Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ 489-492

 ราชันเร้นลับ 489 : ข้อเสนออันนำไปสู่ความวุ่นวาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากการสนทนารอบใหม่เริ่มต้นขึ้น เดอะซันโพล่งถามกับทุกคน


“ท่านเดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ พวกเราควรใช้สัญลักษณ์มือแบบใดเพื่อสรรเสริญท่าน?”


สัญลักษณ์มือ? ไคลน์พลันผงะกับคำถามเหนือความคาดหมายจากเด็กหนุ่ม


มันไม่เคยแนะนำให้สมาชิกต้องวาดสัญลักษณ์จันทร์แดงเป็นวงกลมกึ่งกลางหน้าอกเหมือนกับโบสถ์รัตติกาล หรือการใช้กำปั้นขวาชกหน้าอกเหมือนกับโบสถ์วายุสลาตัน


เทพเก๊อย่างเราไม่ควรล้ำเส้น… มันรำพัน


เมื่อเห็นมิสเตอร์ฟูลทำเพียงอมยิ้มโดยไม่กล่าวสิ่งใด คล้ายกับกำลังรอให้สมาชิกช่วยกันเสนอแนะ ออเดรย์เริ่มเกิดแรงบันดาลใจมากมายพร้อมกับคำถามใหม่


หญิงสาวมองไปรอบตัวด้วยสายตาเปล่งประกายวิบวับ


“ทุกคนคะ ดิฉันคิดว่าพวกเราควรกำหนดสัญญาณอย่างลับๆ เพื่อเป็นการยืนยันตัวตนของชุมนุม จริงอยู่ ชุมนุมทาโรต์อาจยังมีสมาชิกไม่มาก จึงแทบไม่มีโอกาสได้พบกันในชีวิตจริง แต่สำหรับอนาคต สิ่งนี้คงต้องเกิดขึ้นสักครั้งสองครั้งอย่างเลี่ยงไม่ได้ พวกเราจำเป็นต้องใช้ ‘สัญญาณลับ’ เพื่อจำแนกระหว่างมิตรและศัตรู”


น่าสนใจ… นึกออกแล้ว ใช้ไอ้นั่นเป็นไง…!


ไคลน์หวนนึกถึงสัญลักษณ์มือจากโลกเก่ามากมาย หนึ่งในนั้นคือการสอดมือใส่ร่องเสื้อ


ขณะไคลน์กำลังจะบังคับให้เดอะเวิร์ลเสนอแนวคิด แฮงแมนชิงพูดตัดหน้า


“มิสจัสติส ผมคิดว่าแนวคิดดังกล่าวยังมีข้อบกพร่อง เมื่อเทียบกับองค์กรลับอื่น เอกลักษณ์สำคัญของชุมนุมทาโรต์คือการไม่เคยพบหน้ากันในหมู่สมาชิกมาก่อน ยกตัวอย่างเช่น… เอ่อ อาจจะฟังดูสุดโต่งไปสักนิด แต่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเป็นไปได้เลย สมมติให้สมาชิกคนหนึ่งถูกจับไปสอบสวนด้วยวิธีพิเศษ การไม่มีสัญลักษณ์มือจะช่วยให้สมาชิกคนอื่นไม่เกิดความเดือดร้อนในภายหลัง นอกเสียจากฝ่ายศัตรูจะมีใครสามารถทะลวงผ่านพลังแทรกแซงของมิสเตอร์ฟูลได้ ซึ่งนั่นไม่มีทางเกิดขึ้นจริงอยู่แล้ว แต่หากพวกเราตกลงใช้สัญลักษณ์มือร่วมกันและข้อมูลดังกล่าวบังเอิญรั่วไหลออกไปสู่ภายนอก ถึงคราวนั้น สมาชิกจะถูกล่อลวงออกไปจัดการทีละคนเนื่องจากไม่ทันระวังตัว หรือคุณต้องการอวดโอ่การมีอยู่ของชุมนุมทาโรต์ให้บุคคลภายนอกได้รับทราบ?”


“…” ออเดรย์มิอาจหาข้อโต้แย้ง “แต่ว่า…”


“ไม่ต้องห่วง ผมเข้าใจความกังวลของคุณ และเชื่อว่าสมาชิกชุมนุมคงมีโอกาสได้พบกันในอนาคตจริง โดยปัญหาดังกล่าวสามารถแก้ไขได้ไม่ยาก เพียงแค่พวกเรานัดแนะ ‘สัญญาณชั่วคราว’ ใหม่ทุกครั้งในการชุมนุมทุกวันจันทร์”


เมื่อทราบว่ามิสจัสติสกำลังจะทำเงินก้อนโตให้ตน อัลเจอร์อธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


ออเดรย์พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ


“นั่นสินะคะ เมื่อมีการชุมนุมในทุกวันจันทร์ พวกเราสามารถทราบได้ว่า สมาชิกแต่ละคนมีโอกาสได้ร่วมงานกันในชีวิตจริงหรือไม่ เพื่อเป็นการแยกแยะมิตรศัตรู พวกอาจออกแบบ ‘สัญญาณชั่วคราว’ สำหรับยืนยันตัวตน และเมื่องานดังกล่าวจบลง ก็จะไม่มีการใช้สัญญาณนั้นอีก อา… ถ้าไม่มีการนัดแนะในสัปดาห์นั้นว่าจะได้ร่วมงานเดียวกัน แล้วเกิดมีคนแอบส่งสัญญาณลับ ให้สวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลเพื่อยืนยันความถูกต้องเสียก่อน”


“ก็ประมาณนั้น” อัลเจอร์ตอบพอเป็นพิธี


ขณะเดียวกัน เดอร์ริคกล่าวด้วยสีหน้าสำนึกผิด


“ต้องขอโทษด้วย ผมเผลอถามออกไปด้วยความโง่เขลา มิสเตอร์ฟูลไม่เคยเอ่ยถึงสัญลักษณ์มือเพราะท่านไม่อยากให้สมาชิกเปิดเผยตัวตน ช่วยลืมเรื่องนี้ไปเถอะครับ”


ทันใดนั้น เด็กหนุ่มหันไปมองหัวมุมโต๊ะทองแดงยาว


“ความประสงค์ของท่านคือความประสงค์ของพวกเรา”


แต่เราอุตส่าห์คิดสัญลักษณ์มือเท่ๆ ได้แล้ว..


ไคลน์ทำได้เพียงหัวเราะในลำคอ


“ตกลงตามนั้น”


ชายหนุ่มมองไปยังสมาชิกคนอื่นและกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


“วันนี้พอแค่นี้”


“สุดแล้วแต่ท่าน!” สมาชิกชุมนุมทาโรต์เกือบทุกคนยกเว้นเดอะมูน ลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียงและโค้งศีรษะคำนับ


เอ็มลินชะงักราวหนึ่งวินาที ก่อนจะรีบลุกพรวดอย่างลนลานและทำท่าทางเดียวกัน


ทันใดนั้น แสงสีแดงเข้มได้ฉาบภาพการมองเห็นทั้งหมดของผีดูดเลือดหนุ่ม พร้อมกับความรู้สึกคล้ายจิตกำลังดำดิ่ง


เพียงพริบตา ทิวทัศน์รอบตัวเอ็มลินกลับเป็นปรกติอีกครั้ง มันมองเห็นตุ๊กตาหลากหลายขนาดภายในห้องนอนส่วนตัว


ฟู่ว…


จิตใจอันตื่นตระหนกเริ่มสงบลง ตามด้วยการนึกทบทวนรายละเอียดของชุมนุมทาโรต์ครั้งแรกอย่างละเอียด


นอกจากมิสเตอร์ฟูล สมาชิกคนอื่นดูไม่ค่อยทรงพลังสักเท่าไร… บางทีอาจเป็นเหมือนกับเรา ถูกเลือกด้วยเหตุผลบางประการ…


ในกรณีของเรามีท่านบรรพชนหนุนหลัง แล้วของพวกเขามีใคร?


ช่างน่าขัน ในตอนแรก เราดันนึกว่าเดอะซันเป็นครึ่งเทพผู้หลบหนีการไล่ล่าจากเทวทูตอย่างหวุดหวิด แต่ในความเป็นจริง เขากลับเป็นแค่ลำดับ 8 ผู้กำลังจะเลื่อนเป็นลำดับ 7!


เด็กไม่รู้จักมารยาทคือเด็กยังไม่โต!


อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์รอบเมืองเงินพิสุทธิ์ค่อนข้างประหลาดและไม่เคยผ่านหูเรามาก่อน คงต้องหาโอกาสซักถามลอร์ดนีบาส… ไม่สิ… ต้องลองถามหยั่งเชิงจากท่านคาซีมีดูก่อน รวมถึงพ่อแม่ของเรา เผื่อว่าพวกเขาจะมีข้อมูลของเมืองเงินพิสุทธิ์


ฮึ่ม… หนังสือประวัติศาสตร์ของเมืองเงินพิสุทธิ์กล้าดียังไงถึงได้บันทึกเรื่องเท็จของผีดูดเลือดอันยิ่งใหญ่ลงไป!


มิสจัสติสเป็นคนเบ็คลันด์ และยังร่ำรวยจนน่าทึ่ง อาจเป็นบุตรสาวของนายธนาคารใหญ่หรือไม่ก็ขุนนางใหญ่ แต่บางที เธออาจเป็นเจ้าของธนาคารหรือขุนนางใหญ่เสียเอง…


มิสเมจิกเชี่ยนมองเราด้วยสายตาแตกต่างจากคนอื่น เธอคงยกย่องในความสง่างามของผีดูดเลือดกระมัง ค่อนข้างพูดน้อยและไม่เปิดเผยข้อมูลของตัวเองมากนัก เรียกว่ามีบุคลิกเงียบขรึม


มิสเตอร์แฮงแมนเป็นผู้ใหญ่ใจดี ประสบการณ์ชีวิตโชกโชน และเป็นคนน่านับถือ ยินดีตอบคำถามของสมาชิกใหม่โดยไม่แสดงท่าทางรังเกียจ แถมยังช่วยมอบข้อมูลเป็นประโยชน์ได้มาก คงโดดเด่นกว่าใครในหมู่สมาชิกทุกคน แม้แต่เดอะซันกับเดอะเวิร์ลก็ยังมาขอคำปรึกษา


เดอะเวิร์ลเป็นคนน่ารังเกียจ เสียงของเขาคล้ายกับมีเสมหะติดอยู่ในลำคอตลอดเวลาโดยไม่ยอมบ้วนทิ้งสักที เราเกลียดคนประเภทนี้เข้าไส้! มั่นใจได้เลยว่าเลือดต้องไม่อร่อยแน่.. อุปนิสัยค่อนข้างเงียบ และเก็บซ่อนอารมณ์เก่งมาก ขณะเดียวกันก็สามารถหาตะกอนพลังลำดับ 6 มาขายสมาชิกได้เรื่อยๆ แถมยังสัญญาณว่าจะนำตะกอนพลังของนักจิตบำบัดมาขายให้ในอีกสองเดือน…


หามาจากไหนกัน… ค่อนข้างเจ๋งทีเดียว…


หลังจากรายละเอียดจำนวนมากแล่นผ่านหัวสมอง เอ็มลินตระหนักว่าชุมนุมทาโรต์ค่อนข้างธรรมดา แต่ก็ไม่ธรรมดาขนาดนั้น และเหนือสิ่งอื่นใด มิสเตอร์ฟูลมิได้แทรกแซงการแลกเปลี่ยนของสมาชิกมากนัก


ท่านสนใจใน ‘ไดอารีจักรพรรดิโรซายล์’ เป็นพิเศษ… ขณะเดียวกันก็คอยอำนวยความสะดวกระดับน่าอัศจรรย์ให้กับสมาชิกเสมอ…


ครุ่นคิดมาถึงจุดนี้ เอ็มลินเกิดความภูมิใจเล็กน้อยกับการได้รับโค้ดเนม ‘เดอะมูน’


หลังจากกวาดสายตามองไปรอบห้องอันเต็มไปด้วยตุ๊กตาหนึ่งหน ผีดูดเลือดหนุ่มเริ่มตระหนักถึงปัญหาใหม่ของตัวเอง


มรดกตกทอดจากผีดูดเลือดอาวุโสมีราคา 4,000 ถึง 5,000 ปอนด์… ทางลัดในการได้เป็นบารอน… ทำไมถึงตัดสินใจยากแบบนี้…


แม้เอ็มลินจะยังตัดสินใจไม่ได้ แต่มันกลับรู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องเริ่มอึมครึมลงเล็กน้อย คล้ายกับหนี้ก้อนโตกำลังแผ่ปกคลุมทุกซอกมุม



ณ วังโบราณเหนือสายหมอกสีเทา


ไคลน์กำลังนวดคลึงขมับด้วยนิ้วโป้งและนิ้วกลางของมือข้างขวาอย่างอ่อนโยน


ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงัน ชายหนุ่มเสกให้เข็มกลัดขนาดเล็กลอยออกจากกองขยะมาตกลงบนโต๊ะทองแดงยาวตรงหน้า เข็มกลัดมีขนาดประมาณดวงตามนุษย์ มองผิวเผินจะเห็นสัญลักษณ์ ‘โชคชะตา’ และ ‘การปกปิด’ เขียนไว้ ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากทรัพย์สินติดตัวมากับศพลาเนวุส


ด้านหลังมีข้อความเขียนไว้ว่า ‘สามารถเข้าร่วมได้ถ้ามีสิ่งนี้’ เป็นภาษาเฮอร์มิส รวมถึงมีข้อมูลของการชุมนุมถูกระบุไว้อย่างคร่าว เช่น ‘4 มกราคม 1350 สองทุ่มตรง ณ ลำธารหุบเขาบาบูร์’


คำถามของไคลน์ในตอนนี้คือ ตนควรเสี่ยงแวะไปยังลำธารหุบเขาบาบูร์ภายในคืนวันพรุ่งนี้หรือไม่


ว่ากันตามตรง มันไม่อยากพัวพันกับเรื่องนี้สักเท่าไร เพราะถึงแม้จะเลื่อนลำดับเป็นผู้ไร้หน้าและปลอมตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่การไปเยือนต่างถิ่นก็ยังนับว่าเสี่ยงอันตรายมากอยู่ดี มันแทบไม่มีข้อมูลใดเกี่ยวกับชุมนุมลับดังกล่าวเลย


นักมายากลไม่ควรแสดงโดยไม่เตรียมตัว…


ชายหนุ่มพึมพำพลางหยิบเหรียญทองออกมาถือไว้ระหว่างสองนิ้ว


จากนั้น มือข้างหนึ่งเอื้อมหยิบเข็มกลัดพร้อมกับท่องประโยค :


“การไปเยือนชุมนุมลับ ณ ลำธารหุบเขาบาบูร์ในคืนวันพรุ่งนี้ถือเป็นเรื่องอันตราย”


หลังจากท่องจนครบเจ็ดหน ชายหนุ่มดีดเหรียญขึ้นฟ้า


เหรียญทองม้วนตัวในอากาศหลายตลบ ก่อนจะตกลงบนฝ่ามือในลักษณะตั้งตรงอย่างผิดธรรมชาติ


สิ่งนี้หมายถึง ผลการทำนายล้มเหลว


“กะแล้วเชียว…” ไคลน์ไม่ประหลาดใจ


ปัญหาดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นเพราะตนมีข้อมูลไม่มากพอ เพียงแต่ผลการทำนายไม่ถูกส่งกลับมาจากโลกดารา


ชายหนุ่มนั่งเงียบงัน พลางควงเหรียญเล่นไปรอบมือขวาอย่างชำนาญ


ลงเอยด้วย ไคลน์ตัดสินใจไม่เสี่ยงเข้าร่วม


แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะปล่อยผ่านไปเช่นกัน…สองทุ่มวันพรุ่งนี้สินะ… หึหึ…


ชายหนุ่มเผยยิ้มมุมปาก ตามด้วยการส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง


4 มกราคม 10:35 น.


ไคลน์ยืนหน้าโต๊ะไม้มะฮอกกานีพร้อมกับหยิบธนบัตรปึกหนึ่งขึ้นมาถือ ประกอบด้วย ธนบัตรสิบปอนด์ห้าใบ และธนบัตรห้าปอนด์สิบใบ รวมเป็นเงินทั้งสิ้นหนึ่งร้อยปอนด์พอดิบพอดี


นี่คือค่าตอบแทนเบาะแสของบาลุนจากมิสเตอร์แฮงแมนผ่านพิธีกรรมสังเวย


ธนบัตรจำนวนสิบห้าใบทำให้กระเป๋าสตางค์ของไคลน์ดูอวบอ้วนทันที การควักเงินจ่ายค่าบัตรโดยสารเรือเดินสมุทรจึงไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจอีกต่อไป


มือขวานำกระเป๋าสตางค์เก็บในเสื้อ จากนั้นก็หยิบถุงมือหนังมนุษย์บนโต๊ะขึ้นมาสวมในมือซ้าย


หนึ่งในคุณสมบัติสำคัญของยุบพองหิวโหยคือ ขณะไม่ถูกใช้งาน มันสามารถพรางตัวได้อย่างอิสระ และแทบไม่มีโอกาสถูกตรวจพบได้โดยพลังพิเศษปรกติ หมายความว่าไคลน์สามารถสลับไปมาระหว่างรูปลักษณ์แต่ละชนิดได้ตามใจชอบ เช่น รูปลักษณ์เดิม (หนังมนุษย์) รูปลักษณ์หลากสี (ตามสีของวิญญาณภายในถุงมือ) และรูปลักษณ์ขณะพรางตัว


ปัจจุบัน ไคลน์เลือกให้มันพรางตัวอยู่ในร่างของถุงมือหนังสีดำ


เพื่อให้เข้าไม่ถูกสงสัย ชายหนุ่มได้เตรียมถุงมือสีดำธรรมดาไว้สวมคู่กันอีกข้าง


ถัดมา ไคลน์ผนึกขวดพิษชีวภาพไว้ในกล่องบุหรี่โลหะและกำแพงวิญญาณ จากนั้นก็ซ่อนไว้ในช่องล่างสุดของกระเป๋าเดินทาง


เฉกเช่นเข็มกลัดสุริยัน สิ่งนี้จะมอบความร้อนทางใจขณะพกพา ไคลน์จึงไม่มีทางเลือกนอกจากผนึกด้วยกล่องบุหรี่โลหะกับกำแพงวิญญาณ และซ่อนไว้ในช่องล่างสุดของกระเป๋า


กระสุนชำระล้างเก้านัด กระสุนปราบมารสิบห้านัด และกระสุนปัดเป่าสามนัด…


ไคลน์หยิบปืนพกกับกล่องกระสุนวางบนโต๊ะ และบรรจงบรรจุให้เต็มโม่


กริ๊ก! ชายหนุ่มตบโม่กลับพร้อมกับสอดปืนไว้ในซองรักแร้ฝั่งซ้าย


จากนั้น มันสวมโค้ทขนสัตว์สีดำกับหมวกทรงกึ่งสูง หยิบกระเป๋าเดินทางกับไม้ค้ำ และเดินออกจากห้องพักของโรงแรม


นอกจากดวงตาดำล้วนและสิ่งของใช้การไม่ได้ชนิดอื่นบนมิติสายหมอก ไคลน์ในปัจจุบันพร้อมรบเต็มอัตราศึก


หลังจากโดยสารรถม้า ชายหนุ่มเดินทางมาถึงจุดขายบัตรโดยสารในเขตกุหลาบขาวประจำท่าเรือพริสต์


บริษัทขายบัตรเดินทางอยู่ภายในอาคารทรงโบราณสามชั้น ลักษณะค่อนข้างเก่า หน้าประตูมีป้ายเตือนเขียนกำกับไว้


ไคลน์เดินเข้าไปใกล้เพื่ออ่าน


“ระเบียบปฏิบัติมีดังนี้ : 1. รักษากฎอย่างเข้มงวด ต้องต่อแถวเพื่อซื้อบัตรเท่านั้น 2. ห้ามปัสสาวะอุจจาระเรี่ยราด รวมถึงห้ามถ่มน้ำลายส่งเดช 3. หากมีการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น ให้ไปตามคนคุมภายในห้องรับรอง 4. ห้ามเปิดฝากระป๋องปลาหมาป่าโดยเด็ดขาด! ไม่ว่าจะอยู่ในห้องใดก็ตาม!”


ปลาหมาป่ากระป๋อง? อะไรอีกล่ะนั่น?


ไคลน์ขมวดคิ้ว


……………………


ราชันเร้นลับ 490 : คำเตือนจากอดีตกะลาสี

โดย

Ink Stone_Fantasy

ณ ห้องรับรองขนาดกว้างขวางของบริษัทชายบัตรประจำท่าเรือพริสต์ ถึงแม้จะมีจุดจำหน่ายบัตรมากถึงเจ็ดแถว แต่ทุกแถวล้วนมีคนยืนต่อคิวไม่ต่ำกว่าสิบ


ไคลน์เพียงชำเลือง แต่ไม่ได้เดินเข้าไปต่อแถวสั้นสุด ตรงกันข้าม ชายหนุ่มเดินสองก้าวไปทางขวามือและหยุดยืนใกล้กับกระดานไม้สีน้ำตาลเข้ม


บนกระดานเต็มไปด้วยแผ่นกระดาษข้อมูลการเดินเรือในช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์ก่อน มีทั้งชื่อเรือ ปลายทาง ท่าจอดพักระหว่างทาง และราคาของแต่ละห้องโดยสาร


อย่างก็ตาม ขณะไคลน์กำลังเดินเข้าไปใกล้เพื่อสำรวจ พนักงานคนหนึ่งเดินเข้ามาวาดวงกลมสีแดงบนบัตรโดยสารชั้นสองของเรือลำหนึ่ง ปากกาแดงวงรอบคำว่า ‘บัตรหมด’


“ได้รับความนิยมงั้นหรือ…” ไคลน์พึมพำ


“แน่นอนอยู่แล้ว ท่าเรือพริสต์ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งในอาณาจักร ผู้คนมากมายเลือกใช้เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางไปยังทวีปใต้หรือเกาะอาณานิคมอื่นๆ โดยรอบ เพื่อแสวงหาความมั่งคั่ง” ชายวัยกลางคนซึ่งกำลังยืนใกล้กับประตู หันมากล่าวกับไคลน์ด้วยน้ำเสียงกึ่งโอ้อวด


มันสวมหมวกสีดำ เสื้อลายตารางหมากรุกสีขาวสลับดำคล้ายตำรวจ เพียงแต่ไม่มีอินทรธนู สิ่งตกแต่งเดียวบนเสื้อผ้าคือเข็มกลัดรูปนกนางนวลบนหน้าอก โดยเป็นสัญลักษณ์เดียวกับป้ายบริษัทขายบัตรโดยสารประจำท่าเรือพริสต์


ชายวัยกลางคนมีใบหน้า หลังมือ และผิวหนังนอกร่มผ้าเป็นสีน้ำตาลอมแดง ผิวพรรณหยาบกร้าน คล้ายกับถูกลมทะเลและแสงแดดกัดกร่อนนานหลายปี มอบกลิ่นอายเกลือเค็มแก่ผู้พบเห็นทั่วไป


ถ้ามีการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น ให้ไปตามคนคุมในห้องรับรอง… นี่คงเป็นคนคุมสินะ…


ไคลน์ทวนข้อความบนคำเตือนหน้าประตู ชายหนุ่มไม่ถือสาเมื่อคนแปลกหน้าเป็นฝ่ายเริ่มทักทายก่อน เพียงยิ้มและตอบอย่างมีมารยาท


“ดูเหมือนคุณรู้จักท่าเรือแห่งนี้ค่อนข้างดีสินะครับ”


เมื่อได้ยินคำถาม ชายวัยกลางคนตอบด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย


“ผมเคยเป็นกะลาสีของกองเรืออาณาจักรมาก่อน ประจำการ ณ ฐานทัพหลักของท่าเรือพริสต์บนเบาะเกาะโอ๊ค รับใช้กองทัพนานถึงสิบห้าปีเต็ม อาศัยอยู่ในทะเลละแวกนี้มานานมาก หากไม่เพราะถูกสงครามไบลัมตะวันออกทำลายสุขภาพ ป่านนี้คงยังแข็งแรงและเป็นกะลาสีได้อีกไม่ต่ำกว่าสิบปี! ผมรู้จักท่าเรือแห่งนี้ดีพอๆ กับร่างกายของภรรยา!”


คำพูดคำจาค่อนข้างมีการศึกษา แต่เราสำหรับได้ถึงความหุนหันเล็กน้อย…


ไคลน์ตัดสินใจรวบรวมข้อมูลการเดินทางในทะเลกับอีกฝ่าย


“คุณจึงได้มาเป็นคนคุมของบริษัทนี้หลังจากเกษียณอายุงาน?”


“เปล่า ตอนแรกผมไปเป็นนักเรียนภาคค่ำมาก่อนสองปี ควบคู่กับการทำงานเป็นยามของโรงเรียน แต่ให้ตายสิ พระองค์วายุสลาตัน! คุณคงจินตนาการออกใช่ไหม ผมต้องไปท่องหนังสือร่วมกับกลุ่มวัยรุ่น แถมพวกเขายังมีความคำดีกว่าผมมาก!” คนคุมแถวแสดงสีหน้าขื่นขมขณะเล่าอดีตแสนเจ็บปวด


ขณะกล่าวอธิบาย มันตบต้นขาแผ่วเบาและถอนหายใจยาว


“แต่น่าเสียดาย เข่าของผมมิอาจทนต่อสภาพอากาศอันเลวร้ายไหว ไม่อย่างนั้น ป่านนี้คงได้เป็นครูสอนหนังสือภาคค่ำไปนานแล้ว การได้อยู่ร่วมกับเด็กๆ ทำให้ผมรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เหตุผลหลักคือเรื่องเงิน ถ้าคุณมีภรรยาและลูกสี่คนให้ดูแล จะไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าเงินทองอีกแล้ว”


มิสเตอร์ คุณไม่พล่ามเรื่องของตัวเองมากไปหน่อยหรือ…นี่คงเป็นเหตุผลให้บริษัทจ้างคุณมาเป็นคนคุม…


ไคลน์เพียงยิ้ม ไม่สานต่อบทสนทนาเดิม


“ผมมีข้อสงสัย หลังจากอ่านคำเตือนบนประตูและพบว่าบริษัทแห่งนี้ห้ามเปิดปลาหมาป่ากระป๋องโดยเด็ดขาด ว่ากันตามตรง ผมไม่เคยได้ยินอะไรแบบนี้มาก่อน”


คนคุมแถวพลันทำสีหน้าซับซ้อน


ตามด้วยการแสร้งบีบจมูกและเล่า


“มันคืออาหารยอดนิยมในแถบชายฝั่งตะวันออกของฟุซัคและหมู่เกาะการ์กัส เกิดจากการนำปลาหมาป่าไปหมักในน้ำเกลือโดยไม่เอาเลือดออก กลิ่นของมัน… กลิ่นของมันห่วยบรม! ทั้งเหม็นเน่าและน่ารังเกียจ!”


อาหารต่างถิ่นนี่เอง…


ไคลน์ยิ้ม


“แต่ผมไม่เคยได้ยินว่ามีใครเปิดกระป๋องปลาระหว่างเข้าคิวรอซื้อบัตรโดยสาร”


“ผิดแล้วสหาย คุณยังไม่รู้จักโลกนี้ดีพอ สักวันคงได้ลิ้มรสประสบการณ์ดังกล่าวด้วยตัวเอง” คนคุมเผยสีหน้าประหวั่น “ครั้งหนึ่งเคยมีคนเถื่อนจากแดนเหนือมาต่อแถวซื้อบัตรโดยสาร แต่มันเกิดความหงุดหงิดเน่องจากมีคนรอต่อคิวมากเกินไป จึงเปิดกระป๋องปลาหมาป่าออก ไม่ถึงสิบวินาที ทั่วทั้งห้องขายบัตรเหลือเพียงมันและผู้ชายอีกสองสามคน”


นี่มัน… อาวุธชีวภาพ… ไม่ต่างจากขวดพิษชีวภาพของเราเลยสักนิด… ไคลน์ยิ้ม


“คุณกำลังจะบอกว่า เขาแซงคิวซื้อบัตรโดยสารสำเร็จ ส่งผลให้บริษัทต้องเขียนคำเตือนติดไว้หน้าประตูใช่ไหม”


“เปล่า ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามความคาดหมายของมัน เนื่องจากสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีพนักงานขายบัตรล้วนเผ่นหนีไปเพราะกลิ่นของปลาหมาป่ากระป๋อง ฮะฮะ! คุณเองก็คงทราบ พวกคนเถื่อนมีสมองน้อยกว่าลิงบาบูนขนหยิกเสียอีก!”


คนคุมแถวหัวเราะชอบใจ


“ไม่เพียงเท่านั้น เคยมีข่าวลืออันโด่งดังสมัยผมยังเป็นกะลาสี โจรสลัดกลุ่มหนึ่งได้ดักปล้นเรือของพ่อค้าซึ่งเดินทางออกจากโรลส์ เอ่อ… โรลส์คือเมืองแถบชายฝั่งตะวันออกของฟุซัค สรุปโดยสั้น กลุ่มโจรสลัดไล่เปิดถังและหีบทั้งหมดบนเรือเพื่อหวังปล้นทรัพย์สิน แต่พวกมันกลับไปเปิดถังดองปลาหมาป่าเข้า คุณจินตนาการผลลัพธ์ออกไหม? ถูกต้อง! โจรสลัดบางคนหมอสติ บางคนอ้วกแตกอ้วกแตนและไม่เหลือเรี่ยวแรงต่อสู้ ส่งผลให้กลุ่มลูกเรือของพ่อค้านำตัวพวกมันไปขึ้นค่าหัวเป็นเงินก้อนโต”


“ผมชอบเรื่องนี้” ไคลน์พยายามกลั้นขำ


จากนั้น ชายหนุ่มหันกลับไปมองแผ่นกระดาษสีขาวบนกระดานไม้สีน้ำตาล เพื่อตรวจสอบว่ามีเรือลำใดแล่นผ่านท่าเรือพริสต์ในวันพรุ่งนี้บ้าง


ในฐานะมืออาชีพ ไคลน์ย่อมทำนายถึงวันเวลาอันเหมาะสมในการออกเดินทาง และได้รับคำตอบออกมาเป็น ฤกษ์งามยามดีคือ 5 มกราคมและ 8 มกราคม โดยจากบรรดาเรือเดินสมุทรซึ่งมุ่งหน้าไปยังหมู่เกาะรอสต์ เรือนักบุญฟรานและเรือโมราขาวเหมาะแก่การเดินทางอย่างมาก


โชคยังดี บัตรโดยสารของเรือทั้งสองลำยังว่างอยู่ และราคาก็ใกล้เคียงกันมาก ประกอบด้วย สี่ปอนด์สำหรับห้องชั้นสาม สิบปอนด์สำหรับห้องชั้นสอง และสามสิบห้าปอนด์สำหรับห้องชั้นหนึ่ง…


ชาวทะเลมักศรัทธาเทพวายุสลาตัน ไม่เว้นแม้แต่คนของอินทิสและฟุซัคซึ่งไม่มีศาสนาวายุสลาตันภายในประเทศ โดยบรรดาลูกเรือและพ่อค้ามักแอบนับถือศาสนาต้องห้ามเพื่อความราบรื่นในการเดินทาง… เรือนักบุญคงเป็นของโบสถ์วายุสลาตันไม่ผิดแน่ และน่าจะมีประวัติยาวนานพอสมควร…


ไคลน์ก้มหน้าครุ่นคิด มันค่อนข้างเอนเอียงไปทางเรือโมราขาว


โดยไม่รีบร้อนตัดสินใจ ชายหนุ่มหันไปมองคนคุมแถวด้านข้าง


“พอจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรือโมราขาวบ้าง?”


คนคุมฉีกยิ้มกว้างทันที


“มิสเตอร์ สายตาของคุณช่างเฉียบแหลม โมราขาวเป็นเรือพลังงานไอน้ำ แต่ยังคงเก็บใบเรือไว้ ความเร็วสูงสุดคือสิบหกนอต กัปตันเรือมีประสบการณ์โชกโชน เคยเป็นสรั่งเรือประจำเรือวิลเลียมที่ห้าแห่งกองเรือหลวงมาก่อน ไม่สิ… ต้องเรียกว่ากองเรือจักรวรรดิ เพราะองค์กษัตริย์ได้สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิในไบลัมไปแล้ว หึหึ สำหรับกองเรือจักรวรรดิ ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์โดดเด่นเพียงใด แต่คนธรรมดาก็จะมีตำแหน่งได้ไม่เกินสรั่งเรือ มิอาจขึ้นเป็นต้นเรือได้เลย นอกเสียจาก… นอกเสียจากจะทำให้ผู้บังคับบัญชาพึงพอใจ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม! หากทำสำเร็จ คุณจะมีโอกาสเข้าเรียนในโรงเรียนนายเรือพริสต์ ในฐานะต้นเรือสำรอง ด้วยเหตุผลดังกล่าว ไอร์แลนด์จึงถูกบีบให้ออกจากกองทัพเรือและต้องย้ายมาประจำการบนโมราขาวแทน แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาไต่เต้าจนกระทั่งกลายเป็นกัปตันเรือ ผมขอแนะนำให้คุณโดยสารบัตรชั้นหนึ่ง เพราะห้องจะมีขนาดใหญ่ สามารถพาคนรับใช้ไปได้สามถึงสี่คน ไม่นับรวมคนใช้ประจำตัว แถมยังสามารถจ้างพ่อครัวส่วนตัวฝีมือเยี่ยม นอกจากนั้นยังมีอภิสิทธิ์ใช้ห้องอาหารหรูหราและบรรยากาศเงียบสงบ แถมยังมีห้องพิเศษสำหรับสูบซิการ์หรือเล่นไพ่…”


เมื่อได้ฟังรายละเอียดยิบย่อยของเรือโมราขาวจากคนคุม ไคลน์แสดงสีหน้าเคลือบแคลงโดยไม่ปิดบัง


คนคุมแถวพลันตระหนักถึงท่าทีของชายหนุ่ม จึงรีบอมยิ้มอย่างเขินอายและอธิบาย


“ไอร์แลนด์เคยเป็นหัวหน้าของผมมาก่อน เขามักเลี้ยงเหล้าและบอกให้ผมช่วยแนะนำห้องโดยสารชั้นหนึ่งให้กับลูกค้า แต่ขอสาบานว่าข้อมูลทั้งหมดเป็นเรื่องจริง!”


ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น… เพียงแต่ผมไม่มีเงินมากพอ… ไคลน์รำพันกับตัวเองอย่างหดหู่


หลังจากตัดสินใจได้ ชายหนุ่มซักถามต่อ


“มิสเตอร์ มีคำแนะนำสำหรับนักผจญภัยทางทะเลบ้างไหม?”


เพื่อให้สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ไคลน์ปรับแต่งหน้าตาให้ดุดันและเย็นชาขึ้นเล็กน้อย


“นักผจญภัย?” คนคุมแถวทวนคำเสียงดังโดยไม่รู้ตัว


พร้อมกันนั้น กลุ่มคนจำนวนหนึ่งซึ่งกำลังยืนต่อคิวซื้อบัตรโดยสาร ต่างหันมามองไคลน์


อาศัยสัมผัสวิญญาณช่วย ชายหนุ่มสามารถแกะรอยทิศทางของสายตาได้


มันเห็นภาพของชายวัยสามสิบ ใบหน้าป่าเถื่อน ริ้วรอยร่องลึกและแห้งกร้าน ประหนึ่งถูกสภาพอากาศทำร้ายอย่างไร้ความปรานี รูปร่างกำยำแต่ไม่สูง ดวงตาสีฟ้าซีด บรรยากาศรอบตัวแฝงความกร้านโลก


ทางนั้นก็นักผจญภัยเหมือนกัน? ไคลน์หันไปมองจนสายตาคนทั้งสองประสานกัน


ทันใดนั้น คนคุ้มแถวเผยรอยยิ้มเหือดแห้ง


“ต้องขออภัยด้วย แต่ผมค่อนข้างอ่อนไหวต่อคำว่านักผจญภัย ในสายตาของพวกเรา คนกลุ่มนี้มักเร่ร่อน เป็นวายร้ายประจำท้องทะเลตัวจริง และมักตระบัดสัตย์บ่อยครั้ง ต…แต่ผมไม่ได้หมายถึงคุณ อยากได้คำแนะนำอย่างซื่อตรงใช่ไหม? จงจำใส่ใจไว้สามเรื่อง หนึ่ง ห้ามมีเรื่องกับโจรสลัด สอง ห้ามมีเรื่องกับโจรสลัด และสาม ห้ามมีเรื่องกับโจรสลัด! นอกเสียจากจะเป็นสมาชิกของโบสถ์หลัก ห้ามมีเรื่องกับโจรสลัดโดยเด็ดขาด! เอ่อ… แล้วก็… อย่าถูกพวกโสเภณีบนเกาะหลอกเอาได้ ถ้าพวกหล่อนไม่ได้เป็นโจรสลัดแฝงตัวมา ก็ต้องหวังให้คุณพาหนีไปยังท่าเรือพริสต์หรือไม่ก็กรุงเบ็คลันด์ แต่กระนั้น เพียงเพื่อจะได้ครอบครองเรือนร่างของโสเภณีเหล่านั้น บรรดาโจรสลัด ลูกเรือ และนักท่องเที่ยวจำนวนมากมักขายฝันให้พวกหล่อนจินตนาการถึงอนาคตแสนหวาน แต่สุดท้ายก็ถีบหัวส่งหลังจากเสร็จกามกิจบนเตียง ทิ้งให้พวกหล่อนฝันสลายและต้องกลับไปใช้ชีวิตรันทดแบบเดิม”


ทำไมคนชั่วถึงได้เยอะนัก…


นั่นสินะ สำหรับยุคป่าเถื่อน การใช้ชีวิตในทะเลย่อมเต็มไปด้วยอันตราย… โจรสลัดอาละวาดเหิมเกริม บ้านเมืองไร้ขื่อแป…


ไคลน์พยักหน้ารับ


“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ”


เมื่อกล่าวจบ มันเดินไปต่อแถวสั้นสุด


เสียงของคนคุมแถวดังไล่หลัง


“และสุดท้าย ตำนานสมบัติทั้งหมดในทะเลล้วนเป็นเรื่องแหกตา!”



หลังจากซื้อบัตรโดยสารชั้นสองของเรือโมราขาวเสร็จ ชายหนุ่มเดินทางกลับโรงแรมและรออย่างใจเย็นจนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืด


ระหว่างนั้น มันดื่มด่ำไปกับความยอดเยี่ยมของปลาทอดอันเลื่องชื่อประจำท่าเรือพริสต์ แต่ถึงจะมีรสชาติอร่อย ไคลน์เชื่อว่าตนไม่สามารถทนกินแบบนี้ได้ทุกมื้อ


เมื่อใกล้สองทุ่มตรง ชายหนุ่มส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา มือข้างหนึ่งถือเข็มกลัดของลาเนวุส ส่วนอีกข้างเขียนประโยคทำนายลงบนกระดาษ :


“สถานการณ์ปัจจุบันของชุมนุม”


ติ๊ก. ต่อก. ติ๊ก. ต่อก.


เมื่อนาฬิกาพกบอกเวลาสองทุ่มตรง ไคลน์หลับตาลงพลางเอนหลังแนบพนักพิง จากนั้นก็ขยับปากพึมพำประโยคทำนาย


ชายหนุ่มเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่า ในวินาทีการประชุมเริ่มต้นขึ้น หากตนถือเข็มกลัดซึ่งสามารถระบุพิกัดของชุมนุมไว้ในมือ ผลลัพธ์การทำนายจะต้องไม่ว่างเปล่าอย่างแน่นอน!


ความล้มเหลวในคราวก่อนเป็นเพราะยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่คราวนี้จะต้องแตกต่างออกไปแน่ เพราะเรากำลังถือสุดยอดสื่อกลางไว้ในมือ!


เพียงไม่นาน จิตชายหนุ่มถูกส่งเข้าไปยังโลกความฝันสีเทาไม่คมชัด


มันมองเห็นแม่น้ำทัสซอคไหลเอื่อยเฉื่อยอย่างเงียบงัน หน้าผาสูงชันสองฝั่งค่อนข้างกว้างใหญ่ ผู้คนนับสิบปรากฏตัวในแต่ตำแหน่งแตกต่างกันไป โดยทุกคนจะมีแสงสว่างล้อมรอบจนดูคล้ายกับภาพมายา


หนึ่งในนั้นมีชายผมดำ ดวงตาเขียวมรกต ใบหน้าค่อนข้างหล่อเหลา


ไคลน์คุ้นเคยกับรูปพรรณเช่นนี้เป็นอย่างดี


เลียวนาร์ด·มิเชล!


……………………


ราชันเร้นลับ 491 : เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ในรายงานการสืบสวน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เลียวนาร์ด?


ไคลน์เกิดความคิดชั่วครู่ว่าตนอาจตาฝาด


แต่เนื่องจากแสงออร่าซึ่งปกคลุมลำตัวอีกฝ่ายไม่เข้มข้นมากนัก อีกทั้งตนยังเคยสนิทกับเลียวนาร์ด จึงยืนยันได้อย่างมั่นใจว่าไม่ผิดคน


ผ่านไปหนึ่งลมหายใจ เลียวนาร์ดเลือนหายไปพร้อมกับแสงจ้า


คนแล้วคนเล่า สมาชิกชุมนุมลับหายไปจากลำธารหุบเขาโดยเหลือทิ้งไว้เพียงความเงียบงันของสภาพอากาศใจกลางฤดูหนาว


ความฝันไคลน์แตกละเอียดละจบลง


ชายหนุ่มลืมตาขึ้น วางเข็มกลัดซึ่งได้จากศพลาเนวุสไว้บนโต๊ะทองแดงยาว


บุคคลในนิมิตเป็นเลียวนาร์ดตัวจริง หรือผู้ไร้หน้าจำแลงกายเป็นเลียวนาร์ดกันแน่?


ไคลน์ตัดสินใจโยนเหรียญหาคำตอบ


พลังวิญญาณได้มอบคำตอบผ่านตัวกลางกลับมาว่า บุคคลดังกล่าวคือเลียวนาร์ด·มิเชลตัวจริงเสียงจริง อดีตเพื่อนรักจากเหยี่ยวราตรีเมืองทิงเก็น


…เขาเป็น ‘สายสืบ’ ซึ่งเหยี่ยวราตรีส่งมาสืบข่าวในชุมนุม หรือแอบเสี่ยงชีวิตเข้าร่วมชุมนุมลับโดยไม่บอกใคร? เลียวนาร์ดกำลังหวังพัฒนาฝีมือและรอวันแก้แค้น โดยยังคงทำงานแฝงตัวอยู่กับเหยี่ยวราตรีเพื่อรอให้โอกาสเหมาะสมมาถึง?


ไคลน์ตั้งคำถามกับตัวเองด้วยสีหน้าไตร่ตรอง แต่เมื่อมิอาจหาข้อสรุปได้ จึงตัดสินใจทำนายถามเพิ่มเติม


และไม่ผิดคาด เป็นเพราะมีข้อมูลในมือน้อยเกิดไป การทำนายทั้งหมดจึงล้มเหลว


หลังจากเงียบงันสักพัก ไคลน์เผยรอยยิ้มซีดจางพลางวาดวงกลมจันทร์แดงกึ่งกลางหน้าอก


“ขอให้เขาโชคดี… ขอให้เทพธิดาอวยพร”


ไคลน์ไม่นำเรื่องของเลียวนาร์ดเก็บไปคิดนานนัก โดยหันมาสนใจจุดประสงค์ของการชุมนุมมากกว่า เพื่อจะได้วิเคราะห์หาข้อสรุปให้ชัดเจนว่า ในอนาคต ตนควรเข้าร่วมชุมนุมดังกล่าวดีไหม หรือควรแอบเตือนให้เลียวนาร์ดระวังอันตราย



กรุงเบ็คลันด์ ภายในห้องลับใต้มหาวิหารแห่งไอน้ำ


ขณะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวแรกจากฝั่งซ้ายสุดของโต๊ะประชุมยาว ไอคานส์ถอดหมวกพลางใช้มือขวาจัดแต่งทรงผมแข็งกระด้างของตน


ถัดมา มันหยิบกระจกเงาสีเงินทรงโบราณ ‘อาโรเดส’ ออกจากช่องกระเป๋าลับสั่งทำพิเศษและวางไว้บนโต๊ะด้านหน้า


ไม่ว่าจะฝั่งขวามือ ฝั่งตรงข้าม หรือในแนวทแยงล้วนรายล้อมไปด้วยอาวุโสและหัวหน้าหน่วยจิตแห่งจักรกลจำนวนมากประจำกรุงเบ็คลันด์ ทั้งหมดถูกเรียกประชุมเป็นการด่วนโดยหนึ่งในสมาชิกสภาศักดิ์สิทธิ์ อาร์ชบิชอปแห่งเบ็คลันด์ ฮารามิค·ไฮเดิน


อาร์ชบิชอปในชุดคลุมยาวสีขาว ผู้มีกลิ่นอายคล้ายกับชายชรามาดสุขุมตามปรกติ กำลังนั่งอย่างสงบนิ่งบนเก้าอี้ประธาน


เมื่อเห็นทุกคนมากันครบ มันมองไปรอบโต๊ะประชุมและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


“เริ่มจากไอคานส์ เชิญรายงานความคืบหน้าการสืบสวนทั้งหมดได้”


ไอคานส์เบอร์นาร์ด ในสภาพมือข้างหนึ่งจัดแต่งทรงผม ส่วนอีกข้างกำลังพลิกเอกสารปึกใหญ่ตรงหน้า มันเริ่มรายงานข้อมูลอย่างกระชับและฉะฉาน


“เจ้าคุณท่าน หน่วยของผมได้รับมอบหมายให้สืบสวนเกี่ยวกับเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ จากการสืบสวนอย่างระมัดระวังและรอบคอบ ร่วมด้วยกระบวนการพิเศษ พวกเราสามารถยืนยันได้ว่า เชอร์ล็อกถูกดึงให้เข้ามาพัวพันกับเหตุการณ์โดยบังเอิญ และจากหลักฐานแวดล้อม ผมเชื่อว่าเขาไม่ทราบความลับเบื้องหลังองค์ชายเอ็ดซัค เชอร์ล็อกและทาลิม·ดูมงต์ ผู้เสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาภายในสโมสรครักซ์ เป็นเพื่อนสนิทกัน เชอร์ล็อกรับงานบางอย่างจากองค์ชายเอ็ดซัคผ่านทาลิม อย่างไรก็ตาม เขามิได้ลงมือสืบสวนอย่างจริงจังเท่าไรนัก แต่กลับเบิกค่าแรงและค่าชดเชยเกินจริงไปมาก”


เล่ามาถึงจุดนี้ ไอคานส์เริ่มเกิดความกังวล เพราะนักสืบเชอร์ล็อกเองก็เป็นสายข่าวคนหนึ่งของจิตแห่งจักรกล และมีการประวัติการเบิกเงินชดเชยเป็นบางคราว มันเกรงว่า ทั้งหมดอาจเป็นการเบิกเกินงบจริงเช่นกัน


อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากเชอร์ล็อก·โมเรียตี้นับว่าสำคัญต่อพวกเรามาก แถมยังเพิ่งเป็นสายข่าวให้กับโบสถ์ได้ไม่นาน…


ยิ่งไปกว่านั้น เงินตอบแทนส่วนใหญ่ก็ยังมาจากค่านายหน้า มิใช่การเบิกค่าชดเชย…


ไอคานส์ถอนหายใจแผ่ว จึงค่อยเล่าต่อ


“หน่วยของผมลงความเห็นกันว่า เขาเป็นเพียงผู้บริสุทธิ์ และมิได้รับผลประโยชน์ใดจากเหตุการณ์ จริงอยู่ เขาอาจตระหนักถึงอันตรายจากคฤหาสน์กุหลาบแดงได้เร็ว แต่นั่นคือตัวอย่างของความเป็นอัจฉริยะด้านอนุมานและสรุปผลของเชอร์ล็อก ไอเซนการ์ด·สแตนธอนสามารถยืนยันในเรื่องนี้ได้ หลังจากทำงานให้องค์ชายเอ็ดซัคได้ระยะหนึ่ง เชอร์ล็อกเริ่มเอะใจว่าตนอาจตกอยู่ในวงล้อมความขัดแย้งท่ามกลางเชื้อพระวงศ์ จึงตัดสินใจชะลอการสืบสวนและหาโอกาสตีตัวออกหาก โดยในภายหลัง เขาได้เขียนจดหมายอธิบายเรื่องราวให้พวกเราทราบด้วย แต่โชคชะตาได้เล่นตลก เขามิอาจหนีจากเรื่องราวอันซับซ้อนและยุ่งเหยิงพ้น อย่างไรก็ตาม ในความโชคร้ายยังมีโชคดี เชอร์ล็อกเล่าว่า ในวินาทีฝนอุกกาบาตพุ่งถล่มเขตป่าใกล้กับคฤหาสน์กุหลาบแดง ทายาทแห่งเทพมรณา อะซิก·อายเกส ได้ปรากฏตัวออกมาช่วยเขาไว้ได้ทันเวลา หากได้เห็นสภาพแวดล้อมในจุดดังกล่าวหลังจากเหตุการณ์จบลง ทุกท่านคงเข้าใจได้ทันทีว่าการโจมตีดังกล่าวมีอำนาจทำลายล้างรุนแรงและเป็นวงกว้างมากเพียงใด โดยนี่อาจเป็นผลจากพลังของ 0-08”


ไคลน์เล่าถึงอินซ์·แซงวิลล์และ 0-08 ในจดหมายของตน โดยไม่อธิบายว่าตนรู้จักอดีตอาร์ชบิชอปแห่งเหยี่ยวราตรีและสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ได้อย่างไร


เนื่องจากมีพยานรู้เห็นมากมายระบุว่า ตนอยู่กับอะซิก·อายเกสเป็นเวลานาน ข้อมูลดังกล่าวจึงมีแน้วโน้มจะมาจากคำบอกเล่าของทายาทแห่งมรณา


และเป็นไปตามคาด จิตแห่งจักรกลต่างลงความเห็นว่าเรื่องราวน่าจะเป็นไปในทิศทางดังกล่าว


ในส่วนของสมบัติวิเศษระดับ 0 และ 1 ทุกโบสถ์จะมีการแบ่งปันข้อมูลร่วมกันอย่างตอเนื่องอยู่แล้ว ถึงขั้นใช้รหัสปิดผนึกไม่ซ้ำกันเพื่อป้องกันการสับสน ไคลน์จึงไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายลงลึกรายละเอียด 0-08


“…อย่างไรก็ตาม พวกเรายังไม่กระจ่างในสามประเด็น หนึ่ง 2-111 ระบุว่าขณะเชอร์ล็อก·โมเรียตี้หนีเข้าไปในป่า เขาไม่รีบเคลื่อนย้ายตัวเองออกห่างจากอันตราย แต่กลับสวดวิงวอนถึงใครบางคน สอง ทางเรายังไม่ทราบว่าเขารู้จักกับอะซิก·อายเกสได้อย่างไร สาม ทางเรายังไม่ทราบว่าเขาหลบหนีออกจากอาคารใต้ดินลับด้วยวิธีใด หากประเมินจากสถานการณ์ การหลบหนีด้วยพลังพิเศษของเขาเพียงอย่างเดียวค่อนข้างเป็นเรื่องยาก… อีกทั้ง ระหว่างการหลบหนี นักสืบเชอร์ล็อกได้ทำลายพิธีกรรมลับของชุมนุมแสงเหนือ โดยสันนิษฐานว่าจะเป็นพิธีกรรมอัญเชิญพระผู้สร้างแท้จริงลงมาจุติ”


ไอคานส์สรุปผลการสืบสวน


2-111 หมายถึงกระจกวิเศษอาโรเดส


ฮารามิคเผยรอยยิ้ม ก่อนจะพึมพำ


“เบิกค่าใช้จ่ายเกินจริงไปมาก…”


ตามด้วยการกระแอมในลำคอ


“แฮ่ม… แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นักสืบเชอร์ล็อกคือวีรบุรุษตัวจริงของกรุงเบ็คลันด์ หากเขาทำลายพิธีกรรมไม่ทันเวลา หรือเลือกจะหนีอย่างคนขลาด เกรงว่าพวกเราอาจจะไม่ได้มานั่งคุยกันตรงนี้ เหนือสิ่งอื่นใด เขาศรัทธาในพระองค์เหมือนกับพวกเรา และมีท่าทีเป็นมิตรกับเรา ฉะนั้น หากปัญหามิได้ร้ายแรงจนเกินไปนัก พวกเราสามารถมองข้ามข้อกังขาเล็กน้อยได้”


“เจ้าคุณท่าน ผมก็คิดเช่นนั้น” ไอคานส์ถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย “หน่วยของผมประเมินว่า การสวดวิงวอนในป่ารวมถึงพฤติกรรมเป่านกหวีดทองแดง เป็นขั้นตอนสำหรับใช้ติดต่อกับอะซิก·อายเกส แต่ทั้งผลลัพธ์และความเร็วแตกต่างจากคำวิงวอนตามปรกติพอสมควร


“อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ความเป็นความตาย พฤติกรรมของเขาไม่น่าจะแฝงเจตนาร้าย แต่ทำไปเพื่อดิ้นรนให้ตัวเองมีชีวิตรอดต่อไป นั่นคือข้อสรุปของการสืบสวน”


“หึหึ… นอกจากการดิ้นรนเอาชีวิตรอด ส่วนหนึ่งอาจกำลังเขียนจดหมายลาตายก็ได้นะครับ” อาวุโสจิตแห่งจักรกลคนหนึ่งกล่าวติดตลก ตามด้วยการรายงานเนื้อหาในส่วนของตน


“…พวกเราไม่พบอาคารใต้ดินตามคำอธิบายของเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ นอกจากนั้น แม้จะมีความช่วยเหลือจาก 2-111 ร่วมด้วย แต่พวกเราก็ยังไม่ทราบตัวจริงของผู้วิเศษครึ่งเทพจากราชวงศ์”


“….ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า โบสถ์รัตติกาลทราบข่าวความโกลาหลเป็นฝ่ายแรก ข้อมูลถูกส่งมาจากเครือข่ายพิเศษของเอิร์ลฮอลล์ รายละเอียดมากกว่านี้ยังเป็นปริศนา”


“…กองกำลังส่วนใหญ่ของชุมนุมแสงเหนือในกรุงเบ็คลันด์ถูกพวกเรา เหยี่ยวราตรี และทูตพิพากษาบุกทลายจนเกือบหมด แต่ผมยังเชื่อว่า พวกมันน่าจะยังเหลือเขี้ยวเล็บซ่อนอยู่ในเงามืด…”


“…ขณะเกิดเหตุ เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ระบุว่าทริสซี่ได้ย้อนกลับเข้าไปในกรุงเบ็คลันด์ แต่ไม่มีใครพบเบาะแสของเธออีกเลยหลังจากนั้น และจากคำบอกเล่าของเชอร์ล็อกเช่นเดิม ทริสซีคือกุญแจสำคัญของเหตุการณ์คราวนี้ โดยเธอถูกเปลี่ยนชื่อเป็นทริสซี่·ชีค”


“…ปัจจุบันยังไม่อาจทราบได้ว่า โบสถ์รัตติกาลใช้วิธีใดจับกุมตัวแม่มดสิ้นหวังและพ่อบ้านชรา ฟังเกล แต่ผลการทำนายยืนยันแน่ชัดว่าทั้งสองคนยังมีชีวิตอยู่ และหลบหนีไม่สำเร็จ”



ขณะอาวุโสและหัวหน้าหน่วยจิตแห่งจักรกลรายงานความคืบหน้าทีละคน อาร์ชบิชอปฮารามิคหรี่ตาลงพลางทำหน้าครุ่นคิด


บรรยากาศห้องประชุมเงียบงันไปสักพัก จนกระทั่งฮารามิค·ไฮเดินลืมตาขึ้นพร้อมกับมอบคำสั่ง


“ถ้าหากยืนยันได้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ ให้ระดมกำลังตามล่าตัวทริสซี·ชีคอย่างสุดฝีมือ จงรวบรวมทุกการทำนายล้มเหลวในอดีตและส่งรายละเอียดมาให้ผม โบสถ์ของเรามีนักบุญเชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง จริงอยู่ ประสิทธิภาพอาจไม่สูงไปกว่า 2-111 สักเท่าไร แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ในส่วนของการสืบหาตัวครึ่งเทพฝ่ายราชวงศ์ เรื่องนี้พักไว้เอาก่อน ทางนั้นคงทราบความเคลื่อนไหวของเราแล้ว และนั่นไม่ต่างอะไรกับคำเตือน พวกเขาคงไม่กล้าเคลื่อนไหวไปอีกสักพัก การแบ่งกำลังคนไปสืบสวนมีแต่จะเหนื่อยเปล่า พยายามค้นหาอาคารใต้ดินปริศนาโดยแบ่งปันข้อมูลกับโบสถ์รัตติกาลและวายุสลาตัน ไอคานส์ จงถาม 2-111 ว่าเชอร์ล็อก·โมเรียตี้หลบหนีออกจากอาคารใต้ดินด้วยวิธีใด และรู้จักกับอะซิก·อายเกสตอนไหน”


ไอคานส์จ้องหน้าอาร์ชบิชอปฮารามิคนานหลายวินาที ก่อนจะชำเลืองไปยังพวกพ้องรอบโต๊ะและตอบด้วยน้ำเสียงคล้ายกัดฟัน


“ขอรับ เจ้าคุณท่าน”


มันพลันหดหู่เมื่อตำนานของตนจะไม่เป็นความลับเฉพาะหน่วยอีกต่อไป แต่จะถูกเผยแพร่ไปยังจิตแห่งจักรกลทั่วทั้งกรุงเบ็คลันด์อย่างเท่าเทียม


หลังจากดำเนินขั้นตอนพื้นฐาน ไอคานส์ขยับปากเปล่งเสียง


“ถึงท่านอาโรเดสผู้ยิ่งใหญ่ คำถามของกระผมคือ ‘เชอร์ล็อก·โมเรียตี้รู้จักกับอะซิกอายเกสตอนไหน’ ”


ทันใดนั้น กระจกวิเศษสีเงินซึ่งมีอัญมณีประดับสองเม็ดจนคล้ายดวงตา เริ่มแผ่แสงมายากระเพื่อมในลักษณะคลื่นน้ำ ตามด้วยการเผยฉากเหตุการณ์ :


เชอร์ล็อก·โมเรียตี้กำลังยืนอยู่ในห้องหนึ่ง สายตาเพ่งมองหนูสีเทาท้องแตกและเผยให้เห็นอวัยวะภายใน หนูตัวดังกล่าวกำลังเกาะอยู่บนกำแพง ด้านหลังเป็นเฒ่าโคห์เลอร์และเจ้าของโรงแรมราคาถูก


“สายข่าวของเชอร์ล็อกคงรายงานเกี่ยวกับค่าหัวของอะซิก·อายเกสให้ฟัง เขาจึงสนใจและเดินทางไปยังโรงแรมที่เกิดเหตุ โดยในช่วงเวลาดังกล่าว ค่าหัวของอะซิกมาจาก MI9 เนื่องจากทั้งสองฝั่งเกิดความขัดแย้งกัน”


ไอคานส์พยายามตีความ


และตามธรรมเนียมปฏิบัติ อาวุโสจิตแห่งจักรกลเลือกตอบคำถาม พลางสูดลมหายใจยาวเต็มปอด เตรียมรับแรงกระแทกจากคำถามสุดน่าอับอาย


และไม่ผิดคาด ตัวหนังสือสีแดงปรากฏขึ้นบนผิวกระจก :


“การพยายามเอาชนะใจใครสักคน แต่สุดท้ายกลับถูกเขาทอดทิ้ง… เจ้าเข้าใจความรู้สึกนี้หรือไม่”


ป…แปลก!


คำถามของอาโรเดสแปลกไปจากทุกที…


ไอคานส์พลันโล่งอกเมื่อตระหนักว่า ตัวอักษรสีเลือดบนกระจกมิได้แฝงความฉิบหายไว้เหมือนกับทุกครั้ง ท่าทีของกระจกวิเศษอาโรเดสห่อเหี่ยวอย่างไร้เหตุผล


แต่มันไม่กล้าสงสัยนานนัก รีบตอบกลับไปตามความรู้สึกตัวเอง


“เข้าใจขอรับ”


“ยินดีด้วย… เจ้าตอบถูก” ข้อความสีซีดเซียวปรากฏขึ้นบนผิวกระจกเงิน



5 มกราคม เก้าโมงเช้า


แต่งกายด้วยผ้าพันคอสีเทาอ่อน ไคลน์เดินทางมายังท่าเทียบเรือกุหลาบพร้อมกับกระเป๋าเดินทางและไม้ค้ำ


โมราขาวกำลังจอดรอผู้โดยสาร ขนาดของมันใหญ่มหึมา โดยเฉพาะยิ่งเมื่อนำมาเทียบกับขนาดของมนุษย์ กล่าวกันว่าสามารถรองรับผู้โดยสารได้หลายร้อยคนเลยทีเดียว


รูปลักษณ์เต็มไปด้วยกลิ่นอายของยุคสมัยแห่งไอน้ำ มีทั้งปล่องควันขนาดใหญ่ ใบเรือ และปืนใหญ่สิบสองกระบอกรอบลำ เพียงพอต่อการปกป้องกันตัวเองจากโจรสลัดและกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดีอื่นๆ


ภายใต้การนำของกัปตันไอร์แลนด์·คักส์ เหล่ากะลาสีและลูกเรือร่างกายกำยำซึ่งถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดี กำลังยืนเรียงรายอย่างเป็นระดับสองฝั่งขั้นบันได รอต้อนรับผู้โดยสารขึ้นเรืออย่างอบอุ่น กะลาสีบางคนจงใจเผยให้เห็นอาวุธถูกกฎหมายหลายชนิด เช่นลูกโม่ดัดแปลง ไรเฟิล และมีดยาว


ภาพอันน่าเกรงขามทำให้บรรดาผู้โดยสารเกิดความรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัย ความหวาดกลัวเริ่มบรรเทาลงหลายส่วน โดยทุกคนเชื่อมั่นว่าการเดินทางอันยาวนานเก้าวันเต็มของตนจะไปถึงจุดหมายอย่างราบรื่น


ไคลน์ยืนด้านล่างพลางแหงนมองขึ้นไป ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งจับราวบันไดและพยุงตัวเดินอย่างระมัดระวัง


ใต้ช่องว่างระหว่างขั้นบันไดเป็นภาพของน้ำทะเลสีฟ้าครามส่องแสงระยิบระยับ


การเดินทางของเรา… เริ่มขึ้นแล้วสินะ…


ชายหนุ่มเยื้องย่างอย่างมั่นคง


……………………


ราชันเร้นลับ 492 : นักผจญภัย

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากย่างกรายขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ ขณะเตรียมเดินเข้าไปในเขตห้องพัก จากมุมสายตา ไคลน์เหลือบเห็นร่างของบุคคลผู้หนึ่งกำลังเดินแหวกฝูงชนเข้ามาใกล้ตน


ชายหนุ่มมองข้ามไหล่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่แฝงจิตสังหารไว้อย่างเจือจาง มันมองเห็นใบหน้าของชายวัยประมาณสามสิบ สวมหมวกทรงสูงสีดำ และเสื้อกันลมสีเดียวกัน


ใบหน้าแห้งเหี่ยว ลักษณะคล้ายคนเถื่อน ร่างกายกำยำแต่หุ่นสันทัด ดวงตาสีฟ้าซีดของมันไม่ปรากฏความเป็นมิตร แต่แฝงประสบการณ์อันโชกโชนไว้เต็มเปี่ยม


เคยเห็นจากไหนนะ… อ้อ… นึกออกแล้ว เราหันไปมองเขาเมื่อวานขณะกำลังต่อแถวซื้อบัตรโดยสาร และเข้าใจว่าเป็นนักผจญภัยเหมือนกัน… กล้าสวมเสื้อกันลมในทะเลช่วงเดือนมกราคมเชียว แข็งแรงเอาเรื่อง….


ไคลน์ยกไม้ค้ำขึ้นและชี้ไปในแนวทแยงมุมพลางเผยรอยยิ้ม


“อรุณสวัสดิ์ เจอกันอีกแล้วนะครับ”


ท่าทีประหนึ่งกำลังทักทายเพื่อนเก่า


ชายใบหน้าดุดันไม่เผยความประหลาดใจ เพียงหยุดเดินและพยักหน้าเคร่งขรึม


“คลีฟส์ อดีตนักผจญภัย สหาย คุณก็เหมือนกันใช่ไหม”


“ผมคิดว่าคุณคงทราบตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เกอร์มัน·สแปร์โรว์” ไคลน์ยิ้ม


มันไม่เปลี่ยนมาถือไม้ค้ำด้วยมือขวา เนื่องจากไม่มีเจตนาจะจับมือกับคลีฟส์


“ผมพอจะเดาออก” คลีฟส์เงียบงันนานสองวินาที “น่าเสียดาย ชีวิตนักผจญภัยของผมไม่สวยหรู ต้องลงเอยด้วยการเปลี่ยนมาทำงานบอดี้การ์ดแทน โดยวันนี้รับภารกิจคุ้มกันครอบครัวของนายจ้างไปยังเมืองหลวงแห่งหมู่เกาะรอสต์”


มันหมุนตัวครึ่งรอบและชี้ไปยังมุมหนึ่งของดาดฟ้าเรือ


ไคลน์มองตามและพบกับกลุ่มบุคคลเกือบสิบกำลังยืนกระจุก นำโดยสุภาพบุรุษร่างท้วมแก้มแดงเจ้าของดวงตามีชีวิตชีวา สายโซ่นาฬิกาพกสีทองห้อยออกจากกระเป๋าเสื้ออย่างโดดเด่น รวมถึงเข็มกลัดอัญมณีระยิบระยับบริเวณปกเสื้อ


ถัดไปเป็นหญิงสาวสวมหมวกปีกกว้าง ใบหน้าถูกซ่อนภายใต้แผ่นตาข่ายสีน้ำเงินเข้มจนมิดชิด รูปร่างนับว่าค่อนข้างดี


ด้านหน้าสองสามีภรรยาเป็นเด็กชายและเด็กหญิงคู่หนึ่ง ฝ่ายชายยังไม่ถึงสิบขวบดี สวมสูทหางยาวสำหรับเด็ก ฝ่ายหญิงอายุราวสิบห้าสิบหก เปี่ยมด้วยความร่าเริงสดใส ใบหน้าอาจเรียกว่างดงามได้ไม่เต็มปาก


ดวงตาสีน้ำตาลแฝงความฉลาดหลักแหลม รอยกระจางๆ บนโหนกแก้มทั้งสองข้างช่วยส่งเสริมความซุกคน


รอบตัวพวกเขายังมีอีกสามบุคคลคอยถือสัมภาระและกระเป๋าเดินทาง เป็นชายหนึ่งและหญิงสอง แต่งกายตามตามมาตรฐานคนรับใช้ โดยสาวใช้คนหนึ่งมีผิวสีน้ำตาลแดง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นชาวทวีปใต้


เจ็ดคนดังกล่าวถูกคุ้มกันโดยบอดี้การ์ดจำนวนสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ด้านในสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวรีดเรียบ เสื้อกั๊กสีอ่อน เสื้อโค้ทดำ กางเกงขายาวสีเข้ม และรองเท้าหนังทะมัดทะแมง


บอดี้การ์ดทั้งสองจงใจไม่ปกปิดการนูนของวัตถุรูปทรงคล้ายปืนตรงเอว ท่าทีเป็นไปอย่างระแวดระวังและไม่ประมาท คอยสอดส่องคนผ่านไปผ่านมาอย่างละเอียด ดวงตาเพ่งตรวจสอบในลักษณะเยือกเย็นเย็น


“คนรับใช้สาม บอดี้การ์ดสอง?”


ไคลน์ถามอย่างเป็นกันเอง


กลุ่มเดินทางระดับนี้นับว่าไม่ธรรมดา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นายจ้างของคลีฟส์คงร่ำรวยเป็นอย่างมาก…


ไคลน์วิเคราะห์ตามความเคยชิน


“ถูกต้อง” คลีฟส์พยักหน้า


โดยไม่กล่าวสิ่งใด มันหันหลังกลับและเดินตรงไปยังกลุ่มครอบครัวดังกล่าว


“…”


ไคลน์ถึงกับเป็นงง มันกำลังไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใดคลีฟส์ถึงต้องเดินมาทักทายตนเป็นการเฉพาะเจาะจง


แต่หลังจากนึกทบทวนเนื้อหาภายในนิยายจากโลกเก่า ภาพยนตร์ และละครทีวีอีกหลายเรื่อง ชายหนุ่มเริ่มมองเห็นเจตนาแอบแฝง


เขาระแวงเรา คงเป็นเพราะเราเคยประกาศตัวชัดเจนแถมยังมีกลิ่นอายความอันตราย จึงเดินมาแนะนำตัวและเปรยงานของตัวเองให้เราทราบ เพื่อบอกเป็นนัยว่า อย่าได้หมายตาผู้ว่าจ้างของเขา…หรือสรุปโดยสั้นเป็นภาษานักเลง :


‘อยากทำอะไรก็เชิญ แต่ห้ามก้าวก่ายงานของกันและกัน’ …


อดีตนักผจญภัยมักตักเตือนนักล่าค่าหัวด้วยวิธีการเช่นนี้เองหรือ…


น่าสนใจมาก…


ไคลน์อมยิ้มพลางถือกระเป๋าเดินทางและไม้ค้ำเดินหาห้องพักของตน ด้วยความช่วยเหลือจากข้อมูลบนบัตรโดยสาร เพียงไม่นานก็ได้รับคำตอบ


แอ๊ด—


ประตูไม้เสียดสีจนเกิดเสียง ชายหนุ่มแทรกตัวเข้าไปในห้องของตนและปิดประตูไล่หลัง


ขนาดของห้องไม่ใหญ่มาก มีไว้แค่ยัดเตียงนอน โต๊ะ และตู้เสื้อผ้าเข้าไปจนเต็ม ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้แล้ว แม้แต่เก้าอี้สักตัวก็ไม่


ข้อดีคือเป็นห้องมีหน้าต่าง แสงแดดประจำท่าเทียบเรือกำลังสองเข้ามาด้านในอย่างสดใส ฉาบให้ผิวโต๊ะกลายเป็นสีทองอร่ามชั่วคราว


ลูกเรือช่วยชี้แจงให้ไคลน์ทราบว่า ห้องล้างหน้าและห้องน้ำจะต้องใช้ร่วมกันกับแขกอีกแปดห้องข้างเคียง แต่หากใครต้องการใช้ห้องสุขาแบบด่วนพิเศษ ทางเรือก็มีบริการห้องสุขาไม้ไว้ในราคาสามเพนนี เพื่อเป็นค่าทำความสะอาด…. ต้องขอบคุณสวรรค์ เนื่องจากโมราขาวลำนี้ถูกบูรณะให้ทันสมัย จึงมีการเดินท่อโลหะส่งแก๊สไปรอบลำเรืออย่างทั่วถึง ในห้องน้ำจึงมีเครื่องต้มน้ำไว้คอยบริการ นับว่าสะดวกสบายกับชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ไม่อย่างนั้น การล่องทะเลของเราคงกร่อยน่าดู…


ไคลน์ถอนหายใจ


จากนั้น มันนำสิ่งของในชีวิตประจำวันออกจากกระเป๋าและวางเรียงบนโต๊ะ เพื่อให้ง่ายต่อการหยิบจับ


ขณะจัดแจงสิ่งต่างๆ ให้เป็นระเบียบ ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงบนขอบเตียงซึ่งมีความสูงไม่มาก สองหูเงี่ยฟังเสียงหวีดของเครื่องจักรพลังไอน้ำ พลางสัมผัสได้ถึงพลังขับเคลื่อนอันหนักแน่นและเต็มไปด้วยกลิ่นอายวิทยาศาสตร์


เมื่อเรือเริ่มแล่นออกจากท่า ไคลน์จ้องออกไปนอกหน้าต่างพลางใช้ความคิด มันกำลังกังวลถึงปัญหาใหญ่ในอนาคตของตน


จะสวมบทบาทเป็นผู้ไร้หน้าอย่างไรดี


ขณะเผชิญหน้าพิธีกรรมของมิสเตอร์ A เกี่ยวกับการลงมาจุติของพระผู้สร้างแท้จริง ไคลน์ตัดสินใจล้มเลิกความคิดหลบหนี และหันกลับไปหาทางขัดขวางพิธีกรรมจนเกิดผลลัพธ์น่าพึงพอใจ โดยในขณะนั้น การย่อยโอสถมีพัฒนาการชัดเจนจนจับต้องได้ หากอ้างอิงจากความรู้สึกดังกล่าว ไคลน์สามารถจับหลักการของเทคนิคสวมบทบาทเป็นผู้ไร้หน้าได้อย่างคร่าว


‘จะปลอมตัวเป็นใครก็ได้ แต่สุดท้ายต้องเป็นตัวเอง’ นี่คือหลักยึดถือซึ่งนักเชิดหุ่นโรซาโก้ถูกสอนให้จดจำ…


เราเคยคิดว่า ‘ตัวเอง’ จะต้องหมายถึงตัวตนแท้จริง ในกรณีนี้คือไคลน์·โมเร็ตติ…


แต่เมื่อลองไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ดูเหมือน ‘การเป็นตัวเอง’ จะต้องตีความให้ลึกซึ้งมากกว่านั้น…


ไคลน์โน้มตัวเข้าหาโต๊ะพร้อมกับอาบแสงแดดอบอุ่นด้านนอกเป็นเวลานาน จนดูคล้ายกับรูปปั้นคนนั่งในท่าครุ่นคิด


ผ่านไปสักพัก มันเริ่มสะกิดใจ


หรือว่า ‘ตัวเอง’ จะหมายถึงตัวตนภายในวิญญาณชั้นลึกสุด?


ย้อนกลับไปในโลกเก่า โจวหมิงรุ่ยเคยสวมหน้ากากเป็นหลายบุคคลในโลกอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงการสวมหน้ากากเข้าหาสังคมด้วยหลายบุคลิกตามแต่กลุ่มคนในแวดวงนั้นจะยอมรับ


โดยเกือบทั้งหมดจะเป็น ‘ตัวตนปลอม’


อา… ขณะเราปลอมตัวเป็นใครสักคนบนโลกอินเทอร์เน็ต เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ ต้องมีการสร้างตัวตนปลอมในเชิงลึก และไม่หลุดพิมพ์ข้อมูลน่าสงสัยออกไป นั่นคือการสวมหน้ากากเข้าคนอื่น…


หากทุกหน้ากากถูกถอดออกจนหมด สุดท้ายแล้ว ตัวเราคนนั้นคือ ‘ตัวเอง’ ในความหมายของโอสถผู้ไร้หน้า?


ขณะเผชิญหน้าความชั่วร้าย เราเอาชนะความกลัวในใจและเลือกขัดขวางศัตรูทุกวิถีทางอย่างไร้เหตุผล โดยไม่ข้องเกี่ยวกับอุปนิสัยของตัวตนหรือใบหน้าในเวลานั้น…


นี่คือเหตุผลให้โอสถถูกย่อยจนเกิดพัฒนาการชัดเจน?


นั่นคือการไม่หลงลืม ‘ตัวเอง’ ?


เรื่องนี้ต้องมีการทดลองและพิสูจน์…


ครุ่นคิดมาถึงจุดนี้ ไคลน์เปลี่ยนอิริยาบถ พยายามทำตัวให้ผ่อนคลาย


หลังจากนึกทบทวนเหตุการณ์ในช่วงไม่กี่วันก่อนอย่างถี่ถ้วน ชายหนุ่มผุดคำถามใหม่


ภายในซากอาคารใต้ดิน เราปลอมตัวเป็นอินซ์·แซงวิลล์อย่างแนบเนียนจนสามารถหลบหนีจากอันตรายมาได้สำเร็จ แต่ทำไมโอสถจึงไม่มีความคืบหน้าเลย?


จริงด้วย… นั่นเป็นแค่การใช้พลังพิเศษ มิใช่การสวมบทบาท!


หากจะย่อยโอสถให้คืบหน้า เราต้องปลอมตัวเป็นคนคนนั้นโดยมีอุปนิสัยแบบเดียวกัน สวมรอยเป็นบุคคลเดียวกันจนคนรอบตัวไม่ตระหนักถึงความผิดปรกติในชีวิตประจำวันและในทางสังคม?


หากเพื่อนสนิทหรือญาติพี่น้องไม่พบความผิดปรกติ นั่นจึงจะถือว่าประสบความสำเร็จ?


ถ้าอย่างนั้น ความรู้สึกกลมกลืนอย่างน่าประหลาดหลังจากดื่มโอสถผู้ไร้หน้าเข้าไป เกิดจากการสวมรอยเป็นไคลน์·โมเร็ตติโดยคนในครอบครัวไม่รู้สึกเอะใจมาตลอด…


กฎข้อแรกของผู้ไร้หน้า จะปลอมตัวเป็นใครก็ได้ แต่สุดท้ายต้องเป็นตัวเอง…


กฎข้อสอง ต้องปลอมตัวในระดับลึกซึ้งถึงขั้นสามารถตบตาบุคคลใกล้ตัว…


แต่การปลอมตัวจนถึงขั้นญาติพี่น้องแยกแยะไม่ได้ เราคิดอย่างอื่นนอกจากการทำชั่วไม่ออก…


อย่าบอกนะว่า… ต้องตามหาคนตายในดินแดนห่างไกล จากนั้นก็เดินทางกลับไปพบญาติในบ้านเกิด และสวมรอยเป็นบุคคลดังกล่าวเพื่อสนองความต้องการสุดท้ายให้เขา…


ยิ่งลำดับสูง การสวมบทบาทก็ยิ่งยาก…


ชายหนุ่มถอนหายใจพลางลวงหยิบนาฬิกาพกออกมาตรวจสอบเวลา


เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาอาหารกลางวัน ประกอบกับภายในห้องพักคับแคบและอึดอัด ไม่เหมาะแก่การนั่งแช่นานๆ ไคลน์ตัดสินใจออกไปเดินรับลมทะเลบนดาดฟ้าเรือ


หลังจากความตื่นเต้นในชั่วโมงแรกของการล่องทะเลจบลง บนดาดฟ้าจึงเหลือผู้คนบางตา ชายหนุ่มเดินไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งมาถึงมุมหลบแดดซึ่งมีเงาสีดำทอดยาว


แสงแดดสดใส บรรยากาศอบอุ่น… นอกจากสายลมกระโชกซึ่งพยายามจะขโมยหมวกของเราแล้ว นอกนั้นก็ไม่มีข้อเสีย…


ชายหนุ่มกดหมวกและเดินกลับเข้าไปในเขตห้องพัก จากนั้นก็ตัดสินใจเดินสำรวจโครงสร้างภายในเรือพลางฟังเสียงดนตรีอันไพเราะเป็นฉากหลัง


เพียงไม่นาน ไคลน์บังเอิญเดินมาพบอดีตนักผจญภัยคนเดิม คลีฟส์ กำลังก้มหน้าทำอะไรบางอย่างในมุมหนึ่งของเรือ บนพื้นด้านหน้ามีหอกสามง่าม มีดสั้น และมีดยาววางอยู่


เมื่อสัมผัสถึงสายตาจ้องมอง คลีฟส์เงยหน้าขึ้นด้วยอากัปกิริยาขึงขัง ตามด้วยการกล่าวเสียงเรียบ


“พวกนี้คือสหายเก่าของผมเอง จำเป็นต้องถูกบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ”


จากนั้น มันเสริม


“พอดีในห้องพักมีเด็กๆ อยู่”


“เข้าใจได้” ไคลน์ยิ้มรับ


คลีฟส์ก้มหน้าจัดการงานของตัวเองต่อ ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงซักถาม


“ไม่ได้พกของพวกนี้มาด้วยหรือ”


“ผมชินกับการใช้อาวุธประจำกาย” ไคลน์ตอบอย่างคลุมเครือ “และหมั่นบำรุงรักษามันอย่างสม่ำเสมอ”


คลีฟส์ยกมีดสั้นขึ้นมาถืออย่างคล่องแคล่ว สายตาจ้องออกไปนอกหน้าต่าง


“สำหรับท้องทะเล แค่ปืนมันยังไม่พอ เมื่อโจรสลัดบุกขึ้นเรือ จำนวนของพวกมันไม่ใช่หนึ่งหรือสอง แต่เป็นสิบเป็นร้อย หากคุณยิงปืนจนหมดกระสุน พวกมันจะไม่เปิดโอกาสให้เติมกระสุนเด็ดขาด จริงอยู่ สิ่งของพวกนี้พกติดตัวไม่ง่าย แต่ก็มีประโยชน์ในบางสถานการณ์”


มืออาชีพมาก… สมกับอดีตนักผจญภัย…


ไคลน์เอนตัวพิงกำแพงเรือและพูดติดตลก


“หากโจรสลัดขึ้นเรือมา ผมมั่นใจว่าตัวเองจะไม่ตอบโต้พวกมัน”


คลีฟส์เงยหน้ามองอีกครั้ง คราวนี้จ้องนานราวสามวินาทีก่อนจะหันกลับ ตามด้วยการกล่าวเสียงแผ่วเบาขณะเริ่มเก็บข้าวของ


“ผมคงไม่ต้องคอยเตือนคุณสินะ เข้าใจกฎเหล็กของทะเลก็ดีแล้ว นักล่าค่าหัวบนฝั่ง ส่วนมากมักเป็นนักผจญภัยในทะเลไม่ได้”


คลีฟส์ซ่อนมีด ดาบสั้น และสามง่ามอย่างชำนาญภายในเสื้อผ้า ฉากดังกล่าวสร้างความทึ่งให้ไคลน์ไม่น้อย


“ขอบคุณมาก” ชายหนุ่มยิ้มรับ


โดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม คลีฟส์หันหลังกลับและเดินเข้าไปในห้องพัก เผยให้เห็นเพียงแผ่นหลังขนาดใหญ่


ไคลน์ยิ้มมุมปากพลางส่ายหน้า และหันไปออกไปมองนอกเรือ


คลื่นสีครามกำลังขยับขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง ปลาบินสีเงินคอยดีดตัวจากผิวน้ำไปในอากาศ


ปลาชนิดนี้ทำได้ทั้ง ‘บิน’ และว่ายน้ำ ถือเป็นหนึ่งในครอบครัวของเทพวายุสลาตัน หากชาวประมงและลูกเรือส่วนมากพบว่าพวกมันติดมากับอวน จะรีบปล่อยกลับลงไปในทะเลทันที…


ไคลน์กำลังชื่นชมภาพความงามของน้ำทะเลสีครามส่องสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ ด้านบนมีปลาสีเงินกำลังโบยบินอย่างองอาจ


ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวโดยไม่รู้ตัว


เจ้านี่จะอร่อยไหมนะ…


……………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)