Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 493-498

 ราชันเร้นลับ 493 : ล่าเหยื่อ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ถึงท่านอาโรเดสผู้ยิ่งใหญ่ คำถามถัดไปของกระผมคือ เชอร์ล็อก·โมเรียตี้หลบหนีออกจากซากปรักหักพังใต้ดินได้อย่างไร” น้ำเสียงของไอคานส์เจือความผ่อนคลายชัดเจน


ผิวกระจกเงินกระเพื่อมแผ่วเบา ก่อนจะเผยให้เห็นภาพของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้กำลังยืนพิงผนังห้องบรรยากาศสลัว กำปั้นถูกบีบแน่นสลับกับคลายออกเป็นระยะ


จากนั้น ไอคานส์ รวมถึงอาวุโสและหัวหน้าหน่วยจิตแห่งจักรกลคนอื่น ต่างมองเห็นรอยยิ้มแฝงเลศนัยของเชอร์ล็อก ตามด้วยภาพการกระโจนออกจากจุดหลบซ่อนพร้อมกับใช้ลูกโม่ดัดแปลงเล็งไปทางแท่นบูชา


ด้วยอารมณ์ของฉาก ผู้รับชมเหตุการณ์ถูกชักจูงให้คล้อยตาม บางคนถูกกระตุ้นจนเกิดความตื่นเต้น


ภาพในกระจกถูกสลับมุมมอง เชอร์ล็อก·โมเรียตี้กระหน่ำยิงโดยไม่ยั้งมือจนกระสุนหมดโม่ อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นกระสุนหลากสีทะลวงผ่านม่านแสงของพิธีกรรมและเริ่มสลายตัวไปอย่างสูญเปล่า คนของจิตแห่งจักรกลเริ่มเผยสีหน้ากังวล


ถัดมา เชอร์ล็อก·โมเรียตี้โยนกุญแจทองเหลืองไปทางแท่นบูชา ส่งผลให้พิธีกรรมเริ่มขาดความเสถียรและเข้าสู่กระบวนการทำลายตัวเอง


หลังจากเกิดการระเบิดดังสนั่น เชอร์ล็อกถูกลมอัดกระแทกผนังหิน ส่วนมิสเตอร์ A มีสภาพปางตาย แต่ยังฟื้นฟูร่างกายได้ด้วยอัตราความเร็วน่าทึ่ง โดยถัดจากนั้น เชอร์ล็อกฉวยโอกาสเผ่นหนีเต็มฝีเท้าอย่างน่าสมเพชขณะมิสเตอร์ A ยังคงอยู่ในท่าคุกเข่า


ภาพบนกระจกตัดไปยังเหตุการณ์บนแม่น้ำทัสซอคไหลเอื่อย มิสเตอร์ A กำลังยืนบนผิวน้ำด้วยร่างกายหุ้มเกล็ดปลา สายตาแหงนมองบางสิ่งบนอากาศ


ทันใดนั้น อวัยวะของมิสเตอร์ A ค่อย ๆ เลือนหายไปทีละส่วนประหนึ่งถูกยางลบปาดออก เหลือทิ้งไว้เพียงเชอร์ล็อกผู้กำลังมีสีหน้าตกตะลึงราวกับเห็นผี


“…กำลังเสริมของโบสถ์รัตติกาล?” อาวุโสไอคานส์พึมพำพลางขมวดคิ้ว “น่าเสียดาย เขามิได้เขียนอธิบายเรื่องนี้ไว้ในจดหมาย ไม่อย่างนั้น ทางเราคงมีเบาะแสให้คาดเดาได้มากกว่านี้…


“หืม… เขาคิดจะขายข้อมูลในภายหลัง หรือว่าถูกลบความทรงจำบางส่วนออกไป? เป็นไปได้… เขามิได้ลงลึกรายละเอียดขณะหลบหนีออกจากซากปรักหักพังใต้ดินเลยสักนิด บางที ความทรงจำส่วนนี้อาจถูกเจาะจงลบออก…”


อาวุโสจิตแห่งจักรกลวิเคราะห์เหตุการณ์ตามเนื้อผ้า ขณะเดียวกัน ด้วยอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใส มันเลือกตอบคำถามอาโรเดสโดยปราศจากอาการประหวั่น


อาโรเดสมิได้กำลังอยู่ในอารมณ์ขี้แกล้ง… เราคงผ่านไปได้ไม่ยากเย็น…


ไอคานส์ปลอบใจตัวเองพลางจ้องมองข้อความสีเลือดบนกระจก


ผ่านไปหนึ่งอึดใจ มันเริ่มตระหนักถึงลางร้ายชนิดอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก ไอคานส์สัมผัสได้ว่า กระจกวิเศษอาโรเดสได้กลับไปอยู่ในร่างปรกติเรียบร้อยแล้ว


ใจความของประโยคสีเลือดคือ :


“จากคำถามก่อนหน้า… ‘การพยายามเอาชนะใจใครสักคน แต่สุดท้ายกลับถูกเขาทอดทิ้ง’ เจ้าต้องการเอาชนะใจใคร?”


สมองไอคานส์พลันขาวโพลน ใบหน้าแดงก่ำราวกับคนป่วย


คำถามดังกล่าวเสียดแทงจุดอ่อนทางใจอย่างหนักหน่วง ไอคานส์ใบ้กินนานหลายวินาทีโดยไม่รู้ว่าควรตอบสนองเช่นไร


หากเราตอบไปว่าเป็นใคร ชื่อเสียงของเขาคงถูกทำลายลงในค่ำคืนนี้… แล้วเราก็จะกลายเป็น ‘ตำนาน’ ในทางไม่ดีนัก…


ไอคานส์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ตามด้วยคำตอบกระอักกระอ่วน


“ก…กระผมเลือกบทลงโทษ”


ยังไม่ทันสิ้นเสียง สายฟ้าปรากฏขึ้นจากอากาศและฟาดใส่ศีรษะไอคานส์อย่างดุดัน


สายฟ้าคราวนี้มีลักษณะแตกต่างไปจากปรกติเล็กน้อย มันมิได้มีสีเงินสว่าง แต่ค่อนไปทางเขียวเข้ม


สายฟ้าผ่าลงกระบาลไอคานส์อย่างแม่นยำ ท่ามกลางแสงสว่างวาบ เส้นผมของอาวุโสจิตแห่งจักรกลพลันตั้งชันทุกเส้นโดยพร้อมเพรียง


ร่างกายไอคานส์สั่นกระตุก คล้ายกับเสพยาหลอนประสาทเข้าไปเกินขนาด


อาร์ชบิชอปฮารามิคถอนหายใจสั้นพลางหลับตาลงและพึมพำ


“สมบัติปิดผนึกระดับ 0…?”


เมื่อเห็นไอคานส์ได้สติกลับมา ฮารามิคมองไปรอบโต๊ะประชุมและกล่าวเสียงเรียบ


“ยังเหลืออีกหนึ่งคำถาม เชอร์ล็อกไปหากุญแจทองเหลืองซึ่งมีอำนาจทำลายพิธีกรรมมาจากไหน ใครจะใช้ 2-111 เป็นคนต่อไป?”


ความเงียบงันเข้าปกคลุมห้องประชุมทันที ไม่มีจิตแห่งจักรกลแม้แต่คนเดียวยกมืออาสา



ราวกับไม่เหลือสุ้มเสียงใดในโลกนอกจากเสียงคลื่นทะเลสาดกระทบท้องเรือ สลับกับความเงียบงันเป็นระยะจนเกิดบรรยากาศน่าหลงใหล


ไคลน์ตื่นขึ้นพร้อมกับลืมตา ภาพแรกในการมองเห็นคือเพดานไม้ซึ่งถูกฉาบด้วยแสงนวลละมุนของจันทราสีแดง


สัมผัสวิญญาณกำลังร้องเตือนว่า ด้านนอกมีความไม่ปรกติเกิดขึ้น


มีใครแอบทำตัวลับๆ ล่อๆ …?


ชายหนุ่มเอียงคอฟัง และตระหนักถึงเสียงผิดธรรมชาติอย่างเจือจาง


ไคลน์พยุงตัวนั่งบนขอบเตียง ก่อนจะลุกขึ้นหยิบถุงมือและสวมโค้ท


ขณะโยนเหรียญทำนาย ม่านตาชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มกว่าปรกติ การทำนายเบื้องต้นจบลงในเวลาไม่นาน


เมื่อได้รับคำตอบว่าไม่มีอันตราย ไคลน์เอื้อมไปหยิบปืนใต้หมอนและนำมาใส่กระเป๋า


หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อย ชายหนุ่มเปิดประตูเดินออกจากห้อง มุ่งหน้าไปยังทิศทางของเสียงประหลาด


ในปัจจุบัน ณ ท้องทะเลห่างไกลจากเขตมลพิษของโรงงานอุตสาหกรรม จันทราแดงบนท้องฟ้าสีดำกำลังแผ่กลิ่นอายพิศวง


ไคลน์แอบย่องผ่านการตรวจตราจากเวรยามกลางคืน จนกระทั่งมาถึงจุดต้องสงสัยว่าจะมีความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น


โดยไม่ทำให้ผิดหวัง กลิ่นคาวเลือดเจือจางลอยปะทะปลายจมูกทันที


อาศัยแสงสว่างจากจันทราสีแดง ชายหนุ่มมองไปยังจุดเกิดเหตุและได้พบกับอดีตนักผจญภัย คลีฟส์ กำลังนั่งยองด้านข้างลำเรือและจัดการกับบางสิ่งอย่างลับๆ


ถัดจากคลีฟส์ไปสิบกว่าเนตร ไคลน์มองเห็นสามบุคคลกำลังยืนหลบในเงามืดจากผนังด้านนอกห้องพัก หนึ่งในสามคือเพื่อนร่วมงานของคลีฟส์ บอดี้การ์ดหญิงสวมโค้ทดำ ส่วนอีกสองคนยังเป็นเด็กเล็ก บุตรชายและบุตรสาวของผู้ว่าจ้าง เด็กหญิงมีอายุราวสิบห้า ส่วนเด็กชายมีอายุไม่ถึงสิบขวบ


เด็กทั้งสองอยู่ในชุดนอนผ้าไหมตัวหนาและสวมชุดคลุมทับอีกชั้น ค่อนข้างแน่ชัดว่ารีบร้อนลุกออกมาจากเตียง


ร่างกายเด็กๆ กำลังสั่นเทาจากอิทธิพลของลมหนาวยามค่ำคืน อย่างไรก็ตาม สายตากลับยังคงมุ่งมั่นและเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นขณะจ้องมองคลีฟส์


กำลังเล่นซ่อนแอบอยู่หรือไง…


ไคลน์เหน็บแนบพลางจงใจเพิ่มน้ำหนักฝีเท้าให้อีกฝ่ายรู้ตัว


“สหาย ทำอะไรอยู่หรือ” ชายหนุ่มเลียนแบบคำพูดของนักล่าค่าหัวในเขตตะวันออก


แต่ยนังคงไว้ซึ่งบรรยากาศเย็นชาและมาดดุดันของเกอร์มัน·สแปร์โรว์


คลีฟส์ตอบกลับเสียงเรียบ


“งานส่วนตัว… บังเอิญมีเหยื่อไม่คาดฝันผ่านมาพอดี ค่อนข้างคุ้มกับการลงทุนล่า”


ล่าเหยื่อ? ไคลน์เผยสีหน้าสนใจ


ชายหนุ่มเลือกใช้ชื่อ ‘เกอร์มัน’ เพราะเป็นชื่อของนักล่าคนแรกในเกมยอดนิยมจากโลกเก่า สอดคล้องกับเจตนารมณ์ต้องการล่าคนชั่วในท้องทะเล


ไคลน์ไม่รีบร้อนถามเข้าประเด็น เพียงใช้มือซ้ายซึ่งสวมยุบพองหิวโหย ชี้ไปยังเขตเงามืดห่างออกไปสิบกว่าเมตร


“งานส่วนตัว… แล้วทำไมถึงต้องทำต่อหน้าผู้ว่าจ้าง?”


ในท่านั่งยอง คลีฟส์ชำเลืองเด็กชายและเด็กหญิงพลางอธิบายด้วยน้ำเสียงไม่สั่นคลอน


“เซซิลไม่ทันระวังตัว จึงเผลอทำให้ดอนน่ากับแดนตันตื่น เธอไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพาพวกเขามาด้วย”


เด็กสาวชื่อดอนน่าพลันฟุดฟิดจมูกเมื่อได้ยินชื่อของตนถูกเอ่ยถึง จากนั้น เธอเงยหน้ามองไคลน์และซักถาม


“ลุงก็เป็นนักผจญภัยเหมือนกันหรือคะ”


ลุง…?


ต่อให้เป็นตัวฉันบนโลกเก่าซึ่งมีอายุมากกว่านี้เล็กน้อย ก็ยังแก่กว่าเธอแค่สิบปีเท่านั้น! ไคลน์รำพัน


“ผิดแล้ว หนูจะใช้คำว่า ‘เหมือนกัน’ ไม่ได้ เพราะตอนนี้มีนักผจญภัยแค่ฉันคนเดียว ส่วนพวกเขาเป็นบอดี้การ์ด”


ชายหนุ่มหันไปกล่าวกับคลีฟส์


“สหาย เหยื่อของคุณเป็นตัวอะไร”


คลีฟส์มองลงไปยังทะเลอันกว้างใหญ่และถูกฉาบด้วยแสงจากจันทราสีแดง


“เมอร์ล็อกหนึ่งตัว”


เมอร์ล็อก? สัตว์วิเศษ!


ถึงจะมีระดับต่ำสุด แต่ก็ยังต้องใช้คนธรรมดาพอประมาณในการล่า อย่างน้อยห้าคนและหอกอีกห้าเล่ม…


ผิวหนังภายนอกของตัวเมอร์ล็อกนับว่าแข็งและเหนียว กระสุนปืนลูกโม่ทั่วไปแทบไม่สะกิดผิว อย่างน้อยก็ต้องปืนไรเฟิลขึ้นไป…


ไคลน์เลิกคิ้ว


“คุณคิดจะจัดการอย่างไร และมั่นใจได้ยังไงว่ามันมีแค่ตัวเดียว”


คลีฟส์ชี้ไปยังขอบเรือ


“ตรงนั้นมีรอยเมือกของเมอร์ล็อก ผมได้ยินมาจากลูกเรือว่า ราวหนึ่งถึงสองชั่วโมงก่อน มันพยายามปืนขึ้นมาบนเรือและทำร้ายผู้โดยสาร แต่เคราะห์ดี ช่วงดังกล่าวมีผู้คนพลุกพล่าน เวรยามรักษาความปลอดภัยจึงแน่นหนา”


ไคลน์เดินไปยังขอบเรือพลางชะโงกหน้าก้มมอง และได้เห็นคราบเมือกสีเขียวบนผิวด้านข้างลำเรือ


เมื่อชายหนุ่มหวนนึกถึงข้อมูลจากเอกสารลับของเหยี่ยวราตรีในทิงเก็น ผนวกกับรายละเอียดจากหนังสือแห่งความลับ จึงถามออกไปอย่างสนใจ


“ทำไมถึงมั่นใจว่ามีตัวเดียว ไม่ใช่ฝูง”


ไคลน์ไม่ลืมว่าตัวเมอร์ล็อกชอบอาศัยรวมกันเป็นฝูงใหญ่


“หากเป็นฝูงจริง ป่านนี้โมราขาวคงจมก้นทะเลไปนานแล้ว และเหนือสิ่งอื่นใด โบสถ์วายุสลาตันมักเก็บกวาดเมอร์ล็อกในเส้นทางการเดินเรือละแวกนี้เสมอ พวกเขาชอบล่าเมอร์ล็อกเป็นชีวิตจิตใจ”


คลีฟส์อธิบายอย่างใจเย็น


แน่สิ เพราะนั่นคงเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักของโอสถลำดับ 9 ลูกเรือ…


ไคลน์ลูบไล้ปืนพกในกระเป๋าเสื้อพลางซักถามด้วยรอยยิ้ม


“โอกาสสำเร็จมีแค่ไหน?”


คลีฟส์ไม่ตอบ เพียงเปิดถุงกระดาษด้านข้างลำตัว ภายในมีเครื่องในหมูผสมวัวเปื้อนเลือดเจือจาง นี่คือต้นตอของกลิ่นคาวเลือดซึ่งไคลน์สัมผัสได้ก่อนหน้า


“ตัวเมอร์ล็อกชอบอาหารประเภทนี้มาก และไม่มีทางปฏิเสธความเย้ายวนได้เลย จริงอยู่ พวกมันอาจชื่นชอบเครื่องในมนุษย์มากกว่าสัตว์ แต่หลายตำนานบนท้องทะเลกล่าวไว้ว่า ขณะออกเดินทาง ให้เตรียมเครื่องในหมูหรือวัวไว้ในครัวเสมอ”


คลีฟส์อธิบายพลางโปรยผงบางอย่างลงไป บนเครื่องใน


“ผงพริกไทยจะทำให้ตัวเมอร์ล็อกรู้สึกเหมือนกับสูบกัญชา พวกมันจะสูญเสียการทรงตัวและสมดุลร่างกาย ฤทธิ์ดังกล่าวจะคงอยู่ราวหนึ่งนาที หลังจากนั้น ตัวเมอร์ล็อกจะอ่อนแรงลงเนื่องจากหัวใจเต้นถี่เกินไป”


ถัดมา คลีฟส์นำกล่องไม้ออกจากเสื้อและนำครีมปริศนาสีเขียวเข้มออกมาทาเคลือบคมสามง่าม กริช และมีดสั้น


“ครีมสะระแหน่ถือเป็นสารทดแทนความหวานยอดนิยมของชาวเมืองท่าพริสต์ แต่ในสายตาเมอร์ล็อก ครีมชนิดนี้ไม่ต่างอะไรกับยาพิษรุนแรง นอกจากนั้น ผมยังขอยืมไรเฟิลมาจากกะลาสี และทำข้อตกลงกันว่า ห้ามมิให้ใครเข้ามารบกวนบริเวณนี้เป็นเวลายี่สิบนาที จริงอยู่ ผมอาจต้องจ่ายเงินไปพอสมควร แต่ผลตอบแทนกลับมาจะไม่ต่ำกว่าสิบเท่า หากโชคดีอาจได้มากถึงสามสิบเท่า”


สมกับเป็นนักผจญภัยมากประสบการณ์… ทราบจุดอ่อนและธรรมชาติของเหยื่อเป็นอย่างดี… แค่ได้ฟังคำอธิบาย เราก็เชื่อทันทีว่าการล่าครั้งนี้มีโอกาสสำเร็จสูง โดยไม่ต้องมีผู้วิเศษเข้าร่วมเลยก็ตาม…


และในความเป็นจริง หากสู้กันด้วยกับดักและอาวุธปืน ผู้วิเศษลำดับต่ำจะมิได้เก่งไปกว่าคนปรกติมากนัก… มีหลายคนต้องจบชีวิตลงในการดวลปืนธรรมดา…


อย่างไรก็ตาม ตัวเมอร์ล็อกมีผิวหนังหนาและแข็ง คล้ายกับสวมชุดเกราะเต็มอัตราศึกตลอดเวลา การฆ่าให้ตายไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่เหมือนกับการทำให้บาดเจ็บ เหยื่อมีโอกาสหลบหนีสำเร็จค่อนข้างสูง…


ไคลน์ซักถามด้วยความใคร่รู้


“คุณคงเคยล่าพวกมันมามากสินะ”


“การเข้าใจธรรมชาติของสัตว์ทะเลถือเป็นเงื่อนไขพื้นฐานของนักผจญภัย” คลีฟส์มิได้หลงระเริงไปกับคำชม เพียงกล่าวเสียงขรึมด้วยสีหน้าปรกติ


ขณะทั้งสองกำลังสนทนา เด็กหญิงดอนน่าและเด็กชายแดนตัน กำลังนั่งหลบเงามืดและตั้งใจฟังอย่างตื่นเต้น สำหรับพวกเขา สิ่งเหล่านี้น่าสนใจยิ่งกว่าของเล่นใดในโลก


นั่นสินะ เราเองก็ต้องเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับสัตว์ทะเลไว้บ้าง…


ไคลน์ยิ้มรับ


“อย่างนี้นี่เอง ว่าแต่… ผมมารบกวนคุณรึเปล่า?”


คลีฟส์นำเครื่องในบางส่วนเกี่ยวไว้กับเบ็ด


“ถ้าอยากช่วย ก็ช่วยดูแลดอนน่ากับแดนตันให้ที เซซิลจะได้ไม่เสียสมาธิ”


……………………


ราชันเร้นลับ 494 : เมอร์ล็อกหนึ่งคำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ท่ามกลางท้องฟ้าสีดำอันมีจันทราสีแดงลอยเด่นสง่า ไคลน์เดินเข้าไปหาดอนน่ากับแดนตันพร้อมกับนั่งยองลง


เซซิล พรรคพวกหญิงของคลีฟส์ ถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกับหยิบไรเฟิลขึ้นจากพื้นดาดฟ้าเรือ เธอย่อตัวลงและเดินไปหลบในอีกมุมหนึ่ง โดยรักษาระยะห่างจากเครื่องในหมูโรยพริกไทยประมาณสิบเมตร


“คุณลุง พวกเขากำลังจะเริ่มแล้วใช่ไหม”


เด็กหญิงซุกซนใบหน้าตกกระ ดอนน่า เริ่มแสดงสีหน้าประหวั่น แต่ดวงตากลับแฝงไว้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น


ไคลน์เลื่อนมือซ้ายขึ้นมาและนำนิ้วชี้จ่อริมฝีปาก เป็นการส่งสัญญาณบอกให้เด็กน้อยทั้งสองลดเสียงลง


ในเวลาเช่นนี้ ไคลน์อดรู้สึกขอบคุณจักรพรรดิโรซายล์ไม่ได้ เป็นเพราะรุ่นพี่นักเดินทางข้ามโลกได้พยายามอย่างหนักเพื่อทำให้ภาษากายของโลกได้รับความนิยมบนทวีปเหนือ การสื่อสารของตนจึงไม่เกิดความผิดพลาดขึ้น


ถ้าจำไม่ผิดสัญญาณมือ’ อย่าทำเสียงดัง’ เคยเป็นอากัปกิริยาหยาบคายของชาวโลเอ็นมาก่อน แต่หากเป็นทวีปใต้จะหมายถึงการบอกให้ ‘จูบฉันที’ …


ไคลน์กำลังครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย


ดอนน่าและแดนตันไม่กล้าส่งเสียงอีก เพียงนั่งยองอย่างเงียบงัน รอคอยการต่อสู้ของคลีฟส์ด้วยใจจดจ่อ


อดีตนักผจญภัยหยิบคันเบ็ดขึ้นพลางเกี่ยวเครื่องในหมูติดปลายเบ็ด ตามด้วยการวางเสียบไว้กับฐานยึดและเดินไปยังริมเรือ


เกิดเสียง ‘ซ่า’ ขณะปลายเบ็ดถูกหย่อนกระทบผิวน้ำ


คลีฟส์โปรยเครื่องในหมูชิ้นอื่นลงบนพื้นดาดฟ้าเรืออย่างใจเย็น ก่อนจะเดินเข้าไปหลบมุมในทิศทางตรงข้ามกับเซซิล


คนทั้งสองยืนกำลังยืนทำมุมประมาณหกสิบองศาจากจุดยึดคันเบ็ดในลักษณะสามเหลี่ยม


คลีฟส์พิงหอกสามง่ามและอาวุธอื่นไว้บนกำแพงห้องพัก จากนั้นก็หยิบไรเฟิลขึ้นมาถือในท่าเตรียมเล็ง


ดาดฟ้าเรือถูกบรรยากาศเงียบงันเข้าปกคลุมเป็นเวลานาน มีเพียงเสียงกลไกของเครื่องจักรและเสียงคลื่นซัดกระทบท้องเรือ


ผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ดอนน่าและแดนตันเริ่มทนไม่ไหว พวกเธอต้องเปลี่ยนอิริยาบถจากท่านั่งยองเป็นการนั่งก้นแนบพื้น หลังเอนพิงผนังห้องพักเพื่อขจัดอาการเหน็บชา


ทันใดนั้น ปลายคันเบ็ดเริ่มถูกดึงจมลงไปด้านล่างเล็กน้อย


เสียงเสียดสีของบางสิ่งเริ่มดังใกล้เข้ามาทุกขณะ จนกระทั่งร่างหนึ่งกระโดดขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือ


ร่างของสัตว์ประหลาดถูกฉาบด้วยแสงนวลจากดวงจันทร์แดง ทุกซอกมุมร่างกายถูกปกคลุมด้วยเกล็ดสีเขียวเข้ม ผิวรอบนอกยังมีเมือกข้นเคลือบไว้อีกหนึ่งชั้น


รูปกายไม่เหมือนกับมนุษย์มากนัก คล้ายกับปลาแขนยาวมากกว่า ตามร่องนิ้วมีพังผืดแผ่นใหญ่เกาะติดอย่างชัดเจน


เมอร์ล็อกสูงประมาณ 1.9 เมตร ดวงตากลมโต แก้มสองข้างคล้ายเหงือกปลา


เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์อันคล้ายคลึงกับปีศาจในตำนานปรัมปรา ดอนน่ารีบเลื่อนมือขึ้นมาปิดปากตัวเองมิให้ส่งเสียงกรีดร้อง ขณะเดียวกันก็รีบใช้มืออีกข้างปิดปากแดนตัน


หัวไวใช้ได้… ไคลน์อมยิ้มพลางสำรวจเมอร์ล็อกอย่างใจเย็น


แตกต่างจากผู้คลุ้มคลั่งซึ่งชายหนุ่มเคยพบเจอพร้อมลุงนีลล์เมื่อในอดีต ตัวเมอร์ล็อกไม่มีส่วนสมองเหมือนกับมนุษย์ เป็นเครื่องยืนยันว่ามันคือสิ่งมีชีวิตประเภทสัตว์ประหลาด


เมอร์ล็อกกวาดสายตามองรอบตัวอย่างหวาดระแวง ก่อนจะนั่งยองลงและหยิบเครื่องในหมูใส่ปากเคี้ยวกร้วมกร้าม


แสงในดวงตาซีดจางลง คล้ายกับถูกดึงเข้าไปอยู่ในภวังค์ความฝันชั่วขณะ


สติปัญญาต่ำตามคาด… ไคลน์ส่ายหน้าเมื่อเห็นเหยื่อติดกับอย่างง่ายดาย


ปัง!


คลีฟส์เหนี่ยวไกปืนทันที กระสุนพุ่งออกจากปากลำกล้องกระทบแผ่นอกเมอร์ล็อกจนเกล็ดแตกละเอียดและเลือดสาดกระเซ็น


“แว๊!” เมอร์ล็อกส่งเสียงร้องคล้ายทารก ตามด้วยการกระโจนเข้าหาคลีฟส์ตรงมุมมืดด้วยความเร็วเทียบเท่ารถจักรไอน้ำ


ทันใดนั้น เซซิลในอีกมุมหนึ่ง เปิดฉากยิงใส่เมอร์ล็อกอย่างชำนาญ


ปัง!


กระสุนทะลวงเข้าไปในส่วนซี่โครง เกล็ดปลาแตกกระจาย การเคลื่อนไหวของสัตว์ประหลาดเชื่องช้าลงทันที


ด้วยผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมจากเครื่องในผสมพริกไทย ตัวเมอร์ล็อกออกอาการโงนเงนพลางชะงักพฤติกรรม เนื่องจากไม่แน่ใจว่าตนควรโจมตีเป้าหมายใดก่อน


ช่องว่างดังกล่าวเปิดโอกาสให้คลีฟส์และเซซิลบรรจุกระสุนไรเฟิลเข้าไปใหม่


ไกปืนถูกเหนี่ยวอีกครั้ง


ปัง! ปัง!


เลือดเมอร์ล็อกสาดกระเซ็นเป็นฝอย ความเจ็บปวดแสนสาหัสทำให้มันตาสว่าง หลุดพ้นจากภวังค์มึนงงในช่วงก่อนทันที


เมอร์ล็อกรีบกลิ้งตัวสลับกระโจนไปทางคลีฟส์เพื่อหลบหลีกการยิงในนัดถัดไป ระยะห่างของมันกับคลีฟส์ลดลงอย่างรวดเร็วราวกับไม่เคยมีอาการบาดเจ็บ


อดีตนักผจญภัยวางไรเฟิลลงพร้อมกับหยิบหอกสามงามจากริมผนังอย่างคล่องแคล่ว ประหนึ่งวางแผนไว้ในใจนานแล้ว


คลีฟส์ไม่คิดหลบหลีก มันม้วนตัวสวนเข้าไปหาเมอร์ล็อกจากด้านข้าง และเล็งแทงสามง่ามเสียบชายโครงอย่างแม่นยำ


จุดดังกล่าวปราศจากเกล็ดปกป้องเนื่องจากถูกเซซิลยิงแตกในจังหวะก่อนหน้า


เมอร์ล็อกรีบกระตุกหมุนตัวด้วยความเร็วสูงจนเกิดเป็นพายุขนาดย่อม สามง่ามถูกเหวี่ยงจนกระเด็น คลีฟส์เสียหลักล้มกระแทกพื้นดาดฟ้าเรือ


เมอร์ล็อกสอดส่องซ้ายขวา เมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย มันตัดสินใจไม่โจมตีใส่คลีฟส์และเซซิลต่อ แต่เลือกวิ่งก้าวใหญ่เพื่อเตรียมกระโดดลงจากเรือ


ปัง!


เซซิลยิงซ้ำ กระสุนทำลายเกล็ดแต่ไม่ทำให้เมอร์ล็อกหยุดวิ่ง


ผ่านไปสองก้าว เมอร์ล็อกเข้าระยะกระโดดและเตรียมงอเข่า


แต่ด้วยสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ การส่งแรงจึงไม่เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เมอร์ล็อกกะระยะพลาดและชนกับขอบเรือด้านใน


โครม!


หลังจากบาดเจ็บจากความโง่เขลาส่วนตัว เมอร์ล็อกพยายามตะเกียกตะกายปีนขอบเรือเพื่อไปยังอีกฝั่งให้ได้


เมื่อเห็นเหยื่อกำลังจะหนีรอด ไคลน์ชักลูกโม่ออกมาเล็งและง้างนก


แต่ทันใดนั้น เสียงปืนปริศนาพลันดังมาจากอีกหนึ่งทิศทาง!


ปัง!


ดวงตาข้างซ้ายของเมอร์ล็อกถูกยิงจนเกิดรูโหว่ขนาดใหญ่ หากมองเข้าไปจะเห็นอวัยวะภายในกำลังยุบพองอย่างน่าหวาดเสียว


มันยังไม่ตายสนิท เพียงเสียหลังล้มลงไปนอนบนพื้นดาดฟ้า และพยายามตะเกียกตะกายกลับออกไปให้ได้


ไม่กี่วินาทีถัดมา พิษจากหอกสามง่ามของคลีฟส์เริ่มแสดงผล ร่างกายเมอร์ล็อกชักกระตุกแผ่วเบาจนกระทั่งแน่นิ่ง


ไคลน์มองตามเสียงปืนและเห็นชายคนหนึ่งกำลังเดินออกจากมุมเงามืดระหว่างห้องพัก


อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคน สวมโค้ทสีแดงเข้มตัวใหญ่หนา และหมวกหนีบทหารเรือ หมวกยอดนิยมประจำยุคสมัย


มือถือปืนคาบศิลาทรงโบราณสีเหล็ก ปากกระบอกมีควันดำระอุเข้มข้น


ไคลน์เคยได้ยินลูกเรือแนะนำตัวชายคนนี้ให้ตนฟังแล้ว ไม่ใช่ใครนอกจากกัปตันเรือโมราขาวลำนี้


ไอร์แลนด์·คักส์


กัปตันเรือเจ้าของรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผาก หางตา และมุมปาก เดินเข้าไปหาคลีฟส์และกล่าวด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง


“ในฐานะกัปตัน ผมต้องทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ได้โปรดให้อภัยการแอบจับตามองคราวนี้ด้วย”


คลีฟส์ยืนขึ้น และกล่าวโดยไม่ทรยศความรู้สึกตัวเอง


“เชิญตามสบาย นี่เป็นเรือของคุณ และตามข้อตกลง คุณมีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่งจากการล่า”


ไอร์แลนด์หันมาจ้องไคลน์กับคนอื่น


“เรือจะจอดเทียบท่าเพื่อเติมเสบียงและน้ำสะอาดในอีกสองวัน กว่าจะถึงตอนนั้น คุณต้องหาวิธีเก็บรักษาศพเมอร์ล็อกอย่างมีประสิทธิภาพ เอาแบบนี้เป็นไง ขายมันให้ผมในราคาถูกกว่าปรกติ ส่วนต่างคือส่วนแบ่งของผม”


“ก็คงต้องตามนั้น” คลีฟส์และเซซิลมองหน้ากันเล็กน้อย “หนึ่งร้อยสามสิบปอนด์ แล้วศพเมอร์ล็อกจะเป็นของคุณทันที”


ลำพังตะกอนพลังของเมอร์ล็อกก็มีราคาหนึ่งร้อยห้าสิบถึงสองร้อยปอนด์แล้ว ยังไม่รวมอวัยวะอื่นภายในศพ หนึ่งร้อยสามสิบปอนด์จึงนับว่าถูกมาก…


แต่คลีฟส์กับเซซิลคงมิอาจเรียกร้องได้มากนัก เพราะนี่คือเรือของไอร์แลนด์ กัปตันย่อมมีลูกเรือและคนงานจำนวนมาก หากการเจรจาล้มเหลว คลีฟส์กับเซซิลสามารถจมก้นทะเลภายในไม่กี่วินาที…


นั่นคือในกรณีเราไม่เข้าไปช่วย…


ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า คลีฟส์กับเซซิลไม่ใช่ผู้วิเศษ หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่เส้นทางชำนาญด้านยิงปืน แต่ในส่วนของไอร์แลนด์ ชายคนนี้น่าสงสัย…


ไคลน์ยืนฟังการเจรจาพลางครุ่นคิด


“เข้าใจผิดแล้ว ผมไม่ได้ต้องการขูดรีดคุณ เอาไปหนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์ นั่นคือราคายุติธรรมต่อทุกฝ่าย”


ไอร์แลนด์กวักมือเรียกลูกเรือคนหนึ่งพร้อมกับมอบกุญแจตู้นิรภัยให้


“คุณคือ ‘ไอร์แลนด์ผู้เที่ยงธรรม’ คนนั้นเองหรือ…” เซซิลอุทานขึ้นหลังจากนึกสมญานามบนท้องทะเลของอีกฝ่ายออก


ไอร์แลนด์ยิ้ม


“ถูกต้อง”


ขณะเดียวกัน ดอนน่าและแดนตันซึ่งกำลังตื่นเต้นจากการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างมนุษย์และสัตว์ประหลาดตัวเป็นๆ พยายามเดินเข้าไปใกล้ศพของด้วยความหวาดหวั่นแกมอยากรู้อยากเห็น


“ม…มันตายแล้วใช่ไหมคะ?” ดอนน่าใช้เท้าเตะศพแผ่วเบา ก่อนจะรีบวิ่งไปหลบหลังน้องชายอย่างสั่นกลัว


“สัตว์ประหลาดตัวจริง!” แดนตันอุทานด้วยดวงตาลุกวาว


“ในทะเลมีสัตว์ประหลาดมากมาย โดยเฉพาะเจ้านี่ หากไม่นับว่ามีแขนขาคล้ายมนุษย์ พวกมันไม่มีสิ่งใดเหมือนมนุษย์แม้แต่อย่างเดียว” ไอร์แลนด์อธิบายอย่างอ่อนโยน


ถัดมา มันนั่งยองลงข้างศพเมอร์ล็อกและใช้มีดเฉือนเอาเนื้อแก้มตรงใต้ตาจำนวนหนึ่ง เผยให้เห็นเนื้อสดสีขาวขุ่นเจือเลือดฝาดสีแดง


“ส่วนอร่อยสุดยอดของเมอร์ล็อก ต้องกินแบบดิบจึงจะวิเศษ” ไอร์แลนด์แล่เนื้อแก้มให้บางลงและส่งมีดติดปลายเนื้อสีขาวไปทางดอนน่า “เธอทำให้ฉันนึกถึงลูกสาว แต่น่าเสียดาย ตอนนี้หล่อนมีครอบครัวเป็นของตัวเองไปแล้ว ฮะฮะ!”


“น…หนูไม่กล้ากินค่ะ” ดอนน่ากล่าวขณะเพ่งมองเนื้อสีขาวขุ่นบนปลายมีด


“ฮะฮะ! มีใครอยากลองชิมไหม” ไอร์แลนด์หัวเราะพลางมองไปรอบตัว


เมื่อเห็นว่าไม่มีการร้องเตือนจากสัมผัสวิญญาณ ไคลน์พยักหน้ารับ


“ผมนึกสงสัยในรสชาติ”


ไอร์แลนด์ยื่นมีดให้


“ลองเข้าไปสักคำ หากเป็นบนบก แม้แต่ขุนนางหลายคนก็ไม่มีโอกาสได้กินสิ่งนี้ เมอร์ล็อกเป็นสัตว์ประหลาด พวกเราควรมองว่ามันเป็นเพียงปลากลายพันธุ์”


ไอร์แลนด์พยายามขจัดอคติในใจสองพี่น้อง


ขณะเดียวกัน ไคลน์อยากถามออกไปว่ามีวาซาบิ โชยุ หรือเครื่องปรุงชนิดอื่นบ้างไหม แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่กล่าวถึง ชายหนุ่มจึงไม่ต้องการแสดงตัวว่าเป็นบ้านนอกเข้ากรุง


มันรับมีดและกัดแผ่นเนื้อฝานขาวขุ่นซึ่งมีเลือดแดงเคลือบเล็กน้อย


ความสดใหม่พลันระเบิดในช่องปาก เลือดมีกลิ่นไม่คาวมาก ช่วยมอบรสชาติเค็มและดึงความหวานของเนื้อออกมาได้ถึงขีดสุด


ไคลน์เคี้ยวต่ออีกสองคำ พลางดื่มด่ำไปกับความสดและอ่อนนุ่มของเนื้อปลา นับตั้งแต่เกิดมา มันไม่เคยสัมผัสรสชาติแบบนี้มาก่อน


“สุดยอดมาก…” มันยกนิ้วโป้งเพื่อยกย่องความอร่อยของอาหารโดยไม่เหนียมอาย


ดอนน่ายืนมองด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น เธอเกิดความอยากจะลิ้มรสเนื้อแก้มของเมอร์ล็อกขึ้นมาบ้าง


จนกระทั่งความสงสัยเอาชนะความหวาดกลัว เด็กหญิงส่งสัญญาณขอลองชิมบ้าง


ไอร์แลนด์ไม่ขัดข้อง เพียงฝานเนื้อแผ่นบางพร้อมกับยื่นมีดให้เด็กหญิงตัวเล็ก


จากนั้นก็ยืนมองเธอหลับตาปี๋ด้วยสีหน้ากล้าๆ กลัวๆ ขณะกัดเนื้อสีขาวเข้าไปในปากหนึ่งคำ


เพียงไม่นาน ดอนน่าเผยรอยยิ้มพร้อมกับอุทานอย่างตื่นเต้น


“อร่อยจนบรรยายไม่ถูก!”


คำยืนยันของเด็กหญิงช่วยให้แดนตัน เซซิล และคนอื่นๆ แบ่งเนื้อแก้มก้อนสุดท้ายกินอย่างเท่าเทียม ทุกคนลิ้มรสความเอร็ดอร่อยด้วยสีหน้าพึงพอใจ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกไม่พึงพอใจ


พึงพอใจในรสชาติ แต่ไม่พึงพอใจในปริมาณ!


เมื่อเห็นไอร์แลนด์กินเนื้อแก้มส่วนสุดท้ายหมด คลีฟส์ชี้ไปทางศพเมอร์ล็อกและกล่าว


“เนื้อซี่โครงเหมาะแก่การทอด เนื้อท้องเหมาะแก่การย่าง แต่ส่วนอื่นมีรสชาติห่วย”


“คิดแบบเดียวกัน” ไอร์แลนด์ยิ้ม “ผมจะให้พ่อครัวนำไปปรุงทันที ในค่ำคืนเช่นนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ลิ้มรสอาหารมื้อเยี่ยมไปพร้อมกับไวน์คุณภาพดีอีกแล้ว พวกเราจะแลกเปลี่ยนประสบการณ์และตำนานในท้องทะเลซึ่งกันและกัน”


ชักอดใจรอไม่ไหวแล้วสิ…


แต่ทำไมการลักลอบล่าเหยื่อถึงกลายเป็นมื้ออาหารสุดอบอุ่นไปได้?


ไคลน์กลืนน้ำลายอึกใหญ่


 ……………………


ราชันเร้นลับ 495 : ตำนานสมบัติลับ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ณ ดาดฟ้าเรือ แผ่นใยหินถูกวางรองใต้เตาตะแกรงถ่านสำหรับย่าง เพื่อป้องกันมิให้ประกายไฟปลิวลงไปสัมผัสกับพื้นไม้


พ่อครัวร่างท้วมสวมหมวกเชฟสีขาวซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ของโรซายล์ กำลังใช้แปรงคุณภาพสูงบรรจงทาเครื่องเทศสูตรพิเศษลงบนเนื้อปลาสีขาวชิ้นยาวหั่นบาง ส่วนผสมประกอบด้วยโหระพา ยี่หร่า เกลือทะเล พริกไทย และน้ำมะนาว เนื้อปลาถูกพลิกเป็นระยะเพื่อให้มั่นใจว่าทั้งสองด้านสุกเท่ากัน


เนื้อท้องของเมอร์ล็อกค่อนข้างมัน ไขมันหยดลงบนถ่านฟืนในเตาย่างจนเกิดเสียงซู่ซ่าไม่ขาดสาย


กลิ่นหอมฟุ้งลอยคละคลุ้งเต็มอากาศ ไคลน์สูดดมเข้าไปอย่างมีความสุขหนแล้วหนเล่า


เบื้องหน้าชายหนุ่มคือโต๊ะและเก้าอี้ทรงกลม บนโต๊ะมีขวดไวน์ลวดลายพิเศษวางอยู่ ของเหลวด้านในมีสีแดงอมทอง ลักษณะค่อนข้างหนืดโดยสังเกตจากขณะเรือโคลง


“ไวน์เลือดโซเนียถูกหมักจากยางไม้น้ำตาลซึ่งพบได้มากในเขตรอบนอกน้ำพุสีทอง รสชาติคล้ายน้ำผึ้งผสมเลือด ค่อนไปทางหวานละมุนลิ้น มึนเมาได้ง่ายมาก หากถูกใจหญิงสาวคนใด ให้มอมเธอด้วยไวน์ชนิดนี้ รับประกันว่าจะกินเพลินจนไม่รู้ตัว… ฮะฮะ! แต่คุณต้องคอแข็งกว่าเธอนะ”


เมื่อเห็นไคลน์เพ่งมองขวดไวน์ กัปตันไอร์แลนด์·คักส์กล่าวแนะนำเชิงติดตลก


สมกับเป็นอดีตสรั่งเรือ เชี่ยวชาญการทำให้บรรยากาศในวงสนทนาไหลลื่น…


ไคลน์นั่งลงพลางซักถามด้วยสีหน้าเย็นชาไม่แปรเปลี่ยน


“นักผจญภัยมืออาชีพจะไม่ดื่มเหล้า”


คลีฟส์ด้านข้างพยักหน้าเห็นด้วย


“นักผจญภัยจะให้รางวัลตัวเองก็ต่อเมื่อกลับถึงบ้านแล้วเท่านั้น”


“น่าเสียดาย”


ไอร์แลนด์หันไปมองดอนน่าและแดนตัน เด็กทั้งสองต่างก็กำลังจ้องขวดไวน์ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน


“เด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะห้ามดื่ม”


“หนูเคยดื่มแล้ว มันอร่อยมาก!” ดอนน่าโต้แย้งทันควัน “เพียงแต่… หนูหลับไปโดยไม่รู้ตัวและตื่นขึ้นมาตอนบ่ายของอีกวัน…”


“ผมจำได้ว่าพี่กินไปตั้งสองแก้ว!” สุภาพบุรุษรุ่นเล็ก แดนตัน กล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความอิจฉา


ไอร์แลนด์ไม่คิดเติมเต็มความใคร่รู้ของเด็กทั้งสอง เพียงสั่งให้ลูกเรือนำชาเย็นมาบริการพร้อมกับกล่าวต่อ


“เรือลำนี้มีชาวทวีปใต้โดยสารมาด้วยหลายคน ก็เลยต้องมีชาเย็นไว้บริการ”


แดนตันเบือนสายตาไปทางอื่นด้วยสีหน้าผิดหวัง ก่อนจะหันไปเห็นศพเมอร์ล็อกซึ่งถูกนำเนื้อส่วนดีออกไปหมดแล้ว


“มันไม่ได้น่ากลัวเหมือนภายนอก… แค่ตัวใหญ่กว่าปลาปรกติ มีแขนขาสี่ข้าง และหน้าตาอัปลักษณ์เท่านั้นเอง!”


ดอนน่าหันไปมองน้องชาย


“ดีใจด้วย นายเข้าถึงสัจธรรมแล้ว”


จากนั้น เด็กหญิงหันไปมองคลีฟส์และไอร์แลนด์ด้วยดวงตาเปล่งปลั่ง


“คุณลุงทั้งสอง ในทะเลมีสัตว์ประหลาดแบบนี้เยอะไหมคะ”


พลังพิเศษของเมอร์ล็อกมิได้พิสดารจนอยู่เหนือจินตนาการมนุษย์ เป็นเพียงสัตว์ป่าดุร้ายผิวแข็งและมากพละกำลัง ไม่ต่างอะไรกับสิ่งมีชีวิตในตำนานทางทะเลประเภทหนึ่ง


ไอร์แลนด์หัวเราะ


“ไม่เลย อย่างน้อยก็พบได้น้อยในเส้นทางเดือนเรือหลัก พวกมันถูกกวาดล้างจนแทบไม่เหลือแหล่งอาศัยในละแวกนี้ การได้พบเมอร์ล็อกตัวนี้ถือเป็นความโชคดีอย่างมาก ลองนึกดูให้ดี ถ้าฉันมีโอกาสล่าสัตว์ประหลาดมูลค่า 200 ปอนด์ทุกวัน ป่านนี้คงไม่เสียเวลาเป็นกัปตันเรือเดินสมุทรแน่นอน คงทุ่มเทเวลาให้กับการออกล่าก้อนทองว่ายน้ำได้ด้วยเรือล่าสัตว์ทั้งวันทั้งคืน!”


สมเหตุสมผล… ไคลน์พยักหน้าเห็นด้วย


หลังจากนั่งชำเลืองสักพัก ชายหนุ่มทราบว่าวัตถุดิบวิเศษจากเมอร์ล็อกเกิดมาจากส่วนถุงลม โดยตะกอนพลังจะแผ่แสงวารีสีฟ้าอ่อนออกมาตลอดเวลาจนดูคล้ายอัญมณี


คลีฟส์ยกแก้วชาดำซึ่งลูกเรือเพิ่งยกมาบริการขึ้นจ่อจมูก มันสูดดมหนึ่งครั้งพร้อมกับจิบเข้าไปอย่างละเมียดละไม


“มีเพียงการแล่นเรือออกจากเส้นทางหลักเข้าไปในท้องทะเลลึกเท่านั้น จึงจะได้พบกับสัตว์ทะเลดุร้าย โดยส่วนมาก บริเวณดังกล่าวมักเต็มไปด้วยหมอกหนาทึบหรือไม่ก็พายุสายฟ้า แฝงไว้ด้วยภัยอันตรายเหนือจินตนาการ นอกจากตัวเมอร์ล็อกน่ากลัวซึ่งสามารถปืนขึ้นเรือ ยังมีอีกหลายตำนานกล่าวถึงนากาทะเลลึก ลำตัวส่วนบนของพวกมันจะเหมือนกับมนุษย์ แต่ส่วนล่างเป็นงูทะเล มีหกแขนและคล่องแคล่วว่องไว”


ไอร์แลนด์เสริม


“ยังมีหมึกยักษ์ซึ่งสามารถพ่นของเหลวกัดกร่อนใส่มนุษย์หลายคนในคราวเดียว ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีสัตว์ประหลาดบางชนิดสามารถพลิกเรือได้ด้วยการออกแรงเพียงเล็กน้อย มีนางเงือกคอยร้องเพลงสะกดให้เหยื่อเกิดความหลงใหล มีมังกรครามมาพร้อมพลังสายฟ้ารุนแรง และมีนกตัวใหญ่ซึ่งการกระพือปีกเพียงหนึ่งหนสามารถสร้างลมพายุกระโชก… หึหึ… ฉันเองก็ไม่เคยเห็นพวกมันตัวเป็นๆ มาก่อนเหมือนกัน ทั้งหมดเป็นเพียงตำนานแห่งท้องทะเล ไม่มีใครยืนยันได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริงหรือนิทานหลอกเด็ก”


นางเงือก…


ไคลน์ครุ่นคิดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


“สุดยอด!” ดอนน่าอุทานพลางจินตนาการภาพตามคำบอกเล่าของผู้ใหญ่


แดนตันมองไปรอบวงสนทนา เมื่อสังเกตเห็นว่าไคลน์เอาแต่นั่งเงียบ จึงซักถามด้วยความสงสัย


“คุณลุงก็เป็นนักผจญภัยเหมือนกันสินะครับ เคยพบเจอสัตว์ประหลาดบ้างไหม”


ไคลน์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้ม


“เคยครั้งหนึ่ง พวกเราห้าคนเผชิญหน้ากับเมอร์ล็อกเข้าโดยบังเอิญ หลังจากการต่อสู้อันดุเดือดจบลง เมอร์ล็อกตัวดังกล่าวก็ถูกกำจัด”


นี่คือประสบการณ์จริงสมัยเป็นเหยี่ยวราตรีเมืองทิงเก็น และยังเป็นประสบการณ์เผชิญหน้ากับผู้คลุ้มคลั่งหนแรกของไคลน์


ในขณะนั้น ตนและลุงนีลล์ได้รับการขอร้องจากสเวย์น บอสใหญ่แห่งผับมังกรชั่ว ให้ช่วยจัดการกับ ‘ลูกเรือ’ กลายพันธุ์คนหนึ่ง


คิดถึงตรงนี้ ไคลน์รู้สึกโหยหาวันเวลาสมัยอดีตขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าแสนเย็นชาเริ่มเผยความอ่อนโยนเจือจาง


“ห้าคน?” ขณะอุทาน ดอนน่าแอบนับจำนวนบุคลากรในการล่าเมอร์ล็อกเมื่อครู่


หนึ่ง สอง สาม…


เธอพบว่า ลำพังนักผจญภัยแค่สามคนก็สามารถฆ่าเมอร์ล็อกได้ง่ายดายแล้ว


ไอร์แลนด์ชิงถามขัดจังหวะ


“พบโดยบังเอิญ?”


“ถูกต้อง” ไคลน์ตอบเสียงเรียบ


“สูญเสียใครไปไหม?” ไอร์แลนด์ซักไซ้


ไคลน์ส่ายหน้า


“ทุกคนบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย”


“พบเมอร์ล็อกโดยบังเอิญและสามารถจัดการได้ด้วยห้าคน… พวกคุณแข็งแกร่งกันมาก” คลีฟส์กล่าวยกย่อง


พวกพ้องของมัน เซซิล พยักหน้าเห็นด้วย


จริงอยู่ การล่าเมื่อครู่อาจจบลงอย่างรวดเร็ว และตัวเมอร์ล็อกก็เหมือนจะมิได้เก่งกาจสักเท่าไร แต่ในความเป็นจริง ทั้งเธอและคลิฟส์ต่างทราบดีว่า ผลลัพธ์เกิดจากการเตรียมตัวล่วงหน้าและกุมจุดอ่อนเหยื่อไว้ได้อย่างสมบูรณ์ เมอร์ล็อกเห็นภาพหลอนจากพริกไทยเม็ด จากนั้นก็อ่อนแรงลงเมื่อได้สติกลับมา แถมยังถูกเล่นงานโดยของแสลงอย่างครีมสะระแหน่ เมื่อผนวกเข้ากับไรเฟิลสองกระบอก ทุกสิ่งก็ง่ายขึ้นมาก


“เห็นด้วย… แข็งแกร่งมาก” ไอร์แลนด์เริ่มจ้องไคลน์ด้วยสีหน้าหวาดระแวง


ก็เก่งกว่าคนธรรมดาพอสมควร เป็นถึงหน่วยพิเศษลำดับ 9 และ 8 ล่ะนะ…


ไคลน์กล่าวพลางยิ้มชืด


“ตอนนั้นผมยังหนุ่มและไม่มีประสบการณ์ด้านการต่อสู้แม้แต่น้อย จึงรับบทบาทคอยสนับสนุนจากด้านหลังเพียงอย่างเดียว”


“คุณลุง แต่ตอนนี้คุณก็ยังหนุ่มนะคะ!” ดอนน่าพยักหน้าหงึกหงัก


พูดได้ดี สาวน้อย…


ขณะเดียวกัน ไคลน์สัมผัสว่ากัปตันไอร์แลนด์เริ่มผ่อนคลายลงหลังจากตนกล่าวประโยคเมื่อครู่จบ


ทันใดนั้น ลูกเรือหลายคนเริ่มเดินเข้ามาพร้อมกับถือถาดเซรามิกใบใหญ่ ด้านบนมีเนื้อปลาทอดจนกลายเป็นสีเหลืองทอง โรยด้วยใบโหระพาเพิ่มสีสัน


กลิ่นอันเข้มข้นและหอมกรุ่นจากการทอดกำลังบุกรุกเข้าไปในต่อมความอยากอาหารของทุกคนโดยไม่ปรานี


ไอร์แลนด์ยกแก้วไวน์เลือดโซเนียของตนพร้อมกับน้ำดื่มอวยพร


“แด่ค่ำคืนอันงดงาม ขอให้พายุสถิตกับทุกท่าน!”


“แด่ค่ำคืนอันงดงาม!” ดอนน่าและแดนตันส่งเสียงขานรับพลางกระดกชาเย็น


ไคลน์ชนแก้วชาดำของตนกับคนใกล้ตัว


จากนั้น ชายหนุ่มใช้ส้อมจิ้มเนื้อเมอร์ล็อกทอดใส่ปากเคี้ยว และพบว่าตัวเนื้อซี่โครงไม่มีมันแทรกเลยสักนิด เป็นสัมผัสแน่นกระชับเหมาะสำหรับคนต้องการขยับปากเคี้ยว


ยิ่งเมื่อนำไปทอดให้อมน้ำมันผัก ข้อเสียด้านความแห้งได้ถูกกลบจนมิดชิด ยิ่งเคี้ยวนานเท่าไร ก็ยิ่งสนุกปากและสัมผัสได้ถึงกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์มากเท่านั้น


ยังด้อยกว่าเนื้อแก้ม แต่ก็นับว่าสุดยอดมากแล้ว เราไม่เคยกินปลาทอดชนิดใดอร่อยเท่านี้มาก่อน ไม่ว่าจะในเบ็คลันด์หรือเมืองท่าพริสต์… ไคลน์สรรเสริญอาหารจานตรงหน้า


ไอร์แลนด์วางมีดส้อมลง จิบไวน์เลือดโซเนียและเริ่มวกกลับเข้าประเด็น


“อันตรายอันดับหนึ่งบนท้องทะเลหาใช่สัตว์ประหลาด แต่เป็นโจรสลัด พวกมันรักอิสระ บังคับเรือแล่นไปตามใจนึกคิด ไม่มีใครคาดเดาการกระทำหรือเตรียมตัวรับมือล่วงหน้าได้เลย”


“คุณลุงกัปตัน พวกเราจะได้เจอโจรสลัดไหมครับ” ขณะเคี้ยวปลาทอด แดนตันซักถามด้วยสีหน้าเจือความกังวล


ไอร์แลนด์ยิ้ม


“เส้นทางเดินเรือไปยังหมู่เกาะรอสต์นับว่าปลอดภัยเป็นอันดับหนึ่งของโลก ระหว่างทางมีเกาะอาณานิคมให้พักเติมเสบียงทุกสองถึงสามวันเสมอ อีกทั้ง ตลอดเส้นทางยังมีเรือลาดตระเวนของกองทัพเรือและโบสถ์วายุสลาตันไม่ขาดสาย หรือต่อให้มีโจรสลัดแล่นเรือเข้ามาในแถบนี้ พวกมันก็จะไม่ลงมืออย่างเอิกเกริก หรือถ้าได้เห็นปืนใหญ่หลายกระบอกรอบเรือของเรา ก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าส่งเสียงข่มขู่รีดไถจากระยะไกล”


เมื่อเห็นเด็กทั้งสองคนเริ่มโล่งใจ ไอร์แลนด์เล่าเสริม


“แต่ถ้าเป็นเส้นทางถัดจากหมู่เกาะรอสต์ลงไปทางใต้ หรือไม่ก็ทางทิศตะวันออก การเดินทางแต่ละครั้งจะต้องสวดภาวนาต่อพระองค์วายุสลาตันสักหน่อย ในละแวกดังกล่าว เรือโจรสลัดจำนวนมากมักเล่นซ่อนแอบกับเรือหลวงของรัฐบาลและของโบสถ์ หากพวกเรามีโชค ก็จะไม่พบพวกมันเข้าระหว่างทาง แต่ถ้าโชคร้าย ก็อาจได้พบโจรสลัดแข็งแกร่งบางฝ่าย เช่นเหล่าเจ็ดพลเรือโจรสลัด รวมถึงไปสี่ราชาโจรสลัด อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าไม่ต้องกังวลเกินไป นับตั้งแต่นาสต์ได้กลายเป็นราชาแห่งห้าห้วงสมุทร เขาทำการตั้งกฎเหล็กสากลให้โจรสลัดทุกฝ่ายปฏิบัติตาม โจรสลัดส่วนใหญ่จึงทำเพียงปล้นทรัพย์สินจนเกลี้ยง โดยไม่ล่วงเกินผู้โดยสารไปมากกว่านั้น ถ้าเป็นในละแวกนี้ กลุ่มโจรสลัดน่ากลัวอันดับหนึ่งคือกัปตันแห่งทิวลิปดำ พลเรือเอกขุมนรก ลูเธอร์ไวล์ มักมักสั่งให้ลูกน้องฆ่าคนบริสุทธิ์ทั้งหมดเพื่อส่งลงไปอยู่ในนรกบ่อยครั้ง บุคคลน่าหวาดกลัวลำดับถัดมาคือ พลเรือเอกโลหิต เซนอล มันชื่อชอบการหลั่งเลือดเป็นอย่างมาก และมักให้ปล่อยลูกน้องกระทำในสิ่งต่ำทรามเหนือพรรณนา หญิงสาวส่วนใหญ่จะถูกขืนใจก่อนจับส่งขายเป็นทาสบนเกาะ…”


ได้ยืนเช่นนั้น ร่างกายดอนน่าพลันสั่นเทา


เด็กหญิงรีบเปลี่ยนประเด็น


“หนูเคยได้ยินว่ามีสมบัติในทะเลด้วย!”


“มีตำนานเกี่ยวกับสมบัติในทะเลมากมาย แค่เกือบทั้งหมดเป็นเรื่องหลอกลวง” ไอร์แลนด์ชำเลืองไปทางคลีฟส์พลางเล่าต่อ “จากบรรดาตำนานสมบัติลับทั้งหมด มีหกเรื่องโด่งดังมากเป็นพิเศษ


“อันดับหนึ่งก็คือ ‘กุญแจเทพมรณา’ มีข่าวลือเล่าต่อกันมาอย่างยาวนานว่า ในช่วงปลายยุคสมัยที่สี่ หลังจากเทพมรณาสร้างหายนะไร้ชีวิตชีวาขึ้น ท่านถูกรุมโจมตีจากเจ็ดเทพจารีตจนมีสภาพจวนเจียนสิ้นลม จึงใช้แรงเฮือกสุดท้ายพยายามหนีกลับไปยังทวีปใต้ โดยระหว่างทางได้สร้างพายุและคลื่นทะเลเกรี้ยวกราดกีดขวางทวีปเหนือและใต้เอาไว้ นั่นคือตำนานต้นกำเนิด ‘ทะเลคลั่ง’ แต่จนแล้วจนรอด ท่านก็เดินทางไปไม่ถึงทวีปใต้ มีข่าวลือว่าเทพมรณาหายตัวไปในทะเลระหว่างทางอย่างเป็นปริศนา”


กล่าวถึงตรงนี้ ไอร์แลนด์ถอนหายใจยาว


“ใครบางคนเคยกล่าวไว้ สักแห่งภายในทะเลคลั่งนั้นมีสมบัติของเทพมรณาซ่อนอยู่ โดยต้องใช้กุญแจชนิดพิเศษในการเปิด แต่ไม่มีใครทราบว่ากุญแจดังกล่าวมีหน้าตาเป็นเช่นไร อันดับถัดมาคือ ‘น้ำพุไม่แก่เฒ่า’ กล่าวกันว่าอยู่ลึกเข้าไปในทะเลโซเนียอันกว้างใหญ่ไพศาล โดยหนึ่งในสี่ราชาโจรสลัด ราชาอมตะ อาการิธ เคยดื่มน้ำจากบ่อน้ำพุดังกล่าวเข้าไป”


……………………


ราชันเร้นลับ 496 : ทะเลอันเปี่ยมด้วยความฝันของผู้คน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“น้ำพุไม่แก่เฒ่า? ถ้าดื่มเข้าไป เราจะอยู่ในร่างหนุ่มสาวไปตลอดกาลหรือคะ?” ดอนน่าซักถามด้วยดวงตาเปล่งประกาย


แต่เธอมิได้ปรารถนาจะดื่มมัน เนื่องจากตนยังมีอายุน้อยมาก


ไอร์แลนด์ยังไม่ตอบทันที เพียงใช้ส้อมจิ้มเนื้อติดซี่โครงเมอร์ล็อกทอด แบ่งกินสองคำ และตบท้ายด้วยการจิบไวน์เลือดโซเนีย


รสชาติหวานละมุนลิ้นของไวน์ ช่วยกลบความเลี่ยนจากน้ำมันได้เป็นอย่างดี… กัปตันเรือหลับตาลงพลางทำหน้าครุ่นคิดประหนึ่งตนคือนักชิมอาหาร


ผ่านไปหลายวินาที ไอร์แลนด์หันไปตอบกับดอนน่าอย่างไม่รีบร้อน


“ฉันไม่รู้ว่ามีน้ำพุดังกล่าวอยู่จริงไหม และไม่ทราบว่าราชาอมตะ อาการิธ ดื่มมันเข้าไปจริงรึเปล่า… แต่หนึ่งสิ่งแน่ชัดคือ ฉันเคยได้ยินตำนานของราชาโจรสลัดคนนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก เฉกเช่นราชาโจรสลัด นาสต์ ราวกับพวกเขามีชีวิตอันเป็นนิรันดร์”


“เคราของพวกเขาต้องยาวถึงหน้าอกแน่นอน!” แดนตันแสดงความเห็น


“ผิดแล้ว ราชาห้าห้วงสมุทร นาสต์ มีเครายาวเลยปลายคางลงมาเพียงไม่มาก เขานั่งบนบัลลังก์ดาดฟ้าเรืออย่างองอาจ สวมชุดคลุมยาวสีดำสลับแถบสีเงิน สวมมงกุฎสูงกว่าศีรษะประมาณสองเท่า สายตาจ้องมองทุกสิ่งราวกับตนคือเทพ…” เสียงของไอร์แลนด์แผ่วลงขณะเรียกคืนความทรงจำสมัยอดีต


“คุณลุงกัปตันเคยพบราชาห้าห้วงสมุทรด้วยหรือคะ?” ดอนน่าซักไซ้อย่างตื่นเต้น


นาสต์คือโจรสลัดในตำนาน ชื่อเสียงโด่งดังทั่วทุกหนแห่งบนผืนทะเล แม้แต่เด็กเล็กบนเกาะหรือเมืองท่าก็ยังต้องเคยได้ยินชื่อ


คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าเติบโตมาพร้อมการได้ฟังตำนานของนาสต์!


ในทางสามัญสำนึก คนส่วนใหญ่คงเข้าใจว่านาสต์คือราชาโจรสลัดตัวจริง…


หืม… ถ้าเราจำไม่ผิด หนึ่งในเงื่อนไขเพื่อจะเลื่อนลำดับเป็นจักรพรรดิมืดคือ ต้องสลักความเป็น ‘จักรพรรดิ’ ลงในจิตใต้สำนึกของผู้คนจำนวนมาก… หรือนาสต์กำลังวางรากฐานะเพื่อสถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิในอนาคต หลังจากได้เป็นลำดับ 1?


ชักอยากรู้แล้วว่า ปัจจุบันราชาห้าห้วงสมุทรกำลังอยู่ในลำดับเท่าไร…


แม้ว่าภายนอก ท่าทีของไคลน์อาจคล้ายกับกำลังพิจารณารสชาติเนื้อเมอร์ล็อกทอดอย่างเอร็ดอร่อย แต่ภายในใจกำลังตรึกตรองถ้อยคำของกัปตันเรือมากประสบการณ์


หลังจากได้ยินคำถามของดอนน่า ไอร์แลนด์ถอนหายใจแผ่ว


“ในตอนนั้น ฉันยังเด็กมากและทำงานอยู่บนเรือ ‘วิลเลียมที่ห้า’ ขณะกำลังแล่นผ่านช่องแคบภัยพิบัติในทะเลคลั่ง เรือของพวกเราได้พบกับเรือจักรพรรดิมืดเข้าโดยบังเอิญ ภายในไม่กี่วินาที ทุกคนบนเรือ ไม่เว้นแม้แต่กัปตัน ต่างสูญเสียจิตวิญญาณการต่อสู้ไปโดยสิ้นเชิง แต่ยังเคราะห์ดี นาสต์มิได้สั่งให้ลูกเรือบุกโจมตีเข้ามา”


“เท่ชะมัด!” เด็กชายแดนตันกล่าวชื่นชมด้วยดวงตาเปล่งปลั่ง


ไอร์แลนด์ไม่ลงลึกรายละเอียดมากกว่านี้ เพียงอมยิ้มและวกกลับเข้าเรื่องเก่า


“ในส่วนของราชาอมตะ อาการิธ ฉันไม่เคยพบตัวจริงของเขามาก่อน เคยเห็นจากใบประกาศจับพร้อมค่าหัวเท่านั้น เขาเป็นชายวัยกลางคนผิวพรรณขาวซีด หากจะถามว่าซีดแค่ไหน ให้จินตนาการถึงศพมนุษย์เพิ่งตายได้ไม่นานและเริ่มเน่าเปื่อย”


เมื่อได้ยินการเปรียบเปรย ดอนน่าและแดนตันรีบหันไปมองศพเมอร์ล็อกด้านข้างพลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่คนละคำ


“อย่างไรก็ตาม จุดสำคัญมิได้อยู่ตรงใบหน้าของเขา แต่เป็นจำนวนเงินค่าหัว ลำพังอาณาจักรโลเอ็นแห่งเดียว ค่าหัวของอาการิธก็สูงถึงหนึ่งแสนปอนด์แล้ว แถมยังเป็นค่าหัวต่ำสุดจากบรรดาราชาโจรสลัดทั้งสี่” ไอร์แลนด์เล่าต่อ “กลับมายังเรื่องของสมบัติ อันดับสามคือมรดกของจักรวรรดิโซโลมอน กล่าวกันว่า ในยุคสมัยที่สี่ ขณะจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ใกล้ถึงคราวล่มสลาย บรรดาขุนนางได้นำสมบัติมูลค่ามหาศาลชนิดแม้แต่ทวยเทพยังปรารถนาใส่ไว้ในเรือลำใหญ่ และแล่นมุ่งหน้าไปยังทะเลหมอก รอคอยโอกาสฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิโซโลมอนกลับมาอีกครั้ง


“แต่ไม่ว่าจะผ่านไปห้าร้อย หนึ่งพัน หรือหนึ่งพันห้าร้อยปี เรื่องดังกล่าวก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย”


“ดิฉันได้ยินว่า ราชาห้าห้วงสมุทร นาสต์ ได้สืบทอดมรดกบางส่วนมาจากจักรพรรดิโซโลมอน แต่ก็ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเขาคือทายาทของจักรพรรดิมืดตัวจริง” เซซิลกล่าวเสริมด้วยสีหน้าสนใจ


“ทะเลหมอก? ทะเลฝั่งตะวันตกของทวีปเหนือหรือคะ?” ดอนน่าซักถามหลังจากทบทวนความรู้วิชาภูมิศาสตร์


“ถูกต้อง” คลีฟส์ช่วยตอบ


หากนับทวีปเหนือเป็นศูนย์กลาง ฝั่งตะวันออกคือทะเลโซเนีย ฝั่งตะวันตกคือทะเลหมอก ทางทิศใต้คือทะเลคลั่ง และทางทิศเหนือคือทะเลเหนือ


ทางฝั่งทวีปใต้ก็ไม่ต่างกันนัก ตะวันออกและตะวันตกยังคงเป็นทะเลโซเนียและทะเลหมอก ส่วนทางใต้ลงไปเป็นทะเลขั้วโลก


ทะเลทั้งห้าถูกเรียกรวมเป็นห้าห้วงสมุทร


ชายฝั่งทิศตะวันตกของอาณาจักรโลเอ็นมีเทือกเขาโฮนาซิสขวางกั้น แถบด้านบนเป็นแคว้นเลียบทะเล ฝั่งตะวันออกติดกับทะเลโซเนีย และทางทิศใต้เป็นอ่าวเดซีย์ โดยบริเวณดังกล่าวสามารถแล่นเรือผ่านไปยังทะเลคลั่งได้


แต่ไม่มีจุดใดของโลเอ็นใกล้เคียงกับทะเลหมอกเลย


“อย่างนี้นี่เอง…” ดอนน่าไม่สนใจสมบัติไกลตัวสักเท่าไร จึงเปลี่ยนเรื่องซักถาม “แล้วสมบัติลำดับถัดไปคืออะไรคะ?”


“เป็นสมบัติของจักรวรรดิสุดท้ายแห่งยุคสมัยที่สี่ ทรันซอสต์ มีข่าวลือว่า พวกเขาสร้างเรือขนาดเท่าเมืองขึ้นและนำสมบัติทั้งหมดไปเก็บไว้บนเรือ แต่ช่างน่าขัน พวกเขาหลบหนีไม่สำเร็จ แม้ว่าผู้โดยสารทุกคนจะเดินทางมาขึ้นเรือได้ทันเวลา แต่กลับไม่มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว อย่างไรก็ตาม เรือลำดังกล่าวได้หายไปอย่างเป็นปริศนา จนกระทั่งทุกวันนี้ ผู้คนมักอ้างว่ามองเห็นเรือลำใหญ่เท่าเมืองแล่นผ่านไปในค่ำคืนหมอกหนา เรือลำดังกล่าวจึงถูกขนานนามว่า ‘จักรวรรดิผีสิง’ โดยมักปรากฏตัวบ่อยครั้งในเขตน่านน้ำทะเลโซเนีย หึหึ… นั่นคือบทสรุปของเรื่องราว”


ไอร์แลนด์แหงนหน้ามองจันทร์แดงบนท้องฟ้าโดยไม่เก็บซ่อนความปรารถนาในสมบัติมูลค่ามหาศาล


บางที พวกเราอาจได้กับพบเรือฝีสิงในคืนวันพรุ่งนี้ ไม่สิ… คืนนี้วันเลย! ดอนน่าแสดงสีหน้าคาดหวัง


หลังจากจัดการอาหารตรงหน้าจนเกลี้ยง ไคลน์ทำเพียงนั่งจิบชาดำพลางฟังเรื่องราวน่าสนใจจากปากไอร์แลนด์


“ตำนานสมบัติลำดับที่ห้าคือเมืองสาบสูญ ‘เนวินส์’ มีคนกล่าวไว้ว่า บริเวณก้นทะเลหมอกเคยมีอารยธรรมโบราณของสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาอาศัยอยู่ เหล่านักผจญภัยและนักเดินเรือต่างเคยพบหลักฐานการมีตัวตนของอารยธรรมดังกล่าวบ่อยครั้ง แต่กลับไม่มีใครเคยเห็นเมืองจริงๆ ด้านล่างแม้แต่คนเดียว ราวกับมันได้สาบสูญจากโลกนี้ไปนานแล้ว” ไอร์แลนด์กระดกไวน์เลือดโซเนียในแก้วจนหมดและเล่าต่อ “กล่าวกันว่า หากมรดกของอารยธรรมดังกล่าวยังคงอยู่ มูลค่าของมันจะมหาศาลจนมิอาจประเมินเป็นตัวเลขได้”


หลังจากเว้นวรรคสองวินาที ไอร์แลนด์ยิ้ม


“อย่างไรก็ตาม สมบัติในฝันของฉันเป็นสิ่งจับต้องได้มากกว่าตำนานจอมปลอมเหล่านี้ ชื่อของมันคือ ‘ลอเรลอับปาง’ เมื่อราวหนึ่งร้อยปีก่อน เรือลำดังกล่าวได้บรรทุกทองแท่ง เครื่องเพชร และสมบัติมีค่าอีกหลายชนิดของอาณาจักรโลเอ็นกลับจากไบลัมตะวันออก แต่หลังจากแล่นพ้นเขตน่านน้ำปลอดภัย มันจมลงอย่างเป็นปริศนาโดยไม่มีใครทราบตำแหน่งแน่ชัด รู้แต่เพียงว่า จมอยู่สักแห่งระหว่างทะเลคลั่งกับทะเลโซเนีย และยังไม่มีใครค้นพบซากหรือร่องรอยมาจนถึงทุกวันนี้ ทรัพย์สินบนเรือถูกประเมินให้มีมูลค่ากว่าหลายล้านปอนด์!”


“หลายล้านปอนด์…?” เงินจำนวนมหาศาลทำให้ดอนน่าอุทานเสียงหลง


ในฐานะบุตรสาวผู้มีการศึกษาของพ่อค้ามั่งคั่ง เธอพอจะทราบคร่าวๆ ว่าเงินจำนวนดังกล่าวมีค่ามากเท่าใด


นับเฉพาะอาณาจักรโลเอ็น เศรษฐีหลักหลายล้านปอนด์จะถือเป็นอภิมหาคนรวยอย่างแท้จริง! มีอำนาจเป็นรองเพียงตระกูลขุนนางใหญ่และเชื้อพระวงศ์เท่านั้น!


หลายล้านปอนด์…? มาดามแมรีผู้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทโคอิม และยังเป็นหนึ่งในคณะกรรมการมลพิษทางอากาศแห่งชาติ ก็ยังมีทรัพย์สินรวมเพียงไม่กี่แสนปอนด์เท่านั้น


ไคลน์หาเป้าหมายในการเปรียบเทียบ


ไอร์แลนด์ถอนหายใจสั้น


“แต่เธอกลับถูกมองว่าเป็นคนใหญ่คนโตในแวดวงชนชั้นสูงของเมืองหลวง หลังจากหย่าร้างกับสามี เธอก็ถูกหมายตาจากเหล่าสุภาพบุรุษน้อยใหญ่ทั่วกรุงเบ็คลันด์ทันที แม้กระทั่งบุตรชายของทายาทตระกูลดังก็ยังมาขอหมั้นหมาย… หากผมพบ ‘ลอเรลอับปาง’ เมื่อไร คงตัดสินใจลาออกจากการเป็นกัปตันเรือถาวร จากนั้นก็กลับไปยังกรุงเบ็คลันด์และทำตัวเป็นเศรษฐีใจบุญ ซื้อดินแดนและมอบเงินบริจาคให้พรรคการเมืองจนกระทั่งได้นับตำแหน่งขุนนางแบบสืบสายเลือด!”


ถ้าจำไม่ผิด ทาลิมเคยเล่าให้ฟังว่า บรรดาศักดิ์บาโรเน็ตแบบสืบสายเลือดต้องใช้เงินราวสามแสนปอนด์ และบารอนต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่าแปดแสนปอนด์… หากกู้สมบัติดังกล่าวขึ้นมาได้จริง โอกาสได้รับบรรดาศักดิ์ไวเคาต์หรือเอิร์ลก็ไม่ไกลเกินเอื้อม…


เงินหลายล้านปอนด์เชียวนะ!


ไคลน์ช่วยวางแผนอนาคตให้ไอร์แลนด์


“ถ้าเป็นฉันคงไม่ทำแบบนั้นแน่ ขอแค่ซื้อคฤหาสน์สักหลังก็พอแล้ว” เซซิลเริ่มจินตนาการความฝันหลังจากตนได้พบสมบัติ “ฉันจะจ้างคนรับใช้จำนวนมาก ปลูกทุ่งข้าวสาลีขนาดใหญ่ ทำไร่องุ่น และทำห้องบ่มไวน์องุ่นเป็นของตัวเอง… นอกจากนั้นยังจะสร้างห้องสำหรับอาบแดด ล้อมรอบไปด้วยฝูงวัว แกะ และม้า รวมถึงผลิตขนมปังในโรงสีข้าวของตัวเอง นั่นคือวิถีชีวิตในฝัน…”


ไอร์แลนด์หัวเราะเสียงดัง


“ฮะฮะ! มาดาม คุณทราบหรือไม่ว่าคฤหาสน์หลังหนึ่งมีราคาเท่าไร”


“ไม่ทราบค่ะ” เซซิลส่ายหน้า


“แค่ไม่กี่พันปอนด์เท่านั้น!! หากคุณหาลอเรลอับปางพบ ก็จะซื้อคฤหาสน์ในฝันได้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันหลัง!” ไอร์แลนด์ใช้ตัวเลขขยายให้เซซิลเห็นภาพชัด


คฤหาสน์นับพันหลัง? เซซิลครุ่นคิดพลางยกถ้วยชาดำขึ้นมาจิบ


แต่ไหนแต่ไร เธอทราบว่าเงินจำนวนหลายล้านปอนด์คือจำนวนมหาศาล แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะมากมายถึงเพียงนี้!


เพื่อบรรเทาความตกตะลึงในใจ หญิงสาวรีบหันไปทางคลีฟส์และซักถาม


“หัวหน้า ถ้าคุณได้พบลอเรลอับปาง จะนำเงินหลายล้านปอนด์ไปทำอะไรบ้าง? ไม่สิ…คุณต้องการมีชีวิตแบบไหนหลังจากนั้น”


คลีฟส์เงียบงันสักพัก


“กลับบ้านไปกอดภรรยาและลูกๆ พร้อมกับบอกทุกคนว่า พ่อไม่จำเป็นต้องออกไปผจญภัยในทะเลอีกแล้ว”


เป็นคนดีผิดคาดแฮะ… ไคลน์พยักหน้าหงึก


ดอนน่าหันมาทางชายหนุ่ม


“แล้วคุณลุงนักผจญภัยล่ะคะ?”


ไคลน์ตอบเสียงเรียบด้วยสีหน้าเย็นชา


“บอกกับตัวเองให้รีบตื่น และเลิกฝันกลางวันสักที”


พรวด…!


ดอนน่าบ้วนชาเย็นในปากลงบนจานอาหารตรงหน้า แต่โชคยังดีว่า เนื้อเมอร์ล็อกทอดถูกจัดการไปจนหมดแล้ว


ขณะเดียวกัน ไคลน์ถอนหายใจยาว


ถึงสมบัติจะมีอยู่จริง แต่ก็แทบไม่มีทางตกถึงมือคนธรรมดาอย่างเราแน่ เพราะเจ็ดโบสถ์หลักไม่น่าจะปล่อยให้สมบัติมูลค่ามหาศาลหลุดรอดมาถึงปัจจุบันได้…


แต่ลำพังการได้พูดคุยเกี่ยวกับสมบัติ ก็มากพอจะทำให้หัวใจสูบฉีดเต้นระรัว นี่คือเสน่ห์ของตำนานสินะ… ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมเหล่านักผจญภัยถึงได้หลงใหลในสมบัติกันนัก!


ดอนน่ารีบเช็ดปากและนั่งด้วยกิริยาสง่างาม ราวกับเมื่อครู่มิได้บ้วนอะไรออกไปทั้งสิ้น


เด็กชายแดนตันซักถามกระตือรือร้น


“ยังมีตำนานสมบัติอื่นอีกไหมครับ”


ไอร์แลนด์ไปมองทางคลีฟส์ บอกเป็นนัยว่าให้ชายคนนี้ช่วยมอบคำตอบ


คลีฟส์จิบชาดำอย่างใจเย็น ก่อนจะวางถ้วยลงและเริ่มเล่าจากประสบการณ์ตัวเอง


“ในทะเลมีสมบัติอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นดินแดนลึกลับของเอลฟ์ เรือโจรสลัดซึ่งหายไปอย่างเป็นปริศนาในส่วนลึกสุดของทะเลหมอก เมืองใต้น้ำอันเต็มไปด้วยสัตว์น้ำดุร้ายและทรงพลัง ขุมทรัพย์สุดท้ายของจักรพรรดิโรซายล์ และอื่นๆ อีกมาก”


หือ…? แม้แต่จักรพรรดิก็มีตำนานขุมทรัพย์กับเขาด้วยหรือ…ถ้าเป็นเรื่องจริง ภายในนั้นจะมีไพ่เย้ยเทพอยู่รึเปล่า และมีทั้งหมดกี่ใบ…


ไม่เพียงเท่านั้น ตำนานกุญแจเทพมรณาอาจช่วยให้มิสเตอร์อะซิกฟื้นฟูความทรงจำบางส่วนกลับคืนมา…


ไคลน์ไตร่ตรองด้วยสีหน้าคาดหวัง


……………………


ราชันเร้นลับ 497 : กำแพงค่าหัว

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากบทสนทนาเกี่ยวกับตำนานสมบัติอันลึกลับและชวนฝันจบลง พ่อครัวได้ย่างเนื้อติดมันส่วนท้องของเมอร์ล็อกเสร็จพอดี


เมื่อผ่านการย่าง เนื้อท้องได้กลายเป็นสีขาวนุ่มคล้ายปุยหิมะ มีจุดไหม้เกรียมสีดำเล็กน้อยประปรายตามขอบ บางส่วนถูกฉาบไว้ด้วยชั้นเครื่องเทศสีน้ำตาล ช่วยให้ดูชุ่มฉ่ำและน่ากินมากยิ่งขึ้น


การบรรจงทาเครื่องเทศทีละนิดด้วยแปรงทำให้รสชาติซึมเข้าไปในเนื้อจนเข้มข้น แถมยังช่วยให้มีรูปลักษณ์น่ากินเป็นอย่างมาก


“เป็นการย่างปลาในแบบเดซีย์ แตกต่างจากปลาย่างทั่วไป” ไอร์แลนด์ชี้ไปทางภาชนะกระเบื้องเคลือบในมือพ่อครัว


ดอนน่าถือมีดส้อมพลางกล่าวด้วยสีหน้ากระตือรือร้น


“ความจริงแล้ว หนูชอบกินปลาย่างน้ำผึ้งมากกว่า… แต่แบบนี้ก็น่าอร่อยเหมือนกัน!”


ปลาย่างน้ำผึ้ง… ต้องใช้น้ำผึ้งมากขนาดไหนกัน…? ถ้ามีโอกาส เราก็อยากลองชิมบ้างสักครั้ง รสชาติคงอร่อยไม่หยอก…


ไคลน์จินตนาการเรื่อยเปื่อย


เมื่อมีพ่อครัว ทุกคนก็ไม่ต้องเดือดร้อนเดินไปตักหั่นกันเอง เพียงนั่งมองพ่อครัวมืออาชีพแบ่งชิ้นปลาอย่างชำนาญ จัดจาน โรยเครื่องปรุงรสเพิ่มเล็กน้อย และยกมาเสิร์ฟตรงหน้า


ไคลน์พิถีพิถันกับการกินอาหารคุณภาพสูงมาก มันไม่รีบร้อนจิ้มปลาเข้าปากทันที แต่เลือกกลั้วคอด้วยชาดำซึ่งมีรสเปรี้ยวเล็ก ๆ เพื่อล้างช่องปากให้สะอาด


หลังจากเตรียมตัวเสร็จ ไคลน์ใช้ส้อมจิ้มเนื้อท้องเมอร์ล็อกย่างใส่ปากหนึ่งคำ


แทบจะในพริบตา ชายหนุ่มถูกกระตุ้นด้วยรสชาติอันนุ่มละมุนของยี่หร่า โหระพา และเครื่องเทศชนิดอื่น ถือเป็นการเปิดต่อมรับรสได้อย่างดีเยี่ยม


ถัดมา น้ำมันเนื้อปลาได้ผสานเข้ากับเกลือทะเลซึ่งช่วยดึงรสชาติ ตัดด้วยความเปรี้ยวและหวานจากมะนาว รสชาติอันเข้มข้นจากทุกองค์ประกอบได้ระเบิดพร้อมกันภายในช่องปากจนน้ำลายแตกฟอง


ยิ่งได้เคี้ยว แรงต่อต้านจากผิวเนื้อปลาก็ยิ่งถูกทำลายไปทีละชั้น จนกระทั่งไขมันอันอ่อนนุ่มกระทบกับฟันกรามและผสมผสานกลายเป็นรสชาติอันสมบูรณ์แบบติดปลายหวาน


หลังจากกลืนเนื้อเมอร์ล็อกคำสุดท้ายลงคอ ไคลน์นึกทบทวนคำพูดยอดนิยมของนักชิมอาหารสมัยเคยดูรายการทีวีของโลกเก่า และเลือกใช้ถ้อยคำให้สอดคล้องกับรสชาติของเนื้อปลาย่างเมื่อครู่


“รสชาติถูกแบ่งออกเป็นหลายชั้นอย่างกลมกล่อมและมีเอกลักษณ์ชัดเจน ยอดเยี่ยมมาก!”


“ฮะฮะ! คำพูดของคุณฟังดูเหมือนนักชิมอาหารมืออาชีพเลยนะ!” ไอร์แลนด์ติดตลก


ดอนน่าโบกส้อมพลางพูดเสริม


“คุณลุงน่าจะเขียนบทความเกี่ยวกับการชิมอาหารในภัตตาคารแต่ละแห่งลงหนังสือพิมพ์นะคะ!”


…ทำไมเราถึงไม่เคยคิดเรื่องนี้!


นี่มันงานในฝันเลยไม่ใช่หรือ กินอาหารได้มากตามต้องการแถมยังร่ำรวยไปพร้อมกัน… แต่ปัญหาคือ ตัวตลกอ้วนกลมคงไม่คล่องแคล่วสักเท่าไรกระมัง… หรือจะใช้เทคนิคกินเข้าไปแล้วแอบคายออกอันโด่งดังจากโลกเก่า?


เสียของฉิบหาย!


ไคลน์เก็บคำแนะนำของดอนน่าไปคิดอย่างเอาจริงเอาจัง


“แด่ค่ำคืนอันงดงาม!”


เมื่ออาหารบนโต๊ะเหลือไม่มาก ไอร์แลนด์นำไวน์เลือดโซเนียขวดใหม่มารินใส่แก้วและกล่าวนำอวยพรด้วยใบหน้าแดงก่ำ


ไคลน์และคนอื่น ๆ พูดตามอย่างอารมณ์ดี


“แด่ค่ำคืนอันงดงาม”


ทุกคนจัดการของเหลวในแก้ตัวเองจนเกลี้ยงในคราวเดียว ก่อนจะวางแก้วลงพลางจ้องมองลูกเรือทำความสะอาดโต๊ะอาหารและเก็บกวาดบริเวณโดยรอบ


ท่ามกลางสายลมเย็นชุ่มฉ่ำยามค่ำคืน การสนทนายังคงดำเนินต่อไปในหัวข้อตำนานต่าง ๆ ของท้องทะเล โดยส่วนมากมักเป็นเรื่องของนางเงือกซึ่งดอนน่าสนใจเป็นพิเศษ


คลีฟส์เล่าให้เด็กหญิงฟังว่า ในบางตำนาน นางเงือกจะถูกเรียกว่า ‘ไซเรน’ มักใช้เสียงร้องในการดึงดูดมนุษย์เพื่อล่าเหยื่อ หาใช่เพื่อความสุนทรีย์ นอกจากนางเงือกจะพบได้ในทะเลลึกใกล้กับหมู่เกาะการ์กัส พวกหล่อนยังเคยถูกพบได้ในเขตนอกเส้นทางการเดินเรือปรกติ แต่ต้องเข้าไปลึกมาก ซึ่งบริเวณดังกล่าวมักเต็มไปด้วยอันตราย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทั้งหมดมาจากปากโจรสลัดขี้เมา โดยไม่มีใครยอมเล่าว่าพวกมันรอดพ้นมาจากเสียงร้องล่ามนุษย์ของนางเงือกได้อย่างไร ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงยังน่าคลางแคลง


แต่เรากลับคิดว่านั่นเป็นไปได้… ไคลน์จดบันทึกใจความสำคัญของบทสนทนา


“ดอนน่า แดนตัน ถึงเวลากลับห้องพักกันแล้วนะคะ พรุ่งนี้คุณหนูต้องตื่นแต่เช้าเพื่อร่วมโต๊ะอาหารพร้อมกับคุณผู้ชายและคุณผู้หญิง” เซซิลกล่าวพลางแหงนมองดวงจันทร์


“ค่ะ” ดอนน่าลุกยืนอย่างไม่เต็มใจนัก


แดนตันรีบโพล่งถาม


“ผ…ผมจะเป็นนักผจญภัยได้ไหมครับ!”


ห้วงความคิดของเด็กชายยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องราวแสนมหัศจรรย์ของตำนานบนท้องทะเล


คลีฟส์เดินเข้าไปใกล้และตบบ่า


“ก่อนจะถามคำถามนี้ คุณหนูต้องฝึกศิลปะการต่อสู้ไม่ต่ำกว่าห้าปี ผมคิดว่าคุณผู้ชายน่าจะช่วยหาครูฝึกให้ได้นะครับ”


“ตกลงครับ!” ดวงตาแดนตันพลันสุกสว่างขณะพยักหน้ารับอย่างมีชีวิตชีวา


แหงสิ… หลังจากห้าปี แดนตันในวัยหนุ่มคงเลิกอยากเป็นนักผจญภัยสุดอันตรายผู้พร้อมจมก้มทะเลได้ทุกเมื่อ… คลีฟส์แก้ปัญหาได้อย่างชาญฉลาด ไม่ปฏิเสธด้วยท่าทีแข็งกร้าว แต่เลือกให้เวลาช่วยบรรเทาความสนใจของเด็กแทน วิธีนี้จะไม่ทำให้เด็กมีนิสัยต่อต้าน… และเหนือสิ่งอื่นใด การฝึกศิลปะป้องกันตัวเอาไว้ย่อมไม่สูญเปล่า ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม…


ไคลน์สอดมือสองข้างเข้าไปในกระเป๋าพลางชมเชยอดีตนักผจญภัยในใจ


ขณะเดินกลับห้องพัก คลีฟส์แอบยื่นธนบัตรห้าปอนด์ให้ไคลน์จำนวนสองใบ


“ส่วนแบ่งของคุณ”


คลีฟส์เพิ่งได้รับเงินจำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบปอนด์ค่าศพเมอร์ล็อกมาจากไอร์แลนด์


“แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย…” ไคลน์ปฏิเสธ


คลีฟส์จ้องด้วยดวงตาสีฟ้าซีด


“คุณทำให้เซซิลมีอิสระโดยการช่วยดูแลเด็ก ๆ เป็นอย่างดี”


ดูแลเด็ก ๆ เป็นอย่างดี? นั่นคืองานหรือ…


ไคลน์ค่อนข้างประหลาดใจกับส่วนแบ่งอันไม่คาดฝัน แต่สุดท้ายก็เลือกรับเงินไว้พร้อมกับวาดสัญลักษณ์สามเหลี่ยมกลางหน้าอก


“ใจกว้างผิดคาด ขอบคุณมาก”


ชายหนุ่มไม่คิดปฏิเสธให้ยืดเยื้อ เนื่องจาก ในสายตาอดีตนักผจญภัยอย่างคลีฟส์ หากไม่ยอมรับเงินสิบปอนด์แต่โดยดี จะหมายความว่าตนต้องการมากกว่านั้น และพร้อมลงมือทำร้ายได้ทุกเมื่อ เพราะในบรรดาผู้ประกาศตัวว่าเป็นนักผจญภัย คลีฟส์ย่อมเคยพบเจอคนเสียสติมานับไม่ถ้วน


เมื่อเห็นเกอร์มัน·สแปร์โรว์หยิบเงินใส่กระเป๋าเสื้อ คลีฟส์เบือนหน้าไปทางอื่น


“นี่เป็นกฎของท้องทะเล”


โดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม มันเดินตามเซซิล ดอนน่า และแดนตันเข้าไปในห้องพัก


ถ้างานเล็กน้อยเช่นนี้ทำเงินให้เราได้มากถึงสิบปอนด์ทุกครั้ง เส้นทางการเป็นนักสืบของเราคงโรยด้วยกลีบกุหลาบไปนานแล้ว…


ไคลน์จิกกัดติดตลกพลางแหงนหน้ามองพระจันทร์สีแดงบนท้องฟ้า


แสงของจันทรายามราตรียังคงสว่างไสวและอ่อนโยนดังเช่นทุกที


ตำนานแห่งท้องทะเล… สัตว์ประหลาดนานาชนิด… เริ่มรู้สึกถึงกลิ่นอายของนักผจญภัยขึ้นมาบ้างแล้วสิ…


ไคลน์หันหลังกลับและเดินออกไปยังดาดฟ้าเรืออีกครั้ง ปล่อยให้ร่างกายถูกแสงจันทร์สีแดงอาบท่วม พลางเชยชมคลื่นทะเลสาดปะทะกับท้องเรือจนเกิดเสียงซ่า


ความเศร้าและหดหู่จากโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์เริ่มบรรเทาลงจากตอนแรกเล็กน้อย


มาถึงจุดนี้ ไคลน์นึกอยากร้องเพลง แต่หลังจากพยายามพะงาบปากงับคำ มันกลับตระหนักว่าตนจดจำเนื้อเพลงสมัยใหม่อันสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้เลย


คงร้องออกไปว่า ‘โอ้ทะเลแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส’ ไม่ได้สินะ… เส้นทางนักปราชญ์ของจักรพรรดิช่างเหมาะกับสถานการณ์เช่นนี้เหลือเกิน ไว้มีเวลาว่าง คงต้องหาโอกาสอ่านบทกลอนของรุ่นพี่สักหน่อย จะได้ไม่ทำตัวเป็นพวกบ้านนอกเข้ากรุง…


ไคลน์แหงนมองพระจันทร์สีแดงพลางถอนหายใจยาว


“ช่างเป็นค่ำคืนอันงดงาม”



หลังจากเกิดเหตุไม่คาดฝันอยู่พักใหญ่ ทีมสำรวจก็เดินทางกลับมาถึงเมืองเงินพิสุทธิ์โดยสวัสดิภาพ


แต่หลังจากได้เห็นร่องบนกำแพงเมืองมีวัชพืชเกาะหนาเมื่อเทียบกับช่วงก่อนออกเดินทาง เดอร์ริคพลันยืนผงะตัวแข็งทื่อ


นานจนรู้สึกเหมือนกับผ่านไปหลายปี…


ยืนเยื้องถัดไปจากเด็กหนุ่ม รูม่านตาของนักล่าปีศาจโคลินพลันหดลีบ มันรีบเลื่อนมือขวาขึ้นมาแตะขมับด้วยสีหน้าครุ่นคิด


ทางด้านสมาชิกคนอื่นกำลังแสดงสีหน้ายินดีปรีดาเมื่อได้กลับบ้านอีกครั้ง


หลังจากภารกิจสำรวจแสนอันตรายจบลง ไม่มีสิ่งใดน่ายินดีไปกว่าการได้กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยอีกแล้ว


จนกระทั่งผ่านไปสักพัก ดวงตาโคลินเริ่มกลับเป็นปรกติ ก่อนจะชำเลืองไปยังด้านข้างในแนวเฉียงของตน



ณ กรุงเบ็คลันด์ บ้านตระกูลไวท์


หลังจากครุ่นคิดสักพัก เอ็มลินรวบรวมความกล้าเพื่อถามกับพ่อและแม่ด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจ


“หากข้าต้องการศึกษาประวัติศาสตร์ของตระกูลผีดูดเลือด ควรไปปรึกษาใครดี?”


ถ้าเราถามเกี่ยวกับเมืองเงินพิสุทธิ์โดยตรง คงน่าสงสัยเกินไปและได้กลายเป็นเด็กมีปัญหาอีกแน่ เพื่อเก็บภารกิจของท่านบรรพชนไว้เป็นความลับ มีแต่ต้องอดทนเท่านั้น…


ไม่ต้องกังวล เราหลงใหลประวัติศาสตร์ของผีดูดเลือดเป็นทุนเดิมแล้ว ท่านพ่อกับท่านแม่ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี พฤติกรรมของเรานับว่าสมเหตุสมผล… แผนการดำเนินไปอย่างสมบูรณ์แบบ!


เอ็มลินชมเชยตัวเองในใจ


แวมไพร์หนุ่มมีรูปโฉมคล้ายคลึงบิดาในหลายด้าน แถมยังสวมแว่นตากรอบทองเพื่อเสริมบรรยากาศน่าเกรงขาม


ทันใดนั้น สุภาพบุรุษรูปงามผู้มีใบรับรองทางการแพทย์ในสาขาเวชภัณฑ์ วางหนังสือ ‘กายวิภาคศาสตร์’ เล่มหนาลงบนโต๊ะพลางขยับกรอบแว่น


“ไม่มีใครในกรุงเบ็คลันด์เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์มากไปกว่าลอร์ดนีบาส”


…ถ้าข้ากล้าไปหาลอร์ดนีบาส คงไม่มัวมาถามพ่อกับแม่ให้เสียเวลา…


เอ็มลินหวนนึกถึงคำพูดของมิสเตอร์ฟูล : ตนคือผู้ถูกเลือกให้แบกรับชะตากรรมของตระกูลภายในเงามืด ห้ามเปิดเผยตัวตนโดยเด็ดขาด และการถูกเข้าใจผิดคือของคู่กัน


เอ็มลินซักไซ้


“นอกจากลอร์ดนีบาส? ท่านมักจำศีลอยู่ในห้องใต้ดินเสมอ ข้าไม่ต้องการรบกวนในเรื่องเล็กน้อย”


บิดาของเอ็มลินตั้งปกชุดนอนตัวหนาพลางทำสีหน้าครุ่นคิด


“เวย์แมนดี้ เขามักคิดว่าตัวเองเป็นนักประวัติศาสตร์มือฉมัง”


เอ็มลินถอนหายใจยาวพลางอมยิ้ม


“ข้าจะไปเยี่ยมเขา”



ปู๊น!


เสียงหวูดของโมราขาวดังก้องกังวานขณะแล่นจอดเทียบในเมืองท่าดาเมียร์


ระหว่างนี้จะเป็นช่วงเวลาเติมเสบียงและน้ำสะอาด จากนั้นจึงออกเดินทางอีกครั้งในช่วงเช้าของวันพรุ่งนี้


หลังจากล่าเมอร์ล็อก ไคลน์ใช้ชีวิตค่อนข้างน่าเบื่อตลอดสองวันเต็ม ฉากของท้องทะเลกลายเป็นสิ่งเอียนสายตา ชายหนุ่มจึงอยากแวะเข้าไปในผับประจำเมืองท่าโดยหวังว่าจะได้รับข้อมูลของนางเงือกเพิ่มเติม


แต่ถ้ามีโอกาสเดินสวนกับโจรสลัดเลวระยำสักคน เราก็ไม่ลังเลจะสอนบทเรียนให้กับมันสักเรื่องสองเรื่อง ยุบพองหิวโหยกำลังว่างหนึ่งตำแหน่งพอดี…


หน้าผากไคลน์เริ่มผุดเหงื่อเม็ดใหญ่ เพราะมันพกพาสมบัติวิเศษติดตัวลงจากโมราขาวในสภาพเต็มอัตราศึก


ระหว่างทาง ชายหนุ่มได้พบกับคลีฟส์ ดอนน่า และคนอื่น โดยคณะเดินทางกำลังมุ่งหน้าไปยังภัตตาคารหรูประจำเมืองท่าเพื่อลิ้มรสเนื้อหมักเกลือแสนโด่งดังของดาเมียร์


ดอนน่าและแดนตันแอบทักทายคุณลุงนักผจญภัยโดยไม่ให้พ่อกับแม่รู้ตัว พลางชะเง้อมองด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังจะไปไหน


ไคลน์ยิ้มตอบ ก่อนจะตั้งปกเสื้อขึ้นและเดินตามป้ายตรงไปยังผับประจำเมืองท่า


ปลาบินและไวน์… ชื่อตรงไปตรงมาดี…


ชายหนุ่มมองไปยังป้ายประกาศแผ่นใหญ่และพบว่ามีกำแพงสำหรับแปะใบค่าหัวโจรสลัดโดยเฉพาะ


สูงสุดคือแปดแสนปอนด์ เป็นของราชาห้าห้วงสมุทร ต่ำสุดประมาณร้อยกว่าปอนด์ เป็นของกัปตันเรือโจรสลัดปลายแถว ใบค่าหัวถูกเรียกตามจำนวนเงินจากมากไปน้อย


แม้แต่ในทะเล เงินก็ยังสำคัญ…


ไคลน์ยืนจ้องกำแพงผืนดังกล่าวอยู่พักใหญ่


ผ่านไปสักพัก มันเบือนหน้าหนีพร้อมกับผลักประตูผับเปิดเข้าไป แต่ต้องก็พบกับบรรยากาศเงียบงันจนผิดคาด ปราศจากเสียงอึกทึกซึ่งควรจะเป็นเอกลักษณ์ของผับ


เกิดอะไรขึ้น?


ไคลน์กวาดสายตามอง และพบกับกัปตันไอร์แลนด์ในโค้ทสีแดงเข้มกำลังนั่งตรงเคาน์เตอร์ รวมถึงยังได้พบชายแปลกหน้าตัวใหญ่กึ่งกลางผับสองคน กำลังหันหน้าเข้าหากัน


……………………


ราชันเร้นลับ 498 : สร้างตัวตน

โดย

Ink Stone_Fantasy

การประจันหน้าระหว่างชายกำยำสองคนกลางผับปลาบินและไวน์ยังคงดำเนินต่อไป


ฝ่ายหนึ่งเป็นชายร่างกายบึกบึน สวมเครื่องแบบสีกรมท่าสลับแถบขาวอันเป็นเอกลักษณ์ของทหารเรือ มันปล่อยให้ท่อนแขนทั้งสองข้างเปลือยเปล่าโดยไม่สนว่าสภาพอากาศจะหนาวเย็นจบเกือบศูนย์องศาหรือไม่


ในมือถือกริช กำลังจ่อคอฝ่ายตรงข้าม แต่หว่างคิ้วของมันก็ถูกนาบด้วยปากกระบอกปืนคาบศิลาทรงโบราณอันควรถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์


เจ้าของปืนคาบศิลามีส่วนสูงไม่ต่ำกว่า 1.8 เมตร กล้ามเนื้อเป็นมัดแน่น ใบหน้ามันเลื่อม ศีรษะถูกโกนจนล้าน สักลายนกอินทรีทะเล


มันสบถ :


“ไอ้ทหารเรือขี้หมา! ไม่มีใครในเมืองท่าดาเมียร์กล้ากล่าวหาว่าฉันเป็นสายข่าวให้กับโจรสลัด!”


ทหารเรือคนดังกล่าวมิได้ผ่อนคลายบรรยากาศคุกคาม สีหน้าแววตาทั้งคู่บ่งบอกชัดเจนว่ามีประสบการณ์ในทะเลโชกโชน


ไคลน์ยืนจ้องสักพัก ก่อนจะเดินไปทางเคาน์เตอร์ซึ่งมีกัปตันไอร์แลนด์ ผู้เหน็บดาบยาวไว้ตรงเอวและซ่อนปืนคาบศิลาไว้ในเสื้อ กำลังนั่งจิบเครื่องดื่ม


ชายหนุ่มซักถามเป็นกันเอง


“เกิดอะไรขึ้นหรือ”


“ก็แค่ขี้เมาสองคนทะเลาะกัน ทั่วทั้งเมืองท่าดาเมียร์และละแวกใกล้เคียงกำลังมีข่าวลือหนาหูว่า ‘อินทรีย์ทะเล’ โลแกน ทำงานเป็นสายข่าวให้กัปตันทิวลิปดำ ขณะทหารเรือคนนั้นกำลังพูดเรื่องดังกล่าวกับเพื่อน อินทรีย์ทะเลได้ยินจึงไม่พอใจ”


กัปตันทิวลิปดำ?


พลเรือเอกนรก ลูเธอร์ไวล์?


ไคลน์นั่งลงบนเก้าอี้กลมติดหน้าเคาน์เตอร์ด้านข้างไอร์แลนด์ พลางใช้นิ้วเคาะแผ่นไม้


“เบียร์นันวีลล์หนึ่งแก้ว”


“หกเพนนี” บาร์เทนเดอร์ผิวแทนฟันขาวกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะใช้ผ้าเช็ดแก้ว


คิดไว้ไม่มีผิด…สินค้าพื้นเมืองจะมีราคาสูงเมื่ออยู่นอกถิ่นกำเนิด…ไคลน์ล้วงเศษเหรียญจากกระเป๋าเสื้อและนับจนครบหกเพนนี


พร้อมกันนั้น โลแกนกับทหารเรือได้ถูกคนคุมผับแยกตัวไปคนละมุมร้าน ทั้งคู่ส่งเสียงสบถด่ากันเป็นระยะอย่างฉุนเฉียว


อาจเป็นเพราะรู้สึกเสียหน้า ทหารเรือจึงเดินออกจากร้านไปในอีกไม่กี่อึดใจถัดมา ส่งผลให้ผับเริ่มกลับมาครื้นเครงอีกครั้ง


“เล่นไพ่ไหม?” กัปตันไอร์แลนด์ชี้ไปทางบันไดสู่ชั้นสองของผับ


“ไม่ดีกว่า” ไคลน์ยังคงไม่สูญเสียจุดยืน มันมาผับเพราะต้องการรวบรวมข้อมูล


ใจจริง ไอร์แลนด์อยากเลื่อนมือขึ้นมาตบบ่าไคลน์อย่างอ่อนโยน แต่บรรยากาศเย็นชารอบตัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์ทำให้มันต้องชะงักความคิด เพียงดึงมือกลับและแสร้งทำเป็นปัดชายเสื้อโค้ทสีแดงเข้ม พลางกล่าวตักเตือนด้วยความหวังดี


“อย่าจีบสาวแถวนี้เด็ดขาด”


ไคลน์พยักหน้ารับ มือขวายกแก้วเบียร์นันวีลล์กระดกอึกใหญ่


“แล้วก็… ไม่ควรเชื่อคำพูดใครง่าย ๆ พวกมันพูดความจริงแค่ส่วนน้อย” ไอร์แลนด์เดินถือขวดแลงติร้อนแรงขึ้นบันไดชั้นสอง


ไคลน์มองตามและซักถามหน้านิ่ง


“รวมถึงคุณด้วยไหม”


“…ก็คงใช่” ไอร์แลนด์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง “ฮะฮะ! แต่คำเตือนเมื่อครู่เป็นความจริง แล้วก็ ผมเป็นผู้ชายจริง ๆ”


ไม่แน่เสมอไป…ถ้าคุณดื่มโอสถแม่มด…


ไคลน์เบือนหน้ากลับมายังเคาน์เตอร์ มันบรรจงจิบเบียร์อย่างไม่รีบร้อนพลางนั่งฟังกลุ่มขี้เมารอบผับคุยโม้โอ้อวด


สองสามนาทีถัดมา ชายร่างเล็กเดินมานั่งข้างไคลน์พร้อมกับถือเครื่องดื่มในมือ


“สหายเป็นนักผจญภัยใช่ไหม” ชายแปลกหน้าเอียงคอยิ้มถาม


อีกฝ่ายมีผมสีดำ ดวงตาสีฟ้า ใบหน้าค่อนข้างชราและหมองคล้ำไร้ราศี


“จะเรียกแบบนั้นก็ได้” ไคลน์ตอบเย็นชืด


“เพียงแค่มอง ฉันก็บอกได้ทันทีว่านายเป็นนักล่าสมบัติมือฉมัง นักล่าผู้แสวงหาโอกาสและความมั่งคั่ง!” ชายร่างเล็กมองไปรอบตัวพลางหรี่เสียงลง “เคยได้ยินตำนานเรือ ‘จักรวรรดิผีสิง’ บ้างไหม”


นี่เป็นบทสนทนาชวนทำแอมเวย์ของโลกทางนี้หรือไง… จริงสิ… ฉันยังเคยฟังเรื่องราวของพระเจ้าผู้ปลดปล่อยด้วยเหมือนกัน…


ไคลน์หันไปตอบพร้อมกับใช้พลังผู้ไร้หน้าสร้างบรรยากาศไม่เป็นมิตร


“เคย… เรือผีสิงลำใหญ่ขนสมบัติมากมาย”


“นั่นแหละ! พวกเรามีเบาะแสของมัน!” ชายร่างเล็กอุทานด้วยเสียงลุ่มหลง “เรามีเบาะแสว่ามันจะปรากฏตัวอีกครั้งตรงไหน! พวกเราไม่ต้องการให้สมบัติตกอยู่ในมือของทหารเรือหรือโจรสลัด และไม่ต้องการถูกดักปล้นกลางทาง จึงวางแผนเช่าเรือติดอาวุธของพ่อค้าไปดักรอยังพิกัดดังกล่าว แต่ค่าเช่าเรือต้องใช้เงินหนึ่งพันปอนด์ ตอนนี้พวกเรารวบรวมสมาชิกได้ทั้งหมดสิบห้าคนและมีเงินทุนทั้งหมดเจ็ดร้อยยี่สิบปอนด์แล้ว ขาดอีกไม่มากเท่านั้น! นายสนใจจะเข้าร่วมด้วยไหม”


โดยไม่รอให้ไคลน์ตอบ อีกฝ่ายควักปึกกระดาษสีเหลือออกมาวาง


“ฉันรู้ว่านายคงไม่เชื่อง่าย ๆ เพราะในทางสามัญสำนึก ทุกคนมีความระแวงอยู่เสมอ แต่หลังจากทั้งสิบห้าคนได้อ่านเอกสารเหล่านี้ พวกเขาตัดสินใจเข้าร่วมแผนการทันที!”


…หน้าตาเราดูหลอกง่ายขนาดนั้นเชียว?


หรือเจ้าพวกนี้เลือกเหยื่อส่งเดชโดยไม่สนใจหน้าตาตั้งแต่แรก?


ขณะไคลน์กำลังคิดว่า ตนจะเสียเวลาอ่านเอกสารดีไหม มุมสายตาบังเอิญเหลือบเห็นอินทรีย์ทะเล โลแกน ผู้เพิ่งมีปากเสียงกับทหารเรือ เดินดุ่มเข้ามาใกล้อย่างองอาจ


“วูดดี้…! แกคิดจะหลอกเอาเงินคนอีกแล้วใช่ไหม! ไอ้หนูท่อสกปรก!”


เมื่อสิ้นเสียง โลแกนหิ้วชายร่างเล็กโยนลงไปยังพื้นโล่งใจกลางผับ ก้นอีกฝ่ายกระแทกพื้นอย่างจังจนเผยสีหน้าเจ็บปวด


จากนั้น ชายร่างกายกำยำผู้มีรอยสักสีเขียวอมฟ้ากึ่งกลางศีรษะ นั่งลงแทนตำแหน่งวูดดี้พร้อมกับหัวเราะเสียงดัง


“ฮะฮะ! ต้องขอโทษด้วย เจ้านั่นคือหนูสกปรกประจำเมืองท่าดาเมียร์แห่งนี้ ชอบสร้างชื่อเสียให้พวกเราอยู่เรื่อย แต่ในความเป็นจริง ชาวดาเมียร์เป็นมิตรและมีน้ำใจอย่างมาก หากติดปัญหาในเรื่องใด อย่าได้ลังเลจะมาปรึกษาฉัน ฮะฮะ! แล้วก็… อย่าไปเชื่อคำพูดคนพวกนั้นมากนัก ฉันเป็นคนเถรตรง และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับพลเรือเอกนรกทั้งสิ้น!”


ยิ่งพยายามเน้นย้ำ นายก็ยิ่งน่าสงสัย…


ไคลน์กล่าวอย่างใจเย็นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


“อยากฟังข่าวลือในช่วงหลัง”


“ไม่มีปัญหา” อินทรีย์ทะเลโลแกนทุบเคาน์เตอร์เสียงดังพลางตะโกนใส่บาร์เทนเดอร์


“เอาเนื้อหมักเกลือสูตรพิเศษของเมืองท่าดาเมียร์มาหนึ่งชุดใหญ่! ฉันจะเลี้ยงสหายหน้าใหม่ด้วยอาหารสุดพิเศษของเมืองเรา”


บาร์เทนเดอร์เปิดประตูห้องครัวและเดินเข้าไปด้วยสีหน้าปรกติ


ผ่านไปสักพัก มันกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับจานเนื้อหมักเกลือสีขาวสลับแดงหน้าตาชวนให้น้ำลายสอ


“ห้าปอนด์” บาร์เทนเดอร์มิได้มองไปทางอินทรีย์ทะเลโลแกน แต่จ้องมายังไคลน์


“ห้าปอนด์” อินทรีย์ทะเลโลแกนหันหน้ามาหาไคลน์พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “ทุกคนในร้านคงได้ยินเหมือนกันใช่ไหม? เพื่อเป็นการขอบคุณฉัน สหายหน้าใหม่คนนี้จังสั่งเนื้อหมักเกลือชุดใหญ่มาเลี้ยง!”


ไคลน์ตามเหตุการณ์ไม่ทันในตอนแรก แต่หลังจากได้ยินบาร์เทนเดอร์ทวงเงินรอบสอง ชายหนุ่มเริ่มตระหนักว่าตนถูกกำลังรีดไถ


เล่นละครได้แนบเนียนมาก…


ก่อนอื่น มันส่งคนมาหลอกเหยื่อเกี่ยวกับสมบัติของเรือผีสิง ตามด้วยการให้โลแกนเล่นบท ‘คนดี’ เพื่อให้เหยื่อตายใจ จากนั้นก็สั่งเนื้อหมักเกลือชุดใหญ่ราคาแพงของร้านโดยอ้างว่าจะเลี้ยง แต่เมื่ออาหารถูกยกมาเสิร์ฟ มันกลับพลิกลิ้นและไถเงินจากเราแทน…


เข้าใจแล้วว่าทำไม ขณะหนูสกปรกวูดดี้ถูกโยนลงพื้นเสียงดังโครมคราม พวกขี้เมาโดยรอบกลับไม่แสดงท่าทีใดออกมา… ทุกคนคงกลัวอิทธิพลจากสายข่าวของพลเรือเอกนรก…


แล้วเราควรทำอย่างไร?


ตัวตนปัจจุบันของเราคือเกอร์มัน·สแปร์โรว์ นักผจญภัยและนักล่าค่าหัวผู้ป่าเถื่อน…


ไคลน์กระดกแก้วพลางดื่มด่ำไปกับรสอันเข้มข้นของเบียร์มอลต์ จึงค่อยกล่าวด้วยเสียงเย็นชาอันเป็นปรกติ


“ทำถึงขนาดนี้แล้ว… ไม่ปล้นกันเลยล่ะ”


“ปล้น…?” โลแกนพลันประหลาดใจกับท่าทีตอบสนองของเหยื่อ


ในเสี้ยววินาทีถัดมา มันมองเห็นกำปั้นกำลังลอยเข้าหาใบหน้าตน


เปรี้ยง!


หมัดซ้ายไคลน์กระแทกใส่ปลายคางโลแกนพร้อมกับส่งร่างอันบึกบึนลอยกระแทกเคาน์เตอร์บาร์ด้วยแผ่นหลัง


ชายหนุ่มดันตัวเองลุกยืนด้วยมือขวาอย่างคล่องแคล่ว ตามด้วยการปรี่เข้าใส่ร่างโลแกนซึ่งกำลังร่วงหล่นตามแรงโน้มถ่วง


เข่าซ้ายพุ่งกระแทกท้องน้อยของอินทรีย์ทะเลโลแกนอย่างจัง


ปึก!


โลแกนพลันตัวงอ ดวงตาเหลือกถลนในลักษณะอ้าปากกว้าง


ไคลน์ชักลูกโม่ยัดใส่ปากพร้อมกับง้างนก


กริ๊ก!


“ฉ…ฉันเป็น…” โลแกนตะกุกตะกัก


ชายหนุ่มจ้องมองเข้าไปในดวงตา ก่อนจะชักลูกโม่กลับและตบด้วยด้ามปืนหนึ่งฉาด


ผัวะ!


ฟันซี่หน้าของโลแกนร่วงกราวทันที ช่องปากชุ่มโชกไปด้วยเลือดแดงฉาน


ความเจ็บปวดเกินขีดจำกัดร่างกายส่งผลให้ดวงตาของมันเหลือกขึ้นจนเหลือเพียงตาขาว


โลแกนหมดสติในท่ายืนคอพับกลางอากาศ


ไคลน์ใช้มือข้างหนึ่งกระชากคอเสื้อไว้ไม่ให้อีกฝ่ายร่วงลงไป ขณะเดียวกันก็ใช้มืออีกข้างล้วงหยิบธนบัตรและเศษเหรียญออกมาจำนวนหนึ่ง


ชำเลืองด้วยหาตา เมื่อมั่นใจว่าไม่เกินห้าปอนด์ ชายหนุ่มโยนเงินไปทางบาร์เทนเดอร์และกล่าวเยือกเย็น


“ไม่ต้องทอน”


ผิวสีแทนของบาร์เทนเดอร์เริ่มขาวซีด มันตะโกนตะกุกตะกักราวกับติดอ่าง


“ห…หัวหน้าของของฉันคือฉลามขาว!”


ไคลน์ปล่อยมือจากโลแกนโดยไม่หันไปมอง ตามด้วยการกลับมานั่งบนเก้าอี้กลมเพื่อลิ้มรสเนื้อหมักเกลืออันเลื่องชื่อของทาเมียร์


มันพบว่ารสชาติและเครื่องปรุงค่อนข้างกลมกล่อมและหอมละมุนลิ้น


หลังจากกินไปสองคำ ไคลน์เงยหน้าถาม


“แล้วหัวหน้าของแกรู้ไหม… ว่าแกสมคบคิดกับอินทรีย์ทะเลเพื่อทำเรื่องชั่วช้า”


“ม…ไม่” บาร์เทนเดอร์กระอักกระอ่วน


เมื่อเห็นไคลน์หยุดพฤติกรรมรุนแรงและจ่ายเงินเรียบร้อย คนคุมร้านเริ่มเดินถอยหลังกลับไปอย่างเงียบงัน


ชายหนุ่มจิบเบียร์หนึ่งอึก ชำเลืองอินทรีย์ทะเลโลแกนบนพื้นพลางซักถามบาร์เทนเดอร์


“เจ้านี่เป็นสายข่าวให้ลูเธอร์ไวล์ใช่ไหม? ค่าหัวเท่าไร?”


“…เขาไม่ได้เป็น” บาร์เทนเดอร์ส่ายหน้า “เขากุเรื่องสายข่าวขึ้นมาเอง แม้แต่ทหารเรือเมื่อครู่ก็ถูกจ้างมาอีกทีหนึ่ง ทั้งหมดก็เพื่อให้ทุกคนหวาดกลัว…”


ได้ยินเช่นนั้น เหล่าขี้เมารอบร้านต่างวางแก้วลงด้วยสีหน้าตกตะลึง บางคนถึงกับเดินเข้ามาใกล้โลแกนและถ่มน้ำลายรดหน้า


ถุด! ถุด! ถุด! หลายคนทำตาม


ไคลน์ก้มหน้ากินเนื้อหมักเกลืออีกครั้ง


“เล่าข่าวลือในช่วงหลังมา”


บาร์เทนเดอร์ถอนหายใจโล่งอก ตามด้วยการเล่าข่าวลือในช่วงสองสามเดือนหลังพลางเช็ดทำความสะอาดแก้วใส


บางเรื่องไคลน์ทราบอยู่แล้ว แต่บางเรื่องก็เป็นข้อมูลใหม่


เรือหลวงแห่งกองทัพเรือโลเอ็น เรือรบหุ้มเกราะรุ่นล่าสุด พริสต์ ได้ทำลายเรือโจรสลัดไปมากมายระหว่างการซ้อมรบ… ข่าวลือความน่าสะพรึงกลัวของปืนใหญ่ประจัญบานได้แพร่ไปยังหมู่โจรสลัดอย่างรวดเร็ว บางกลุ่มแอบฉวยโอกาสขณะพริสต์ยังไม่พร้อมทำสงครามเต็มรูปแบบ รีบลงมือก่อเรื่องชั่วช้ามากมายเพื่อโกยเงินและหนีออกจากน่านน้ำโดยไม่คิดกลับมาอีก… ท้องทะเลคงไม่สงบสุขไปอีกอย่างน้อยครึ่งปี…


พลเรือเอกโลหิต เซนอล และพลเรือโทสนธยา อีวาน·บูลาทอฟ ได้ปะทะกันอย่างรุนแรงในแถบตอนใต้ของทะเลโซเนีย หลังจากสงครามย่อยจบลง แต่ละฝ่ายสูญเสียเรือไปคนละสองลำ…


ไคลน์นั่งฟังโดยไม่ซักถาม เพียงขยับมือเติมเต็มความอิ่มท้อง


หลังจากจัดการกับอาหารและเบียร์จนหมด ชายหนุ่มค่อย ๆ ยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า


“จงจำบทเรียนวันนี้ให้ขึ้นใจ” ไคลน์กล่าวพลางวางจานอาหารไว้ตรงหน้าบาร์เทนเดอร์


ขณะบาร์เทนเดอร์กำลังก้มหน้าหยิบจาน เส้นผมสีดำของมันถูกใครบางคนคว้าไว้


เพล้ง!


ไคลน์จับศีรษะบาร์เทนเดอร์กดลงกระแทกจานกระเบื้องจนแตกละเอียด เศษจานกระจัดกระจายพร้อมกับเลือดสีแดงเปรอะเปื้อนเต็มเคาน์เตอร์


ลูกค้าคนอื่นต่างลุกฮือและขยับถอยหลังเพราะกลัวจะโดนลูกหลง บรรดาคนคุมผับรีบวิ่งตรงมาทางเคาน์เตอร์อย่างรวดเร็ว


ชายหนุ่มหยิบแก้วเบียร์ขึ้นมาและพยายามเทของเหลวไม่กี่หยดสุดท้ายลงบนศีรษะบาร์เทนเดอร์ผู้กำลังนอนฟุบ


หนึ่งหยด สองหยด สามหยด…


เมื่อไม่มีหยดเบียร์มากกว่านี้ ไคลน์ตัดใจและโน้มตัวลงไปคว้าคอเสื้อโลแกน ก่อนจะขว้างใส่กลุ่มคนคุมร้านซึ่งกำลังปรี่เข้าหา


ฉวยโอกาสขณะศัตรูเสียจังหวะเบี่ยงตัวหลบไปคนละทิศทาง ประกอบกับความโกลาหลวุ่นวายภายในร้าน ชายหนุ่มวิ่งอ้อมฝูงชนอย่างคล่องแคล่วออกจากร้านปลาบินและไวน์อย่างง่ายดาย


ไคลน์กดหมวกลงพลางเร่งฝีเท้าเดินไปยังถนนข้างเคียง


หลังจากเปลี่ยนเส้นทางอย่างต่อเนื่อง ชายหนุ่มลดความเร็วลง พร้อมกับหยิบเหรียญทองขึ้นมาถือบนมือ


เหรียญถูกควงรอบนิ้วอย่างชำนาญประหนึ่งพยายามตรวจจับบางสิ่ง


……………………


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)