Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 501-505
ราชันเร้นลับ 501 : เหยื่อล่อ
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากส่งโทรเลขและเก็บกวาดโต๊ะทำงานเรียบร้อย ฉลามขาว·แฮมิลตันเริ่มผ่อนคลายความกังวล จนสมองปลอดโปร่งพอจะทบทวนเหตุการณ์เมื่อครู่
คำถามแรกผุดขึ้นในหัว :
แล้วคนคุมด้านนอกล่ะ?
แฮมิลตันรีบพยุงตัวยืนด้วยแขนทั้งสองข้าง ก่อนจะเดินไปเปิดแง้มประตูห้อง และได้พบกับลูกน้องหลายคนกำลังยืนสนทนาอย่างหละหลวมพลางยิงมุกตลกเกี่ยวกับโสเภณี
โทสะอันเดือดดาลพลันลุกโชนภายในใจฉลามขาว แต่มันก็รีบสงบสติ และจงใจกระแทกบานประตูให้เกิดเสียงดัง
โครม!
บรรดาลูกน้องด้านนอกต่างสะดุ้งเฮือกพร้อมกับหันมองอย่างพร้อมเพรียง
“บอส…”
“บอส…!”
เมื่อพบต้นตอคนทำเสียงดัง พวกมันรีบยืนตัวตรงและกลับไปประจำตำแหน่งด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
ฉลามขาวถอนหายใจยาวพลางตั้งคำถาม
“มีใครเข้ามาในห้องฉันบ้างไหม”
“มีครับ ลาร์เดโร หมอนั่นเล่าว่าข้างล่างมีความวุ่นวายเกิดขึ้น…” ลูกน้องทำสีหน้างุนงงเมื่อได้ยินคำถาม “บอสเป็นคนอนุญาตให้เข้าไปเองไม่ใช่หรือ”
เมื่อกล่าวจบ กลุ่มลูกน้องเริ่มฉุกคิดถึงความเป็นไปได้ทางอื่น จึงรีบถามกลับอย่างเป็นกังวล
“มีของถูกขโมยไปหรือครับ?”
ขณะเดียวกัน สีหน้าแฮมิลตันพลันดำมืด มันส่ายหน้าพร้อมกับส่งเสียงตวาด
“ทำงานไป! ห้ามคุยเล่น!”
ตึง!
แฮมิลตันดึงประตูปิดเสียงดัง ปล่อยให้ลูกน้องด้านนอกมองตากันสักพักพลางเข้าใจว่า หัวหน้าของตนคงกำลังเมา
ภายในห้องทำงาน แฮมิลตันร่างใหญ่กำลังเดินวนเวียนไปมาอย่างกระวนกระวาย
“ลาร์เดโร… พวกมันเห็นเป็นลาร์เดโร… เจ้านั่นมีพลังในการแปลงโฉม?” ในฐานะสายข่าวผู้รับแลกเปลี่ยนสินค้าและคอยรวบรวมข้อมูลให้โจรสลัด ฉลามขาว·แฮมิลตันย่อมเคยได้ยินตำนานอันโด่งดังมาบ้าง
จึงนึกถึงพลังของพลเรือโทวายุ·คีลิงเกอร์ ผู้สามารถแปลงโฉมเป็นใครก็ได้
มันเริ่มวิเคราะห์อย่างใจเย็น
ไม่สิ… พลังพิเศษของอีกฝ่ายอาจไม่ได้ยอดเยี่ยมถึงขั้นแปลงโฉม แต่เป็นพลังประเภทภาพลวงตา ชี้นำจิตใจ หรือบงการความคิด
…มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง แม้ภายนอกเจ้านั่นจะดูคล้ายสุภาพชน แต่ภายในกลับวิกลจริตและบ้าบิ่นจนน่าเหลือเชื่อ ด้วยลักษณะนิสัยดังกล่าว มันควรฆ่าลูกน้องด้านนอกหรือไม่ก็ทำให้สลบเป็นอย่างน้อย จึงค่อยเดินมาเคาะประตูห้องทำงานเราอย่างเลือดเย็น…
หากมันกังวลว่าจะสร้างความวุ่นวายหรือเป็นการเปิดเผยพลังพิเศษ ก็ยังมีวิธีง่ายกว่านั้นอยู่ นั่นคือการปืนหน้าต่างขึ้นมาหาเราโดยตรงอย่างเงียบเชียบ…
ขัดแย้งอย่างมาก… และเหตุผลรองรับความขัดแย้งดังกล่าวมีเพียงสาเหตุเดียว…
มันกำลังปกปิดบางสิ่ง…
กำลังปกปิดพลังพิเศษ หรือปกปิดอุปนิสัยของตัวเอง? หรือทั้งคู่?
ครุ่นคิดมาถึงจุดนี้ แฮมิลตันเริ่มได้ข้อสรุป
เจ้านั่นอาจเป็นแค่มือใหม่… พฤติกรรมเสียสติเป็นเพียงการแสดง โดยพลังพิเศษเกิดมีแหล่งกำเนิดจากสมบัติวิเศษ!
ต้องเป็นแบบนั้นแน่!
ทฤษฎีนี้สามารถอธิบายความขัดแย้งได้…
เจ้าไก่อ่อนไม่กล้าเสี่ยงปืนหน้าต่างเนื่องจากยังเป็นแค่ผู้วิเศษลำดับต่ำ และไม่ใช่เส้นทางชำนาญด้านการปืนป่าย… เพื่อให้ได้เข้ามาในห้องเรา มันลงทุนลดศักดิ์ศรีและยอมเรียกเราว่า ‘บอส’ …
พลังในการตบตาลูกน้องล้วนเกิดจากผลของสมบัติวิเศษ… และมันไม่ได้เสียสติจริง…
มันกล้าทำตัวเหมือนคนบ้าเพราะมีสมบัติวิเศษช่วยสร้างความหวาดกลัวในใจเรา ทั้งหมดมีจุดประสงค์เพื่อหลอกถามข้อมูล…
นั่นยังอธิบายได้ด้วยว่า ทำไมมันถึงเดินออกจากห้องไปทั้งอย่างนั้น…
หลังจากครอบครองสมบัติวิเศษหายากเข้าโดยบังเอิญ มันวางแผนใช้พลังดังกล่าวหลอกถามเรา และหวังล่าค่าหัวโจรสลัดปลายแถวสักคนสองคนติดไม้ติดมือ… แต่เมื่อทราบว่าเราทำงานให้กับหน่วยข่าวกรองของพลเรือเอกโลหิต เฒ่าควินน์ และโอเดล·อสรพิษเหรียญเงิน ผู้มีแนวโน้มว่าจะเป็นคนของราชินีเงื่อนงำ มันจึงเกิดความหวาดกลัวและรีบถอนตัวกลับทันทีโดยไม่กล้าฆ่าใครแม้แต่คนเดียว!
ยิ่งแฮมิลตันใช้ความคิด มันก็ยิ่งมั่นใจในการวิเคราะห์ของตน
เครื่องรับส่งวิทยุถูกติดตั้งอีกครั้งพร้อมกับการพลิกเปิดสมุดบันทึกข้อมูล ตามด้วยการส่งโทรเลขโดยมีเนื้อหาอ้างอิงจากทฤษฎีใหม่
แฮมิลตันไม่เชื่อว่าตนถูกคุกคามโดยนักล่ามือฉมัง อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กหนุ่มทะเยอทะยานผู้บังเอิญโชคดีได้ครอบครองสมบัติวิเศษหายาก
ฉลามขาวพยายามอธิบายข้อมูลของอีกฝ่ายโดยละเอียด
“ผมทอง ตาฟ้า ไม่บ้าบิ่น ค่อนข้างขี้ขลาด ครอบครองสมบัติวิเศษเกี่ยวกับการแปลงโฉมหรือไม่ก็สร้างภาพลวงตา แต่เมื่อประเมินจากออร่าความน่าสะพรึงกลัว อย่างหลังมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า เจ้านั่นเป็นแค่มือใหม่ผู้ไม่เจนโลกมากนัก ออร่าสัตว์ประหลาดรอบตัวมันคงเป็นผลจากสมบัติวิเศษเช่นกัน มันพอจะมีข้อมูลเกี่ยวกับฉันอยู่บ้าง และทำตัวไม่เหมือนกับหน้าใหม่ผู้เพิ่งมาเยือนเมืองท่าดาเมียร์เป็นครั้งแรก”
แกร่ก. แกร่ก. แกร่ก…
ฮามิลตันชะงักนิ้วพร้อมกับเอนหลังพิงด้วยสีหน้าพึงพอใจ เก้าอี้ทำงานส่งเสียงตอบสนองเล็กน้อยเมื่อถูกน้ำหนักตัวกดทับ
มุมปากยกโค้งอย่างมีความสุข ราวกับกำลังจินตนาการภาพของชายเสียสติคนเมื่อครู่ถูกจับถ่วงก้นทะเล
“ท่ามกลางท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ฉันไม่เคยเห็นไอ้กระจอกแต่มีของดีคนไหนอายุยืน… รอก่อนเถอะ ฉลามหิวกระหายจำนวนมากกำลังจะเริ่มแหวกว่ายเพื่อตามกลิ่นเลือด! เมื่อถึงตอนนั้น ความลับของเราก็จะถูกปิดเป็นความลับต่อไป”
…
ภายใต้ท้องฟ้าสีดำยามราตรี บรรยากาศรอบเมืองท่าค่อนข้างเงียบสงบ
หลังจากเดินพ้นประตูผับปลาบินและไวน์ ไคลน์ยังคงย่ำเท้าหนีออกมาเป็นระยะทางไกลพลางหักเลี้ยวไปมาอีกหลายซอกซอย ก่อนจะค่อย ๆ ลดความเร็วลงทีละนิดจนกลายเป็นการเดินทอดน่อง
เมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครสะกดรอยตาม เมื่อเดินผ่านมุมมืด ชายหนุ่มแปลงโฉมกลับเป็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์ พร้อมกับยัดชายเสื้อกลับเข้าไปในขอบกางเกงขายาว
ไคลน์จัดแต่งจอนสองข้างให้เรียบร้อย ตามด้วยการหยิบแว่นตากรอบทองขึ้นมาสวม มอบบรรยากาศเย็นชาภายใต้มาดสง่างาม
จากนั้น มันอาศัยแสงสว่างจากดวงดาวนำทางกลับไปยังเรือโมราขาว
ขณะเดิน ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มเยือกเย็น พลางครุ่นคิดท่ามกลางสายลมเหน็บหนาว
หวังว่าฉลามขาวจะไม่โง่จนมองไม่เห็น ‘ตำหนิ’ ซึ่งเราจงใจทิ้งไว้…
ไคลน์จงใจสร้าง ‘ตัวตน’ ชายผมทองดวงตาสีฟ้า ให้เป็นไอ้หนุ่มหน้าใหม่ผู้อ่อนหัดต่อโลก แต่ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับท่าเรือดาเมียร์และฉลามขาวพอประมาณ และครอบครองสมบัติวิเศษช่วยให้ดูบ้าบิ่นและวิกลจริต
ไคลน์ตระหนักเป็นอย่างดีว่า การตามหาโจรสลัดกลางทะเลไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแม้แต่รัฐบาลกับเจ็ดโบสถ์หลักก็ยังทำไม่ได้ ตัวมันเองก็คงทำได้ไม่ง่ายเช่นกัน ฉะนั้น แผนการของชายหนุ่มจึงเป็น :
ลองหยั่งเชิงสอบสวนฉลามขาว หากได้พิกัดแน่ชัดของโจรสลัด มันก็จะตามไปถล่มให้ราบคาบทันที แต่ถ้าไม่ได้ ก็จะอาศัยตัวตน ‘นักผจญภัยอ่อนหัดแต่ครอบครองสมบัติวิเศษหายาก’ เพื่อล่อให้เหยื่อเข้ามาติดกับ
เมื่อไคลน์ทราบว่าฉลามขาวสามารถติดต่อกับเฒ่าควินน์ หนึ่งในหน่วยข่าวกรองของพลเรือเอกโลหิต แผนการก็นับว่าลุล่วงทันที
หลังจากนั้นก็ทำเพียงจดจำคลื่นวิทยุและการเข้ารหัสเพื่อคอยดักฟังความเคลื่อนไหวในอนาคต ผนวกกับเอกลักษณ์พิเศษของเดอะฟูลผู้ไม่มีวันถูกทำนายถึง ไคลน์ก็แค่ดักรอเชือด ‘เหล่าฉลามกระหายเลือด’ ทีละคนสองคนอย่างใจเย็น
แต่ปัญหาในตอนนี้คือ เราไม่มีเครื่องมือสำหรับดักฟังความเคลื่อนไหว… ของแบบนี้หาซื้อในทะเลไม่ได้แน่… คงต้องให้เดอะเวิร์ลฝากมิสจัสติสหรือมิสเมจิกเชี่ยนซื้อและส่งมาจากเบ็คลันด์ นี่คือพลัง ‘เดลิเวอรี่’ อันเป็นจุดแข็งของเดอะฟูล!
เมื่อเห็นโมราขาวอยู่ไม่ไกล ไคลน์เร่งฝีเท้าจนกระทั่งพบกับครอบครัวดอนน่าและคลีฟส์กำลังเดินสวนมาจากถนนอีกฝั่ง
คลีฟส์พยักหน้าทักทายตามมารยาท ตามด้วยการถามเสียงทุ้ม
“ผมได้ยินมาว่า มีเหตุทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นในผับปลาบินและไวน์”
หูไวเหมือนกันนี่… คงมีเส้นสายในเมืองท่าดาเมียร์พอสมควร…
ไคลน์ยิ้ม
“ก็แค่สั่งสอนพวกหัวหมอไปสองคน”
ได้ยินเช่นนั้น คลีฟส์ขมวดคิ้ว และพบว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์แตกต่างไปจากทุกที
ย้อนกลับไปขณะได้พบกันบนเรือครั้งแรกคลีฟส์มองว่า ถึงแม้นักผจญภัยหนุ่มผู้นี้จะเย็นชาและค่อนข้างเย่อหยิ่ง แต่ก็ยังเผยรอยยิ้มเป็นครั้งคราวตามโอกาส มีความสุภาพในการใช้สรรพนามคล้ายกับคนในเมืองหลวง และรู้จังหวะจะโคนว่าตอนไหนควรถอย
แต่ในปัจจุบัน คลีฟส์เริ่มไม่แน่ใจ เพราะมันเริ่มสัมผัสถึงเพลิงแห่งความบ้าบิ่นภายในใจอีกฝ่าย
ทันใดนั้น บิดาของดอนน่าพูดขัดจังหวะ
“มิสเตอร์คลีฟส์ สุภาพบุรุษผู้นี้คือ?”
“เพื่อนร่วมอาชีพครับ เกอร์มัน·สแปร์โรว์”
คลีฟส์แนะนำตัวเรียบง่าย
ไคลน์ยิ้มสุภาพพร้อมกับยื่นมือขวาไปหา
“หากคุณต้องการจ้างใครสักคนและคลีฟส์ไม่ว่าง สามารถนึกถึงผมได้เสมอ”
“ไม่มีปัญหา หวังว่าคุณจะเก่งกาจและมีความเป็นมืออาชีพเหมือนกับเขา!” บิดาของดอนน่าจับมือไคลน์ด้วยท่าทีกระตือรือร้น ตามด้วยการแนะนำตัว “เออร์ดี้·แบรนช์”
ขณะไคลน์ปล่อยมือ สัมผัสวิญญาณไคลน์พลันตระหนักถึงความผิดปรกติเล็กน้อยจากกล่องของขวัญในมือคนรับใช้แบรนช์
ชายหนุ่มแอบเปิดเนตรวิญญาณ และพบว่าภายในกล่องมีเนื้อหมักเกลือหลายชิ้น
ทว่า ผิวรอบนอกของเนื้อกลับกำลังส่องแสงสีขาว ดำ และแดง ลักษณะคล้ายคลึงกับออร่าของโลกวิญญาณ
กลิ่นอายพลังวิญญาณ… แต่ไม่เป็นอันตรายมากนัก… เนื้อพวกนี้แปลกมาก…
ไคลน์ยืนทำหน้าประหลาดใจ
เห็นดังนั้น บิดาของดอนน่าอมยิ้ม
“ความพิเศษของเมืองท่าดาเมียร์คือการมีภูเขาไฟดับมอดอยู่กึ่งกลางเกาะ รอบภูเขามีช่องว่างเล็กน้อยคล้ายโพรงถ้ำ มีลมร้อนตามธรรมชาติพัดผ่านออกมา ส่งผลให้ หากนำเนื้อไปบ่มในบริเวณดังกล่าว จะได้รสชาติสุดกลมกล่อมและเป็นเอกลักษณ์ เหมาะแก่การซื้อไปเป็นของฝากให้เพื่อนฝูง มิสเตอร์สแปร์โรว์ ถ้าต้องการซื้อติดไม้ติดมือกลับไป ตอนนี้ก็ยังทันนะครับ”
รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์…
รสชาติของโลกวิญญาณ?
ไคลน์เริ่มเข้าใจสถานการณ์
ตามทฤษฎีของศาสตร์เร้นลับ โลกวิญญาณจะซ้อนทับกับโลกจริงอย่างสมบูรณ์ โดยแยกมิติออกจากกัน ต้องอาศัยพลังพิเศษของบางเส้นทางเพื่อสร้างอุโมงค์สำหรับเดินทางไปมาระหว่างกัน แต่ทฤษฎีดังกล่าวก็ไม่เป็นความจริงเสมอไป พลังของโลกวิญญาณสามารถเอ่อล้นออกมาจนส่งผลกระทบต่อโลกความจริงได้บางส่วน
ตัวอย่างเช่น หากคนตายในน้ำ ก็จะมีโอกาสกลายเป็นพรายน้ำ หรือการมีตัวตนของสิ่งมีชีวิตประเภทซอมบี้และชนิดอื่นซึ่งคล้ายคลึงกัน รวมถึงเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเล็กน้อยภายในบ้านซึ่งเคยมีคนตาย
บางที ในโพรงภูเขาไฟใจกลางเมืองท่าดาเมียร์อาจมีลักษณะเดียวกัน แต่มิได้ร้ายแรงจนส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตผู้คน จุดดังกล่าวช่วยให้เนื้อหมักเกลือมีรสชาติยอดเยี่ยมและเป็นเอกลักษณ์… ประกอบกันคนทั่วไปมิได้รับประทานเข้าไปในปริมาณมาก จึงแทบไม่ส่งผลต่อร่างกาย…
ไคลน์ยิ้มตอบ
“ผมไม่ชอบเนื้อหมักเกลือ”
ขณะเดียวกัน มันก็ได้ข้อสรุปว่า เนื้อหมักเกลือซึ่งบาร์เทนเดอร์ของผับปลาบินและไวน์ยกมาเสิร์ฟตน เป็นเพียงอาหารคุณภาพต่ำและไม่ใช่ของขึ้นชื่อประจำเมืองท่า
ทันใดนั้น เด็กชายแดนตันชี้นิ้วขึ้นไปยังดวงจันทร์ด้านบนท้องฟ้า
“สีแดงสว่างจัง!”
“อื้อ!” ดอนน่าพยักหน้ารับ
สีแดงสว่าง…? ไคลน์แหงนมองและพบว่าดวงจันทร์ยังคงมีสีแดงตามปรกติ
หืม… คงเป็นเพราะเด็กเล็กยังมีจิตบริสุทธิ์ หลังจากกินเนื้อหมักเกลือปนเปื้อนพลังวิญญาณเข้าไป การมองเห็นจึงเหมือนกับขณะใช้เนตรวิญญาณชั่วคราว… ชักน่าสนใจแล้วว่า เด็กทุกคนบนเกาะจะเป็นแบบนี้กันหมดหรือไม่ หึหึ… นี่คงเป็นต้นตนของตำนานปรัมปราทั้งหมดบนเมืองท่าดาเมียร์…
ไคลน์ใคร่ครวญจนเริ่มพบคำตอบ
หลังจากนั้น ทุกคนทยอยเดินขึ้นบันไดไปยังดาดฟ้าเรือ
ไคลน์โบกมืออำลาและเดินตรงไปยังห้องพักชั้นสองของตน
ทันใดนั้น มันสัมผัสถึงแรงกระเพื่อมทางละอองพลังงานรอบตัว จึงรีบเปิดเนตรวิญญาณตรวจสอบ
และไม่ผิดคาด ชายหนุ่มได้พบกับผู้ส่งสารร่างยักษ์ท่ามกลางกองกระดูกสีขาว
อีกฝ่ายรีบวางจดหมายลงตรงหน้าไคลน์
……………………
ราชันเร้นลับ 502 : ฉากในความทรงจำของมิสเตอร์อะซิก
โดย
Ink Stone_Fantasy
หมับ
ไคลน์เอื้อมมือหยิบจดหมายซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าปรกติเล็กน้อย
ผู้ส่งสารกระดูกร่างใหญ่ไม่อยู่นานนัก มันรีบสลายตัวไปพร้อมกับบ่อน้ำพุในลักษณะค่อย ๆ จมลงบนพื้นดาดฟ้าเรือ ราวกับไม่อยากอยู่ต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว
มือข้างหนึ่งถือซองจดหมาย แต่ไคลน์ไม่รีบร้อนเปิดอ่าน เพียงทำตามสัญชาตญาณด้วยการหันไปมองบันไดไม้ซึ่งมีปลายทางเป็นห้องพักของบัตรโดยสารชั้นหนึ่ง
ชายหนุ่มเห็นดอนน่าและแดนตันกำลังยืนตกตะลึงด้วยดวงตาเบิกโพลง ริมฝีปากอ้าปากกว้าง คล้ายกับเตรียมกรีดร้องอย่างตื่นตระหนกหลังจากได้เห็นฉากเมื่อครู่ แต่ทุกสิ่งจบลงอย่างรวดเร็วจนเด็กทั้งสองคิดว่าเป็นเพียงภาพหลอน
ไม่ผิดแน่… ถ้าเด็กคนใดกินเนื้อหมักเกลือสูตรพิเศษของดาเมียร์เข้าไป พวกเขาจะได้รับเนตรวิญญาณชั่วคราว…
ไคลน์ขมวดคิ้ว ก่อนจะรีบเลื่อนนิ้วชี้มือซ้ายขึ้นมาจ่อริมฝีปากในแนวตั้ง เป็นภาษากายเดียวกับเมื่อครั้งเริ่มต้นการล่าเมอร์ล็อก ส่งผลให้เด็กทั้งสองคนเงียบเสียงลงทันที
ดอนน่าซึ่งตัวสูงกว่าเล็กน้อยรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเองจนสนิท พลางพยักหน้าหงึกหงักด้วยอารมณ์หวาดกลัวผสมตื่นเต้น พลางส่งสัญญาณทางแววตาว่ากลับมาหาไคลน์เพื่อบอกว่าเธอรับทราบ
เด็กหญิงรีบก้มหน้าในแนวเฉียง เมื่อพบว่าน้องชายของตนกำลังยืนอ้ำอึ้ง จึงรีบเลื่อนแขนของอีกฝ่ายขึ้นมาปิดปากตัวเอง
คลีฟส์และเซซิลพลันตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากล แต่หลังจากชะงักฝีเท้าและหันมาจ้องไคลน์ ทั้งคู่กลับไม่พบความผิดปรกติใดเลย
ต่อหน้าสายตาเพ่งมอง ชายหนุ่มเพียงยิ้มรับอย่างสุภาพและหันหลังเดินกลับไปทางห้องนอนของตัวเอง
เหรียญทองปรากฏบนมือไคลน์อย่างเป็นปริศนา ก่อนจะหมุนควงไปรอบนิ้วราวกับมันมีชีวิตชีวา
กิ๊ง!
เหรียญทองลอยขึ้นฟ้าและตกลง
ตัวเลขหงายขึ้น หมายความว่าเหตุการณ์เมื่อครู่มิได้เป็นพิษเป็นภัยต่อไคลน์
ให้ตายสิ… ผู้ส่งสารตัวใหม่ไม่สุภาพหรืออ่อนโยนเหมือนตัวเก่าเลยสักนิด รายนั้นมักแตะไหล่ให้เรารู้ตัวล่วงหน้า หรือไม่ก็ทำให้รอบตัวเรากลายเป็นมิติโลกวิญญาณเพื่อมิให้คนธรรมดามองเห็น…
ชายหนุ่มหยิบกุญแจไขประตูห้องพัก
จากนั้น ไคลน์ทิ้งตัวนั่งลงบนขอบเตียง พร้อมกับจุดเขียนไขบนโต๊ะซึ่งเหลือเพียงครึ่งแท่งเพื่อมอบแสงสว่าง
จดหมายของอะซิกถูกเปิดอ่าน
สิ่งเตะตาอันดับแรกคือ ‘ไพ่จักรพรรดิมืด’
เมื่อได้เห็นใบหน้าอันเชื้อเชิญให้ต่อยเข้าไปสักหมัดบนไพ่ ไคลน์ผ่อนคลายความวิตกกังวลลงทันที
มันไม่ได้กลัวว่ามิสเตอร์อะซิกจะไม่คืนไพ่เย้ยเทพกลับมา ระดับความเชื่อใจต่อกันมีมากถึงเพียงนั้น เพราะชื่อของโอสถและพิธีกรรมบนไพ่สามารถทำสำเนาคัดลอกไว้ได้
จริงอยู่ ‘กฎการดึงดูด’ วัตถุดิบระดับสูงไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ด้วยการคัดลอก ถ้าอีกฝ่ายต้องการใช้จุดนี้ ก็มีสิทธิ์จะไม่คืนไพ่จักรพรรดิมืดกลับมาให้ไคลน์
อย่างไรก็ตาม อะซิกมิได้อยู่บนเส้นทางจักรพรรดิมืด รวมถึงไม่ใช่เส้นทางใกล้เคียงซึ่งสามารถสลับกันได้ ดังนั้น ตัวตนทรงพลังอย่างเขาย่อมไม่มีเหตุผลให้เก็บไพ่จักรพรรดิมืดไว้กับตัว
แต่ไคลน์กังวลว่า ผู้ส่งสารจะถูกปล้นไพ่เย้ยเทพไประหว่างทาง ทำให้ตนต้องสูญเสียอุปกรณ์สำคัญในการเสริมพลังร่างวิญญาณ
เรื่องดังกล่าวใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย โลกวิญญาณเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว คงไม่แปลกหากจะมีตัวตนชั่วร้ายสักชนิดสามารถจับตำแหน่งของผู้ส่งสารและทำการดักปล้นระหว่างทาง
ไพ่จักรพรรดิมืดถูกส่งกลับมาถึงพร้อมนกหวีดของผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นสมาชิกของนิกายวิญญาณ
ชายหนุ่มวางสิ่งของลงด้านข้าง พลางคลี่กระดาษจดหมายอ่านคำตอบจากอะซิก
“…ไพ่ซึ่งมีภาพของจักรพรรดิมืดทำให้ผมหวนนึกถึงความทรงจำในอดีต เป็นฉากของจักรพรรดิโลหิตผู้มีร่างกายใหญ่มหึมาราวกับขุนเขา สวมเสื้อคลุมนักบวชสีแดงสด ดวงตาแดงก่ำและเปี่ยมด้วยความบ้าบิ่น ราวกับพร้อมจะคลุ้มคลั่งได้ทุกเมื่อ ขณะเดียวกันก็ยังมีจักรพรรดิมืดตัวจริงคืนชีพกลับมานั่งบนบัลลังก์ขนาดมหึมา พลางจ้องมองทุกสรรพสิ่งเบื้องล่างอย่างดูแคลน ผมแหงนหน้าจ้องมองพวกท่าน และเมื่อจักรพรรดิโลหิตจ้องกลับ ตัวผมก็หมดสติทันที”
“ผมคงเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมสงครามสี่จักรพรรดิ แต่รายละเอียดชัดเจนกว่านี้ยังต้องใช้เวลาเรียกคืนความทรงจำ บางที ความทรงจำส่วนนี้อาจฟื้นฟูได้ยากเพราะผมตายแล้วเกิดใหม่ซ้ำไปมาหลายหน ส่วนเรื่องของขุมทรัพย์เทพมรณาในทะเลคลั่ง ข้อมูลดังกล่าวยังไม่ช่วยให้ผมนึกอะไรขึ้นมาได้ บางที ถ้าผมมีโอกาสเดินทางไปยังทวีปใต้ด้วยเรือเดินสมุทร อาจเกิดการดึงดูดบางประการขึ้นขณะเรือแล่นผ่านทะเลคลั่ง ประสบการณ์ของคุณเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นสมาชิกนิกายวิญญาณ ผมฟังดูแล้วคล้ายกับพิธีกรรมเลื่อนเป็นลำดับ 4 ‘อมรณา’ แต่ก็ยังมีความแตกต่างอย่างชัดเจนในบางองค์ประกอบ”
“ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายชั่วร้ายและภัยคุกคามเหนือคำบรรยาย คล้ายกับเจ้าของนกหวีดทองแดงกำลังอยู่ในสภาวะไม่ปรกติ ผมไม่แนะนำให้คุณเป่านกหวีดทองแดงเรียกผู้ส่งสารของอีกฝ่าย สิ่งนี้จะนำมาซึ่งภัยอันตรายใหญ่หลวง ไว้ผมกู้คืนความทรงจำได้สมบูรณ์เมื่อไร คงเข้าใจมากขึ้นว่าเหตุการณ์ในคำบอกเล่าของคุณหมายถึงสิ่งใด ขนนกซึ่งเจ้าของนกหวีดทองแดงทิ้งเอาไว้สามารถนำไปในใช้พิธีกรรมเกี่ยวกับอันเดดได้หลากหลาย ถือเป็นวัสดุพิเศษและอัดแน่นด้วยพลังวิญญาณเข้มข้น”
“หากความรู้ของผมฟื้นฟูกลับมามากกว่านี้ จะประกอบพิธีกรรมเพื่อสร้างยันต์ชนิดพิเศษให้คุณไว้ใช้งาน เล่าถึงประเด็นข้างต้น ผมนึกขึ้นได้ว่า คุณเคยถามถึงวิธีลบจิตกัดกร่อนออกจากตะกอนพลัง สำหรับเรื่องนี้ ผมคงต้องขอเวลาสักพัก เพราะความรู้ในปัจจุบันด้านดังกล่าวเป็นศูนย์อย่างแท้จริง นอกจากนั้น ผมจำได้อย่างเลือนรางว่าทวีปใต้มีสัตว์วิเศษชื่อ ‘มนุษย์นก’ อยู่ คุณควรผนึกไพ่ใบนั้นไว้ ไม่อย่างนั้นมันจะดึงดูดศัตรูทรงพลังและหายนะมากมายมายังตัวคุณ ผมจะสอนเทคนิคการผนึกอย่างง่ายให้ ขั้นแรก ต้องเสริมพลังกำแพงวิญญาณด้วยวิธี…”
ชัดเจนแล้วว่า ไพ่เย้ยเทพสามารถดึงดูดตัวตนระดับสูงในเส้นทางเดียวกันมาหาผู้ถือได้… แต่เคราะห์ยังดี เราเก็บไว้ในห้วงมิติสายหมอกมาตลอด… ตามคำอธิบายของมิสเตอร์อะซิก เขาไม่ใช่เทพมรณาผู้สูญเสียความทรงจำแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่สลบเพียงเพราะสบตากับจักรพรรดิโลหิตและจักรพรรดิมืด…
คงเป็นบุตรของเทพมรณาและติดสอยห้อยตามไปเข้าร่วมในสงครามสงครามสี่จักรพรรดิ แต่โชคร้าย เขาต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุการณ์ดังกล่าว…
ขณะครุ่นคิด ไคลน์ถูปลายนิ้วเพื่อเผากระดาษจดหมายทิ้ง
จากนั้น ชายหนุ่มทดสอบเทคนิคการผนึกขั้นสูงของอะซิกเพื่อทำความเคยชิน
หลังจากจัดการทั้งหมด มันประกอบพิธีกรรมและส่งไพ่จักรพรรดิมืดกับนกหวีดทองแดงของนิกายวิญญาณเข้าไปเก็บในห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา ป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุตามมาในภายหลัง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ไคลน์ไม่อยากเผชิญหน้ากับ ‘ราชาห้าห้วงสมุทร’ ขณะอยู่ท่ามกลางทะเลอันเวิ้งว้าง
…
ช่วงเช้าของวันถัดมา ดวงอาทิตย์ลอยเหนือท้องฟ้าพร้อมกับย้อมน้ำทะเลโดยรอบให้เป็นสีทองอร่าม
ไคลน์เดินไปยังห้องอาหารของบัตรโดยสายชั้นสอง คุณภาพอาหารไม่สูงมากนัก แต่ก็ไม่ได้แย่ถึงขั้นกินไม่ได้ มันเติมเต็มกระเพาะอาหารตัวเองด้วยขนมปังปิ้งสองชิ้น เบคอน เนย และชามะนาวหนึ่งถ้วย
เมื่ออิ่มท้อง ชายหนุ่มเดินไปยังดาดฟ้าเรือเพื่อสูดอากาศและยืนรับลมทะเล พลางดื่มด่ำไปกับความงดงามของยามเช้าแสนสดชื่น
ระหว่างนั้น มันเห็นกัปตันไอร์แลนด์กำลังยืนมึนเมาโดยยังคงพกดาบตรงอันเป็นเอกลักษณ์
หลังจากนึกทบทวนเหตุการณ์ในผับปลาบินและไวน์เมื่อวาน ชายหนุ่มเดินดุ่มเข้าไปทักทายโดยไม่เผยรอยยิ้ม
“อรุณสวัสดิ์ ฉลามขาวมาสร้างปัญหาให้คุณบ้างไหม เพราะมันคงทราบว่าผมเป็นผู้โดยสารของโมราขาวลำนี้”
ไอร์แลนด์ในโค้ทแดงเข้มถอดหมวกพับของทหารเรือออกพลางหัวเราะ
“ฮะฮะ! ไม่ต้องห่วง นั่นเป็นปัญหาของมัน ในความเป็นจริง มันต้องการให้คุณจ่ายครึ่งของค่าซ่อมผับ แต่นั่นเป็นเงินไม่มากเท่าไร แค่ไม่กี่ซูล ประกอบกับเมื่อวานผมทำกำไรจากไพ่ได้หกปอนด์ จึงแถมให้มันไปอีกนิดหน่อย เรื่องราวก็จบลงแค่นั้น”
กัปตัน คุณกลัวว่าผมจะเป็นนักผจญภัยเสียสติและก่อความวุ่นวายใหญ่หลวงเกินกว่าจะแก้ไขใช่ไหม จึงรีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม…
ไคลน์ไตร่ตรองสองสามวินาที
“เข้าใจแล้ว”
จากนั้น ชายหนุ่มหันหลังกลับและเดินไปทางหัวเรือพลางกล่าวเสียงแผ่ว
“ขอบคุณ”
เมื่อไคลน์กลับมายืนในตำแหน่งเดิน มันปล่อยให้สายลมพัดกระทบใบหน้าพลางครุ่นคิดว่า :
ทำไมการ ‘รักษาคาร์แรคเตอร์’ ถึงได้สิ้นเปลืองพลังงานสมองขนาดนี้!
หลังจากยืนตากลมอยู่พักใหญ่ ขณะเตรียมเดินกลับห้องโดยสาร คนสองคนได้เดินเข้ามาใกล้ชายหนุ่มด้วยย่างก้าวไม่รีบร้อน
สองพี่น้องดอนน่าและแดนตัน
เนื่องจากเซซิลเป็นเวรคอยดูแลเด็กจอมซนทั้งสอง จึงคอยเดินตามหลังมาไม่ห่าง
คล้ายกับดอนน่านอนไม่หลับทั้งคืน ดวงตาของเธอบวมแดงกว่าปรกติ ใบหน้าแฝงความหวาดกลัว แต่ก็เผยความตื่นเต้นขณะมองมายังไคลน์ผู้กำลังยืนกินลมชมวิวสบายใจ
ขณะแดนตันพะงาบปากราวกับต้องการกล่าวบางสิ่ง ดอนน่าชิงพูดขึ้นมาก่อน
“คุณลุงคะ… คนเมื่อคืนเป็นใครหรือ”
เด็กสาวกล่าวโดยไม่สบตา เพียงมองตรงไปยังท้องทะเลด้านหน้าด้วยร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย ประหนึ่งยังลบเหตุการณ์เมื่อคืนออกจากความทรงจำไม่ได้
“เขาคือ ‘ผู้ส่งสาร’ อธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ เขาทำงานเหมือนกับบุรุษไปรษณีย์”
ไคลน์กล่าวโดยไม่สบตาเด็กทั้งสอง ราวกับกำลังเล่าเรื่องราวเรื่อยเปื่อยเช่นตนกินอะไรมาในตอนเช้า
“ผู้ส่งสาร?” แดนตันเกือบควบคุมความดังของเสียงตัวเองไม่อยู่
“โลกใบนี้กว้างใหญ่นัก ไม่แปลกหากจะมีสัตว์ประหลาดลึกลับซ่อนตัวอยู่นับไม่ถ้วน ภายนอกของเขาอาจดูน่ากลัว แต่ความจริงแล้วมีนิสัยอ่อนโยนและเป็นมืออาชีพมาก… แวะมาแค่ส่งจดหมายจากเพื่อนคนไกลให้ฉัน”
ไคลน์อธิบายคลุมเครือ พยายามทำให้ผู้ส่งสารกระดูกขาว สูงสี่เมตร กลายเป็นสิ่งมีชีวิตอ่อนแอและไร้ความสามารถ
เมื่อตระหนักว่าเมื่อคืนผ่านไปอย่างสงบสุขโดยปราศจากภัยอันตราย ดอนน่าพยักหน้ารับอย่างใจเย็น
“สุดยอดมากค่ะ! เหมือนกับหนูได้ฟังตำนานเรื่องใหม่ของท้องทะเลเพิ่มจากเมื่อวันก่อน!”
“เจ๋ง!” แดนตันตอบสนองในทางเดียวกัน
จากนั้น เด็กชายซักถามอย่างงุนงง
“แล้วทำไมคนอื่นนอกจากพวกเราถึงไม่มีใครมองไม่เห็นเลยครับ?”
“นั่นเพราะพวกเธอมีจิตบริสุทธิ์”
ชายหนุ่มอธิบายอ่อนโยน
นี่เป็นการโกหกด้วยเจตนาอันดี เพราะไคลน์พูดออกไปไม่ได้ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากของผลเนื้อหนักเกลือสูตรพิเศษซึ่งเออร์ดี้·แบรนช์ซื้อมาเตรียมใช้เป็นของขวัญ ไม่อย่างนั้น เด็กเล็กทั้งสองคงมิอาจยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นและกลับไปทดลองเอง
ยังไม่ต้องพูดถึงปัญหาการด้านปนเปื้อนของออร่าโลกวิญญาณ ลำพังการเปิดเนตรวิญญาณก็เต็มไปด้วยอันตรายนับไม่ถ้วนแล้ว แม้กระทั่งไคลน์ผู้เชี่ยวชาญการใช้เนตรวิญญาณก็ยังไม่กล้าเปิดค้างไว้ตลอดเวลา เพราะการได้เห็นในสิ่งไม่ควรได้เห็น และได้ยินในสิ่งไม่ควรได้ยิน ไม่เคยมีจุดจบราบรื่น
“พวกเราสามารถมีผู้ส่งสารเป็นของตัวเองบ้างได้ไหมคะ?” ดอนน่าซักถามอย่างกระตือรือร้น
“ขึ้นอยู่กับโชค” ไคลน์ตอบห้วน
ขณะเดียวกันก็ตัดพ้อในใจ
…แม้แต่ฉันก็ยังไม่มีผู้ส่งสารเลยสักตัว!
หากหวังครอบครองผู้ส่งสาร ต้องออกแบบพิธีกรรมอัญเชิญให้เหมาะสมกับตัวเอง สิ่งนี้ถือเป็นองค์ความรู้พิเศษของศาสตร์เร้นลับ โดยการอัญเชิญส่งเดชอาจไปเรียกให้ตัวตนไม่พึงประสงค์ออกมา ไคลน์จึงยังไม่เสี่ยงดวงมาจนถึงตอนนี้
“ค่ะ….” ดอนน่าเริ่มคาดหวัง
ตามด้วยการกระซิบเสียงแผ่ว
“คุณลุง พวกเราจะปิดบังความลับของคุณลุงอย่างมิดชิดค่ะ!”
แดนตันพยักหน้าตาม
ทันใดนั้น มีผู้โดยสารคนใหม่เดินขึ้นเรือมาจากท่าดาเมียร์หนึ่งคน มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าเดินทางขณะย่างกรายไปบนดาดฟ้าเรือ
หลังจาก ‘เดนิส·เพลิงพิโรธ’ ส่งโทรเลขไปยังเกาะรอสต์ มันประเมินว่ากัปตันคงมอบภารกิจใหม่ให้ทันที จึงตัดสินใจหั่นวันลาพักร้อนและรีบกลับไปยังเมืองหลวงของหมู่เกาะรอสต์เพื่อรอคำสั่งใหม่ทันที
อาศัยเครือข่ายพิเศษ มันได้รับบัตรโดยสารเรือโมราขาวได้ไม่ยากเย็น จากนั้นก็รอขึ้นเรือในจังหวะใกล้ออกด้วยสภาพสวมวิกรุ่มร่ามเพื่อปลอมตัว
เฮ่อ…! เป็นไปตามคำกล่าวของจักรพรรดิโรซายล์ไม่มีผิด อัจฉริยะมักเหนื่อยกว่าผู้อื่นเป็นเท่าตัวเสมอ!
เดนิสเดินไปรอบดาดฟ้าพลางกินลมชมวิวอย่างสบายใจ
จนกระทั่งได้พบใบหน้าอันคุ้นเคย
มันเห็นนักผจญภัยหนุ่มสวมโค้ทสีดำกำลังยืนจ้องตนจากหัวเรือด้วยรอยยิ้มสง่างามราวกับสุภาพชน
กล้ามเนื้อบนใบหน้าเดนิสพลันสั่นกระตุก
……………………
ราชันเร้นลับ 503 : ตัวประกัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อไคลน์มองเห็นโจรสลัดค่าหัวสามพัน ปอนด์เดินขึ้นเรือในลักษณะปลอมตัว ชายหนุ่มหันไปส่งยิ้มให้ดอนน่าและแดนตันด้านข้างอย่างอ่อนโยน
“ขอตัวไปหาเพื่อนก่อน”
ไคลน์ย่างกรายด้วยมาดสุขุมเข้าหาสรั่งเรือลำดับสี่ของ ‘พลเรือโทธารน้ำแข็ง’ พลางจ้องอีกฝ่ายโดยไม่ละสายตาไปทางอื่น
รอยยิ้มแสนสดใสของเดนิส·เพลิงพิโรธพลันเลือนหายเมื่อเห็นนักผจญภัยหนุ่มเลือดเย็นกำลังยืนจ้องตนโดยไม่กะพริบตา ภายในใจโจรสลัดค่าหัวสามพันปอนด์เริ่มผุดความกระวนกระวายแฝงอากัปกิริยาตื่นตระหนก
หนี! เราต้องหนีไปให้ไกล! ไม่ว่ายังไงก็ต้องหนีให้พ้นจากไอ้ปีศาจนี่! แม้ว่าอาจต้องใช้พลังพิเศษอย่างสุดฝีมือจนเผยตัวจริงก็ตาม!
ในสายตาเดนิส นักผจญภัยหนุ่มผู้มีมาดสง่างามของสุภาพบุรุษ คือสัตว์ร้ายปลอมตัวในคราบของมนุษย์!
ขณะเดนิสเตรียมหันหลังเผ่นหนีสุดชีวิต มันชะงักฝีเท้ากลางคันและเริ่มใจเย็นลง เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ในตรอกมืดเมื่อคืน
แม้จะทราบค่าหัวของเราแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยอมปล่อยเรากลับไปแต่โดยดี!
อีกนัยหนึ่งก็คือ ชายคนนี้น่าจะไม่เชือดเราทิ้งใจกลางเรือส่งเดช สถานการณ์ปัจจุบันสามารถแก้ไขได้ด้วยการสื่อสารให้เหมาะสม…
หากหลบหนี ทุกสิ่งจะแย่ลง…
คิดได้เช่นนั้น เดนิส·เพลิงพิโรธตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการเผชิญหน้า พร้อมกับพยายามหักห้ามขาทั้งสองข้างมิให้เผ่นหนีป่าราบ
ไคลน์ย่างกรายเข้าใกล้อย่างเยือกเย็น
“อรุณสวัสดิ์ พบกันอีกแล้วนะ”
รอยยิ้มแสนอ่อนโยนของชายหนุ่มทำให้ริมฝีปากเดนิสสั่นเทา
“อ…อรุณสวัสดิ์”
ไคลน์รักษาบุคลิกและการแสดงออกของนักผจญภัยบ้าบิ่น เกอร์มัน·สแปร์โรว์ ด้วยการกล่าวเสียงเย็นชา
“มาทำอะไรบนเรือ”
“จะไปหมู่เกาะรอสต์” เดนิส·เพลิงพิโรธซึ่งคิดว่าตัวเองเป็นโจรสลัดมีชื่อเสียง ตอบกลับอย่างซื่อสัตย์และว่าง่าย
“ไปทำอะไร” ไคลน์ซักไซ้เสียงเรียบ
เดนิสฝืนยิ้ม
“รอคำสั่งถัดไปจากกัปตัน เพราะอาจมีภารกิจใหม่ในเร็ว ๆ นี้…”
นั่นสินะ มันคงอยากไล่เราลงจากเรือ เพราะโดยทั่วไปแล้ว การให้โจรสลัดขึ้นเรือเดินสมุทรไม่ใช่เรื่องฉลาดนัก อาจมีปัญหาไม่คาดฝันตามมาภายหลังได้…
หลังจากตอบคำถาม เดนิสคาดเดาสถานการณ์ด้วยสติปัญญาของตัวเอง
แบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างมากเราก็แค่เสียบัตรโดยสารไปหนึ่งใบ…
ไคลน์ยังคงนิ่งเงียบ
เดนิสเริ่มกระวนกระวาย
จนกระทั่งผ่านไปห้าหกวินาที นักผจญภัยหนุ่มเลือดเย็นเปิดปากพูดอีกครั้ง
“พักอยู่ห้องไหน”
“บัตรชั้นหนึ่ง ห้อง 312” เดนิสตอบพลางชูบัตรโดยสารในระดับสายตา
มันไม่กล้าประมาท คอยระวังว่าอีกฝ่ายอาจฉวยโอกาสขโมยบัตรหรือจู่โจมเข้าใส่
ไคลน์พยักหน้ารับแผ่วเบา
“มีห้องคนรับใช้ด้วยใช่ไหม”
“ก็มี…” เดนิส·เพลิงพิโรธตอบกลับไปตามจิตใต้สำนึก สมองของมันกำลังว่างเปล่าและตามไม่ทันว่าอีกฝ่ายอยากทราบไปทำไม
ทันใดนั้น มันได้ยินนักผจญภัยหนุ่มกล่าวด้วยโทนเสียงเชิงออกคำสั่ง
“นายนอนในนั้นก็แล้วกัน”
นอนในนั้น? ในไหน…? ห้องคนรับใช้…? เจ้านี่ไม่ได้คิดจะไล่เราลงจากเรือหรอกหรือ…
เดนิสพลันยืนแข็งทื่อ ก่อนจะโพล่งกลับ
“เพื่ออะไร?”
ไคลน์จ้องตาด้วยมาดเงียบขรึม ก่อนจะพ่นคำตอบอย่างไม่แยแส
“ตัวประกัน”
ตัวประกัน?
เข้าใจแล้ว… หมอนี่กลัวว่าเราจะเป็นโจรสลัดนำร่อง ผู้ลอบแทรกซึมเข้ามาในโมราขาวเป็นอันดับแรก จึงคอยส่งสัญญาณให้เพื่อนโจรสลัดตามมาปล้นในภายหลัง…
การกักตัวเราไว้ เป็นหลักประกันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น…
สมเหตุสมผล… การไล่เราลงจากเรือไม่ช่วยให้โมราขาวรอดพ้นจากการถูกปล้น แต่การจับเราเป็นตัวประกันช่วยต่อรองได้…
ฮึ! เราล่ะเกลียดพวกโอหังนัก! ชอบพูดจาห้วน ๆ และปล่อยให้คนอื่นคิดต่อเอาเอง!
ถ้ามันไม่ใช่อสุรกายสวมหนังมนุษย์ล่ะก็ เราจะไม่เสียเวลาคุยด้วยเด็ดขาด! ไม่อยากจะเชื่อเลย เมื่อวานเราดันไปคิดว่ารูปแบบการต่อสู้ของหมอนี่ถูกจริต… ต้องบ้าไปแล้วแน่!
เดนิสครุ่นคิดพลางกัดฟันกรอด
“ตกลง” โจรสลัดค่าหัวสามพันปอนด์ถอนหายใจยาวอย่างจนปัญญา
“นำทางฉันไปห้องพัก” ไคลน์ยังคงรักษามาดเย็นชาของเกอร์มัน·สแปร์โรว์
ฟู่ว…
เดนิส·เพลิงพิโรธถือกระเป๋าเดินทางและเดินนำปีศาจสวมหนังมนุษย์ไปยังห้องโดยสารชั้นหนึ่งอย่างไม่เต็มใจ เพียงไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงห้องหมายเลข 312
หลังจากเปิดประตู ไคลน์เก็บรายละเอียดอย่างรวดเร็วและพบว่า สภาพภายในน่าอยู่กว่าห้องพักชั้นสองของตนหลายเท่า
ห้องนั่งเล่นกว้างราวสามสิบตารางเมตร เชื่อมติดกับห้องนอนใหญ่และห้องคนรับใช้จำนวนสามห้อง มีห้องน้ำแยก มีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ตามมาตรฐาน รวมถึงโต๊ะไม้มะฮอกกานี
เดนิสวางกระเป๋าเดินทางของตนไว้ในห้องคนรับใช้และหันมาถามเรื่องสำคัญ
“แล้วจะปล่อยให้ห้องนอนใหญ่ว่างหรือ”
เมื่อกล่าวจบ มันทราบคำตอบด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรออีกฝ่ายอธิบาย
“ห้องฉันเอง” ไคลน์เผยรอยยิ้มอ่อนโยน
นึกแล้วเชียว เพื่อจับตาดูเราทุกฝีก้าวสินะ!
เดนิสเผยสีหน้าหดหู่
ไคลน์เดินไปเหยียบพรมหรูกลางห้องพร้อมกับชี้ไปยังประตูทางเข้า
“ตามฉันมาข้างล่าง”
“…อื้อ” ขณะตอบ เดนิสยังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด
หนึ่งนักผจญภัยเสียสติและหนึ่งโจรสลัดซึ่งคิดว่าตัวเองโด่งดัง เดินมาถึงหน้าห้องพักชั้นสองของไคลน์ภายในเวลาไม่นาน
หลังจากไขกุญแจเปิดประตู ไคลน์ทำเพียงยืนเฉยและชี้นิ้วเข้าไป
“เก็บข้าวของบนโต๊ะใส่กระเป๋าเดินทาง”
อะไรนะ…? นายคิดจะใช้ให้ฉันผู้นี้ทำงานเยี่ยงทาสหรือไง…
เดนิสยืนมึนงงพักใหญ่
มันกำลังโมโห
ตัวข้า! เดนิส·เพลิงพิโรธ สรั่งเรือลำดับสี่แห่งฝันทองคำ ใต้บังคับบัญชาของพลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ด โจรสลัดโด่งดังผู้มีค่าหัวมากถึงสามพันปอนด์ จะต้องทำตัวเป็นขี้ข้าหมอนี่อย่างนั้นหรือ!
ศักดิ์ศรีของฉัน! เชื่อเสียงของฉัน! พวกมันไม่อนุญาตให้ฉันถูกดูแคลนถึงเพียงนั้น!
เมื่อไคลน์เห็นเดนิส·เพลิงพิโรธยืนนิ่งนานหลายวินาที ชายหนุ่มเริ่มทำหน้าเย็นชาใส่พร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหาร
ร่างกายเดนิสพลันสั่นเทาอย่างมิอาจยังยั้ง
มันรีบสูดลมหายใจยาว ก่อนจะฝืนยิ้มด้วยสีหน้าหดหู่ยิ่งกว่าตอนร้องไห้
“ก็ได้”
มันโน้มตัวลงและเดินเข้าไปในห้องซึ่งมีเพดานไม่สูงนัก ตามด้วยการรีบเก็บข้าวของใส่ในกระเป๋าเดินทางอย่างคล่องแคล่ว
สิ่งของแต่ละชิ้นถูกวางเรียงรายอย่างประณีต เรียกได้ว่า เป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งกว่ากระเป๋าเดินทางของตัวเองเสียอีก
หลังจากจัดการทุกสิ่งเสร็จสรรพ เดนิสถือกระเป๋าเดินทางตามไคลน์กลับขึ้นไปยังชั้นบน
ระหว่างทาง มันนึกอยากจะซัดใส่ท้ายทอยของนักผจญภัยหนุ่มสักหมัด แต่สุดท้ายก็ต้องล้มเลิกความคิด
กลับถึงห้องหมายเลข 312 เดนิสกลืนน้ำลายอึกใหญ่พลางกัดฟันกรอด
“แล้วนายชื่ออะไร”
“เกอร์มัน·สแปร์โรว์” ไคลน์ตอบห้วน
เกอร์มัน·สแปร์โรว์…
เดนิสทวนคำ พลางสาบานกับตัวเองว่าจะไม่มีวันลืมเหตุการณ์ในวันนี้ มันจะทำให้อีกฝ่ายได้ลิ้มรสความขื่นขมยิ่งกว่าตนนับร้อยเท่าพันเท่าในอนาคต!
กัปตันต้องช่วยเราได้แน่!
เดนิสวางแผนอย่างมีความหวัง
เพื่อรักษาบุคลิก ไคลน์ตัดสินใจไม่นั่งลงบนเก้าอี้เอนหลัง แต่สุ่มนั่งบนเก้าอี้พนักแข็งด้วยท่วงท่าสง่างามแทน
ชายหนุ่มเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย สองมือประสานกันตามธรรมชาติและเงยหน้ากล่าวกับเดนิส·เพลิงพิโรธ
“พูดถึงโจรสลัดโด่งดังให้ฟังหน่อย”
“อ…เอาคนไหน มีเยอะจนเล่าไม่หมด”
เดนิสตอบกระอักกระอ่วน ทำได้เพียงยืนนิ่งโดยไม่กล้าขยับตัว คล้ายกับคนใช้รอฟังคำสั่งจากเจ้านายอย่างว่านอนสอนง่าย
ไคลน์เอียงคอเล็กน้อยพลางขยับริมฝีปากเปล่งเสียงอย่างเชื่องช้า
“ทุกคน… เรียงตามค่าหัว”
จากนั้นก็ชี้ไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามตน
“นั่งลง”
เดนิสถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
มันเริ่มตระหนักว่า อีกฝ่ายก็มิได้เลวร้ายอะไรนัก อย่างน้อยก็ไม่ใจร้ายให้ตนยืนเมื่อย
…
ปู๊น—!
โมราขาวออกจากท่าเรือและแล่นเข้าสู่ผืนทะเลอันกว้างใหญ่ด้วยความเร็วสิบสามนอต
จนกระทั่งเที่ยงตรง
เดนิส·เพลิงพิโรธได้รับอนุญาตให้หยุดพักหลังจากพูดจนน้ำลายเหือดแห้ง โดยไคลน์บอกให้มันนำทางไปยังห้องอาหารด้วยบัตรโดยสารชั้นหนึ่ง
ร้านอาหารถูกตกแต่งอย่างหรูหรา มุมห้องมีนักไวโอลินบรรเลงเพลงไพเราะ แต่ละโต๊ะมีฉากกั้นแบ่งเพื่อความเป็นส่วนตัวและสร้างบรรยากาศรื่นรมย์สำหรับรับประทานอาหารในช่วงกลางวัน
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ไคลน์พบกับครอบครัวของดอนน่า รวมถึงคลีฟส์และบอดี้การ์ดคนอื่น ๆ พวกเขานั่งรวมกันในลักษณะครอบครัวใหญ่ และกำลังรอให้พนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟ
“คุณลุงสแปร์โรว์!” เนื่องจากมีความลับระหว่างกัน เด็กชายแดนตันจึงเปลี่ยนวิธีเรียกชื่ออีกฝ่าย
ดอนน่ากะพริบตาถี่ด้วยความสงสัย
เธอค่อนข้างมั่นใจว่าลุงสแปร์โรว์ถือบัตรโดยสารชั้นสอง จึงไม่สมควรจะปรากฏตัวในห้องอาหารของบัตรชั้นหนึ่ง
ไคลน์ยิ้มและโบกมือ พลังชี้ไปทางเดนิส
“เขาพาเข้ามา”
“อย่างนี้นี่เอง…” ดอนน่าจ้องเดนิสด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะพบว่าสุภาพบุรุษคนนี้ค่อนข้างพิลึก โดยเฉพาะขนคิ้วซึ่งโดดเด่นผิดธรรมชาติเกิดไป
คลีฟส์วางมีดส้อมลงและพูดเสียงเบา
“เพื่อนของคุณหรือ”
ไคลน์หัวเราะในลำคอและหันไปมองเดนิส
“เขาถามน่ะ”
เดนิสกัดฟันกรอด มันฝืนยิ้มแห้ง
“เกอร์มันเป็นผู้มีพระคุณของผม”
ใช่แล้ว… เรายังมีลมหายใจจนถึงตอนนี้ได้เพราะเจ้าอสุรกายบัดซบนี่ใจดีไม่เชือดทิ้งเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินค่าหัว… ซาบซึ้งฉิบหาย!
เดนิสพยายามปลอบใจตัวเอง
คลีฟส์สำรวจเดนิสหัวจรดเท้าและไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม
หลังจากเดินพ้นจากโต๊ะของตระกูลดอนน่ามาไม่ไกล ไคลน์ได้พบโต๊ะว่างริมหน้าต่าง
บริกรของห้องอาหารรีบเดินมาถามอย่างกระตือรือร้นพลางแนะนำเมนู
“สเต๊กย่างถ่าน ฟัวกราไวน์แดง สลักผัก..” เดนิสมองไปยังเมนูอาหารพลางถอนหายใจ “โชคดีทีเดียว เรือลำนี้คอยแวะเติมอาหารและเสบียงทุกสองสามวัน จึงมีอาหารสดใหม่และหลากหลายให้กินตลอดเวลาโดยไม่ต้องคอยประหยัด แตกต่างจากเรือบางลำซึ่งต้องลอยคอกลางทะเลเป็นเวลาหลายสัปดาห์ติดต่อกัน อาหารจึงมีแต่เบียร์เก่า เบคอน และอาหารกระป๋องซ้ำซาก ความจำเจทำให้คนกลายเป็นบ้าได้ไม่ยาก! จริงอยู่ เรือประเภทดังกล่าวสามารถจับสัตว์ทะเลสดใหม่มากินได้ไม่ขาดมือ แต่ก็ต้องเลือกให้ดีเช่นกัน เพราะเรือของฉันเคยมีคนกินกุ้งมังกรสีสันสดใสเข้าไป และหลังจากนั้น หมอนั่นก็ขี้แตกจนตูดบา—”
ในฐานะโจรสลัด เดนิสเคยชินกับการอธิบายเรื่องราวในลักษณะหยาบคาย แต่หลังจากหันไปเห็นมาดสง่างามของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้านข้าง มันตัดสินใจเปลี่ยนคำพูดกะทันหัน
“หมอนั่นท้องเสียจนก้นโบ๋…”
ฉันคิดว่า สาเหตุของการตูดบานไม่ใช่เรื่องอาหารเพียงอย่างเดียว จริงอยู่ กัปตันของพวกนายอาจเป็นผู้หญิง แต่ในบรรดาลูกเรือคงหามนุษย์เพศหญิงได้ไม่ง่ายแน่ และถ้าต้องลอยคอกลางทะเลหลายสัปดาห์ เกรงว่าเหล่าลูกเรือกลัดมันคงอดอยากปากแห้งน่าดู…
ไคลน์ถอนหายใจยาว สายตาจ้องมองเมนูโดยพิจารณาจากราคาเป็นหลัก
“เอาทั้งหมด”
“ตกลงครับ” พนักงานขานรับนอบน้อม
ขณะเดียวกัน ไคลน์เห็นกัปตันไอร์แลนด์เดินเข้ามาในห้องอาหารและผ่านจุดใกล้เคียงกับโต๊ะของตน จึงหันไปกล่าวทักทายตามมารยาท
เมื่อการสนทนาพอเป็นพิธีจบลงและไอร์แลนด์หันกลับไปทางอื่น ชายหนุ่มพบว่า เดนิส·เพลิงพิโรธเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่างประหนึ่งต้องการหลบหน้าไอร์แลนด์
“กัปตันจำนายได้หรือ”
ไคลน์ถามเสียงเรียบ
เดนิสหัวในลำคอสองครั้ง
“พวกเราเคยสู้กันสมัยไอร์แลนด์ยังเป็นสรั่งเรือของวิลเลียมที่ห้า นอกจากนั้น ฉันยังเป็นโจรสลัดชื่อดัง…”
เมื่อสิ้นเสียง เดนิสพลันตระหนักถึงความเป็นจริงอันน่าหดหู่ในปัจจุบัน จึงตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อ
“ฉันนึกสงสัยมาตลอด ทำไมไอร์แลนด์ถึงตัดสินใจออกจากกองทัพเรือ เพราะตอนนั้นเขาก็เป็น ‘ผู้ตัดสิน’ อยู่แล้ว”
……………………
ราชันเร้นลับ 504 : กลุ่มโจรสลัดกะโหลกแดง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้วิเศษลาออกจากกองทัพเรือ?
ไม่ต้องรอให้เดนิสอธิบาย ไคลน์สามารถเข้าใจความนัยทันที
ในหน่วยเหยี่ยวราตรี แม้แต่บุคลากรพลเรือนก็ยังถูกจำกัดอิสระอย่างหนักหน่วง หากถอนตัวก็ต้องมีการลงนามรักษาความลับไปตลอดชีวิต ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกนอกขอบเขตการดูแลของเหยี่ยวราตรีเดิม การจะเดินทางไปเมืองอื่นจะต้องทำเรื่องแจ้งกับเหยี่ยวราตรีปลายทางทุกครั้ง
จากกฎดังกล่าว จะเห็นได้ชัดว่าโบสถ์และกองทัพมีทัศนคติต่อผู้วิเศษภายในหน่วยตัวเองเข้มงวดมากเพียงใด การจะออกจากองค์กรกลางคันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
ไคลน์ยังจำได้ มิสจัสติสเคยเล่าว่า เธอมีช่องทางดื่มโอสถและกลายเป็นผู้วิเศษของทางการ แต่สุดท้ายก็ตอบปฏิเสธเนื่องจากตนต้องการความเป็นอิสระ
ส่งผลให้ไคลน์เกิดความสงสัยแบบเดียวกับเดนิส แต่ด้วยบุคลิกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ชายผู้มีมาดสง่างาม สุภาพ และเย็นชา ย่อมไม่แยแสประเด็นเล็กน้อยดังกล่าว
“อือ” ไคลน์กล่าวเสียงเรียบ สายตาจ้องมองโต๊ะอาหารอย่างเฉยเมย
อือพ่อเอ็งสิโว้ย! หัดคุยกับคนอื่นบ้าง!
เดนิส·เพลิงพิโรธสูดลมหายใจและฝืนยิ้ม
“ฮะฮะ! ฉันแค่รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย กลุ่มของพวกเราต่างสงสัยว่า บางที ไอร์แลนด์อาจเข้าร่วมกับ MI9 ในฐานะสายลับ โดยอาศัยฐานะกัปตันเรือเดินสมุทรบังหน้า”
เป็นไปได้ทีเดียว… ไคลน์ยกแก้วน้ำขึ้นจิบ
อาหารถูกยกมาเสิร์ฟตามลำดับและหมวดหมู่อย่างเหมาะสม โดยเริ่มจากไวน์รองท้องสองแก้ว รสหวาน สีทองซีด
ไคลน์หยุดสนทนา และรวบรวมสมาธิลิ้มรสชาติอันหอมละมุนของแต่ละจาน ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่า คุณภาพของอาหารสูงกว่าบัตรโดยสารชั้นสองของตนค่อนข้างมาก
เสียงไวโอลินดังคลอท่ามกลางเสียงกังวานของมีดส้อมกระทบกับภาชนะกระเบื้องเคลือบ วิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างค่อนข้างเงียบงันโดยมีเสียงระลอกคลื่นระรื่นหู
ขณะโต๊ะของไคลน์ถึงเวลาเสิร์ฟของหวาน ลูกเรือคนหนึ่งได้ย่ำเท้าเข้าไปทางโต๊ะของไอร์แลนด์ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“กัปตัน! เรือโจรสลัด!” มันมิได้พยายามหรี่เสียงให้เบาลงแม้แต่น้อย
ผู้โดยสารจำนวนมากพลันแตกตื่นและหยุดกินอาหารทันที
ไคลน์เงยหน้า ดวงตาจ้องมองไปทางเดนิสฝั่งตรงข้ามอย่างเย็นชา
เดนิส·เพลิงพิโรธนั่งแข็งทื่อหลายวินาที พร้อมกับเผยรอยยิ้มขื่นขมและลดเสียงลง
“ถ้าฉันบอกว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉัน นายจะยอมเชื่อไหม”
เปลือกตาไคลน์กระตุกแผ่วเบา ก่อนจะกล่าวโดยยกโค้งมุมปากเล็กน้อย
“เดาดูสิ”
เดากับแม่เอ็งสิ!
เดนิสเดือดดาลจนเกือบหลุดโมโห
แต่มันยังทนฝืนยิ้มต่อไป
“ด้วยสติปัญญาอันสูงส่งของนาย คงประเมินสถานการณ์ได้โดยไม่ต้องมีคำอธิบายจากฉันกระมัง”
พร้อมกันนั้น ไอร์แลนด์รีบถามไถ่รายละเอียดจากลูกเรือ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและกล่าวต่อหน้าผู้โดยสารบัตรชั้นหนึ่งซึ่งกำลังตื่นตระหนักตกใจ
“อีกฝ่ายเป็นแค่เรือโจรสลัดลำเดียว โมราขาวลำนี้สามารถรับมือได้สบายมาก! ได้โปรดกลับไปยังห้องพักของตัวเองอย่างเป็นระเบียบแล้วรอฟังข่าวดีจากผม เชื่อเถอะว่า ความแตกตื่นโกลาหลจะสร้างความเสียหายได้มากกว่าโจรสลัดกระจอกเหล่านั้นหลายเท่านัก ผมไม่ต้องการให้ในอนาคตมีเรื่องเล่าอันน่าขบขันถูกลือออกไปว่า โมราขาวจัดการขับไล่กลุ่มโจรสลัดกลับไปได้อย่างหมดจด แต่กลับมีผู้โดยสารจำนวนหนึ่งเกิดสะดุดหกล้มจนบาดเจ็บระหว่างทาง”
ภายใต้การจัดการอย่างเป็นระเบียบ ครอบครัวของดอนน่าและคนอื่นเริ่มทยอยเดินกลับไปยังห้องโดยสารของตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่ไคลน์และเดนิส·เพลิงพิโรธ
“ฉันนึกว่านายจะยึดโมราขาวไว้ชั่วคราวและไล่โจรสลัดกลับไปด้วยตัวเองเสียอีก”
ภายในห้อง 312 เดนิสกล่าวขณะปิดประตูเสียงดังตามหลัง มันกำลังอารมณ์ดีราวกับได้รับชมละครเวทีสักเรื่อง
หากประเมินจากอุปนิสัยหลายข้อ ทั้งการยอมอ่อนข้อให้เราแม้ว่าตัวจะไม่ได้เป็นฝ่ายผิด ทั้งการกล้าเข้ามาทักทายทันทีเมื่อได้พบสมาชิกใหม่ถูกชะตา รวมถึงการยอมเสียเวลาอธิบายแผนงานกับค่าตอบแทนให้เราฟังอย่างละเอียด แสดงให้เห็นว่า สรั่งเรือคนนี้มีนิสัยเปิดเผยและเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย…
ไคลน์ชำเลืองอีกฝ่ายสักพัก ก่อนจะเดินตรงไปทางหน้าต่าง และเพ่งมองเรือลำใหญ่ซึ่งติดธงสัญลักษณ์กะโหลกแดง แล่นข้ามฟากทะเลตรงเข้ามาพร้อมกับปล่องไฟและใบเรือ
“รู้จักพวกมันไหม” ไคลน์สอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อพลางยืนมองผ่านแผ่นกระจกหนา
เดนิสเดินมายืนเยื้องไปด้านหลังเล็กน้อยพลางจ้องออกไปด้านนอกสองวินาที
“โจรสลัดกะโหลกแดง กลุ่มโจรสลัดขนาดกลางค่อนไปทางเล็ก กัปตันชื่อจอห์นสัน·หมาป่าทะเล เจ้าของค่าหัวเก้าร้อยปอนด์ ต้นเรือชื่อแอนเดอร์สัน·ตาเดียว เจ้าของค่าหัวห้าร้อยปอนด์”
ในโลกของโจรสลัด การอ้างอิงด้วยจำนวนเงินค่าหัวถือเป็นการบ่งบอกสถานะ
เมื่อพิจารณาว่าผู้โดยสารทั่วไปว่ายน้ำในทะเลไม่ชำนาญ การปล่อยให้โจรสลัดขึ้นเรือคงได้เกิดความสูญเสียใหญ่หลวงตามมา…
ไคลน์กล่าวในอีกสองวินาที
“แล้วพวกมันรู้จักนายไหม”
“แน่นอนอยู่แล้ว!” เดนิสยืดอก “พวกมันมีสิทธิ์เข้าร่วมการชุมนุมใหญ่ของโจรสลัด และฉันเคยเตะก้นไปแล้วหลายรอบ!”
สมกับเป็นโจรสลัดคนดังเจ้าของค่าหัวสามพันปอนด์…
ไคลน์ยังคงซักถามโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“พวกมันมีกล้องส่องทางไกลไหม”
“นั่นคืออุปกรณ์จำเป็น! แม้ว่าเรือจะแล่นตรงไปในทิศทางกำหนดอย่างสงบนิ่ง แต่ก็ต้องมีลูกเรือยืนบนดาดฟ้าคอยสังเกตการณ์ด้วยกล้องส่องทางไกลเป็นระยะ เพื่อป้องกันการถูกลอบโจมตี”
เดนิสตอบเสียงค่อย
มันเริ่มสังเกตว่า อสุรกายตนนี้ยังเป็นนักผจญภัยหน้าใหม่ และอาจเพิ่งเคยออกทะเลเป็นครั้งแรก
คงเคยเป็นนักล่าค่าหัวบนบกมาก่อนสินะ… และน่าจะเป็นสมาชิกองค์กรลับด้วย…
เดนิสคาดเดาอดีตของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ไปเรื่อยเปื่อย
“ในสถานการณ์เช่นนี้ กัปตันและต้นเรือจะใช้กล้องส่องทางไกลมองเข้ามาไหม”
ใจจริง ไคลน์อยากเรียกพวกมันว่ามิสเตอร์เก้าร้อยปอนด์และมิสเตอร์ห้าร้อยปอนด์ แต่นั่นคงไม่สุภาพเท่าไรนัก
“แน่นอน! หลักพื้นฐานของการปล้นคือการจับตามองเหยื่อตลอดเวลา!” เดนิสอธิบายด้วยสีหน้ากึ่งสับสน
มันไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคำถามจากเกอร์มัน·สแปร์โรว์สักเท่าไร ในหัวคิดเพียงว่า หากตนเก่งกาจเหมือนกับอีกฝ่าย จะปล่อยให้โจรสลัดกะโหลกแดงขึ้นเรือมา จากนั้นค่อยหาโอกาสลอบขึ้นเรือพวกมันกลับ เพื่อเชือดโจรสลัดทิ้งให้หมดทุกคน
ไคลน์จ้องเดนิสด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ได้ยินแบบนั้นค่อยชื่นใจ”
ชื่นใจกับพ่อเอ็งสิ! อย่ายิ้มแบบนั้น!
กำลังวางแผนชั่วอะไรอยู่!
ความหวาดกลัวพลันเอ่อล้นท่วมท้นจิตใจเดนิส·เพลิงพิโรธ
“ถอดวิกออก” ไคลน์สั่งเสียงเรียบ
เห…?
เดนิสยืนมึนงง ก่อนจะบรรจงถอดวิกออกอย่างว่าง่าย
ไคลน์หยิบสารสกัดพิเศษออกจากช่องกระเป๋าลับและส่งให้
“ล้างหน้าและคิ้วออก”
สิ่งนี้คือ ‘น้ำยาล้างเครื่องสำอาง’ ซึ่งไคลน์เตรียมไว้ตั้งแต่สมัยยังไม่เป็นผู้ไร้หน้า โดยถูกใช้เป็นครั้งแรกในภารกิจซุ่มโจมตี ‘วิญญาณอาฆาต’ ของโรงเรียนกุหลาบ
ในความเป็นจริง ไคลน์ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาล้างเครื่องสำอางอีกแล้ว แต่ก็ยังพกติดตัวมาตลอดเพราะความนึกเสียดาย
“…” เดนิสฉงนหนักกว่าเดิม แต่มันไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะเกรงว่าสถานการณ์อาจเลวร้ายชนิดมิอาจหวนกลับ นอกเสียจากตนจะถูกอีกฝ่ายลงมือทำร้ายก่อน ดังนั้น มันจึงจำใจทำความสะอาดเครื่องสำอางบนใบหน้าตามคำสั่ง
ไคลน์เก็บขวดโลหะกลับเข้าช่องเดิม พลางเปิดหน้าต่างห้องพักเพื่อให้ลมทะเลพัดโชย
“มายืนตรงนี้ หันหน้าออกไปด้านนอก”
ชายหนุ่มชี้ไปยังหน้าต่างใกล้กับตนเพื่อระบุตำแหน่งให้เดนิส·เพลิงพิโรธทราบ
เดนิสเร่งฝีเท้ามาหยุดข้างหน้าต่าง
ไคลน์ยืนจ้องสักพัก ตามด้วยการกล่าวเสียงเย็นชา
“นายมีสองทางเลือก หนึ่ง ปืนออกไปและโหนตัวด้วยการใช้แขนข้างหนึ่ง เกาะขอบหน้าต่างในลักษณะโดดเด่นสะดุดตา สอง โหนตัวข้างนอกโดยการถูกฉันคว้าคอเสื้อในลักษณะโดดเด่นสะดุดตา”
“นายคิดจะทำอะไร!” เดนิสโพล่ง
ไคลน์ยิ้มเยือกเย็น
“ทำให้พวกมันมองเห็นนายอย่างชัดเจน ฉันเชื่อว่า ชื่อเสียงของสรั่งเรือลำดับสี่แห่งพลเรือโทธารน้ำแข็ง คงสามารถขับไล่โจรสลัดกะโหลกแดงกลับไปได้ไม่ยาก”
“ไม่! นายจะทำแบบนั้นไม่ได้!” เดนิสยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็ง
มันจินตนาการได้ทันที ขณะโจรสลัดบนเรือกะโหลกแดงมองเห็นตน อีกฝ่ายจะต้องคิดได้สองสาเหตุ หนึ่ง เดนิส·เพลิงพิโรธกำลังถูกโจรสลัดทรงพลังบางคนจับตัวไว้ หรือสอง พลเรือโทธารน้ำแข็ง เอ็ดวิน่า·เอ็ดเวิร์ด กำลังหมายตาเรือลำนี้อยู่ โดยไม่ว่าจะแบบไหน แต่ผลลัพธ์ล้วนทำให้โจรสลัดกะโหลกแดงถอนตัวกลับไป
และพวกมันจะตัดสินว่าเป็นข้อใด จากลักษณะการถูกแขวนของเรา…
เดนิสครุ่นคิดอย่างหดหู่
ไคลน์ฉีกยิ้มกว้างมากขึ้นทีละนิด
“ฉันเป็นคนใจดี ขอแค่นายฟังคำสั่ง”
ทันใดนั้น เดนิสเริ่มสัมผัสถึงแรงกระหายอันท่วมท้นอีกหน คล้ายกับเลือดเนื้อและดวงวิญญาณของตนกำลังถูกฉีกกระชากทั้งเป็น
หลังจากชั่งใจราวหนึ่งวินาที มันยกมือขึ้นและฝืนยิ้ม
“ฉันทำเอง”
เดนิสกัดฟันอดทนต่อความโกรธและเจ็บใจ ตามด้วยการปืนหน้าต่างออกไปโดยใช้มือข้างหนึ่งจับขอบด้านใดไว้แน่น สิ่งนี้ต้องอาศัยกำลังแขนมหาศาลซึ่งถูกฝึกฝนตลอดหลายปีคอยพยุงตัว
“อย่าได้คิดหนี ความอดทนของฉันต่ำ”
ไคลน์เตือนอย่างเยือกเย็น
รู้แล้วน่า… เดนิสฝืนระงับความต้องการจะปล่อยมือและกระโดดหนีลงไปข้างล่าง
ขณะเดียวกัน บนเรือโจรสลัดซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร ลูกเรือผู้ถือกล้องส่องทางไกลรีบหันไปกล่าวกับจอห์นสัน·หมาป่าทะเล
“บอส! มีคนพิลึกกำลังโหนตัวอยู่ข้างหน้าต่างห้องพักผู้โดยสาร!”
จอห์นสันพลันชะงัก ก่อนจะรีบยกกล้องส่องทางไกลขึ้นมาทาบดวงตา
มันพบคนพิลึกตามคำบอกเล่าของลูกเรืออย่างรวดเร็ว เพราะอีกฝ่ายอยู่ในตำแหน่งโดดเด่นเสียเหลือเกิน
นี่มัน… เดนิส·เพลิงพิโรธไม่ใช่หรือ…
จอห์นสันขมวดคิ้วหลังจากจดจำใบหน้าของอีกฝ่ายได้
ทำไมชายคนนั้นถึงมาอยู่บนโมราขาว? แล้วการห้อยโยนหมายถึงสิ่งใด?
…หรือว่าเรือลำนี้คือเหยื่อของพลเรือโทธารน้ำแข็ง?
หลังจากตั้งคำถามกับตัวเองหลายชุด จอห์นสัน·หมาป่าทะเลรีบตัดสินใจ
มันยกมือขวาขึ้น
“รีบหนีให้พ้นจากน่านน้ำทันที!”
…
ภายในห้อง 305 ติดกับหน้าต่าง คลีฟส์ยืนกำลูกโม่ดัดแปลงในมือแน่น เพื่อคุ้มกันทุกคนจากการต่อสู้ซึ่งสามารถเกิดขึ้นทุกเมื่อ
ครอบครัวของดอนน่าออกอาการสั่นกลัวโดยไม่ปิดบัง ไม่มีใครกลับไปยังห้องของตน ทั้งหมดรวมตัวกันภายในห้องนั่งเล่นเพื่อรอให้กระสุนปืนใหญ่ระลอกแรกเปิดฉากยิง
เซซิลและบอดี้การ์ดอีกหนึ่งคน ทีก กำลังอยู่ในสภาพพร้อมต่อสู้สุดขีด
ทันใดนั้น รูม่านตาคลีฟส์พลันหดเกร็งด้วยสีหน้าสับสนเหนือคำบรรยาย
ถัดจากนั้นไม่กี่นาที บอดี้การ์ดมากประสบการณ์เดินออกจากหน้าต่างพร้อมกับลดปืนในมือลง ตามด้วยการกล่าวปิดท้าย
“โจรสลัดหนีไปแล้ว”
“อะไรนะ?” เออร์ดี้·แบรนช์สับสนกับความพลิกผันอันคาดไม่ถึง มันไม่เข้าใจเลยสักนิดว่า พวกโจรสลัดกำลังวางแผนอะไรกันแน่
…
ห้อง 312
เดนิส·เพลิงพิโรธปืนกลับขึ้นมาด้วยท่าทางน่าสมเพช ก่อนจะตะโกนอย่างหัวเสีย
“นายฉวยโอกาสใช้ชื่อเสียงของกัปตัน! เธอไม่ชอบให้ใครทำแบบนี้!”
แกเตรียมถูกพลเรือโทธารน้ำแข็งเตะก้นได้เลยไอ้เวรตะไล!
เดนิสครุ่นคิดในใจอย่างขุ่นเคือง
ไคลน์ยืนฟังเงียบงัน ตามด้วยการซักถามอย่างใจเย็น
“ถ้าจำไม่ผิด เธอมีค่าหัวในโลเอ็นมากถึงสองหมื่นหกพันปอนด์เลยสินะ”
หมอนี่ต้องบ้าไปแล้วแน่…
เดนิสมิอาจสรรหาคำใดมาตอบโต้
……………………
ราชันเร้นลับ 505 : คนรับใช้ค่าหัวสามพันปอนด์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“กัปตัน! กลุ่มโจรสลัดกะโหลกแดงถอนตัวกลับไปแล้วครับ!”
ลูกเรือคนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องกัปตัน
“หนีไปแล้วหรือ?” ไอร์แลนด์ยกกล้องส่องทางไกลมองไปยังจุดหนึ่งในทะเล ทันเห็นเรือของกลุ่มโจรสลัดกะโหลกแดงแล่นลับสายตาไปกับเส้นขอบฟ้า
มันขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
ตามความเห็นของมัน สรรพาวุธของ ‘โมราขาว’ ยังไม่มากพอจะสร้างความหวาดหวั่นให้กลุ่มโจรสลัดกะโหลกแดงได้ แม้ทั้งสองฝ่ายจะไม่ปะทะกันซึ่งหน้า แต่ก็ต้องแล่นวนเป็นวงกลมพลางยิงถล่มใส่กันด้วยปืนใหญ่ของฝ่ายตัวเองเพื่อสร้างความได้เปรียบ จนกระทั่งผ่านไปสักพัก เมื่อโจรสลัดเริ่มพ่ายแพ้ พวกมันจะรีบหนีกลับไปโดยไม่เสียเวลาต่อสู้ยืดเยื้อ ดังนั้น การถอนกำลังทันทีตั้งแต่ยังไม่เริ่มเปิดฉากยิง จึงนับว่าค่อนข้างแปลกประหลาด
หมายความว่า เรือของกลุ่มโจรสลัดกะโหลกแดงเพียงผ่านทางมาโดยไม่ได้คิดปล้นตั้งแต่แรก? แล้วพวกมันมาทำอะไรในน่านน้ำสาธารณะ? ละแวกใกล้เคียงเต็มไปด้วยเรือของกองทัพและโบสถ์หลัก แม้แต่ราชาโจรสลัดกับพลเรือโจรสลัดก็ยังไม่กล้าเฉียดใกล้ หรือต่อให้เข้ามา ก็ต้องพยายามทำตัวไม่โดดเด่นเข้าไว้…
สมองไอร์แลนด์เต็มไปด้วยคำถาม
แต่เราก็ห้ามประมาท ความรอบคอบจะช่วยให้เลี่ยงปัญหา…
ไอร์แลนด์วางกล้องส่องทางไกลสีเหลืองอมน้ำตาลลง พลางเริ่มเดินวนในห้อง
มันยกมือขึ้นและกล่าวกับต้นหน
“พวกเราจะเทียบท่าแบนชีคืนนี้ รีบรายงานเรื่องโจรสลัดให้กองทัพเรือและโบสถ์หลักทราบด้วย”
ตามแผนเดิม การหยุดพักครั้งต่อไปของโมราขาวจะเป็นท่าเรือ ‘เทียน่า’ ใช้เวลาราวสามวันในการแล่นไปถึงด้วยความเร็วสิบสามนอต ถัดจากท่าเรือเทียน่าก็จะเป็นจุดหมายปลายทางของโมราขาว เมืองหลวงแห่งหมู่เกาะรอสต์เมืองแห่งการให้ ‘บายัม’
แต่ในความเป็นจริง การเดินทางโดยใช้เวลาสั้นสุดจากท่าเรือพริสต์ไปยังบายัมคือ แล่นเป็นเส้นตรงโดยหยุดพักเพียงครั้งเดียว ณ ท่าเรือแบนชี ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองท่าดาเมียร์ประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบไมล์ทะเล
…
“โจรสลัดกะโหลกแดงหนีไปแล้วจริงหรือ” บิดาของดอนน่า เออร์ดี้·แบรนช์เดินตรงไปยังหน้าต่างและมองท้องทะเลในจุดห่างไกล
คลีฟส์พยักหน้าตอบเสียงค่อย
“ใช่ครับ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ลูกเรือได้ตะโกนดังมาจากด้านนอกห้องพัก
“อันตรายจบลงแล้ว! อันตรายจบแล้ว!”
เมื่อได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ ดอนน่ากับแดนตันเริ่มผ่อนคลาย และกล้าเดินเข้าไปใกล้หน้าต่างเพื่อสำรวจเหตุการณ์ด้านนอกอย่างสงสัย
“โจรสลัดกะโหลกแดงเก่งมากหรือคะ?” ดอนน่าชะโงกศีรษะพลางมองหาเรือ
“เก่งมาก” คลีฟส์มอบคำตอบ
“เก่งแค่ไหนครับ?” แดนตันซักไซ้
บอดี้การ์ดอีกหนึ่งคนทีก ใช้มือจัดทรงผมและตอบ
“ต่อให้ไม่นับปืนใหญ่บนเรือกับโจรสลัดอีกนับร้อยชีวิต ลำพังกัปตันจอห์นสัน และต้นเรือแอนเดอร์สัน ก็นับว่าแข็งแกร่งมากแล้ว แอนเดอร์สันมีฉายาว่า ‘ตาเดียว’ ค่าหัวในอาณาจักรโลเอ็นคือห้าร้อยปอนด์ ต้องให้พวกเราทุกคนตรงนี้รุมจึงจะเอาชนะมันได้ ส่วนกัปตันมีฉายาว่า ‘หมาป่าทะเล’ จอห์นสัน ฝีมือเก่งฉกาจมาก สามารถเอาชนะพวกเราทุกคนได้ง่ายดาย หากขึ้นเรือมาเมื่อใด คงไม่มีใครหยุด ‘หมาป่าทะเล’ ได้แน่ ค่าหัวของมันคือเก้าร้อยปอนด์ อีกนิดเดียวก็จะหนึ่งพันปอนด์แล้ว!”
“นี่เยอะแล้วหรือคะ?” ดอนน่าค่อนข้างตกใจกับความแข็งแกร่งของ ‘หมาป่าทะเล’ และ ‘ตาเดียว’ รวมไปถึงจำนวนค่าหัวของพวกมัน
ในความทรงจำของเด็กสาว บิดาของเธอมีรายได้ต่อปีสูงถึงหนึ่งพันห้าร้อยปอนด์!
“เยอะสิ นี่เป็นเพียงค่าหัวเริ่มต้น หากพวกมันพกพาสิ่งของราคาแพง คนจัดการจะมีสิทธิ์ในสมบัติเหล่านั้นทั้งหมด และทางอาณาจักรยินดีรับซื้อในราคาตลาด ไม่เพียงเท่านั้น คนจัดการยังสามารถนำค่าหัวไปขึ้นเงินกับอาณาจักรอื่นได้ด้วย” เซซิลอธิบาย “สำหรับในทะเล โจรสลัดค่าหัวเกินสามร้อยปอนด์ก็นับว่ามีฝีมือแล้ว ฉะนั้น พวกค่าหัวประมาณหนึ่งพันปอนด์จะค่อนข้างโด่งดัง ไม่ว่าจะเป็นฝั่งทะเลโซเนียหรือทะเลหมอก”
“แต่สี่ราชาโจรสลัดและเจ็ดพลเรือโจรสลัดจะโด่งดังไปทั้งห้าห้วงสมุทรสินะคะ” ดอนน่าถามอย่างไร้เดียงสา
คลีฟส์ตอบขึงขัง
“ถูกต้อง”
“หมายความว่า โจรสลัดกะโหลกแดงค่อนข้างมีชื่อเสียงในแถบทะเลโซเนียแห่งนี้?” ดอนน่ายังคงซักไซ้
“ใช่” ทีกพยักหน้ารับ
“แล้วทำไมพวกเขาถึงหนีล่ะคะ?” เด็กสาวกะพริบตาถี่
“อาจจะไม่ได้หนี…” เซซิลเองก็จนปัญญาจะอธิบาย
คลีฟส์มองออกไปนอกหน้าต่าง ขนคิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“พวกอาจแล่นผ่านมาด้วยเหตุผลอื่น โจรสลัดไม่จำเป็นต้องปล้นทุกครั้งเมื่อพบเรือโดยสาร”
เหตุผลอื่น? ดอนน่าเริ่มผุดแนวคิดใหม่
เป็นไปได้ไหมว่า พวกมันจะกลัวผู้ส่งสารตัวสูงเท่าบ้านของคุณลุงสแปร์โรว์?
อี๋ย! ก็น่ากลัวอยู่หรอก…
ความสงสัยของดอนน่ากำลังปะทุเหมือนกับฟองน้ำร้อน
เธอหันไปสบตาแดนตันอย่างตื่นเต้น และพบว่าดวงตาของน้องชายก็กำลังส่องประกายไม่ต่างกัน
เด็กทั้งสองเม้มปากพลางสัมผัสได้ว่า ต่างฝ่ายต่างคิดเรื่องเดียวกัน
“ออกไปสูดอากาศแถวนี้กันเถอะ” ดอนน่าหาเหตุผลพาน้องชายออกจากห้องพักหมายเลข 305
แดนตันหรี่เสียง
“เราจะไปหาลุงสแปร์โรว์กันใช่ไหม”
“ใช่!” เด็กสาวหัวเราะร่าเริง “พี่เคยเห็นเขาเดินเข้าไปในห้อง 312!”
…
ห้อง 312
เดนิส·เพลิงพิโรธเลิกพูดถึงพลเรือโทธารน้ำแข็งมาสักพัก เพียงมองออกไปยังเรือของกะโหลกแดงซึ่งกำลังกลับลำเผ่นหนี
“พวกมันคงตื่นตระหนกกับข่าวลือของประสิทธิภาพเรือรบรุ่นใหม่ จึงลองเสี่ยงปล้นในเส้นทางเดินเรือสาธารณะให้หนำใจ ก่อนจะเผ่นหนีออกจากน่านน้ำเมื่อเรือรบรุ่นดังกล่าวพร้อมประจำการ เฮ่อะ! เรือรบลำใหญ่มาพร้อมปืนรุ่นใหม่แล้วมันยังไง? ในความเป็นจริง กองทัพเรือและโบสถ์หลักมีสัตว์ประหลาดแข็งแกร่งยิ่งกว่าเรือรบซ่อนอยู่อีกมาก และสิ่งเหล่านั้นก็มีตัวตนมานานแล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าโจรสลัดจะสูญพันธุ์ไปสักที ถึงพวกเราจะเอาชนะซึ่งหน้าไม่ไหว แต่ถ้าเป็นการหนีก็ยังพอทำได้ และกองทัพก็คงมิได้ส่งเรือมาประกบเรือพ่อค้ากับเรือโดยสารตลอดเวลาหรอกกระมัง แน่นอน ฉันทราบว่าเรือหุ้มเกราะจะมีขนาดใหญ่ขึ้นในทุกรุ่น และเครื่องยนต์ก็จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก อีกไม่นานคงเอาชนะขีดจำกัดสิบแปดนอตหรือยี่สิบนอตไปได้ หากเรือโจรสลัดลำใดถูกไล่หลัง รับประกันได้เลยว่าไม่มีทางหนีพ้น แต่ท้องทะเลนั้นกว้างใหญ่ ถึงจะนำเรือโจรสลัดและเรือกองทัพนับพันลำมากองรวมกันในจุดเดียว ก็ยังมิอาจเติมเต็มมุมเล็ก ๆ มุมหนึ่งของมหาสมุทรได้เต็ม ยังมีทะเลอีกมากซึ่งมนุษย์ยังสำรวจไปไม่ถึง พวกเราแค่ต้องซ่อนตัวภายในนั้นให้มิดชิด แม้จะมีอันตรายอยู่บ้าง แต่ก็ถือเป็นช่องทางสำหรับเอาตัวรอด”
พูดมากฉิบหาย… ไม่คิดบ้างหรือ ว่านักผจญภัยเสียสติจะไม่อยากฟังอะไรแบบนี้…
ไคลน์มองไปทางอื่นพลางสำรวจรอบห้อง
ทันใดนั้น สายตาของชายหนุ่มหยุดลงตรงกระเป๋าเดินทางหนัง พร้อมกับใช้คางชี้ตรงไป
“ซักเสื้อผ้าสกปรกในนั้นด้วย”
เดนิสผู้เอาแต่พล่ามมานาน พลันชะงักงันอย่างเห็นได้ชัด มันพยายามข่มโทสะภายในใจให้สงบลง มิให้เผาเรือลำนี้ทิ้งในคราวเดียว
ความโกรธกำลังระอุอยู่หน้าปากประตูแห่งเหตุผลและสามัญสำนึก
เดนิสพะงาบปากงับคำ แต่ก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา จนกระทั่ง มันสูดลมหายใจยาวสุดปอด
ใบหน้าอันแดงก่ำเริ่มทุเลาลง พร้อมกับตั้งคำถามด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
“แค่นั้นใช่ไหม”
“ซักเฉพาะเสื้อสกปรก เสื้อโค้ทแค่ใช้แปรงขัดก็พอ” ไคลน์เกือบหลุดขำในความพยายามเก็บอารมณ์ของเดนิส ขณะเดียวกันก็มองว่า เวรกรรมในคราวนี้ก็นับว่าเหมาะสมแล้ว สำหรับโจรสลัดผู้เคยปล้นคนบริสุทธิ์
เสื้อผ้าในกระเป๋าเดินทางเป็นชุดของเมื่อคืนซึ่งถูกพับเก็บไว้หลังจากอาบน้ำ ย้อนกลับไปตอนนั้น ไคลน์รู้สึกขี้เกียจเล็กน้อย จึงซักแค่กางเกงใน
อดทนไว้… ห้ามสติแตก… อดทนไว้… ห้ามสติแตกเด็ดขาด!
เดนิสสะกดจิตตัวเองพลางเดินเข้าไปใกล้กระเป๋าหนังของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ และเปิดหยิบเสื้อผ้าสกปรกออกมาวางเรียง
ผ่านไปสักพัก ขณะเดนิสกำลังตั้งใจซักผ้าอยู่ในห้องน้ำ เสียงเคาะประตูห้องดังแว่ว
ไคลน์เดินไปเปิดประตู และพบว่าเป็นดอนน่ากับแดนตัน
“คุณลุงสแปร์โรว์ หนูไม่ได้รบกวนใช่ไหม” ดอนน่ากลอกตาอย่างน่าเอ็นดู
“ไม่” ไคลน์ยิ้มและเปิดทางให้
เด็กน้อยทั้งสองเดินเข้ามาด้านใน ก่อนจะหันไปเห็นเดนิสกำลังก้มหน้าซักผ้าในห้องน้ำ
“ไม่มีคนใช้หรือครับ” แดนตันถาม
“ไม่ได้พามาด้วย” ไคลน์ตอบแทนเดนิส
ดอนน่าขมวดคิ้ว
“แต่บัตรโดยสารชั้นหนึ่งมีแม่บ้านคอยซักผ้าให้ไม่ใช่หรือคะ คิดราคาตามจำนวนถังผ้า”
ขณะเด็กสาวซักถาม เดนิสพลันชะงักมือ
มันเอาแต่โมโหจนลืมไปเสียสนิท
เดนิสรีบสะบัดมือให้แห้งและหันมาพูดกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ด้วยรอยยิ้มท่วมใบหน้า
“ฉันให้แม่บ้านซักได้ไหม”
ไคลน์ไม่ใจดำนัก เพียงยิ้มตอบ
“ฉันสนแค่ผลลัพธ์”
ฟู่ว! เดนิสทำหน้าโล่งใจสุดขีด
บทสนทนาของทั้งคู่ทำให้เด็กหญิงดอนน่าเริ่มพบความผิดปรกติ จึงถามหันมาไคลน์อย่างสงสัย
“ลุงสแปร์โรว์ ลุงคนนี้ไม่ใช่เพื่อนหรือคะ? แล้วทำไมหน้าตาของเขาถึงเปลี่ยนไปจากในห้องอาหารมาก”
ไคลน์นั่งลงบนเก้าอี้ตัวใกล้ ตามด้วยการเล่าอย่างเป็นกันเอง
“ความจริงแล้ว เรียกเขาว่าเชลยศึกคงจะเหมาะกว่า”
“เชลยศึก?” แดนตันจ้องมองเดนิสหัวจรดเท้าด้วยสายตามึนงง พลางสงสัยว่าคุณลุงทั้งสองไปทะเลาะกันตอนไหน
เมื่อหายค้างคาใจ ดอนน่ายิ้มและซักถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“เขาเป็นโจรสลัดใช่ไหมคะ”
“ถูกต้อง” ไคลน์พยักหน้า
“โจรสลัดกะโหลกแดงหนีไปเพราะกลัวคุณลุงสแปร์โรว์ด้วยใช่ไหมคะ” ดอนน่าถามต่อ
ไคลน์เหลือบมองเดนิสด้วยหาตา และมอบคำตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“พูดแบบนั้นก็ไม่ผิด”
เมื่อปมความสงสัยทั้งหมดถูกไขกระจ่าง ดอนน่าเผยรอยยิ้มพึงพอใจ และหันไปจ้องเดนิสพลางหรี่เสียงถาม
“คุณลุงสแปร์โรว์ คุณลุงคนนี้มีชื่อไหมคะ แล้วเขาค่าหัวเท่าไร”
ไม่ได้เด็ดขาด! จะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าฉันกำลังตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชเช่นนี้!
เดนิสรีบอ้าปากตอบ
“ฉันชื่อซีค!”
ไคลน์กล่าวแทรกด้วยเสียงล่องลอย
“เขาชื่อเดนิส”
“เดนิส…” ดอนน่ากับแดนตันเพียงมองหน้ากันโดยไม่กล่าวสิ่งใด
สองพี่น้องไม่อยู่นานนัก พวกเธอรู้สึกว่าสายตาของคุณลุงโจรสลัดแฝงความเกรี้ยวกราดไว้มากเกินไป
เมื่อกลับถึงห้อง 305 และเห็นบิดากับลุงคนอื่นกำลังคุยเรื่องโจรสลัด ดอนน่าแอบแทรกถามอย่างไร้เดียงสา
“หนูได้ยินคนข้างนอกพูดถึงเดนิส เขาดังมากรึเปล่าคะ?”
“เดนิส… คงเป็นเดนิส·เพลิงพิโรธ ลูกน้องของพลเรือโทธารน้ำแข็ง สรั่งเรือลำดับสี่แห่ง ‘ฝันทองคำ’ ” คลีฟส์ตอบกระชับ
เมื่อเล่าจบ คลีฟส์เงียบงันคล้ายกับกำลังนึกทบทวนรายละเอียดเพิ่มเติม
ลูกน้องของพลเรือโจรสลัด…!
ดอนน่ารีบถามต่อ
“ค่าหัวเท่าไรคะ?”
คลีฟส์คืนสติและตอบเสียงแผ่ว
“สามพันปอนด์”
ส…สามพันปอนด์? ดอนน่ากับแดนตันอ้าปากค้างเป็นเวลานานจนเกือบลืมหุบ
กัปตันของกะโหลกแดงผู้เก่งกาจกลับมีค่าหัวเพียงเก้าร้อยปอนด์ แต่โจรสลัดซึ่งดูเหมือนคนรับใช้นั้นมีค่าหัวถึงสามพันปอนด์?
พี่สาวกับน้องชายต่างหันมาจ้องหน้ากันโดยไม่มีใครกล่าวสิ่งใด
…
ณ หกโมงเย็น โมราขาวเทียบท่าอีกครั้ง
“เมืองท่าแบนชี? ไอร์แลนด์รอบคอบมาก…”
เดนิสยืนข้างหน้าต่าง สายตาจ้องมองเมืองท่าบรรยากาศมืดสลัวและประภาคารสูง
โดยไม่รอให้ไคลน์ถาม มันหัวเราะ
“เมืองนี้มีตำนานอันน่าขนลุกอยู่ด้วย”
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น