Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 506-508

 ราชันเร้นลับ 506 : พิพิธภัณฑ์สภาพอากาศ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เนื่องจากเริ่มเข้าใจอุปนิสัยของเดนิส ไคลน์จึงมิได้เอ่ยถามถึงรายละเอียดของตำนาน เพียงรอให้อีกฝ่ายปริปากออกมาเอง โดยนั่งรอบนเก้าอี้และจ้องมองอย่างใจเย็น


เดนิสส่ายหน้า


คนจำนวนมากหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาท่ามกลางสายหมอก… กองกระดูกปรากฏขึ้นบนชายหาดหรือยอดเขา…


ไคลน์หวนนึกถึง ‘ดินแดนเทพทอดทิ้ง’ ขึ้นมาทันที ตามคำอธิบายของเดอะซันน้อย ดินแดนดังกล่าวปราศจากแสงสว่างโดยสิ้นเชิง มีเพียงสายฟ้าและความมืดมิดปกคลุม หากถูก ‘โอบกอด’ ด้วยความมืดอันเข้มข้นเมื่อใด เหตุการณ์ประหลาดจะเกิดขึ้นกับตัวทันที


เดนิสจ้องมองประภาคารอันโดดเด่นฉาบด้วยแสงของพระอาทิตย์ตกดิน พลางเล่าต่อไปอย่างฉะฉาน


“กล่าวกันว่า เมื่อราวสามร้อยปีก่อน สมัยกองทัพของโลเอ็นเพิ่งยกพลขึ้นบกมายึดครองเกาะแบนชี มีทหารราวห้าร้อยนายหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาหลังจากเหตุการณ์หมอกหนาทึบปกคลุมเกาะ ถัดมาไม่นาน กองกระดูกสีขาวจำนวนมากได้ปรากฏริมชายฝั่ง หรือบางครั้งก็บนภูเขา เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นหลายหน จนกระทั่งโบสถ์วายุสลาตันทำการสร้างวิหารและส่งบิชอปมาเฝ้า ปัญหาดังกล่าวจึงไม่เกิดขึ้นอีก ถึงแม้นักประวัติศาสตร์จะถือว่ายุคล่าอาณานิคมเริ่มขึ้นหลังจากจักรพรรดิโรซายล์สร้างเส้นทางเดินเรือไปยังทวีปใต้สำเร็จ… แต่ในความเป็นจริง เกาะเล็กเกาะน้อยได้ถูกอาณาจักรของทวีปเหนือเข้ายึดครองก่อนหน้านั้นนานแล้ว เพียงแต่มิบริการจัดการอย่างเป็นระบบสักเท่าไร จากการขุดข้นสุสาน ภาพจิตรกรรมฝาผนังได้บอกให้พวกเราทราบว่า คนพื้นเมืองดั้งเดิมของเกาะเคยมีประเพณีกินคนมาก่อน เนื่องจากเกาะตั้งอยู่ในเขตสภาพอากาศแปรปรวน ภัยพิบัติทางธรรมชาติจึงสลับกันเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะแผ่นดินไหว พายุ หรือหมอกหนา… ส่งผลให้คนพื้นเมืองประสบความสูญเสียอย่างต่อเนื่องทุกปี เพื่อความอยู่รอด พวกเขาจึงเริ่มบูชา ‘เทพสภาพอากาศ’ โดยจะประกอบพิธีกรรมปีละสี่หน เนื้อหาของพิธีกรรมเกี่ยวกับการฆ่าเหยื่อสังเวย โดยสุ่มเลือกเหยื่อขึ้นมาจากกลุ่มสาวก จากนั้นก็จะแบ่งปันเลือดเนื้อให้ทุกคนกิน ปิดท้ายด้วยการวางกะโหลกศีรษะไว้กึ่งกลางแท่นบูชา อย่างไรก็ตาม ประเพณีดังกล่าวได้ถูกทดแทนด้วยพิธีกรรมวายุสลาตัน นับแต่นั้น ภาษาพื้นเมืองของเกาะแบนชีก็ค่อยๆ เลือนหายไป”


เทพสภาพอากาศ… เกาะในอาณานิคมซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีพิธีกรรมกินกันเอง…


ไคลน์ครุ่นคิดหาจุดเชื่อมโยง


เดนิสมองไปทางประตูและกล่าวโดยไม่ได้คิดอะไรมากนัก


“สืบเนื่องจากตำนานดังกล่าว เมืองท่าแบนชีจึงเกิดความเชื่อใหม่ขึ้นมาสองเรื่อง หนึ่ง ในค่ำคืนหมอกทึบและสภาพอากาศเลวร้าย ทุกคนจะต้องปิดประตูบ้านลงกลอนให้มิดชิดเสมอ ห้ามออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอกเด็ดขาด และห้ามเปิดประตูเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตู สอง พวกเขาหลงใหลการกินเลือดแข็งของสัตว์มาก โดยเรียนรู้มาจากเผ่าเอลฟ์เร่ร่อนว่า การเติมเกลือลงไปจะทำให้เลือดจับตัวเป็นก้อนอ่อนนุ่ม รสชาติของเลือดก้อนจะละมุนลิ้นเหนือคำบรรยาย แถมยังมีกลิ่นหอมจากเครื่องปรุงรสเผ็ดหลายชนิดของคนพื้นเมืองผสมผสานเข้าไป”


นี่มัน… ต้มเลือดไม่ใช่รึไง?


ไคลน์ยืนครุ่นคิดพลางขมวดคิ้ว


“เอลฟ์?”


ในทางสามัญสำนึกของโลกเก่า เอลฟ์คือสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์มังสวิรัติ มาดสง่างามและเป็นมิตรกับธรรมชาติ แล้วเหตุใดถึงได้ศึกษาเทคนิคการทำต้มเลือด…


“ถูกต้อง มีข่าวลือว่าเอลฟ์ชอบอาหารประเภทเลือดก้อน” เดนิสผายมือออกจากกัน “แต่น่าเสียดาย ปัจจุบันพวกเราคงไม่มีโอกาสได้พบเผ่าพันธุ์เชี่ยวชาญการประกอบอาหารนั่นอีกแล้ว”


เดอะซันน้อยเคยเล่าว่า เทพบรรพกาล—ราชาเอลฟ์ ซอนยาธริม มีอำนาจในขอบเขตของพายุ… หมายความว่า เผ่าเอลฟ์น่าจะอยู่บนเส้นทาง ‘ลูกเรือ’ เป็นส่วนใหญ่… จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากเอลฟ์จะหลงใหลการกินก้อนเลือดสุก… บางที พวกเขาอาจมิได้สุขุม แต่เป็นพวกอารมณ์ฉุนเฉียวและหัวรุนแรง…


ชักอยากเห็นเอลฟ์แล้วสิ…


ไคลน์เริ่มเบี่ยงเบนความสนใจกลับมายัง ‘ต้มเลือด’ อีกครั้ง


ไม่ได้กินนานแล้วสินะ…


ชายหนุ่มเกิดความอยากอาหารทันที


ทันใดนั้น เดนิสเสนอแนะ


“บนเกาะมีภัตตาคารมะนาว ได้ยินว่าต้มเลือดหมูของร้านมีรสชาติอร่อยเป็นพิเศษ ไปลองกินกันสักหน่อยไหม?”


เดนิสรู้สึกว่า การอยู่ในห้องพักตามลำพังกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์เป็นเรื่องอันตราย เพราะตนไม่มีทางทราบเลยว่า สัตว์ประหลาดในคราบมนุษย์ตนนี้จะเสียสติขึ้นมาเมื่อไร


หากมีผู้คนพลุกพล่าน หมอนี่อาจสะกดความบ้าบิ่นของตัวเองไว้… โอ้พระองค์วายุสลาตัน! ได้โปรดดลบันดาลให้การเดินทางครั้งนี้จบลงเร็วๆ ด้วยเถิด!


เดนิสอธิษฐานอย่างมีความหวัง


ในฐานะโจรสลัดผู้ฝากชีวิตไว้กับทะเล มันมอบความศรัทธาให้เทพวายุสลาตันพอสมควร แต่มิได้นับถือศาสนาของโบสถ์


เมื่อได้ยินข้อเสนอแนะ ไคลน์ ผู้อยากกินต้มเลือดหมูเป็นทุนเดิม เริ่มกระตือรือร้นอยากแวะไปลิ้มลอง


อย่างไรก็ตาม ตำนานและประเพณีของคนพื้นเมืองแบนชีทำให้ชายหนุ่มเกิดความไม่สบายใจพอสมควร จึงหยิบเหรียญทองออกมาทำนายต่อหน้าเดนิส


ผลลัพธ์ก็คือ ไม่มีอันตรายแอบแฝง


หืม… ไคลน์จ้องเหรียญทองบนฝ่ามือตนอย่างไม่ละสายตาราวสามวินาที สีหน้ายังคงเผยความกังวลชัดเจน


เมื่อเห็นฉากดังกล่าว เดนิสทราบทันทีว่า สัตว์ประหลาดตรงหน้าตน มีพลังอยู่ในขอบเขตการทำนาย


ต่อให้เราแอบหนีไป แต่ก็จะถูกหมอนี่แกะรอยจนพบตัวในภายหลัง…


เดนิส·เพลิงพิโรธเริ่มทำหน้าเศร้า


ขณะกำลังนั่งปรับอารมณ์ มันเห็นไคลน์ลุกพรวดขึ้นและเดินเข้าไปในห้องน้ำ


ก่อนจะปิดประตู ไคลน์หันมาพูด


“จะลองหนีดูก็ได้นะ”


กล่าวจบ ไคลน์กระแทกประตูห้องน้ำปิดจนเกิดเสียงดังโครม


เดนิสกำหมัดสลับคลาย ก่อนจะเดินไปหยุดยืนหน้าประตูห้อง


อันตรายมักเกิดจากความไม่รู้เสมอ…


จนกว่าจะทราบว่าอีกฝ่ายมีพลังชนิดใดบ้าง โจรสลัดเจ้าของค่าหัวสามพันปอนด์ตัดสินใจไม่เสี่ยงขัดแย้งกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์


อย่างน้อย หมอนั่นก็ยังมีด้านดีและไม่เคยทำร้ายเรา… เมื่อถึงบายัม มันคงยอมปล่อยเราเป็นอิสระ…


เดนิสเริ่มสวดภาวนาให้ความโชคดีบังเกิดขึ้นกับตน


ในห้องน้ำ


ไคลน์สะบัดกระดาษรูปคนและสร้างภาพลวงตาอันแนบเนียน ตามด้วยการหลบมุมห้อง เดินถอยหลังสี่ก้าวและส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอก


เมื่อนั่งบนเก้าอี้หัวโต๊ะ ชายหนุ่มปลดลูกตุ้มวิญญาณจากข้อมือซ้าย จากนั้นก็เขียนข้อความทำนายลงบนกระดาษ :


“ท่าเรือแบนชีมีอันตรายซ่อนอยู่”


มันจัดท่านั่งและจ่อปลายลูกตุ้มให้ลอยเหนือแผ่นกระดาษเล็กน้อย ตามด้วยการพึมพำประโยคทำนายสักพัก จึงค่อยลืมตาขึ้นและเห็นจี้บุษราคัม กำลังหมุนในทิศทางตามเข็มนาฬิกาเป็นวงกว้างและมีความเร็วสูงมาก!


หมายความว่า มีอันตรายกำลังรอไคลน์อยู่ภายในเมืองท่าแบนชี!


เป็นไปได้ยังไง… เมืองท่าแห่งนี้ตกอยู่ในอาณานิคมมานานกว่าสามร้อยปี แถมยังกลายเป็นเมืองท่าสำคัญในช่องทางการค้าสากลมานานนับร้อยปี ไม่เคยมีข่าวลือเสียหายเกี่ยวกับภัยอันตรายเลยสักครั้ง…


หรือว่าโจรสลัดทรงพลังบางคนกำลังวางแผนปล้นเกาะ แล้วเราบังเอิญเข้ามาพัวพันพอดี? ไม่น่าใช่ ปืนใหญ่รอบเกาะไม่ได้เป็นแค่เครื่องประดับสักหน่อย…


ไคลน์ขมวดคิ้วชนกัน ก่อนจะใช้พลังทำนายถามต่อไปว่า ตนจะได้รับอันตรายจากโจรสลัดหรือไม่


คำตอบระบุชัดเจนว่า ‘ไม่’


หืม… ชายหนุ่มเงียบงันสักพัก จึงค่อยใช้พลังวิญญาณหุ้มร่างและส่งตัวเองออกจากห้วงมิติเหนือสายหมอก


เมื่อกลับถึงโลกความจริง ไคลน์กดปุ่มกลไกชักโครกจนเกิดเสียง เก็บกระดาษรูปคนกลับเข้ากระเป๋า และเดินไปยังอ่างล้างหน้าเพื่อเปิดให้น้ำไหลผ่านฝ่ามือ


ภายในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจ ชายหนุ่มชั่งน้ำหนักหาข้อดีข้อเสีย จนกระทั่งตัดสินใจว่าตนควรซ่อนตัวให้พ้นจากอันตรายไปก่อน


ไคลน์ดึงกระดาษทิชชูเช็ดฝ่ามือ ก่อนจะเปิดประตูห้องน้ำออกไป และเห็นเดนิสยังคงนั่งในห้องนั่งเล่นเช่นเดิม


ระวังตัวจนผิดวิสัยโจรสลัด… อาจเพราะลูกน้องของพลเรือโทธารน้ำแข็งส่วนใหญ่เป็นนักผจญภัยในคราบโจรสลัด ความคิดอ่านจึงค่อนข้างรอบคอบ…


ไคลน์มองตอบกลับไปและกล่าวเสียงเรียบ


“ไปห้องอาหารของบัตรชั้นหนึ่ง”


“…ตกลง” เดนิสย่อมไม่ทราบว่าทำไมเกอร์มัน·สแปร์โรว์ถึงเปลี่ยนใจกลางคัน แต่มันก็ไม่ต้องการมีปากเสียง



ขณะเดินบนทางลาดสำหรับลงเรือ หัวหน้าบอดี้การ์ดคลีฟส์ พูดกับดอนน่าและคนอื่น


“พวกคุณไปภัตตาคารมะนาวก่อนได้เลย ผมมีบางเรื่องต้องปรึกษากับกัปตันไอร์แลนด์ แล้วจะรีบตามไปสมทบ”


“ตกลง” เออร์ดี้·แบรนช์ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็มิได้เหนือความคาดหมายขนาดนั้น


คลีฟส์เดินเป็นระยะทางครึ่งลำเรือจนกระทั่งได้พบไอร์แลนด์ ผู้เหน็บดาบยาวไว้ข้างเอวเสมอ


“ผมจะแวะไปหาเกอร์มัน·สแปร์โรว์”


คลีฟส์กล่าวพลางมองไปยังเขตห้องพักของผู้โดยสารบัตรชั้นหนึ่ง


ไอร์แลนด์ชะงักงัน ยังคงสับสนว่า เหตุใดอีกฝ่ายถึงโพล่งขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้


จะไปเยี่ยมเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ก็ไม่เห็นต้องแวะมาบอกเราสักหน่อย…


ไอร์แลนด์ยืนครุ่นคิดสักพัก จึงค่อยเข้าใจความหมายแฝงของคลีฟส์


เขาพยายามบอกใบ้ว่า หากมีอะไรเกิดขึ้นกับตน สาเหตุจะมาจากการแวะไปเยี่ยมเกอร์มัน·สแปร์โรว์…


แต่ถ้าคลีฟส์สบายดี จะแปลว่าสมมติฐานของเขาผิด และไม่มีความจำเป็นต้องรไปรบกวนเกอร์มัน·สแปร์โรว์อีก…


ไอร์แลนด์หันไปพูดกับต้นเรือด้านข้าง


“รอสิบห้านาที”



ก็อก! ก็อก! ก็อก!


ขณะไคลน์และเดนิสกำลังเตรียมตัวเพื่อจะเดินไปยังห้องอาหาร พวกมันได้ยินเสียงเคาะประตูเป็นจังหวะ


เดนิสรีบเดินไปเปิดประตูหลังจากได้รับสัญญาณมือ


ผู้มาเยือนไม่ใช่ใครนอกจากคลีฟส์ มันจ้องหน้าเดนิสหัวจรดเท้าและหันไปถามไคลน์


“เดนิส·เพลิงพิโรธ?”


ย้อนกลับไปขณะมื้ออาหารกลางวัน คลีฟส์รู้สึกคุ้นเคยกับเพื่อนของเกอร์มัน·สแปร์โรว์อย่างน่าประหลาด แต่ก็มิอาจเชื่อมโยงไปถึงรูปภาพบนใบปิดค่าหัวได้ทันที จนกระทั่งดอนน่าพูดถึงเดนิสขึ้นมา คลีฟส์จึงเริ่มมั่นใจว่าบุคคลทั้งสองคล้ายคลึงกันหลายจุด


นึกแล้วเชียว…


ขณะไคลน์เตรียมพยักหน้ายืนยัน เดนิสรีบเดินเข้าไปหาคลีฟส์พร้อมกับหัวเราะเสียงดัง


“ฮะฮะ! สหาย! นายจำคนผิดแล้ว ถึงแม้ว่าฉันจะมีหน้าตาคล้ายกับโจรสลัดค่าหัวสามพันปอนด์ผู้โด่งดังคนนั้น แต่ฉันไม่ใช่อย่างแน่นอนเขา มีหลายคนชอบทักผิด—”


ไคลน์ยกมืออุดปากเดนิส ขณะเดียวกันก็เกือบหลุดขำจนเสียภาพลักษณ์เงียบขรึม


ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ


“ใช่”


เฮ่อ… ชื่อเสียงของเรา… จบสิ้นแล้ว…


เดนิสรำพันพลางแหงนหน้ามองเพดาน


“คุณคิดจะทำอะไร” คลีฟส์ถอนหายใจสั้นและถามตรงไปตรงมา


ไคลน์เชิดคางชี้ไปทางเดนิส


“คุมความประพฤติเขา”


“คุมความประพฤติ?” คลีฟส์เผยสีหน้าสับสน ชัดเจนว่ามันไม่เข้าใจความหมายของเกอร์มัน·สแปร์โรว์


หัดวิเคราะห์ด้วยตัวเองบ้าง… ลองใช้สมองไตร่ตรองและอนุมานสักนิด เรื่องแค่นี้ไม่ควรต้องเสียเวลาอธิบายเลย…


แถมมันยังไม่เข้ากับบุคลิกของฉัน!


ยืนจ้องหน้าคลีฟส์ ไคลน์กล่าวเสียงเรียบ


“เมื่อเห็นเขาเดินขึ้นมาจากท่าเรือดาเมียร์ ผมบังเอิญจดจำใบหน้าได้ จึงตัดสินใจคุมประพฤติเพื่อมิให้เขาทำเรื่องแย่ๆ บนเรือ”


คลีฟส์จ้องหน้าไคลน์สามวินาทีเต็ม ก่อนจะผงกหัวรับ


“ไม่ติดปัญหาอะไรใช่ไหม? ต้องการความช่วยเหลือรึเปล่า?”


“ไม่” ไคลน์ตอบเย็นชา


คลีฟส์เหลือบมองเดนิสผู้มีสีหน้าหดหู่ ก่อนจะก้าวถอยหลังสองครั้ง


“ขอตัวก่อน”


ขณะกำลังจะเดินจากไป มันได้ยินเสียงนักผจญภัยหนุ่ม เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ตะโกนดังตามไล่หลัง


“เสร็จแล้วให้รีบกลับเรือ เมืองท่าแบนชีมีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล”



ณ ภัตตาคารมะนาว หลังจากดอนน่าวางผ้าเช็ดปาก เด็กหญิงมองเห็นลุงคลีฟส์เดินขึ้นมาจากชั้นล่างอย่างรีบร้อน


ทันใดนั้น สภาพอากาศรอบท่าเรือเกิดผันผวนกะทันหัน สายลมกระโชกพัดผ่านจนต้นไม้ใหญ่โยกเอน


สมกับฉายา ‘พิพิธภัณฑ์สภาพอากาศ’ …


ดอนน่าสำรวจวิวทิวทัศน์ด้านนอกอย่างสนอกสนใจ


จากนั้น เธอเห็นชายคนหนึ่ง สวมผ้าคลุมสีดำและถือตะเกียงไว้ในมือ


คล้ายกับตระหนักว่าถูกใครบางคนจ้องมอง ชายปริศนารีบหันหน้าขึ้นมายังชั้นสองของภัตตาคารทันที


ดอนน่าเริ่มเห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน บริเวณซึ่งควรจะเป็นส่วนหัวกลับว่างเปล่า เผยให้เห็นเพียงต้นคอชุ่มเลือดแดงสดอย่างน่าสะอิดสะเอียน


ชายคนดังกล่าวเพียงดึงผ้าคลุมขึ้นมาปิดศีรษะและเดินจากไป


……………………


ราชันเร้นลับ 507 : สายลมในเมืองท่าแบนชี

โดย

Ink Stone_Fantasy

ดอนน่าพลันสะดุ้ง รูม่านตาหดลีบ ปากอ้าค้างกว้างครึ่งหนึ่ง เตรียมแผดเสียงตะโกนอย่างหวาดผวา


หากไม่เคยเห็น ‘ผู้ส่งสาร’ มาก่อน เธอคงควบคุมตัวเองไม่อยู่ และลุกพรวดขึ้นโดยไม่สนใจว่าโต๊ะเก้าอี้จะล้มระเนระนาดสักเพียงใด


โชคยังเข้าข้าง เธอมิได้เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กไร้เดียงสาเหมือนกับตอนก่อนขึ้นโมราขาวอีกแล้ว จึงเพียงทำเสียงแหลมเล็กและชี้ไปทางด้านนอกหน้าต่าง


“ซอมบี้! ซอมบี้ไม่มีหัว!”


เธอเลือกใช้คำว่าซอมบี้ ซึ่งพบได้บ่อยในนิทานพื้นบ้านและนิยาย เพื่ออธิบายความน่าสะพรึงกลัวของฉากเมื่อครู่


เซซิลลุกขึ้นและรีบปรี่เข้ามายืนข้างดอนน่าในสองก้าว ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งมีลมพัดแรง และเพ่งมองอย่างตั้งใจสักพัก


“ไม่เห็นอะไรเลยค่ะ” เซซิลตอบตามจริง


ดอนน่าหันกลับไป รวบรวมความกล้าเพื่อโน้มตัวพิงกระจก แต่เธอกลับเห็นแค่ต้นไม้โยกเอนและเศษสิ่งของปลิวกระจัดกระจาย ไม่มีใครเดินผ่านไปมาแม้แต่คนเดียว


“ค…เคยมีคนสวมเสื้อคลุมสีดำยืนอยู่ตรงนั้น เขาไม่มีหัว ลำคอมีเลือดสดไหลชุ่ม!”


ดอนน่าเล่าพลางทำไม้ทำเมื่อเพื่อโน้มน้าวให้ผู้ใหญ่เชื่อคำพูด


บิดาของเธอ เออร์ดี้·แบรนช์ ลุกเดินไปใกล้กับหน้าต่างและก้มมอง


“ดอนน่า ลูกไม่ได้รับอนุญาตให้อ่าน ‘นิยายสยองขวัญของฟอนซ์’ คืนนี้!”


“ต…แต่ว่า” เด็กสาวต้องการเรียกร้องความยุติธรรม


ทันใดนั้น คลีฟส์เดินขึ้นมาถึงชั้นสองพอดี จึงขยับไปใกล้กับหน้าต่างและถาม


“เกิดอะไรขึ้น”


“ดอนน่าบอกว่าเธอเห็นซอมบี้ข้างล่าง เป็นซอมบี้ไร้หัว” ผู้คุ้มกันอีกหนึ่งคนทีกอธิบายพลางอมยิ้ม


คลีฟส์เงียบงันสักพัก จึงค่อยหันไปผงกหัวให้ดอนน่า


“ไม่เป็นไร มันผ่านไปแล้ว ข้างนอกลมแรงมาก… สถานการณ์ยังไม่สงบ พวกเราค่อยกลับหลังจากพายุเริ่มซาลง”


ในสายตาดอนน่า ลุงคลีฟส์เชื่อในคำพูดของเธอ เพียงแต่เลือกตอบอย่างเป็นกลาง


แต่ในทางกลับกัน เออร์ดี้กับทีกต่างมองว่า นั่นคือกลอุบายในการปลอบเด็ก


เมื่อเห็นดอนน่ายังคงกระวนกระวาย และนายจ้างของตนแสดงสีหน้าไม่พอใจ คลีฟส์ดึงเก้าอี้ออกมานั่งและกล่าวอย่างใจเย็น


“เมืองท่าแบนชีมีธรรมเนียมหนึ่งค่อนข้างประหลาด ในค่ำคืนสภาพอากาศเลวร้าย พวกเขาจะไม่ออกจากบ้าน และไม่ตอบสนองต่อเสียงเคาะประตูเด็ดขาด”


“ถ้าเปิดประตูออกไป จะถูกซอมบี้ไร้หัวลักพาตัวใช่ไหมครับ” เนื่องจากเคยเห็น ‘ผู้ส่งสารกระดูก’ พร้อมกับพี่สาว แดนตันจึงตั้งคำถามอย่างสนใจ


“จะคิดแบบนั้นก็ได้” คลีฟส์จิบน้ำเปล่าหนึ่งคำ


อย่างนี้นี่เอง… ดอนน่าทิ้งตัวนั่ง เธอเชื่อว่า ขอเพียงตนไม่ออกจากบ้าน ซอมบี้ด้านนอกก็จะเข้ามาทำอันตรายไม่ได้


ระหว่างนั้น เด็กสาวเริ่มตระหนักว่าลูกค้าโต๊ะอื่นของภัตตาคาร กำลังจ้องมองมายังโต๊ะของครอบครัวตนเป็นตาเดียว


คงเพราะเสียเอะอะวุ่นวายเมื่อครู่…


ดอนน่ารู้สึกราวกับทุกสายตากำลังจ้องมองมา เธอเริ่มอึดอัด และอยากก้มศีรษะลงเพื่อหลบหนีจากทุกสิ่ง


เราไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย!


เราเห็นซอมบี้จริงๆ!


ดอนน่ายืดคอขึ้นและมองไปรอบตัว


เธอเห็นสุภาพบุรุษในชุดสูทหางยาว เห็นหญิงสาวในชุดเดรสสง่างาม ต่างกำลังก้มหน้าใช้ช้อนตักก้อนเลือดหมูสีแดงเข้มซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องเทศหลายชนิดเข้าปาก


ท่ามกลางแสงโคมระย้า ริมฝีปากทุกคนมีสีแดงสด แต่ใบหน้ากลับขาวซีด ความขัดแย้งดังกล่าวทำให้ดอนน่าเริ่มหวาดผวา


เด็กสาวรีบเบือนหน้ากลับ นั่งรออาหารเย็นพลางสวดวิงวอนถึงเทพธิดา ขอพระองค์ช่วยดลบันดาลให้ลมพายุสงบลงโดยเร็ว



สำนักงานโทรเลข ท่าเรือแบนชี


เมื่อไอร์แลนด์และต้นเรือคนสนิทส่งข้อมูลถึงกองทัพเรือเสร็จ พวกมันพบว่าด้านนอกมีเสียงกริดร้องของสายลมรุนแรงดังแว่ว ประตูและหน้าต่างกำลังสั่นไหวหนักหน่วง


“สภาพอากาศบนเกาะนี้ไม่เคยเอาแน่เอานอนได้สักครั้ง” ไอร์แลนด์ถอนหายใจพลางหยิบหมวกพับทรงทหารเรือมาสวม


รองกัปตันเรือแฮริสอมยิ้ม


“หากไม่เป็นเช่นนั้น มันคงไม่ถูกเรียกว่า ‘พิพิธภัณฑ์สภาพอากาศ’ หรอกครับ พวกคุณอย่าเพิ่งออกไปดีกว่า มีตำนานกล่าวไว้ว่า หากเดินเล่นภายใต้สภาพอากาศเช่นนี้ ศีรษะอาจหายไปโดยไม่รู้ตัว” พนักงานส่งโทรเลข หญิงสาวผมน้ำตาลหยักศก กล่าวตักเตือนด้วยจังหวะพูดค่อนข้างช้า


“ผมทราบดี แต่เคยลองเดินเล่นมาแล้วสองสามครั้ง ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเกิดขึ้น”


แฮร์ริสไม่แยแส มันเลื่อนเปิดประตูสำนักงานออก


ไอร์แลนด์รีบห้ามไว้ ก่อนจะหันไปพูดกับพนักงานหญิง


“สำนักงานโทรเลขจะปิดแล้วใช่ไหม เราเข้าไปหลบในวิหารข้างๆ ได้รึเปล่า?”


“ไม่มีปัญหา” หญิงสาวผมน้ำตาลยังคงตอบด้วยจังหวะเชื่องช้า


ไอร์แลนด์พยักหน้า เปิดประตูสำนักงานโทรเลขและเดินไปยังวิหารวายุสลาตันซึ่งห่างออกไปหลายสิบเมตร ระหว่างนั้น สายลมกระโชกยังคงพัดผ่านอย่างต่อเนื่อง รุนแรงพอจะพัดเด็กตัวเล็กให้ลอยขึ้น


ต้นเรือ·แฮร์ริส กดหมวกและเดินตามหลังกัปตันโดยไม่ทิ้งระยะห่าง สีหน้าคล้ายกับต้องการเสนอแนะให้เดินกลับไปยังโมราขาวในทันที


แต่เมื่ออ้าปากเตรียมพูด สายลมได้พัดสวนเข้าไปในลำคอ จนกลบเสียงและคำเสนอแนะไปอย่างสมบูรณ์


มันตัดสินใจปิดปากเงียบ และล้มเลิกความพยายามอันไม่มีวันสำเร็จ


เหลืออีกสิบห้านาทีก่อนจะหนึ่งทุ่มตรง ท้องฟ้ายังไม่มืดมากนัก ประตูของวิหารวายุสลาตันจึงยังเปิดต้อนรับสาวก


เมื่อเข้าไปด้านใน สายลมแผ่วลงจากด้านนอกมาก อย่างน้อยไอร์แลนด์กับแฮร์ริสก็ไม่ต้องกังวลว่าหมวกจะทอดทิ้งศีรษะไป


หลังจากเดินผ่านทางเดินบรรยากาศมืดสลัว ทั้งสองมาถึงโถงสวดมนต์ขนาดใหญ่ และเห็นชายคนหนึ่งในเสื้อคลุมนักบวชสีน้ำเงินเข้ม กำลังนั่งในแถวหน้าสุดของเก้าอี้สวดมนต์


อีกฝ่ายกำลังนั่งจ้องแท่นบูชาซึ่งถูกตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ของสายลม คลื่น และสายฟ้าขนาดใหญ่ ตราศักดิ์สิทธิ์แห่งวายุ


ไอร์แลนด์ยิ้มและเดินเข้าไปตบไหล่บุคคลอันคุ้นเคย


“สวัสดีเจสซ์ ท่านบิชอปอยู่ไหน”


ขณะออกแรงสัมผัสบ่า ศีรษะของเจสซ์เริ่มโยกคลอนซ้ายขวาอย่างอ่อนระทวย


จนกระทั่งกลิ้งหล่นลงไปข้างหน้า กระแทกกับพื้นและกลิ้งไปอีกหลายตลบ


เลือดสีแดงสดพวยพุ่งจากลำคอของนักบวชราวกับน้ำพุ ใบหน้าของไอร์แลนด์ชุ่มโชกไปด้วยกลิ่นคาวทันที


ความรู้สึกเย็นยะเยือกเจือความเปียกปอนกำลังแล่นไปทั่วร่างกาย ภาพการมองเห็นของไอร์แลนด์ถูกฉาบด้วยสีแดงฉาน


ขณะโลกทั้งใบกลายเป็นสีเลือด ศีรษะของนักบวชได้หยุดกลิ้ง ดวงตาทั้งสองข้างกำลังเบิกโพลงอย่างหวาดผวา



หนึ่งทุ่มสิบห้า ไคลน์และเดนิสเดินออกจากห้องอาหารของบัตรชั้นหนึ่ง และพบว่าพายุรอบเรือเริ่มสงบลง


หลังจากเดินพลางใช้ความคิดจนกระทั่งถึงหน้าห้องพักตัวเอง ไคลน์หันไปถามลูกเรือในบริเวณใกล้เคียง


“มีใครยังไม่กลับมาบ้าง”


เนื่องจากลูกเรือจำได้ว่า ตนเคยเห็นผู้โดยสารคนนี้ลิ้มรสเนื้อเมอร์ล็อกแสนอร่อยกับกัปตัน จึงมอบคำตอบโดยไม่ปิดบัง


“นอกจากครอบครัวแบรนช์และครอบครัวดิเมอดอร์ ผู้โดยสารคนอื่นทยอยกลับเรือตั้งแต่ก่อนลมจะแรงแล้ว ฮะฮะ! คงเป็นเพราะพวกเขาไปกินไกลถึงภัตตาคารมะนาว คงต้องใช้เวลาเดินทางนานพอสมควร จริงสิ กัปตันกับต้นเรือก็ยังไม่กลับมา พวกเขาแวะไปส่งโทรเลขในสำนักงาน”


ไคลน์พยักหน้ารับ และเดินกลับเข้ามาในห้องพัก 312 โดยไม่กล่าวสิ่งใด


ชายหนุ่มยืนริมหน้าต่าง จ้องมองคลื่นซัดสาดใส่ท้องเรือด้วยความเกรี้ยวกราดเพราะแรงลม โดยไม่ต้องส่งจิตขึ้นไปบนห้วงมิติเหนือสายหมอก ไคลน์สามารถตระหนักได้ด้วยสัมผัสวิญญาณว่า มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลกำลังเกิดขึ้นพบเมืองท่าแบนชี


แม้จะยืนรออีกห้านาที แต่ชายหนุ่มยังไม่พบวี่แววของกัปตันไอร์แลนด์และครอบครัวของดอนน่า


ไคลน์หันไปชำเลืองเดนิส ส่งผลให้โจรสลัดชื่อดังผู้กำลังเอกเขนกบนเก้าอี้นอน พลันสะดุ้งและรีบเหยียดตัวนั่งหลังตรง


แต่ชายหนุ่มเบือนหน้าไปทางอื่นโดยไม่กล่าวสิ่งใด และตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำ


มันปิดประตูมิดชิด วางกระดาษรูปคนอย่างคล่องแคล่วและส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติสายหมอกเทาเพื่อทำนายบางสิ่ง


ในคราวก่อน มันเคยทำนายถึงอันตรายซ่อนเร้นภายในท่าเรือแบนชี แต่หลังจากสามลมก่อตัวรุนแรง ไคลน์จึงเปลี่ยนไปทำนายถึงระดับอันตรายของสายลมแทน


“บนท่าเรือแบนชีมีอันตราย”


ชายหนุ่มถือจี้บุษราคัมพลางกระซิบ


หลังจากพึมพำจนครบ มันลืมตาขึ้นและพบว่า ถึงแม้ลูกตุ้มวิญญาณจะกำลังหมุนตามเข็มนาฬิกา แต่ระดับความเร็วก็ไม่สูงนัก และมีวงการเหวี่ยงไม่กว้างเหมือนตอนแรก


มีอันตราย แต่ยอมรับได้…


ขัดแย้งกับผลการทำนายคราวก่อน…


ไคลน์วางศอกทั้งสองข้างไว้บนโต๊ะทองแดงยาวพลางตั้งคำถามกับตัวเอง


จนได้ข้อสรุปว่า บางที อันตรายจากสายลมบนท่าแบนชีในปัจจุบัน อาจไม่เกี่ยวข้องกับอันตรายซ่อนเร้นในผลการทำนายตอนแรก และหากตนไม่ไปกระตุ้นหรือสอบสวนถลำลึกเกินไป อันตรายซ่อนเร้นดังกล่าวซึ่งเป็นเหมือนภูเขาน้ำแข็ง ก็คงจะไม่โผล่ออกมารบกวนในช่วงนี้


อันตรายซ่อนเร้นอาจคงอยู่มานานสามถึงสี่ร้อยปีหรือนานกว่านั้น โดยไม่เกี่ยวกับการมาเยือนของเรา…


อันตรายจากลมพายุจึงไม่น่าจะเกี่ยวกับอันตรายซ่อนเร้นดังกล่าว…


น่าเสียดาย เรามีข้อมูลน้อยเกินไป มิอาจทำนายให้ชัดเจนกว่านี้ได้…


หลังจากตีความเสร็จ ไคลน์รีบกลับสู่โลกความจริง เปิดประตูออกจากห้องน้ำและนั่งลงบนเก้าอี้


ชายหนุ่มเผยสีหน้าอึมครึม สายตาแฝงความลังเลและกระวนกระวาย ไม่ขยับเขยื้อนร่างกายเป็นเวลานาน ส่งผลให้เดนิส·เพลิงพิโรธรู้สึกอึดอัดจนหายใจได้ลำบาก


โจรสลัดชื่อดังเริ่มทำหน้าเครียด เพราะมันยังจำได้แม่นยำ สัตว์ประหลาดเกอร์มัน·สแปร์โรว์เคยกล่าวไว้ว่า เมืองท่าแบนชีมีอันตรายร้ายแรงซ่อนอยู่


ถึงกับทำให้คนเสียสติแบบหมอนี่เกิดเปลี่ยนใจกลางคันได้ อันตรายจากการไปภัตตาคารมะนาวต้องไม่ธรรมดาแน่…


ทำไมวันหยุดร้อนของเราถึงได้น่าสมเพชแบบนี้! ถูกสาปให้โชคร้ายรึไง!


เดนิสมิอาจทนกับบรรยากาศชวนอึดอัด จึงเดินวนไปมาอย่างกระสับกระส่าย


ทันใดนั้น มันหันไปเห็นสัตว์ประหลาด—เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ลุกพรวดขึ้น ติดกระดุมสองแถวบนเสื้อโค้ทครบทุกเม็ด และเดินไปทางชั้นวางเสื้อผ้าหน้าประตู


หลังจากสวมหมวกทรงกึ่งสูง ไคลน์กลับมาจ้องเดนิส·เพลิงพิโรธ และกล่าวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


“นายเป็นอิสระแล้ว”


“หือ…?” เดนิสแทบไม่เชื่อหู


แต่เมื่อเริ่มเข้าใจสถานการณ์ มันรีบโพล่งถามอย่างสงสัย


“นายจะยอมเสี่ยงชีวิตของตัวเอง เพียงเพื่อช่วยกัปตันและคนธรรมดาพวกนั้น? น…ไหนบอกว่าข้างนอกอันตรายมาก!”


ไคลน์ในหมวกทรงกึ่งสูง หยิบไม้ค้ำสีดำขึ้นมาพร้อมกับบิดกลอน


“พวกเขาเป็นมิตรกับฉัน พวกเขาเก็บความลับของฉันไว้มิดชิด พวกเขาแบ่งเนื้อเมอร์ล็อกให้กินโดยไม่คิดเงินแม้แต่เพนนีเดียว เขาช่วยชดใช้ค่าเสียหายให้ ‘ฉลามขาว’ แทนฉัน”


“…” เดนิสเงียบงัน ก่อนจะถาม


“ฉลามขาวเรียกค่าเสียหายเท่าไร?”


“ไม่กี่ซูล” เมื่อสิ้นเสียง ไคลน์ปิดประตูห้องและเดินออกไป


หมอนี่ต้องเสียสติไปแล้วแน่! ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมต่อคนรอบข้างหรือตัวเอง ไม่มีสิ่งไหนปรกติแม้แต่เรื่องเดียว!


ริมฝีปากเดนิสเริ่มสั่นเทา


แต่เราสติยังดีอยู่… เราจะหลบซ่อนในจุดปลอดภัย!


เดนิสมองไปทางหน้าต่างพลางครุ่นคิด สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดีกึ่งเหยียดหยัน


ขณะเริ่มผ่อนคลาย สายลมกระโชกพลันพัดเข้าใส่เรือโมราขาวอีกครั้ง บานกระจกสั่นกุกกักรุนแรงพร้อมกับการวูบวาบของเทียนไข


ฉากเมื่อครู่ทำให้เดนิสคำนึงถึงปัญหาใหม่


เรือลำนี้ยังคงจอดติดกับท่าเรือแบนชี…


เราไม่ได้ปลอดภัยสักหน่อย!


ถ้าเราต้องอยู่ตัวคนเดียว บางที อันตรายอาจมากกว่าการอยู่เคียงข้างสัตว์ประหลาดเกอร์มัน·สแปร์โรว์…


เพราะอย่างน้อยหมอนั่นก็แข็งแกร่ง!


เดนิสคิดไวทำไว รีบวิ่งออกจากห้องพัก 312 และพบกับไคลน์ซึ่งยังไม่พ้นจากทางเดิน


ไคลน์หันกลับมามอง ถึงแม้จะไม่เอ่ยปากถาม แต่สีหน้าเผยความประหลาดใจชัดเจน


เดนิสหัวเราะแห้ง


“ถ้าฉันปอดแหกหนีจากอันตรายเล็กน้อยแค่นี้ คงได้ถูกโจรสลัดทุกคนในทะเลโซเนียหัวเราะเยาะเอาแน่!”


ข้ออ้าง…


แต่ไคลน์ไม่หักหน้า เพียงหันไปยืมตะเกียงมาจากลูกเรือข้างประตู


มือข้างหนึ่งถือตะเกียงสีเหลือง อีกข้างถือไม้ค้ำสีดำ ชายหนุ่มในชุดโค้ทกระดุมสองแถวเดินไปตามทางจนกระทั่งลงจากเรือ และย่างกรายเข้าสู่เมืองท่าอันมืดมิดอย่างใจเย็น


เดนิสถอนหายใจยาวพลางเดินตามหลัง


……………………


ราชันเร้นลับ 508 : อย่าออกไป

โดย

Ink Stone_Fantasy

แตกต่างจากเมืองบนผืนดินอย่างเบ็คลันด์ ทิงเก็น หรือท่าเรือพริสต์ หมู่เกาะอาณานิคมมักไม่มีแก๊สเพียงพอต่อการใช้งาน เสาโคมไฟริมถนนทั้งสองด้านจึงมีระยะห่างค่อนข้างมาก และมักอาศัยแสงสว่างจากเสาตะเกียงเทียนไขแทน


น่าเสียดาย เนื่องจากสายลมกระโชกพัดผ่านมาเร็วเกินไป จึงไม่มีใครกล้าออกจากบ้านมาจุดตะเกียงเทียนหลังจากมืดค่ำ สองฝั่งทางเดินบนเกาะจึงมืดสนิท มีเพียงดวงจันทร์สีแดงเข้มส่องแสงนวลบนท้องฟ้า


เมื่อเทียบช่วงก่อนหน้า สายลมนับว่าสงบลงหลายระดับ โดยไคลน์ไม่จำเป็นต้องเสียสมาธิคอยใช้มือจับหมวก


หมอกจางกำลังปกคลุมทั่วบริเวณ บ้านสองชั้นปิดประตูและหน้าต่างมิดชิดทุกหลัง ราวกับไม่เคยมีใครอาศัยในละแวกนี้เป็นเวลานาน


ไคลน์ถือตะเกียงสีสลัวด้วยมือข้างหนึ่ง และถือไม้ค้ำด้วยมืออีกข้าง พลางเร่งฝีเท้าก้าวเดินอย่างเร่งรีบ ยังทิศทางภัตตาคารมะนาวตามคำบอกเล่าของเดนิส


ฟ้าว!


ท่ามกลางกระแสลมหมุนวน ไคลน์รู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงต้นคออย่างอธิบายไม่ถูก


ชายหนุ่มยกมือขวาข้างถือไม้ค้ำขึ้น พร้อมกับใช้ปลายนิ้วดึงปกเสื้อปิดบังต้นคอ


ทันใดนั้น ภาพนิมิตลางสังหรณ์พลันปรากฏในหัวไคลน์


เป็นฉากของเงาดำขนาดเท่าผลแตงโม พุ่งออกจากหมอกสายเจือจาง และบินตรงมายังใบหูของตนอย่างแม่นยำ


ไคลน์รีบชักไม้ค้ำขึ้นมาฟาดยังจุดดังกล่าวตามสัญชาตญาณ


เปรี้ยง!


เมื่อวัตถุปริศนาสีดำลอยเข้าใกล้ มันถูกปลายไม้ค้ำหวดจนกระเด็น


ด้วยแสงจากตะเกียง ไคลน์สามารถมองเห็นรูปลักษณ์แท้จริงวัตถุดังกล่าวได้อย่างชัดเจน


มันคือศีรษะ…ศีรษะมนุษย์!


ศีรษะอันปราศจากร่างกายและมีเพียงหลอดอาหารห้อยอยู่!


ใบหน้ามีลักษณะคล้ายชีสแห้งราขึ้น ผิวพรรณเต็มไปด้วยหนองเหลืองปนเขียว รอยเหี่ยวย่นปรากฏอย่างเด่นชัดทั่วทุกจุด เค้าโครงใบหน้ายังคงชัดเจนเป็นรูปทรง


จมูกหลุดออกไป เหลือแต่เพียงรูสีดำสองจุดขนาดไม่ใหญ่ ดวงตาขาวเหลือกขึ้นโดยปราศจากตาดำ ริมฝีปากเน่าเปื่อย เผยให้เห็นคราบเลือดและซี่ฟันอันแหลมคม


แม่เย็*!


เมื่อเดนิส·เพลิงพิโรธเห็นฉากดังกล่าว หัวใจของมันพลันสั่นเทาพร้อมกับกล่าวคำสบถตามสัญชาตญาณ


จริงอยู่ เดนิสอาจเคยล่าสมบัตินับครั้งไม่ถ้วนและต่อสู้กับสัตว์ประหลาดมากมาย แต่ฉากอันน่าขยะแขยงเช่นนี้พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก


เดนิสชักลูกโม่ทรงโบราณออกมาตอนไหนไม่มีใครทราบ แต่ปัจจุบันกำลังเตรียมลั่นไกโดยปราศจากความลังเล


ทันใดนั้น มันเห็นแสงสุกสว่างสีขาวโพลน ส่องลงมาจากความว่างเปล่าด้านบนท้องฟ้า


อ๊า!


เสียงกรีดร้องดังโหยหวน ศีรษะน่ารังเกียจเริ่มละลายอย่างรวดเร็วพร้อมกับผุดควันสีเทาเข้มข้น ก่อนจะสลายไปราวกับไม่เคยมีตัวตน


อ่อนแอฉิบหาย! เดนิสประเมินความแข็งแกร่งศัตรู


ไม่เพียงเท่านั้น เกอร์มัน·สแปร์โรว์อยู่บนเส้นทาง ‘สุริยัน’ งั้นหรือ… ไม่เหมือนสักนิด… คงเป็นเพราะสมบัติวิเศษมากกว่า… แต่ฝีมือชายคนเป็นของจริง สามารถตรวจพบศัตรูและโจมตีสวนกลับได้ทันที โดยเรายังไม่ทันได้ตระหนักถึง…


เดนิสเริ่มเปลี่ยนประเด็นความสนใจ


ขณะมันกำลังใจเย็น มุมสายตาเหลือบเห็นศีรษะน่ารังเกียจ ลักษณะคล้ายเดิม พุ่งออกมาสายหมอกเจือจางด้านข้างพร้อมกับอ้าปากกว้างอย่างน่าหวาดกลัว


ปัง!


เดนิสลั่นไกโดยไม่ลังเล


กระสุนทองเหลืองพุ่งปะทะกะโหลกศีรษะอันเต็มไปด้วยเชื้อราอย่างแม่นยำ ทะลวงผ่านหว่างคิ้วพร้อมกับทำให้ศีรษะหยุดชะงักกลางอากาศ


แทบจะในทันที ฝ่ามือซ้ายของเดนิสปรากฏก้อนเปลวเพลิงสีแดงฉาน กำลังหมุนวนเป็นเกลียวและขยายขนาดขึ้นจากเดิม


มันโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ก่อนจะง้างแขนไปด้านหลังและ ‘ขว้าง’ ก้อนเพลิงกระแทกใส่ศีรษะอันน่าขยะแขยง


เพลิงแดงฉานแผดเผาเนื้อหนัง ศีรษะน่ารังเกียจกลายเป็นตอตะโกอย่างรวดเร็วพร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวน


อย่างไรก็ตาม ศีรษะบัดซบยังคงพุ่งตรงเข้าใส่โดยไม่สะทกสะท้าน ปากอ้ากว้างหมายต้องการกัดคอเดนิสให้ขาดสะบั้น


เนื่องจากไม่คาดคิดว่าจะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ เดนิสจึงมิอาจหดคอหลบทัน และไม่มีทางเลือกนอกจากกลิ้งไปข้างหน้าในสภาพทุลักทุเล


ขณะเดียวกัน บนฝ่ามือซ้ายมีกลุ่มก้อนพลังงานสีแดงผุดขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มิได้ขยายออก แต่ค่อยๆ บีบอัดจนเล็กลงทีละนิด


ภายในเสี้ยววินาที เดนิสขว้างก้อนเพลิงสีส้มขนาดเท่าดวงตาออกไปหาอีกฝ่าย


เดนิส·เพลิงพิโรธ สามารถควบคุมวิถีของลูกไฟได้ด้วยพลังวิญญาณอย่างแม่นยำ ก้อนเพลิงทรงกลมสีส้มจึงพุ่งโค้งเข้าปากศีรษะเหี่ยวย่นน่ารังเกียจโดยไม่พลาดเป้า


บึ้ม!


แสงสว่างส่องไปทุกทิศ แรงระเบิดมหาศาลทำให้ศีรษะน่ารังเกียจแตกกระจัดกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย เลือดสดและน้ำหนองสาดกระเซ็นทั่วบริเวณ


จัดการได้แล้ว…!


เดนิสพยุงตัวตั้งตรง พลางถอนหายใจด้วยสีหน้าผ่อนคลาย


มันเพิ่งตระหนักว่า สัตว์ประหลาดศีรษะมนุษย์ชนิดนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง และอสุรกายเกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็จัดการได้ในพริบตา


ก็แค่ดวงดีมีของวิเศษเส้นทางสุริยัน… ไม่เท่าไรหรอกน่า! เฮ่อะ!


เดนิสนึกเหยียดหยัน


ขณะครุ่นคิดพลางสำรวจรอบตัว มันพบว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์มิได้หยุดรอตน แต่ถือไม้ค้ำและตะเกียงเดินหายเข้ากลีบหมอกไปไกลแล้ว มองเห็นเพียงชายเสื้อคลุมกระดุมสองแถวสีดำ กำลังสะบัดพัดกระพือเล็กน้อยตามแรงลม


แม่เย็*! รอด้วยสิโว้ย! รอฉันก่อน!


รูม่านตาเดนิสพลันหดลีบ มันรีบสับเท้าเพื่อไล่ตามอีกฝ่ายให้ทัน ไม่กล้าพอจะอยู่ตามลำพังภายในสายหมอกเจือจางและบรรยากาศมืดสลัว



ณ ภัตตาคารมะนาว


ดอนน่ามองไปยังจานกระเบื้องเคลือบสีขาวด้านหน้าตน ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นไปมองก้อนเลือดต้มสีแดงเข้ม พลางหวนนึกถึงเลือดจากคอซอมบี้ไร้หัว และริมฝีปากสีแดงฉ่ำตัดกับผิวพรรณอันขาวซีดของลูกค้าคนอื่นในร้าน


ลำคอของเด็กสาวขย้อนจนเกือบอาเจียน


ดอนน่าตัดสินใจไม่ลิ้มลองอาหารรสเลิศ แม้ว่ากลิ่นตรงหน้าจะเย้ายวนอย่างมากก็ตาม


เธอเพียงกินสลัดและมันฝรั่งบดแบบไม่คิดอะไรมาก รอให้ลมพายุด้านนอกสงบลง


ทุกวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า


ยิ่งกระแสเวลาไหลผ่าน ลูกค้าโต๊ะอื่นก็เริ่มทยอยเดินลงจากชั้นสอง ภายในห้องจึงว่างเปล่ามากขึ้นทุกขณะ


กึก! กึก! กึก!


ดอนน่าพบว่า เสียงเดินลงบันไดของพวกมันช่างไม่ระรื่นหูเอาเสียเลย


เวลาผ่านไปจนกระทั่ง ต้นไม้ใหญ่ด้านนอกหยุดสั่นไหว พื้นดินถูกปกคลุมด้วยเศษเล็กเศษน้อยจากพายุ


“ลมแรงหยุดแล้ว!” ดอนน่าชี้หน้าต่างด้วยอากัปกิริยาตื่นเต้น


บิดาของเธอ พ่อค้าผู้ประกอบธุรกิจนำเข้าและส่งออกรายใหญ่ ใช้มือก่ายหน้าผากพลางตวาดเสียงค่อย


“ดอนน่า มารยาทบนโต๊ะอาหารของลูกไปไหนหมด!”


“แต่ว่า…” ขณะดอนน่าคิดโต้เถียง คลีฟส์ยกมือห้ามเล็กๆ ก่อนจะลดแขนลง


“ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มสี่สิบนาที พวกเราควรรีบรับประทานอาหารให้เสร็จและเร่งฝีเท้ากลับเรือโดยเร็ว ตำนานยามค่ำคืนของท่าเรือแบนชีนั้นค่อนข้างน่ากลัว”


หากพ่อค้าคนใดสัญจรและค้าขายทางทะเลเป็นหลัก พวกมันจะไม่กล้าลบหลู่ตำนานของชนเผ่าดั้งเดิมบนเกาะ


เออร์ดี้ส่งเสียงครางในลำคอและพยักหน้ารับข้อเสนอของคลีฟส์ มันรีบลุกออกจากโต๊ะและพาครอบครัวเดินลงไปยังชั้นหนึ่งโดยเร็ว


หลังจากเออร์ดี้จ่ายเงิน คลีฟส์เตรียมเดินไปเปิดประตูภัตตาคารเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมด้านนอก


ทันใดนั้น เสียงเปิดประตูดังแว่วจากห้องพักซึ่งอยู่ไม่ห่างจากครอบครัวดอนน่านัก เด็กสาวเกือบกรีดร้องเสียงหลง พลางรีบจับมือน้องชายเอาไว้แน่น


ชายคนหนึ่งชะโงกศีรษะออกจากประตูและกล่าวอย่างสุภาพ


“ช่วงนี้หมอกลงจัด พวกคุณไม่ควรออกไปข้างนอก”


บุคคลดังกล่าวสวมทักซิโด้สีดำ ไม่สวมหมวก แว่นตากรอบทอง ใบหน้าค่อนข้างอ้วนท้วนสมบูรณ์


“มิสเตอร์ฟ็อกซ์ คุณกำลังหมายถึงสิ่งใด” คลีฟส์ทราบทันที ว่านี่คือเจ้าของภัตตาคารมะนาวแห่งนี้


ฟ็อกซ์กล่าวเสียงเรียบ


“เมืองท่าแบนชีจะมีสภาพอากาศแปรปรวนอย่างมากในตอนกลางคืน ดังนั้น เราไม่ควรออกไปข้างนอกหรือตอบสนองการเคาะประตู ไม่อย่างนั้นจะพบกับเรื่องเลวร้าย”


“แต่มีคนทยอยออกไปก่อนพวกเราหลายกลุ่มแล้วนะคะ!” ดอนน่าเน้นหนักเสียงดัง


ฟ็อกซ์ชี้ไปทางประตูห้องอื่นๆ บนชั้นหนึ่ง


“พวกเขาพักค้างคืนต่างหาก”


แอ๊ด! ปึง! ปึง!


เมื่อสิ้นเสียงฟ็อกซ์ ประตูห้องทุกบานพลันเปิดออกพร้อมกัน ดังบ้าง เบาบ้าง โดยทุกสายตาจดจ้องมายังครอบครัวดอนน่า ซึ่งเตรียมเปิดประตูเดินออกจากภัตตาคารไป


“บางที เราควรเคารพธรรมเนียมปฏิบัติของเมืองท่าแห่งนี้” เออร์ดี้·แบรนช์เรียบเรียงคำพูด “ถึงเราจะพักค้างสักคืน แต่ก็ยังไม่ส่งผลกระทบต่อกำหนดการเดินเรือ”


ตามประสบการณ์คลีฟส์ในสถานการณ์เช่นนี้ มันควรทำตามคำแนะนำของฟ็อกซ์อย่างว่าง่าย แต่เมื่อหวนถึงคำเตือนของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ผู้สามารถ ‘คุมประพฤติ’ เดนิส·เพลิงพิโรธได้ง่ายดาย คำเตือนจากนักผจญภัยทรงพลังถือเป็นสิ่งมีค่าและควรใส่ใจ


เมืองท่าแบนซีมีอันตราย… เขามิได้เจาะจงว่าภายในบ้านหรือนอกบ้าน เราต้องสมมติให้เป็นทั้งสองแบบไปก่อน…


คลีฟส์ตัดสินใจฉับไวและหันไปกล่าวกับพ่อค้าส่งออกด้านข้าง


“มิสเตอร์แบรนช์ ได้โปรดไว้ใจในความเป็นมืออาชีพของผม”


“เห็นด้วยครับ ผมเคยได้ยินตำนานปรัมปราของชาวเกาะพื้นเมืองมามาก แต่ไม่เคยเห็นตำนานใดเป็นความจริงเลยสักครั้ง…”


ทีก อีกหนึ่งบอดี้การ์ด กล่าวเห็นพ้อง


แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียง ใครบางคนได้เคาะประตูทางเข้าภัตตาคาร พร้อมกับเสียงร้องครวญครางจากระยะไกลด้านนอก


“เห็นไหม เสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้ว ห้ามขานรับโดยเด็ดขาด” ฟ็อกซ์กำชับหงุดหงิด


เออร์ดี้พลันยืนสั่นเทา ภายในใจเตรียมเลือกพักค้างคืนกับภัตตาคารแห่งนี้


ขณะเดียวกัน ดอนน่ามองไปยังสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีผู้ยังคงจ้องมองมาทางตน และพบว่าสายตาของพวกมันค่อนข้างประหลาด


“ไม่! พวกเราต้องรีบกลับเรือ!” ดอนน่าเน้นเสียงจนคล้ายตะโกน


ระหว่างนั้น คลีฟส์เริ่มสัมผัสถึงลมหนาวเย็นจับใจจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก


มันเน้นย้ำความเห็นของตัวเองอีกครั้ง


“หากเกิดปัญหาใดขึ้น การอยู่บนเรือจะปลอดภัยกว่าในเมืองท่าแน่นอน เพราะมีทั้งปืนใหญ่และลูกเรือเป็นจำนวนมาก”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เออร์ดี้ตัดสินใจยอมกลับเรือแต่โดยดี พร้อมกับทำสัญญาณมือบอกให้คลีฟส์เปิดประตูตรวจสอบเสียงเคาะ


คลีฟส์ยืนรอให้เสียงเคาะประตูเบาลง จึงค่อยใช้มือข้างหนึ่งจับลูกบิด และอีกข้างถือลูกโม่ดัดแปลง


หลังจากบิดเปิดประตู พวกมันพบว่า เสียงคำรามของสายลมด้านนอกเบาลงจากตอนแรกค่อนข้างมาก ด้วยบรรยากาศมืดสนิทและสายหมอกรายล้อม มอบความรู้สึกคล้ายกับด้านนอกมีสัตว์ประหลาดดุร้ายซุกซ่อนอยู่


ดอนน่าพาแดนตัน น้องชายของตน ไปยืนหลบด้านหลังเซซิล และค่อยๆ เดินออกจากภัตตาคารทีละก้าวอย่างระมัดระวัง


โครม!


ประตูภัตตาคารปิดไล่หลังเสียงดังโครมคราม ราวกับปิดตายมิให้ผู้ใดกลับเข้าไปด้านใดได้อีกเลย


ณ เวลานี้ พวกมันเปรียบดังเรือกำลังแล่นท่ามกลางฝ่าพายุฝนฟ้าคะนองตามลำพัง ราวกับโลกนี้ไม่มีใครเหลืออยู่อีกแล้ว


ขณะคลีฟส์เดินนำหน้าทุกคนด้วยตะเกียงเทียนไขในมือ มันเห็นบางสิ่งลอยไปในอากาศก่อนจะตกลงพื้นและกลิ้งสองสามตลบ


ดอนน่าและคนอื่นต่างหันไปมองตามสัญชาตญาณ และได้พบกับฉากสุดระทึกขวัญเหนือคำบรรยาย


ศีรษะมนุษย์เหี่ยวย่น!


ทันใดนั้น พวกมันมองเห็นแสงสว่างส่องลงมาจากเบื้องบน


แสงทำการชำระล้างให้ศีรษะน่ารังเกียจเลือนหายไปโดยไม่เหลือแม้แต่เศษซาก


“นี่มัน…” เออร์ดี้กลืนน้ำลายคำใหญ่ ร่างกายกำลังสั่นเทาอย่างมิอาจหักห้าม


ถัดมา พวกมันเริ่มมองเห็นแสงสีเหลืองนวลจากตะเกียงของใครบางคน ส่องตัดผ่านสายหมอกเจือจางเข้ามาใกล้ขึ้นทุกขณะ


อีกฝ่ายถือตะเกียงสีเหลือง ถือไม้ค้ำสีดำ สวมหมวกทรงกึ่งสูง เสื้อโค้ทกระดุมสองแถว ใบหน้าเผยความเย็นชาอันเป็นเอกลักษณ์


“ลุงสแปร์โรว์!” ดอนน่ากับแดนตันตะโกนเรียกพร้อมกัน


เด็กทั้งสองรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที


ไคลน์โยนตะเกียงไปทางเดนิสด้านข้าง และย่างกรายเข้าใกล้ทุกคนด้วยไม้ค้ำ


ชายหนุ่มกล่าวด้วยมาดสุขุม


“แวะสำนักงานโทรเลขก่อน แล้วครอบครัวดิเมอดอร์อยู่ไหน”


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)