้อแรก บางสิ่งในห้องใต้ดิน อาจเป็นสมบัติปิดผนึกมีสัญญาณชีพของโบสถ์ เกิดหลุดออกมาและพบกับเจสซ์เข้าพอดี โดยพลังของมันมีลักษณะทำลายดวงวิญญาณโดยตรง หลังจากนั้น เมื่อสมบัติปิดผนึกหลบหนีไปออกเพ่นพ่านด้านนอกวิหาร ทูตพิพากษาและบิชอปจึงผนึกกำลังกันตามล่าชนิดพลิกเกาะขึ้นมาสืบหาเบาะแส ส่วนคนรับใช้อาจถูกต้อนให้ลงไปหลบในห้องใต้ดิน โดยยังเหลือทูตพิพากษาอีกเล็กน้อยคอยคุ้มกัน
แต่เหตุผลข้อนี้ไม่ตอบโจทย์ว่า เพราะเหตุใดชาวเมืองส่วนใหญ่ถึงมือพฤติกรรมผิดแผก
ข้อสอง พิธีกรรมโบราณเกี่ยวกับการบูชา ‘เทพสภาพอากาศ’ ได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ในหมู่ชาวเมืองแบนชี ศีรษะสัตว์ประหลาดบินได้สอดคล้องกับรายละเอียดของพิธีกรรม ซึ่งว่าด้วยการแบ่งเลือดเนื้อของเหยื่อสังเวยให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม รวมถึงการนำกะโหลกศีรษะไว้กึ่งกลางบนแท่นบูชา
ด้วยเหตุผลบางประการ ชาวบ้านกลุ่มนี้ได้บุกเข้ามาฆ่าเจสซ์ถึงในโบสถ์ โดยถึงแม้จะชาวบ้านกลุ่มอื่นล้วนทราบความจริงทั้งหมด แต่ทุกคนเลือกจะนิ่งเงียบ
พวกมันคงบุกโจมตีฐานใต้ดินของทูตพิพากษาและเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดขึ้นระหว่างสองฝ่าย ฝั่งชาวบ้านได้เปลี่ยนให้นักบวชและคนงานกลายเป็น ‘สัตว์รับใช้’ เหมือนกับตัวด้านนอก จากนั้นก็ปะทะกับทูตพิพากษาและบิชอป ผู้มีสมบัติปิดผนึกคอยสนับสนุน อย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ควรตัดความเป็นไปได้ว่า กลุ่มนักบวชและคนงานอาจแค่หลบหนีลงไปในชั้นใต้ดินอย่างปลอดภัย และได้รับความคุ้มครองจากทูตพิพากษา เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันหลังจากนั้น…
หากตัดสินจากสภาพศพของเจสซ์ ข้อสองมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า…
ในเวลาเช่นนี้ การลงไปสำรวจฐานทัพลับใต้ดินมีแต่จะได้รับอันตราย
เรื่องนี้ย่อมเข้าใจได้ พวกมันมิได้แสดงท่าเป็นมิตรกับคนแปลกหน้าเป็นทุนเดิม โดยเฉพาะกลุ่มผู้วิเศษนอกกฎหมาย…
นอกจากนั้น กำลังรบของฝ่ายเราก็มีขีดจำกัดมาก…
ไคลน์จ้องศพนักบวชสักพัก ก่อนจะพบว่าตะกอนพลังค่อยๆ รวมตัวจนกลายเป็นผลึกอัญมณีสีน้ำเงิน
ชายหนุ่มเบือนหน้าหนี ไม่อยากเป็นศัตรูกับโบสถ์วายุสลาตันอันเกรี้ยวกราดด้วยเหตุผลเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปกล่าวกับไอร์แลนด์และต้นเรือ·แฮร์ริส
“พวกเรากลับไปขึ้นเรือกันก่อน”
ไคลน์โยนเหรียญทองทำนาย และได้รับคำตอบว่าด้านล่างไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้น
มันไม่สนว่าฐานทัพลับข้างล่างจะมีทูตพิพากษาคอยคุ้มกันทั้งหมดกี่คน แต่เนื่องจากฐานดังกล่าวไม่เหมาะแก่การต่อสู้ยืดเยื้อหรือพักอาศัยเป็นเวลานาน ไคลน์จึงดีดเหรียญทำนายเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ตนจะได้เลือกเดินบนเส้นทางถูกต้อง
“ตกลง!” ไอร์แลนด์ไม่ลังเล มันซ่อนตัวอยู่ในนี้เป็นเวลานานเพื่อรอให้จุดเปลี่ยนของเหตุการณ์มาถึง และนี่คือเวลาดังกล่าว
หากพวกมันกลับโมราขาวไปได้ บนเรีอลำนั้นจะมีปืนใหญ่และกะลาสีจำนวนมาก ย่อมทนต่อการบุกโจมตีได้เป็นอย่างดี
หลังจากนั่งพักเอาแรง คณะเดินทางถึงคราวเคลื่อนย้ายตำแหน่ง
เนื่องจากมีไอร์แลนด์และแฮร์ริสเพิ่มเข้ามา การอารักขาพลเรือนจึงทำได้ง่ายขึ้น ไคลน์เก็บนกหวีดทองแดงเข้ากระเป๋า เพราะไม่ต้องการควงเล่นเพื่อรนหาความตาย
“ควรแวะส่งโทรเลขไปหาสำนักงานใหญ่ของโบสถ์วายุสลาตันไหม? รายงานให้พวกเขาทราบถึงสถานการณ์บนเกาะแบนชี”
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ไอร์แลนด์เสนอแนะอย่างรอบคอบ
หากใช้วิธีดังกล่าว ต่อให้สถานการณ์เลวร้ายสักเดียวกัน แต่ถ้ายื้อเวลาไว้ได้สักพัก ความช่วยเหลือก็จะถูกส่งมาถึงในภายหลัง
ไคลน์ไม่คัดค้าน เพียงเดินนำท่ามกลางสายหมอกจางและกล่าวเสียงเรียบ
“สำนักงานโทรเลขอยู่ไม่ไกล”
ฟู่ว! เดนิสเพลิงพิโรธถอนหายใจผ่อนคลาย
แต่ทันใดนั้น หัวใจของมันพลันเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ
เดนิสเริ่มกังวลว่า หากโบสถ์วายุสลาตันส่งคนมาตรวจสอบข้อเท็จจริง และพบว่าโจรสลัดคนดังอย่างตนมีบทบาทสำคัญช่วยให้ทุกคนพ้นจากวิกฤติ มันมองว่า ตนมีสิทธิ์ถูกขังไว้ในโมราขาวขณะแล่นกลางทะเล
จริงอยู่ เราอาจช่วยคนบริสุทธิ์ไว้มากจากเหตุการณ์คราวนี้ แต่ทูตพิพากษาคงมิได้สนใจข้อเท็จจริง…
แถมเรายังเป็นโจรสลัด…
เดนิสกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่พักใหญ่ ก่อนจะได้ข้อสรุปให้ตัวเองว่า ไว้เอาตัวรอดจากความเดือดร้อนตรงหน้าให้ได้เสียก่อน หลังจากนั้นค่อยว่ากัน
หลังจากเดินเท้าไปสักพัก ขณะสำนักงานโทรเลขปรากฏตัวในระยะสายตา สายตาของทุกคนพลันหันไปมองแสงสว่างสีเหลืองนวลท่ามกลางสายหมอกจางทันที
อีกฝ่ายคือชายวัยกลางคน ถือโคมไฟ
มันสวมชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มของบิชอป ปักลวดลายสายลม สายฟ้า และคลื่นทะเล ศีรษะก้มต่ำเล็กน้อย ลมหายใจคล้ายกับกำลังเหนื่อยหอบ
ไอร์แลนด์จ้องมองพลางอุทาน
“บิชอปมิลเลอร์?”
ชายวัยกลางคนเงยหน้า และยกตะเกียงขึ้นมาในระดับสายตา
“ไอร์แลนด์?”
โดยไม่ต้องกล่าวสิ่งใด ไคลน์รีบหลบทางให้ไอร์แลนด์เดินเข้าไปจัดการธุระแทน เนื่องจากชายหนุ่มไม่ต้องการเป็นจุดสนใจในสายตาโบสถ์วายุสลาตันอันเกรี้ยวกราด
เดนิสหดคอให้ตัวเตี้ยลง และอาศัยรูปร่างอ้วนท้วนของเออร์ดี้ช่วยบัง
“ท่านบิชอป ผมเห็นเจสซ์เสียชีวิตภายในวิหาร เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” ไอร์แลนด์ไม่ใช่ไก่อ่อน มันซักถามโดยยังเว้นระยะห่าง
บิชอปมิลเลอร์ไอแห้งสองครั้ง
“ประเพณีเก่าแก่คืนชีพกลับมา ชาวเมืองซึ่งเป็นสมาชิกของลัทธิชั่วร้ายผู้มีเลือดสกปรกไหลเวียนอย่างเข้มข้น กำลังเตรียมสังเวยคนเป็นและแบ่งปันเลือดเนื้อซึ่งกันและกันอย่างเท่าเทียม เจสซ์พบความผิดปรกติได้ก่อนใคร จึงถูกฆ่าปิดปากเป็นรายแรก มาถึงขั้นนี้ คงปิดบังไม่ได้แล้ว… พวกมันใช้พิธีกรรมเพื่อเปลี่ยนสภาพอากาศให้เลวร้ายและบุกโจมตีวิหาร แต่ก็ยังพ่ายแพ้ต่อพวกเราอย่างหมดรูป จึงรีบหนีขึ้นไปยังยอดเขาโดยมีทูตพิพากษาไล่ตามไป อย่างไรก็ตาม ฉันบาดเจ็บหนักในการต่อสู้ เมื่อตระหนักว่าสู้ต่อไปไม่ไหว จึงกะเผลกกลับมาตามลำพังอย่างเชื่องช้า”
ขณะเล่า แสงสว่างพลันวูบวาบมาจากจุดห่างไกล ราวกับบริเวณดังกล่าวกำลังเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือด
ด้วยความช่วยเหลือจากแสงสว่าง ไคลน์และคนอื่นเริ่มมองเห็นยอดเขาซึ่งมีสายหมอกเจือจางปกคลุม ท้องฟ้าด้านบนในจุดดังกล่าว มีเมฆฝนฟ้าคะนองกำลังก่อตัว
ฉากดังกล่าวช่วยยืนยันคำพูดของบิชอปมิลเลอร์ได้ในระดับหนึ่ง
ขณะไอร์แลนด์กำลังจะเดินเข้าไปเพื่อพยุงบิชอปสภาพร่อแร่ มุมสายตาของมันเหลือบเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์หยิบเหรียญทองออกมาและบ่นพึมพำ
“ชายคนนี้เป็นตัวอันตราย”
กิ้ง!
เหรียญทองลอยขึ้นฟ้าและตกลงบนฝ่ามืออย่างนุ่มนวล
ด้าน ‘หัว’ เท่ากับหงายขึ้น
ผลลัพธ์ออกมาเป็น ‘ใช่’ !
บิชอปหันมาจ้องไคลน์พร้อมกับเปลี่ยนดวงตาให้กลายเป็นสีแดงสว่าง
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น